Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya |
๘. มนสิการสุตฺตํ
8. Manasikārasuttaṃ
๘. อถ โข อายสฺมา อานโนฺท เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อายสฺมา อานโนฺท ภควนฺตํ เอตทโวจ –
8. Atha kho āyasmā ānando yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho āyasmā ānando bhagavantaṃ etadavoca –
‘‘สิยา นุ โข, ภเนฺต, ภิกฺขุโน ตถารูโป สมาธิปฎิลาโภ ยถา น จกฺขุํ มนสิ กเรยฺย, น รูปํ มนสิ กเรยฺย, น โสตํ มนสิ กเรยฺย, น สทฺทํ มนสิ กเรยฺย, น ฆานํ มนสิ กเรยฺย, น คนฺธํ มนสิ กเรยฺย, น ชิวฺหํ มนสิ กเรยฺย, น รสํ มนสิ กเรยฺย, น กายํ มนสิ กเรยฺย, น โผฎฺฐพฺพํ มนสิ กเรยฺย, น ปถวิํ มนสิ กเรยฺย, น อาปํ มนสิ กเรยฺย, น เตชํ มนสิ กเรยฺย, น วายํ มนสิ กเรยฺย, น อากาสานญฺจายตนํ มนสิ กเรยฺย, น วิญฺญาณญฺจายตนํ มนสิ กเรยฺย, น อากิญฺจญฺญายตนํ มนสิ กเรยฺย, น เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ มนสิ กเรยฺย, น อิธโลกํ มนสิ กเรยฺย, น ปรโลกํ มนสิ กเรยฺย, ยมฺปิทํ ทิฎฺฐํ สุตํ มุตํ วิญฺญาตํ ปตฺตํ ปริเยสิตํ อนุวิจริตํ มนสา, ตมฺปิ น มนสิ กเรยฺย; มนสิ จ ปน กเรยฺยา’’ติ?
‘‘Siyā nu kho, bhante, bhikkhuno tathārūpo samādhipaṭilābho yathā na cakkhuṃ manasi kareyya, na rūpaṃ manasi kareyya, na sotaṃ manasi kareyya, na saddaṃ manasi kareyya, na ghānaṃ manasi kareyya, na gandhaṃ manasi kareyya, na jivhaṃ manasi kareyya, na rasaṃ manasi kareyya, na kāyaṃ manasi kareyya, na phoṭṭhabbaṃ manasi kareyya, na pathaviṃ manasi kareyya, na āpaṃ manasi kareyya, na tejaṃ manasi kareyya, na vāyaṃ manasi kareyya, na ākāsānañcāyatanaṃ manasi kareyya, na viññāṇañcāyatanaṃ manasi kareyya, na ākiñcaññāyatanaṃ manasi kareyya, na nevasaññānāsaññāyatanaṃ manasi kareyya, na idhalokaṃ manasi kareyya, na paralokaṃ manasi kareyya, yampidaṃ diṭṭhaṃ sutaṃ mutaṃ viññātaṃ pattaṃ pariyesitaṃ anuvicaritaṃ manasā, tampi na manasi kareyya; manasi ca pana kareyyā’’ti?
‘‘สิยา, อานนฺท, ภิกฺขุโน ตถารูโป สมาธิปฎิลาโภ ยถา น จกฺขุํ มนสิ กเรยฺย, น รูปํ มนสิ กเรยฺย, น โสตํ มนสิ กเรยฺย, น สทฺทํ มนสิ กเรยฺย, น ฆานํ มนสิ กเรยฺย, น คนฺธํ มนสิ กเรยฺย, น ชิวฺหํ มนสิ กเรยฺย, น รสํ มนสิ กเรยฺย, น กายํ มนสิ กเรยฺย, น โผฎฺฐพฺพํ มนสิ กเรยฺย, น ปถวิํ มนสิ กเรยฺย, น อาปํ มนสิ กเรยฺย, น เตชํ มนสิ กเรยฺย, น วายํ มนสิ กเรยฺย, น อากาสานญฺจายตนํ มนสิ กเรยฺย, น วิญฺญาณญฺจายตนํ มนสิ กเรยฺย, น อากิญฺจญฺญายตนํ มนสิ กเรยฺย, น เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ มนสิ กเรยฺย, น อิธโลกํ มนสิ กเรยฺย, น ปรโลกํ มนสิ กเรยฺย, ยมฺปิทํ ทิฎฺฐํ สุตํ มุตํ วิญฺญาตํ ปตฺตํ ปริเยสิตํ อนุวิจริตํ มนสา, ตมฺปิ น มนสิ กเรยฺย; มนสิ จ ปน กเรยฺยา’’ติฯ
‘‘Siyā, ānanda, bhikkhuno tathārūpo samādhipaṭilābho yathā na cakkhuṃ manasi kareyya, na rūpaṃ manasi kareyya, na sotaṃ manasi kareyya, na saddaṃ manasi kareyya, na ghānaṃ manasi kareyya, na gandhaṃ manasi kareyya, na jivhaṃ manasi kareyya, na rasaṃ manasi kareyya, na kāyaṃ manasi kareyya, na phoṭṭhabbaṃ manasi kareyya, na pathaviṃ manasi kareyya, na āpaṃ manasi kareyya, na tejaṃ manasi kareyya, na vāyaṃ manasi kareyya, na ākāsānañcāyatanaṃ manasi kareyya, na viññāṇañcāyatanaṃ manasi kareyya, na ākiñcaññāyatanaṃ manasi kareyya, na nevasaññānāsaññāyatanaṃ manasi kareyya, na idhalokaṃ manasi kareyya, na paralokaṃ manasi kareyya, yampidaṃ diṭṭhaṃ sutaṃ mutaṃ viññātaṃ pattaṃ pariyesitaṃ anuvicaritaṃ manasā, tampi na manasi kareyya; manasi ca pana kareyyā’’ti.
‘‘ยถา กถํ ปน, ภเนฺต, สิยา ภิกฺขุโน ตถารูโป สมาธิปฎิลาโภ ยถา น จกฺขุํ มนสิ กเรยฺย, น รูปํ มนสิ กเรยฺย… ยมฺปิทํ ทิฎฺฐํ สุตํ มุตํ วิญฺญาตํ ปตฺตํ ปริเยสิตํ อนุวิจริตํ มนสา, ตมฺปิ น มนสิ กเรยฺย; มนสิ จ ปน กเรยฺยา’’ติ?
‘‘Yathā kathaṃ pana, bhante, siyā bhikkhuno tathārūpo samādhipaṭilābho yathā na cakkhuṃ manasi kareyya, na rūpaṃ manasi kareyya… yampidaṃ diṭṭhaṃ sutaṃ mutaṃ viññātaṃ pattaṃ pariyesitaṃ anuvicaritaṃ manasā, tampi na manasi kareyya; manasi ca pana kareyyā’’ti?
‘‘อิธานนฺท, ภิกฺขุ เอวํ มนสิ กโรติ – ‘เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ, ยทิทํ สพฺพสงฺขารสมโถ สพฺพูปธิปฎินิสฺสโคฺค ตณฺหากฺขโย วิราโค นิโรโธ นิพฺพาน’นฺติฯ เอวํ โข, อานนฺท, สิยา ภิกฺขุโน ตถารูโป สมาธิปฎิลาโภ ยถา น จกฺขุํ มนสิ กเรยฺย, น รูปํ มนสิ กเรยฺย…เป.… ยมฺปิทํ ทิฎฺฐํ สุตํ มุตํ วิญฺญาตํ ปตฺตํ ปริเยสิตํ อนุวิจริตํ มนสา, ตมฺปิ น มนสิ กเรยฺย; มนสิ จ ปน กเรยฺยา’’ติฯ อฎฺฐมํฯ
‘‘Idhānanda, bhikkhu evaṃ manasi karoti – ‘etaṃ santaṃ etaṃ paṇītaṃ, yadidaṃ sabbasaṅkhārasamatho sabbūpadhipaṭinissaggo taṇhākkhayo virāgo nirodho nibbāna’nti. Evaṃ kho, ānanda, siyā bhikkhuno tathārūpo samādhipaṭilābho yathā na cakkhuṃ manasi kareyya, na rūpaṃ manasi kareyya…pe… yampidaṃ diṭṭhaṃ sutaṃ mutaṃ viññātaṃ pattaṃ pariyesitaṃ anuvicaritaṃ manasā, tampi na manasi kareyya; manasi ca pana kareyyā’’ti. Aṭṭhamaṃ.
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๗-๘. ปฐมสญฺญาสุตฺตาทิวณฺณนา • 7-8. Paṭhamasaññāsuttādivaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑-๑๐. กิมตฺถิยสุตฺตาทิวณฺณนา • 1-10. Kimatthiyasuttādivaṇṇanā