Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมานวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Vimānavatthu-aṭṭhakathā |
๒. ปุริสวิมานํ
2. Purisavimānaṃ
๕. มหารถวโคฺค
5. Mahārathavaggo
๑. มณฺฑูกเทวปุตฺตวิมานวณฺณนา
1. Maṇḍūkadevaputtavimānavaṇṇanā
มหารถวเคฺค โก เม วนฺทติ ปาทานีติ มณฺฑูกเทวปุตฺตวิมานํฯ ตสฺส กา อุปฺปตฺติ? ภควา จมฺปายํ วิหรติ คคฺคราย โปกฺขรณิยา ตีเรฯ โส ปจฺจูสเวลายํ พุทฺธาจิณฺณํ มหากรุณาสมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา ตโต วุฎฺฐาย เวเนยฺยพนฺธเว สเตฺต โวโลเกโนฺต อทฺทส ‘‘อชฺช มยิ สายนฺหสมเย ธมฺมํ เทเสเนฺต เอโก มณฺฑูโก มม สเร นิมิตฺตํ คณฺหโนฺต ปรูปกฺกเมน มริตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา มหตา เทวปริวาเรน มหาชนสฺส ปสฺสนฺตเสฺสว อาคมิสฺสติ, ตตฺถ พหูนํ ธมฺมาภิสมโย ภวิสฺสตี’’ติ ทิสฺวา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ จมฺปานครํ ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา, ภิกฺขูนํ สุลภปิณฺฑปาตํ กตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ วิหารํ ปวิสิตฺวา ภิกฺขูสุ วตฺตํ ทเสฺสตฺวา, อตฺตโน อตฺตโน ทิวาฎฺฐานํ คเตสุ คนฺธกุฎิํ ปวิสิตฺวา ผลสมาปตฺติสุเขน ทิวสภาคํ เขเปตฺวา, สายนฺหสมเย จตูสุ ปริสาสุ สนฺนิปติตาสุ สุรภิคนฺธกุฎิโต นิกฺขมิตฺวา ตงฺขณานุรูเปน ปาฎิหาริเยน โปกฺขรณิตีเร ธมฺมสภามณฺฑปํ ปวิสิตฺวา อลงฺกตวรพุทฺธาสเน นิสิโนฺน มโนสิลาตเล สีหนาทํ นทโนฺต อฉมฺภีตเกสรสีโห วิย อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ พฺรหฺมสฺสรํ นิจฺฉาเรโนฺต อจิเนฺตเยฺยน พุทฺธานุภาเวน อนุปมาย พุทฺธลีลาย ธมฺมํ เทเสตุํ อารภิฯ
Mahārathavagge ko me vandati pādānīti maṇḍūkadevaputtavimānaṃ. Tassa kā uppatti? Bhagavā campāyaṃ viharati gaggarāya pokkharaṇiyā tīre. So paccūsavelāyaṃ buddhāciṇṇaṃ mahākaruṇāsamāpattiṃ samāpajjitvā tato vuṭṭhāya veneyyabandhave satte volokento addasa ‘‘ajja mayi sāyanhasamaye dhammaṃ desente eko maṇḍūko mama sare nimittaṃ gaṇhanto parūpakkamena maritvā devaloke nibbattitvā mahatā devaparivārena mahājanassa passantasseva āgamissati, tattha bahūnaṃ dhammābhisamayo bhavissatī’’ti disvā pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ campānagaraṃ piṇḍāya pavisitvā, bhikkhūnaṃ sulabhapiṇḍapātaṃ katvā katabhattakicco vihāraṃ pavisitvā bhikkhūsu vattaṃ dassetvā, attano attano divāṭṭhānaṃ gatesu gandhakuṭiṃ pavisitvā phalasamāpattisukhena divasabhāgaṃ khepetvā, sāyanhasamaye catūsu parisāsu sannipatitāsu surabhigandhakuṭito nikkhamitvā taṅkhaṇānurūpena pāṭihāriyena pokkharaṇitīre dhammasabhāmaṇḍapaṃ pavisitvā alaṅkatavarabuddhāsane nisinno manosilātale sīhanādaṃ nadanto achambhītakesarasīho viya aṭṭhaṅgasamannāgataṃ brahmassaraṃ nicchārento acinteyyena buddhānubhāvena anupamāya buddhalīlāya dhammaṃ desetuṃ ārabhi.
ตสฺมิญฺจ ขเณ เอโก มณฺฑูโก โปกฺขรณิโต อาคนฺตฺวา ‘‘ธโมฺม เอโส วุจฺจตี’’ติ ธมฺมสญฺญาย สเร นิมิตฺตํ คณฺหโนฺต ปริสปริยเนฺต นิปชฺชิฯ อเถโก วจฺฉปาโล ตํ ปเทสํ อาคโต สตฺถารํ ธมฺมํ เทเสนฺตํ ปริสญฺจ ปรเมน อุปสเมน ธมฺมํ สุณนฺตํ ทิสฺวา ตคฺคตมานโส ทณฺฑโมลุพฺภ ติฎฺฐโนฺต มณฺฑูกํ อโนโลเกตฺวา ตสฺส สีเส สนฺนิรุมฺภิตฺวา อฎฺฐาสิฯ โส ธมฺมสญฺญาย ปสนฺนจิโตฺต ตาวเทว กาลํ กตฺวา ตาวติํสภวเน ทฺวาทสโยชนิเก กนกวิมาเน นิพฺพตฺติตฺวา สุตฺตปฺปพุโทฺธ วิย ตตฺถ อจฺฉราสงฺฆปริวุตํ อตฺตานํ ทิสฺวา ‘‘กุโต นุ โข อิธ อหํ นิพฺพโตฺต’’ติ อาวเชฺชโนฺต ปุริมชาติํ ทิสฺวา ‘‘อหมฺปิ นาม อิธ อุปฺปชฺชิํ, อีทิสญฺจ สมฺปตฺติํ ปฎิลภิํ, กิํ นุ โข กมฺมํ อกาสิ’’นฺติ อุปธาเรโนฺต อญฺญํ น อทฺทส อญฺญตฺร ภควโต สเร นิมิตฺตคฺคาหาฯ โส ตาวเทว สห วิมาเนน อาคนฺตฺวา วิมานโต โอตริตฺวา, มหาชนสฺส ปสฺสนฺตเสฺสว มหตา ปริวาเรน มหเนฺตน ทิพฺพานุภาเวน อุปสงฺกมิตฺวา, ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห นมสฺสมาโน อฎฺฐาสิฯ อถ นํ ภควา ชานโนฺตว มหาชนสฺส กมฺมผลํ พุทฺธานุภาวญฺจ ปจฺจกฺขํ กาตุํ –
Tasmiñca khaṇe eko maṇḍūko pokkharaṇito āgantvā ‘‘dhammo eso vuccatī’’ti dhammasaññāya sare nimittaṃ gaṇhanto parisapariyante nipajji. Atheko vacchapālo taṃ padesaṃ āgato satthāraṃ dhammaṃ desentaṃ parisañca paramena upasamena dhammaṃ suṇantaṃ disvā taggatamānaso daṇḍamolubbha tiṭṭhanto maṇḍūkaṃ anoloketvā tassa sīse sannirumbhitvā aṭṭhāsi. So dhammasaññāya pasannacitto tāvadeva kālaṃ katvā tāvatiṃsabhavane dvādasayojanike kanakavimāne nibbattitvā suttappabuddho viya tattha accharāsaṅghaparivutaṃ attānaṃ disvā ‘‘kuto nu kho idha ahaṃ nibbatto’’ti āvajjento purimajātiṃ disvā ‘‘ahampi nāma idha uppajjiṃ, īdisañca sampattiṃ paṭilabhiṃ, kiṃ nu kho kammaṃ akāsi’’nti upadhārento aññaṃ na addasa aññatra bhagavato sare nimittaggāhā. So tāvadeva saha vimānena āgantvā vimānato otaritvā, mahājanassa passantasseva mahatā parivārena mahantena dibbānubhāvena upasaṅkamitvā, bhagavato pāde sirasā vanditvā añjaliṃ paggayha namassamāno aṭṭhāsi. Atha naṃ bhagavā jānantova mahājanassa kammaphalaṃ buddhānubhāvañca paccakkhaṃ kātuṃ –
๘๕๗.
857.
‘‘โก เม วนฺทติ ปาทานิ, อิทฺธิยา ยสสา ชลํ;
‘‘Ko me vandati pādāni, iddhiyā yasasā jalaṃ;
อภิกฺกเนฺตน วเณฺณน, สพฺพา โอภาสยํ ทิสา’’ติฯ –
Abhikkantena vaṇṇena, sabbā obhāsayaṃ disā’’ti. –
ปุจฺฉิฯ ตตฺถ โกติ เทวนาคยกฺขมนุสฺสาทีสุ โก, กตโมติ อโตฺถฯ เมติ มมฯ ปาทานีติ ปาเทฯ อิทฺธิยาติ อิมาย อีทิสาย เทวิทฺธิยาฯ ยสสาติ อิมินา อีทิเสน ปริวาเรน ปริเจฺฉเทน จฯ ชลนฺติ วิโชฺชตมาโนฯ อภิกฺกเนฺตนาติ อติวิย กเนฺตน กมนีเยน สุนฺทเรนฯ วเณฺณนาติ ฉวิวเณฺณน, สรีรวณฺณนิภายาติ อโตฺถฯ
Pucchi. Tattha koti devanāgayakkhamanussādīsu ko, katamoti attho. Meti mama. Pādānīti pāde. Iddhiyāti imāya īdisāya deviddhiyā. Yasasāti iminā īdisena parivārena paricchedena ca. Jalanti vijjotamāno. Abhikkantenāti ativiya kantena kamanīyena sundarena. Vaṇṇenāti chavivaṇṇena, sarīravaṇṇanibhāyāti attho.
อถ เทวปุโตฺต อตฺตโน ปุริมชาติอาทิํ อาวิ กโรโนฺต อิมาหิ คาถาหิ พฺยากาสิ –
Atha devaputto attano purimajātiādiṃ āvi karonto imāhi gāthāhi byākāsi –
๘๕๘.
858.
‘‘มณฺฑูโกหํ ปุเร อาสิํ, อุทเก วาริโคจโร;
‘‘Maṇḍūkohaṃ pure āsiṃ, udake vārigocaro;
ตว ธมฺมํ สุณนฺตสฺส, อวธี วจฺฉปาลโกฯ
Tava dhammaṃ suṇantassa, avadhī vacchapālako.
๘๕๙.
859.
‘‘มุหุตฺตํ จิตฺตปสาทสฺส, อิทฺธิํ ปสฺส ยสญฺจ เม;
‘‘Muhuttaṃ cittapasādassa, iddhiṃ passa yasañca me;
อานุภาวญฺจ เม ปสฺส, วณฺณํ ปสฺส ชุติญฺจ เมฯ
Ānubhāvañca me passa, vaṇṇaṃ passa jutiñca me.
๘๖๐.
860.
‘‘เย จ เต ทีฆมทฺธานํ, ธมฺมํ อโสฺสสุํ โคตม;
‘‘Ye ca te dīghamaddhānaṃ, dhammaṃ assosuṃ gotama;
ปตฺตา เต อจลฎฺฐานํ, ยตฺถ คนฺตฺวา น โสจเร’’ติฯ
Pattā te acalaṭṭhānaṃ, yattha gantvā na socare’’ti.
๘๕๘. ตตฺถ ปุเรติ ปุริมชาติยํฯ อุทเกติ อิทํ ตทา อตฺตโน อุปฺปตฺติฎฺฐานทสฺสนํฯ อุทเก มณฺฑูโกติ เอเตน อุทฺธุมายิกาทิกสฺส ถเล มณฺฑูกสฺส นิวตฺตนํ กตํ โหติฯ คาโว จรนฺติ เอตฺถาติ โคจโร, โคจโร วิยาติ โคจโร, ฆาเสสนฎฺฐานํฯ วาริ อุทกํ โคจโร เอตสฺสาติ วาริโคจโร ฯ อุทกจารีปิ หิ โกจิ กจฺฉปาทิ อวาริโคจโรปิ โหตีติ ‘‘วาริโคจโร’’ติ วิเสเสตฺวา วุตฺตํฯ ตว ธมฺมํ สุณนฺตสฺสาติ พฺรหฺมสฺสเรน กรวีกรุตมญฺชุนา เทเสนฺตสฺส ตว ธมฺมํ ‘‘ธโมฺม เอโส วุจฺจตี’’ติ สเร นิมิตฺตคฺคาหวเสน สุณนฺตสฺส, อนาทเร เจตํ สามิวจนํ เวทิตพฺพํฯ อวธี วจฺฉปาลโกติ วเจฺฉ รกฺขโนฺต โคปาลทารโก มม สมีปํ อาคนฺตฺวา ทณฺฑโมลุพฺภิตฺวา ติฎฺฐโนฺต มม สีเส ทณฺฑํ สนฺนิรุมฺภิตฺวา มํ มาเรสิฯ
858. Tattha pureti purimajātiyaṃ. Udaketi idaṃ tadā attano uppattiṭṭhānadassanaṃ. Udake maṇḍūkoti etena uddhumāyikādikassa thale maṇḍūkassa nivattanaṃ kataṃ hoti. Gāvo caranti etthāti gocaro, gocaro viyāti gocaro, ghāsesanaṭṭhānaṃ. Vāri udakaṃ gocaro etassāti vārigocaro. Udakacārīpi hi koci kacchapādi avārigocaropi hotīti ‘‘vārigocaro’’ti visesetvā vuttaṃ. Tava dhammaṃ suṇantassāti brahmassarena karavīkarutamañjunā desentassa tava dhammaṃ ‘‘dhammo eso vuccatī’’ti sare nimittaggāhavasena suṇantassa, anādare cetaṃ sāmivacanaṃ veditabbaṃ. Avadhī vacchapālakoti vacche rakkhanto gopāladārako mama samīpaṃ āgantvā daṇḍamolubbhitvā tiṭṭhanto mama sīse daṇḍaṃ sannirumbhitvā maṃ māresi.
๘๕๙. มุหุตฺตํ จิตฺตปสาทสฺสาติ ตว ธเมฺม มุหุตฺตมตฺตํ อุปฺปนฺนสฺส จิตฺตปสาทสฺส เหตุภูตสฺส อิทฺธินฺติ สมิทฺธิํ, ทิพฺพวิภูตินฺติ อโตฺถฯ ยสนฺติ ปริวารํฯ อานุภาวนฺติ กามวณฺณิตาทิทิพฺพานุภาวํฯ วณฺณนฺติ สรีรวณฺณสมฺปตฺติํฯ ชุตินฺติ ทฺวาทสโยชนานิ ผรณสมตฺถํ ปภาวิเสสํฯ
859.Muhuttaṃ cittapasādassāti tava dhamme muhuttamattaṃ uppannassa cittapasādassa hetubhūtassa iddhinti samiddhiṃ, dibbavibhūtinti attho. Yasanti parivāraṃ. Ānubhāvanti kāmavaṇṇitādidibbānubhāvaṃ. Vaṇṇanti sarīravaṇṇasampattiṃ. Jutinti dvādasayojanāni pharaṇasamatthaṃ pabhāvisesaṃ.
๘๖๐. เยติ เย สตฺตาฯ จ-สโทฺท พฺยติเรเกฯ เตติ ตวฯ ทีฆมทฺธานนฺติ พหุเวลํฯ อโสฺสสุนฺติ สุณิํสุฯ โคตมาติ ภควนฺตํ โคเตฺตน อาลปติฯ อจลฎฺฐานนฺติ นิพฺพานํฯ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ – โคตม ภควา อหํ วิย อิตฺตรเมว กาลํ อสุณิตฺวา เย ปน กตปุญฺญา จิรํ กาลํ ตว ธมฺมํ อโสฺสสุํ โสตุํ ลภิํสุ, เต ทีฆรตฺตํ สํสารพฺยสนาภิภูตา อิเม สตฺตา ยตฺถ คนฺตฺวา น โสเจยฺยุํ, ตํ อโสกํ สสฺสตภาเวน อจลํ สนฺติปทํ ปตฺตา เอว, น เตสํ ตสฺส ปตฺติยา อนฺตราโยติฯ
860.Yeti ye sattā. Ca-saddo byatireke. Teti tava. Dīghamaddhānanti bahuvelaṃ. Assosunti suṇiṃsu. Gotamāti bhagavantaṃ gottena ālapati. Acalaṭṭhānanti nibbānaṃ. Ayañhettha attho – gotama bhagavā ahaṃ viya ittarameva kālaṃ asuṇitvā ye pana katapuññā ciraṃ kālaṃ tava dhammaṃ assosuṃ sotuṃ labhiṃsu, te dīgharattaṃ saṃsārabyasanābhibhūtā ime sattā yattha gantvā na soceyyuṃ, taṃ asokaṃ sassatabhāvena acalaṃ santipadaṃ pattā eva, na tesaṃ tassa pattiyā antarāyoti.
อถสฺส ภควา สมฺปตฺตปริสาย จ อุปนิสฺสยสมฺปตฺติํ โอโลเกตฺวา วิตฺถาเรน ธมฺมํ เทเสสิฯ เทสนาปริโยสาเน โส เทวปุโตฺต โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิ, จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิฯ เทวปุโตฺต ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ อญฺชลิํ กตฺวา สห ปริวาเรน เทวโลกเมว คโตติฯ
Athassa bhagavā sampattaparisāya ca upanissayasampattiṃ oloketvā vitthārena dhammaṃ desesi. Desanāpariyosāne so devaputto sotāpattiphale patiṭṭhahi, caturāsītiyā pāṇasahassānaṃ dhammābhisamayo ahosi. Devaputto bhagavantaṃ vanditvā tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā bhikkhusaṅghassa ca añjaliṃ katvā saha parivārena devalokameva gatoti.
มณฺฑูกเทวปุตฺตวิมานวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Maṇḍūkadevaputtavimānavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / วิมานวตฺถุปาฬิ • Vimānavatthupāḷi / ๑. มณฺฑูกเทวปุตฺตวิมานวตฺถุ • 1. Maṇḍūkadevaputtavimānavatthu