Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā |
มกฺกฎีวตฺถุกถาวณฺณนา
Makkaṭīvatthukathāvaṇṇanā
๔๐. ปจุรเตฺถ หิ วตฺตมานวจนนฺติ เอกทา ปฎิเสวิตฺวา ปจฺฉา อโนรมิตฺวา ทิวเส ทิวเส เสวนิจฺฉาย วตฺตมานตฺตา เสวนาย อภาวกฺขเณปิ อิห มลฺลา ยุชฺฌนฺตีติอาทีสุ วิย อโพฺพจฺฉินฺนตํ พาหุลฺลวุตฺติตญฺจ อุปาทาย ปฎิเสวตีติ วตฺตมานวจนํ กตนฺติ อโตฺถฯ อาหิณฺฑนฺตาติ วิจรนฺตาฯ
40.Pacuratthe hi vattamānavacananti ekadā paṭisevitvā pacchā anoramitvā divase divase sevanicchāya vattamānattā sevanāya abhāvakkhaṇepi iha mallā yujjhantītiādīsu viya abbocchinnataṃ bāhullavuttitañca upādāya paṭisevatīti vattamānavacanaṃ katanti attho. Āhiṇḍantāti vicarantā.
๔๑. สโหฑฺฒคฺคหิโตติ สภณฺฑคฺคหิโต, อยเมว วา ปาโฐฯ ตํ สิกฺขาปทํ ตเถว โหตีติ มนุสฺสามนุสฺสาทิปุคฺคลวิเสสํ กิญฺจิ อนุปาทิยิตฺวา สามญฺญโต ‘‘โย ปน ภิกฺขุ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสเวยฺยา’’ติ (ปารา. ๓๙) วุตฺตตฺตา มนุสฺสามนุสฺสติรจฺฉานคตานํ อิตฺถิปุริสปณฺฑกอุภโตพฺยญฺชนานํ ติํสวิเธปิ มเคฺค เมถุนํ เสวนฺตสฺส ตํ สิกฺขาปทํ มูลเจฺฉชฺชกรํ โหติ เอวาติ อธิปฺปาโยฯ เอเตน ยํ อนุปญฺญตฺติมูลปญฺญตฺติยา เอว อธิปฺปายปฺปกาสนวเสน สุโพธตฺถาย วตฺถุวเสน ปวตฺตานํ วิเสสตฺถโชตกวเสนาติ ทสฺสิตํ โหติฯ อามสนํ อามฎฺฐมตฺตํฯ ตโต ทฬฺหตรํ ผุสนํฯ ฆฎฺฎนํ ปน ตโต ทฬฺหตรํ กตฺวา สรีเรน สรีรสฺส สงฺฆฎฺฎนํฯ ตํ สพฺพมฺปีติ อนุราเคน ปวตฺติตํ ทสฺสนาทิสพฺพมฺปิฯ
41.Sahoḍḍhaggahitoti sabhaṇḍaggahito, ayameva vā pāṭho. Taṃ sikkhāpadaṃ tatheva hotīti manussāmanussādipuggalavisesaṃ kiñci anupādiyitvā sāmaññato ‘‘yo pana bhikkhu methunaṃ dhammaṃ paṭiseveyyā’’ti (pārā. 39) vuttattā manussāmanussatiracchānagatānaṃ itthipurisapaṇḍakaubhatobyañjanānaṃ tiṃsavidhepi magge methunaṃ sevantassa taṃ sikkhāpadaṃ mūlacchejjakaraṃ hoti evāti adhippāyo. Etena yaṃ anupaññattimūlapaññattiyā eva adhippāyappakāsanavasena subodhatthāya vatthuvasena pavattānaṃ visesatthajotakavasenāti dassitaṃ hoti. Āmasanaṃ āmaṭṭhamattaṃ. Tato daḷhataraṃ phusanaṃ. Ghaṭṭanaṃ pana tato daḷhataraṃ katvā sarīrena sarīrassa saṅghaṭṭanaṃ. Taṃ sabbampīti anurāgena pavattitaṃ dassanādisabbampi.
๔๒. ปาณาติปาตาทิสจิตฺตกสิกฺขาปทานํ สุราปานาทิอจิตฺตกสิกฺขาปทานญฺจ (ปาจิ. ๓๒๖ อาทโย) เอเกเนว ลกฺขณวจเนน โลกวชฺชตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยสฺส สจิตฺตกปเกฺข จิตฺตํ อกุสลเมว โหติ, ตํ โลกวชฺชํ นามา’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ สจิตฺตกปเกฺขติ อิทํ กิญฺจาปิ อจิตฺตกสิกฺขาปทํ สนฺธาเยว วตฺตุํ ยุตฺตํ ตเสฺสว สจิตฺตกปกฺขสมฺภวโต, ตถาปิ สจิตฺตกสิกฺขาปทานมฺปิ อสญฺจิจฺจ จงฺกมนาทีสุ โลเก ปาณฆาตโวหารสมฺภเวน อจิตฺตกปกฺขํ ปริกเปฺปตฺวา อุภินฺนมฺปิ สจิตฺตกาจิตฺตกสิกฺขาปทานํ สาธารณวเสน ‘‘สจิตฺตกปเกฺข’’ติ วุตฺตํฯ อิตรถา สจิตฺตกสิกฺขาปทานํ อิมสฺมิํ วาเกฺย โลกวชฺชตาลกฺขณํ น วุตฺตํ สิยาฯ ‘‘สจิตฺตกปเกฺข จิตฺตํ อกุสลเมวา’’ติ วุเตฺต ปน สจิตฺตกสิกฺขาปทานํ จิตฺตํ อกุสลเมว, อิตเรสํ สจิตฺตกปเกฺขเยว อกุสลนิยโม, น อจิตฺตกปเกฺขฯ ตตฺถ ปน ยถาสมฺภวํ กุสลํ วา สิยา, อกุสลํ วา, อพฺยากตํ วาติ อยมโตฺถ สามตฺถิยโต สิชฺฌตีติ เวทิตพฺพํฯ สจิตฺตกปเกฺขติ วตฺถุวีติกฺกมวิชานนจิเตฺตน สจิตฺตกปเกฺขติ คเหตพฺพํ, น ปณฺณตฺติวิชานนจิเตฺตน ตถา สติ สพฺพสิกฺขาปทานมฺปิ โลกวชฺชตาปสงฺคโตฯ ‘‘ปฎิกฺขิตฺตมิทํ กาตุํ น วฎฺฎตี’’ติ ชานนฺตสฺส หิ ปณฺณตฺติวเชฺชปิ อนาทริยวเสน ปฎิฆจิตฺตเมว อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา อิทํ วากฺยํ นิรตฺถกเมว สิยา สพฺพสิกฺขาปทานิปิ โลกวชฺชานีติ เอตฺตกมตฺตเสฺสว วตฺตพฺพตาปสงฺคโตฯ
42.Pāṇātipātādisacittakasikkhāpadānaṃ surāpānādiacittakasikkhāpadānañca (pāci. 326 ādayo) ekeneva lakkhaṇavacanena lokavajjataṃ dassetuṃ ‘‘yassa sacittakapakkhe cittaṃ akusalameva hoti, taṃ lokavajjaṃ nāmā’’ti vuttaṃ. Tattha sacittakapakkheti idaṃ kiñcāpi acittakasikkhāpadaṃ sandhāyeva vattuṃ yuttaṃ tasseva sacittakapakkhasambhavato, tathāpi sacittakasikkhāpadānampi asañcicca caṅkamanādīsu loke pāṇaghātavohārasambhavena acittakapakkhaṃ parikappetvā ubhinnampi sacittakācittakasikkhāpadānaṃ sādhāraṇavasena ‘‘sacittakapakkhe’’ti vuttaṃ. Itarathā sacittakasikkhāpadānaṃ imasmiṃ vākye lokavajjatālakkhaṇaṃ na vuttaṃ siyā. ‘‘Sacittakapakkhe cittaṃ akusalamevā’’ti vutte pana sacittakasikkhāpadānaṃ cittaṃ akusalameva, itaresaṃ sacittakapakkheyeva akusalaniyamo, na acittakapakkhe. Tattha pana yathāsambhavaṃ kusalaṃ vā siyā, akusalaṃ vā, abyākataṃ vāti ayamattho sāmatthiyato sijjhatīti veditabbaṃ. Sacittakapakkheti vatthuvītikkamavijānanacittena sacittakapakkheti gahetabbaṃ, na paṇṇattivijānanacittena tathā sati sabbasikkhāpadānampi lokavajjatāpasaṅgato. ‘‘Paṭikkhittamidaṃ kātuṃ na vaṭṭatī’’ti jānantassa hi paṇṇattivajjepi anādariyavasena paṭighacittameva uppajjati, tasmā idaṃ vākyaṃ niratthakameva siyā sabbasikkhāpadānipi lokavajjānīti ettakamattasseva vattabbatāpasaṅgato.
เอตฺถ จ สจิตฺตกปเกฺขเยว จิตฺตํ อกุสลนฺติ นิยมสฺส อกตตฺตา สุราปานาทีสุ อจิตฺตกปเกฺข จิตฺตํ อกุสลํ น โหเตวาติ น สกฺกา นิยเมตุํ, เกวลํ ปน สจิตฺตกปเกฺข จิตฺตํ อกุสลเมว, น กุสลาทีติ เอวเมตฺถ นิยโม สิชฺฌติ, เอวญฺจ สุราติ อชานิตฺวา ปิวนฺตานมฺปิ อกุสลจิเตฺตเนว ปานํ คนฺธวณฺณกาทิภาวํ อชานิตฺวา ลิมฺปนฺตีนํ ภิกฺขุนีนํ วินาปิ อกุสลจิเตฺตน ลิมฺปนญฺจ, อุภยตฺถาปิ อาปตฺติสมฺภโว จ สมตฺถิโต โหติฯ ยํ ปน สารตฺถทีปนิยํ (สารตฺถ. ฎี. ปาราชิกกณฺฑ ๒.๔๒) ‘‘สจิตฺตกปเกฺข จิตฺตํ อกุสลเมวาติ วจนโต อจิตฺตกสฺส วตฺถุอชานนวเสน อจิตฺตกปเกฺข จิตฺตํ อกุสลเมวาติ อยํ นิยโม นตฺถีติ วิญฺญายตี’’ติ วุตฺตํ, ตํ น ยุตฺตํ ฯ อจิตฺตเกสุ หิ เตรสสุ โลกวเชฺชสุ สุราปานเสฺสว อจิตฺตกปเกฺขปิ อกุสลจิตฺตนิยโม, น อิตเรสํ ทฺวาทสนฺนํ อกุสลาทิจิเตฺตนาปิ อาปชฺชิตพฺพโตฯ ยํ ปน เอวํ เกนจิ อนิจฺฉมานํ สทฺทโตปิ อปตียมานมิมํ นิยมํ ปราธิปฺปายํ กตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘ยทิ หิ อจิตฺตกสฺส อจิตฺตกปเกฺขปิ จิตฺตํ อกุสลเมว สิยา, สจิตฺตกปเกฺขติ อิทํ วิเสสนํ นิรตฺถกํ สิยา’’ติอาทิ วุตฺตํ, ตํ นิรตฺถกเมว เอวํ นิยมสฺส เกนจิ อนธิเปฺปตตฺตาฯ น หิ โกจิ สทฺทสตฺถวิทู นิยมํ อิจฺฉติ, เยน สจิตฺตกปเกฺขติ อิทํ วิเสสนํ นิรตฺถกํ สิยาติอาทิ วุตฺตํ ภเวยฺย, กินฺตุ สจิตฺตกปเกฺข จิตฺตํ อกุสลเมว, อจิตฺตกปเกฺข ปน จิตฺตํ อนิยตํ อกุสลเมว วา สิยา, กุสลาทีสุ วา อญฺญตรนฺติ เอวเมว อิจฺฉติฯ เตน สจิตฺตกปเกฺขติ วิเสสนมฺปิ สาตฺถกํ สิยาฯ อจิตฺตกสิกฺขาปทานํ สจิตฺตกปเกฺขสุ อกุสลนิยเมน โลกวชฺชตา จ สิชฺฌติฯ เตสุ จ สุราปานเสฺสว อจิตฺตกปเกฺขปิ โลกวชฺชตา อกุสลจิตฺตตา จ, อิตเรสํ ปน สจิตฺตกปเกฺข เอวาติ วาโทปิ น วิรุชฺฌตีติ น กิเญฺจตฺถ อนุปปนฺนํ นามฯ
Ettha ca sacittakapakkheyeva cittaṃ akusalanti niyamassa akatattā surāpānādīsu acittakapakkhe cittaṃ akusalaṃ na hotevāti na sakkā niyametuṃ, kevalaṃ pana sacittakapakkhe cittaṃ akusalameva, na kusalādīti evamettha niyamo sijjhati, evañca surāti ajānitvā pivantānampi akusalacitteneva pānaṃ gandhavaṇṇakādibhāvaṃ ajānitvā limpantīnaṃ bhikkhunīnaṃ vināpi akusalacittena limpanañca, ubhayatthāpi āpattisambhavo ca samatthito hoti. Yaṃ pana sāratthadīpaniyaṃ (sārattha. ṭī. pārājikakaṇḍa 2.42) ‘‘sacittakapakkhe cittaṃ akusalamevāti vacanato acittakassa vatthuajānanavasena acittakapakkhe cittaṃ akusalamevāti ayaṃ niyamo natthīti viññāyatī’’ti vuttaṃ, taṃ na yuttaṃ . Acittakesu hi terasasu lokavajjesu surāpānasseva acittakapakkhepi akusalacittaniyamo, na itaresaṃ dvādasannaṃ akusalādicittenāpi āpajjitabbato. Yaṃ pana evaṃ kenaci anicchamānaṃ saddatopi apatīyamānamimaṃ niyamaṃ parādhippāyaṃ katvā dassetuṃ ‘‘yadi hi acittakassa acittakapakkhepi cittaṃ akusalameva siyā, sacittakapakkheti idaṃ visesanaṃ niratthakaṃ siyā’’tiādi vuttaṃ, taṃ niratthakameva evaṃ niyamassa kenaci anadhippetattā. Na hi koci saddasatthavidū niyamaṃ icchati, yena sacittakapakkheti idaṃ visesanaṃ niratthakaṃ siyātiādi vuttaṃ bhaveyya, kintu sacittakapakkhe cittaṃ akusalameva, acittakapakkhe pana cittaṃ aniyataṃ akusalameva vā siyā, kusalādīsu vā aññataranti evameva icchati. Tena sacittakapakkheti visesanampi sātthakaṃ siyā. Acittakasikkhāpadānaṃ sacittakapakkhesu akusalaniyamena lokavajjatā ca sijjhati. Tesu ca surāpānasseva acittakapakkhepi lokavajjatā akusalacittatā ca, itaresaṃ pana sacittakapakkhe evāti vādopi na virujjhatīti na kiñcettha anupapannaṃ nāma.
ยํ ปเนตฺถ ‘‘สุราติ อชานิตฺวา ปิวนฺตสฺส…เป.… วินาปิ อกุสลจิเตฺตน อาปตฺติสมฺภวโต…เป.… สุราปานาทิอจิตฺตกสิกฺขาปทานํ โลกวชฺชตา น สิยา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ยญฺจ ตมตฺถํ สาเธตุํ คณฺฐิปเทสุ อาคตวจนํ ทเสฺสตฺวา พหุํ ปปญฺจิตํ, ตํ น สารโต ปเจฺจตพฺพํ อฎฺฐกถาหิ วิรุทฺธตฺตาฯ ตถา หิ ‘‘วตฺถุอชานนตาย เจตฺถ อจิตฺตกตา เวทิตพฺพา อกุสเลเนว ปาตพฺพตาย โลกวชฺชตา’’ติ วุตฺตํฯ ยเญฺจตสฺส ‘‘สจิตฺตกปเกฺข อกุสเลเนว ปาตพฺพโต โลกวชฺชตา’’ติ วุตฺตํ อฎฺฐกถาวจนํ, ตํ น สุนฺทรํฯ ‘‘สจิตฺตกปเกฺข จิตฺตํ อกุสลเมวา’’ติ สเพฺพสํ โลกวชฺชานํ อิเธว ปาราชิกฎฺฐกถาย สามญฺญโต วตฺวา สุราปานสิกฺขาปทฎฺฐกถายํ ‘‘อกุสเลเนว ปาตพฺพตายา’’ติ เอวํ อจิตฺตกปเกฺขปิ อกุสลจิตฺตตาย วิเสเสตฺวา วุตฺตตฺตาฯ น หิ ‘‘สามญฺญโต อิธ วุโตฺตว อโตฺถ ปุน สุราปานฎฺฐกถายมฺปิ วุโตฺต’’ติ สกฺกา วตฺตุํ วุตฺตเสฺสว ปุน วจเน ปโยชนาภาวา, ตทเญฺญสุปิ อจิตฺตกโลกวเชฺชสุ วตฺตพฺพตาปสงฺคโต จ, นาปิ เอกตฺถ วุโตฺต นโย ตทเญฺญสุปิ เอกลกฺขณตาย วุโตฺต เอว โหตีติ ‘‘สุราปานสิกฺขาปเทเยว (ปาจิ. ๓๒๖ อาทโย) วุโตฺต’’ติ สกฺกา วตฺตุํ อจิตฺตกโลกวชฺชานํ สพฺพปฐเม อุยฺยุตฺตสิกฺขาปเทเยว (ปาจิ. ๓๑๑ อาทโย) วตฺตพฺพโต, สุราปานสิกฺขาปเทเยว วา วตฺวา เอเสว นโย เสเสสุ อจิตฺตกโลกวเชฺชสุปีติ อติทิสิตพฺพโต จฯ
Yaṃ panettha ‘‘surāti ajānitvā pivantassa…pe… vināpi akusalacittena āpattisambhavato…pe… surāpānādiacittakasikkhāpadānaṃ lokavajjatā na siyā’’tiādi vuttaṃ. Yañca tamatthaṃ sādhetuṃ gaṇṭhipadesu āgatavacanaṃ dassetvā bahuṃ papañcitaṃ, taṃ na sārato paccetabbaṃ aṭṭhakathāhi viruddhattā. Tathā hi ‘‘vatthuajānanatāya cettha acittakatā veditabbā akusaleneva pātabbatāya lokavajjatā’’ti vuttaṃ. Yañcetassa ‘‘sacittakapakkhe akusaleneva pātabbato lokavajjatā’’ti vuttaṃ aṭṭhakathāvacanaṃ, taṃ na sundaraṃ. ‘‘Sacittakapakkhe cittaṃ akusalamevā’’ti sabbesaṃ lokavajjānaṃ idheva pārājikaṭṭhakathāya sāmaññato vatvā surāpānasikkhāpadaṭṭhakathāyaṃ ‘‘akusaleneva pātabbatāyā’’ti evaṃ acittakapakkhepi akusalacittatāya visesetvā vuttattā. Na hi ‘‘sāmaññato idha vuttova attho puna surāpānaṭṭhakathāyampi vutto’’ti sakkā vattuṃ vuttasseva puna vacane payojanābhāvā, tadaññesupi acittakalokavajjesu vattabbatāpasaṅgato ca, nāpi ekattha vutto nayo tadaññesupi ekalakkhaṇatāya vutto eva hotīti ‘‘surāpānasikkhāpadeyeva (pāci. 326 ādayo) vutto’’ti sakkā vattuṃ acittakalokavajjānaṃ sabbapaṭhame uyyuttasikkhāpadeyeva (pāci. 311 ādayo) vattabbato, surāpānasikkhāpadeyeva vā vatvā eseva nayo sesesu acittakalokavajjesupīti atidisitabbato ca.
อปิจ วุตฺตเมวตฺถํ วทเนฺตน ‘‘สจิตฺตกปเกฺข อกุสเลเนว ปาตพฺพตายา’’ติ ปุเพฺพ วุตฺตกฺกเมเนว วตฺตพฺพํ สเนฺทหาทิวิคมตฺถตฺตา ปุน วจนสฺสฯ สิกฺขาปทวิสเย จ วิเสสิตพฺพํ วิเสเสตฺวาว วุจฺจติ, อิตรถา อาปตฺตานาปตฺตาทิเภทสฺส ทุวิเญฺญยฺยตฺตาฯ ตถา หิ ภิกฺขุนีวิภงฺคฎฺฐกถายํ ‘‘วินาปิ จิเตฺตน อาปชฺชิตพฺพตฺตา อจิตฺตกานิ, จิเตฺต ปน สติ อกุสเลเนว อาปชฺชิตพฺพตฺตา โลกวชฺชานิ เจว อกุสลจิตฺตานิ จา’’ติ คิรคฺคสมชฺชาทีนํ สจิตฺตกปเกฺข เอว โลกวชฺชตา อกุสลจิตฺตตา จ วิเสเสตฺวา วุตฺตา, น เอวํ สุราปานสฺสฯ ตสฺส ปน ปกฺขทฺวยสฺสาปิ สาธารณวเสน ‘‘อกุสเลเนว ปาตพฺพตายา’’ติ วุตฺตํ, น ปน ‘‘สจิตฺตกปเกฺข’’ติ วิเสเสตฺวาฯ ตสฺมา อิทํ สุราปานํ สจิตฺตกาจิตฺตกปกฺขทฺวเยปิ โลกวชฺชํ อกุสลจิตฺตญฺจาติ ทเสฺสตุเมว ‘‘อกุสเลเนว ปาตพฺพตาย โลกวชฺชตา’’ติ วิสุํ วุตฺตนฺติ สุฎฺฐุ สิชฺฌติฯ เอเตเนว ยํ สารตฺถทีปนิยํ ‘‘สจิตฺตกปเกฺข อกุสเลเนว ปาตพฺพตาย โลกวชฺชตา’’ติ วุตฺตสฺส อิมเสฺสว อธิปฺปายสฺส ปฎิปาทกเมตนฺติ สญฺญาย อิมินา เอว หิ อธิปฺปาเยน อเญฺญสุปิ โลกวเชฺชสุ อจิตฺตกสิกฺขาปเทสุ อกุสลจิตฺตตา เอว วุตฺตา, น ปน ติจิตฺตตาฯ เตเนว ภิกฺขุนีวิภงฺคฎฺฐกถายํ วุตฺตํ ‘‘คิรคฺคสมชฺชํ จิตฺตาคารสิกฺขาปทํ สงฺฆาณิ อิตฺถาลงฺกาโร คนฺธวณฺณโก วาสิตกปิญฺญาโก ภิกฺขุนีอาทีหิ อุมฺมทฺทนปริมทฺทนานีติ อิมานิ ทส สิกฺขาปทานิ อจิตฺตกานิ อกุสลจิตฺตานิ, อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปาโย วินาปิ จิเตฺตน อาปชฺชิตพฺพตฺตา อจิตฺตกานิ, จิเตฺต ปน สติ อกุสเลเนว อาปชฺชิตพฺพตฺตา โลกวชฺชานิ เจว อกุสลจิตฺตานิ จา’’ติ วุตฺตํ, ตมฺปิ ปฎิสิทฺธํ โหติ ตพฺพิปรีตเสฺสว อตฺถสฺส ยถาวุตฺตนเยน สาธนโตฯ ตสฺมา สุราปานสฺส อจิตฺตกปเกฺขปิ จิตฺตํ อกุสลเมวาติ อิมํ วิเสสํ ทเสฺสตุเมว อิทํ วจนํ วุตฺตนฺติ คเหตพฺพํฯ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ วตฺถุอชานนตาย เจตฺถาติ เอตฺถ จ-กาโร วิเสสตฺถโชตโก อปิจาติ อิมินา สมานโตฺถฯ ตสฺมา ยทิทํ อเญฺญสุ อจิตฺตกโลกวเชฺชสุ วินาปิ จิเตฺตน อาปชฺชิตพฺพตฺตา อจิตฺตกานิ, จิเตฺต ปน สติ อกุสเลเนว อาปชฺชิตพฺพตฺตา โลกวชฺชานิ เจว อกุสลจิตฺตานิ จาติ โลกวชฺชตาย อกุสลจิตฺตตาย จ ลกฺขณํ วุจฺจติ, ตํ เอตฺถ สุราปานสิกฺขาปเท นาคจฺฉติ, อิธ ปน วิเสโส อตฺถีติ วุตฺตํ โหติฯ โส กตโรติ เจ? วตฺถุอชานนตาย เอว วตฺถุชานนจิเตฺตน วินาปิ อาปชฺชิตพฺพตาย เอว อจิตฺตกตา เวทิตพฺพา, นเตฺถตฺถ อจิตฺตกตาย วิเสโสฯ กินฺตุ วตฺถุอชานนสงฺขาตอจิตฺตกปเกฺขปิ อกุสลจิเตฺตเนว สุราเมรยสฺส อโชฺฌหริตพฺพตายาติ อิมสฺส สิกฺขาปทสฺส สจิตฺตกปเกฺขปิ อจิตฺตกปเกฺขปิ โลกวชฺชตา อกุสลจิตฺตตา จ เวทิตพฺพาติ อยเมตฺถ วิเสโสฯ อิธ หิ ‘‘จิเตฺต ปน สตี’’ติ อวิเสเสตฺวา ‘‘อกุสเลเนวา’’ติ สามญฺญโต วุตฺตตฺตา อุภยปเกฺขปิ โลกวชฺชตา อกุสลจิตฺตตา จ สิทฺธาติ เวทิตพฺพาฯ เตเนว ปรมตฺถโชติกาย (ขุ. ปา. อฎฺฐ. ๒.ปจฺฉิมปญฺจสิกฺขาปทวณฺณนา) ขุทฺทกฎฺฐกถาย สิกฺขาปทวณฺณนาย ‘‘สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานํ กายโต จ กายจิตฺตโต จาติ ทฺวิสมุฎฺฐาน’’นฺติ วุตฺตํฯ สุราติ ชานนจิตฺตาภาเวเนว เหตฺถ จิตฺตงฺควิรหิโต เกวโลปิ กาโย เอกสมุฎฺฐานํ วุโตฺต, ตสฺมิญฺจ เอกสมุฎฺฐานกฺขเณปิ ยาย เจตนาย ปิวติ, สา เอกนฺตอกุสลา เอว โหติฯ เตเนว ตเตฺถว อฎฺฐกถายํ ‘‘ปฐมา เจตฺถ ปญฺจ เอกนฺตอกุสลจิตฺตสมุฎฺฐานตฺตา ปาณาติปาตาทีนํ ปกติวชฺชโต เวรมณิโย, เสสา ปณฺณตฺติวชฺชโต’’ติ เอวํ ปญฺจนฺนมฺปิ สามญฺญโต อกุสลจิตฺตตา โลกวชฺชตาสงฺขาตา ปกติวชฺชตา จ วุตฺตาฯ อเงฺคสุ จ ชานนงฺคํ น วุตฺตํฯ ตถา หิ ‘‘สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานสฺส ปน สุราทีนํ อญฺญตรํ โหติ มทนียํ, ปาตุกามตาจิตฺตญฺจ ปจฺจุปฎฺฐิตํ โหติ, ตชฺชญฺจ วายามํ อาปชฺชติ, ปีเต จ ปวิสตีติ อิมานิ จตฺตาริ องฺคานี’’ติ วุตฺตํ, น ปน สุราติ ชานนเงฺคน สทฺธิํ ปญฺจาติฯ ยทิ หิ สุราติ ชานนมฺปิ องฺคํ สิยา, อวสฺสเมว ตํ วตฺตพฺพํ สิยา, น จ วุตฺตํฯ ยถา เจตฺถ, เอวํ อญฺญาสุปิ สุตฺตปิฎกาทิอฎฺฐกถาสุ กตฺถจิ ชานนงฺคํ น วุตฺตํฯ ตสฺมา ‘‘อกุสเลเนว ปาตพฺพตาย โลกวชฺชตา’’ติ อิมสฺส อฎฺฐกถาปาฐสฺส อจิตฺตกปเกฺขปิ ‘‘อกุสเลเนว ปาตพฺพตาย โลกวชฺชตา’’ติ เอวเมว อโตฺถติ นิฎฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํฯ
Apica vuttamevatthaṃ vadantena ‘‘sacittakapakkhe akusaleneva pātabbatāyā’’ti pubbe vuttakkameneva vattabbaṃ sandehādivigamatthattā puna vacanassa. Sikkhāpadavisaye ca visesitabbaṃ visesetvāva vuccati, itarathā āpattānāpattādibhedassa duviññeyyattā. Tathā hi bhikkhunīvibhaṅgaṭṭhakathāyaṃ ‘‘vināpi cittena āpajjitabbattā acittakāni, citte pana sati akusaleneva āpajjitabbattā lokavajjāni ceva akusalacittāni cā’’ti giraggasamajjādīnaṃ sacittakapakkhe eva lokavajjatā akusalacittatā ca visesetvā vuttā, na evaṃ surāpānassa. Tassa pana pakkhadvayassāpi sādhāraṇavasena ‘‘akusaleneva pātabbatāyā’’ti vuttaṃ, na pana ‘‘sacittakapakkhe’’ti visesetvā. Tasmā idaṃ surāpānaṃ sacittakācittakapakkhadvayepi lokavajjaṃ akusalacittañcāti dassetumeva ‘‘akusaleneva pātabbatāya lokavajjatā’’ti visuṃ vuttanti suṭṭhu sijjhati. Eteneva yaṃ sāratthadīpaniyaṃ ‘‘sacittakapakkhe akusaleneva pātabbatāya lokavajjatā’’ti vuttassa imasseva adhippāyassa paṭipādakametanti saññāya iminā eva hi adhippāyena aññesupi lokavajjesu acittakasikkhāpadesu akusalacittatā eva vuttā, na pana ticittatā. Teneva bhikkhunīvibhaṅgaṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ ‘‘giraggasamajjaṃ cittāgārasikkhāpadaṃ saṅghāṇi itthālaṅkāro gandhavaṇṇako vāsitakapiññāko bhikkhunīādīhi ummaddanaparimaddanānīti imāni dasa sikkhāpadāni acittakāni akusalacittāni, ayaṃ panettha adhippāyo vināpi cittena āpajjitabbattā acittakāni, citte pana sati akusaleneva āpajjitabbattā lokavajjāni ceva akusalacittāni cā’’ti vuttaṃ, tampi paṭisiddhaṃ hoti tabbiparītasseva atthassa yathāvuttanayena sādhanato. Tasmā surāpānassa acittakapakkhepi cittaṃ akusalamevāti imaṃ visesaṃ dassetumeva idaṃ vacanaṃ vuttanti gahetabbaṃ. Ayañhettha attho vatthuajānanatāya cetthāti ettha ca-kāro visesatthajotako apicāti iminā samānattho. Tasmā yadidaṃ aññesu acittakalokavajjesu vināpi cittena āpajjitabbattā acittakāni, citte pana sati akusaleneva āpajjitabbattā lokavajjāni ceva akusalacittāni cāti lokavajjatāya akusalacittatāya ca lakkhaṇaṃ vuccati, taṃ ettha surāpānasikkhāpade nāgacchati, idha pana viseso atthīti vuttaṃ hoti. So kataroti ce? Vatthuajānanatāya eva vatthujānanacittena vināpi āpajjitabbatāya eva acittakatā veditabbā, natthettha acittakatāya viseso. Kintu vatthuajānanasaṅkhātaacittakapakkhepi akusalacitteneva surāmerayassa ajjhoharitabbatāyāti imassa sikkhāpadassa sacittakapakkhepi acittakapakkhepi lokavajjatā akusalacittatā ca veditabbāti ayamettha viseso. Idha hi ‘‘citte pana satī’’ti avisesetvā ‘‘akusalenevā’’ti sāmaññato vuttattā ubhayapakkhepi lokavajjatā akusalacittatā ca siddhāti veditabbā. Teneva paramatthajotikāya (khu. pā. aṭṭha. 2.pacchimapañcasikkhāpadavaṇṇanā) khuddakaṭṭhakathāya sikkhāpadavaṇṇanāya ‘‘surāmerayamajjapamādaṭṭhānaṃ kāyato ca kāyacittato cāti dvisamuṭṭhāna’’nti vuttaṃ. Surāti jānanacittābhāveneva hettha cittaṅgavirahito kevalopi kāyo ekasamuṭṭhānaṃ vutto, tasmiñca ekasamuṭṭhānakkhaṇepi yāya cetanāya pivati, sā ekantaakusalā eva hoti. Teneva tattheva aṭṭhakathāyaṃ ‘‘paṭhamā cettha pañca ekantaakusalacittasamuṭṭhānattā pāṇātipātādīnaṃ pakativajjato veramaṇiyo, sesā paṇṇattivajjato’’ti evaṃ pañcannampi sāmaññato akusalacittatā lokavajjatāsaṅkhātā pakativajjatā ca vuttā. Aṅgesu ca jānanaṅgaṃ na vuttaṃ. Tathā hi ‘‘surāmerayamajjapamādaṭṭhānassa pana surādīnaṃ aññataraṃ hoti madanīyaṃ, pātukāmatācittañca paccupaṭṭhitaṃ hoti, tajjañca vāyāmaṃ āpajjati, pīte ca pavisatīti imāni cattāri aṅgānī’’ti vuttaṃ, na pana surāti jānanaṅgena saddhiṃ pañcāti. Yadi hi surāti jānanampi aṅgaṃ siyā, avassameva taṃ vattabbaṃ siyā, na ca vuttaṃ. Yathā cettha, evaṃ aññāsupi suttapiṭakādiaṭṭhakathāsu katthaci jānanaṅgaṃ na vuttaṃ. Tasmā ‘‘akusaleneva pātabbatāya lokavajjatā’’ti imassa aṭṭhakathāpāṭhassa acittakapakkhepi ‘‘akusaleneva pātabbatāya lokavajjatā’’ti evameva atthoti niṭṭhamettha gantabbaṃ.
อปิจ ยํ คณฺฐิปเทสุ ‘‘เอตํ สตฺตํ มาเรสฺสามีติ ตสฺมิํเยว ปเทเส นิปนฺนํ อญฺญํ มาเรนฺตสฺส ปาณสามญฺญสฺส อตฺถิตาย ยถา ปาณาติปาโต โหติ, เอวํ เอตํ มชฺชํ ปิวิสฺสามีติ อญฺญํ มชฺชํ ปิวนฺตสฺส มชฺชสามญฺญสฺส อตฺถิตาย อกุสลเมว โหติ, ยถา ปน กฎฺฐสญฺญาย สปฺปํ ฆาเตนฺตสฺส ปาณาติปาโต น โหติ, เอวํ นาฬิเกรปานสญฺญาย มชฺชํ ปิวนฺตสฺส อกุสลํ น โหตี’’ติ ปาณาติปาเตน สทฺธิํ สพฺพถา สมานเตฺตน อุปเมตฺวา วุตฺตํ, ตํ อติวิย อยุตฺตํ สเพฺพสํ สิกฺขาปทานํ ปาณาติปาตาทิอกุสลานญฺจ อญฺญมญฺญํ สมานตาย นิยมาภาวาฯ ปาณาติปาโต หิ ปริยาเยนาปิ สิชฺฌติ, น ตถา อทินฺนาทานํฯ ตํ ปน อาณตฺติยาปิ สิชฺฌติ, น จ เมถุนาทีสุฯ ตสฺมา ปโยคงฺคาทีหิปิ ภินฺนานเมว สํสฎฺฐํ สพฺพถา สมีกรณํ อยุตฺตเมวฯ ‘‘ปาณาติปาโต วิย อทินฺนาทานเมถุนาทีนิปิ ปริยายกถาทีหิ สิชฺฌนฺตี’’ติ เกนจิ วุเตฺต ตํ กินฺติ น คยฺหติ ตถา วจนาภาวาติ เจ? อิธาปิ ‘‘ตถา ปาณาติปาตสทิสํ สุราปาน’’นฺติ วจนาภาวา อิทมฺปิ น คเหตพฺพเมวฯ กิญฺจิ อฎฺฐกถาวจเนเนว สิทฺธเมวตฺถํ ปฎิพาหเนฺตน วินยญฺญุนา สุตฺตสุตฺตานุโลมาทีหิ ตสฺส วิโรธํ ทเสฺสตฺวา ปฎิพาเหตพฺพํ, น ปน ปโยคงฺคาทีหิ อจฺจนฺตวิภิเนฺนน สิกฺขาปทนฺตเรน สห สมีกรณมเตฺตนฯ น หิ ‘‘สุราติ อชานิตฺวา ปิวนฺตสฺสาปิ อกุสลเมวา’’ติ เอตฺถ สุตฺตาทิวิโรโธ อตฺถิ, วินยปิฎเก ตาว เอตสฺส อตฺถสฺส วิรุทฺธํ สุตฺตาทิกํ น ทิสฺสติ, นาปิ สุตฺตปิฎกาทีสุฯ
Apica yaṃ gaṇṭhipadesu ‘‘etaṃ sattaṃ māressāmīti tasmiṃyeva padese nipannaṃ aññaṃ mārentassa pāṇasāmaññassa atthitāya yathā pāṇātipāto hoti, evaṃ etaṃ majjaṃ pivissāmīti aññaṃ majjaṃ pivantassa majjasāmaññassa atthitāya akusalameva hoti, yathā pana kaṭṭhasaññāya sappaṃ ghātentassa pāṇātipāto na hoti, evaṃ nāḷikerapānasaññāya majjaṃ pivantassa akusalaṃ na hotī’’ti pāṇātipātena saddhiṃ sabbathā samānattena upametvā vuttaṃ, taṃ ativiya ayuttaṃ sabbesaṃ sikkhāpadānaṃ pāṇātipātādiakusalānañca aññamaññaṃ samānatāya niyamābhāvā. Pāṇātipāto hi pariyāyenāpi sijjhati, na tathā adinnādānaṃ. Taṃ pana āṇattiyāpi sijjhati, na ca methunādīsu. Tasmā payogaṅgādīhipi bhinnānameva saṃsaṭṭhaṃ sabbathā samīkaraṇaṃ ayuttameva. ‘‘Pāṇātipāto viya adinnādānamethunādīnipi pariyāyakathādīhi sijjhantī’’ti kenaci vutte taṃ kinti na gayhati tathā vacanābhāvāti ce? Idhāpi ‘‘tathā pāṇātipātasadisaṃ surāpāna’’nti vacanābhāvā idampi na gahetabbameva. Kiñci aṭṭhakathāvacaneneva siddhamevatthaṃ paṭibāhantena vinayaññunā suttasuttānulomādīhi tassa virodhaṃ dassetvā paṭibāhetabbaṃ, na pana payogaṅgādīhi accantavibhinnena sikkhāpadantarena saha samīkaraṇamattena. Na hi ‘‘surāti ajānitvā pivantassāpi akusalamevā’’ti ettha suttādivirodho atthi, vinayapiṭake tāva etassa atthassa viruddhaṃ suttādikaṃ na dissati, nāpi suttapiṭakādīsu.
ยํ ปเนตฺถ เกจิ วทนฺติ ‘‘มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมาติ (ธ. ป. ๑, ๒) วุตฺตตฺตา สพฺพานิ อกุสลานิ ปุเพฺพ วีติกฺกมวตฺถุํ ชานนฺตเสฺสว โหนฺตี’’ติฯ ตํ เตสํ สุตฺตาธิปฺปายานภิญฺญาตเมว ปกาเสติฯ น หิ ‘‘มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา’’ติ อิทํ วจนํ ปุเพฺพ วีติกฺกมวตฺถุํ ชานนฺตเสฺสว อกุสลา ธมฺมา อุปฺปชฺชนฺตีติ อิมมตฺถํ ทีเปติ, อถ โข กุสลากุสลา ธมฺมา อุปฺปชฺชมานา อุปฺปาทปจฺจยเฎฺฐน ปุพฺพงฺคมภูตํ สหชาตจิตฺตํ นิสฺสาเยว อุปฺปชฺชนฺติ, น วินา จิเตฺตนาติ อิมมตฺถํ ทีเปติฯ น เหตฺถ ‘‘สุราติ อชานิตฺวา ปิวนฺตสฺส อกุสลเมวา’’ติ วุเตฺต สหชาตจิตฺตํ วินาปิ โลภาทิอกุสลเจตสิกา ธมฺมา อุปฺปชฺชนฺตีติ อยมโตฺถ อาปชฺชติฯ เยน ตํ นิเสธาย อิทํ สุตฺตํ อาหรณียํ สิยา, อภิธมฺมวิโรโธเปตฺถ นตฺถิ ปุเพฺพ นามชาติอาทิวเสน อชานนฺตเสฺสว ปญฺจวิญฺญาณวีถิยํ กุสลากุสลชวนุปฺปตฺติวจนโตฯ
Yaṃ panettha keci vadanti ‘‘manopubbaṅgamā dhammāti (dha. pa. 1, 2) vuttattā sabbāni akusalāni pubbe vītikkamavatthuṃ jānantasseva hontī’’ti. Taṃ tesaṃ suttādhippāyānabhiññātameva pakāseti. Na hi ‘‘manopubbaṅgamā dhammā’’ti idaṃ vacanaṃ pubbe vītikkamavatthuṃ jānantasseva akusalā dhammā uppajjantīti imamatthaṃ dīpeti, atha kho kusalākusalā dhammā uppajjamānā uppādapaccayaṭṭhena pubbaṅgamabhūtaṃ sahajātacittaṃ nissāyeva uppajjanti, na vinā cittenāti imamatthaṃ dīpeti. Na hettha ‘‘surāti ajānitvā pivantassa akusalamevā’’ti vutte sahajātacittaṃ vināpi lobhādiakusalacetasikā dhammā uppajjantīti ayamattho āpajjati. Yena taṃ nisedhāya idaṃ suttaṃ āharaṇīyaṃ siyā, abhidhammavirodhopettha natthi pubbe nāmajātiādivasena ajānantasseva pañcaviññāṇavīthiyaṃ kusalākusalajavanuppattivacanato.
อปิจ พาลปุถุชฺชนานํ ฉสุ ทฺวาเรสุ อุปฺปชฺชมานานิ ชวนานิ เยภุเยฺยน อกุสลาเนว อุปฺปชฺชนฺติฯ กุสลานิ ปน เตสํ กลฺยาณมิตฺตาทิอุปนิสฺสยพเลน อปฺปกาเนว อุปฺปชฺชนฺติ, ตุณฺหีภูตานมฺปิ นิทฺทายิตฺวา สุปินํ ปสฺสนฺตานมฺปิ อุทฺธจฺจาทิอกุสลชวนเสฺสว เยภุยฺยปฺปวตฺติโต กุสลากุสลวิรหิตสฺส ชวนสฺส เตสํ อภาวาฯ อกุสลา หิ วิสยานุคุณํ วาสนานุคุณญฺจ ยถาปจฺจยํ สมุปฺปชฺชนฺติ, ตตฺถ กิํ ปุเพฺพ ชานนาชานนนิพเทฺธนฯ เย ปน ชานนาทิองฺคสมฺปนฺนา ปาณาติปาตาทโย, เย จ ชานนาทิํ วินาปิ สิชฺฌมานา สุราปานมิจฺฉาทิฎฺฐิอาทโย, เต เต ตถา ตถา ยาถาวโต ญตฺวา สมฺมาสมฺพุเทฺธน นิทฺทิฎฺฐา, เตสญฺจ ยถานิทฺทิฎฺฐวเสน คหเณ โก นาม อภิธมฺมวิโรโธฯ เอวํ สุตฺตาทิวิโรธาภาวโต, อฎฺฐกถาย จ วุตฺตตฺตา ยถาวุตฺตวเสเนเวตฺถ อโตฺถ คเหตโพฺพฯ ยทิ เอวํ กสฺมา ‘‘สามเณโร ชานิตฺวา ปิวโนฺต สีลเภทํ อาปชฺชติ, น อชานิตฺวา’’ติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตนฺติ? นายํ โทโส สีลเภทสฺส ภควโต อาณายตฺตตฺตา อุกฺขิตฺตานุวตฺติกาทีนํ สีลเภโท วิยฯ น หิ ตาสํ อกุสลุปฺปตฺติยา เอว สีลเภโท โหติ สงฺฆายตฺตสมนุภาสนานนฺตเรเยว วิหิตตฺตาฯ เอวมิธาปิ ชานิตฺวา ปิวเน เอว วิหิโต, น อชานิตฺวา ปิวเนฯ อโญฺญ หิ สิกฺขาปทวิสโย, อโญฺญ อกุสลวิสโยฯ เตเนว สามเณรานํ ปุริเมสุ ปญฺจสุ สิกฺขาปเทสุ เอกสฺมิํ ภิเนฺน สพฺพานิปิ สิกฺขาปทานิ ภิชฺชนฺติฯ อกุสลํ ปน ยํ ภินฺนํ, เตน เอเกเนว โหติ, นาเญฺญหิฯ ตสฺมา สามเณรสฺส อชานิตฺวา ปิวนฺตสฺส สีลเภทาภาเวปิ กมฺมปถปฺปตฺตํ อกุสลเมวาติ คเหตพฺพํฯ
Apica bālaputhujjanānaṃ chasu dvāresu uppajjamānāni javanāni yebhuyyena akusalāneva uppajjanti. Kusalāni pana tesaṃ kalyāṇamittādiupanissayabalena appakāneva uppajjanti, tuṇhībhūtānampi niddāyitvā supinaṃ passantānampi uddhaccādiakusalajavanasseva yebhuyyappavattito kusalākusalavirahitassa javanassa tesaṃ abhāvā. Akusalā hi visayānuguṇaṃ vāsanānuguṇañca yathāpaccayaṃ samuppajjanti, tattha kiṃ pubbe jānanājānananibaddhena. Ye pana jānanādiaṅgasampannā pāṇātipātādayo, ye ca jānanādiṃ vināpi sijjhamānā surāpānamicchādiṭṭhiādayo, te te tathā tathā yāthāvato ñatvā sammāsambuddhena niddiṭṭhā, tesañca yathāniddiṭṭhavasena gahaṇe ko nāma abhidhammavirodho. Evaṃ suttādivirodhābhāvato, aṭṭhakathāya ca vuttattā yathāvuttavasenevettha attho gahetabbo. Yadi evaṃ kasmā ‘‘sāmaṇero jānitvā pivanto sīlabhedaṃ āpajjati, na ajānitvā’’ti aṭṭhakathāyaṃ vuttanti? Nāyaṃ doso sīlabhedassa bhagavato āṇāyattattā ukkhittānuvattikādīnaṃ sīlabhedo viya. Na hi tāsaṃ akusaluppattiyā eva sīlabhedo hoti saṅghāyattasamanubhāsanānantareyeva vihitattā. Evamidhāpi jānitvā pivane eva vihito, na ajānitvā pivane. Añño hi sikkhāpadavisayo, añño akusalavisayo. Teneva sāmaṇerānaṃ purimesu pañcasu sikkhāpadesu ekasmiṃ bhinne sabbānipi sikkhāpadāni bhijjanti. Akusalaṃ pana yaṃ bhinnaṃ, tena ekeneva hoti, nāññehi. Tasmā sāmaṇerassa ajānitvā pivantassa sīlabhedābhāvepi kammapathappattaṃ akusalamevāti gahetabbaṃ.
ยํ ปน สารตฺถทีปนิยํ (สารตฺถ. ฎี. ปาราชิกกณฺฑ ๒.๔๒) ‘‘สามเณรสฺส สุราติ อชานิตฺวา ปิวนฺตสฺส ปาราชิกํ นตฺถิ, อกุสลํ ปน โหตี’’ติ เกหิจิ วุตฺตวจนํ ‘‘ตํ เตสํ มติมตฺต’’นฺติ ปฎิกฺขิปิตฺวา ‘‘ภิกฺขุโน อชานิตฺวาปิ พีชโต ปฎฺฐาย มชฺชํ ปิวนฺตสฺส ปาจิตฺติยํฯ สามเณโร ชานิตฺวา ปิวโนฺต สีลเภทํ อาปชฺชติ, น อชานิตฺวาติ เอตฺตกเมว หิ อฎฺฐกถายํ วุตฺตํ, อกุสลํ ปน โหตีติ น วุตฺต’’นฺติ ตตฺถ การณํ วุตฺตํ, ตํ อการณํฯ น หิ อฎฺฐกถายํ สามเณรานํ ชานิตฺวา ปิวเน เอว สีลเภโท, น อชานิตฺวาติ สีลเภทกถนฎฺฐาเน อกุสลํ ปน โหตีติ อวจนํ อชานนปเกฺข อกุสลาภาวสฺส การณํ โหติ, ตตฺถ ปสงฺคาภาวา, วตฺตพฺพฎฺฐาเน เอว ‘‘อกุสเลเนว ปาตพฺพตาย โลกวชฺชตา’’ติ วุตฺตตฺตา จฯ น จ เต ‘‘อกุสลํ ปน โหตี’’ติ วทนฺตา อาจริยา อิมํ สามเณรานํ สีลเภทปฺปกาสกํ ขนฺธกฎฺฐกถาปาฐเมว คเหตฺวา อโวจุํ, เยน ‘‘เอตฺตกเมว อฎฺฐกถายํ วุตฺต’’นฺติ วตฺตพฺพํ สิยา, อถ โข สุราปานฎฺฐกถาคตํ สุตฺตปิฎกฎฺฐกถาคตญฺจ อเนกวิธํ วจนํ, มหาวิหารวาสีนํ ปรมฺปโรปเทสญฺจ คเหตฺวา อโวจุํฯ ภินฺนลทฺธิกานํ อภยคิริกาทีนํ มตเญฺหตํ, ยทิทํ ชานิตฺวา ปิวนฺตเสฺสว อกุสลนฺติ คหณํฯ ตสฺมา ยํ วุตฺตํ เกหิจิ ‘‘สามเณรสฺส สุราติ อชานิตฺวา ปิวนฺตสฺส ปาราชิกํ นตฺถิ, อกุสลํ ปน โหตี’’ติ, ตํ สุวุตฺตนฺติ คเหตพฺพํฯ
Yaṃ pana sāratthadīpaniyaṃ (sārattha. ṭī. pārājikakaṇḍa 2.42) ‘‘sāmaṇerassa surāti ajānitvā pivantassa pārājikaṃ natthi, akusalaṃ pana hotī’’ti kehici vuttavacanaṃ ‘‘taṃ tesaṃ matimatta’’nti paṭikkhipitvā ‘‘bhikkhuno ajānitvāpi bījato paṭṭhāya majjaṃ pivantassa pācittiyaṃ. Sāmaṇero jānitvā pivanto sīlabhedaṃ āpajjati, na ajānitvāti ettakameva hi aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ, akusalaṃ pana hotīti na vutta’’nti tattha kāraṇaṃ vuttaṃ, taṃ akāraṇaṃ. Na hi aṭṭhakathāyaṃ sāmaṇerānaṃ jānitvā pivane eva sīlabhedo, na ajānitvāti sīlabhedakathanaṭṭhāne akusalaṃ pana hotīti avacanaṃ ajānanapakkhe akusalābhāvassa kāraṇaṃ hoti, tattha pasaṅgābhāvā, vattabbaṭṭhāne eva ‘‘akusaleneva pātabbatāya lokavajjatā’’ti vuttattā ca. Na ca te ‘‘akusalaṃ pana hotī’’ti vadantā ācariyā imaṃ sāmaṇerānaṃ sīlabhedappakāsakaṃ khandhakaṭṭhakathāpāṭhameva gahetvā avocuṃ, yena ‘‘ettakameva aṭṭhakathāyaṃ vutta’’nti vattabbaṃ siyā, atha kho surāpānaṭṭhakathāgataṃ suttapiṭakaṭṭhakathāgatañca anekavidhaṃ vacanaṃ, mahāvihāravāsīnaṃ paramparopadesañca gahetvā avocuṃ. Bhinnaladdhikānaṃ abhayagirikādīnaṃ matañhetaṃ, yadidaṃ jānitvā pivantasseva akusalanti gahaṇaṃ. Tasmā yaṃ vuttaṃ kehici ‘‘sāmaṇerassa surāti ajānitvā pivantassa pārājikaṃ natthi, akusalaṃ pana hotī’’ti, taṃ suvuttanti gahetabbaṃ.
ยญฺจ สารตฺถทีปนิยํ (สารตฺถ. ฎี. ปาราชิกกณฺฑ ๒.๔๒) ‘‘อชานิตฺวา ปิวนฺตสฺสาปิ โสตาปนฺนสฺส มุขํ สุรา น ปวิสติ กมฺมปถปฺปตฺตอกุสลจิเตฺตเนว ปาตพฺพโต’’ติ เกหิจิ วุตฺตวจนํ ‘‘น สุนฺทร’’นฺติ ปฎิกฺขิปิตฺวา ‘‘โพธิสเตฺต กุจฺฉิคเต โพธิสตฺตมาตุ สีลํ วิย หิ อิทมฺปิ อริยสาวกานํ ธมฺมตาสิทฺธนฺติ เวทิตพฺพ’’นฺติ วตฺวา ธมฺมตาสิทฺธตฺตํเยว สมเตฺถตุํ ‘‘ภวนฺตเรปิ หิ อริยสาวโก ชีวิตเหตุปิ เนว ปาณํ หนติ, น สุรํ ปิวติฯ สเจ ปิสฺส สุรญฺจ ขีรญฺจ มิเสฺสตฺวา มุเข ปกฺขิปนฺติ, ขีรเมว ปวิสติ, น สุราฯ ยถา กิํ? ยถา โกญฺจสกุณานํ ขีรมิสฺสเก อุทเก ขีรเมว ปวิสติ, น อุทกํฯ อิทํ โยนิสิทฺธนฺติ เจ, อิทมฺปิ ธมฺมตาสิทฺธนฺติ เวทิตพฺพ’’นฺติ อิทํ อฎฺฐกถาวจนํ ทสฺสิตํ, ตมฺปิ น ยุตฺตเมวฯ ยถา หิ โพธิสตฺตมาตุ สีลํ วิย อริยสาวกานํ ธมฺมตาสิทฺธนฺติ เอตฺถ โพธิสตฺตมาตุ ธมฺมตา นาม โพธิสตฺตสฺส จ อตฺตโน จ ปารมิตานุภาเวน อกุสลานุปฺปตฺตินิยโม เอวฯ ตถา อริยสาวกานมฺปิ ภวนฺตเร ปาณาติปาตาทีนํ ทสนฺนํ กมฺมปถานํ อเญฺญสญฺจ อปายเหตุกานํ อกุสลานํ อจฺจนฺตปฺปหายกสฺส มคฺคสฺส อานุภาเวน ตํตํสีลวีติกฺกมเหตุกสฺส อกุสลสฺส อนุปฺปตฺตินิยโม เอว ธมฺมตาฯ น หิ สภาววาทีนํ ธมฺมตา วิย อเหตุกตา อิธ ธมฺมตา นามฯ ยถา วา เอวํธมฺมตานเย การณสฺส ภาเว อภาเว จ การิยสฺส ภาโว อภาโว จ ธมฺมตา, น อเหตุอปฺปจฺจยาภาวาภาโว, เอวมิธาปิ ปาณาติปาตาทิกมฺมปถานํ เหตุภูตสฺส กิเลสสฺส อจฺจนฺตาภาเวน เตสํ อภาโว, ตทวเสสานํ อกุสลานํ เหตุโน ภาเวน ภาโว จ ธมฺมตา , น อเหตุกตาฯ ตสฺมา อปายเหตุโน ราคสฺส อภาเวเนว อริยานํ อชานิตฺวาปิ สุราย อนโชฺฌหรณนฺติ สุวุตฺตเมวิทํ เกหิจิ ‘‘อชานิตฺวา ปิวนฺตสฺสาปิ โสตาปนฺนสฺส มุขํ สุรา น ปวิสติ กมฺมปถปฺปตฺตอกุสลจิเตฺตเนว ปาตพฺพโต’’ติ, ตํ เกน เหตุนา น สุนฺทรํ ชาตนฺติ น ญายติ, ธมฺมตาสิทฺธนฺติ วา กถเนน กถํ ตํ ปฎิกฺขิตฺตนฺติฯ
Yañca sāratthadīpaniyaṃ (sārattha. ṭī. pārājikakaṇḍa 2.42) ‘‘ajānitvā pivantassāpi sotāpannassa mukhaṃ surā na pavisati kammapathappattaakusalacitteneva pātabbato’’ti kehici vuttavacanaṃ ‘‘na sundara’’nti paṭikkhipitvā ‘‘bodhisatte kucchigate bodhisattamātu sīlaṃ viya hi idampi ariyasāvakānaṃ dhammatāsiddhanti veditabba’’nti vatvā dhammatāsiddhattaṃyeva samatthetuṃ ‘‘bhavantarepi hi ariyasāvako jīvitahetupi neva pāṇaṃ hanati, na suraṃ pivati. Sace pissa surañca khīrañca missetvā mukhe pakkhipanti, khīrameva pavisati, na surā. Yathā kiṃ? Yathā koñcasakuṇānaṃ khīramissake udake khīrameva pavisati, na udakaṃ. Idaṃ yonisiddhanti ce, idampi dhammatāsiddhanti veditabba’’nti idaṃ aṭṭhakathāvacanaṃ dassitaṃ, tampi na yuttameva. Yathā hi bodhisattamātu sīlaṃ viya ariyasāvakānaṃ dhammatāsiddhanti ettha bodhisattamātu dhammatā nāma bodhisattassa ca attano ca pāramitānubhāvena akusalānuppattiniyamo eva. Tathā ariyasāvakānampi bhavantare pāṇātipātādīnaṃ dasannaṃ kammapathānaṃ aññesañca apāyahetukānaṃ akusalānaṃ accantappahāyakassa maggassa ānubhāvena taṃtaṃsīlavītikkamahetukassa akusalassa anuppattiniyamo eva dhammatā. Na hi sabhāvavādīnaṃ dhammatā viya ahetukatā idha dhammatā nāma. Yathā vā evaṃdhammatānaye kāraṇassa bhāve abhāve ca kāriyassa bhāvo abhāvo ca dhammatā, na ahetuappaccayābhāvābhāvo, evamidhāpi pāṇātipātādikammapathānaṃ hetubhūtassa kilesassa accantābhāvena tesaṃ abhāvo, tadavasesānaṃ akusalānaṃ hetuno bhāvena bhāvo ca dhammatā , na ahetukatā. Tasmā apāyahetuno rāgassa abhāveneva ariyānaṃ ajānitvāpi surāya anajjhoharaṇanti suvuttamevidaṃ kehici ‘‘ajānitvā pivantassāpi sotāpannassa mukhaṃ surā na pavisati kammapathappattaakusalacitteneva pātabbato’’ti, taṃ kena hetunā na sundaraṃ jātanti na ñāyati, dhammatāsiddhanti vā kathanena kathaṃ taṃ paṭikkhittanti.
ยมฺปิ ทีฆนิกายฎฺฐกถายํ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๓๕๒) ‘‘สุรญฺจ ขีรญฺจ มิเสฺสตฺวา…เป.… อิทํ ธมฺมตาสิทฺธ’’นฺติ วจนํ, ตมฺปิ สุราปานสฺส อจิตฺตกปเกฺขปิ อกุสลจิตฺตเญฺญว สาเธติฯ ตถา หิ ‘‘ภวนฺตเรปิ หิ อริยสาวโก ชีวิตเหตุปิ ปาณํ น หนติ, นาทินฺนํ อาทิยติ…เป.… น สุรํ ปิวตี’’ติ วุเตฺต ‘‘ปุริมานํ ตาว จตุนฺนํ กมฺมปถานํ สจิตฺตกตฺตา วิรมณํ สุกรํ, ปจฺฉิมสฺส ปน สุราปานสฺส อจิตฺตกตฺตา กถํ วิรมณํ ภเวยฺยา’’ติ โจทนาสมฺภวํ มนสิกตฺวา วตฺถุอชานนวเสน อจิตฺตกเตฺตปิ ยสฺมา กมฺมปถปฺปตฺตอกุสเลเนว สุรา อโชฺฌหริตพฺพา, ตาทิสี จ อกุสลปฺปวตฺติ อริยสาวกสฺส มเคฺคเนว หตา, ตสฺมาสฺส ปรคลํ สุราย ปวิสนํ นตฺถีติ อตฺถโต คมฺยมานตฺถํ ปริหารวจนํ วทตา ‘‘สเจ ปิสฺส สุรญฺจ ขีรญฺจา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ขีรเมว ปวิสติ, น สุราติ อิทํ สุราย สพฺพถาปิ ปรคลปฺปเวสาภาวทสฺสนปรํ, น ปน สุรามิสฺสขีรสฺส สุราย วิโยชนสามตฺถิยทสฺสนปรํฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – ยทิ หิ สุรามิเสฺส ขีเร กิญฺจิ ปวิเสยฺย, ขีรเมว ปวิเสยฺย, น สุราฯ ขีเร ปน สุราย อวิยุเตฺต น กิญฺจิ ปวิสตีติ ฯ อิทํ โยนิสิทฺธนฺติ อุทกสฺส มุเข อปฺปวิสนํ โยนิสิทฺธํฯ โยนีติ เจตฺถ ชาติ อธิเปฺปตาฯ ตสฺมา โกญฺจชาติกานํ มุขตุณฺฑสงฺขาตานํ รูปธมฺมานํ ขีรมิสฺสอุทกโชฺฌหรณเหตุตฺตาภาเวน ตํ อปฺปวิสนํ สิทฺธนฺติ อโตฺถฯ อิทมฺปิ หิ ขีรมิสฺสาย สุราย ขีเร ปวิสเนฺตปิ ปรคลาปวิสนนฺติฯ ธมฺมตาสิทฺธนฺติ อริยสาวกสฺส อรูปธมฺมานํ สุราปิวนเหตุภูตกิเลสสหิตตฺตาภาวสงฺขาตาย ธมฺมตาย สิทฺธํฯ เอวเมตฺถ อจิตฺตกปเกฺขปิ สุราย อกุสลจิเตฺตเนว ปาตพฺพโต อริยสาวกานํ อปิวนํ สมตฺถิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อถาปิ สิยา อชานนปเกฺข อกุสลจิเตฺตน วินาว ปาตพฺพเตฺตปิ สุราย อปิวนํ อริยานํ ธมฺมตาติ สมตฺถนปรเมตนฺติ, ตํ น, อฎฺฐกถาวจนนฺตเรหิ วิรุชฺฌนโตฯ ยถา หิ วจนนฺตเรหิ น วิรุชฺฌติ, ตถาเยว อโตฺถ คเหตโพฺพฯ
Yampi dīghanikāyaṭṭhakathāyaṃ (dī. ni. aṭṭha. 1.352) ‘‘surañca khīrañca missetvā…pe… idaṃ dhammatāsiddha’’nti vacanaṃ, tampi surāpānassa acittakapakkhepi akusalacittaññeva sādheti. Tathā hi ‘‘bhavantarepi hi ariyasāvako jīvitahetupi pāṇaṃ na hanati, nādinnaṃ ādiyati…pe… na suraṃ pivatī’’ti vutte ‘‘purimānaṃ tāva catunnaṃ kammapathānaṃ sacittakattā viramaṇaṃ sukaraṃ, pacchimassa pana surāpānassa acittakattā kathaṃ viramaṇaṃ bhaveyyā’’ti codanāsambhavaṃ manasikatvā vatthuajānanavasena acittakattepi yasmā kammapathappattaakusaleneva surā ajjhoharitabbā, tādisī ca akusalappavatti ariyasāvakassa maggeneva hatā, tasmāssa paragalaṃ surāya pavisanaṃ natthīti atthato gamyamānatthaṃ parihāravacanaṃ vadatā ‘‘sace pissa surañca khīrañcā’’tiādi vuttaṃ. Tattha khīrameva pavisati, na surāti idaṃ surāya sabbathāpi paragalappavesābhāvadassanaparaṃ, na pana surāmissakhīrassa surāya viyojanasāmatthiyadassanaparaṃ. Ayañhettha adhippāyo – yadi hi surāmisse khīre kiñci paviseyya, khīrameva paviseyya, na surā. Khīre pana surāya aviyutte na kiñci pavisatīti . Idaṃ yonisiddhanti udakassa mukhe appavisanaṃ yonisiddhaṃ. Yonīti cettha jāti adhippetā. Tasmā koñcajātikānaṃ mukhatuṇḍasaṅkhātānaṃ rūpadhammānaṃ khīramissaudakajjhoharaṇahetuttābhāvena taṃ appavisanaṃ siddhanti attho. Idampi hi khīramissāya surāya khīre pavisantepi paragalāpavisananti. Dhammatāsiddhanti ariyasāvakassa arūpadhammānaṃ surāpivanahetubhūtakilesasahitattābhāvasaṅkhātāya dhammatāya siddhaṃ. Evamettha acittakapakkhepi surāya akusalacitteneva pātabbato ariyasāvakānaṃ apivanaṃ samatthitanti veditabbaṃ. Athāpi siyā ajānanapakkhe akusalacittena vināva pātabbattepi surāya apivanaṃ ariyānaṃ dhammatāti samatthanaparametanti, taṃ na, aṭṭhakathāvacanantarehi virujjhanato. Yathā hi vacanantarehi na virujjhati, tathāyeva attho gahetabbo.
อปิจ ปาณาติปาตาทีนํ ปญฺจนฺนํ กมฺมปถานํ ภวนฺตเรปิ อกรณํ อริยานํ ธมฺมตาสีลเมว, เตสญฺจ ยทิ สจิตฺตกตํ สมานํฯ สุราปานํ วิย อิตรานิปิ จตฺตาริ อชานเนฺตนาปิ อริยสาวเกน น กตฺตพฺพานิ สิยุํ, ตถา จ อชานนฺตานํ อริยานํ กุสลาพฺยากตจิเตฺตหิปิ วิรมณปรมารณปรสนฺตกคหณาทีสุ กายวจีปวตฺติ น สมฺปเชฺชยฺย, โน เจ สมฺปชฺชติ, จกฺขุปาลเตฺถรสฺส จงฺกมเนน ปาณวิโยคสฺส, อุปฺปลวณฺณเตฺถริยา พลกฺกาเรน มเคฺคนมคฺคผุสนสฺส จ ปวตฺตตฺตาฯ ตสฺมา สุราปานสฺส อจิตฺตกปเกฺขปิ อกุสเลเนว ปาตพฺพตาย สุรา อริยานํ ปรคลํ น ปวิสตีติ วิเสเสตฺวา วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Apica pāṇātipātādīnaṃ pañcannaṃ kammapathānaṃ bhavantarepi akaraṇaṃ ariyānaṃ dhammatāsīlameva, tesañca yadi sacittakataṃ samānaṃ. Surāpānaṃ viya itarānipi cattāri ajānantenāpi ariyasāvakena na kattabbāni siyuṃ, tathā ca ajānantānaṃ ariyānaṃ kusalābyākatacittehipi viramaṇaparamāraṇaparasantakagahaṇādīsu kāyavacīpavatti na sampajjeyya, no ce sampajjati, cakkhupālattherassa caṅkamanena pāṇaviyogassa, uppalavaṇṇattheriyā balakkārena maggenamaggaphusanassa ca pavattattā. Tasmā surāpānassa acittakapakkhepi akusaleneva pātabbatāya surā ariyānaṃ paragalaṃ na pavisatīti visesetvā vuttanti veditabbaṃ.
นนุ วตฺถุํ ชานนฺตเสฺสว สเพฺพ กมฺมปถา วุตฺตาติ? น, มิจฺฉาทิฎฺฐิยา วิปรีตคฺคหเณเนว ปวตฺตตฺตาฯ กถญฺหิ นาม อสพฺพญฺญุํ สพฺพญฺญุโต, อนิจฺจาทิํ นิจฺจาทิโต จ คหณนฺตี ทิฎฺฐิ วตฺถุํ วิชานาติฯ ยทิ หิ ชาเนยฺย, มิจฺฉาทิฎฺฐิเยว น สิยาฯ สา จ กมฺมปเถสุ คณิตาติ กุโต ชานนฺตเสฺสว กมฺมปถปฺปวตฺตินิยโมฯ อถ สพฺพญฺญุํ สพฺพญฺญูติ คณฺหนฺตีปิ ‘‘อยํ สโตฺต’’ติ ตสฺส สรูปคฺคหณโต ทิฎฺฐิปิ วตฺถุํ วิชานาตีติ เจ? น, สุราปานสฺสปิ ‘‘อยํ น สุรา’’ติ สรูปคฺคหณสฺส สมานตฺตาฯ ‘‘อย’’นฺติ จ วตฺถุปรามสเนปิ ‘‘สุรา’’ติ วิเสสวิชานนาภาวา น ชานาตีติ เจ? ‘‘อย’’นฺติ ปุคฺคลตฺตํ ชานนฺตีปิ ‘‘อสพฺพญฺญู’’ติปิ วิเสสชานนาภาวา ทิฎฺฐิปิ วตฺถุํ น ชานาตีติ สมานเมวฯ เอวญฺหิ เตสํ พุทฺธาติ อหิโตติ อหิตํ วา ปูรณกสฺสปาทิํ หิโต ปฎิฆสฺส วา อนุนยสฺส วา อุปฺปาทเนปิ เอเสว นโยฯ วิปลฺลาสปุพฺพกญฺหิ สพฺพํ อกุสลํฯ
Nanu vatthuṃ jānantasseva sabbe kammapathā vuttāti? Na, micchādiṭṭhiyā viparītaggahaṇeneva pavattattā. Kathañhi nāma asabbaññuṃ sabbaññuto, aniccādiṃ niccādito ca gahaṇantī diṭṭhi vatthuṃ vijānāti. Yadi hi jāneyya, micchādiṭṭhiyeva na siyā. Sā ca kammapathesu gaṇitāti kuto jānantasseva kammapathappavattiniyamo. Atha sabbaññuṃ sabbaññūti gaṇhantīpi ‘‘ayaṃ satto’’ti tassa sarūpaggahaṇato diṭṭhipi vatthuṃ vijānātīti ce? Na, surāpānassapi ‘‘ayaṃ na surā’’ti sarūpaggahaṇassa samānattā. ‘‘Aya’’nti ca vatthuparāmasanepi ‘‘surā’’ti visesavijānanābhāvā na jānātīti ce? ‘‘Aya’’nti puggalattaṃ jānantīpi ‘‘asabbaññū’’tipi visesajānanābhāvā diṭṭhipi vatthuṃ na jānātīti samānameva. Evañhi tesaṃ buddhāti ahitoti ahitaṃ vā pūraṇakassapādiṃ hito paṭighassa vā anunayassa vā uppādanepi eseva nayo. Vipallāsapubbakañhi sabbaṃ akusalaṃ.
อปิจ สุราย ปียมานาย นิยเมน อกุสลุปฺปาทนํ สภาโว ปีตาย วิยฯ ขีราทิสญฺญาย ปีตสุรสฺส ปุคฺคลสฺส มาตุภคินิอาทีสุปิ ราคโทสาทิอกุสลปฺปพโนฺธ วตฺถุสภาเวเนว อุปฺปชฺชติ, เอวํ ปียมานกฺขเณปิ ติขิโณ ราโค อุปฺปชฺชเตว, เตเนว สาคตเตฺถรสฺส อชานิตฺวา ปิวนกาเล ปญฺจาภิญฺญาทิฌานปริหานิ, ปจฺฉา จ พุทฺธาทีสุ อคารวาทิอกุสลปฺปพโนฺธ ยาว สุราวิคมา ปวตฺติตฺถฯ เตเนว ภควาปิ ตสฺส อคารวาทิอกอุสลปฺปวตฺติทสฺสนมุเขน สุราโทสํ ปกาเสตฺวา สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสิฯ น หิ ปญฺจนีวรณุปฺปตฺติํ วินา ฌานปริหานิ โหติฯ ตสฺมา อชานนฺตสฺสาปิ สุรา ปียมานา ปีตา จ อตฺตโน สภาเวเนว อกุสลุปฺปาทิกาติ อยมโตฺถ สาคตเตฺถรสฺส ฌานปริหานิยา อนฺวยโตปิ, อริยานํ กิเลสาภาเวน มุเขน สุราย อปฺปเวสสงฺขาตพฺยติเรกโตปิ สิชฺฌตีติ นิฎฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํ, เอวํ คหณเมว หิ วิภชฺชวาทีมตานุสารํฯ
Apica surāya pīyamānāya niyamena akusaluppādanaṃ sabhāvo pītāya viya. Khīrādisaññāya pītasurassa puggalassa mātubhaginiādīsupi rāgadosādiakusalappabandho vatthusabhāveneva uppajjati, evaṃ pīyamānakkhaṇepi tikhiṇo rāgo uppajjateva, teneva sāgatattherassa ajānitvā pivanakāle pañcābhiññādijhānaparihāni, pacchā ca buddhādīsu agāravādiakusalappabandho yāva surāvigamā pavattittha. Teneva bhagavāpi tassa agāravādiakausalappavattidassanamukhena surādosaṃ pakāsetvā sikkhāpadaṃ paññapesi. Na hi pañcanīvaraṇuppattiṃ vinā jhānaparihāni hoti. Tasmā ajānantassāpi surā pīyamānā pītā ca attano sabhāveneva akusaluppādikāti ayamattho sāgatattherassa jhānaparihāniyā anvayatopi, ariyānaṃ kilesābhāvena mukhena surāya appavesasaṅkhātabyatirekatopi sijjhatīti niṭṭhamettha gantabbaṃ, evaṃ gahaṇameva hi vibhajjavādīmatānusāraṃ.
ยํ ปน ‘‘ชานิตฺวา ปิวนฺตเสฺสว อกุสล’’นฺติ คหณํ, ตํ ภินฺนลทฺธิกานํ อภยคิริกาทีนเมว มตํ, ตํ ปน คณฺฐิปทการกาทีหิ ‘‘ปรวาโท’’ติ อชานเนฺตหิ อตฺตโน มติยา สํสนฺทิตฺวา ลิขิตํ วิภชฺชวาทีมณฺฑลมฺปิ ปวิสิตฺวา ยาวชฺชตนา สาสนํ ทูเสติ, ปุราปิ กิร อิมสฺมิมฺปิ ทมิฬรเฎฺฐ โกจิ ภินฺนลทฺธิโก นาคเสโน นาม เถโร กุณฺฑลเกสีวตฺถุํ ปรวาทมถนนยทสฺสนตฺถํ ทมิฬกพฺพรูเปน กาเรโนฺต ‘‘อิมํ สุราปานสฺส ชานิตฺวาว ปิวเน อกุสลนยํ, อญฺญญฺจ เทสกาลาทิเภเทน อนนฺตมฺปิ เญยฺยํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ สลกฺขณวเสเนว ญาตุํ น สโกฺกติ ญาเณน ปริจฺฉินฺนเตฺตน เญยฺยสฺส อนนฺตตฺตหานิปฺปสงฺคโตฯ อนิจฺจาทิสามญฺญลกฺขณวเสเนว ปน ญาตุํ สโกฺกตี’’ติ จ, ‘‘ปรมตฺถธเมฺมสุ นามรูปนฺติอาทิเภโท วิย ปุคฺคลาทิสมฺมุติปิ วิสุํ วตฺถุเภโท เอวา’’ติ จ เอวมาทิกํ พหุํ วิปรีตตฺถนยํ กพฺพาการสฺส กวิโน อุปทิสิตฺวา ตสฺมิํ ปพเนฺธ การณาภาเสหิ สติํ สโมฺมเหตฺวา ปพนฺธาเปสิ, ตญฺจ กพฺพํ นิสฺสาย อิมํ ภินฺนลทฺธิกมตํ อิธ วิภชฺชวาทีมเต สมฺมิสฺสํ จิรํ ปวตฺติตฺถฯ ตํ ปน ปจฺฉา อาจริยพุทฺธปฺปิยมหาเถเรน พาหิรพฺภริกํ ทิฎฺฐิชาลํ วิฆาเฎตฺวา อิธ ปริสุทฺธํ สาสนํ ปติฎฺฐาเปเนฺตน โสธิตมฺปิ สารตฺถทีปนิยา (สารตฺถ. ฎี. ปาราชิกกณฺฑ ๒.๔๒) วินยฎีกาย สุราปานสฺส สจิตฺตกปเกฺขเยว จิตฺตํ อกุสลนฺติ สมตฺถนวจนํ นิสฺสาย เกหิจิ วิปลฺลตฺตจิเตฺตหิ ปุน อุกฺขิตฺตสิรํ ชาตํ, ตญฺจ มหาเถเรหิ วินิจฺฉินิตฺวา คารยฺหวาทํ กตฺวา มทฺทิตฺวา ลทฺธิคาหเก จ ภิกฺขู วิโยเชตฺวา ธเมฺมน วินเยน สตฺถุสาสเนน จิเรเนว วูปสมิตํฯ เตเนเวตฺถ มยํ เอวํ วิตฺถารโต อิทํ ปฎิกฺขิปิมฺห ‘‘มา อเญฺญปิ วิภชฺชวาทิโน อยํ ลทฺธิ ทูเสสี’’ติฯ ตสฺมา อิธ วุตฺตานิ อวุตฺตานิ จ การณานิ สุฎฺฐุ สลฺลเกฺขตฺวา ยถา อาคมวิโรโธ น โหติ, ตถา อโตฺถ คเหตโพฺพฯ
Yaṃ pana ‘‘jānitvā pivantasseva akusala’’nti gahaṇaṃ, taṃ bhinnaladdhikānaṃ abhayagirikādīnameva mataṃ, taṃ pana gaṇṭhipadakārakādīhi ‘‘paravādo’’ti ajānantehi attano matiyā saṃsanditvā likhitaṃ vibhajjavādīmaṇḍalampi pavisitvā yāvajjatanā sāsanaṃ dūseti, purāpi kira imasmimpi damiḷaraṭṭhe koci bhinnaladdhiko nāgaseno nāma thero kuṇḍalakesīvatthuṃ paravādamathananayadassanatthaṃ damiḷakabbarūpena kārento ‘‘imaṃ surāpānassa jānitvāva pivane akusalanayaṃ, aññañca desakālādibhedena anantampi ñeyyaṃ sabbaññutaññāṇaṃ salakkhaṇavaseneva ñātuṃ na sakkoti ñāṇena paricchinnattena ñeyyassa anantattahānippasaṅgato. Aniccādisāmaññalakkhaṇavaseneva pana ñātuṃ sakkotī’’ti ca, ‘‘paramatthadhammesu nāmarūpantiādibhedo viya puggalādisammutipi visuṃ vatthubhedo evā’’ti ca evamādikaṃ bahuṃ viparītatthanayaṃ kabbākārassa kavino upadisitvā tasmiṃ pabandhe kāraṇābhāsehi satiṃ sammohetvā pabandhāpesi, tañca kabbaṃ nissāya imaṃ bhinnaladdhikamataṃ idha vibhajjavādīmate sammissaṃ ciraṃ pavattittha. Taṃ pana pacchā ācariyabuddhappiyamahātherena bāhirabbharikaṃ diṭṭhijālaṃ vighāṭetvā idha parisuddhaṃ sāsanaṃ patiṭṭhāpentena sodhitampi sāratthadīpaniyā (sārattha. ṭī. pārājikakaṇḍa 2.42) vinayaṭīkāya surāpānassa sacittakapakkheyeva cittaṃ akusalanti samatthanavacanaṃ nissāya kehici vipallattacittehi puna ukkhittasiraṃ jātaṃ, tañca mahātherehi vinicchinitvā gārayhavādaṃ katvā madditvā laddhigāhake ca bhikkhū viyojetvā dhammena vinayena satthusāsanena cireneva vūpasamitaṃ. Tenevettha mayaṃ evaṃ vitthārato idaṃ paṭikkhipimha ‘‘mā aññepi vibhajjavādino ayaṃ laddhi dūsesī’’ti. Tasmā idha vuttāni avuttāni ca kāraṇāni suṭṭhu sallakkhetvā yathā āgamavirodho na hoti, tathā attho gahetabbo.
เสสนฺติ ยสฺส วตฺถุวิชานนจิเตฺตน สจิตฺตกปเกฺขปิ จิตฺตํ อกุสลเมวาติ นิยโม นตฺถิ, ตํ สพฺพนฺติ อโตฺถฯ รุนฺธนฺตีติ ‘‘ติรจฺฉานคติตฺถิยา โทโส นตฺถี’’ติอาทินา อนาปตฺติยา เลสคฺคหณํ นิวาเรนฺตีฯ ทฺวารํ ปิทหนฺตีติ ‘‘ตญฺจ โข มนุสฺสิตฺถิยา’’ติอาทินา (ปารา. ๔๑) เลสคฺคหณสฺส การณสงฺขาตํ ทฺวารํ ปิทหนฺตีฯ โสตํ ปจฺฉินฺทมานาติ ตทุภยเลสคฺคหณทฺวารานํ วเสน อวิจฺฉินฺนํ วีติกฺกมโสตํ ปจฺฉินฺทมานาฯ คาฬฺหตรํ กโรนฺตีติ ยถาวุเตฺตหิ การเณหิ ปฐมปญฺญตฺติสิทฺธํ อาปตฺติเญฺญว ทฬฺหํ กโรนฺตี, อนาปตฺติยา โอกาสํ อททมานาติ อโตฺถฯ สา จ ยสฺมา วีติกฺกมาภาเว, อวิสยตาย อโพฺพหาริเก วีติกฺกเม จ โลกวเชฺชปิ สิถิลํ กโรนฺตี อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา ตถา อุปฺปตฺติํ อุปฺปตฺติการณญฺจ ทเสฺสโนฺต อาห อญฺญตฺร อธิมานาติอาทิฯ อญฺญตฺร อธิมานาติ อิมิสฺสา อนุปญฺญตฺติยา ‘‘วีติกฺกมาภาวา’’ติ การณํ วุตฺตํฯ อญฺญตฺร สุปินนฺตาติ อิมิสฺสา ‘‘อโพฺพหาริกตฺตา’’ติ การณํ วุตฺตํฯ ตตฺถ วีติกฺกมาภาวาติ ปาปิจฺฉาย อวิชฺชมานสฺส อุตฺตริมนุสฺสธมฺมสฺส วิชฺชมานโต ปกาสนวสปฺปวตฺตวิสํวาทนาธิปฺปายสงฺขาตสฺส วีติกฺกมสฺส อภาวโตฯ อธิมานิกสฺส หิ อนธิคเต อธิคตสญฺญิตาย ยถาวุตฺตวีติกฺกโม นตฺถิฯ อโพฺพหาริกตฺตาติ ‘‘อเตฺถสา, ภิกฺขเว, เจตนา, สา จ โข อโพฺพหาริกา’’ติ (ปารา. ๒๓๕) วจนโต โมจนสฺสาทเจตนาย อุปกฺกมนสฺส จ วิชฺชมานเตฺตปิ ถินมิเทฺธน อภิภูตตาย อวสเตฺตน อโพฺพหาริกตฺตา, อาปตฺติการณโวหาราภาวาติ อโตฺถฯ วา-สโทฺท เจตฺถ สมุจฺจยโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ, ‘‘อโพฺพหาริกตฺตา จา’’ติ วา ปาโฐฯ วุตฺตาติ ทุวิธาปิ เจสา อนุปญฺญตฺติ อนาปตฺติกรา วุตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ
Sesanti yassa vatthuvijānanacittena sacittakapakkhepi cittaṃ akusalamevāti niyamo natthi, taṃ sabbanti attho. Rundhantīti ‘‘tiracchānagatitthiyā doso natthī’’tiādinā anāpattiyā lesaggahaṇaṃ nivārentī. Dvāraṃ pidahantīti ‘‘tañca kho manussitthiyā’’tiādinā (pārā. 41) lesaggahaṇassa kāraṇasaṅkhātaṃ dvāraṃ pidahantī. Sotaṃ pacchindamānāti tadubhayalesaggahaṇadvārānaṃ vasena avicchinnaṃ vītikkamasotaṃ pacchindamānā. Gāḷhataraṃ karontīti yathāvuttehi kāraṇehi paṭhamapaññattisiddhaṃ āpattiññeva daḷhaṃ karontī, anāpattiyā okāsaṃ adadamānāti attho. Sā ca yasmā vītikkamābhāve, avisayatāya abbohārike vītikkame ca lokavajjepi sithilaṃ karontī uppajjati, tasmā tathā uppattiṃ uppattikāraṇañca dassento āha aññatra adhimānātiādi. Aññatra adhimānāti imissā anupaññattiyā ‘‘vītikkamābhāvā’’ti kāraṇaṃ vuttaṃ. Aññatra supinantāti imissā ‘‘abbohārikattā’’ti kāraṇaṃ vuttaṃ. Tattha vītikkamābhāvāti pāpicchāya avijjamānassa uttarimanussadhammassa vijjamānato pakāsanavasappavattavisaṃvādanādhippāyasaṅkhātassa vītikkamassa abhāvato. Adhimānikassa hi anadhigate adhigatasaññitāya yathāvuttavītikkamo natthi. Abbohārikattāti ‘‘atthesā, bhikkhave, cetanā, sā ca kho abbohārikā’’ti (pārā. 235) vacanato mocanassādacetanāya upakkamanassa ca vijjamānattepi thinamiddhena abhibhūtatāya avasattena abbohārikattā, āpattikāraṇavohārābhāvāti attho. Vā-saddo cettha samuccayattho daṭṭhabbo, ‘‘abbohārikattā cā’’ti vā pāṭho. Vuttāti duvidhāpi cesā anupaññatti anāpattikarā vuttāti adhippāyo.
อกเต วีติกฺกเมติ อาปทาสุปิ ภิกฺขูหิ สิกฺขาปทวีติกฺกเม อกเต, กุกฺกุจฺจา น ภุญฺชิํสูติอาทีสุ วิย วีติกฺกมํ อกตฺวา ภิกฺขูหิ อตฺตโน ทุกฺขุปฺปตฺติยา อาโรจิตายาติ อโตฺถฯ สิถิลํ กโรนฺตีติ ปฐมํ สามญฺญโต พทฺธสิกฺขาปทํ โมเจตฺวา อตฺตโน วิสเย อนาปตฺติกรณวเสน สิถิลํ กโรนฺตีฯ ทฺวารํ ททมานาติ อนาปตฺติยา ทฺวารํ ททมานาฯ อปราปรมฺปิ อนาปตฺติํ กุรุมานาติ ทิเนฺนน เตน ทฺวาเรน อุปรูปริ อนาปตฺติภาวํ ทีเปนฺตีฯ ปญฺญเตฺตปิ สิกฺขาปเท อุทายินา ‘‘มุหุตฺติกาย เวสิยา น โทโส’’ติ เลเสน วีติกฺกมิตฺวา สญฺจริตฺตาปชฺชนวตฺถุสฺมิํ (ปารา. ๒๙๖ อาทโย) ปญฺญตฺตตฺตา ‘‘กเต วีติกฺกเม’’ติ วุตฺตํฯ ปญฺญตฺติคติกาติ อตฺถโต มูลปญฺญตฺติเยวาติ อธิปฺปาโยฯ
Akate vītikkameti āpadāsupi bhikkhūhi sikkhāpadavītikkame akate, kukkuccā na bhuñjiṃsūtiādīsu viya vītikkamaṃ akatvā bhikkhūhi attano dukkhuppattiyā ārocitāyāti attho. Sithilaṃ karontīti paṭhamaṃ sāmaññato baddhasikkhāpadaṃ mocetvā attano visaye anāpattikaraṇavasena sithilaṃ karontī. Dvāraṃ dadamānāti anāpattiyā dvāraṃ dadamānā. Aparāparampi anāpattiṃ kurumānāti dinnena tena dvārena uparūpari anāpattibhāvaṃ dīpentī. Paññattepi sikkhāpade udāyinā ‘‘muhuttikāya vesiyā na doso’’ti lesena vītikkamitvā sañcarittāpajjanavatthusmiṃ (pārā. 296 ādayo) paññattattā ‘‘kate vītikkame’’ti vuttaṃ. Paññattigatikāti atthato mūlapaññattiyevāti adhippāyo.
มกฺกฎีวตฺถุกถาวณฺณนานโย นิฎฺฐิโตฯ
Makkaṭīvatthukathāvaṇṇanānayo niṭṭhito.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๑. ปฐมปาราชิกํ • 1. Paṭhamapārājikaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๑. ปฐมปาราชิกํ • 1. Paṭhamapārājikaṃ
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / มกฺกฎิวตฺถุกถาวณฺณนา • Makkaṭivatthukathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / มกฺกฎีวตฺถุกถาวณฺณนา • Makkaṭīvatthukathāvaṇṇanā