Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๕๘] ๘. มนฺธาตุชาตกวณฺณนา
[258] 8. Mandhātujātakavaṇṇanā
ยาวตา จนฺทิมสูริยาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิร สาวตฺถิํ ปิณฺฑาย จรมาโน เอกํ อลงฺกตปฎิยตฺตํ อิตฺถิํ ทิสฺวา อุกฺกณฺฐิฯ อถ นํ ภิกฺขู ธมฺมสภํ อาเนตฺวา ‘‘อยํ, ภเนฺต, ภิกฺขุ อุกฺกณฺฐิโต’’ติ สตฺถุ ทเสฺสสุํฯ สตฺถา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, ภิกฺขุ, อุกฺกณฺฐิโต’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘กทา ตฺวํ , ภิกฺขุ, อคารํ อชฺฌาวสมาโน ตณฺหํ ปูเรตุํ สกฺขิสฺสสิ, กามตณฺหา หิ นาเมสา สมุโทฺท วิย ทุปฺปูรา, โปราณกราชาโน ทฺวิสหสฺสปริตฺตทีปปริวาเรสุ จตูสุ มหาทีเปสุ จกฺกวตฺติรชฺชํ กาเรตฺวา มนุสฺสปริหาเรเนว จาตุมหาราชิกเทวโลเก รชฺชํ กาเรตฺวา ตาวติํสเทวโลเก ฉตฺติํสาย สกฺกานญฺจ วสนฎฺฐาเน เทวรชฺชํ กาเรตฺวาปิ อตฺตโน กามตณฺหํ ปูเรตุํ อสโกฺกนฺตาว กาลมกํสุ, ตฺวํ ปเนตํ ตณฺหํ กทา ปูเรตุํ สกฺขิสฺสสี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Yāvatā candimasūriyāti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ ukkaṇṭhitabhikkhuṃ ārabbha kathesi. So kira sāvatthiṃ piṇḍāya caramāno ekaṃ alaṅkatapaṭiyattaṃ itthiṃ disvā ukkaṇṭhi. Atha naṃ bhikkhū dhammasabhaṃ ānetvā ‘‘ayaṃ, bhante, bhikkhu ukkaṇṭhito’’ti satthu dassesuṃ. Satthā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ, bhikkhu, ukkaṇṭhito’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘kadā tvaṃ , bhikkhu, agāraṃ ajjhāvasamāno taṇhaṃ pūretuṃ sakkhissasi, kāmataṇhā hi nāmesā samuddo viya duppūrā, porāṇakarājāno dvisahassaparittadīpaparivāresu catūsu mahādīpesu cakkavattirajjaṃ kāretvā manussaparihāreneva cātumahārājikadevaloke rajjaṃ kāretvā tāvatiṃsadevaloke chattiṃsāya sakkānañca vasanaṭṭhāne devarajjaṃ kāretvāpi attano kāmataṇhaṃ pūretuṃ asakkontāva kālamakaṃsu, tvaṃ panetaṃ taṇhaṃ kadā pūretuṃ sakkhissasī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต ปฐมกปฺปิเกสุ มหาสมฺมโต นาม ราชา อโหสิฯ ตสฺส ปุโตฺต โรโช นาม, ตสฺส ปุโตฺต วรโรโช นาม, ตสฺส ปุโตฺต กลฺยาโณ นาม, ตสฺส ปุโตฺต วรกลฺยาโณ นาม, ตสฺส ปุโตฺต อุโปสโถ นาม, ตสฺส ปุโตฺต มนฺธาตุ นาม อโหสิฯ โส สตฺตหิ รตเนหิ จตูหิ จ อิทฺธีหิ สมนฺนาคโต จกฺกวตฺติรชฺชํ กาเรสิฯ ตสฺส วามหตฺถํ สมญฺชิตฺวา ทกฺขิณหเตฺถน อโปฺผฎิตกาเล อากาสา ทิพฺพเมโฆ วิย ชาณุปฺปมาณํ สตฺตรตนวสฺสํ วสฺสติ, เอวรูโป อจฺฉริยมนุโสฺส อโหสิฯ โส จตุราสีติ วสฺสสหสฺสานิ กุมารกีฬํ กีฬิฯ จตุราสีติ วสฺสสหสฺสานิ โอปรชฺชํ กาเรสิ, จตุราสีติ วสฺสสหสฺสานิ จกฺกวตฺติรชฺชํ กาเรสิ, อายุปฺปมาณํ อสเงฺขฺยยฺยํ อโหสิฯ
Atīte paṭhamakappikesu mahāsammato nāma rājā ahosi. Tassa putto rojo nāma, tassa putto vararojo nāma, tassa putto kalyāṇo nāma, tassa putto varakalyāṇo nāma, tassa putto uposatho nāma, tassa putto mandhātu nāma ahosi. So sattahi ratanehi catūhi ca iddhīhi samannāgato cakkavattirajjaṃ kāresi. Tassa vāmahatthaṃ samañjitvā dakkhiṇahatthena apphoṭitakāle ākāsā dibbamegho viya jāṇuppamāṇaṃ sattaratanavassaṃ vassati, evarūpo acchariyamanusso ahosi. So caturāsīti vassasahassāni kumārakīḷaṃ kīḷi. Caturāsīti vassasahassāni oparajjaṃ kāresi, caturāsīti vassasahassāni cakkavattirajjaṃ kāresi, āyuppamāṇaṃ asaṅkhyeyyaṃ ahosi.
โส เอกทิวสํ กามตณฺหํ ปูเรตุํ อสโกฺกโนฺต อุกฺกณฺฐิตาการํ ทเสฺสสิฯ อถามจฺจา ‘‘กิํ นุ โข, เทว, อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘มยฺหํ ปุญฺญพเล โอโลกิยมาเน อิทํ รชฺชํ กิํ กริสฺสติ, กตรํ นุ โข ฐานํ รมณีย’’นฺติ? ‘‘เทวโลโก, มหาราชา’’ติฯ โส จกฺกรตนํ อพฺภุกฺกิริตฺวา สทฺธิํ ปริสาย จาตุมหาราชิกเทวโลกํ อคมาสิฯ อถสฺส จตฺตาโร มหาราชาโน ทิพฺพมาลาคนฺธหตฺถา เทวคณปริวุตา ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ตํ อาทาย จาตุมหาราชิกเทวโลกํ คนฺตฺวา เทวรชฺชํ อทํสุฯ ตสฺส สกปริสาย ปริวาริตเสฺสว ตสฺมิํ รชฺชํ กาเรนฺตสฺส ทีโฆ อทฺธา วีติวโตฺตฯ
So ekadivasaṃ kāmataṇhaṃ pūretuṃ asakkonto ukkaṇṭhitākāraṃ dassesi. Athāmaccā ‘‘kiṃ nu kho, deva, ukkaṇṭhitosī’’ti pucchiṃsu. ‘‘Mayhaṃ puññabale olokiyamāne idaṃ rajjaṃ kiṃ karissati, kataraṃ nu kho ṭhānaṃ ramaṇīya’’nti? ‘‘Devaloko, mahārājā’’ti. So cakkaratanaṃ abbhukkiritvā saddhiṃ parisāya cātumahārājikadevalokaṃ agamāsi. Athassa cattāro mahārājāno dibbamālāgandhahatthā devagaṇaparivutā paccuggamanaṃ katvā taṃ ādāya cātumahārājikadevalokaṃ gantvā devarajjaṃ adaṃsu. Tassa sakaparisāya parivāritasseva tasmiṃ rajjaṃ kārentassa dīgho addhā vītivatto.
โส ตตฺถาปิ ตณฺหํ ปูเรตุํ อสโกฺกโนฺต อุกฺกณฺฐิตาการํ ทเสฺสสิ, จตฺตาโร มหาราชาโน ‘‘กิํ นุ โข, เทว, อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘อิมมฺหา เทวโลกา กตรํ ฐานํ รมณีย’’นฺติฯ ‘‘มยํ, เทว, ปเรสํ อุปฎฺฐากปริสา, ตาวติํสเทวโลโก รมณีโย’’ติฯ มนฺธาตา จกฺกรตนํ อพฺภุกฺกิริตฺวา อตฺตโน ปริสาย ปริวุโต ตาวติํสาภิมุโข ปายาสิฯ อถสฺส สโกฺก เทวราชา ทิพฺพมาลาคนฺธหโตฺถ เทวคณปริวุโต ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ตํ หเตฺถ คเหตฺวา ‘‘อิโต เอหิ, มหาราชา’’ติ อาหฯ รโญฺญ เทวคณปริวุตสฺส คมนกาเล ปริณายกรตนํ จกฺกรตนํ อาทาย สทฺธิํ ปริสาย มนุสฺสปถํ โอตริตฺวา อตฺตโน นครเมว ปาวิสิฯ สโกฺก มนฺธาตุํ ตาวติํสภวนํ เนตฺวา เทวตา เทฺว โกฎฺฐาเส กตฺวา อตฺตโน เทวรชฺชํ มเชฺฌ ภินฺทิตฺวา อทาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย เทฺว ราชาโน รชฺชํ กาเรสุํฯ เอวํ กาเล คจฺฉเนฺต สโกฺก สฎฺฐิ จ วสฺสสตสหสฺสานิ ติโสฺส จ วสฺสโกฎิโย อายุํ เขเปตฺวา จวิ, อโญฺญ สโกฺก นิพฺพตฺติฯ โสปิ เทวรชฺชํ กาเรตฺวา อายุกฺขเยน จวิฯ เอเตนูปาเยน ฉตฺติํส สกฺกา จวิํสุ, มนฺธาตา ปน มนุสฺสปริหาเรน เทวรชฺชํ กาเรสิเยวฯ
So tatthāpi taṇhaṃ pūretuṃ asakkonto ukkaṇṭhitākāraṃ dassesi, cattāro mahārājāno ‘‘kiṃ nu kho, deva, ukkaṇṭhitosī’’ti pucchiṃsu. ‘‘Imamhā devalokā kataraṃ ṭhānaṃ ramaṇīya’’nti. ‘‘Mayaṃ, deva, paresaṃ upaṭṭhākaparisā, tāvatiṃsadevaloko ramaṇīyo’’ti. Mandhātā cakkaratanaṃ abbhukkiritvā attano parisāya parivuto tāvatiṃsābhimukho pāyāsi. Athassa sakko devarājā dibbamālāgandhahattho devagaṇaparivuto paccuggamanaṃ katvā taṃ hatthe gahetvā ‘‘ito ehi, mahārājā’’ti āha. Rañño devagaṇaparivutassa gamanakāle pariṇāyakaratanaṃ cakkaratanaṃ ādāya saddhiṃ parisāya manussapathaṃ otaritvā attano nagarameva pāvisi. Sakko mandhātuṃ tāvatiṃsabhavanaṃ netvā devatā dve koṭṭhāse katvā attano devarajjaṃ majjhe bhinditvā adāsi. Tato paṭṭhāya dve rājāno rajjaṃ kāresuṃ. Evaṃ kāle gacchante sakko saṭṭhi ca vassasatasahassāni tisso ca vassakoṭiyo āyuṃ khepetvā cavi, añño sakko nibbatti. Sopi devarajjaṃ kāretvā āyukkhayena cavi. Etenūpāyena chattiṃsa sakkā caviṃsu, mandhātā pana manussaparihārena devarajjaṃ kāresiyeva.
ตสฺส เอวํ กาเล คจฺฉเนฺต ภิโยฺยโสมตฺตาย กามตณฺหา อุปฺปชฺชิ, โส ‘‘กิํ เม อุปฑฺฒรเชฺชน, สกฺกํ มาเรตฺวา เอกรชฺชเมว กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ สกฺกํ มาเรตุํ นาม น สกฺกา, ตณฺหา นาเมสา วิปตฺติมูลา, เตนสฺส อายุสงฺขาโร ปริหายิ, ชรา สรีรํ ปหริฯ มนุสฺสสรีรญฺจ นาม เทวโลเก น ภิชฺชติ, อถ โส เทวโลกา ภสฺสิตฺวา อุยฺยาเน โอตริฯ อุยฺยานปาโล ตสฺส อาคตภาวํ ราชกุเล นิเวเทสิฯ ราชกุลํ อาคนฺตฺวา อุยฺยาเนเยว สยนํ ปญฺญเปสิฯ ราชา อนุฎฺฐานเสยฺยาย นิปชฺชิฯ อมจฺจา ‘‘เทว, ตุมฺหากํ ปรโต กินฺติ กเถมา’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘มม ปรโต ตุเมฺห อิมํ สาสนํ มหาชนสฺส กเถยฺยาถ – ‘มนฺธาตุมหาราชา ทฺวิสหสฺสปริตฺตทีปปริวาเรสุ จตูสุ มหาทีเปสุ จกฺกวตฺติรชฺชํ กาเรตฺวา ทีฆรตฺตํ จาตุมหาราชิเกสุ รชฺชํ กาเรตฺวา ฉตฺติํสาย สกฺกานํ อายุปฺปมาเณน เทวโลเก รชฺชํ กาเรตฺวา ตณฺหํ อปูเรตฺวา กาลมกาสี’’’ติฯ โส เอวํ วตฺวา กาลํ กตฺวา ยถากมฺมํ คโตฯ
Tassa evaṃ kāle gacchante bhiyyosomattāya kāmataṇhā uppajji, so ‘‘kiṃ me upaḍḍharajjena, sakkaṃ māretvā ekarajjameva karissāmī’’ti cintesi. Sakkaṃ māretuṃ nāma na sakkā, taṇhā nāmesā vipattimūlā, tenassa āyusaṅkhāro parihāyi, jarā sarīraṃ pahari. Manussasarīrañca nāma devaloke na bhijjati, atha so devalokā bhassitvā uyyāne otari. Uyyānapālo tassa āgatabhāvaṃ rājakule nivedesi. Rājakulaṃ āgantvā uyyāneyeva sayanaṃ paññapesi. Rājā anuṭṭhānaseyyāya nipajji. Amaccā ‘‘deva, tumhākaṃ parato kinti kathemā’’ti pucchiṃsu. ‘‘Mama parato tumhe imaṃ sāsanaṃ mahājanassa katheyyātha – ‘mandhātumahārājā dvisahassaparittadīpaparivāresu catūsu mahādīpesu cakkavattirajjaṃ kāretvā dīgharattaṃ cātumahārājikesu rajjaṃ kāretvā chattiṃsāya sakkānaṃ āyuppamāṇena devaloke rajjaṃ kāretvā taṇhaṃ apūretvā kālamakāsī’’’ti. So evaṃ vatvā kālaṃ katvā yathākammaṃ gato.
สตฺถา อิมํ อตีตํ อาหริตฺวา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา อิมา คาถา อโวจ –
Satthā imaṃ atītaṃ āharitvā abhisambuddho hutvā imā gāthā avoca –
๒๒.
22.
‘‘ยาวตา จนฺทิมสูริยา, ปริหรนฺติ ทิสา ภนฺติ วิโรจนา;
‘‘Yāvatā candimasūriyā, pariharanti disā bhanti virocanā;
สเพฺพว ทาสา มนฺธาตุ, เย ปาณา ปถวิสฺสิตาฯ
Sabbeva dāsā mandhātu, ye pāṇā pathavissitā.
๒๓.
23.
‘‘น กหาปณวเสฺสน, ติตฺติ กาเมสุ วิชฺชติ;
‘‘Na kahāpaṇavassena, titti kāmesu vijjati;
อปฺปสฺสาทา ทุขา กามา, อิติ วิญฺญาย ปณฺฑิโตฯ
Appassādā dukhā kāmā, iti viññāya paṇḍito.
๒๔.
24.
‘‘อปิ ทิเพฺพสุ กาเมสุ, รติํ โส นาธิคจฺฉติ;
‘‘Api dibbesu kāmesu, ratiṃ so nādhigacchati;
ตณฺหกฺขยรโต โหติ, สมฺมาสมฺพุทฺธสาวโก’’ติฯ
Taṇhakkhayarato hoti, sammāsambuddhasāvako’’ti.
ตตฺถ ยาวตาติ ปริเจฺฉทวจนํฯ ปริหรนฺตีติ ยตฺตเกน ปริเจฺฉเทน สิเนรุํ ปริหรนฺติฯ ทิสา ภนฺตีติ ทสสุ ทิสาสุ ภาสนฺติ ปภาสนฺติฯ วิโรจนาติ อาโลกกรณตาย วิโรจนสภาวาฯ สเพฺพว ทาสา มนฺธาตุ, เย ปาณา ปถวิสฺสิตาติ เอตฺตเก ปเทเส เย ปถวินิสฺสิตา ปาณา ชนปทวาสิโน มนุสฺสา, สเพฺพว เต ‘‘ทาสา มยํ รโญฺญ มนฺธาตุสฺส, อยฺยโก โน ราชา มนฺธาตา’’ติ เอวํ อุปคตตฺตา ภุชิสฺสาปิ สมานา ทาสาเยวฯ
Tattha yāvatāti paricchedavacanaṃ. Pariharantīti yattakena paricchedena sineruṃ pariharanti. Disā bhantīti dasasu disāsu bhāsanti pabhāsanti. Virocanāti ālokakaraṇatāya virocanasabhāvā. Sabbeva dāsā mandhātu, ye pāṇā pathavissitāti ettake padese ye pathavinissitā pāṇā janapadavāsino manussā, sabbeva te ‘‘dāsā mayaṃ rañño mandhātussa, ayyako no rājā mandhātā’’ti evaṃ upagatattā bhujissāpi samānā dāsāyeva.
น กหาปณวเสฺสนาติ เตสํ ทาสภูตานํ มนุสฺสานํ อนุคฺคหาย ยํ มนฺธาตา อโปฺผเฎตฺวา สตฺตรตนวสฺสํ วสฺสาเปติ, ตํ อิธ ‘‘กหาปณวสฺส’’นฺติ วุตฺตํฯ ติตฺติ กาเมสูติ เตนาปิ กหาปณวเสฺสน วตฺถุกามกิเลสกาเมสุ ติตฺติ นาม นตฺถิ, เอวํ ทุปฺปูรา เอสา ตณฺหาฯ อปฺปสฺสาทา ทุขา กามาติ สุปินกูปมตฺตา กามา นาม อปฺปสฺสาทา ปริตฺตสุขา, ทุกฺขเมว ปเนตฺถ พหุตรํฯ ตํ ทุกฺขกฺขนฺธสุตฺตปริยาเยน ทีเปตพฺพํฯ อิติ วิญฺญายาติ เอวํ ชานิตฺวาฯ
Na kahāpaṇavassenāti tesaṃ dāsabhūtānaṃ manussānaṃ anuggahāya yaṃ mandhātā apphoṭetvā sattaratanavassaṃ vassāpeti, taṃ idha ‘‘kahāpaṇavassa’’nti vuttaṃ. Titti kāmesūti tenāpi kahāpaṇavassena vatthukāmakilesakāmesu titti nāma natthi, evaṃ duppūrā esā taṇhā. Appassādā dukhā kāmāti supinakūpamattā kāmā nāma appassādā parittasukhā, dukkhameva panettha bahutaraṃ. Taṃ dukkhakkhandhasuttapariyāyena dīpetabbaṃ. Iti viññāyāti evaṃ jānitvā.
ทิเพฺพสูติ เทวตานํ ปริโภเคสุ รูปาทีสุฯ รติํ โสติ โส วิปสฺสโก ภิกฺขุ ทิเพฺพหิ กาเมหิ นิมนฺติยมาโนปิ เตสุ รติํ นาธิคจฺฉติ อายสฺมา สมิทฺธิ วิยฯ ตณฺหกฺขยรโตติ นิพฺพานรโตฯ นิพฺพานญฺหิ อาคมฺม ตณฺหา ขียติ, ตสฺมา ตํ ‘‘ตณฺหกฺขโย’’ติ วุจฺจติฯ ตตฺถ รโต โหติ อภิรโตฯ สมฺมาสมฺพุทฺธสาวโกติ พุทฺธสฺส สวนเนฺต ชาโต พหุสฺสุโต โยคาวจรปุคฺคโลฯ
Dibbesūti devatānaṃ paribhogesu rūpādīsu. Ratiṃ soti so vipassako bhikkhu dibbehi kāmehi nimantiyamānopi tesu ratiṃ nādhigacchati āyasmā samiddhi viya. Taṇhakkhayaratoti nibbānarato. Nibbānañhi āgamma taṇhā khīyati, tasmā taṃ ‘‘taṇhakkhayo’’ti vuccati. Tattha rato hoti abhirato. Sammāsambuddhasāvakoti buddhassa savanante jāto bahussuto yogāvacarapuggalo.
เอวํ สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิ, อเญฺญ ปน พหู โสตาปตฺติผลาทีนิ ปาปุณิํสุฯ ‘‘ตทา มนฺธาตุราชา อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Evaṃ satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi, aññe pana bahū sotāpattiphalādīni pāpuṇiṃsu. ‘‘Tadā mandhāturājā ahameva ahosi’’nti.
มนฺธาตุชาตกวณฺณนา อฎฺฐมาฯ
Mandhātujātakavaṇṇanā aṭṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๕๘. มนฺธาตุชาตกํ • 258. Mandhātujātakaṃ