Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๓. มหาเวทลฺลสุตฺตวณฺณนา
3. Mahāvedallasuttavaṇṇanā
๔๔๙. เอวํ เม สุตนฺติ มหาเวทลฺลสุตฺตํฯ ตตฺถ อายสฺมาติ สคารวสปฺปติสฺสวจนเมตํฯ มหาโกฎฺฐิโกติ ตสฺส เถรสฺส นามํฯ ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโตติ ผลสมาปตฺติโต วุฎฺฐิโตฯ ทุปฺปโญฺญ ทุปฺปโญฺญติ เอตฺถ ปญฺญาย ทุฎฺฐํ นาม นตฺถิ, อปฺปโญฺญ นิปฺปโญฺญติ อโตฺถฯ กิตฺตาวตา นุ โขติ การณปริเจฺฉทปุจฺฉา, กิตฺตเกน นุ โข เอวํ วุจฺจตีติ อโตฺถฯ ปุจฺฉา จ นาเมสา อทิฎฺฐโชตนาปุจฺฉา, ทิฎฺฐสํสนฺทนาปุจฺฉา, วิมติเจฺฉทนาปุจฺฉา, อนุมติปุจฺฉา, กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาติ ปญฺจวิธา โหติฯ ตาสมิทํ นานากรณํ –
449.Evaṃme sutanti mahāvedallasuttaṃ. Tattha āyasmāti sagāravasappatissavacanametaṃ. Mahākoṭṭhikoti tassa therassa nāmaṃ. Paṭisallānā vuṭṭhitoti phalasamāpattito vuṭṭhito. Duppañño duppaññoti ettha paññāya duṭṭhaṃ nāma natthi, appañño nippaññoti attho. Kittāvatā nu khoti kāraṇaparicchedapucchā, kittakena nu kho evaṃ vuccatīti attho. Pucchā ca nāmesā adiṭṭhajotanāpucchā, diṭṭhasaṃsandanāpucchā, vimaticchedanāpucchā, anumatipucchā, kathetukamyatāpucchāti pañcavidhā hoti. Tāsamidaṃ nānākaraṇaṃ –
กตมา อทิฎฺฐโชตนาปุจฺฉา? ปกติยา ลกฺขณํ อญฺญาตํ โหติ อทิฎฺฐํ อตุลิตํ อตีริตํ อวิภูตํ อวิภาวิตํ, ตสฺส ญาณาย ทสฺสนาย ตุลนาย ตีรณาย วิภูตาย วิภาวนตฺถาย ปญฺหํ ปุจฺฉติฯ อยํ อทิฎฺฐโชตนาปุจฺฉาฯ
Katamā adiṭṭhajotanāpucchā? Pakatiyā lakkhaṇaṃ aññātaṃ hoti adiṭṭhaṃ atulitaṃ atīritaṃ avibhūtaṃ avibhāvitaṃ, tassa ñāṇāya dassanāya tulanāya tīraṇāya vibhūtāya vibhāvanatthāya pañhaṃ pucchati. Ayaṃ adiṭṭhajotanāpucchā.
กตมา ทิฎฺฐสํสนฺทนาปุจฺฉา? ปกติยา ลกฺขณํ ญาตํ โหติ ทิฎฺฐํ ตุลิตํ ตีริตํ วิภูตํ วิภาวิตํ, อเญฺญหิ ปณฺฑิเตหิ สทฺธิํ สํสนฺทนตฺถาย ปญฺหํ ปุจฺฉติฯ อยํ ทิฎฺฐสํสนฺทนาปุจฺฉาฯ
Katamā diṭṭhasaṃsandanāpucchā? Pakatiyā lakkhaṇaṃ ñātaṃ hoti diṭṭhaṃ tulitaṃ tīritaṃ vibhūtaṃ vibhāvitaṃ, aññehi paṇḍitehi saddhiṃ saṃsandanatthāya pañhaṃ pucchati. Ayaṃ diṭṭhasaṃsandanāpucchā.
กตมา วิมติเจฺฉทนาปุจฺฉา? ปกติยา สํสยปกฺขโนฺท โหติ วิมติปกฺขโนฺท, เทฺวฬฺหกชาโต, ‘‘เอวํ นุ โข, น นุ โข, กิํ นุ โข, กถํ นุ โข’’ติ, โส วิมติเจฺฉทนตฺถาย ปญฺหํ ปุจฺฉติฯ อยํ วิมติเจฺฉทนาปุจฺฉา (มหานิ. ๑๕๐; จูฬนิ. ปุณฺณกมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๑๒)ฯ
Katamā vimaticchedanāpucchā? Pakatiyā saṃsayapakkhando hoti vimatipakkhando, dveḷhakajāto, ‘‘evaṃ nu kho, na nu kho, kiṃ nu kho, kathaṃ nu kho’’ti, so vimaticchedanatthāya pañhaṃ pucchati. Ayaṃ vimaticchedanāpucchā (mahāni. 150; cūḷani. puṇṇakamāṇavapucchāniddesa 12).
‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, รูปํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วาติ? อนิจฺจํ, ภเนฺต’’ติ (มหาว. ๒๑) เอวรูปา อนุมติํ คเหตฺวา ธมฺมเทสนากาเล ปุจฺฉา อนุมติปุจฺฉา นามฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, rūpaṃ niccaṃ vā aniccaṃ vāti? Aniccaṃ, bhante’’ti (mahāva. 21) evarūpā anumatiṃ gahetvā dhammadesanākāle pucchā anumatipucchā nāma.
‘‘จตฺตาโรเม , ภิกฺขเว, สติปฎฺฐานา, กตเม จตฺตาโร’’ติ (สํ. นิ. ๕.๓๙๐) เอวรูปา ภิกฺขุสงฺฆํ สยเมว ปุจฺฉิตฺวา สยเมว วิสฺสเชฺชตุกามสฺส ปุจฺฉา กเถตุกมฺยตาปุจฺฉา นามฯ ตาสุ อิธ ทิฎฺฐสํสนฺทนาปุจฺฉา อธิเปฺปตาฯ
‘‘Cattārome , bhikkhave, satipaṭṭhānā, katame cattāro’’ti (saṃ. ni. 5.390) evarūpā bhikkhusaṅghaṃ sayameva pucchitvā sayameva vissajjetukāmassa pucchā kathetukamyatāpucchā nāma. Tāsu idha diṭṭhasaṃsandanāpucchā adhippetā.
เถโร หิ อตฺตโน ทิวาฎฺฐาเน นิสีทิตฺวา สยเมว ปญฺหํ สมุฎฺฐเปตฺวา สยํ วินิจฺฉินโนฺต อิทํ สุตฺตํ อาทิโต ปฎฺฐาย มตฺถกํ ปาเปสิฯ เอกโจฺจ หิ ปญฺหํ สมุฎฺฐาเปตุํเยว สโกฺกติ น นิเจฺฉตุํ; เอกโจฺจ นิเจฺฉตุํ สโกฺกติ น สมุฎฺฐาเปตุํ; เอกโจฺจ อุภยมฺปิ น สโกฺกติ; เอกโจฺจ อุภยมฺปิ สโกฺกติฯ เตสุ เถโร อุภยมฺปิ สโกฺกติเยวฯ กสฺมา? มหาปญฺญตายฯ มหาปญฺญํ นิสฺสาย หิ อิมสฺมิํ สาสเน สาริปุตฺตเตฺถโร, มหากจฺจานเตฺถโร, ปุณฺณเตฺถโร, กุมารกสฺสปเตฺถโร, อานนฺทเตฺถโร, อยเมว อายสฺมาติ สมฺพหุลา เถรา วิเสสฎฺฐานํ อธิคตาฯ น หิ สกฺกา ยาย วา ตาย วา อปฺปมตฺติกาย ปญฺญาย สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา สาวกปารมีญาณสฺส มตฺถกํ ปาปุณิตุํ, มหาปเญฺญน ปน สกฺกาติ มหาปญฺญตาย สาริปุตฺตเตฺถโร ตํ ฐานํ อธิคโตฯ ปญฺญาย หิ เถเรน สทิโส นตฺถิฯ เตเนว นํ ภควา เอตทเคฺค ฐเปสิ – ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ มหาปญฺญานํ ยทิทํ สาริปุโตฺต’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๘๙)ฯ
Thero hi attano divāṭṭhāne nisīditvā sayameva pañhaṃ samuṭṭhapetvā sayaṃ vinicchinanto idaṃ suttaṃ ādito paṭṭhāya matthakaṃ pāpesi. Ekacco hi pañhaṃ samuṭṭhāpetuṃyeva sakkoti na nicchetuṃ; ekacco nicchetuṃ sakkoti na samuṭṭhāpetuṃ; ekacco ubhayampi na sakkoti; ekacco ubhayampi sakkoti. Tesu thero ubhayampi sakkotiyeva. Kasmā? Mahāpaññatāya. Mahāpaññaṃ nissāya hi imasmiṃ sāsane sāriputtatthero, mahākaccānatthero, puṇṇatthero, kumārakassapatthero, ānandatthero, ayameva āyasmāti sambahulā therā visesaṭṭhānaṃ adhigatā. Na hi sakkā yāya vā tāya vā appamattikāya paññāya samannāgatena bhikkhunā sāvakapāramīñāṇassa matthakaṃ pāpuṇituṃ, mahāpaññena pana sakkāti mahāpaññatāya sāriputtatthero taṃ ṭhānaṃ adhigato. Paññāya hi therena sadiso natthi. Teneva naṃ bhagavā etadagge ṭhapesi – ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ mahāpaññānaṃ yadidaṃ sāriputto’’ti (a. ni. 1.189).
ตถา น สกฺกา ยาย วา ตาย วา อปฺปมตฺติกาย ปญฺญาย สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา ภควตา สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส สพฺพญฺญุตญฺญาเณน สทฺธิํ สํสนฺทิตฺวา สมาเนตฺวา วิตฺถาเรน อตฺถํ วิภเชตุํ, มหาปเญฺญน ปน สกฺกาติ มหาปญฺญตาย มหากจฺจานเตฺถโร ตตฺถ ปฎิพโล ชาโต, เตเนว นํ ภควา เอตทเคฺค ฐเปสิ – ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ วิภชนฺตานํ ยทิทํ มหากจฺจาโน’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๙๗)ฯ
Tathā na sakkā yāya vā tāya vā appamattikāya paññāya samannāgatena bhikkhunā bhagavatā saṃkhittena bhāsitassa sabbaññutaññāṇena saddhiṃ saṃsanditvā samānetvā vitthārena atthaṃ vibhajetuṃ, mahāpaññena pana sakkāti mahāpaññatāya mahākaccānatthero tattha paṭibalo jāto, teneva naṃ bhagavā etadagge ṭhapesi – ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ saṃkhittena bhāsitassa vitthārena atthaṃ vibhajantānaṃ yadidaṃ mahākaccāno’’ti (a. ni. 1.197).
ตถา น สกฺกา ยาย วา ตาย วา อปฺปมตฺติกาย ปญฺญาย สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา ธมฺมกถํ กเถเนฺตน ทส กถาวตฺถูนิ อาหริตฺวา สตฺต วิสุทฺธิโย วิภชเนฺตน ธมฺมกถํ กเถตุํ, มหาปเญฺญน ปน สกฺกาติ มหาปญฺญตาย ปุณฺณเตฺถโร จตุปริสมเชฺฌ อลงฺกตธมฺมาสเน จิตฺตพีชนิํ คเหตฺวา นิสิโนฺน ลีฬายโนฺต ปุณฺณจโนฺท วิย ธมฺมํ กเถสิฯ เตเนว นํ ภควา เอตทเคฺค ฐเปสิ – ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ธมฺมกถิกานํ ยทิทํ ปุโณฺณ มนฺตาณิปุโตฺต’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๙๖)ฯ
Tathā na sakkā yāya vā tāya vā appamattikāya paññāya samannāgatena bhikkhunā dhammakathaṃ kathentena dasa kathāvatthūni āharitvā satta visuddhiyo vibhajantena dhammakathaṃ kathetuṃ, mahāpaññena pana sakkāti mahāpaññatāya puṇṇatthero catuparisamajjhe alaṅkatadhammāsane cittabījaniṃ gahetvā nisinno līḷāyanto puṇṇacando viya dhammaṃ kathesi. Teneva naṃ bhagavā etadagge ṭhapesi – ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ dhammakathikānaṃ yadidaṃ puṇṇo mantāṇiputto’’ti (a. ni. 1.196).
ตถา ยาย วา ตาย วา อปฺปมตฺติกาย ปญฺญาย สมนฺนาคโต ภิกฺขุ ธมฺมํ กเถโนฺต อิโต วา เอโตฺต วา อนุกฺกมิตฺวา ยฎฺฐิโกฎิํ คเหตฺวา อโนฺธ วิย, เอกปทิกํ ทณฺฑกเสตุํ อารุโฬฺห วิย จ คจฺฉติฯ มหาปโญฺญ ปน จตุปฺปทิกํ คาถํ นิกฺขิปิตฺวา อุปมา จ การณานิ จ อาหริตฺวา เตปิฎกํ พุทฺธวจนํ คเหตฺวา เหฎฺฐุปริยํ กโรโนฺต กเถสิฯ มหาปญฺญตาย ปน กุมารกสฺสปเตฺถโร จตุปฺปทิกํ คาถํ นิกฺขิปิตฺวา อุปมา จ การณานิ จ อาหริตฺวา เตหิ สทฺธิํ โยเชโนฺต ชาตสฺสเร ปญฺจวณฺณานิ กุสุมานิ ผุลฺลาเปโนฺต วิย สิเนรุมตฺถเก วฎฺฎิสหสฺสํ เตลปทีปํ ชาเลโนฺต วิย เตปิฎกํ พุทฺธวจนํ เหฎฺฐุปริยํ กโรโนฺต กเถสิฯ เตเนว นํ ภควา เอตทเคฺค ฐเปสิ – ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ จิตฺตกถิกานํ ยทิทํ กุมารกสฺสโป’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๑๗)ฯ
Tathā yāya vā tāya vā appamattikāya paññāya samannāgato bhikkhu dhammaṃ kathento ito vā etto vā anukkamitvā yaṭṭhikoṭiṃ gahetvā andho viya, ekapadikaṃ daṇḍakasetuṃ āruḷho viya ca gacchati. Mahāpañño pana catuppadikaṃ gāthaṃ nikkhipitvā upamā ca kāraṇāni ca āharitvā tepiṭakaṃ buddhavacanaṃ gahetvā heṭṭhupariyaṃ karonto kathesi. Mahāpaññatāya pana kumārakassapatthero catuppadikaṃ gāthaṃ nikkhipitvā upamā ca kāraṇāni ca āharitvā tehi saddhiṃ yojento jātassare pañcavaṇṇāni kusumāni phullāpento viya sinerumatthake vaṭṭisahassaṃ telapadīpaṃ jālento viya tepiṭakaṃ buddhavacanaṃ heṭṭhupariyaṃ karonto kathesi. Teneva naṃ bhagavā etadagge ṭhapesi – ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ cittakathikānaṃ yadidaṃ kumārakassapo’’ti (a. ni. 1.217).
ตถา ยาย วา ตาย วา อปฺปมตฺติกาย ปญฺญาย สมนฺนาคโต ภิกฺขุ จตูหิ มาเสหิ จตุปฺปทิกมฺปิ คาถํ คเหตุํ น สโกฺกติฯ มหาปโญฺญ ปน เอกปเท ฐตฺวา ปทสตมฺปิ ปทสหสฺสมฺปิ คณฺหาติฯ อานนฺทเตฺถโร ปน มหาปญฺญตาย เอกปทุทฺธาเร ฐตฺวา สกิํเยว สุตฺวา ปุน อปุจฺฉโนฺต สฎฺฐิ ปทสหสฺสานิ ปนฺนรส คาถาสหสฺสานิ วลฺลิยา ปุปฺผานิ อากฑฺฒิตฺวา คณฺหโนฺต วิย เอกปฺปหาเรเนว คณฺหาติฯ คหิตคหิตํ ปาสาเณ ขตเลขา วิย, สุวณฺณฆเฎ ปกฺขิตฺตสีหวสา วิย จ คหิตากาเรเนว ติฎฺฐติฯ เตเนว นํ ภควา เอตทเคฺค ฐเปสิ – ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ คติมนฺตานํ ยทิทํ อานโนฺท , สติมนฺตานํ, ธิติมนฺตานํ, พหุสฺสุตานํ, อุปฎฺฐากานํ ยทิทํ อานโนฺท’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๑๙-๒๒๓)ฯ
Tathā yāya vā tāya vā appamattikāya paññāya samannāgato bhikkhu catūhi māsehi catuppadikampi gāthaṃ gahetuṃ na sakkoti. Mahāpañño pana ekapade ṭhatvā padasatampi padasahassampi gaṇhāti. Ānandatthero pana mahāpaññatāya ekapaduddhāre ṭhatvā sakiṃyeva sutvā puna apucchanto saṭṭhi padasahassāni pannarasa gāthāsahassāni valliyā pupphāni ākaḍḍhitvā gaṇhanto viya ekappahāreneva gaṇhāti. Gahitagahitaṃ pāsāṇe khatalekhā viya, suvaṇṇaghaṭe pakkhittasīhavasā viya ca gahitākāreneva tiṭṭhati. Teneva naṃ bhagavā etadagge ṭhapesi – ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ gatimantānaṃ yadidaṃ ānando , satimantānaṃ, dhitimantānaṃ, bahussutānaṃ, upaṭṭhākānaṃ yadidaṃ ānando’’ti (a. ni. 1.219-223).
น หิ สกฺกา ยาย วา ตาย วา อปฺปมตฺติกาย ปญฺญาย สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา จตุปฎิสมฺภิทาปเภทสฺส มตฺถกํ ปาปุณิตุํฯ มหาปเญฺญน ปน สกฺกาติ มหาปญฺญตาย มหาโกฎฺฐิตเตฺถโร อธิคมปริปุจฺฉาสวนปุพฺพโยคานํ วเสน อนนฺตนยุสฺสทํ ปฎิสมฺภิทาปเภทํ ปโตฺตฯ เตเนว นํ ภควา เอตทเคฺค ฐเปสิ – ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ปฎิสมฺภิทาปตฺตานํ ยทิทํ มหาโกฎฺฐิโต’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๑๘)ฯ
Na hi sakkā yāya vā tāya vā appamattikāya paññāya samannāgatena bhikkhunā catupaṭisambhidāpabhedassa matthakaṃ pāpuṇituṃ. Mahāpaññena pana sakkāti mahāpaññatāya mahākoṭṭhitatthero adhigamaparipucchāsavanapubbayogānaṃ vasena anantanayussadaṃ paṭisambhidāpabhedaṃ patto. Teneva naṃ bhagavā etadagge ṭhapesi – ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ paṭisambhidāpattānaṃ yadidaṃ mahākoṭṭhito’’ti (a. ni. 1.218).
อิติ เถโร มหาปญฺญตาย ปญฺหํ สมุฎฺฐาเปตุมฺปิ นิเจฺฉตุมฺปีติ อุภยมฺปิ สโกฺกติฯ โส ทิวาฎฺฐาเน นิสีทิตฺวา สยเมว สพฺพปเญฺห สมุฎฺฐเปตฺวา สยํ วินิจฺฉินโนฺต อิทํ สุตฺตํ อาทิโต ปฎฺฐาย มตฺถกํ ปาเปตฺวา, ‘‘โสภนา วต อยํ ธมฺมเทสนา, เชฎฺฐภาติเกน นํ ธมฺมเสนาปตินา สทฺธิํ สํสนฺทิสฺสามิ, ตโต อยํ ทฺวินฺนมฺปิ อมฺหากํ เอกมติยา เอกชฺฌาสเยน จ ฐปิตา อติครุกา ภวิสฺสติ ปาสาณจฺฉตฺตสทิสา, จตุโรฆนิตฺถรณตฺถิกานํ ติเตฺถ ฐปิตนาวา วิย, มคฺคคมนตฺถิกานํ สหสฺสยุตฺตอาชญฺญรโถ วิย พหุปการา ภวิสฺสตี’’ติ ทิฎฺฐสํสนฺทนตฺถํ ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ตาสุ อิธ ทิฎฺฐสํสนฺทนาปุจฺฉา อธิเปฺปตา’’ติฯ
Iti thero mahāpaññatāya pañhaṃ samuṭṭhāpetumpi nicchetumpīti ubhayampi sakkoti. So divāṭṭhāne nisīditvā sayameva sabbapañhe samuṭṭhapetvā sayaṃ vinicchinanto idaṃ suttaṃ ādito paṭṭhāya matthakaṃ pāpetvā, ‘‘sobhanā vata ayaṃ dhammadesanā, jeṭṭhabhātikena naṃ dhammasenāpatinā saddhiṃ saṃsandissāmi, tato ayaṃ dvinnampi amhākaṃ ekamatiyā ekajjhāsayena ca ṭhapitā atigarukā bhavissati pāsāṇacchattasadisā, caturoghanittharaṇatthikānaṃ titthe ṭhapitanāvā viya, maggagamanatthikānaṃ sahassayuttaājaññaratho viya bahupakārā bhavissatī’’ti diṭṭhasaṃsandanatthaṃ pañhaṃ pucchi. Tena vuttaṃ – ‘‘tāsu idha diṭṭhasaṃsandanāpucchā adhippetā’’ti.
นปฺปชานาตีติ เอตฺถ ยสฺมา นปฺปชานาติ, ตสฺมา ทุปฺปโญฺญติ วุจฺจตีติ อยมโตฺถฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ อิทํ ทุกฺขนฺติ นปฺปชานาตีติ อิทํ ทุกฺขํ, เอตฺตกํ ทุกฺขํ, อิโต อุทฺธํ นตฺถีติ ทุกฺขสจฺจํ ยาถาวสรสลกฺขณโต น ปชานาติฯ อยํ ทุกฺขสมุทโยติ อิโต ทุกฺขํ สมุเทตีติ ปวตฺติทุกฺขปภาวิกา ตณฺหา สมุทยสจฺจนฺติ ยาถาวสรสลกฺขณโต น ปชานาติฯ อยํ ทุกฺขนิโรโธติ อิทํ ทุกฺขํ อยํ ทุกฺขสมุทโย จ อิทํ นาม ฐานํ ปตฺวา นิรุชฺฌตีติ อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ นิพฺพานํ นิโรธสจฺจนฺติ ยาถาวสรสลกฺขณโต น ปชานาติฯ อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทาติ อยํ ปฎิปทา ทุกฺขนิโรธํ คจฺฉตีติ มคฺคสจฺจํ ยาถาวสรสลกฺขณโต น ปชานาตีติฯ อนนฺตรวาเรปิ อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ สเงฺขปโต ปเนตฺถ จตุสจฺจกมฺมฎฺฐานิโก ปุคฺคโล กถิโตติ เวทิตโพฺพฯ
Nappajānātīti ettha yasmā nappajānāti, tasmā duppaññoti vuccatīti ayamattho. Esa nayo sabbattha. Idaṃ dukkhanti nappajānātīti idaṃ dukkhaṃ, ettakaṃ dukkhaṃ, ito uddhaṃ natthīti dukkhasaccaṃ yāthāvasarasalakkhaṇato na pajānāti. Ayaṃ dukkhasamudayoti ito dukkhaṃ samudetīti pavattidukkhapabhāvikā taṇhā samudayasaccanti yāthāvasarasalakkhaṇato na pajānāti. Ayaṃ dukkhanirodhoti idaṃ dukkhaṃ ayaṃ dukkhasamudayo ca idaṃ nāma ṭhānaṃ patvā nirujjhatīti ubhinnaṃ appavatti nibbānaṃ nirodhasaccanti yāthāvasarasalakkhaṇato na pajānāti. Ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadāti ayaṃ paṭipadā dukkhanirodhaṃ gacchatīti maggasaccaṃ yāthāvasarasalakkhaṇato na pajānātīti. Anantaravārepi imināva nayena attho veditabbo. Saṅkhepato panettha catusaccakammaṭṭhāniko puggalo kathitoti veditabbo.
อยญฺหิ อาจริยสนฺติเก จตฺตาริ สจฺจานิ สวนโต อุคฺคณฺหาติฯ ฐเปตฺวา ตณฺหํ เตภูมกา ธมฺมา ทุกฺขสจฺจํ, ตณฺหา สมุทยสจฺจํ, อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ นิพฺพานํ นิโรธสจฺจํ, ทุกฺขสจฺจํ ปริชานโนฺต สมุทยสจฺจํ ปชหโนฺต นิโรธปาปโน มโคฺค มคฺคสจฺจนฺติ เอวํ อุคฺคเหตฺวา อภินิวิสติฯ ตตฺถ ปุริมานิ เทฺว สจฺจานิ วฎฺฎํ, ปจฺฉิมานิ วิวฎฺฎํ, วเฎฺฎ อภินิเวโส โหติ, โน วิวเฎฺฎ, ตสฺมา อยํ อภินิวิสมาโน ทุกฺขสเจฺจ อภินิวิสติฯ
Ayañhi ācariyasantike cattāri saccāni savanato uggaṇhāti. Ṭhapetvā taṇhaṃ tebhūmakā dhammā dukkhasaccaṃ, taṇhā samudayasaccaṃ, ubhinnaṃ appavatti nibbānaṃ nirodhasaccaṃ, dukkhasaccaṃ parijānanto samudayasaccaṃ pajahanto nirodhapāpano maggo maggasaccanti evaṃ uggahetvā abhinivisati. Tattha purimāni dve saccāni vaṭṭaṃ, pacchimāni vivaṭṭaṃ, vaṭṭe abhiniveso hoti, no vivaṭṭe, tasmā ayaṃ abhinivisamāno dukkhasacce abhinivisati.
ทุกฺขสจฺจํ นาม รูปาทโย ปญฺจกฺขนฺธาติ ววตฺถเปตฺวา ธาตุกมฺมฎฺฐานวเสน โอตริตฺวา, ‘‘จตฺตาริ มหาภูตานิ จตุนฺนญฺจ มหาภูตานํ อุปาทาย รูปํ รูป’’นฺติ ววตฺถเปติฯ ตทารมฺมณา เวทนา สญฺญา สงฺขารา วิญฺญาณํ นามนฺติ เอวํ ยมกตาลกฺขนฺธํ ภินฺทโนฺต วิย ‘‘เทฺวว อิเม ธมฺมา นามรูป’’นฺติ ววตฺถเปติฯ ตํ ปเนตํ น อเหตุกํ สเหตุกํ สปฺปจฺจยํ, โก จสฺส ปจฺจโย อวิชฺชาทโย ธมฺมาติ เอวํ ปจฺจเย เจว ปจฺจยุปฺปนฺนธเมฺม จ ววตฺถเปตฺวา ‘‘สเพฺพปิ ธมฺมา หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิจฺจา’’ติ อนิจฺจลกฺขณํ อาโรเปติ, ตโต อุทยวยปฺปฎิปีฬนากาเรน ทุกฺขา, อวสวตฺตนากาเรน อนตฺตาติ ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา วิปสฺสนาปฎิปาฎิยา สมฺมสโนฺต โลกุตฺตรมคฺคํ ปาปุณาติฯ
Dukkhasaccaṃ nāma rūpādayo pañcakkhandhāti vavatthapetvā dhātukammaṭṭhānavasena otaritvā, ‘‘cattāri mahābhūtāni catunnañca mahābhūtānaṃ upādāya rūpaṃ rūpa’’nti vavatthapeti. Tadārammaṇā vedanā saññā saṅkhārā viññāṇaṃ nāmanti evaṃ yamakatālakkhandhaṃ bhindanto viya ‘‘dveva ime dhammā nāmarūpa’’nti vavatthapeti. Taṃ panetaṃ na ahetukaṃ sahetukaṃ sappaccayaṃ, ko cassa paccayo avijjādayo dhammāti evaṃ paccaye ceva paccayuppannadhamme ca vavatthapetvā ‘‘sabbepi dhammā hutvā abhāvaṭṭhena aniccā’’ti aniccalakkhaṇaṃ āropeti, tato udayavayappaṭipīḷanākārena dukkhā, avasavattanākārena anattāti tilakkhaṇaṃ āropetvā vipassanāpaṭipāṭiyā sammasanto lokuttaramaggaṃ pāpuṇāti.
มคฺคกฺขเณ จตฺตาริ สจฺจานิ เอกปฎิเวเธน ปฎิวิชฺฌติ, เอกาภิสมเยน อภิสเมติฯ ทุกฺขํ ปริญฺญาปฎิเวเธน ปฎิวิชฺฌติฯ สมุทยํ ปหานปฎิเวเธน, นิโรธํ สจฺฉิกิริยาปฎิเวเธน, มคฺคํ ภาวนาปฎิเวเธน ปฎิวิชฺฌติฯ ทุกฺขํ ปริญฺญาภิสมเยน อภิสเมติ, สมุทยํ ปหานาภิสมเยน, นิโรธํ สจฺฉิกิริยาภิสมเยน, มคฺคํ ภาวนาภิสมเยน อภิสเมติฯ โส ตีณิ สจฺจานิ กิจฺจโต ปฎิวิชฺฌติ, นิโรธํ อารมฺมณโตฯ ตสฺมิญฺจสฺส ขเณ อหํ ทุกฺขํ ปริชานามิ, สมุทยํ ปชหามิ, นิโรธํ สจฺฉิกโรมิ, มคฺคํ ภาเวมีติ อาโภคสมนฺนาหารมนสิการปจฺจเวกฺขณา นตฺถิฯ เอตสฺส ปน ปริคฺคณฺหนฺตเสฺสว มโคฺค ตีสุ สเจฺจสุ ปริญฺญาทิกิจฺจํ สาเธโนฺตว นิโรธํ อารมฺมณโต ปฎิวิชฺฌตีติฯ
Maggakkhaṇe cattāri saccāni ekapaṭivedhena paṭivijjhati, ekābhisamayena abhisameti. Dukkhaṃ pariññāpaṭivedhena paṭivijjhati. Samudayaṃ pahānapaṭivedhena, nirodhaṃ sacchikiriyāpaṭivedhena, maggaṃ bhāvanāpaṭivedhena paṭivijjhati. Dukkhaṃ pariññābhisamayena abhisameti, samudayaṃ pahānābhisamayena, nirodhaṃ sacchikiriyābhisamayena, maggaṃ bhāvanābhisamayena abhisameti. So tīṇi saccāni kiccato paṭivijjhati, nirodhaṃ ārammaṇato. Tasmiñcassa khaṇe ahaṃ dukkhaṃ parijānāmi, samudayaṃ pajahāmi, nirodhaṃ sacchikaromi, maggaṃ bhāvemīti ābhogasamannāhāramanasikārapaccavekkhaṇā natthi. Etassa pana pariggaṇhantasseva maggo tīsu saccesu pariññādikiccaṃ sādhentova nirodhaṃ ārammaṇato paṭivijjhatīti.
ตสฺมา ปญฺญวาติ วุจฺจตีติ เอตฺถ เหฎฺฐิมโกฎิยา โสตาปโนฺน, อุปริมโกฎิยา ขีณาสโว ปญฺญวาติ นิทฺทิโฎฺฐฯ โย ปน เตปิฎกํ พุทฺธวจนํ ปาฬิโต จ อตฺถโต จ อนุสนฺธิโต จ ปุพฺพาปรโต จ อุคฺคเหตฺวา เหฎฺฐุปริยํ กโรโนฺต วิจรติ, อนิจฺจทุกฺขานตฺตวเสน ปริคฺคหมตฺตมฺปิ นตฺถิ, อยํ ปญฺญวา นาม, ทุปฺปโญฺญ นามาติ? วิญฺญาณจริโต นาเมส, ปญฺญวาติ น วตฺตโพฺพฯ อถ โย ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา วิปสฺสนาปฎิปาฎิยา สมฺมสโนฺต อชฺช อเชฺชว อรหตฺตนฺติ จรติ, อยํ ปญฺญวา นาม, ทุปฺปโญฺญ นามาติ? ภชาปิยมาโน ปญฺญวาปกฺขํ ภชติฯ สุเตฺต ปน ปฎิเวโธว กถิโตฯ
Tasmā paññavāti vuccatīti ettha heṭṭhimakoṭiyā sotāpanno, uparimakoṭiyā khīṇāsavo paññavāti niddiṭṭho. Yo pana tepiṭakaṃ buddhavacanaṃ pāḷito ca atthato ca anusandhito ca pubbāparato ca uggahetvā heṭṭhupariyaṃ karonto vicarati, aniccadukkhānattavasena pariggahamattampi natthi, ayaṃ paññavā nāma, duppañño nāmāti? Viññāṇacarito nāmesa, paññavāti na vattabbo. Atha yo tilakkhaṇaṃ āropetvā vipassanāpaṭipāṭiyā sammasanto ajja ajjeva arahattanti carati, ayaṃ paññavā nāma, duppañño nāmāti? Bhajāpiyamāno paññavāpakkhaṃ bhajati. Sutte pana paṭivedhova kathito.
วิญฺญาณํ วิญฺญาณนฺติ อิธ กิํ ปุจฺฉติ? เยน วิญฺญาเณน สงฺขาเร สมฺมสิตฺวา เอส ปญฺญวา นาม ชาโต, ตสฺส อาคมนวิปสฺสนา วิญฺญาณํ กมฺมการกจิตฺตํ ปุจฺฉามีติ ปุจฺฉติฯ สุขนฺติปิ วิชานาตีติ สุขเวทนมฺปิ วิชานาติฯ อุปริปททฺวเยปิ เอเสว นโยฯ อิมินา เถโร ‘‘สุขํ เวทนํ เวทยมาโน สุขํ เวทนํ เวทยามีติ ปชานาตี’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๑๑๓; ที. นิ. ๒.๓๘๐) นเยน อาคตเวทนาวเสน อรูปกมฺมฎฺฐานํ กเถสิฯ ตสฺสโตฺถ สติปฎฺฐาเน วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ
Viññāṇaṃ viññāṇanti idha kiṃ pucchati? Yena viññāṇena saṅkhāre sammasitvā esa paññavā nāma jāto, tassa āgamanavipassanā viññāṇaṃ kammakārakacittaṃ pucchāmīti pucchati. Sukhantipi vijānātīti sukhavedanampi vijānāti. Uparipadadvayepi eseva nayo. Iminā thero ‘‘sukhaṃ vedanaṃ vedayamāno sukhaṃ vedanaṃ vedayāmīti pajānātī’’tiādinā (ma. ni. 1.113; dī. ni. 2.380) nayena āgatavedanāvasena arūpakammaṭṭhānaṃ kathesi. Tassattho satipaṭṭhāne vuttanayeneva veditabbo.
สํสฎฺฐาติ เอกุปฺปาทาทิลกฺขเณน สํโยคเฎฺฐน สํสฎฺฐา, อุทาหุ วิสํสฎฺฐาติ ปุจฺฉติฯ เอตฺถ จ เถโร มคฺคปญฺญญฺจ วิปสฺสนาวิญฺญาณญฺจาติ อิเม เทฺว โลกิยโลกุตฺตรธเมฺม มิเสฺสตฺวา ภูมนฺตรํ ภินฺทิตฺวา สมยํ อชานโนฺต วิย ปุจฺฉตีติ น เวทิตโพฺพฯ มคฺคปญฺญาย ปน มคฺควิญฺญาเณน, วิปสฺสนาปญฺญาย จ วิปสฺสนาวิญฺญาเณเนว สทฺธิํ สํสฎฺฐภาวํ ปุจฺฉตีติ เวทิตโพฺพฯ เถโรปิสฺส ตเมวตฺถํ วิสฺสเชฺชโนฺต อิเม ธมฺมา สํสฎฺฐาติอาทิมาหฯ ตตฺถ น จ ลพฺภา อิเมสํ ธมฺมานนฺติ อิเมสํ โลกิยมคฺคกฺขเณปิ โลกุตฺตรมคฺคกฺขเณปิ เอกโต อุปฺปนฺนานํ ทฺวินฺนํ ธมฺมานํฯ วินิพฺภุชิตฺวา วินิพฺภุชิตฺวาติ วิสุํ วิสุํ กตฺวา วินิวเฎฺฎตฺวา, อารมฺมณโต วา วตฺถุโต วา อุปฺปาทโต วา นิโรธโต วา นานากรณํ ทเสฺสตุํ น สกฺกาติ อโตฺถฯ เตสํ เตสํ ปน ธมฺมานํ วิสโย นาม อตฺถิฯ โลกิยธมฺมํ ปตฺวา หิ จิตฺตํ เชฎฺฐกํ โหติ ปุพฺพงฺคมํ, โลกุตฺตรํ ปตฺวา ปญฺญาฯ
Saṃsaṭṭhāti ekuppādādilakkhaṇena saṃyogaṭṭhena saṃsaṭṭhā, udāhu visaṃsaṭṭhāti pucchati. Ettha ca thero maggapaññañca vipassanāviññāṇañcāti ime dve lokiyalokuttaradhamme missetvā bhūmantaraṃ bhinditvā samayaṃ ajānanto viya pucchatīti na veditabbo. Maggapaññāya pana maggaviññāṇena, vipassanāpaññāya ca vipassanāviññāṇeneva saddhiṃ saṃsaṭṭhabhāvaṃ pucchatīti veditabbo. Theropissa tamevatthaṃ vissajjento ime dhammā saṃsaṭṭhātiādimāha. Tattha na ca labbhā imesaṃ dhammānanti imesaṃ lokiyamaggakkhaṇepi lokuttaramaggakkhaṇepi ekato uppannānaṃ dvinnaṃ dhammānaṃ. Vinibbhujitvā vinibbhujitvāti visuṃ visuṃ katvā vinivaṭṭetvā, ārammaṇato vā vatthuto vā uppādato vā nirodhato vā nānākaraṇaṃ dassetuṃ na sakkāti attho. Tesaṃ tesaṃ pana dhammānaṃ visayo nāma atthi. Lokiyadhammaṃ patvā hi cittaṃ jeṭṭhakaṃ hoti pubbaṅgamaṃ, lokuttaraṃ patvā paññā.
สมฺมาสมฺพุโทฺธปิ หิ โลกิยธมฺมํ ปุจฺฉโนฺต, ‘‘ภิกฺขุ, ตฺวํ กตมํ ปญฺญํ อธิคโต, กิํ ปฐมมคฺคปญฺญํ, อุทาหุ ทุติย ตติย จตุตฺถ มคฺคปญฺญ’’นฺติ น เอวํ ปุจฺฉติฯ กิํ ผโสฺส ตฺวํ, ภิกฺขุ, กิํ เวทโน, กิํ สโญฺญ, กิํ เจตโนติ น จ ปุจฺฉติ, จิตฺตวเสน ปน, ‘‘กิญฺจิโตฺต ตฺวํ, ภิกฺขู’’ติ (ปารา. ๑๓๕) ปุจฺฉติฯ กุสลากุสลํ ปญฺญเปโนฺตปิ ‘‘มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา, มโนเสฎฺฐา มโนมยา’’ติ (ธ. ป. ๑, ๒) จ, ‘‘กตเม ธมฺมา กุสลา? ยสฺมิํ สมเย กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหตี’’ติ (ธ. ส. ๑) จ เอวํ จิตฺตวเสเนว ปญฺญาเปติฯ โลกุตฺตรํ ปุจฺฉโนฺต ปน กิํ ผโสฺส ตฺวํ ภิกฺขุ, กิํ เวทโน, กิํ สโญฺญ, กิํ เจตโนติ น ปุจฺฉติฯ กตมา เต, ภิกฺขุ, ปญฺญา อธิคตา, กิํ ปฐมมคฺคปญฺญา, อุทาหุ ทุติยตติยจตุตฺถมคฺคปญฺญาติ เอวํ ปญฺญาวเสเนว ปุจฺฉติฯ
Sammāsambuddhopi hi lokiyadhammaṃ pucchanto, ‘‘bhikkhu, tvaṃ katamaṃ paññaṃ adhigato, kiṃ paṭhamamaggapaññaṃ, udāhu dutiya tatiya catuttha maggapañña’’nti na evaṃ pucchati. Kiṃ phasso tvaṃ, bhikkhu, kiṃ vedano, kiṃ sañño, kiṃ cetanoti na ca pucchati, cittavasena pana, ‘‘kiñcitto tvaṃ, bhikkhū’’ti (pārā. 135) pucchati. Kusalākusalaṃ paññapentopi ‘‘manopubbaṅgamā dhammā, manoseṭṭhā manomayā’’ti (dha. pa. 1, 2) ca, ‘‘katame dhammā kusalā? Yasmiṃ samaye kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hotī’’ti (dha. sa. 1) ca evaṃ cittavaseneva paññāpeti. Lokuttaraṃ pucchanto pana kiṃ phasso tvaṃ bhikkhu, kiṃ vedano, kiṃ sañño, kiṃ cetanoti na pucchati. Katamā te, bhikkhu, paññā adhigatā, kiṃ paṭhamamaggapaññā, udāhu dutiyatatiyacatutthamaggapaññāti evaṃ paññāvaseneva pucchati.
อินฺทฺริยสํยุเตฺตปิ ‘‘ปญฺจิมานิ, ภิกฺขเว, อินฺทฺริยานิฯ กตมานิ ปญฺจ? สทฺธินฺทฺริยํ วีริยินฺทฺริยํ สตินฺทฺริยํ สมาธินฺทฺริยํ ปญฺญินฺทฺริยํฯ กตฺถ จ, ภิกฺขเว, สทฺธินฺทฺริยํ ทฎฺฐพฺพํ? จตูสุ โสตาปตฺติยเงฺคสุ เอตฺถ สทฺธินฺทฺริยํ ทฎฺฐพฺพํฯ กตฺถ จ, ภิกฺขเว, วีริยินฺทฺริยํ ทฎฺฐพฺพํ? จตูสุ สมฺมปฺปธาเนสุ เอตฺถ วีริยินฺทฺริยํ ทฎฺฐพฺพํฯ กตฺถ จ, ภิกฺขเว, สตินฺทฺริยํ ทฎฺฐพฺพํ? จตูสุ สติปฎฺฐาเนสุ เอตฺถ สตินฺทฺริยํ ทฎฺฐพฺพํฯ กตฺถ จ, ภิกฺขเว, สมาธินฺทฺริยํ ทฎฺฐพฺพํ? จตูสุ ฌาเนสุ เอตฺถ สมาธินฺทฺริยํ ทฎฺฐพฺพํฯ กตฺถ จ, ภิกฺขเว, ปญฺญินฺทฺริยํ ทฎฺฐพฺพํ? จตูสุ อริยสเจฺจสุ เอตฺถ ปญฺญินฺทฺริยํ ทฎฺฐพฺพ’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๔๗๘)ฯ เอวํ สวิสยสฺมิํเยว โลกิยโลกุตฺตรา ธมฺมา กถิตาฯ
Indriyasaṃyuttepi ‘‘pañcimāni, bhikkhave, indriyāni. Katamāni pañca? Saddhindriyaṃ vīriyindriyaṃ satindriyaṃ samādhindriyaṃ paññindriyaṃ. Kattha ca, bhikkhave, saddhindriyaṃ daṭṭhabbaṃ? Catūsu sotāpattiyaṅgesu ettha saddhindriyaṃ daṭṭhabbaṃ. Kattha ca, bhikkhave, vīriyindriyaṃ daṭṭhabbaṃ? Catūsu sammappadhānesu ettha vīriyindriyaṃ daṭṭhabbaṃ. Kattha ca, bhikkhave, satindriyaṃ daṭṭhabbaṃ? Catūsu satipaṭṭhānesu ettha satindriyaṃ daṭṭhabbaṃ. Kattha ca, bhikkhave, samādhindriyaṃ daṭṭhabbaṃ? Catūsu jhānesu ettha samādhindriyaṃ daṭṭhabbaṃ. Kattha ca, bhikkhave, paññindriyaṃ daṭṭhabbaṃ? Catūsu ariyasaccesu ettha paññindriyaṃ daṭṭhabba’’nti (saṃ. ni. 5.478). Evaṃ savisayasmiṃyeva lokiyalokuttarā dhammā kathitā.
ยถา หิ จตฺตาโร เสฎฺฐิปุตฺตา ราชาติ ราชปญฺจเมสุ สหาเยสุ นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามาติ วีถิํ โอติเณฺณสุ เอกสฺส เสฎฺฐิปุตฺตสฺส เคหํ คตกาเล อิตเร จตฺตาโร ตุณฺหี นิสีทนฺติ, เคหสามิโกว, ‘‘อิเมสํ ขาทนียํ โภชนียํ เทถ, คนฺธมาลาลงฺการาทีนิ เทถา’’ติ เคเห วิจาเรติฯ ทุติยสฺส ตติยสฺส จตุตฺถสฺส เคหํ คตกาเล อิตเร จตฺตาโร ตุณฺหี นิสีทนฺติ, เคหสามิโกว, ‘‘อิเมสํ ขาทนียํ โภชนียํ เทถ, คนฺธมาลาลงฺการาทีนิ เทถา’’ติ เคเห วิจาเรติฯ อถ สพฺพปจฺฉา รโญฺญ เคหํ คตกาเล กิญฺจาปิ ราชา สพฺพตฺถ อิสฺสโรว, อิมสฺมิํ ปน กาเล อตฺตโน เคเหเยว, ‘‘อิเมสํ ขาทนียํ โภชนียํ เทถ, คนฺธมาลาลงฺการาทีนิ เทถา’’ติ วิจาเรติฯ เอวเมวํ โข สทฺธาปญฺจมเกสุ อินฺทฺริเยสุ เตสุ สหาเยสุ เอกโต วีถิํ โอตรเนฺตสุ วิย เอการมฺมเณ อุปฺปชฺชมาเนสุปิ ยถา ปฐมสฺส เคเห อิตเร จตฺตาโร ตุณฺหี นิสีทนฺติ, เคหสามิโกว วิจาเรติ, เอวํ โสตาปตฺติยงฺคานิ ปตฺวา อธิโมกฺขลกฺขณํ สทฺธินฺทฺริยเมว เชฎฺฐกํ โหติ ปุพฺพงฺคมํ, เสสานิ ตทนฺวยานิ โหนฺติฯ ยถา ทุติยสฺส เคเห อิตเร จตฺตาโร ตุณฺหี นิสีทนฺติ, เคหสามิโกว วิจาเรติ, เอวํ สมฺมปฺปธานานิ ปตฺวา ปคฺคหณลกฺขณํ วีริยินฺทฺริยเมว เชฎฺฐกํ โหติ ปุพฺพงฺคมํ, เสสานิ ตทนฺวยานิ โหนฺติฯ ยถา ตติยสฺส เคเห อิตเร จตฺตาโร ตุณฺหี นิสีทนฺติ, เคหสามิโกว วิจาเรติ, เอวํ สติปฎฺฐานานิ ปตฺวา อุปฎฺฐานลกฺขณํ สตินฺทฺริยเมว เชฎฺฐกํ โหติ ปุพฺพงฺคมํ, เสสานิ ตทนฺวยานิ โหนฺติฯ ยถา จตุตฺถสฺส เคเห อิตเร จตฺตาโร ตุณฺหี นิสีทนฺติ, เคหสามิโกว วิจาเรติ, เอวํ ฌานวิโมเกฺข ปตฺวา อวิเกฺขปลกฺขณํ สมาธินฺทฺริยเมว เชฎฺฐกํ โหติ ปุพฺพงฺคมํ, เสสานิ ตทนฺวยานิ โหนฺติฯ สพฺพปจฺฉา รโญฺญ เคหํ คตกาเล ปน ยถา อิตเร จตฺตาโร ตุณฺหี นิสีทนฺติ, ราชาว เคเห วิจาเรติ, เอวเมว อริยสจฺจานิ ปตฺวา ปชานนลกฺขณํ ปญฺญินฺทฺริยเมว เชฎฺฐกํ โหติ ปุพฺพงฺคมํ, เสสานิ ตทนฺวยานิ โหนฺติฯ
Yathā hi cattāro seṭṭhiputtā rājāti rājapañcamesu sahāyesu nakkhattaṃ kīḷissāmāti vīthiṃ otiṇṇesu ekassa seṭṭhiputtassa gehaṃ gatakāle itare cattāro tuṇhī nisīdanti, gehasāmikova, ‘‘imesaṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ detha, gandhamālālaṅkārādīni dethā’’ti gehe vicāreti. Dutiyassa tatiyassa catutthassa gehaṃ gatakāle itare cattāro tuṇhī nisīdanti, gehasāmikova, ‘‘imesaṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ detha, gandhamālālaṅkārādīni dethā’’ti gehe vicāreti. Atha sabbapacchā rañño gehaṃ gatakāle kiñcāpi rājā sabbattha issarova, imasmiṃ pana kāle attano geheyeva, ‘‘imesaṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ detha, gandhamālālaṅkārādīni dethā’’ti vicāreti. Evamevaṃ kho saddhāpañcamakesu indriyesu tesu sahāyesu ekato vīthiṃ otarantesu viya ekārammaṇe uppajjamānesupi yathā paṭhamassa gehe itare cattāro tuṇhī nisīdanti, gehasāmikova vicāreti, evaṃ sotāpattiyaṅgāni patvā adhimokkhalakkhaṇaṃ saddhindriyameva jeṭṭhakaṃ hoti pubbaṅgamaṃ, sesāni tadanvayāni honti. Yathā dutiyassa gehe itare cattāro tuṇhī nisīdanti, gehasāmikova vicāreti, evaṃ sammappadhānāni patvā paggahaṇalakkhaṇaṃ vīriyindriyameva jeṭṭhakaṃ hoti pubbaṅgamaṃ, sesāni tadanvayāni honti. Yathā tatiyassa gehe itare cattāro tuṇhī nisīdanti, gehasāmikova vicāreti, evaṃ satipaṭṭhānāni patvā upaṭṭhānalakkhaṇaṃ satindriyameva jeṭṭhakaṃ hoti pubbaṅgamaṃ, sesāni tadanvayāni honti. Yathā catutthassa gehe itare cattāro tuṇhī nisīdanti, gehasāmikova vicāreti, evaṃ jhānavimokkhe patvā avikkhepalakkhaṇaṃ samādhindriyameva jeṭṭhakaṃ hoti pubbaṅgamaṃ, sesāni tadanvayāni honti. Sabbapacchā rañño gehaṃ gatakāle pana yathā itare cattāro tuṇhī nisīdanti, rājāva gehe vicāreti, evameva ariyasaccāni patvā pajānanalakkhaṇaṃ paññindriyameva jeṭṭhakaṃ hoti pubbaṅgamaṃ, sesāni tadanvayāni honti.
อิติ ปฎิสมฺภิทาปตฺตานํ อเคฺค ฐปิโต มหาโกฎฺฐิตเตฺถโร โลกิยธมฺมํ ปุจฺฉโนฺต จิตฺตํ เชฎฺฐกํ จิตฺตํ ปุพฺพงฺคมํ กตฺวา ปุจฺฉิ; โลกุตฺตรธมฺมํ ปุจฺฉโนฺต ปญฺญํ เชฎฺฐกํ ปญฺญํ ปุพฺพงฺคมํ กตฺวา ปุจฺฉิฯ ธมฺมเสนาปติสาริปุตฺตเตฺถโรปิ ตเถว วิสฺสเชฺชสีติฯ
Iti paṭisambhidāpattānaṃ agge ṭhapito mahākoṭṭhitatthero lokiyadhammaṃ pucchanto cittaṃ jeṭṭhakaṃ cittaṃ pubbaṅgamaṃ katvā pucchi; lokuttaradhammaṃ pucchanto paññaṃ jeṭṭhakaṃ paññaṃ pubbaṅgamaṃ katvā pucchi. Dhammasenāpatisāriputtattheropi tatheva vissajjesīti.
ยํ หาวุโส, ปชานาตีติ ยํ จตุสจฺจธมฺมมิทํ ทุกฺขนฺติอาทินา นเยน มคฺคปญฺญา ปชานาติฯ ตํ วิชานาตีติ มคฺควิญฺญาณมฺปิ ตเถว ตํ วิชานาติฯ ยํ วิชานาตีติ ยํ สงฺขารคตํ อนิจฺจนฺติอาทินา นเยน วิปสฺสนาวิญฺญาณํ วิชานาติฯ ตํ ปชานาตีติ วิปสฺสนาปญฺญาปิ ตเถว ตํ ปชานาติฯ ตสฺมา อิเม ธมฺมาติ เตน การเณน อิเม ธมฺมาฯ สํสฎฺฐาติ เอกุปฺปาทเอกนิโรธเอกวตฺถุกเอการมฺมณตาย สํสฎฺฐาฯ
Yaṃ hāvuso, pajānātīti yaṃ catusaccadhammamidaṃ dukkhantiādinā nayena maggapaññā pajānāti. Taṃ vijānātīti maggaviññāṇampi tatheva taṃ vijānāti. Yaṃ vijānātīti yaṃ saṅkhāragataṃ aniccantiādinā nayena vipassanāviññāṇaṃ vijānāti. Taṃ pajānātīti vipassanāpaññāpi tatheva taṃ pajānāti. Tasmā ime dhammāti tena kāraṇena ime dhammā. Saṃsaṭṭhāti ekuppādaekanirodhaekavatthukaekārammaṇatāya saṃsaṭṭhā.
ปญฺญา ภาเวตพฺพาติ อิทํ มคฺคปญฺญํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตํสมฺปยุตฺตํ ปน วิญฺญาณํ ตาย สทฺธิํ ภาเวตพฺพเมว โหติฯ วิญฺญาณํ ปริเญฺญยฺยนฺติ อิทํ วิปสฺสนาวิญฺญาณํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตํสมฺปยุตฺตา ปน ปญฺญา เตน สทฺธิํ ปริชานิตพฺพาว โหติฯ
Paññā bhāvetabbāti idaṃ maggapaññaṃ sandhāya vuttaṃ. Taṃsampayuttaṃ pana viññāṇaṃ tāya saddhiṃ bhāvetabbameva hoti. Viññāṇaṃ pariññeyyanti idaṃ vipassanāviññāṇaṃ sandhāya vuttaṃ. Taṃsampayuttā pana paññā tena saddhiṃ parijānitabbāva hoti.
๔๕๐. เวทนา เวทนาติ อิทํ กสฺมา ปุจฺฉติ? เวทนาลกฺขณํ ปุจฺฉิสฺสามีติ ปุจฺฉติฯ เอวํ สเนฺตปิ เตภูมิกสมฺมสนจารเวทนาว อธิเปฺปตาติ สลฺลเกฺขตพฺพาฯ สุขมฺปิ เวเทตีติ สุขํ อารมฺมณํ เวเทติ อนุภวติฯ ปรโต ปททฺวเยปิ เอเสว นโยฯ ‘‘รูปญฺจ หิทํ, มหาลิ, เอกนฺตทุกฺขํ อภวิสฺส, ทุกฺขานุปติตํ ทุกฺขาวกฺกนฺตํ อนวกฺกนฺตํ สุเขน, นยิทํ สตฺตา รูปสฺมิํ สารเชฺชยฺยุํฯ ยสฺมา จ โข, มหาลิ, รูปํ สุขํ สุขานุปติตํ สุขาวกฺกนฺตํ อนวกฺกนฺตํ ทุเกฺขน, ตสฺมา สตฺตา รูปสฺมิํ สารชฺชนฺติ, สาราคา สํยุชฺชนฺติ, สํโยคา สํกิลิสฺสนฺติฯ เวทนา จ หิทํ… สญฺญา… สงฺขารา… วิญฺญาณญฺจ หิทํ, มหาลิ, เอกนฺตทุกฺขํ อภวิสฺส…เป.… สํกิลิสฺสนฺตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๗๐) อิมินา หิ มหาลิสุตฺตปริยาเยน อิธ อารมฺมณํ สุขํ ทุกฺขํ อทุกฺขมสุขนฺติ กถิตํฯ อปิจ ปุริมํ สุขํ เวทนํ อารมฺมณํ กตฺวา อปรา สุขา เวทนา เวเทติ; ปุริมํ ทุกฺขํ เวทนํ อารมฺมณํ กตฺวา อปรา ทุกฺขา เวทนา เวเทติ; ปุริมํ อทุกฺขมสุขํ เวทนํ อารมฺมณํ กตฺวา อปรา อทุกฺขมสุขา เวทนา เวเทตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เวทนาเยว หิ เวเทติ, น อโญฺญ โกจิ เวทิตา นาม อตฺถีติ วุตฺตเมตํฯ
450.Vedanā vedanāti idaṃ kasmā pucchati? Vedanālakkhaṇaṃ pucchissāmīti pucchati. Evaṃ santepi tebhūmikasammasanacāravedanāva adhippetāti sallakkhetabbā. Sukhampi vedetīti sukhaṃ ārammaṇaṃ vedeti anubhavati. Parato padadvayepi eseva nayo. ‘‘Rūpañca hidaṃ, mahāli, ekantadukkhaṃ abhavissa, dukkhānupatitaṃ dukkhāvakkantaṃ anavakkantaṃ sukhena, nayidaṃ sattā rūpasmiṃ sārajjeyyuṃ. Yasmā ca kho, mahāli, rūpaṃ sukhaṃ sukhānupatitaṃ sukhāvakkantaṃ anavakkantaṃ dukkhena, tasmā sattā rūpasmiṃ sārajjanti, sārāgā saṃyujjanti, saṃyogā saṃkilissanti. Vedanā ca hidaṃ… saññā… saṅkhārā… viññāṇañca hidaṃ, mahāli, ekantadukkhaṃ abhavissa…pe… saṃkilissantī’’ti (saṃ. ni. 3.70) iminā hi mahālisuttapariyāyena idha ārammaṇaṃ sukhaṃ dukkhaṃ adukkhamasukhanti kathitaṃ. Apica purimaṃ sukhaṃ vedanaṃ ārammaṇaṃ katvā aparā sukhā vedanā vedeti; purimaṃ dukkhaṃ vedanaṃ ārammaṇaṃ katvā aparā dukkhā vedanā vedeti; purimaṃ adukkhamasukhaṃ vedanaṃ ārammaṇaṃ katvā aparā adukkhamasukhā vedanā vedetīti evamettha attho daṭṭhabbo. Vedanāyeva hi vedeti, na añño koci veditā nāma atthīti vuttametaṃ.
สญฺญา สญฺญาติ อิธ กิํ ปุจฺฉติ? สพฺพสญฺญาย ลกฺขณํฯ กิํ สพฺพตฺถกสญฺญายาติ? สพฺพสญฺญาย ลกฺขณนฺติปิ สพฺพตฺถกสญฺญาย ลกฺขณนฺติปิ เอกเมเวตํ, เอวํ สเนฺตปิ เตภูมิกสมฺมสนจารสญฺญาว อธิเปฺปตาติ สลฺลเกฺขตพฺพาฯ นีลกมฺปิ สญฺชานาตีติ นีลปุเปฺผ วา วเตฺถ วา ปริกมฺมํ กตฺวา อุปจารํ วา อปฺปนํ วา ปาเปโนฺต สญฺชานาติฯ อิมสฺมิญฺหิ อเตฺถ ปริกมฺมสญฺญาปิ อุปจารสญฺญาปิ อปฺปนาสญฺญาปิ วฎฺฎติฯ นีเล นีลนฺติ อุปฺปชฺชนกสญฺญาปิ วฎฺฎติเยวฯ ปีตกาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
Saññāsaññāti idha kiṃ pucchati? Sabbasaññāya lakkhaṇaṃ. Kiṃ sabbatthakasaññāyāti? Sabbasaññāya lakkhaṇantipi sabbatthakasaññāya lakkhaṇantipi ekamevetaṃ, evaṃ santepi tebhūmikasammasanacārasaññāva adhippetāti sallakkhetabbā. Nīlakampi sañjānātīti nīlapupphe vā vatthe vā parikammaṃ katvā upacāraṃ vā appanaṃ vā pāpento sañjānāti. Imasmiñhi atthe parikammasaññāpi upacārasaññāpi appanāsaññāpi vaṭṭati. Nīle nīlanti uppajjanakasaññāpi vaṭṭatiyeva. Pītakādīsupi eseva nayo.
ยา จาวุโส, เวทนาติ เอตฺถ เวทนา, สญฺญา, วิญฺญาณนฺติ อิมานิ ตีณิ คเหตฺวา ปญฺญา กสฺมา น คหิตาติ? อสพฺพสงฺคาหิกตฺตาฯ ปญฺญาย หิ คหิตาย ปญฺญาย สมฺปยุตฺตาว เวทนาทโย ลพฺภนฺติ, โน วิปฺปยุตฺตาฯ ตํ ปน อคฺคเหตฺวา อิเมสุ คหิเตสุ ปญฺญาย สมฺปยุตฺตา จ วิปฺปยุตฺตา จ อนฺตมโส เทฺว ปญฺจวิญฺญาณธมฺมาปิ ลพฺภนฺติฯ ยถา หิ ตโย ปุริสา สุตฺตํ สุตฺตนฺติ วเทยฺยุํ, จตุโตฺถ รตนาวุตสุตฺตนฺติฯ เตสุ ปุริมา ตโย ตกฺกคตมฺปิ ปฎฺฎิวฎฺฎกาทิคตมฺปิ ยํกิญฺจิ พหุํ สุตฺตํ ลภนฺติ อนฺตมโส มกฺกฎกสุตฺตมฺปิฯ รตนาวุตสุตฺตํ ปริเยสโนฺต มนฺทํ ลภติ, เอวํสมฺปทมิทํ เวทิตพฺพํฯ เหฎฺฐโต วา ปญฺญา วิญฺญาเณน สทฺธิํ สมฺปโยคํ ลภาปิตา วิสฺสฎฺฐตฺตาว อิธ น คหิตาติ วทนฺติฯ ยํ หาวุโส, เวเทตีติ ยํ อารมฺมณํ เวทนา เวเทติ, สญฺญาปิ ตเทว สญฺชานาติฯ ยํ สญฺชานาตีติ ยํ อารมฺมณํ สญฺญา สญฺชานาติ, วิญฺญาณมฺปิ ตเทว วิชานาตีติ อโตฺถฯ
Yā cāvuso, vedanāti ettha vedanā, saññā, viññāṇanti imāni tīṇi gahetvā paññā kasmā na gahitāti? Asabbasaṅgāhikattā. Paññāya hi gahitāya paññāya sampayuttāva vedanādayo labbhanti, no vippayuttā. Taṃ pana aggahetvā imesu gahitesu paññāya sampayuttā ca vippayuttā ca antamaso dve pañcaviññāṇadhammāpi labbhanti. Yathā hi tayo purisā suttaṃ suttanti vadeyyuṃ, catuttho ratanāvutasuttanti. Tesu purimā tayo takkagatampi paṭṭivaṭṭakādigatampi yaṃkiñci bahuṃ suttaṃ labhanti antamaso makkaṭakasuttampi. Ratanāvutasuttaṃ pariyesanto mandaṃ labhati, evaṃsampadamidaṃ veditabbaṃ. Heṭṭhato vā paññā viññāṇena saddhiṃ sampayogaṃ labhāpitā vissaṭṭhattāva idha na gahitāti vadanti. Yaṃ hāvuso, vedetīti yaṃ ārammaṇaṃ vedanā vedeti, saññāpi tadeva sañjānāti. Yaṃ sañjānātīti yaṃ ārammaṇaṃ saññā sañjānāti, viññāṇampi tadeva vijānātīti attho.
อิทานิ สญฺชานาติ วิชานาติ ปชานาตีติ เอตฺถ วิเสโส เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ อุปสคฺคมตฺตเมว วิเสโสฯ ชานาตีติ ปทํ ปน อวิเสโสฯ ตสฺสาปิ ชานนเตฺถ วิเสโส เวทิตโพฺพฯ สญฺญา หิ นีลาทิวเสน อารมฺมณํ สญฺชานนมตฺตเมว, อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาติ ลกฺขณปฎิเวธํ ปาเปตุํ น สโกฺกติฯ วิญฺญาณํ นีลาทิวเสน อารมฺมณเญฺจว สญฺชานาติ, อนิจฺจาทิลกฺขณปฎิเวธญฺจ ปาเปติ, อุสฺสกฺกิตฺวา ปน มคฺคปาตุภาวํ ปาเปตุํ น สโกฺกติฯ ปญฺญา นีลาทิวเสน อารมฺมณมฺปิ สญฺชานาติ, อนิจฺจาทิวเสน ลกฺขณปฎิเวธมฺปิ ปาเปติ, อุสฺสกฺกิตฺวา มคฺคปาตุภาวํ ปาเปตุมฺปิ สโกฺกติฯ
Idāni sañjānāti vijānāti pajānātīti ettha viseso veditabbo. Tattha upasaggamattameva viseso. Jānātīti padaṃ pana aviseso. Tassāpi jānanatthe viseso veditabbo. Saññā hi nīlādivasena ārammaṇaṃ sañjānanamattameva, aniccaṃ dukkhaṃ anattāti lakkhaṇapaṭivedhaṃ pāpetuṃ na sakkoti. Viññāṇaṃ nīlādivasena ārammaṇañceva sañjānāti, aniccādilakkhaṇapaṭivedhañca pāpeti, ussakkitvā pana maggapātubhāvaṃ pāpetuṃ na sakkoti. Paññā nīlādivasena ārammaṇampi sañjānāti, aniccādivasena lakkhaṇapaṭivedhampi pāpeti, ussakkitvā maggapātubhāvaṃ pāpetumpi sakkoti.
ยถา หิ เหรญฺญิกผลเก กหาปณราสิมฺหิ กเต อชาตพุทฺธิ ทารโก คามิกปุริโส มหาเหรญฺญิโกติ ตีสุ ชเนสุ โอโลเกตฺวา ฐิเตสุ อชาตพุทฺธิ ทารโก กหาปณานํ จิตฺตวิจิตฺตจตุรสฺสมณฺฑลภาวเมว ชานาติ, อิทํ มนุสฺสานํ อุปโภคปริโภคํ รตนสมฺมตนฺติ น ชานาติฯ คามิกปุริโส จิตฺตาทิภาวเญฺจว ชานาติ, มนุสฺสานํ อุปโภคปริโภครตนสมฺมตภาวญฺจฯ ‘‘อยํ กูโฎ อยํ เฉโก อยํ กรโต อยํ สโณฺห’’ติ ปน น ชานาติฯ มหาเหรญฺญิโก จิตฺตาทิภาวมฺปิ รตนสมฺมตภาวมฺปิ กูฎาทิภาวมฺปิ ชานาติ, ชานโนฺต จ ปน นํ รูปํ ทิสฺวาปิ ชานาติ, อาโกฎิตสฺส สทฺทํ สุตฺวาปิ, คนฺธํ ฆายิตฺวาปิ, รสํ สายิตฺวาปิ, หเตฺถน ครุกลหุกภาวํ อุปธาเรตฺวาปิ อสุกคาเม กโตติปิ ชานาติ, อสุกนิคเม อสุกนคเร อสุกปพฺพตจฺฉายาย อสุกนทีตีเร กโตติปิ, อสุกาจริเยน กโตติปิ ชานาติฯ เอวเมวํ สญฺญา อชาตพุทฺธิทารกสฺส กหาปณทสฺสนํ วิย นีลาทิวเสน อารมฺมณมตฺตเมว สญฺชานาติฯ วิญฺญาณํ คามิกปุริสสฺส กหาปณทสฺสนํ วิย นีลาทิวเสน อารมฺมณมฺปิ สญฺชานาติ, อนิจฺจาทิวเสน ลกฺขณปฎิเวธมฺปิ ปาเปติฯ ปญฺญา มหาเหรญฺญิกสฺส กหาปณทสฺสนํ วิย นีลาทิวเสน อารมฺมณมฺปิ สญฺชานาติ, อนิจฺจาทิวเสน ลกฺขณปฎิเวธมฺปิ ปาเปติ, อุสฺสกฺกิตฺวา มคฺคปาตุภาวมฺปิ ปาเปติฯ โส ปน เนสํ วิเสโส ทุปฺปฎิวิโชฺฌฯ
Yathā hi heraññikaphalake kahāpaṇarāsimhi kate ajātabuddhi dārako gāmikapuriso mahāheraññikoti tīsu janesu oloketvā ṭhitesu ajātabuddhi dārako kahāpaṇānaṃ cittavicittacaturassamaṇḍalabhāvameva jānāti, idaṃ manussānaṃ upabhogaparibhogaṃ ratanasammatanti na jānāti. Gāmikapuriso cittādibhāvañceva jānāti, manussānaṃ upabhogaparibhogaratanasammatabhāvañca. ‘‘Ayaṃ kūṭo ayaṃ cheko ayaṃ karato ayaṃ saṇho’’ti pana na jānāti. Mahāheraññiko cittādibhāvampi ratanasammatabhāvampi kūṭādibhāvampi jānāti, jānanto ca pana naṃ rūpaṃ disvāpi jānāti, ākoṭitassa saddaṃ sutvāpi, gandhaṃ ghāyitvāpi, rasaṃ sāyitvāpi, hatthena garukalahukabhāvaṃ upadhāretvāpi asukagāme katotipi jānāti, asukanigame asukanagare asukapabbatacchāyāya asukanadītīre katotipi, asukācariyena katotipi jānāti. Evamevaṃ saññā ajātabuddhidārakassa kahāpaṇadassanaṃ viya nīlādivasena ārammaṇamattameva sañjānāti. Viññāṇaṃ gāmikapurisassa kahāpaṇadassanaṃ viya nīlādivasena ārammaṇampi sañjānāti, aniccādivasena lakkhaṇapaṭivedhampi pāpeti. Paññā mahāheraññikassa kahāpaṇadassanaṃ viya nīlādivasena ārammaṇampi sañjānāti, aniccādivasena lakkhaṇapaṭivedhampi pāpeti, ussakkitvā maggapātubhāvampi pāpeti. So pana nesaṃ viseso duppaṭivijjho.
เตนาห อายสฺมา นาคเสโน – ‘‘ทุกฺกรํ, มหาราช, ภควตา กตนฺติฯ กิํ, ภเนฺต, นาคเสน ภควตา ทุกฺกรํ กตนฺติ? ทุกฺกรํ, มหาราช, ภควตา กตํ, อิเมสํ อรูปีนํ จิตฺตเจตสิกานํ ธมฺมานํ เอการมฺมเณ ปวตฺตมานานํ ววตฺถานํ อกฺขาตํ, อยํ ผโสฺส, อยํ เวทนา, อยํ สญฺญา, อยํ เจตนา, อิทํ จิตฺต’’นฺติ (มิ. ป. ๒.๗.๑๖)ฯ ยถา หิ ติลเตลํ, สาสปเตลํ, มธุกเตลํ, เอรณฺฑกเตลํ, วสาเตลนฺติ อิมานิ ปญฺจ เตลานิ เอกจาฎิยํ ปกฺขิปิตฺวา ทิวสํ ยมกมเนฺถหิ มเนฺถตฺวา ตโต อิทํ ติลเตลํ, อิทํ สาสปเตลนฺติ เอเกกสฺส ปาฎิเยกฺกํ อุทฺธรณํ นาม ทุกฺกรํ, อิทํ ตโต ทุกฺกรตรํฯ ภควา ปน สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส สุปฺปฎิวิทฺธตฺตา ธมฺมิสฺสโร ธมฺมราชา อิเมสํ อรูปีนํ ธมฺมานํ เอการมฺมเณ ปวตฺตมานานํ ววตฺถานํ อกฺขาสิฯ ปญฺจนฺนํ มหานทีนํ สมุทฺทํ ปวิฎฺฐฎฺฐาเน, ‘‘อิทํ คงฺคาย อุทกํ, อิทํ ยมุนายา’’ติ เอวํ ปาฎิเยกฺกํ อุทกอุทฺธรเณนาปิ อยมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Tenāha āyasmā nāgaseno – ‘‘dukkaraṃ, mahārāja, bhagavatā katanti. Kiṃ, bhante, nāgasena bhagavatā dukkaraṃ katanti? Dukkaraṃ, mahārāja, bhagavatā kataṃ, imesaṃ arūpīnaṃ cittacetasikānaṃ dhammānaṃ ekārammaṇe pavattamānānaṃ vavatthānaṃ akkhātaṃ, ayaṃ phasso, ayaṃ vedanā, ayaṃ saññā, ayaṃ cetanā, idaṃ citta’’nti (mi. pa. 2.7.16). Yathā hi tilatelaṃ, sāsapatelaṃ, madhukatelaṃ, eraṇḍakatelaṃ, vasātelanti imāni pañca telāni ekacāṭiyaṃ pakkhipitvā divasaṃ yamakamanthehi manthetvā tato idaṃ tilatelaṃ, idaṃ sāsapatelanti ekekassa pāṭiyekkaṃ uddharaṇaṃ nāma dukkaraṃ, idaṃ tato dukkarataraṃ. Bhagavā pana sabbaññutaññāṇassa suppaṭividdhattā dhammissaro dhammarājā imesaṃ arūpīnaṃ dhammānaṃ ekārammaṇe pavattamānānaṃ vavatthānaṃ akkhāsi. Pañcannaṃ mahānadīnaṃ samuddaṃ paviṭṭhaṭṭhāne, ‘‘idaṃ gaṅgāya udakaṃ, idaṃ yamunāyā’’ti evaṃ pāṭiyekkaṃ udakauddharaṇenāpi ayamattho veditabbo.
๔๕๑. นิสฺสเฎฺฐนาติ นิสฺสเฎน ปริจฺจเตฺตน วาฯ ตตฺถ นิสฺสเฎนาติ อเตฺถ สติ ปญฺจหิ อินฺทฺริเยหีติ นิสฺสกฺกวจนํฯ ปริจฺจเตฺตนาติ อเตฺถ สติ กรณวจนํ เวทิตพฺพํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ปญฺจหิ อินฺทฺริเยหิ นิสฺสริตฺวา มโนทฺวาเร ปวเตฺตน ปญฺจหิ วา อินฺทฺริเยหิ ตสฺส วตฺถุภาวํ อนุปคมนตาย ปริจฺจเตฺตนาติฯ ปริสุเทฺธนาติ นิรุปกฺกิเลเสนฯ มโนวิญฺญาเณนาติ รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานจิเตฺตนฯ กิํ เนยฺยนฺติ กิํ ชานิตพฺพํฯ ‘‘ยํกิญฺจิ เนยฺยํ นาม อตฺถิ ธมฺม’’นฺติอาทีสุ (มหานิ. ๖๙) หิ ชานิตพฺพํ เนยฺยนฺติ วุตฺตํฯ อากาสานญฺจายตนํ เนยฺยนฺติ กถํ รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานจิเตฺตน อรูปาวจรสมาปตฺติ เนยฺยาติ? รูปาวจรจตุตฺถชฺฌาเน ฐิเตน อรูปาวจรสมาปตฺติํ นิพฺพเตฺตตุํ สกฺกา โหติฯ เอตฺถ ฐิตสฺส หิ สา อิชฺฌติฯ ตสฺมา ‘‘อากาสานญฺจายตนํ เนยฺย’’นฺติอาทิมาหฯ อถ เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ กสฺมา น วุตฺตนฺติ? ปาฎิเยกฺกํ อภินิเวสาภาวโตฯ ตตฺถ หิ กลาปโต นยโต สมฺมสนํ ลพฺภติ, ธมฺมเสนาปติสทิสสฺสาปิ หิ ภิกฺขุโน ปาฎิเยกฺกํ อภินิเวโส น ชายติฯ ตสฺมา เถโรปิ, ‘‘เอวํ กิรเม ธมฺมา อหุตฺวา สโมฺภนฺติ, หุตฺวา ปฎิเวนฺตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๙๔) กลาปโต นยโต สมฺมสิตฺวา วิสฺสเชฺชสีติฯ ภควา ปน สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส หตฺถคตตฺตา เนวสญฺญานาสญฺญายตนสมาปตฺติยมฺปิ ปโรปญฺญาส ธเมฺม ปาฎิเยกฺกํ อํคุทฺธาเรเนว อุทฺธริตฺวา, ‘‘ยาวตา สญฺญาสมาปตฺติโย, ตาวตา อญฺญาปฎิเวโธ’’ติ อาหฯ
451.Nissaṭṭhenāti nissaṭena pariccattena vā. Tattha nissaṭenāti atthe sati pañcahi indriyehīti nissakkavacanaṃ. Pariccattenāti atthe sati karaṇavacanaṃ veditabbaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – pañcahi indriyehi nissaritvā manodvāre pavattena pañcahi vā indriyehi tassa vatthubhāvaṃ anupagamanatāya pariccattenāti. Parisuddhenāti nirupakkilesena. Manoviññāṇenāti rūpāvacaracatutthajjhānacittena. Kiṃ neyyanti kiṃ jānitabbaṃ. ‘‘Yaṃkiñci neyyaṃ nāma atthi dhamma’’ntiādīsu (mahāni. 69) hi jānitabbaṃ neyyanti vuttaṃ. Ākāsānañcāyatanaṃ neyyanti kathaṃ rūpāvacaracatutthajjhānacittena arūpāvacarasamāpatti neyyāti? Rūpāvacaracatutthajjhāne ṭhitena arūpāvacarasamāpattiṃ nibbattetuṃ sakkā hoti. Ettha ṭhitassa hi sā ijjhati. Tasmā ‘‘ākāsānañcāyatanaṃ neyya’’ntiādimāha. Atha nevasaññānāsaññāyatanaṃ kasmā na vuttanti? Pāṭiyekkaṃ abhinivesābhāvato. Tattha hi kalāpato nayato sammasanaṃ labbhati, dhammasenāpatisadisassāpi hi bhikkhuno pāṭiyekkaṃ abhiniveso na jāyati. Tasmā theropi, ‘‘evaṃ kirame dhammā ahutvā sambhonti, hutvā paṭiventī’’ti (ma. ni. 3.94) kalāpato nayato sammasitvā vissajjesīti. Bhagavā pana sabbaññutaññāṇassa hatthagatattā nevasaññānāsaññāyatanasamāpattiyampi paropaññāsa dhamme pāṭiyekkaṃ aṃguddhāreneva uddharitvā, ‘‘yāvatā saññāsamāpattiyo, tāvatā aññāpaṭivedho’’ti āha.
ปญฺญาจกฺขุนา ปชานาตีติ ทสฺสนปริณายกเฎฺฐน จกฺขุภูตาย ปญฺญาย ปชานาติฯ ตตฺถ เทฺว ปญฺญา สมาธิปญฺญา วิปสฺสนาปญฺญา จฯ สมาธิปญฺญาย กิจฺจโต อสโมฺมหโต จ ปชานาติฯ วิปสฺสนาปญฺญาย ลกฺขณปฎิเวเธน อารมฺมณโต ชานนํ กถิตํฯ กิมตฺถิยาติ โก เอติสฺสา อโตฺถฯ อภิญฺญตฺถาติอาทีสุ อภิเญฺญเยฺย ธเมฺม อภิชานาตีติ อภิญฺญตฺถาฯ ปริเญฺญเยฺย ธเมฺม ปริชานาตีติ ปริญฺญตฺถาฯ ปหาตเพฺพ ธเมฺม ปชหตีติ ปหานตฺถาฯ สา ปเนสา โลกิยาปิ อภิญฺญตฺถา จ ปริญฺญตฺถา จ วิกฺขมฺภนโต ปหานตฺถาฯ โลกุตฺตราปิ อภิญฺญตฺถา จ ปริญฺญตฺถา จ สมุเจฺฉทโต ปหานตฺถาฯ ตตฺถ โลกิยา กิจฺจโต อสโมฺมหโต จ ปชานาติ, โลกุตฺตรา อสโมฺมหโตฯ
Paññācakkhunā pajānātīti dassanapariṇāyakaṭṭhena cakkhubhūtāya paññāya pajānāti. Tattha dve paññā samādhipaññā vipassanāpaññā ca. Samādhipaññāya kiccato asammohato ca pajānāti. Vipassanāpaññāya lakkhaṇapaṭivedhena ārammaṇato jānanaṃ kathitaṃ. Kimatthiyāti ko etissā attho. Abhiññatthātiādīsu abhiññeyye dhamme abhijānātīti abhiññatthā. Pariññeyye dhamme parijānātīti pariññatthā. Pahātabbe dhamme pajahatīti pahānatthā. Sā panesā lokiyāpi abhiññatthā ca pariññatthā ca vikkhambhanato pahānatthā. Lokuttarāpi abhiññatthā ca pariññatthā ca samucchedato pahānatthā. Tattha lokiyā kiccato asammohato ca pajānāti, lokuttarā asammohato.
๔๕๒. สมฺมาทิฎฺฐิยา อุปฺปาทายาติ วิปสฺสนาสมฺมาทิฎฺฐิยา จ มคฺคสมฺมาทิฎฺฐิยา จฯ ปรโต จ โฆโสติ สปฺปายธมฺมสฺสวนํฯ โยนิโส จ มนสิกาโรติ อตฺตโน อุปายมนสิกาโรฯ ตตฺถ สาวเกสุ อปิ ธมฺมเสนาปติโน เทฺว ปจฺจยา ลทฺธุํ วฎฺฎนฺติเยวฯ เถโร หิ กปฺปสตสหสฺสาธิกํ เอกํ อสเงฺขฺยยฺยํ ปารมิโย ปูเรตฺวาปิ อตฺตโน ธมฺมตาย อณุมตฺตมฺปิ กิเลสํ ปชหิตุํ นาสกฺขิฯ ‘‘เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา’’ติ (มหาว. ๖๐) อสฺสชิเตฺถรโต อิมํ คาถํ สุตฺวาวสฺส ปฎิเวโธ ชาโตฯ ปเจฺจกพุทฺธานํ ปน สพฺพญฺญุพุทฺธานญฺจ ปรโตโฆสกมฺมํ นตฺถิ, โยนิโสมนสิการสฺมิํเยว ฐตฺวา ปเจฺจกโพธิญฺจ สพฺพญฺญุตญฺญาณญฺจ นิพฺพเตฺตนฺติฯ
452.Sammādiṭṭhiyā uppādāyāti vipassanāsammādiṭṭhiyā ca maggasammādiṭṭhiyā ca. Parato ca ghosoti sappāyadhammassavanaṃ. Yoniso ca manasikāroti attano upāyamanasikāro. Tattha sāvakesu api dhammasenāpatino dve paccayā laddhuṃ vaṭṭantiyeva. Thero hi kappasatasahassādhikaṃ ekaṃ asaṅkhyeyyaṃ pāramiyo pūretvāpi attano dhammatāya aṇumattampi kilesaṃ pajahituṃ nāsakkhi. ‘‘Ye dhammā hetuppabhavā’’ti (mahāva. 60) assajittherato imaṃ gāthaṃ sutvāvassa paṭivedho jāto. Paccekabuddhānaṃ pana sabbaññubuddhānañca paratoghosakammaṃ natthi, yonisomanasikārasmiṃyeva ṭhatvā paccekabodhiñca sabbaññutaññāṇañca nibbattenti.
อนุคฺคหิตาติ ลทฺธูปการาฯ สมฺมาทิฎฺฐีติ อรหตฺตมคฺคสมฺมาทิฎฺฐิฯ ผลกฺขเณ นิพฺพตฺตา เจโตวิมุตฺติ ผลํ อสฺสาติ เจโตวิมุตฺติผลาฯ ตเทว เจโตวิมุตฺติสงฺขาตํ ผลํ อานิสํโส อสฺสาติ เจโตวิมุตฺติผลานิสํสาฯ ทุติยปเทปิ เอเสว นโยฯ เอตฺถ จ จตุตฺถผลปญฺญา ปญฺญาวิมุตฺติ นาม, อวเสสา ธมฺมา เจโตวิมุตฺตีติ เวทิตพฺพาฯ สีลานุคฺคหิตาติอาทีสุ สีลนฺติ จตุปาริสุทฺธิสีลํฯ สุตนฺติ สปฺปายธมฺมสฺสวนํฯ สากจฺฉาติ กมฺมฎฺฐาเน ขลนปกฺขลนเจฺฉทนกถาฯ สมโถติ วิปสฺสนาปาทิกา อฎฺฐ สมาปตฺติโยฯ วิปสฺสนาติ สตฺตวิธา อนุปสฺสนาฯ จตุปาริสุทฺธิสีลญฺหิ ปูเรนฺตสฺส, สปฺปายธมฺมสฺสวนํ สุณนฺตสฺส, กมฺมฎฺฐาเน ขลนปกฺขลนํ ฉินฺทนฺตสฺส, วิปสฺสนาปาทิกาสุ อฎฺฐสมาปตฺตีสุ กมฺมํ กโรนฺตสฺส, สตฺตวิธํ อนุปสฺสนํ ภาเวนฺตสฺส อรหตฺตมโคฺค อุปฺปชฺชิตฺวา ผลํ เทติฯ
Anuggahitāti laddhūpakārā. Sammādiṭṭhīti arahattamaggasammādiṭṭhi. Phalakkhaṇe nibbattā cetovimutti phalaṃ assāti cetovimuttiphalā. Tadeva cetovimuttisaṅkhātaṃ phalaṃ ānisaṃso assāti cetovimuttiphalānisaṃsā. Dutiyapadepi eseva nayo. Ettha ca catutthaphalapaññā paññāvimutti nāma, avasesā dhammā cetovimuttīti veditabbā. Sīlānuggahitātiādīsu sīlanti catupārisuddhisīlaṃ. Sutanti sappāyadhammassavanaṃ. Sākacchāti kammaṭṭhāne khalanapakkhalanacchedanakathā. Samathoti vipassanāpādikā aṭṭha samāpattiyo. Vipassanāti sattavidhā anupassanā. Catupārisuddhisīlañhi pūrentassa, sappāyadhammassavanaṃ suṇantassa, kammaṭṭhāne khalanapakkhalanaṃ chindantassa, vipassanāpādikāsu aṭṭhasamāpattīsu kammaṃ karontassa, sattavidhaṃ anupassanaṃ bhāventassa arahattamaggo uppajjitvā phalaṃ deti.
ยถา หิ มธุรํ อมฺพปกฺกํ ปริภุญฺชิตุกาโม อมฺพโปตกสฺส สมนฺตา อุทกโกฎฺฐกํ ถิรํ กตฺวา พนฺธติฯ ฆฎํ คเหตฺวา กาเลน กาลํ อุทกํ อาสิญฺจติฯ อุทกสฺส อนิกฺขมนตฺถํ มริยาทํ ถิรํ กโรติฯ ยา โหติ สมีเป วลฺลิ วา สุกฺขทณฺฑโก วา กิปิลฺลิกปุโฎ วา มกฺกฎกชาลํ วา, ตํ อปเนติฯ ขณิตฺติํ คเหตฺวา กาเลน กาลํ มูลานิ ปริขณติฯ เอวมสฺส อปฺปมตฺตสฺส อิมานิ ปญฺจ การณานิ กโรโต โส อโมฺพ วฑฺฒิตฺวา ผลํ เทติฯ เอวํสมฺปทมิทํ เวทิตพฺพํฯ รุกฺขสฺส สมนฺตโต โกฎฺฐกพนฺธนํ วิย หิ สีลํ ทฎฺฐพฺพํ, กาเลน กาลํ อุทกสิญฺจนํ วิย ธมฺมสฺสวนํ, มริยาทาย ถิรภาวกรณํ วิย สมโถ, สมีเป วลฺลิอาทีนํ หรณํ วิย กมฺมฎฺฐาเน ขลนปกฺขลนเจฺฉทนํ, กาเลน กาลํ ขณิตฺติํ คเหตฺวา มูลขณนํ วิย สตฺตนฺนํ อนุปสฺสนานํ ภาวนาฯ เตหิ ปญฺจหิ การเณหิ อนุคฺคหิตสฺส อมฺพรุกฺขสฺส มธุรผลทานกาโล วิย อิมสฺส ภิกฺขุโน อิเมหิ ปญฺจหิ ธเมฺมหิ อนุคฺคหิตาย สมฺมาทิฎฺฐิยา อรหตฺตผลทานํ เวทิตพฺพํฯ
Yathā hi madhuraṃ ambapakkaṃ paribhuñjitukāmo ambapotakassa samantā udakakoṭṭhakaṃ thiraṃ katvā bandhati. Ghaṭaṃ gahetvā kālena kālaṃ udakaṃ āsiñcati. Udakassa anikkhamanatthaṃ mariyādaṃ thiraṃ karoti. Yā hoti samīpe valli vā sukkhadaṇḍako vā kipillikapuṭo vā makkaṭakajālaṃ vā, taṃ apaneti. Khaṇittiṃ gahetvā kālena kālaṃ mūlāni parikhaṇati. Evamassa appamattassa imāni pañca kāraṇāni karoto so ambo vaḍḍhitvā phalaṃ deti. Evaṃsampadamidaṃ veditabbaṃ. Rukkhassa samantato koṭṭhakabandhanaṃ viya hi sīlaṃ daṭṭhabbaṃ, kālena kālaṃ udakasiñcanaṃ viya dhammassavanaṃ, mariyādāya thirabhāvakaraṇaṃ viya samatho, samīpe valliādīnaṃ haraṇaṃ viya kammaṭṭhāne khalanapakkhalanacchedanaṃ, kālena kālaṃ khaṇittiṃ gahetvā mūlakhaṇanaṃ viya sattannaṃ anupassanānaṃ bhāvanā. Tehi pañcahi kāraṇehi anuggahitassa ambarukkhassa madhuraphaladānakālo viya imassa bhikkhuno imehi pañcahi dhammehi anuggahitāya sammādiṭṭhiyā arahattaphaladānaṃ veditabbaṃ.
๔๕๓. กติ ปนาวุโส, ภวาติ อิธ กิํ ปุจฺฉติ? มูลเมว คโต อนุสนฺธิ, ทุปฺปโญฺญ เยหิ ภเวหิ น อุฎฺฐาติ, เต ปุจฺฉิสฺสามีติ ปุจฺฉติฯ ตตฺถ กามภโวติ กามภวูปคํ กมฺมํ กมฺมาภินิพฺพตฺตา อุปาทินฺนกฺขนฺธาปีติ อุภยเมกโต กตฺวา กามภโวติ อาหฯ รูปารูปภเวสุปิ เอเสว นโยฯ อายตินฺติ อนาคเตฯ ปุนพฺภวสฺส อภินิพฺพตฺตีติ ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติฯ อิธ วฎฺฎํ ปุจฺฉิสฺสามีติ ปุจฺฉติฯ ตตฺราตตฺราภินนฺทนาติ รูปาภินนฺทนา สทฺทาภินนฺทนาติ เอวํ ตหิํ ตหิํ อภินนฺทนา, กรณวจเน เจตํ ปจฺจตฺตํฯ ตตฺรตตฺราภินนฺทนาย ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติ โหตีติ อโตฺถฯ เอตฺตาวตา หิ คมนํ โหติ, อาคมนํ โหติ, คมนาคมนํ โหติ, วฎฺฎํ วตฺตตีติ วฎฺฎํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา ทเสฺสสิฯ อิทานิ วิวฎฺฎํ ปุจฺฉโนฺต ‘‘กถํ ปนาวุโส’’ติอาทิมาหฯ ตสฺส วิสฺสชฺชเน อวิชฺชาวิราคาติ อวิชฺชาย ขยนิโรเธนฯ วิชฺชุปฺปาทาติ อรหตฺตมคฺควิชฺชาย อุปฺปาเทนฯ กิํ อวิชฺชา ปุเพฺพ นิรุทฺธา, อถ วิชฺชา ปุเพฺพ อุปฺปนฺนาติ? อุภยเมตํ น วตฺตพฺพํฯ ปทีปุชฺชลเนน อนฺธการวิคโม วิย วิชฺชุปฺปาเทน อวิชฺชา นิรุทฺธาว โหติฯ ตณฺหานิโรธาติ ตณฺหาย ขยนิโรเธนฯ ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติ น โหตีติ เอวํ อายติํ ปุนพฺภวสฺส อภินิพฺพตฺติ น โหติ, คมนํ อาคมนํ คมนาคมนํ อุปจฺฉิชฺชติ, วฎฺฎํ น วตฺตตีติ วิวฎฺฎํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา ทเสฺสสิฯ
453.Katipanāvuso, bhavāti idha kiṃ pucchati? Mūlameva gato anusandhi, duppañño yehi bhavehi na uṭṭhāti, te pucchissāmīti pucchati. Tattha kāmabhavoti kāmabhavūpagaṃ kammaṃ kammābhinibbattā upādinnakkhandhāpīti ubhayamekato katvā kāmabhavoti āha. Rūpārūpabhavesupi eseva nayo. Āyatinti anāgate. Punabbhavassa abhinibbattīti punabbhavābhinibbatti. Idha vaṭṭaṃ pucchissāmīti pucchati. Tatrātatrābhinandanāti rūpābhinandanā saddābhinandanāti evaṃ tahiṃ tahiṃ abhinandanā, karaṇavacane cetaṃ paccattaṃ. Tatratatrābhinandanāya punabbhavābhinibbatti hotīti attho. Ettāvatā hi gamanaṃ hoti, āgamanaṃ hoti, gamanāgamanaṃ hoti, vaṭṭaṃ vattatīti vaṭṭaṃ matthakaṃ pāpetvā dassesi. Idāni vivaṭṭaṃ pucchanto ‘‘kathaṃ panāvuso’’tiādimāha. Tassa vissajjane avijjāvirāgāti avijjāya khayanirodhena. Vijjuppādāti arahattamaggavijjāya uppādena. Kiṃ avijjā pubbe niruddhā, atha vijjā pubbe uppannāti? Ubhayametaṃ na vattabbaṃ. Padīpujjalanena andhakāravigamo viya vijjuppādena avijjā niruddhāva hoti. Taṇhānirodhāti taṇhāya khayanirodhena. Punabbhavābhinibbatti na hotīti evaṃ āyatiṃ punabbhavassa abhinibbatti na hoti, gamanaṃ āgamanaṃ gamanāgamanaṃ upacchijjati, vaṭṭaṃ na vattatīti vivaṭṭaṃ matthakaṃ pāpetvā dassesi.
๔๕๔. กตมํ ปนาวุโสติ อิธ กิํ ปุจฺฉติ? อุภโตภาควิมุโตฺต ภิกฺขุ กาเลน กาลํ นิโรธํ สมาปชฺชติฯ ตสฺส นิโรธปาทกํ ปฐมชฺฌานํ ปุจฺฉิสฺสามีติ ปุจฺฉติฯ ปฐมํ ฌานนฺติ อิธ กิํ ปุจฺฉติ? นิโรธํ สมาปชฺชนเกน ภิกฺขุนา องฺคววตฺถานํ โกฎฺฐาสปริเจฺฉโท นาม ชานิตโพฺพ, อิทํ ฌานํ ปญฺจงฺคิกํ จตุรงฺคิกํ ติวงฺคิกํ ทุวงฺคิกนฺติ องฺคววตฺถานํ โกฎฺฐาสปริเจฺฉทํ ปุจฺฉิสฺสามีติ ปุจฺฉติฯ วิตโกฺกติอาทีสุ ปน อภินิโรปนลกฺขโณ วิตโกฺก, อนุมชฺชนลกฺขโณ วิจาโร, ผรณลกฺขณา ปีติ, สาตลกฺขณํ สุขํ, อวิเกฺขปลกฺขณา จิเตฺตกคฺคตาติ อิเม ปญฺจ ธมฺมา วตฺตนฺติฯ กตงฺควิปฺปหีนนฺติ อิธ ปน กิํ ปุจฺฉติ? นิโรธํ สมาปชฺชนเกน ภิกฺขุนา อุปการานุปการานิ องฺคานิ ชานิตพฺพานิ, ตานิ ปุจฺฉิสฺสามีติ ปุจฺฉติ, วิสฺสชฺชนํ ปเนตฺถ ปากฎเมวฯ อิติ เหฎฺฐา นิโรธปาทกํ ปฐมชฺฌานํ คหิตํ, อุปริ ตสฺส อนนฺตรปจฺจยํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนสมาปตฺติํ ปุจฺฉิสฺสติฯ อนฺตรา ปน ฉ สมาปตฺติโย สํขิตฺตา, นยํ วา ทเสฺสตฺวา วิสฺสฎฺฐาติ เวทิตพฺพาฯ
454.Katamaṃ panāvusoti idha kiṃ pucchati? Ubhatobhāgavimutto bhikkhu kālena kālaṃ nirodhaṃ samāpajjati. Tassa nirodhapādakaṃ paṭhamajjhānaṃ pucchissāmīti pucchati. Paṭhamaṃ jhānanti idha kiṃ pucchati? Nirodhaṃ samāpajjanakena bhikkhunā aṅgavavatthānaṃ koṭṭhāsaparicchedo nāma jānitabbo, idaṃ jhānaṃ pañcaṅgikaṃ caturaṅgikaṃ tivaṅgikaṃ duvaṅgikanti aṅgavavatthānaṃ koṭṭhāsaparicchedaṃ pucchissāmīti pucchati. Vitakkotiādīsu pana abhiniropanalakkhaṇo vitakko, anumajjanalakkhaṇo vicāro, pharaṇalakkhaṇā pīti, sātalakkhaṇaṃ sukhaṃ, avikkhepalakkhaṇā cittekaggatāti ime pañca dhammā vattanti. Kataṅgavippahīnanti idha pana kiṃ pucchati? Nirodhaṃ samāpajjanakena bhikkhunā upakārānupakārāni aṅgāni jānitabbāni, tāni pucchissāmīti pucchati, vissajjanaṃ panettha pākaṭameva. Iti heṭṭhā nirodhapādakaṃ paṭhamajjhānaṃ gahitaṃ, upari tassa anantarapaccayaṃ nevasaññānāsaññāyatanasamāpattiṃ pucchissati. Antarā pana cha samāpattiyo saṃkhittā, nayaṃ vā dassetvā vissaṭṭhāti veditabbā.
๔๕๕. อิทานิ วิญฺญาณนิสฺสเย ปญฺจ ปสาเท ปุจฺฉโนฺต ปญฺจิมานิ, อาวุโสติอาทิมาหฯ ตตฺถ โคจรวิสยนฺติ โคจรภูตํ วิสยํฯ อญฺญมญฺญสฺสาติ จกฺขุ โสตสฺส โสตํ วา จกฺขุสฺสาติ เอวํ เอเกกสฺส โคจรวิสยํ น ปจฺจนุโภติฯ สเจ หิ นีลาทิเภทํ รูปารมฺมณํ สโมธาเนตฺวา โสตินฺทฺริยสฺส อุปเนยฺย, ‘‘อิงฺฆ ตาว นํ ววตฺถเปหิ วิภาเวหิ, กิํ นาเมตํ อารมฺมณ’’นฺติฯ จกฺขุวิญฺญาณญฺหิ วินาปิ มุเขน อตฺตโน ธมฺมตาย เอวํ วเทยฺย – ‘‘อเร อนฺธพาล , วสฺสสตมฺปิ วสฺสสหสฺสมฺปิ ปริธาวมาโน อญฺญตฺร มยา กุหิํ เอตสฺส ชานนกํ ลภิสฺสสิ, อาหร นํ จกฺขุปสาเท อุปเนหิ, อหเมตํ อารมฺมณํ ชานิสฺสามิ, ยทิ วา นีลํ ยทิ วา ปีตกํ, น หิ เอโส อญฺญสฺส วิสโย, มเยฺหเวโส วิสโย’’ติฯ เสสทฺวาเรสุปิ เอเสว นโยฯ เอวเมตานิ อญฺญมญฺญสฺส โคจรํ วิสยํ น ปจฺจนุโภนฺติ นามฯ กิํ ปฎิสรณนฺติ เอเตสํ กิํ ปฎิสรณํ, กิํ เอตานิ ปฎิสรนฺตีติ ปุจฺฉติฯ มโน ปฎิสรณนฺติ ชวนมโน ปฎิสรณํฯ มโน จ เนสนฺติ มโนทฺวาริกชวนมโน วา ปญฺจทฺวาริกชวนมโน วา เอเตสํ โคจรวิสยํ รชฺชนาทิวเสน อนุโภติฯ จกฺขุวิญฺญาณญฺหิ รูปทสฺสนมตฺตเมว, เอตฺถ รชฺชนํ วา ทุสฺสนํ วา มุยฺหนํ วา นตฺถิฯ เอตสฺมิํ ปน ทฺวาเร ชวนํ รชฺชติ วา ทุสฺสติ วา มุยฺหติ วาฯ โสตวิญฺญาณาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
455. Idāni viññāṇanissaye pañca pasāde pucchanto pañcimāni, āvusotiādimāha. Tattha gocaravisayanti gocarabhūtaṃ visayaṃ. Aññamaññassāti cakkhu sotassa sotaṃ vā cakkhussāti evaṃ ekekassa gocaravisayaṃ na paccanubhoti. Sace hi nīlādibhedaṃ rūpārammaṇaṃ samodhānetvā sotindriyassa upaneyya, ‘‘iṅgha tāva naṃ vavatthapehi vibhāvehi, kiṃ nāmetaṃ ārammaṇa’’nti. Cakkhuviññāṇañhi vināpi mukhena attano dhammatāya evaṃ vadeyya – ‘‘are andhabāla , vassasatampi vassasahassampi paridhāvamāno aññatra mayā kuhiṃ etassa jānanakaṃ labhissasi, āhara naṃ cakkhupasāde upanehi, ahametaṃ ārammaṇaṃ jānissāmi, yadi vā nīlaṃ yadi vā pītakaṃ, na hi eso aññassa visayo, mayheveso visayo’’ti. Sesadvāresupi eseva nayo. Evametāni aññamaññassa gocaraṃ visayaṃ na paccanubhonti nāma. Kiṃ paṭisaraṇanti etesaṃ kiṃ paṭisaraṇaṃ, kiṃ etāni paṭisarantīti pucchati. Mano paṭisaraṇanti javanamano paṭisaraṇaṃ. Mano ca nesanti manodvārikajavanamano vā pañcadvārikajavanamano vā etesaṃ gocaravisayaṃ rajjanādivasena anubhoti. Cakkhuviññāṇañhi rūpadassanamattameva, ettha rajjanaṃ vā dussanaṃ vā muyhanaṃ vā natthi. Etasmiṃ pana dvāre javanaṃ rajjati vā dussati vā muyhati vā. Sotaviññāṇādīsupi eseva nayo.
ตตฺรายํ อุปมา – ปญฺจ กิร ทุพฺพลโภชกา ราชานํ เสวิตฺวา กิเจฺฉน กสิเรน เอกสฺมิํ ปญฺจกุลิเก คาเม ปริตฺตกํ อายํ ลภิํสุฯ เตสํ ตตฺถ มจฺฉภาโค มํสภาโค ยุตฺติกหาปโณ วา, พนฺธกหาปโณ วา, มาปหารกหาปโณ วา, อฎฺฐกหาปโณ วา, โสฬสกหาปโณ วา, พาตฺติํสกหาปโณ วา, จตุสฎฺฐิกหาปโณ วา, ทโณฺฑติ เอตฺตกมตฺตเมว ปาปุณาติฯ สตวตฺถุกํ ปญฺจสตวตฺถุกํ สหสฺสวตฺถุกํ มหาพลิํ ราชาว คณฺหาติฯ ตตฺถ ปญฺจกุลิกคาโม วิย ปญฺจ ปสาทา ทฎฺฐพฺพา; ปญฺจ ทุพฺพลโภชกา วิย ปญฺจ วิญฺญาณานิ; ราชา วิย ชวนํ; ทุพฺพลโภชกานํ ปริตฺตกํ อายปาปุณนํ วิย จกฺขุวิญฺญาณาทีนํ รูปทสฺสนาทิมตฺตํฯ รชฺชนาทีนิ ปน เอเตสุ นตฺถิฯ รโญฺญ มหาพลิคฺคหณํ วิย เตสุ ทฺวาเรสุ ชวนสฺส รชฺชนาทีนิ เวทิตพฺพานิฯ
Tatrāyaṃ upamā – pañca kira dubbalabhojakā rājānaṃ sevitvā kicchena kasirena ekasmiṃ pañcakulike gāme parittakaṃ āyaṃ labhiṃsu. Tesaṃ tattha macchabhāgo maṃsabhāgo yuttikahāpaṇo vā, bandhakahāpaṇo vā, māpahārakahāpaṇo vā, aṭṭhakahāpaṇo vā, soḷasakahāpaṇo vā, bāttiṃsakahāpaṇo vā, catusaṭṭhikahāpaṇo vā, daṇḍoti ettakamattameva pāpuṇāti. Satavatthukaṃ pañcasatavatthukaṃ sahassavatthukaṃ mahābaliṃ rājāva gaṇhāti. Tattha pañcakulikagāmo viya pañca pasādā daṭṭhabbā; pañca dubbalabhojakā viya pañca viññāṇāni; rājā viya javanaṃ; dubbalabhojakānaṃ parittakaṃ āyapāpuṇanaṃ viya cakkhuviññāṇādīnaṃ rūpadassanādimattaṃ. Rajjanādīni pana etesu natthi. Rañño mahābaliggahaṇaṃ viya tesu dvāresu javanassa rajjanādīni veditabbāni.
๔๕๖. ปญฺจิมานิ, อาวุโสติ อิธ กิํ ปุจฺฉติ? อโนฺตนิโรธสฺมิํ ปญฺจ ปสาเทฯ กิริยมยปวตฺตสฺมิญฺหิ วตฺตมาเน อรูปธมฺมา ปสาทานํ พลวปจฺจยา โหนฺติฯ โย ปน ตํ ปวตฺตํ นิโรเธตฺวา นิโรธสมาปตฺติํ สมาปโนฺน, ตสฺส อโนฺตนิโรเธ ปญฺจ ปสาทา กิํ ปฎิจฺจ ติฎฺฐนฺตีติ อิทํ ปุจฺฉิสฺสามีติ ปุจฺฉติฯ อายุํ ปฎิจฺจาติ ชีวิตินฺทฺริยํ ปฎิจฺจ ติฎฺฐนฺติ ฯ อุสฺมํ ปฎิจฺจาติ ชีวิตินฺทฺริยํ กมฺมชเตชํ ปฎิจฺจ ติฎฺฐติฯ ยสฺมา ปน กมฺมชเตโชปิ ชีวิตินฺทฺริเยน วินา น ติฎฺฐติ, ตสฺมา ‘‘อุสฺมา อายุํ ปฎิจฺจ ติฎฺฐตี’’ติ อาหฯ ฌายโตติ ชลโตฯ อจฺจิํ ปฎิจฺจาติ ชาลสิขํ ปฎิจฺจฯ อาภา ปญฺญายตีติ อาโลโก นาม ปญฺญายติฯ อาภํ ปฎิจฺจ อจฺจีติ ตํ อาโลกํ ปฎิจฺจ ชาลสิขา ปญฺญายติฯ
456.Pañcimāni, āvusoti idha kiṃ pucchati? Antonirodhasmiṃ pañca pasāde. Kiriyamayapavattasmiñhi vattamāne arūpadhammā pasādānaṃ balavapaccayā honti. Yo pana taṃ pavattaṃ nirodhetvā nirodhasamāpattiṃ samāpanno, tassa antonirodhe pañca pasādā kiṃ paṭicca tiṭṭhantīti idaṃ pucchissāmīti pucchati. Āyuṃ paṭiccāti jīvitindriyaṃ paṭicca tiṭṭhanti . Usmaṃ paṭiccāti jīvitindriyaṃ kammajatejaṃ paṭicca tiṭṭhati. Yasmā pana kammajatejopi jīvitindriyena vinā na tiṭṭhati, tasmā ‘‘usmā āyuṃ paṭicca tiṭṭhatī’’ti āha. Jhāyatoti jalato. Acciṃ paṭiccāti jālasikhaṃ paṭicca. Ābhā paññāyatīti āloko nāma paññāyati. Ābhaṃ paṭicca accīti taṃ ālokaṃ paṭicca jālasikhā paññāyati.
เอวเมว โข, อาวุโส, อายุ อุสฺมํ ปฎิจฺจ ติฎฺฐตีติ เอตฺถ ชาลสิขา วิย กมฺมชเตโชฯ อาโลโก วิย ชีวิตินฺทฺริยํฯ ชาลสิขา หิ อุปฺปชฺชมานา อาโลกํ คเหตฺวาว อุปฺปชฺชติฯ สา เตน อตฺตนา ชนิตอาโลเกเนว สยมฺปิ อณุ ถูลา ทีฆา รสฺสาติ ปากฎา โหติฯ ตตฺถ ชาลปวตฺติยา ชนิตอาโลเกน ตสฺสาเยว ชาลปวตฺติยา ปากฎภาโว วิย อุสฺมํ ปฎิจฺจ นิพฺพเตฺตน กมฺมชมหาภูตสมฺภเวน ชีวิตินฺทฺริเยน อุสฺมาย อนุปาลนํฯ ชีวิตินฺทฺริยญฺหิ ทสปิ วสฺสานิ…เป.… วสฺสสตมฺปิ กมฺมชเตชปวตฺตํ ปาเลติฯ อิติ มหาภูตานิ อุปาทารูปานํ นิสฺสยปจฺจยาทิวเสน ปจฺจยานิ โหนฺตีติ อายุ อุสฺมํ ปฎิจฺจ ติฎฺฐติฯ ชีวิตินฺทฺริยํ มหาภูตานิ ปาเลตีติ อุสฺมา อายุํ ปฎิจฺจ ติฎฺฐตีติ เวทิตพฺพาฯ
Evameva kho, āvuso, āyu usmaṃ paṭicca tiṭṭhatīti ettha jālasikhā viya kammajatejo. Āloko viya jīvitindriyaṃ. Jālasikhā hi uppajjamānā ālokaṃ gahetvāva uppajjati. Sā tena attanā janitaālokeneva sayampi aṇu thūlā dīghā rassāti pākaṭā hoti. Tattha jālapavattiyā janitaālokena tassāyeva jālapavattiyā pākaṭabhāvo viya usmaṃ paṭicca nibbattena kammajamahābhūtasambhavena jīvitindriyena usmāya anupālanaṃ. Jīvitindriyañhi dasapi vassāni…pe… vassasatampi kammajatejapavattaṃ pāleti. Iti mahābhūtāni upādārūpānaṃ nissayapaccayādivasena paccayāni hontīti āyu usmaṃ paṭicca tiṭṭhati. Jīvitindriyaṃ mahābhūtāni pāletīti usmā āyuṃ paṭicca tiṭṭhatīti veditabbā.
๔๕๗. อายุสงฺขาราติ อายุเมวฯ เวทนิยา ธมฺมาติ เวทนา ธมฺมาวฯ วุฎฺฐานํ ปญฺญายตีติ สมาปตฺติโต วุฎฺฐานํ ปญฺญายติฯ โย หิ ภิกฺขุ อรูปปวเตฺต อุกฺกณฺฐิตฺวา สญฺญญฺจ เวทนญฺจ นิโรเธตฺวา นิโรธํ สมาปโนฺน, ตสฺส ยถาปริจฺฉินฺนกาลวเสน รูปชีวิตินฺทฺริยปจฺจยา อรูปธมฺมา อุปฺปชฺชนฺติฯ เอวํ ปน รูปารูปปวตฺตํ ปวตฺตติฯ ยถา กิํ? ยถา เอโก ปุริโส ชาลาปวเตฺต อุกฺขณฺฐิโต อุทเกน ปหริตฺวา ชาลํ อปฺปวตฺตํ กตฺวา ฉาริกาย องฺคาเร ปิธาย ตุณฺหี นิสีทติฯ ยทา ปนสฺส ปุน ชาลาย อโตฺถ โหติ, ฉาริกํ อปเนตฺวา องฺคาเร ปริวเตฺตตฺวา อุปาทานํ ทตฺวา มุขวาตํ วา ตาลวณฺฎวาตํ วา ททาติฯ อถ ชาลาปวตฺตํ ปุน ปวตฺตติฯ เอวเมว ชาลาปวตฺตํ วิย อรูปธมฺมาฯ ปุริสสฺส ชาลาปวเตฺต อุกฺกณฺฐิตฺวา อุทกปฺปหาเรน ชาลํ อปฺปวตฺตํ กตฺวา ฉาริกาย องฺคาเร ปิธาย ตุณฺหีภูตสฺส นิสชฺชา วิย ภิกฺขุโน อรูปปวเตฺต อุกฺกณฺฐิตฺวา สญฺญญฺจ เวทนญฺจ นิโรเธตฺวา นิโรธสมาปชฺชนํฯ ฉาริกาย ปิหิตองฺคารา วิย รูปชีวิตินฺทฺริยํฯ ปุริสสฺส ปุน ชาลาย อเตฺถ สติ ฉาริกาปนยนาทีนิ วิย ภิกฺขุโน ยถาปริจฺฉินฺนกาลาปคมนํฯ อคฺคิชาลาย ปวตฺติ วิย ปุน อรูปธเมฺมสุ อุปฺปเนฺนสุ รูปารูปปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ
457.Āyusaṅkhārāti āyumeva. Vedaniyā dhammāti vedanā dhammāva. Vuṭṭhānaṃ paññāyatīti samāpattito vuṭṭhānaṃ paññāyati. Yo hi bhikkhu arūpapavatte ukkaṇṭhitvā saññañca vedanañca nirodhetvā nirodhaṃ samāpanno, tassa yathāparicchinnakālavasena rūpajīvitindriyapaccayā arūpadhammā uppajjanti. Evaṃ pana rūpārūpapavattaṃ pavattati. Yathā kiṃ? Yathā eko puriso jālāpavatte ukkhaṇṭhito udakena paharitvā jālaṃ appavattaṃ katvā chārikāya aṅgāre pidhāya tuṇhī nisīdati. Yadā panassa puna jālāya attho hoti, chārikaṃ apanetvā aṅgāre parivattetvā upādānaṃ datvā mukhavātaṃ vā tālavaṇṭavātaṃ vā dadāti. Atha jālāpavattaṃ puna pavattati. Evameva jālāpavattaṃ viya arūpadhammā. Purisassa jālāpavatte ukkaṇṭhitvā udakappahārena jālaṃ appavattaṃ katvā chārikāya aṅgāre pidhāya tuṇhībhūtassa nisajjā viya bhikkhuno arūpapavatte ukkaṇṭhitvā saññañca vedanañca nirodhetvā nirodhasamāpajjanaṃ. Chārikāya pihitaaṅgārā viya rūpajīvitindriyaṃ. Purisassa puna jālāya atthe sati chārikāpanayanādīni viya bhikkhuno yathāparicchinnakālāpagamanaṃ. Aggijālāya pavatti viya puna arūpadhammesu uppannesu rūpārūpapavatti veditabbā.
อายุ อุสฺมา จ วิญฺญาณนฺติ รูปชีวิตินฺทฺริยํ, กมฺมชเตโชธาตุ, จิตฺตนฺติ อิเม ตโย ธมฺมา ยทา อิมํ รูปกายํ ชหนฺติ, อถายํ อเจตนํ กฎฺฐํ วิย ปถวิยํ ฉฑฺฑิโต เสตีติ อโตฺถฯ วุตฺตเญฺจตํ –
Āyu usmā ca viññāṇanti rūpajīvitindriyaṃ, kammajatejodhātu, cittanti ime tayo dhammā yadā imaṃ rūpakāyaṃ jahanti, athāyaṃ acetanaṃ kaṭṭhaṃ viya pathaviyaṃ chaḍḍito setīti attho. Vuttañcetaṃ –
‘‘อายุ อุสฺมา จ วิญฺญาณํ, ยทา กายํ ชหนฺติมํ;
‘‘Āyu usmā ca viññāṇaṃ, yadā kāyaṃ jahantimaṃ;
อปวิโทฺธ ตทา เสติ, ปรภตฺตํ อเจตน’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๓.๙๕);
Apaviddho tadā seti, parabhattaṃ acetana’’nti. (saṃ. ni. 3.95);
กายสงฺขาราติ อสฺสาสปสฺสาสาฯ วจีสงฺขาราติ วิตกฺกวิจาราฯ จิตฺตสงฺขาราติ สญฺญาเวทนาฯ อายูติ รูปชีวิตินฺทฺริยํฯ ปริภินฺนานีติ อุปหตานิ, วินฎฺฐานีติ อโตฺถฯ ตตฺถ เกจิ ‘‘นิโรธสมาปนฺนสฺส จิตฺตสงฺขาราว นิรุทฺธา’’ติ วจนโต จิตฺตํ อนิรุทฺธํ โหติ, ตสฺมา สจิตฺตกา อยํ สมาปตฺตีติ วทนฺติฯ เต วตฺตพฺพา – ‘‘วจีสงฺขาราปิสฺส นิรุทฺธา’’ติ วจนโต วาจา อนิรุทฺธา โหติ, ตสฺมา นิโรธํ สมาปเนฺนน ธมฺมมฺปิ กเถเนฺตน สชฺฌายมฺปิ กโรเนฺตน นิสีทิตพฺพํ สิยาฯ ‘‘โย จายํ มโต กาลงฺกโต, ตสฺสาปิ จิตฺตสงฺขารา นิรุทฺธา’’ติ วจนโต จิตฺตํ อนิรุทฺธํ ภเวยฺย, ตสฺมา กาลงฺกเต มาตาปิตโร วา อรหเนฺต วา ฌาปยเนฺตน อนนฺตริยกมฺมํ กตํ ภเวยฺยฯ อิติ พฺยญฺชเน อภินิเวสํ อกตฺวา อาจริยานํ นเย ฐตฺวา อโตฺถ อุปปริกฺขิตโพฺพฯ อโตฺถ หิ ปฎิสรณํ, น พฺยญฺชนํฯ
Kāyasaṅkhārāti assāsapassāsā. Vacīsaṅkhārāti vitakkavicārā. Cittasaṅkhārāti saññāvedanā. Āyūti rūpajīvitindriyaṃ. Paribhinnānīti upahatāni, vinaṭṭhānīti attho. Tattha keci ‘‘nirodhasamāpannassa cittasaṅkhārāva niruddhā’’ti vacanato cittaṃ aniruddhaṃ hoti, tasmā sacittakā ayaṃ samāpattīti vadanti. Te vattabbā – ‘‘vacīsaṅkhārāpissa niruddhā’’ti vacanato vācā aniruddhā hoti, tasmā nirodhaṃ samāpannena dhammampi kathentena sajjhāyampi karontena nisīditabbaṃ siyā. ‘‘Yo cāyaṃ mato kālaṅkato, tassāpi cittasaṅkhārā niruddhā’’ti vacanato cittaṃ aniruddhaṃ bhaveyya, tasmā kālaṅkate mātāpitaro vā arahante vā jhāpayantena anantariyakammaṃ kataṃ bhaveyya. Iti byañjane abhinivesaṃ akatvā ācariyānaṃ naye ṭhatvā attho upaparikkhitabbo. Attho hi paṭisaraṇaṃ, na byañjanaṃ.
อินฺทฺริยานิ วิปฺปสนฺนานีติ กิริยมยปวตฺตสฺมิญฺหิ วตฺตมาเน พหิทฺธา อารมฺมเณสุ ปสาเท ฆเฎฺฎเนฺตสุ อินฺทฺริยานิ กิลมนฺตานิ อุปหตานิ มกฺขิตานิ วิย โหนฺติ, วาตาทีหิ อุฎฺฐิเตน รเชน จตุมหาปเถ ฐปิตอาทาโส วิยฯ ยถา ปน ถวิกายํ ปกฺขิปิตฺวา มญฺชูสาทีสุ ฐปิโต อาทาโส อโนฺตเยว วิโรจติ, เอวํ นิโรธํ สมาปนฺนสฺส ภิกฺขุโน อโนฺตนิโรเธ ปญฺจ ปสาทา อติวิโรจนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อินฺทฺริยานิ วิปฺปสนฺนานี’’ติฯ
Indriyāni vippasannānīti kiriyamayapavattasmiñhi vattamāne bahiddhā ārammaṇesu pasāde ghaṭṭentesu indriyāni kilamantāni upahatāni makkhitāni viya honti, vātādīhi uṭṭhitena rajena catumahāpathe ṭhapitaādāso viya. Yathā pana thavikāyaṃ pakkhipitvā mañjūsādīsu ṭhapito ādāso antoyeva virocati, evaṃ nirodhaṃ samāpannassa bhikkhuno antonirodhe pañca pasādā ativirocanti. Tena vuttaṃ ‘‘indriyāni vippasannānī’’ti.
๔๕๘. กติ ปนาวุโส, ปจฺจยาติ อิธ กิํ ปุจฺฉติ? นิโรธสฺส อนนฺตรปจฺจยํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ ปุจฺฉิสฺสามีติ ปุจฺฉติฯ วิสฺสชฺชเน ปนสฺส สุขสฺส จ ปหานาติ จตฺตาโร อปคมนปจฺจยา กถิตาฯ อนิมิตฺตายาติ อิธ กิํ ปุจฺฉติ? นิโรธโต วุฎฺฐานกผลสมาปตฺติํ ปุจฺฉิสฺสามีติ ปุจฺฉติฯ อวเสสสมาปตฺติวุฎฺฐานญฺหิ ภวเงฺคน โหติ, นิโรธา วุฎฺฐานํ ปน วิปสฺสนานิสฺสนฺทาย ผลสมาปตฺติยาติ ตเมว ปุจฺฉติฯ สพฺพนิมิตฺตานนฺติ รูปาทีนํ สพฺพารมฺมณานํฯ อนิมิตฺตาย จ ธาตุยา มนสิกาโรติ สพฺพนิมิตฺตาปคตาย นิพฺพานธาตุยา มนสิกาโรฯ ผลสมาปตฺติสหชาตํ มนสิการํ สนฺธายาหฯ อิติ เหฎฺฐา นิโรธปาทกํ ปฐมชฺฌานํ คหิตํ, นิโรธสฺส อนนฺตรปจฺจยํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ คหิตํ, อิธ นิโรธโต วุฎฺฐานกผลสมาปตฺติ คหิตาติฯ
458.Katipanāvuso, paccayāti idha kiṃ pucchati? Nirodhassa anantarapaccayaṃ nevasaññānāsaññāyatanaṃ pucchissāmīti pucchati. Vissajjane panassa sukhassa ca pahānāti cattāro apagamanapaccayā kathitā. Animittāyāti idha kiṃ pucchati? Nirodhato vuṭṭhānakaphalasamāpattiṃ pucchissāmīti pucchati. Avasesasamāpattivuṭṭhānañhi bhavaṅgena hoti, nirodhā vuṭṭhānaṃ pana vipassanānissandāya phalasamāpattiyāti tameva pucchati. Sabbanimittānanti rūpādīnaṃ sabbārammaṇānaṃ. Animittāya ca dhātuyā manasikāroti sabbanimittāpagatāya nibbānadhātuyā manasikāro. Phalasamāpattisahajātaṃ manasikāraṃ sandhāyāha. Iti heṭṭhā nirodhapādakaṃ paṭhamajjhānaṃ gahitaṃ, nirodhassa anantarapaccayaṃ nevasaññānāsaññāyatanaṃ gahitaṃ, idha nirodhato vuṭṭhānakaphalasamāpatti gahitāti.
อิมสฺมิํ ฐาเน นิโรธกถา กเถตพฺพา โหติฯ สา, ‘‘ทฺวีหิ พเลหิ สมนฺนาคตตฺตา ตโย จ สงฺขารานํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา โสฬสหิ ญาณจริยาหิ นวหิ สมาธิจริยาหิ วสีภาวตาปญฺญา นิโรธสมาปตฺติยา ญาณ’’นฺติ เอวํ ปฎิสมฺภิทามเคฺค (ปฎิ. ม. ๑.๘๓) อาคตาฯ วิสุทฺธิมเคฺค ปนสฺสา สพฺพากาเรน วินิจฺฉยกถา กถิตาฯ
Imasmiṃ ṭhāne nirodhakathā kathetabbā hoti. Sā, ‘‘dvīhi balehi samannāgatattā tayo ca saṅkhārānaṃ paṭippassaddhiyā soḷasahi ñāṇacariyāhi navahi samādhicariyāhi vasībhāvatāpaññā nirodhasamāpattiyā ñāṇa’’nti evaṃ paṭisambhidāmagge (paṭi. ma. 1.83) āgatā. Visuddhimagge panassā sabbākārena vinicchayakathā kathitā.
อิทานิ วลญฺชนสมาปตฺติํ ปุจฺฉโนฺต กติ ปนาวุโส, ปจฺจยาติอาทิมาหฯ นิโรธโต หิ วุฎฺฐานกผลสมาปตฺติยา ฐิติ นาม น โหติ, เอกํ เทฺว จิตฺตวารเมว ปวตฺติตฺวา ภวงฺคํ โอตรติฯ อยญฺหิ ภิกฺขุ สตฺต ทิวเส อรูปปวตฺตํ นิโรเธตฺวา นิสิโนฺน นิโรธวุฎฺฐานกผลสมาปตฺติยํ น จิรํ ติฎฺฐติฯ วลญฺชนสมาปตฺติยํ ปน อทฺธานปริเจฺฉโทว ปมาณํฯ ตสฺมา สา ฐิติ นาม โหติฯ เตนาห – ‘‘อนิมิตฺตาย เจโตวิมุตฺติยา ฐิติยา’’ติฯ ตสฺสา จิรฎฺฐิตตฺถํ กติ ปจฺจยาติ อโตฺถฯ วิสฺสชฺชเน ปนสฺสา ปุเพฺพ จ อภิสงฺขาโรติ อทฺธานปริเจฺฉโท วุโตฺตฯ วุฎฺฐานายาติ อิธ ภวงฺควุฎฺฐานํ ปุจฺฉติฯ วิสฺสชฺชเนปิสฺสา สพฺพนิมิตฺตานญฺจ มนสิกาโรติ รูปาทินิมิตฺตวเสน ภวงฺคสหชาตมนสิกาโร วุโตฺตฯ
Idāni valañjanasamāpattiṃ pucchanto kati panāvuso, paccayātiādimāha. Nirodhato hi vuṭṭhānakaphalasamāpattiyā ṭhiti nāma na hoti, ekaṃ dve cittavārameva pavattitvā bhavaṅgaṃ otarati. Ayañhi bhikkhu satta divase arūpapavattaṃ nirodhetvā nisinno nirodhavuṭṭhānakaphalasamāpattiyaṃ na ciraṃ tiṭṭhati. Valañjanasamāpattiyaṃ pana addhānaparicchedova pamāṇaṃ. Tasmā sā ṭhiti nāma hoti. Tenāha – ‘‘animittāya cetovimuttiyā ṭhitiyā’’ti. Tassā ciraṭṭhitatthaṃ kati paccayāti attho. Vissajjane panassā pubbe ca abhisaṅkhāroti addhānaparicchedo vutto. Vuṭṭhānāyāti idha bhavaṅgavuṭṭhānaṃ pucchati. Vissajjanepissā sabbanimittānañcamanasikāroti rūpādinimittavasena bhavaṅgasahajātamanasikāro vutto.
๔๕๙. ยา จายํ, อาวุโสติ อิธ กิํ ปุจฺฉติ? อิธ อญฺญํ อภินวํ นาม นตฺถิฯ เหฎฺฐา กถิตธเมฺมเยว เอกโต สโมธาเนตฺวา ปุจฺฉามีติ ปุจฺฉติฯ กตฺถ ปน เต กถิตา? ‘‘นีลมฺปิ สญฺชานาติ ปีตกมฺปิ, โลหิตกมฺปิ, โอทาตกมฺปิ สญฺชานาตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๕๐) เอตสฺมิญฺหิ ฐาเน อปฺปมาณา เจโตวิมุตฺติ กถิตาฯ ‘‘นตฺถิ กิญฺจีติ อากิญฺจญฺญายตนนฺติ เนยฺย’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๔๕๑) เอตฺถ อากิญฺจญฺญํฯ ‘‘ปญฺญาจกฺขุนา ปชานาตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๕๑) เอตฺถ สุญฺญตาฯ ‘‘กติ ปนาวุโส, ปจฺจยา อนิมิตฺตาย เจโตวิมุตฺติยา ฐิติยา วุฎฺฐานายา’’ติ เอตฺถ อนิมิตฺตาฯ เอวํ เหฎฺฐา กถิตาว อิมสฺมิํ ฐาเน เอกโต สโมธาเนตฺวา ปุจฺฉติฯ ตํ ปน ปฎิกฺขิปิตฺวา เอตา ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเน นิทฺทิฎฺฐาวาติ วตฺวา อเญฺญ จตฺตาโร ธมฺมา เอกนามกา อตฺถิฯ เอโก ธโมฺม จตุนามโก อตฺถิ, เอตํ ปากฎํ กตฺวา กถาเปตุํ อิธ ปุจฺฉตีติ อฎฺฐกถายํ สนฺนิฎฺฐานํ กตํฯ ตสฺสา วิสฺสชฺชเน อยํ วุจฺจตาวุโส, อปฺปมาณา เจโตวิมุตฺตีติ อยํ ผรณอปฺปมาณตาย อปฺปมาณา นามฯ อยญฺหิ อปฺปมาเณ วา สเตฺต ผรติ, เอกสฺมิมฺปิ วา สเตฺต อเสเสตฺวา ผรติฯ
459.Yā cāyaṃ, āvusoti idha kiṃ pucchati? Idha aññaṃ abhinavaṃ nāma natthi. Heṭṭhā kathitadhammeyeva ekato samodhānetvā pucchāmīti pucchati. Kattha pana te kathitā? ‘‘Nīlampi sañjānāti pītakampi, lohitakampi, odātakampi sañjānātī’’ti (ma. ni. 1.450) etasmiñhi ṭhāne appamāṇā cetovimutti kathitā. ‘‘Natthi kiñcīti ākiñcaññāyatananti neyya’’nti (ma. ni. 1.451) ettha ākiñcaññaṃ. ‘‘Paññācakkhunā pajānātī’’ti (ma. ni. 1.451) ettha suññatā. ‘‘Kati panāvuso, paccayā animittāya cetovimuttiyā ṭhitiyā vuṭṭhānāyā’’ti ettha animittā. Evaṃ heṭṭhā kathitāva imasmiṃ ṭhāne ekato samodhānetvā pucchati. Taṃ pana paṭikkhipitvā etā tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne niddiṭṭhāvāti vatvā aññe cattāro dhammā ekanāmakā atthi. Eko dhammo catunāmako atthi, etaṃ pākaṭaṃ katvā kathāpetuṃ idha pucchatīti aṭṭhakathāyaṃ sanniṭṭhānaṃ kataṃ. Tassā vissajjane ayaṃ vuccatāvuso, appamāṇā cetovimuttīti ayaṃ pharaṇaappamāṇatāya appamāṇā nāma. Ayañhi appamāṇe vā satte pharati, ekasmimpi vā satte asesetvā pharati.
อยํ วุจฺจตาวุโส, อากิญฺจญฺญาติ อารมฺมณกิญฺจนสฺส อภาวโต อากิญฺจญฺญาฯ อเตฺตน วาติ อตฺต ภาวโปสปุคฺคลาทิสงฺขาเตน อเตฺตน สุญฺญํฯ อตฺตนิเยน วาติ จีวราทิปริกฺขารสงฺขาเตน อตฺตนิเยน สุญฺญํฯ อนิมิตฺตาติ ราคนิมิตฺตาทีนํ อภาเวเนว อนิมิตฺตา, อรหตฺตผลสมาปตฺติํ สนฺธายาหฯ นานตฺถา เจว นานาพฺยญฺชนา จาติ พฺยญฺชนมฺปิ เนสํ นานา อโตฺถปิฯ ตตฺถ พฺยญฺชนสฺส นานตา ปากฎาวฯ อโตฺถ ปน, อปฺปมาณา เจโตวิมุตฺติ ภูมนฺตรโต มหคฺคตา เอว โหติ รูปาวจรา; อารมฺมณโต สตฺต ปญฺญตฺติอารมฺมณาฯ อากิญฺจญฺญา ภุมฺมนฺตรโต มหคฺคตา อรูปาวจรา; อารมฺมณโต น วตฺตพฺพารมฺมณาฯ สุญฺญตา ภุมฺมนฺตรโต กามาวจรา; อารมฺมณโต สงฺขารารมฺมณาฯ วิปสฺสนา หิ เอตฺถ สุญฺญตาติ อธิเปฺปตาฯ อนิมิตฺตา ภุมฺมนฺตรโต โลกุตฺตรา; อารมฺมณโต นิพฺพนารมฺมณาฯ
Ayaṃ vuccatāvuso, ākiñcaññāti ārammaṇakiñcanassa abhāvato ākiñcaññā. Attena vāti atta bhāvaposapuggalādisaṅkhātena attena suññaṃ. Attaniyena vāti cīvarādiparikkhārasaṅkhātena attaniyena suññaṃ. Animittāti rāganimittādīnaṃ abhāveneva animittā, arahattaphalasamāpattiṃ sandhāyāha. Nānatthā ceva nānābyañjanā cāti byañjanampi nesaṃ nānā atthopi. Tattha byañjanassa nānatā pākaṭāva. Attho pana, appamāṇā cetovimutti bhūmantarato mahaggatā eva hoti rūpāvacarā; ārammaṇato satta paññattiārammaṇā. Ākiñcaññā bhummantarato mahaggatā arūpāvacarā; ārammaṇato na vattabbārammaṇā. Suññatā bhummantarato kāmāvacarā; ārammaṇato saṅkhārārammaṇā. Vipassanā hi ettha suññatāti adhippetā. Animittā bhummantarato lokuttarā; ārammaṇato nibbanārammaṇā.
ราโค โข, อาวุโส, ปมาณกรโณติอาทีสุ ยถา ปพฺพตปาเท ปูติปณฺณรสอุทกํ นาม โหติ กาฬวณฺณํ; โอโลเกนฺตานํ พฺยามสตคมฺภีรํ วิย ขายติฯ ยฎฺฐิํ วา รชฺชุํ วา คเหตฺวา มินนฺตสฺส ปิฎฺฐิปาโทตฺถรณมตฺตมฺปิ น โหติฯ เอวเมวํ ยาว ราคาทโย นุปฺปชฺชนฺติ, ตาว ปุคฺคลํ สญฺชานิตุํ น สกฺกา โหนฺติ, โสตาปโนฺน วิย, สกทาคามี วิย, อนาคามี วิย จ ขายติฯ ยทา ปนสฺส ราคาทโย อุปฺปชฺชนฺติ, ตทา รโตฺต ทุโฎฺฐ มูโฬฺหติ ปญฺญายติฯ อิติ เอเต ‘‘เอตฺตโก อย’’นฺติ ปุคฺคลสฺส ปมาณํ ทเสฺสโนฺต วิย อุปฺปชฺชนฺตีติ ปมาณกรณา นาม วุตฺตาฯ ยาวตา โข, อาวุโส, อปฺปมาณา เจโตวิมุตฺติโยติ ยตฺตกา อปฺปมาณา เจโตวิมุตฺติโยฯ กิตฺตกา ปน ตา? จตฺตาโร พฺรหฺมวิหารา, จตฺตาโร มคฺคา, จตฺตาริ จ ผลานีติ ทฺวาทสฯ ตตฺถ พฺรหฺมวิหารา ผรณอปฺปมาณตาย อปฺปมาณาฯ เสสา ปมาณกรณานํ กิเลสานํ อภาเวน อปฺปมาณาฯ นิพฺพานมฺปิ อปฺปมาณเมว, เจโตวิมุตฺติ ปน น โหติ, ตสฺมา น คหิตํฯ อกุปฺปาติ อรหตฺตผลเจโตวิมุตฺติ; สา หิ ตาสํ สพฺพเชฎฺฐิกา, ตสฺมา อคฺคมกฺขายตีติ วุตฺตาฯ ราโค โข, อาวุโส, กิญฺจโนติ ราโค อุปฺปชฺชิตฺวา ปุคฺคลํ กิญฺจติ มทฺทติ ปลิพุนฺธติฯ ตสฺมา กิญฺจโนติ วุโตฺตฯ มนุสฺสา กิร โคเณหิ ขลํ มทฺทาเปโนฺต กิเญฺจหิ กปิล, กิเญฺจหิ กาฬกาติ วทนฺติฯ เอวํ มทฺทนโตฺถ กิญฺจนโตฺถติ เวทิตโพฺพฯ โทสโมเหสุปิ เอเสว นโยฯ อากิญฺจญฺญา เจโตวิมุตฺติโย นาม นว ธมฺมา อากิญฺจญฺญายตนญฺจ มคฺคผลานิ จฯ ตตฺถ อากิญฺจญฺญายตนํ กิญฺจนํ อารมฺมณํ อสฺส นตฺถีติ อากิญฺจญฺญํฯ มคฺคผลานิ กิญฺจนานํ มทฺทนานํ ปลิพุนฺธนกิเลสานํ นตฺถิตาย อากิญฺจญฺญานิฯ นิพฺพานมฺปิ อากิญฺจญฺญํ, เจโตวิมุตฺติ ปน น โหติ, ตสฺมา น คหิตํฯ
Rāgokho, āvuso, pamāṇakaraṇotiādīsu yathā pabbatapāde pūtipaṇṇarasaudakaṃ nāma hoti kāḷavaṇṇaṃ; olokentānaṃ byāmasatagambhīraṃ viya khāyati. Yaṭṭhiṃ vā rajjuṃ vā gahetvā minantassa piṭṭhipādottharaṇamattampi na hoti. Evamevaṃ yāva rāgādayo nuppajjanti, tāva puggalaṃ sañjānituṃ na sakkā honti, sotāpanno viya, sakadāgāmī viya, anāgāmī viya ca khāyati. Yadā panassa rāgādayo uppajjanti, tadā ratto duṭṭho mūḷhoti paññāyati. Iti ete ‘‘ettako aya’’nti puggalassa pamāṇaṃ dassento viya uppajjantīti pamāṇakaraṇā nāma vuttā. Yāvatā kho, āvuso, appamāṇā cetovimuttiyoti yattakā appamāṇā cetovimuttiyo. Kittakā pana tā? Cattāro brahmavihārā, cattāro maggā, cattāri ca phalānīti dvādasa. Tattha brahmavihārā pharaṇaappamāṇatāya appamāṇā. Sesā pamāṇakaraṇānaṃ kilesānaṃ abhāvena appamāṇā. Nibbānampi appamāṇameva, cetovimutti pana na hoti, tasmā na gahitaṃ. Akuppāti arahattaphalacetovimutti; sā hi tāsaṃ sabbajeṭṭhikā, tasmā aggamakkhāyatīti vuttā. Rāgo kho, āvuso, kiñcanoti rāgo uppajjitvā puggalaṃ kiñcati maddati palibundhati. Tasmā kiñcanoti vutto. Manussā kira goṇehi khalaṃ maddāpento kiñcehi kapila, kiñcehi kāḷakāti vadanti. Evaṃ maddanattho kiñcanatthoti veditabbo. Dosamohesupi eseva nayo. Ākiñcaññā cetovimuttiyo nāma nava dhammā ākiñcaññāyatanañca maggaphalāni ca. Tattha ākiñcaññāyatanaṃ kiñcanaṃ ārammaṇaṃ assa natthīti ākiñcaññaṃ. Maggaphalāni kiñcanānaṃ maddanānaṃ palibundhanakilesānaṃ natthitāya ākiñcaññāni. Nibbānampi ākiñcaññaṃ, cetovimutti pana na hoti, tasmā na gahitaṃ.
ราโค โข, อาวุโส, นิมิตฺตกรโณติอาทีสุ ยถา นาม ทฺวินฺนํ กุลานํ สทิสา เทฺว วจฺฉกา โหนฺติฯ ยาว เตสํ ลกฺขณํ น กตํ โหติ, ตาว ‘‘อยํ อสุกกุลสฺส วจฺฉโก, อยํ อสุกกุลสฺสา’’ติ น สกฺกา โหนฺติ ชานิตุํฯ ยทา ปน เตสํ สตฺติสูลาทีสุ อญฺญตรํ ลกฺขณํ กตํ โหติ, ตทา สกฺกา โหนฺติ ชานิตุํฯ เอวเมว ยาว ปุคฺคลสฺส ราโค นุปฺปชฺชติ, ตาว น สกฺกา โหติ ชานิตุํ อริโย วา ปุถุชฺชโน วาติฯ ราโค ปนสฺส อุปฺปชฺชมาโนว สราโค นาม อยํ ปุคฺคโลติ สญฺชานนนิมิตฺตํ กโรโนฺต วิย อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา ‘‘นิมิตฺตกรโณ’’ติ วุโตฺตฯ โทสโมเหสุปิ เอเสว นโยฯ
Rāgo kho, āvuso, nimittakaraṇotiādīsu yathā nāma dvinnaṃ kulānaṃ sadisā dve vacchakā honti. Yāva tesaṃ lakkhaṇaṃ na kataṃ hoti, tāva ‘‘ayaṃ asukakulassa vacchako, ayaṃ asukakulassā’’ti na sakkā honti jānituṃ. Yadā pana tesaṃ sattisūlādīsu aññataraṃ lakkhaṇaṃ kataṃ hoti, tadā sakkā honti jānituṃ. Evameva yāva puggalassa rāgo nuppajjati, tāva na sakkā hoti jānituṃ ariyo vā puthujjano vāti. Rāgo panassa uppajjamānova sarāgo nāma ayaṃ puggaloti sañjānananimittaṃ karonto viya uppajjati, tasmā ‘‘nimittakaraṇo’’ti vutto. Dosamohesupi eseva nayo.
อนิมิตฺตา เจโตวิมุตฺติ นาม เตรส ธมฺมา – วิปสฺสนา, จตฺตาโร อารุปฺปา, จตฺตาโร มคฺคา, จตฺตาริ จ ผลานีติฯ ตตฺถ วิปสฺสนา นิจฺจนิมิตฺตํ สุขนิมิตฺตํ อตฺตนิมิตฺตํ อุคฺฆาเฎตีติ อนิมิตฺตา นามฯ จตฺตาโร อารุปฺปา รูปนิมิตฺตสฺส อภาเวน อนิมิตฺตา นามฯ มคฺคผลานิ นิมิตฺตกรณานํ กิเลสานํ อภาเวน อนิมิตฺตานิฯ นิพฺพานมฺปิ อนิมิตฺตเมว, ตํ ปน เจโตวิมุตฺติ น โหติ, ตสฺมา น คหิตํฯ อถ กสฺมา สุญฺญตา เจโตวิมุตฺติ น คหิตาติ? สา, ‘‘สุญฺญา ราเคนา’’ติอาทิวจนโต สพฺพตฺถ อนุปวิฎฺฐาว, ตสฺมา วิสุํ น คหิตา ฯ เอกตฺถาติ อารมฺมณวเสน เอกตฺถาฯ อปฺปมาณํ อากิญฺจญฺญํ สุญฺญตํ อนิมิตฺตนฺติ หิ สพฺพาเนตานิ นิพฺพานเสฺสว นามานิฯ อิติ อิมินา ปริยาเยน เอกตฺถาฯ อญฺญสฺมิํ ปน ฐาเน อปฺปมาณา โหนฺติ, อญฺญสฺมิํ อากิญฺจญฺญา อญฺญสฺมิํ สุญฺญตา อญฺญสฺมิํ อนิมิตฺตาติ อิมินา ปริยาเยน นานาพฺยญฺชนาฯ อิติ เถโร ยถานุสนฺธินาว เทสนํ นิฎฺฐเปสีติฯ
Animittā cetovimutti nāma terasa dhammā – vipassanā, cattāro āruppā, cattāro maggā, cattāri ca phalānīti. Tattha vipassanā niccanimittaṃ sukhanimittaṃ attanimittaṃ ugghāṭetīti animittā nāma. Cattāro āruppā rūpanimittassa abhāvena animittā nāma. Maggaphalāni nimittakaraṇānaṃ kilesānaṃ abhāvena animittāni. Nibbānampi animittameva, taṃ pana cetovimutti na hoti, tasmā na gahitaṃ. Atha kasmā suññatā cetovimutti na gahitāti? Sā, ‘‘suññā rāgenā’’tiādivacanato sabbattha anupaviṭṭhāva, tasmā visuṃ na gahitā . Ekatthāti ārammaṇavasena ekatthā. Appamāṇaṃ ākiñcaññaṃ suññataṃ animittanti hi sabbānetāni nibbānasseva nāmāni. Iti iminā pariyāyena ekatthā. Aññasmiṃ pana ṭhāne appamāṇā honti, aññasmiṃ ākiñcaññā aññasmiṃ suññatā aññasmiṃ animittāti iminā pariyāyena nānābyañjanā. Iti thero yathānusandhināva desanaṃ niṭṭhapesīti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
มหาเวทลฺลสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Mahāvedallasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๓. มหาเวทลฺลสุตฺตํ • 3. Mahāvedallasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๓. มหาเวทลฺลสุตฺตวณฺณนา • 3. Mahāvedallasuttavaṇṇanā