Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๖] ๖. มหิฬามุขชาตกวณฺณนา
[26] 6. Mahiḷāmukhajātakavaṇṇanā
ปุราณโจราน วโจ นิสมฺมาติ อิทํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรโนฺต เทวทตฺตํ อารพฺภ กเถสิฯ เทวทโตฺต อชาตสตฺตุกุมารํ ปสาเทตฺวา ลาภสกฺการํ นิปฺผาเทสิฯ อชาตสตฺตุกุมาโร เทวทตฺตสฺส คยาสีเส วิหารํ กาเรตฺวา นานคฺครเสหิ ติวสฺสิกคนฺธสาลิโภชนสฺส ทิวเส ทิวเส ปญฺจ ถาลิปากสตานิ อภิหริฯ ลาภสกฺการํ นิสฺสาย เทวทตฺตสฺส ปริวาโร มหโนฺต ชาโต, เทวทโตฺต ปริวาเรน สทฺธิํ วิหาเรเยว โหติฯ เตน สมเยน ราชคหวาสิกา เทฺว สหายาฯ เตสุ เอโก สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิโต, เอโก เทวทตฺตสฺสฯ เต อญฺญมญฺญํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเนปิ ปสฺสนฺติ, วิหารํ คนฺตฺวาปิ ปสฺสนฺติเยวฯ
Purāṇacorāna vaco nisammāti idaṃ satthā veḷuvane viharanto devadattaṃ ārabbha kathesi. Devadatto ajātasattukumāraṃ pasādetvā lābhasakkāraṃ nipphādesi. Ajātasattukumāro devadattassa gayāsīse vihāraṃ kāretvā nānaggarasehi tivassikagandhasālibhojanassa divase divase pañca thālipākasatāni abhihari. Lābhasakkāraṃ nissāya devadattassa parivāro mahanto jāto, devadatto parivārena saddhiṃ vihāreyeva hoti. Tena samayena rājagahavāsikā dve sahāyā. Tesu eko satthu santike pabbajito, eko devadattassa. Te aññamaññaṃ tasmiṃ tasmiṃ ṭhānepi passanti, vihāraṃ gantvāpi passantiyeva.
อเถกทิวสํ เทวทตฺตสฺส นิสฺสิตโก อิตรํ อาห – ‘‘อาวุโส, กิํ ตฺวํ เทวสิกํ เสเทหิ มุจฺจมาเนหิ ปิณฺฑาย จรสิ, เทวทโตฺต คยาสีสวิหาเร นิสีทิตฺวาว นานคฺครเสหิ สุโภชนํ ภุญฺชติ, เอวรูโป อุปาโย นตฺถิ, กิํ ตฺวํ ทุกฺขํ อนุโภสิ, กิํ เต ปาโตว คยาสีสํ อาคนฺตฺวา สอุตฺตริภงฺคํ ยาคุํ ปิวิตฺวา อฎฺฐารสวิธํ ขชฺชกํ ขาทิตฺวา นานคฺครเสหิ สุโภชนํ ภุญฺชิตุํ น วฎฺฎตี’’ติ? โส ปุนปฺปุนํ วุจฺจมาโน คนฺตุกาโม หุตฺวา ตโต ปฎฺฐาย คยาสีสํ คนฺตฺวา ภุญฺชิตฺวา กาลเสฺสว เวฬุวนํ อาคจฺฉติฯ โส สพฺพกาลํ ปฎิจฺฉาเทตุํ นาสกฺขิ, ‘‘คยาสีสํ คนฺตฺวา เทวทตฺตสฺส ปฎฺฐปิตํ ภตฺตํ ภุญฺชตี’’ติ น จิรเสฺสว ปากโฎ ชาโต ฯ อถ นํ สหายา ปุจฺฉิํสุ ‘‘สจฺจํ กิร, ตฺวํ อาวุโส, เทวทตฺตสฺส ปฎฺฐปิตํ ภตฺตํ ภุญฺชสี’’ติฯ ‘‘โก เอวมาหา’’ติ? ‘‘อสุโก จ อสุโก จา’’ติฯ ‘‘สจฺจํ อหํ อาวุโส คยาสีสํ คนฺตฺวา ภุญฺชามิ, น ปน เม เทวทโตฺต ภตฺตํ เทติ, อเญฺญ มนุสฺสา เทนฺตี’’ติฯ ‘‘อาวุโส, เทวทโตฺต พุทฺธานํ ปฎิกณฺฎโก ทุสฺสีโล อชาตสตฺตุํ ปสาเทตฺวา อธเมฺมน อตฺตโน ลาภสกฺการํ อุปฺปาเทสิ, ตฺวํ เอวรูเป นิยฺยานิเก พุทฺธสาสเน ปพฺพชิตฺวา เทวทตฺตสฺส อธเมฺมน อุปฺปนฺนํ โภชนํ ภุญฺชสิ, เอหิ ตํ สตฺถุ สนฺติกํ เนสฺสามา’’ติ ตํ ภิกฺขุํ อาทาย ธมฺมสภํ อาคมิํสุฯ
Athekadivasaṃ devadattassa nissitako itaraṃ āha – ‘‘āvuso, kiṃ tvaṃ devasikaṃ sedehi muccamānehi piṇḍāya carasi, devadatto gayāsīsavihāre nisīditvāva nānaggarasehi subhojanaṃ bhuñjati, evarūpo upāyo natthi, kiṃ tvaṃ dukkhaṃ anubhosi, kiṃ te pātova gayāsīsaṃ āgantvā sauttaribhaṅgaṃ yāguṃ pivitvā aṭṭhārasavidhaṃ khajjakaṃ khāditvā nānaggarasehi subhojanaṃ bhuñjituṃ na vaṭṭatī’’ti? So punappunaṃ vuccamāno gantukāmo hutvā tato paṭṭhāya gayāsīsaṃ gantvā bhuñjitvā kālasseva veḷuvanaṃ āgacchati. So sabbakālaṃ paṭicchādetuṃ nāsakkhi, ‘‘gayāsīsaṃ gantvā devadattassa paṭṭhapitaṃ bhattaṃ bhuñjatī’’ti na cirasseva pākaṭo jāto . Atha naṃ sahāyā pucchiṃsu ‘‘saccaṃ kira, tvaṃ āvuso, devadattassa paṭṭhapitaṃ bhattaṃ bhuñjasī’’ti. ‘‘Ko evamāhā’’ti? ‘‘Asuko ca asuko cā’’ti. ‘‘Saccaṃ ahaṃ āvuso gayāsīsaṃ gantvā bhuñjāmi, na pana me devadatto bhattaṃ deti, aññe manussā dentī’’ti. ‘‘Āvuso, devadatto buddhānaṃ paṭikaṇṭako dussīlo ajātasattuṃ pasādetvā adhammena attano lābhasakkāraṃ uppādesi, tvaṃ evarūpe niyyānike buddhasāsane pabbajitvā devadattassa adhammena uppannaṃ bhojanaṃ bhuñjasi, ehi taṃ satthu santikaṃ nessāmā’’ti taṃ bhikkhuṃ ādāya dhammasabhaṃ āgamiṃsu.
สตฺถา ทิสฺวาว ‘‘กิํ, ภิกฺขเว, เอตํ ภิกฺขุํ อนิจฺฉนฺตเญฺญว อาทาย อาคตตฺถา’’ติ? ‘‘อาม ภเนฺต, อยํ ภิกฺขุ ตุมฺหากํ สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา เทวทตฺตสฺส อธเมฺมน อุปฺปนฺนํ โภชนํ ภุญฺชตี’’ติฯ ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ เทวทตฺตสฺส อธเมฺมน อุปฺปนฺนํ โภชนํ ภุญฺชสี’’ติ? ‘‘น ภเนฺต, เทวทโตฺต มยฺหํ เทติ, อเญฺญ มนุสฺสา เทนฺติ, ตมหํ ภุญฺชามี’’ติฯ สตฺถา ‘‘มา ภิกฺขุ เอตฺถ ปริหารํ กริ, เทวทโตฺต อนาจาโร ทุสฺสีโล, กถญฺหิ นาม ตฺวํ อิธ ปพฺพชิตฺวา มม สาสนํ ภชโนฺตเยว เทวทตฺตสฺส ภตฺตํ ภุญฺชสิ, นิจฺจกาลมฺปิ ภชนสีลโกว ตฺวํ ทิฎฺฐทิเฎฺฐเยว ภชสี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Satthā disvāva ‘‘kiṃ, bhikkhave, etaṃ bhikkhuṃ anicchantaññeva ādāya āgatatthā’’ti? ‘‘Āma bhante, ayaṃ bhikkhu tumhākaṃ santike pabbajitvā devadattassa adhammena uppannaṃ bhojanaṃ bhuñjatī’’ti. ‘‘Saccaṃ kira tvaṃ bhikkhu devadattassa adhammena uppannaṃ bhojanaṃ bhuñjasī’’ti? ‘‘Na bhante, devadatto mayhaṃ deti, aññe manussā denti, tamahaṃ bhuñjāmī’’ti. Satthā ‘‘mā bhikkhu ettha parihāraṃ kari, devadatto anācāro dussīlo, kathañhi nāma tvaṃ idha pabbajitvā mama sāsanaṃ bhajantoyeva devadattassa bhattaṃ bhuñjasi, niccakālampi bhajanasīlakova tvaṃ diṭṭhadiṭṭheyeva bhajasī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส อมโจฺจ อโหสิฯ ตทา รโญฺญ มหิฬามุโข นาม มงฺคลหตฺถี อโหสิ สีลวา อาจารสมฺปโนฺน, น กญฺจิ วิเหเฐติฯ อเถกทิวสํ ตสฺส สาลาย สมีเป รตฺติภาคสมนนฺตเร โจรา อาคนฺตฺวา ตสฺส อวิทูเร นิสินฺนา โจรมนฺตํ มนฺตยิํสุ ‘‘เอวํ อุมฺมโงฺค ภินฺทิตโพฺพ, เอวํ สนฺธิเจฺฉทกมฺมํ กตฺตพฺพํ, อุมฺมงฺคญฺจ สนฺธิเจฺฉทญฺจ มคฺคสทิสํ ติตฺถสทิสํ นิชฺชฎํ นิคฺคุมฺพํ กตฺวา ภณฺฑํ หริตุํ วฎฺฎติ, หรเนฺตน มาเรตฺวาว หริตพฺพํ, เอวํ อุฎฺฐาตุํ สมโตฺถ นาม น ภวิสฺสติ, โจเรน จ นาม สีลาจารยุเตฺตน น ภวิตพฺพํ, กกฺขเฬน ผรุเสน สาหสิเกน ภวิตพฺพ’’นฺติฯ เอวํ มเนฺตตฺวา อญฺญมญฺญํ อุคฺคณฺหาเปตฺวา อคมํสุฯ เอเตเนว อุปาเยน ปุนทิวเสปิ ปุนทิวเสปีติ พหู ทิวเส ตตฺถ อาคนฺตฺวา มนฺตยิํสุฯ โส เตสํ วจนํ สุตฺวา ‘‘เต มํ สิกฺขาเปนฺตี’’ติ สญฺญาย ‘‘อิทานิ มยา กกฺขเฬน ผรุเสน สาหสิเกน ภวิตพฺพ’’นฺติ ตถารูโปว อโหสิฯ ปาโตว อาคตํ หตฺถิโคปกํ โสณฺฑาย คเหตฺวา ภูมิยํ โปเถตฺวา มาเรสิฯ อปรมฺปิ ตถา อปรมฺปิ ตถาติ อาคตาคตํ มาเรติเยวฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tassa amacco ahosi. Tadā rañño mahiḷāmukho nāma maṅgalahatthī ahosi sīlavā ācārasampanno, na kañci viheṭheti. Athekadivasaṃ tassa sālāya samīpe rattibhāgasamanantare corā āgantvā tassa avidūre nisinnā coramantaṃ mantayiṃsu ‘‘evaṃ ummaṅgo bhinditabbo, evaṃ sandhicchedakammaṃ kattabbaṃ, ummaṅgañca sandhicchedañca maggasadisaṃ titthasadisaṃ nijjaṭaṃ niggumbaṃ katvā bhaṇḍaṃ harituṃ vaṭṭati, harantena māretvāva haritabbaṃ, evaṃ uṭṭhātuṃ samattho nāma na bhavissati, corena ca nāma sīlācārayuttena na bhavitabbaṃ, kakkhaḷena pharusena sāhasikena bhavitabba’’nti. Evaṃ mantetvā aññamaññaṃ uggaṇhāpetvā agamaṃsu. Eteneva upāyena punadivasepi punadivasepīti bahū divase tattha āgantvā mantayiṃsu. So tesaṃ vacanaṃ sutvā ‘‘te maṃ sikkhāpentī’’ti saññāya ‘‘idāni mayā kakkhaḷena pharusena sāhasikena bhavitabba’’nti tathārūpova ahosi. Pātova āgataṃ hatthigopakaṃ soṇḍāya gahetvā bhūmiyaṃ pothetvā māresi. Aparampi tathā aparampi tathāti āgatāgataṃ māretiyeva.
‘‘มหิฬามุโข อุมฺมตฺตโก ชาโต ทิฎฺฐทิเฎฺฐ มาเรตี’’ติ รโญฺญ อาโรจยิํสุฯ ราชา โพธิสตฺตํ ปหิณิ ‘‘คจฺฉ ปณฺฑิต, ชานาหิ เกน การเณน โส ทุโฎฺฐ ชาโต’’ติฯ โพธิสโตฺต คนฺตฺวา ตสฺส สรีเร อโรคภาวํ ญตฺวา ‘‘เกน นุ โข การเณน เอส ทุโฎฺฐ ชาโต’’ติ อุปธาเรโนฺต ‘‘อทฺธา อวิทูเร เกสญฺจิ วจนํ สุตฺวา ‘มํ เอเต สิกฺขาเปนฺตี’ติ สญฺญาย ทุโฎฺฐ ชาโต’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา หตฺถิโคปเก ปุจฺฉิ ‘‘อตฺถิ นุ โข หตฺถิสาลาย สมีเป รตฺติภาเค เกหิจิ กิญฺจิ กถิตปุพฺพ’’นฺติ? ‘‘อาม, สามิ, โจรา อาคนฺตฺวา กถยิํสู’’ติฯ โพธิสโตฺต คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิ ‘‘เทว, อโญฺญ หตฺถิสฺส สรีเร วิกาโร นตฺถิ, โจรานํ กถํ สุตฺวา ทุโฎฺฐ ชาโต’’ติฯ ‘‘อิทานิ กิํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ? ‘‘สีลวเนฺต สมณพฺราหฺมเณ หตฺถิสาลายํ นิสีทาเปตฺวา สีลาจารกถํ กถาเปตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘เอวํ กาเรหิ, ตาตา’’ติฯ
‘‘Mahiḷāmukho ummattako jāto diṭṭhadiṭṭhe māretī’’ti rañño ārocayiṃsu. Rājā bodhisattaṃ pahiṇi ‘‘gaccha paṇḍita, jānāhi kena kāraṇena so duṭṭho jāto’’ti. Bodhisatto gantvā tassa sarīre arogabhāvaṃ ñatvā ‘‘kena nu kho kāraṇena esa duṭṭho jāto’’ti upadhārento ‘‘addhā avidūre kesañci vacanaṃ sutvā ‘maṃ ete sikkhāpentī’ti saññāya duṭṭho jāto’’ti sanniṭṭhānaṃ katvā hatthigopake pucchi ‘‘atthi nu kho hatthisālāya samīpe rattibhāge kehici kiñci kathitapubba’’nti? ‘‘Āma, sāmi, corā āgantvā kathayiṃsū’’ti. Bodhisatto gantvā rañño ārocesi ‘‘deva, añño hatthissa sarīre vikāro natthi, corānaṃ kathaṃ sutvā duṭṭho jāto’’ti. ‘‘Idāni kiṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti? ‘‘Sīlavante samaṇabrāhmaṇe hatthisālāyaṃ nisīdāpetvā sīlācārakathaṃ kathāpetuṃ vaṭṭatī’’ti. ‘‘Evaṃ kārehi, tātā’’ti.
โพธิสโตฺต คนฺตฺวา สีลวเนฺต สมณพฺราหฺมเณ หตฺถิสาลายํ นิสีทาเปตฺวา ‘‘สีลกถํ กเถถ, ภเนฺต’’ติ อาหฯ เต หตฺถิสฺส อวิทูเร นิสินฺนา ‘‘น โกจิ ปรามสิตโพฺพ น มาเรตโพฺพ, สีลาจารสมฺปเนฺนน ขนฺติเมตฺตานุทฺทยยุเตฺตน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ สีลกถํ กถยิํสุฯ โส ตํ สุตฺวา ‘‘มํ อิเม สิกฺขาเปนฺติ, อิโต ทานิ ปฎฺฐาย สีลวเนฺตน ภวิตพฺพ’’นฺติ สีลวา อโหสิฯ ราชา โพธิสตฺตํ ปุจฺฉิ ‘‘กิํ, ตาต, สีลวา ชาโต’’ติ ? โพธิสโตฺต ‘‘อาม, เทวา’’ติฯ ‘‘เอวรูโป ทุฎฺฐหตฺถี ปณฺฑิเต นิสฺสาย โปราณกธเมฺมเยว ปติฎฺฐิโต’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –
Bodhisatto gantvā sīlavante samaṇabrāhmaṇe hatthisālāyaṃ nisīdāpetvā ‘‘sīlakathaṃ kathetha, bhante’’ti āha. Te hatthissa avidūre nisinnā ‘‘na koci parāmasitabbo na māretabbo, sīlācārasampannena khantimettānuddayayuttena bhavituṃ vaṭṭatī’’ti sīlakathaṃ kathayiṃsu. So taṃ sutvā ‘‘maṃ ime sikkhāpenti, ito dāni paṭṭhāya sīlavantena bhavitabba’’nti sīlavā ahosi. Rājā bodhisattaṃ pucchi ‘‘kiṃ, tāta, sīlavā jāto’’ti ? Bodhisatto ‘‘āma, devā’’ti. ‘‘Evarūpo duṭṭhahatthī paṇḍite nissāya porāṇakadhammeyeva patiṭṭhito’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –
๒๖.
26.
‘‘ปุราณโจราน วโจ นิสมฺม, มหิฬามุโข โปถยมนฺวจารี;
‘‘Purāṇacorāna vaco nisamma, mahiḷāmukho pothayamanvacārī;
สุสญฺญตานญฺหิ วโจ นิสมฺม, คชุตฺตโม สพฺพคุเณสุ อฎฺฐา’’ติฯ
Susaññatānañhi vaco nisamma, gajuttamo sabbaguṇesu aṭṭhā’’ti.
ตตฺถ ปุราณโจรานนฺติ โปราณโจรานํฯ นิสมฺมาติ สุตฺวา, ปฐมํ โจรานํ วจนํ สุตฺวาติ อโตฺถฯ มหิฬามุโขติ หตฺถินิมุเขน สทิสมุโขฯ ยถา มหิฬา ปุรโต โอโลกิยมานา โสภติ, น ปจฺฉโต, ตถา โสปิ ปุรโต โอโลกิยมาโน โสภติฯ ตสฺมา ‘‘มหิฬามุโข’’ติสฺส นามํ อกํสุฯ โปถยมนฺวจารีติ โปถยโนฺต มาเรโนฺต อนุจารีฯ อยเมว วา ปาโฐฯ สุสญฺญตานนฺติ สุฎฺฐุ สญฺญตานํ สีลวนฺตานํฯ คชุตฺตโมติ อุตฺตมคโช มงฺคลหตฺถีฯ สพฺพคุเณสุ อฎฺฐาติ สเพฺพสุ โปราณคุเณสุ ปติฎฺฐิโตฯ ราชา ‘‘ติรจฺฉานคตสฺสาปิ อาสยํ ชานาตี’’ติ โพธิสตฺตสฺส มหนฺตํ ยสํ อทาสิฯ โส ยาวตายุกํ ฐตฺวา สทฺธิํ โพธิสเตฺตน ยถากมฺมํ คโตฯ
Tattha purāṇacorānanti porāṇacorānaṃ. Nisammāti sutvā, paṭhamaṃ corānaṃ vacanaṃ sutvāti attho. Mahiḷāmukhoti hatthinimukhena sadisamukho. Yathā mahiḷā purato olokiyamānā sobhati, na pacchato, tathā sopi purato olokiyamāno sobhati. Tasmā ‘‘mahiḷāmukho’’tissa nāmaṃ akaṃsu. Pothayamanvacārīti pothayanto mārento anucārī. Ayameva vā pāṭho. Susaññatānanti suṭṭhu saññatānaṃ sīlavantānaṃ. Gajuttamoti uttamagajo maṅgalahatthī. Sabbaguṇesu aṭṭhāti sabbesu porāṇaguṇesu patiṭṭhito. Rājā ‘‘tiracchānagatassāpi āsayaṃ jānātī’’ti bodhisattassa mahantaṃ yasaṃ adāsi. So yāvatāyukaṃ ṭhatvā saddhiṃ bodhisattena yathākammaṃ gato.
สตฺถา ‘‘ปุเพฺพปิ ตฺวํ ภิกฺขุ ทิฎฺฐทิเฎฺฐเยว ภชิ, โจรานํ วจนํ สุตฺวา โจเร ภชิ, ธมฺมิกานํ วจนํ สุตฺวา ธมฺมิเก ภชี’’ติ อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา มหิฬามุโข วิปกฺขเสวกภิกฺขุ อโหสิ, ราชา อานโนฺท, อมโจฺจ ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā ‘‘pubbepi tvaṃ bhikkhu diṭṭhadiṭṭheyeva bhaji, corānaṃ vacanaṃ sutvā core bhaji, dhammikānaṃ vacanaṃ sutvā dhammike bhajī’’ti imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā mahiḷāmukho vipakkhasevakabhikkhu ahosi, rājā ānando, amacco pana ahameva ahosi’’nti.
มหิฬามุขชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ
Mahiḷāmukhajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๖. มหิฬามุขชาตกํ • 26. Mahiḷāmukhajātakaṃ