Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / พุทฺธวํส-อฎฺฐกถา • Buddhavaṃsa-aṭṭhakathā

    ๕. มงฺคลพุทฺธวํสวณฺณนา

    5. Maṅgalabuddhavaṃsavaṇṇanā

    โกณฺฑเญฺญ กิร สตฺถริ ปรินิพฺพุเต ตสฺส สาสนํ วสฺสสตสหสฺสํ ปวตฺติตฺถฯ พุทฺธานุพุทฺธานํ สาวกานํ อนฺตรธาเนน สาสนมสฺส อนฺตรธายิฯ โกณฺฑญฺญสฺส ปน อปรภาเค เอกมสเงฺขฺยยฺยมติกฺกมิตฺวา เอกสฺมิํเยว กเปฺป จตฺตาโร พุทฺธา นิพฺพตฺติํสุ มงฺคโล, สุมโน, เรวโต, โสภิโตติฯ ตตฺถ มงฺคโล ปน โลกนายโก กปฺปสตสหสฺสาธิกานิ โสฬส อสเงฺขฺยยฺยานิ ปารมิโย ปูเรตฺวา ตุสิตปุเร นิพฺพตฺติตฺวา ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา ปญฺจสุ ปุพฺพนิมิเตฺตสุ อุปฺปเนฺนสุ พุทฺธโกลาหลํ นาม อุทปาทิ, ตทา ทสสหสฺสจกฺกวาเฬ เทวตาโย เอกสฺมิํ จกฺกวาเฬ สนฺนิปติตฺวา อายาจนฺติ –

    Koṇḍaññe kira satthari parinibbute tassa sāsanaṃ vassasatasahassaṃ pavattittha. Buddhānubuddhānaṃ sāvakānaṃ antaradhānena sāsanamassa antaradhāyi. Koṇḍaññassa pana aparabhāge ekamasaṅkhyeyyamatikkamitvā ekasmiṃyeva kappe cattāro buddhā nibbattiṃsu maṅgalo, sumano, revato, sobhitoti. Tattha maṅgalo pana lokanāyako kappasatasahassādhikāni soḷasa asaṅkhyeyyāni pāramiyo pūretvā tusitapure nibbattitvā tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā pañcasu pubbanimittesu uppannesu buddhakolāhalaṃ nāma udapādi, tadā dasasahassacakkavāḷe devatāyo ekasmiṃ cakkavāḷe sannipatitvā āyācanti –

    ‘‘กาโล โข เต มหาวีร, อุปฺปชฺช มาตุกุจฺฉิยํ;

    ‘‘Kālo kho te mahāvīra, uppajja mātukucchiyaṃ;

    สเทวกํ ตารยโนฺต, พุชฺฌสฺสุ อมตํ ปท’’นฺติฯ (พุ. วํ. ๑.๖๗);

    Sadevakaṃ tārayanto, bujjhassu amataṃ pada’’nti. (bu. vaṃ. 1.67);

    เอวํ เทเวหิ อายาจิโต กตปญฺจวิโลกโน ตุสิตา กายา จวิตฺวา สพฺพนครุตฺตเม อุตฺตรนคเร อนุตฺตรสฺส อุตฺตรสฺส นาม รโญฺญ กุเล อุตฺตราย นาม เทวิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ตทา อเนกานิ ปาฎิหาริยานิ ปาตุรหุํฯ ตานิ ทีปงฺกรพุทฺธวํเส วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพานิฯ ตสฺสา อุตฺตราย กิร มหาเทวิยา กุจฺฉิสฺมิํ สพฺพโลกมงฺคลสฺส มงฺคลสฺส มหาสตฺตสฺส ปฎิสนฺธิคฺคหณโต ปฎฺฐาย สรีรปฺปภา รตฺตินฺทิวํ อสีติหตฺถปฺปมาณํ ปเทสํ ผริตฺวา จนฺทาโลกสูริยาโลเกหิ อนภิภวนียา หุตฺวา อฎฺฐาสิฯ สา จ อเญฺญนาโลเกน วินา อตฺตโน สรีรปฺปภาสมุทเยเนว อนฺธการํ วิธมิตฺวา อฎฺฐสฎฺฐิยา ธาตีหิ ปริจาริยมานา วิจรติฯ

    Evaṃ devehi āyācito katapañcavilokano tusitā kāyā cavitvā sabbanagaruttame uttaranagare anuttarassa uttarassa nāma rañño kule uttarāya nāma deviyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ gaṇhi. Tadā anekāni pāṭihāriyāni pāturahuṃ. Tāni dīpaṅkarabuddhavaṃse vuttanayeneva veditabbāni. Tassā uttarāya kira mahādeviyā kucchismiṃ sabbalokamaṅgalassa maṅgalassa mahāsattassa paṭisandhiggahaṇato paṭṭhāya sarīrappabhā rattindivaṃ asītihatthappamāṇaṃ padesaṃ pharitvā candālokasūriyālokehi anabhibhavanīyā hutvā aṭṭhāsi. Sā ca aññenālokena vinā attano sarīrappabhāsamudayeneva andhakāraṃ vidhamitvā aṭṭhasaṭṭhiyā dhātīhi paricāriyamānā vicarati.

    สา กิร เทวตาหิ กตารกฺขา ทสนฺนํ มาสานํ อจฺจเยน ปรมสุรภิกุสุมผลธรสาขาวิฎเป กมลกุวลยสมลงฺกเต รุรุ-สีห-พฺยคฺฆ-คช-ควย-มหิํสปสทวิวิธมิคคณวิจริเต ปรมรมณีเย อุตฺตรมธุรุยฺยาเน นาม มงฺคลุยฺยาเน มงฺคลมหาปุริสํ วิชายิ ฯ โส ชาตมโตฺตว มหาสโตฺต สพฺพา ทิสา วิโลเกตฺวา อุตฺตราภิมุโข สตฺตปทวีติหาเรน คนฺตฺวา อาสภิํ วาจํ นิจฺฉาเรสิฯ ตสฺมิญฺจ ขเณ สกลทสสหสฺสิโลกธาตูสุ เทวตา ทิสฺสมานสรีรา ทิพฺพมาลาทีหิ สมลงฺกตคตฺตา ตตฺถ ตตฺถ ฐตฺวา ชยมงฺคลถุติวจนานิ สมฺปวเตฺตสุํฯ ปาฎิหาริยานิ วุตฺตนยาเนวฯ นามคฺคหณทิวเส ปนสฺส ลกฺขณปาฐกา สพฺพมงฺคลสมฺปตฺติยา ชาโตติ ‘‘มงฺคลกุมาโร’’ เตฺวว นามํ กริํสุฯ

    Sā kira devatāhi katārakkhā dasannaṃ māsānaṃ accayena paramasurabhikusumaphaladharasākhāviṭape kamalakuvalayasamalaṅkate ruru-sīha-byaggha-gaja-gavaya-mahiṃsapasadavividhamigagaṇavicarite paramaramaṇīye uttaramadhuruyyāne nāma maṅgaluyyāne maṅgalamahāpurisaṃ vijāyi . So jātamattova mahāsatto sabbā disā viloketvā uttarābhimukho sattapadavītihārena gantvā āsabhiṃ vācaṃ nicchāresi. Tasmiñca khaṇe sakaladasasahassilokadhātūsu devatā dissamānasarīrā dibbamālādīhi samalaṅkatagattā tattha tattha ṭhatvā jayamaṅgalathutivacanāni sampavattesuṃ. Pāṭihāriyāni vuttanayāneva. Nāmaggahaṇadivase panassa lakkhaṇapāṭhakā sabbamaṅgalasampattiyā jātoti ‘‘maṅgalakumāro’’ tveva nāmaṃ kariṃsu.

    ตสฺส กิร ยสวา รุจิมา สิริมาติ ตโย ปาสาทา อเหสุํฯ ยสวตีเทวิปฺปมุขานิ ติํสนาฎกิตฺถิสหสฺสานิ อเหสุํฯ ตตฺถ มหาสโตฺต นววสฺสสหสฺสานิ ทิพฺพสุขสทิสํ สุขํ อนุภวิตฺวา ยสวติยา อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิสฺมิํ สีลวํ นาม ปุตฺตํ ลภิตฺวา จตฺตาริ นิมิตฺตานิ ทิสฺวา อลงฺกตํ ปณฺฑรํ นาม สุนฺทรตุรงฺควรมารุยฺห มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิฯ ตํ ปน ปพฺพชนฺตํ ติโสฺส มนุสฺสโกฎิโย อนุปพฺพชิํสุฯ เตหิ ปริวุโต มหาปุริโส อฎฺฐ มาเส ปธานจริยมจริฯ

    Tassa kira yasavā rucimā sirimāti tayo pāsādā ahesuṃ. Yasavatīdevippamukhāni tiṃsanāṭakitthisahassāni ahesuṃ. Tattha mahāsatto navavassasahassāni dibbasukhasadisaṃ sukhaṃ anubhavitvā yasavatiyā aggamahesiyā kucchismiṃ sīlavaṃ nāma puttaṃ labhitvā cattāri nimittāni disvā alaṅkataṃ paṇḍaraṃ nāma sundaraturaṅgavaramāruyha mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitvā pabbaji. Taṃ pana pabbajantaṃ tisso manussakoṭiyo anupabbajiṃsu. Tehi parivuto mahāpuriso aṭṭha māse padhānacariyamacari.

    ตโต วิสาขปุณฺณมาย อุตฺตรคาเม อุตฺตรเสฎฺฐิโน ธีตาย อุตฺตราย นาม ทินฺนํ ปกฺขิตฺตทิโพฺพชํ มธุปายาสํ ปริภุญฺชิตฺวา สุรภิกุสุมาลงฺกเต นีโลภาเส มโนรเม สาลวเน ทิวาวิหารํ วีตินาเมตฺวา อุตฺตเรน นาม อาชีวเกน ทินฺนา อฎฺฐ ติณมุฎฺฐิโย คเหตฺวา อสิตญฺชนคิริสงฺกาสํ อกฺกนฺตวรกนกชาลกูฎํว สีตจฺฉายํ วิวิธมิคคณสมฺปาตวิรหิตํ มนฺทมาลุเตริตาย ฆนสาขาย สมลงฺกตํ นจฺจนฺตมิว ปีติยา วิโรจมานํ นาคโพธิํ อุปสงฺกมิตฺวา มตฺตวรนาคคามี นาคโพธิํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ปุพฺพุตฺตรปเสฺส ฐตฺวา อฎฺฐปณฺณาสหตฺถวิตฺถตํ ติณสนฺถรํ สนฺถริตฺวา ตตฺถ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา จตุรงฺคสมนฺนาคตํ วีริยํ อธิฎฺฐหิตฺวา สพลํ มารพลํ วิทฺธํเสตฺวา ปุเพฺพนิวาสทิพฺพจกฺขุญาณานิ ปฎิลภิตฺวา ปจฺจยาการสมฺมสนํ กตฺวา ขเนฺธสุ อนิจฺจาทิวเสน อภินิวิสิตฺวา อนุกฺกเมน อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ ปตฺวา –

    Tato visākhapuṇṇamāya uttaragāme uttaraseṭṭhino dhītāya uttarāya nāma dinnaṃ pakkhittadibbojaṃ madhupāyāsaṃ paribhuñjitvā surabhikusumālaṅkate nīlobhāse manorame sālavane divāvihāraṃ vītināmetvā uttarena nāma ājīvakena dinnā aṭṭha tiṇamuṭṭhiyo gahetvā asitañjanagirisaṅkāsaṃ akkantavarakanakajālakūṭaṃva sītacchāyaṃ vividhamigagaṇasampātavirahitaṃ mandamāluteritāya ghanasākhāya samalaṅkataṃ naccantamiva pītiyā virocamānaṃ nāgabodhiṃ upasaṅkamitvā mattavaranāgagāmī nāgabodhiṃ padakkhiṇaṃ katvā pubbuttarapasse ṭhatvā aṭṭhapaṇṇāsahatthavitthataṃ tiṇasantharaṃ santharitvā tattha pallaṅkaṃ ābhujitvā caturaṅgasamannāgataṃ vīriyaṃ adhiṭṭhahitvā sabalaṃ mārabalaṃ viddhaṃsetvā pubbenivāsadibbacakkhuñāṇāni paṭilabhitvā paccayākārasammasanaṃ katvā khandhesu aniccādivasena abhinivisitvā anukkamena anuttaraṃ sammāsambodhiṃ patvā –

    ‘‘อเนกชาติสํสารํ, สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ;

    ‘‘Anekajātisaṃsāraṃ, sandhāvissaṃ anibbisaṃ;

    คหการํ คเวสโนฺต, ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํฯ

    Gahakāraṃ gavesanto, dukkhā jāti punappunaṃ.

    ‘‘คหการก ทิโฎฺฐสิ, ปุน เคหํ น กาหสิ;

    ‘‘Gahakāraka diṭṭhosi, puna gehaṃ na kāhasi;

    สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา, คหกูฎํ วิสงฺขตํ;

    Sabbā te phāsukā bhaggā, gahakūṭaṃ visaṅkhataṃ;

    วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ, ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา’’ติฯ (ธ. ป. ๑๕๓-๑๕๔) –

    Visaṅkhāragataṃ cittaṃ, taṇhānaṃ khayamajjhagā’’ti. (dha. pa. 153-154) –

    อุทานํ อุทาเนสิฯ

    Udānaṃ udānesi.

    มงฺคลสฺส ปน สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อเญฺญหิ พุเทฺธหิ อธิกตรา สรีรปฺปภา อโหสิฯ ยถา ปน อเญฺญสํ สมฺมาสมฺพุทฺธานํ สมนฺตา อสีติหตฺถปฺปมาณา วา พฺยามปฺปมาณา วา สรีรปฺปภา อโหสิ, น เอวํ ตสฺสฯ ตสฺส ปน ภควโต สรีรปฺปภา นิจฺจกาลํ ทสสหสฺสิโลกธาตุํ ผริตฺวา อฎฺฐาสิฯ ตรุคิริฆรปาการฆฎกวาฎาทโย สุวณฺณปฎฺฎปริโยนทฺธา วิย อเหสุํฯ นวุติวสฺสสตสหสฺสานิ อายุ ตสฺส อโหสิฯ เอตฺตกํ กาลํ จนฺทสูริยตารกาทีนํ ปภา นตฺถิฯ รตฺตินฺทิวปริเจฺฉโท น ปญฺญายิตฺถฯ ทิวา สูริยาโลเกน วิย สตฺตา นิจฺจํ พุทฺธาโลเกเนว สพฺพกมฺมานิ กโรนฺตา วิจริํสุฯ สายํ ปุปฺผนกกุสุมานํ ปาโต จ รวนกสกุณาทีนญฺจ วเสน โลโก รตฺตินฺทิวปริเจฺฉทํ สลฺลเกฺขสิฯ

    Maṅgalassa pana sammāsambuddhassa aññehi buddhehi adhikatarā sarīrappabhā ahosi. Yathā pana aññesaṃ sammāsambuddhānaṃ samantā asītihatthappamāṇā vā byāmappamāṇā vā sarīrappabhā ahosi, na evaṃ tassa. Tassa pana bhagavato sarīrappabhā niccakālaṃ dasasahassilokadhātuṃ pharitvā aṭṭhāsi. Tarugirigharapākāraghaṭakavāṭādayo suvaṇṇapaṭṭapariyonaddhā viya ahesuṃ. Navutivassasatasahassāni āyu tassa ahosi. Ettakaṃ kālaṃ candasūriyatārakādīnaṃ pabhā natthi. Rattindivaparicchedo na paññāyittha. Divā sūriyālokena viya sattā niccaṃ buddhālokeneva sabbakammāni karontā vicariṃsu. Sāyaṃ pupphanakakusumānaṃ pāto ca ravanakasakuṇādīnañca vasena loko rattindivaparicchedaṃ sallakkhesi.

    กิํ ปน อเญฺญสํ พุทฺธานํ อยมานุภาโว นตฺถีติ? โน นตฺถิฯ เตปิ หิ อากงฺขมานา ทสสหสฺสิโลกธาตุํ ตโต วา ภิโยฺย อาภาย ผเรยฺยุํฯ มงฺคลสฺส ปน ภควโต ปุพฺพปตฺถนาวเสน อเญฺญสํ พฺยามปฺปภา วิย สรีรปฺปภา นิจฺจเมว ทสสหสฺสิโลกธาตุํ ผริตฺวา อฎฺฐาสิฯ โส กิร โพธิสตฺตกาเล เวสฺสนฺตรตฺตภาวสทิเส อตฺตภาเว สปุตฺตทาโร วงฺกปพฺพตสทิเส ปพฺพเต วสิฯ อเถโก สพฺพชนวิเหฐโก ขรทาฐิโก นาม มนุสฺสภโกฺข มเหสโกฺข ยโกฺข มหาปุริสสฺส ทานชฺฌาสยตํ สุตฺวา พฺราหฺมณวเณฺณน อุปสงฺกมิตฺวา มหาสตฺตํ เทฺว ทารเก ยาจิฯ มหาสโตฺต ‘‘ททามิ พฺราหฺมณสฺส ปุตฺตเก’’ติ หฎฺฐปหโฎฺฐ อุทกปริยนฺตํ ปถวิํ กเมฺปโนฺต เทฺว ทารเก อทาสิฯ อถ โข ยโกฺข ตสฺส ปสฺสนฺตเสฺสว มหาปุริสสฺส ตํ พฺราหฺมณวณฺณํ ปหาย อนลชาลปิงฺคลวิรูปนยโน วิสมวิรูปกุฎิลภีมทาโฐ จิปิฎกวิรูปนาโส กปิลผรุสทีฆเกโส นวทฑฺฒตาลกฺขนฺธสทิสกาโย หุตฺวา เต ทารเก มุฬาลกลาปํ วิย คเหตฺวา ขาทิฯ มหาปุริสสฺส ยกฺขํ โอโลเกตฺวา มุเข วิวฎมเตฺต อคฺคิชาลํ วิย โลหิตธารํ อุคฺคิรนฺตํ ตสฺส มุขํ ทิสฺวาปิ เกสคฺคมตฺตมฺปิ โทมนสฺสํ น อุปฺปชฺชิฯ ‘‘สุทินฺนํ วต เม ทาน’’นฺติ จินฺตยโต ปนสฺส สรีเร มหนฺตํ ปีติโสมนสฺสํ อุทปาทิฯ โส ‘‘อิมสฺส เม นิสฺสเนฺทน อนาคเต อิมินา นีหาเรน รสฺมิโย นิกฺขมนฺตู’’ติ ปตฺถนมกาสิฯ ตสฺส ตํ ปตฺถนํ นิสฺสาย พุทฺธภูตสฺส สรีรโต รสฺมิโย นิกฺขมิตฺวา เอตฺตกํ ฐานํ ผริํสุฯ

    Kiṃ pana aññesaṃ buddhānaṃ ayamānubhāvo natthīti? No natthi. Tepi hi ākaṅkhamānā dasasahassilokadhātuṃ tato vā bhiyyo ābhāya phareyyuṃ. Maṅgalassa pana bhagavato pubbapatthanāvasena aññesaṃ byāmappabhā viya sarīrappabhā niccameva dasasahassilokadhātuṃ pharitvā aṭṭhāsi. So kira bodhisattakāle vessantarattabhāvasadise attabhāve saputtadāro vaṅkapabbatasadise pabbate vasi. Atheko sabbajanaviheṭhako kharadāṭhiko nāma manussabhakkho mahesakkho yakkho mahāpurisassa dānajjhāsayataṃ sutvā brāhmaṇavaṇṇena upasaṅkamitvā mahāsattaṃ dve dārake yāci. Mahāsatto ‘‘dadāmi brāhmaṇassa puttake’’ti haṭṭhapahaṭṭho udakapariyantaṃ pathaviṃ kampento dve dārake adāsi. Atha kho yakkho tassa passantasseva mahāpurisassa taṃ brāhmaṇavaṇṇaṃ pahāya analajālapiṅgalavirūpanayano visamavirūpakuṭilabhīmadāṭho cipiṭakavirūpanāso kapilapharusadīghakeso navadaḍḍhatālakkhandhasadisakāyo hutvā te dārake muḷālakalāpaṃ viya gahetvā khādi. Mahāpurisassa yakkhaṃ oloketvā mukhe vivaṭamatte aggijālaṃ viya lohitadhāraṃ uggirantaṃ tassa mukhaṃ disvāpi kesaggamattampi domanassaṃ na uppajji. ‘‘Sudinnaṃ vata me dāna’’nti cintayato panassa sarīre mahantaṃ pītisomanassaṃ udapādi. So ‘‘imassa me nissandena anāgate iminā nīhārena rasmiyo nikkhamantū’’ti patthanamakāsi. Tassa taṃ patthanaṃ nissāya buddhabhūtassa sarīrato rasmiyo nikkhamitvā ettakaṃ ṭhānaṃ phariṃsu.

    อปรมฺปิ ปุพฺพจริยํ ตสฺส อตฺถิฯ อยํ กิร โพธิสตฺตกาเล เอกสฺส พุทฺธสฺส เจติยํ ทิสฺวา – ‘‘อิมสฺส พุทฺธสฺส มม ชีวิตํ ปริจฺจชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ ทณฺฑทีปิกาเวฐนนิยาเมน สกลสรีรํ เวฐาเปตฺวา รตนมตฺตมกุฬํ สตสหสฺสคฺฆนิกํ สุวณฺณปาติํ สุคนฺธสปฺปิสฺส ปูราเปตฺวา ตตฺถ สหสฺสวฎฺฎิโย ชาเลตฺวา ตํ สีเสนาทาย สกลสรีรํ ชาลาเปตฺวา ชินเจติยํ ปทกฺขิณํ กโรโนฺต สกลรตฺติํ วีตินาเมสิฯ เอวํ ยาว อรุณุคฺคมนา วายมนฺตสฺส โลมกูปมตฺตมฺปิ อุสุมํ น คณฺหิฯ ปทุมคพฺภํ ปวิฎฺฐกาโล วิย อโหสิฯ ธโมฺม หิ นาเมส อตฺตานํ รกฺขนฺตํ รกฺขติฯ เตนาห ภควา –

    Aparampi pubbacariyaṃ tassa atthi. Ayaṃ kira bodhisattakāle ekassa buddhassa cetiyaṃ disvā – ‘‘imassa buddhassa mama jīvitaṃ pariccajituṃ vaṭṭatī’’ti daṇḍadīpikāveṭhananiyāmena sakalasarīraṃ veṭhāpetvā ratanamattamakuḷaṃ satasahassagghanikaṃ suvaṇṇapātiṃ sugandhasappissa pūrāpetvā tattha sahassavaṭṭiyo jāletvā taṃ sīsenādāya sakalasarīraṃ jālāpetvā jinacetiyaṃ padakkhiṇaṃ karonto sakalarattiṃ vītināmesi. Evaṃ yāva aruṇuggamanā vāyamantassa lomakūpamattampi usumaṃ na gaṇhi. Padumagabbhaṃ paviṭṭhakālo viya ahosi. Dhammo hi nāmesa attānaṃ rakkhantaṃ rakkhati. Tenāha bhagavā –

    ‘‘ธโมฺม หเว รกฺขติ ธมฺมจาริํ, ธโมฺม สุจิโณฺณ สุขมาวหาติ;

    ‘‘Dhammo have rakkhati dhammacāriṃ, dhammo suciṇṇo sukhamāvahāti;

    เอสานิสํโส ธเมฺม สุจิเณฺณ, น ทุคฺคติํ คจฺฉติ ธมฺมจารี’’ติฯ (เถรคา. ๓๐๓; ชา. ๑.๑๐.๑๐๒; ๑.๑๕.๓๘๕);

    Esānisaṃso dhamme suciṇṇe, na duggatiṃ gacchati dhammacārī’’ti. (theragā. 303; jā. 1.10.102; 1.15.385);

    อิมสฺสาปิ กมฺมสฺส นิสฺสเนฺทน ตสฺส สรีโรภาโส ทสสหสฺสิโลกธาตุํ ผริตฺวา อฎฺฐาสิ (ธ. ส. อฎฺฐ. นิทานกถา)ฯ เตน วุตฺตํ –

    Imassāpi kammassa nissandena tassa sarīrobhāso dasasahassilokadhātuṃ pharitvā aṭṭhāsi (dha. sa. aṭṭha. nidānakathā). Tena vuttaṃ –

    .

    1.

    ‘‘โกณฺฑญฺญสฺส อปเรน, มงฺคโล นาม นายโก;

    ‘‘Koṇḍaññassa aparena, maṅgalo nāma nāyako;

    ตมํ โลเก นิหนฺตฺวาน, ธโมฺมกฺกมภิธารยิฯ

    Tamaṃ loke nihantvāna, dhammokkamabhidhārayi.

    .

    2.

    ‘‘อตุลาสิ ปภา ตสฺส, ชิเนหเญฺญหิ อุตฺตริํ;

    ‘‘Atulāsi pabhā tassa, jinehaññehi uttariṃ;

    จนฺทสูริยปฺปภํ หนฺตฺวา, ทสสหสฺสี วิโรจตี’’ติฯ

    Candasūriyappabhaṃ hantvā, dasasahassī virocatī’’ti.

    ตตฺถ ตมนฺติ โลกนฺธการญฺจ หทยตมญฺจฯ นิหนฺตฺวานาติ อภิภวิตฺวาฯ ธโมฺมกฺกนฺติ เอตฺถ อยํ ปน อุกฺกา-สโทฺท สุวณฺณการมูสาทีสุ อเนเกสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ ตถาหิ ‘‘สณฺฑาเสน ชาตรูปํ คเหตฺวา อุกฺกามุเข ปกฺขิเปยฺยา’’ติ (ม. นิ. ๓.๓๖๐) อาคตฎฺฐาเน สุวณฺณการานํ มูสา ‘‘อุกฺกา’’ติ เวทิตพฺพาฯ ‘‘อุกฺกํ พเนฺธยฺย, อุกฺกํ พนฺธิตฺวา อุกฺกามุขํ อาลิเมฺปยฺยา’’ติ อาคตฎฺฐาเน กมฺมารานํ องฺคารกปลฺลํฯ ‘‘กมฺมารานํ ยถา อุกฺกา, อโนฺต ฌายติ โน พหี’’ติ (ชา. ๒.๒๒.๖๔๙) อาคตฎฺฐาเน กมฺมารุทฺธนํฯ ‘‘เอวํวิปาโก อุกฺกาปาโต ภวิสฺสตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๔, ๒๐๘) อาคตฎฺฐาเน วายุเวโค ‘‘อุกฺกา’’ติ วุจฺจติฯ ‘‘อุกฺกาสุ ธาริยมานาสู’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๕๙) อาคตฎฺฐาเน ทีปิกา ‘‘อุกฺกา’’ติ วุจฺจติฯ อิธาปิ ทีปิกา อุกฺกาติ อธิเปฺปตา (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๗๖ อาทโย)ฯ ตสฺมา อิธ ธมฺมมยํ อุกฺกํ อภิธารยิ, อวิชฺชนฺธการปฎิจฺฉนฺนสฺส อวิชฺชนฺธการาภิภูตสฺส โลกสฺส ธมฺมมยํ อุกฺกํ ธาเรสีติ อโตฺถฯ

    Tattha tamanti lokandhakārañca hadayatamañca. Nihantvānāti abhibhavitvā. Dhammokkanti ettha ayaṃ pana ukkā-saddo suvaṇṇakāramūsādīsu anekesu atthesu dissati. Tathāhi ‘‘saṇḍāsena jātarūpaṃ gahetvā ukkāmukhe pakkhipeyyā’’ti (ma. ni. 3.360) āgataṭṭhāne suvaṇṇakārānaṃ mūsā ‘‘ukkā’’ti veditabbā. ‘‘Ukkaṃ bandheyya, ukkaṃ bandhitvā ukkāmukhaṃ ālimpeyyā’’ti āgataṭṭhāne kammārānaṃ aṅgārakapallaṃ. ‘‘Kammārānaṃ yathā ukkā, anto jhāyati no bahī’’ti (jā. 2.22.649) āgataṭṭhāne kammāruddhanaṃ. ‘‘Evaṃvipāko ukkāpāto bhavissatī’’ti (dī. ni. 1.24, 208) āgataṭṭhāne vāyuvego ‘‘ukkā’’ti vuccati. ‘‘Ukkāsu dhāriyamānāsū’’ti (dī. ni. 1.159) āgataṭṭhāne dīpikā ‘‘ukkā’’ti vuccati. Idhāpi dīpikā ukkāti adhippetā (ma. ni. aṭṭha. 1.76 ādayo). Tasmā idha dhammamayaṃ ukkaṃ abhidhārayi, avijjandhakārapaṭicchannassa avijjandhakārābhibhūtassa lokassa dhammamayaṃ ukkaṃ dhāresīti attho.

    อตุลาสีติ อตุลฺยา อาสิฯ อยเมว วา ปาโฐ, อเญฺญหิ พุเทฺธหิ อสทิสา อโหสีติ อโตฺถฯ ชิเนหเญฺญหีติ ชิเนหิ อเญฺญหิ ฯ จนฺทสูริยปฺปภํ หนฺตฺวาติ จนฺทสูริยานํ ปภํ อภิหนฺตฺวาฯ ทสสหสฺสี วิโรจตีติ จนฺทสูริยาโลกํ วินา พุทฺธาโลเกเนว ทสสหสฺสี วิโรจตีติ อโตฺถฯ

    Atulāsīti atulyā āsi. Ayameva vā pāṭho, aññehi buddhehi asadisā ahosīti attho. Jinehaññehīti jinehi aññehi . Candasūriyappabhaṃ hantvāti candasūriyānaṃ pabhaṃ abhihantvā. Dasasahassī virocatīti candasūriyālokaṃ vinā buddhālokeneva dasasahassī virocatīti attho.

    มงฺคลสมฺมาสมฺพุโทฺธ ปน อธิคตโพธิญาโณ โพธิมูเลเยว สตฺตสตฺตาหานิ วีตินาเมตฺวา พฺรหฺมุโน ธมฺมายาจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา – ‘‘กสฺส นุ โข อหํ อิมํ ธมฺมํ เทเสยฺย’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๒๘๔; ๒.๓๔๑; มหาว. ๑๐) อุปธาเรโนฺต อตฺตนา สห ปพฺพชิตานํ ภิกฺขูนํ ติโสฺส โกฎิโย อุปนิสฺสยสมฺปนฺนํ อทฺทสฯ อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อิเม กุลปุตฺตา มํ ปพฺพชนฺตํ อนุปพฺพชิตา อุปนิสฺสยสมฺปนฺนา จ, เต มยา วิสาขปุณฺณมาย วิเวกตฺถิเกน วิสฺสชฺชิตา สิริวฑฺฒนนครํ อุปนิสฺสาย สิริวนคหนํ คนฺตฺวา วิหรนฺติ, หนฺทาหํ ตตฺถ คนฺตฺวา ธมฺมํ เตสํ เทเสสฺสามี’’ติ อตฺตโน ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา หํสราชา วิย คคนตลมพฺภุคฺคนฺตฺวา สิริวนคหเน ปจฺจุฎฺฐาสิฯ เต จ ภิกฺขู ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา อเนฺตวาสิกวตฺตํ ทเสฺสตฺวา ภควนฺตํ ปริวาเรตฺวา นิสีทิํสุฯ เตสํ ภควา สพฺพพุทฺธนิเสวิตํ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺตนฺตํ กเถสิฯ ตโต ติโสฺส ภิกฺขุโกฎิโย อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ เทวมนุสฺสานํ โกฎิสตสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Maṅgalasammāsambuddho pana adhigatabodhiñāṇo bodhimūleyeva sattasattāhāni vītināmetvā brahmuno dhammāyācanaṃ sampaṭicchitvā – ‘‘kassa nu kho ahaṃ imaṃ dhammaṃ deseyya’’nti (ma. ni. 1.284; 2.341; mahāva. 10) upadhārento attanā saha pabbajitānaṃ bhikkhūnaṃ tisso koṭiyo upanissayasampannaṃ addasa. Athassa etadahosi – ‘‘ime kulaputtā maṃ pabbajantaṃ anupabbajitā upanissayasampannā ca, te mayā visākhapuṇṇamāya vivekatthikena vissajjitā sirivaḍḍhananagaraṃ upanissāya sirivanagahanaṃ gantvā viharanti, handāhaṃ tattha gantvā dhammaṃ tesaṃ desessāmī’’ti attano pattacīvaraṃ gahetvā haṃsarājā viya gaganatalamabbhuggantvā sirivanagahane paccuṭṭhāsi. Te ca bhikkhū bhagavantaṃ vanditvā antevāsikavattaṃ dassetvā bhagavantaṃ parivāretvā nisīdiṃsu. Tesaṃ bhagavā sabbabuddhanisevitaṃ dhammacakkappavattanasuttantaṃ kathesi. Tato tisso bhikkhukoṭiyo arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Devamanussānaṃ koṭisatasahassānaṃ dhammābhisamayo ahosi. Tena vuttaṃ –

    .

    3.

    ‘‘โสปิ พุโทฺธ ปกาเสสิ, จตุโร สจฺจวรุตฺตเม;

    ‘‘Sopi buddho pakāsesi, caturo saccavaruttame;

    เต เต สจฺจรสํ ปีตฺวา, วิโนเทนฺติ มหาตมํฯ

    Te te saccarasaṃ pītvā, vinodenti mahātamaṃ.

    .

    4.

    ‘‘ปตฺวาน โพธิมตุลํ, ปฐเม ธมฺมเทสเน;

    ‘‘Patvāna bodhimatulaṃ, paṭhame dhammadesane;

    โกฎิสตสหสฺสานํ, ธมฺมาภิสมโย อหู’’ติฯ

    Koṭisatasahassānaṃ, dhammābhisamayo ahū’’ti.

    ตตฺถ จตุโรติ จตฺตาริฯ สจฺจวรุตฺตเมติ สจฺจานิ จ วรานิ จ สจฺจวรานิ, สจฺจานิ อุตฺตมานีติ อโตฺถฯ ‘‘จตฺตาโร สจฺจวรุตฺตเม’’ติปิ ปาโฐ, ตสฺส จตฺตาริ สจฺจวรานิ อุตฺตมานีติ อโตฺถฯ เต เตติ เต เต เทวมนุสฺสา พุเทฺธน ภควตา วินีตาฯ สจฺจรสนฺติ จตุสจฺจปฎิเวธามตรสํ ปิวิตฺวาฯ วิโนเทนฺติ มหาตมนฺติ เตน เตน มเคฺคน ปหาตพฺพํ โมหตมํ วิโนเทนฺติ, วิทฺธํเสนฺตีติ อโตฺถฯ ปตฺวานาติ ปฎิวิชฺฌิตฺวาฯ โพธินฺติ เอตฺถ ปนายํ โพธิ-สโทฺท –

    Tattha caturoti cattāri. Saccavaruttameti saccāni ca varāni ca saccavarāni, saccāni uttamānīti attho. ‘‘Cattāro saccavaruttame’’tipi pāṭho, tassa cattāri saccavarāni uttamānīti attho. Te teti te te devamanussā buddhena bhagavatā vinītā. Saccarasanti catusaccapaṭivedhāmatarasaṃ pivitvā. Vinodenti mahātamanti tena tena maggena pahātabbaṃ mohatamaṃ vinodenti, viddhaṃsentīti attho. Patvānāti paṭivijjhitvā. Bodhinti ettha panāyaṃ bodhi-saddo –

    ‘‘มเคฺค ผเล จ นิพฺพาเน, รุเกฺข ปญฺญตฺติยํ ตถา;

    ‘‘Magge phale ca nibbāne, rukkhe paññattiyaṃ tathā;

    สพฺพญฺญุเต จ ญาณสฺมิํ, โพธิสโทฺท ปนาคโต’’ฯ

    Sabbaññute ca ñāṇasmiṃ, bodhisaddo panāgato’’.

    ตถา หิ ปเนส – ‘‘โพธิ วุจฺจติ จตูสุ มเคฺคสุ ญาณ’’นฺติอาทีสุ (จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๒๑) มเคฺค อาคโตฯ ‘‘อุปสมาย อภิญฺญาย สโมฺพธาย สํวตฺตตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๓; ๓.๓๒๓; มหาว. ๑๓; สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑; ปฎิ. ม. ๒.๓๐) เอตฺถ ผเลฯ ‘‘ปตฺวาน โพธิํ อมตํ อสงฺขต’’นฺติ เอตฺถ นิพฺพาเนฯ ‘‘อนฺตรา จ คยํ อนฺตรา จ โพธิ’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๒๘๕; ๒.๓๔๑; มหาว. ๑๑) เอตฺถ อสฺสตฺถรุเกฺขฯ ‘‘โพธิ โข ราชกุมาโร โภโต โคตมสฺส ปาเท สิรสา วนฺทตี’’ติ เอตฺถ (ม. นิ. ๒.๓๒๔; จูฬว. ๒๖๘) ปญฺญตฺติยํฯ ‘‘ปโปฺปติ โพธิํ วรภูริเมธโส’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๑๗) เอตฺถ สพฺพญฺญุตญฺญาเณฯ อิธาปิ สพฺพญฺญุตญฺญาเณ ทฎฺฐโพฺพฯ อรหตฺตมคฺคญาเณปิ วฎฺฎติ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๓; อุทา. อฎฺฐ. ๑; ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๑; จริยา. อฎฺฐ. นิทานกถา)ฯ อตุลนฺติ ตุลรหิตํ ปมาณาตีตํ, อปฺปมาณนฺติ อโตฺถฯ สโมฺพธิํ ปตฺวา ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส ตสฺส ภควโต ปฐเม ธมฺมเทสเนติ อโตฺถ คเหตโพฺพฯ

    Tathā hi panesa – ‘‘bodhi vuccati catūsu maggesu ñāṇa’’ntiādīsu (cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddesa 121) magge āgato. ‘‘Upasamāya abhiññāya sambodhāya saṃvattatī’’ti (ma. ni. 1.33; 3.323; mahāva. 13; saṃ. ni. 5.1081; paṭi. ma. 2.30) ettha phale. ‘‘Patvāna bodhiṃ amataṃ asaṅkhata’’nti ettha nibbāne. ‘‘Antarā ca gayaṃ antarā ca bodhi’’nti (ma. ni. 1.285; 2.341; mahāva. 11) ettha assattharukkhe. ‘‘Bodhi kho rājakumāro bhoto gotamassa pāde sirasā vandatī’’ti ettha (ma. ni. 2.324; cūḷava. 268) paññattiyaṃ. ‘‘Pappoti bodhiṃ varabhūrimedhaso’’ti (dī. ni. 3.217) ettha sabbaññutaññāṇe. Idhāpi sabbaññutaññāṇe daṭṭhabbo. Arahattamaggañāṇepi vaṭṭati (ma. ni. aṭṭha. 1.13; udā. aṭṭha. 1; pārā. aṭṭha. 1.11; cariyā. aṭṭha. nidānakathā). Atulanti tularahitaṃ pamāṇātītaṃ, appamāṇanti attho. Sambodhiṃ patvā dhammaṃ desentassa tassa bhagavato paṭhame dhammadesaneti attho gahetabbo.

    ยทา ปน จิตฺตํ นาม นครํ อุปนิสฺสาย วิหรโนฺต จมฺปกรุกฺขมูเล กณฺฑมฺพรุกฺขมูเล อมฺหากํ ภควา วิย ติตฺถิยานํ มานมทฺทนํ ยมกปาฎิหาริยํ กตฺวา สุราสุรยุวติรติสมฺภวเน รุจิรนวกนกรชตมยวรภวเน ตาวติํสภวเน ปาริจฺฉตฺตกรุกฺขมูเล ปณฺฑุกมฺพลสิลาตเล นิสีทิตฺวา อภิธมฺมํ กเถสิ, ตทา โกฎิสตสหสฺสานํ เทวตานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิ, อยํ ทุติโย อภิสมโยฯ ยทา ปน สุนโนฺท นาม จกฺกวตฺติราชา สุรภินคเร ปูริตจกฺกวตฺติวโตฺต หุตฺวา จกฺกรตนํ ปฎิลภิฯ ตํ กิร มงฺคลทสพเล โลเก อุปฺปเนฺน จกฺกรตนํ ฐานา โอสกฺกิตํ ทิสฺวา สุนโนฺท ราชา วิคตานโนฺท พฺราหฺมเณ ปริปุจฺฉิ – ‘‘อิมํ จกฺกรตนํ มม กุสเลน นิพฺพตฺตํ, กสฺมา ฐานา โอสกฺกิต’’นฺติ? ตโต เต ตสฺส รโญฺญ โอสกฺกนการณํ พฺยากริํสุฯ ‘‘จกฺกวตฺติรโญฺญ อายุกฺขเยน วา ปพฺพชฺชูปคมเนน วา พุทฺธปาตุภาเวน วา จกฺกรตนํ ฐานา โอสกฺกตีติ วตฺวา ตุยฺหํ ปน, มหาราช, อายุกฺขโย นตฺถิ, อติทีฆายุโก ตฺวํ, มงฺคโล ปน สมฺมาสมฺพุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺน, เตน เต จกฺกรตนํ โอสกฺกิต’’นฺติฯ ตํ สุตฺวา สุนโนฺท จกฺกวตฺติราชา สปริชโน ตํ จกฺกรตนํ สิรสา วนฺทิตฺวา อายาจิ – ‘‘ยาวาหํ ตวานุภาเวน มงฺคลทสพลํ สกฺกริสฺสามิ, ตาว ตฺวํ มา อนฺตรธายสฺสู’’ติฯ อถ นํ จกฺกรตนํ ยถาฐาเนเยว อฎฺฐาสิฯ

    Yadā pana cittaṃ nāma nagaraṃ upanissāya viharanto campakarukkhamūle kaṇḍambarukkhamūle amhākaṃ bhagavā viya titthiyānaṃ mānamaddanaṃ yamakapāṭihāriyaṃ katvā surāsurayuvatiratisambhavane ruciranavakanakarajatamayavarabhavane tāvatiṃsabhavane pāricchattakarukkhamūle paṇḍukambalasilātale nisīditvā abhidhammaṃ kathesi, tadā koṭisatasahassānaṃ devatānaṃ dhammābhisamayo ahosi, ayaṃ dutiyo abhisamayo. Yadā pana sunando nāma cakkavattirājā surabhinagare pūritacakkavattivatto hutvā cakkaratanaṃ paṭilabhi. Taṃ kira maṅgaladasabale loke uppanne cakkaratanaṃ ṭhānā osakkitaṃ disvā sunando rājā vigatānando brāhmaṇe paripucchi – ‘‘imaṃ cakkaratanaṃ mama kusalena nibbattaṃ, kasmā ṭhānā osakkita’’nti? Tato te tassa rañño osakkanakāraṇaṃ byākariṃsu. ‘‘Cakkavattirañño āyukkhayena vā pabbajjūpagamanena vā buddhapātubhāvena vā cakkaratanaṃ ṭhānā osakkatīti vatvā tuyhaṃ pana, mahārāja, āyukkhayo natthi, atidīghāyuko tvaṃ, maṅgalo pana sammāsambuddho loke uppanno, tena te cakkaratanaṃ osakkita’’nti. Taṃ sutvā sunando cakkavattirājā saparijano taṃ cakkaratanaṃ sirasā vanditvā āyāci – ‘‘yāvāhaṃ tavānubhāvena maṅgaladasabalaṃ sakkarissāmi, tāva tvaṃ mā antaradhāyassū’’ti. Atha naṃ cakkaratanaṃ yathāṭhāneyeva aṭṭhāsi.

    ตโต สมุปาคตานโนฺท สุนโนฺท จกฺกวตฺติราชา ฉตฺติํสโยชนปริมณฺฑลาย ปริสาย ปริวุโต สพฺพโลกมงฺคลํ มงฺคลทสพลํ อุปสงฺกมิตฺวา สสาวกสงฺฆํ สตฺถารํ มหาทาเนน สนฺตเปฺปตฺวา อรหนฺตานํ โกฎิสตสหสฺสานํ กาสิกวตฺถานิ ทตฺวา ตถาคตสฺส สพฺพปริกฺขาเร ทตฺวา สกลโลกวิมฺหยกรํ ภควโต ปูชํ กตฺวา มงฺคลํ สพฺพโลกนาถํ อุปสงฺกมิตฺวา ทสนขสโมธานสมุชฺชลํ วิมลกมลมกุฬสมมญฺชลิํ สิรสิ กตฺวา วนฺทิตฺวา ธมฺมสฺสวนตฺถาย เอกมนฺตํ นิสีทิฯ ปุโตฺตปิ ตสฺส อนุราชกุมาโร นาม ตเถว นิสีทิฯ

    Tato samupāgatānando sunando cakkavattirājā chattiṃsayojanaparimaṇḍalāya parisāya parivuto sabbalokamaṅgalaṃ maṅgaladasabalaṃ upasaṅkamitvā sasāvakasaṅghaṃ satthāraṃ mahādānena santappetvā arahantānaṃ koṭisatasahassānaṃ kāsikavatthāni datvā tathāgatassa sabbaparikkhāre datvā sakalalokavimhayakaraṃ bhagavato pūjaṃ katvā maṅgalaṃ sabbalokanāthaṃ upasaṅkamitvā dasanakhasamodhānasamujjalaṃ vimalakamalamakuḷasamamañjaliṃ sirasi katvā vanditvā dhammassavanatthāya ekamantaṃ nisīdi. Puttopi tassa anurājakumāro nāma tatheva nisīdi.

    ตทา สุนนฺทจกฺกวตฺติราชปฺปมุขานํ เตสํ ภควา อนุปุพฺพิกถํ กเถสิฯ สุนโนฺท จกฺกวตฺตี สทฺธิํ ปริสาย สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อถ สตฺถา เตสํ ปุพฺพจริยํ โอโลเกโนฺต อิทฺธิมยปตฺตจีวรสฺส อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา จกฺกชาลสมลงฺกตํ ทกฺขิณหตฺถํ ปสาเรตฺวา – ‘‘เอถ, ภิกฺขโว’’ติ อาหฯ สเพฺพ ตงฺขณํเยว ทุวงฺคุลเกสา อิทฺธิมยปตฺตจีวรธรา วสฺสสฎฺฐิกเตฺถรา วิย อากปฺปสมฺปนฺนา หุตฺวา ภควนฺตํ ปริวารยิํสุฯ อยํ ตติโย อภิสมโย อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Tadā sunandacakkavattirājappamukhānaṃ tesaṃ bhagavā anupubbikathaṃ kathesi. Sunando cakkavattī saddhiṃ parisāya saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. Atha satthā tesaṃ pubbacariyaṃ olokento iddhimayapattacīvarassa upanissayaṃ disvā cakkajālasamalaṅkataṃ dakkhiṇahatthaṃ pasāretvā – ‘‘etha, bhikkhavo’’ti āha. Sabbe taṅkhaṇaṃyeva duvaṅgulakesā iddhimayapattacīvaradharā vassasaṭṭhikattherā viya ākappasampannā hutvā bhagavantaṃ parivārayiṃsu. Ayaṃ tatiyo abhisamayo ahosi. Tena vuttaṃ –

    .

    5.

    ‘‘สุรินฺทเทวภวเน, พุโทฺธ ธมฺมมเทสยิ;

    ‘‘Surindadevabhavane, buddho dhammamadesayi;

    โกฎิสตสหสฺสานํ, ทุติยาภิสมโย อหุฯ

    Koṭisatasahassānaṃ, dutiyābhisamayo ahu.

    .

    6.

    ‘‘ยทา สุนโนฺท จกฺกวตฺตี, สมฺพุทฺธํ อุปสงฺกมิ;

    ‘‘Yadā sunando cakkavattī, sambuddhaṃ upasaṅkami;

    ตทา อาหนิ สมฺพุโทฺธ, ธมฺมเภริํ วรุตฺตมํฯ

    Tadā āhani sambuddho, dhammabheriṃ varuttamaṃ.

    .

    7.

    ‘‘สุนนฺทสฺสานุจรา ชนตา, ตทาสุํ นวุติโกฎิโย;

    ‘‘Sunandassānucarā janatā, tadāsuṃ navutikoṭiyo;

    สเพฺพปิ เต นิรวเสสา, อเหสุํ เอหิภิกฺขุกา’’ติฯ

    Sabbepi te niravasesā, ahesuṃ ehibhikkhukā’’ti.

    ตตฺถ สุรินฺทเทวภวเนติ ปุน เทวินฺทภวเนติ อโตฺถฯ ธมฺมนฺติ อภิธมฺมํฯ อาหนีติ อภิหนิฯ วรุตฺตมนฺติ วโร ภควา อุตฺตมํ ธมฺมเภรินฺติ อโตฺถฯ อนุจราติ นิพทฺธจรา เสวกาฯ อาสุนฺติ อเหสุํฯ ‘‘ตทาสิ นวุติโกฎิโย’’ติปิ ปาโฐฯ ตสฺส ชนตา อาสิ, สา ชนตา กิตฺตกาติ เจ, นวุติโกฎิโยติ อโตฺถฯ

    Tattha surindadevabhavaneti puna devindabhavaneti attho. Dhammanti abhidhammaṃ. Āhanīti abhihani. Varuttamanti varo bhagavā uttamaṃ dhammabherinti attho. Anucarāti nibaddhacarā sevakā. Āsunti ahesuṃ. ‘‘Tadāsi navutikoṭiyo’’tipi pāṭho. Tassa janatā āsi, sā janatā kittakāti ce, navutikoṭiyoti attho.

    อถ มงฺคเล กิร โลกนาเถ เมขเล ปุเร วิหรเนฺต ตสฺมิํเยว ปุเร สุเทโว จ ธมฺมเสโน จ มาณวกา มาณวกสหสฺสปริวารา ตสฺส ภควโต สนฺติเก เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชาย ปพฺพชิํสุ ฯ มาฆปุณฺณมาย ทฺวีสุ อคฺคสาวเกสุ สปริวาเรสุ อรหตฺตํ ปเตฺตสุ สตฺถา โกฎิสตสหสฺสภิกฺขุคณมเชฺฌ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิ, อยํ ปฐโม สนฺนิปาโต อโหสิฯ ปุน อุตฺตราราเม นาม อนุตฺตเร ญาติสมาคเม ปพฺพชิตานํ โกฎิสตสหสฺสานํ สมาคเม ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิ, อยํ ทุติโย สนฺนิปาโต อโหสิฯ สุนนฺทจกฺกวตฺติภิกฺขุคณสมาคเม นวุติโกฎิสหสฺสานํ ภิกฺขูนํ มเชฺฌ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิ, อยํ ตติโย สนฺนิปาโต อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Atha maṅgale kira lokanāthe mekhale pure viharante tasmiṃyeva pure sudevo ca dhammaseno ca māṇavakā māṇavakasahassaparivārā tassa bhagavato santike ehibhikkhupabbajjāya pabbajiṃsu . Māghapuṇṇamāya dvīsu aggasāvakesu saparivāresu arahattaṃ pattesu satthā koṭisatasahassabhikkhugaṇamajjhe pātimokkhaṃ uddisi, ayaṃ paṭhamo sannipāto ahosi. Puna uttarārāme nāma anuttare ñātisamāgame pabbajitānaṃ koṭisatasahassānaṃ samāgame pātimokkhaṃ uddisi, ayaṃ dutiyo sannipāto ahosi. Sunandacakkavattibhikkhugaṇasamāgame navutikoṭisahassānaṃ bhikkhūnaṃ majjhe pātimokkhaṃ uddisi, ayaṃ tatiyo sannipāto ahosi. Tena vuttaṃ –

    .

    8.

    ‘‘สนฺนิปาตา ตโย อาสุํ, มงฺคลสฺส มเหสิโน;

    ‘‘Sannipātā tayo āsuṃ, maṅgalassa mahesino;

    โกฎิสตสหสฺสานํ, ปฐโม อาสิ สมาคโมฯ

    Koṭisatasahassānaṃ, paṭhamo āsi samāgamo.

    .

    9.

    ‘‘ทุติโย โกฎิสตสหสฺสานํ, ตติโย นวุติโกฎินํ;

    ‘‘Dutiyo koṭisatasahassānaṃ, tatiyo navutikoṭinaṃ;

    ขีณาสวานํ วิมลานํ, ตทา อาสิ สมาคโม’’ติฯ

    Khīṇāsavānaṃ vimalānaṃ, tadā āsi samāgamo’’ti.

    ตทา อมฺหากํ โพธิสโตฺต สุรุจิพฺราหฺมณคาเม สุรุจิ นาม พฺราหฺมโณ หุตฺวา ติณฺณํ เวทานํ ปารคู สนิฆณฺฑุเกฎุภานํ สากฺขรปฺปเภทานํ อิติหาสปญฺจมานํ ปทโก เวยฺยากรโณ โลกายตมหาปุริสลกฺขเณสุ อนวโย อโหสิฯ โส สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา ทสพลสฺส มธุรธมฺมกถํ สุตฺวา ภควติ ปสีทิตฺวา สรณํ คนฺตฺวา – ‘‘เสฺว มยฺหํ ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติ สสาวกสงฺฆํ ภควนฺตํ นิมเนฺตสิฯ โส ภควตา ‘‘พฺราหฺมณ, กิตฺตเกหิ ภิกฺขูหิ เต อโตฺถ’’ติ วุโตฺต – ‘‘กิตฺตกา ปน โว, ภเนฺต, ปริวารา ภิกฺขู’’ติ อาหฯ ตทา ปฐมสนฺนิปาโตว โหติ, ตสฺมา ‘‘โกฎิสตสหสฺส’’นฺติ วุเตฺต – ‘‘ยทิ เอวํ, ภเนฺต, สเพฺพหิปิ สทฺธิํ มยฺหํ ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติ นิมเนฺตสิฯ สตฺถา อธิวาเสสิฯ

    Tadā amhākaṃ bodhisatto surucibrāhmaṇagāme suruci nāma brāhmaṇo hutvā tiṇṇaṃ vedānaṃ pāragū sanighaṇḍukeṭubhānaṃ sākkharappabhedānaṃ itihāsapañcamānaṃ padako veyyākaraṇo lokāyatamahāpurisalakkhaṇesu anavayo ahosi. So satthāraṃ upasaṅkamitvā dasabalassa madhuradhammakathaṃ sutvā bhagavati pasīditvā saraṇaṃ gantvā – ‘‘sve mayhaṃ bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti sasāvakasaṅghaṃ bhagavantaṃ nimantesi. So bhagavatā ‘‘brāhmaṇa, kittakehi bhikkhūhi te attho’’ti vutto – ‘‘kittakā pana vo, bhante, parivārā bhikkhū’’ti āha. Tadā paṭhamasannipātova hoti, tasmā ‘‘koṭisatasahassa’’nti vutte – ‘‘yadi evaṃ, bhante, sabbehipi saddhiṃ mayhaṃ bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti nimantesi. Satthā adhivāsesi.

    พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ สฺวาตนาย นิมเนฺตตฺวา อตฺตโน ฆรํ คจฺฉโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ เอตฺตกานํ ภิกฺขูนํ ยาคุภตฺตวตฺถาทีนิ ทาตุํ สโกฺกมิ, นิสีทนฎฺฐานํ ปน กถํ ภวิสฺสตี’’ติฯ ตสฺส กิร สา จินฺตนา จตุราสีติโยชนสหสฺสปฺปมาเณ เมรุมตฺถเก ฐิตสฺส เทวราชสฺส ทสสตนยนสฺส ปณฺฑุกมฺพลสิลาสนสฺส อุณฺหาการํ ชเนสิฯ อถ สโกฺก เทวราชา อาสนสฺส อุณฺหภาวํ ทิสฺวา – ‘‘โก นุ โข มํ อิมมฺหา ฐานา จาเวตุกาโม’’ติ สมุปฺปนฺนปริวิตโกฺก ทิเพฺพน จกฺขุนา มนุสฺสโลกํ โอโลเกโนฺต มหาปุริสํ ทิสฺวา – ‘‘อยํ มหาสโตฺต พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นิมเนฺตตฺวา ตสฺส นิสีทนตฺถาย จิเนฺตสิ, มยาปิ ตตฺถ คนฺตฺวา ปุญฺญโกฎฺฐาสํ คเหตุํ วฎฺฎตี’’ติ วฑฺฒกีวณฺณํ นิมฺมินิตฺวา วาสิผรสุหโตฺถ มหาปุริสสฺส ปุรโต ปาตุรโหสิฯ โส ‘‘อตฺถิ นุ โข กสฺสจิ ภติยา กตฺตพฺพกมฺม’’นฺติ อาหฯ

    Brāhmaṇo bhagavantaṃ svātanāya nimantetvā attano gharaṃ gacchanto cintesi – ‘‘ahaṃ ettakānaṃ bhikkhūnaṃ yāgubhattavatthādīni dātuṃ sakkomi, nisīdanaṭṭhānaṃ pana kathaṃ bhavissatī’’ti. Tassa kira sā cintanā caturāsītiyojanasahassappamāṇe merumatthake ṭhitassa devarājassa dasasatanayanassa paṇḍukambalasilāsanassa uṇhākāraṃ janesi. Atha sakko devarājā āsanassa uṇhabhāvaṃ disvā – ‘‘ko nu kho maṃ imamhā ṭhānā cāvetukāmo’’ti samuppannaparivitakko dibbena cakkhunā manussalokaṃ olokento mahāpurisaṃ disvā – ‘‘ayaṃ mahāsatto buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ nimantetvā tassa nisīdanatthāya cintesi, mayāpi tattha gantvā puññakoṭṭhāsaṃ gahetuṃ vaṭṭatī’’ti vaḍḍhakīvaṇṇaṃ nimminitvā vāsipharasuhattho mahāpurisassa purato pāturahosi. So ‘‘atthi nu kho kassaci bhatiyā kattabbakamma’’nti āha.

    มหาสโตฺต ทิสฺวา ‘‘กิํ กมฺมํ กาตุํ สกฺขิสฺสสี’’ติ อาหฯ ‘‘มม อชานนสิปฺปํ นาม นตฺถิ, โย โย ยํ ยํ อิจฺฉติ มณฺฑปํ วา ปาสาทํ วา อญฺญํ วา กิญฺจิ นิเวสนาทิกํ, ตสฺส ตสฺส ตํ ตํ กาตุํ สมโตฺถมฺหี’’ติฯ ‘‘เตน หิ มยฺหํ กมฺมํ อตฺถี’’ติฯ ‘‘กิํ, อยฺยา’’ติ? ‘‘สฺวาตนาย มยา โกฎิสตสหสฺสภิกฺขู นิมนฺติตา, เตสํ นิสีทนมณฺฑปํ กริสฺสสี’’ติ? ‘‘อหํ นาม กเรยฺยํ, สเจ เม ภติํ ทาตุํ สกฺขิสฺสถา’’ติฯ ‘‘สกฺขิสฺสามิ, ตาตา’’ติฯ ‘‘ยทิ เอวํ, สาธุ, กริสฺสามี’’ติ วตฺวา เอกํ ปเทสํ โอโลเกสิฯ โส ทฺวาทสโยชนปฺปมาโณ ปเทโส กสิณมณฺฑลํ วิย สมตโล ปรมรมณีโย อโหสิฯ ปุน โส ‘‘เอตฺตเก ฐาเน สตฺตรตนมโย ทฎฺฐพฺพสารมโณฺฑ มณฺฑโป อุฎฺฐหตู’’ติ จิเนฺตตฺวา โอโลเกสิฯ ตโต ตาวเทว มณฺฑปสทิโส ปถวิตลํ ภินฺทิตฺวา มณฺฑโป อุฎฺฐหิฯ ตสฺส โสวณฺณมเยสุ ถเมฺภสุ รชตมยา ฆฎกา อเหสุํ, รชตมเยสุ ถเมฺภสุ โสวณฺณมยา ฆฎกา, มณิตฺถเมฺภสุ ปวาฬมยา ฆฎกา, ปวาฬมเยสุ ถเมฺภสุ มณิมยา ฆฎกา, สตฺตรตนมเยสุ ถเมฺภสุ สตฺตรตนมยา ฆฎกา อเหสุํฯ

    Mahāsatto disvā ‘‘kiṃ kammaṃ kātuṃ sakkhissasī’’ti āha. ‘‘Mama ajānanasippaṃ nāma natthi, yo yo yaṃ yaṃ icchati maṇḍapaṃ vā pāsādaṃ vā aññaṃ vā kiñci nivesanādikaṃ, tassa tassa taṃ taṃ kātuṃ samatthomhī’’ti. ‘‘Tena hi mayhaṃ kammaṃ atthī’’ti. ‘‘Kiṃ, ayyā’’ti? ‘‘Svātanāya mayā koṭisatasahassabhikkhū nimantitā, tesaṃ nisīdanamaṇḍapaṃ karissasī’’ti? ‘‘Ahaṃ nāma kareyyaṃ, sace me bhatiṃ dātuṃ sakkhissathā’’ti. ‘‘Sakkhissāmi, tātā’’ti. ‘‘Yadi evaṃ, sādhu, karissāmī’’ti vatvā ekaṃ padesaṃ olokesi. So dvādasayojanappamāṇo padeso kasiṇamaṇḍalaṃ viya samatalo paramaramaṇīyo ahosi. Puna so ‘‘ettake ṭhāne sattaratanamayo daṭṭhabbasāramaṇḍo maṇḍapo uṭṭhahatū’’ti cintetvā olokesi. Tato tāvadeva maṇḍapasadiso pathavitalaṃ bhinditvā maṇḍapo uṭṭhahi. Tassa sovaṇṇamayesu thambhesu rajatamayā ghaṭakā ahesuṃ, rajatamayesu thambhesu sovaṇṇamayā ghaṭakā, maṇitthambhesu pavāḷamayā ghaṭakā, pavāḷamayesu thambhesu maṇimayā ghaṭakā, sattaratanamayesu thambhesu sattaratanamayā ghaṭakā ahesuṃ.

    ตโต มณฺฑปสฺส อนฺตรนฺตราปิ กิงฺกิณิกชาลา โอลมฺพตู’’ติ โอโลเกสิ, สห โอโลกเนน กิงฺกิณิกชาลา โอลมฺพิ, ยสฺส มนฺทวาเตริตสฺส ปญฺจงฺคิกเสฺสว ตุริยสฺส ปรมมโนรโม มธุโร สโทฺท นิจฺฉรติ, ทิพฺพสงฺคีติวตฺตนกาโล วิย อโหสิฯ ‘‘อนฺตรนฺตรา ทิพฺพคนฺธทามปุปฺผทามปตฺตทามสตฺตรตนทามานิ โอลมฺพนฺตู’’ติ จิเนฺตสิ, สห จินฺตาย ทามานิ โอลมฺพิํสุฯ ‘‘โกฎิสตสหสฺสสงฺขานํ ภิกฺขูนํ อาสนานิ จ กปฺปิยมหคฺฆปจฺจตฺถรณานิ อาธารกานิ จ ปถวิํ ภินฺทิตฺวา อุฎฺฐหนฺตู’’ติ จิเนฺตสิ, ตาวเทว อุฎฺฐหิํสุฯ ‘‘โกเณ โกเณ เอเกกา อุทกจาฎิ อุฎฺฐหตู’’ติ จิเนฺตสิ, ตงฺขณํเยว อุทกจาฎิโย ปรมสีตเลน มธุเรน สุวิสุทฺธสุคนฺธกปฺปิยวารินา ปุณฺณา กทลิปณฺณปิหิตมุขา อุฎฺฐหิํสุฯ โส ทสสตนยโน เอตฺตกํ มาเปตฺวา พฺราหฺมณสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา – ‘‘เอหิ, อยฺย, ตว มณฺฑปํ ทิสฺวา มยฺหํ ภติํ เทหี’’ติ อาหฯ มหาปุริโส คนฺตฺวา ตํ มณฺฑปํ โอโลเกสิฯ ตสฺส โอโลเกนฺตเสฺสว สกลสรีรํ ปญฺจวณฺณาย ปีติยา นิรนฺตรํ ผุฎํ อโหสิฯ

    Tato maṇḍapassa antarantarāpi kiṅkiṇikajālā olambatū’’ti olokesi, saha olokanena kiṅkiṇikajālā olambi, yassa mandavāteritassa pañcaṅgikasseva turiyassa paramamanoramo madhuro saddo niccharati, dibbasaṅgītivattanakālo viya ahosi. ‘‘Antarantarā dibbagandhadāmapupphadāmapattadāmasattaratanadāmāni olambantū’’ti cintesi, saha cintāya dāmāni olambiṃsu. ‘‘Koṭisatasahassasaṅkhānaṃ bhikkhūnaṃ āsanāni ca kappiyamahagghapaccattharaṇāni ādhārakāni ca pathaviṃ bhinditvā uṭṭhahantū’’ti cintesi, tāvadeva uṭṭhahiṃsu. ‘‘Koṇe koṇe ekekā udakacāṭi uṭṭhahatū’’ti cintesi, taṅkhaṇaṃyeva udakacāṭiyo paramasītalena madhurena suvisuddhasugandhakappiyavārinā puṇṇā kadalipaṇṇapihitamukhā uṭṭhahiṃsu. So dasasatanayano ettakaṃ māpetvā brāhmaṇassa santikaṃ gantvā – ‘‘ehi, ayya, tava maṇḍapaṃ disvā mayhaṃ bhatiṃ dehī’’ti āha. Mahāpuriso gantvā taṃ maṇḍapaṃ olokesi. Tassa olokentasseva sakalasarīraṃ pañcavaṇṇāya pītiyā nirantaraṃ phuṭaṃ ahosi.

    อถสฺส มณฺฑปํ โอโลกยโต เอตทโหสิ – ‘‘นายํ มณฺฑโป มนุสฺสภูเตน กโต, มยฺหํ อชฺฌาสยํ มยฺหํ คุณํ อาคมฺม อทฺธา สกฺกสฺส เทวรโญฺญ ภวนํ อุณฺหํ อโหสิ, ตโต สเกฺกน เทวานมิเนฺทน อยํ มณฺฑโป นิมฺมิโต’’ติฯ ‘‘น โข ปน เม ยุตฺตํ เอวรูเป มณฺฑเป เอกทิวสํเยว ทานํ ทาตุํ, สตฺตาหํ ทสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ พาหิรกทานํ นาม ตตฺตกมฺปิ สมานํ โพธิสตฺตานํ หทยํ ตุฎฺฐิํ กาตุํ น สโกฺกติ, อลงฺกตสีสํ วา ฉินฺทิตฺวา อญฺชิตานิ วา อกฺขีนิ อุปฺปาเฎตฺวา หทยมํสํ วา อุพฺพเฎฺฎตฺวา ทินฺนกาเล โพธิสตฺตานํ จาคํ นิสฺสาย ตุฎฺฐิ นาม โหติฯ อมฺหากํ โพธิสตฺตสฺส หิ สิวิชาตเก (ชา. ๑.๑๕.๕๒ อาทโย) เทวสิกํ ปญฺจกหาปณสตสหสฺสานิ วิสฺสเชฺชตฺวา จตูสุ นครทฺวาเรสุ นครมเชฺฌติ ปญฺจสุ ฐาเนสุ ทานํ เทนฺตสฺส ตํ ทานํ จาคตุฎฺฐิํ อุปฺปาเทตุํ นาสกฺขิฯ ยทา ปนสฺส พฺราหฺมณวเณฺณน อาคนฺตฺวา สโกฺก เทวราชา อกฺขีนิ ยาจิ, ตทา โส ตานิ จกฺขูนิ อุปฺปาเฎตฺวา อทาสิ, ททมานเสฺสว หาโส อุปฺปชฺชิ, เกสคฺคมตฺตมฺปิ จิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ นาโหสิฯ เอวํ สพฺพญฺญุโพธิสตฺตานํ พาหิรทานํ นิสฺสาย ติตฺติ นาม นตฺถิฯ ตสฺมา โสปิ มหาปุริโส – ‘‘มยา โกฎิสตสหสฺสสงฺขานํ ภิกฺขูนํ ทานํ ทาตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตสฺมิํ มณฺฑเป นิสีทาเปตฺวา สตฺตาหํ ควปานํ นาม ทานํ อทาสิฯ

    Athassa maṇḍapaṃ olokayato etadahosi – ‘‘nāyaṃ maṇḍapo manussabhūtena kato, mayhaṃ ajjhāsayaṃ mayhaṃ guṇaṃ āgamma addhā sakkassa devarañño bhavanaṃ uṇhaṃ ahosi, tato sakkena devānamindena ayaṃ maṇḍapo nimmito’’ti. ‘‘Na kho pana me yuttaṃ evarūpe maṇḍape ekadivasaṃyeva dānaṃ dātuṃ, sattāhaṃ dassāmī’’ti cintesi. Bāhirakadānaṃ nāma tattakampi samānaṃ bodhisattānaṃ hadayaṃ tuṭṭhiṃ kātuṃ na sakkoti, alaṅkatasīsaṃ vā chinditvā añjitāni vā akkhīni uppāṭetvā hadayamaṃsaṃ vā ubbaṭṭetvā dinnakāle bodhisattānaṃ cāgaṃ nissāya tuṭṭhi nāma hoti. Amhākaṃ bodhisattassa hi sivijātake (jā. 1.15.52 ādayo) devasikaṃ pañcakahāpaṇasatasahassāni vissajjetvā catūsu nagaradvāresu nagaramajjheti pañcasu ṭhānesu dānaṃ dentassa taṃ dānaṃ cāgatuṭṭhiṃ uppādetuṃ nāsakkhi. Yadā panassa brāhmaṇavaṇṇena āgantvā sakko devarājā akkhīni yāci, tadā so tāni cakkhūni uppāṭetvā adāsi, dadamānasseva hāso uppajji, kesaggamattampi cittassa aññathattaṃ nāhosi. Evaṃ sabbaññubodhisattānaṃ bāhiradānaṃ nissāya titti nāma natthi. Tasmā sopi mahāpuriso – ‘‘mayā koṭisatasahassasaṅkhānaṃ bhikkhūnaṃ dānaṃ dātuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā tasmiṃ maṇḍape nisīdāpetvā sattāhaṃ gavapānaṃ nāma dānaṃ adāsi.

    เอตฺถ ควปานนฺติ มหเนฺต มหเนฺต โกลเมฺพ ขีรสฺส ปูเรตฺวา อุทฺธเนสุ อาโรเปตฺวา ฆนปากปเกฺก ขีเร โถกโถเก ตณฺฑุเล ปกฺขิปิตฺวา ปกฺกมธุสกฺขรจุณฺณสปฺปีหิ อภิสงฺขตโภชนํ วุจฺจติฯ อิทเมว จตุมธุรโภชนนฺติปิ วุจฺจติฯ มนุสฺสาเยว ปน ปริวิสิตุํ นาสกฺขิํสุฯ เทวาปิ เอกนฺตริกา หุตฺวา ปริวิสิํสุฯ ทฺวาทสโยชนปฺปมาณมฺปิ ตํ ฐานํ เต ภิกฺขู คณฺหิตุํ นปฺปโหสิเยว, เต ปน ภิกฺขู อตฺตโน อตฺตโน อนุภาเวน นิสีทิํสุฯ ปริโยสานทิวเส สเพฺพสํ ภิกฺขูนํ ปเตฺต โธวาเปตฺวา เภสชฺชตฺถาย สปฺปินวนีตมธุผาณิตาทีนํ ปูเรตฺวา ติจีวเรหิ สทฺธิํ อทาสิฯ ตตฺถ สงฺฆนวกภิกฺขุนา ลทฺธจีวรสาฎกา สตสหสฺสคฺฆนิกา อเหสุํฯ

    Ettha gavapānanti mahante mahante kolambe khīrassa pūretvā uddhanesu āropetvā ghanapākapakke khīre thokathoke taṇḍule pakkhipitvā pakkamadhusakkharacuṇṇasappīhi abhisaṅkhatabhojanaṃ vuccati. Idameva catumadhurabhojanantipi vuccati. Manussāyeva pana parivisituṃ nāsakkhiṃsu. Devāpi ekantarikā hutvā parivisiṃsu. Dvādasayojanappamāṇampi taṃ ṭhānaṃ te bhikkhū gaṇhituṃ nappahosiyeva, te pana bhikkhū attano attano anubhāvena nisīdiṃsu. Pariyosānadivase sabbesaṃ bhikkhūnaṃ patte dhovāpetvā bhesajjatthāya sappinavanītamadhuphāṇitādīnaṃ pūretvā ticīvarehi saddhiṃ adāsi. Tattha saṅghanavakabhikkhunā laddhacīvarasāṭakā satasahassagghanikā ahesuṃ.

    อถ สตฺถา อนุโมทนํ กโรโนฺต – ‘‘อยํ มหาปุริโส เอวรูปํ มหาทานํ อทาสิ, โก นุ โข ภวิสฺสตี’’ติ อุปธาเรโนฺต – ‘‘อนาคเต กปฺปสตสหสฺสาธิกานํ ทฺวินฺนํ อสเงฺขฺยยฺยานํ มตฺถเก โคตโม นาม พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ ทิสฺวา ตโต มหาสตฺตํ อามเนฺตตฺวา – ‘‘ตฺวํ เอตฺตกํ นาม กาลํ อติกฺกมิตฺวา โคตโม นาม พุโทฺธ ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ อถ มหาปุริโส ภควโต พฺยากรณํ สุตฺวา ปมุทิตหทโย – ‘‘อหํ กิร พุโทฺธ ภวิสฺสามิ, น เม ฆราวาเสน อโตฺถ, ปพฺพชิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตถารูปํ สมฺปตฺติํ เขฬปิณฺฑํ วิย ปหาย สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหิตฺวา อภิญฺญา จ อฎฺฐ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา อปริหีนชฺฌาโน ยาวตายุกํ ฐตฺวา อายุปริโยสาเน พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติฯ เตน วุตฺตํ –

    Atha satthā anumodanaṃ karonto – ‘‘ayaṃ mahāpuriso evarūpaṃ mahādānaṃ adāsi, ko nu kho bhavissatī’’ti upadhārento – ‘‘anāgate kappasatasahassādhikānaṃ dvinnaṃ asaṅkhyeyyānaṃ matthake gotamo nāma buddho bhavissatī’’ti disvā tato mahāsattaṃ āmantetvā – ‘‘tvaṃ ettakaṃ nāma kālaṃ atikkamitvā gotamo nāma buddho bhavissasī’’ti byākāsi. Atha mahāpuriso bhagavato byākaraṇaṃ sutvā pamuditahadayo – ‘‘ahaṃ kira buddho bhavissāmi, na me gharāvāsena attho, pabbajissāmī’’ti cintetvā tathārūpaṃ sampattiṃ kheḷapiṇḍaṃ viya pahāya satthu santike pabbajitvā buddhavacanaṃ uggaṇhitvā abhiññā ca aṭṭha samāpattiyo ca nibbattetvā aparihīnajjhāno yāvatāyukaṃ ṭhatvā āyupariyosāne brahmaloke nibbatti. Tena vuttaṃ –

    ๑๐.

    10.

    ‘‘อหํ เตน สมเยน, สุรุจี นาม พฺราหฺมโณ;

    ‘‘Ahaṃ tena samayena, surucī nāma brāhmaṇo;

    อชฺฌายโก มนฺตธโร, ติณฺณํ เวทาน ปารคูฯ

    Ajjhāyako mantadharo, tiṇṇaṃ vedāna pāragū.

    ๑๑.

    11.

    ‘‘ตมหํ อุปสงฺกมฺม, สรณํ คนฺตฺวาน สตฺถุโน;

    ‘‘Tamahaṃ upasaṅkamma, saraṇaṃ gantvāna satthuno;

    สมฺพุทฺธปฺปมุขํ สงฺฆํ, คนฺธมาเลน ปูชยิํ;

    Sambuddhappamukhaṃ saṅghaṃ, gandhamālena pūjayiṃ;

    ปูเชตฺวา คนฺธมาเลน, ควปาเนน ตปฺปยิํฯ

    Pūjetvā gandhamālena, gavapānena tappayiṃ.

    ๑๒.

    12.

    ‘‘โสปิ มํ พุโทฺธ พฺยากาสิ, มงฺคโล ทฺวิปทุตฺตโม;

    ‘‘Sopi maṃ buddho byākāsi, maṅgalo dvipaduttamo;

    อปริเมยฺยิโต กเปฺป, อยํ พุโทฺธ ภวิสฺสติฯ

    Aparimeyyito kappe, ayaṃ buddho bhavissati.

    ๑๓.

    13.

    ‘‘ปธานํ ปทหิตฺวาน…เป.… เหสฺสาม สมฺมุขา อิม’’นฺติฯ –

    ‘‘Padhānaṃ padahitvāna…pe… hessāma sammukhā ima’’nti. –

    อฎฺฐ คาถา วิตฺถาเรตพฺพาฯ

    Aṭṭha gāthā vitthāretabbā.

    ๑๔.

    14.

    ‘‘ตสฺสาปิ วจนํ สุตฺวา, ภิโยฺย จิตฺตํ ปสาทยิํ;

    ‘‘Tassāpi vacanaṃ sutvā, bhiyyo cittaṃ pasādayiṃ;

    อุตฺตริํ วตมธิฎฺฐาสิํ, ทสปารมิปูริยาฯ

    Uttariṃ vatamadhiṭṭhāsiṃ, dasapāramipūriyā.

    ๑๕.

    15.

    ‘‘ตทา ปีติมนุพฺรูหโนฺต, สโมฺพธิวรปตฺติยา;

    ‘‘Tadā pītimanubrūhanto, sambodhivarapattiyā;

    พุเทฺธ ทตฺวาน มํ เคหํ, ปพฺพชิํ ตสฺส สนฺติเกฯ

    Buddhe datvāna maṃ gehaṃ, pabbajiṃ tassa santike.

    ๑๖.

    16.

    ‘‘สุตฺตนฺตํ วินยํ จาปิ, นวงฺคํ สตฺถุสาสนํ;

    ‘‘Suttantaṃ vinayaṃ cāpi, navaṅgaṃ satthusāsanaṃ;

    สพฺพํ ปริยาปุณิตฺวา, โสภยิํ ชินสาสนํฯ

    Sabbaṃ pariyāpuṇitvā, sobhayiṃ jinasāsanaṃ.

    ๑๗.

    17.

    ‘‘ตตฺถปฺปมโตฺต วิหรโนฺต, พฺรหฺมํ ภาเวตฺว ภาวนํ;

    ‘‘Tatthappamatto viharanto, brahmaṃ bhāvetva bhāvanaṃ;

    อภิญฺญาปารมิํ คนฺตฺวา, พฺรหฺมโลกมคญฺฉห’’นฺติฯ

    Abhiññāpāramiṃ gantvā, brahmalokamagañchaha’’nti.

    ตตฺถ คนฺธมาเลนาติ คเนฺธหิ เจว มาเลหิ จฯ ควปาเนนาติ อิทํ วุตฺตเมวฯ ‘‘ฆตปาเนนา’’ติปิ เกจิ ปฐนฺติฯ ตปฺปยินฺติ ตเปฺปสิํฯ อุตฺตริํ วตมธิฎฺฐาสินฺติ ภิโยฺยปิ วตมธิฎฺฐาสิํฯ ทสปารมิปูริยาติ ทสนฺนํ ปารมีนํ ปูรณตฺถายฯ ปีตินฺติ หทยตุฎฺฐิํฯ อนุพฺรูหโนฺตติ วเฑฺฒโนฺตฯ สโมฺพธิวรปตฺติยาติ พุทฺธตฺตปฺปตฺติยาฯ พุเทฺธ ทตฺวานาติ พุทฺธสฺส ปริจฺจชิตฺวา ฯ มํ เคหนฺติ มม เคหํ, สพฺพํ สาปเตยฺยํ จตุปจฺจยตฺถาย พุทฺธสฺส ภควโต ปริจฺจชิตฺวาติ อโตฺถฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ พุทฺธสาสเนฯ พฺรหฺมนฺติ พฺรหฺมวิหารภาวนํ ภาเวตฺวาฯ

    Tattha gandhamālenāti gandhehi ceva mālehi ca. Gavapānenāti idaṃ vuttameva. ‘‘Ghatapānenā’’tipi keci paṭhanti. Tappayinti tappesiṃ. Uttariṃ vatamadhiṭṭhāsinti bhiyyopi vatamadhiṭṭhāsiṃ. Dasapāramipūriyāti dasannaṃ pāramīnaṃ pūraṇatthāya. Pītinti hadayatuṭṭhiṃ. Anubrūhantoti vaḍḍhento. Sambodhivarapattiyāti buddhattappattiyā. Buddhe datvānāti buddhassa pariccajitvā . Maṃ gehanti mama gehaṃ, sabbaṃ sāpateyyaṃ catupaccayatthāya buddhassa bhagavato pariccajitvāti attho. Tatthāti tasmiṃ buddhasāsane. Brahmanti brahmavihārabhāvanaṃ bhāvetvā.

    มงฺคลสฺส ปน ภควโต นครํ อุตฺตรํ นาม อโหสิ, ปิตาปิสฺส อุตฺตโร นาม ราชา ขตฺติโย, มาตาปิ อุตฺตรา นาม, สุเทโว จ ธมฺมเสโน จ เทฺว อคฺคสาวกา, ปาลิโต นาม อุปฎฺฐาโก, สีวลา จ อโสกา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, นาครุโกฺข โพธิ, อฎฺฐาสีติหตฺถุเพฺพธํ สรีรํ อโหสิ, นวุติวสฺสสหสฺสํ อายุปริมาณํ, ภริยา ปนสฺส ยสวตี นาม, สีวโล นาม ปุโตฺต, อสฺสยาเนน นิกฺขมิฯ อุตฺตราราเม วสิฯ อุตฺตโร นาม อุปฎฺฐาโก, ตสฺมิํ ปน นวุติวสฺสสหสฺสานิ ฐตฺวา ปรินิพฺพุเต ภควติ เอกปฺปหาเรเนว ทสจกฺกวาฬสหสฺสานิ เอกนฺธการานิ อเหสุํฯ สพฺพจกฺกวาเฬสุ มนุสฺสานํ มหนฺตํ อาโรทนปริเทวนํ อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Maṅgalassa pana bhagavato nagaraṃ uttaraṃ nāma ahosi, pitāpissa uttaro nāma rājā khattiyo, mātāpi uttarā nāma, sudevo ca dhammaseno ca dve aggasāvakā, pālito nāma upaṭṭhāko, sīvalā ca asokā ca dve aggasāvikā, nāgarukkho bodhi, aṭṭhāsītihatthubbedhaṃ sarīraṃ ahosi, navutivassasahassaṃ āyuparimāṇaṃ, bhariyā panassa yasavatī nāma, sīvalo nāma putto, assayānena nikkhami. Uttarārāme vasi. Uttaro nāma upaṭṭhāko, tasmiṃ pana navutivassasahassāni ṭhatvā parinibbute bhagavati ekappahāreneva dasacakkavāḷasahassāni ekandhakārāni ahesuṃ. Sabbacakkavāḷesu manussānaṃ mahantaṃ ārodanaparidevanaṃ ahosi. Tena vuttaṃ –

    ๑๘.

    18.

    ‘‘อุตฺตรํ นาม นครํ, อุตฺตโร นาม ขตฺติโย;

    ‘‘Uttaraṃ nāma nagaraṃ, uttaro nāma khattiyo;

    อุตฺตรา นาม ชนิกา, มงฺคลสฺส มเหสิโนฯ

    Uttarā nāma janikā, maṅgalassa mahesino.

    ๒๓.

    23.

    ‘‘สุเทโว ธมฺมเสโน จ, อเหสุํ อคฺคสาวกา;

    ‘‘Sudevo dhammaseno ca, ahesuṃ aggasāvakā;

    ปาลิโต นามุปฎฺฐาโก, มงฺคลสฺส มเหสิโนฯ

    Pālito nāmupaṭṭhāko, maṅgalassa mahesino.

    ๒๔.

    24.

    ‘‘สีวลา จ อโสกา จ, อเหสุํ อคฺคสาวิกา;

    ‘‘Sīvalā ca asokā ca, ahesuṃ aggasāvikā;

    โพธิ ตสฺส ภควโต, นาครุโกฺขติ วุจฺจติฯ

    Bodhi tassa bhagavato, nāgarukkhoti vuccati.

    ๒๖.

    26.

    ‘‘อฎฺฐาสีติ รตนานิ, อจฺจุคฺคโต มหามุนิ;

    ‘‘Aṭṭhāsīti ratanāni, accuggato mahāmuni;

    ตโต นิทฺธาวตี รํสี, อเนกสตสหสฺสิโยฯ

    Tato niddhāvatī raṃsī, anekasatasahassiyo.

    ๒๗.

    27.

    ‘‘นวุติวสฺสสหสฺสานิ, อายุ วิชฺชติ ตาวเท;

    ‘‘Navutivassasahassāni, āyu vijjati tāvade;

    ตาวตา ติฎฺฐมาโน โส, ตาเรสิ ชนตํ พหุํฯ

    Tāvatā tiṭṭhamāno so, tāresi janataṃ bahuṃ.

    ๒๘.

    28.

    ‘‘ยถาปิ สาคเร อูมี, น สกฺกา ตา คเณตุเย;

    ‘‘Yathāpi sāgare ūmī, na sakkā tā gaṇetuye;

    ตเถว สาวกา ตสฺส, น สกฺกา เต คเณตุเยฯ

    Tatheva sāvakā tassa, na sakkā te gaṇetuye.

    ๒๙.

    29.

    ‘‘ยาว อฎฺฐาสิ สมฺพุโทฺธ, มงฺคโล โลกนายโก;

    ‘‘Yāva aṭṭhāsi sambuddho, maṅgalo lokanāyako;

    น ตสฺส สาสเน อตฺถิ, สกิเลสมรณํ ตทาฯ

    Na tassa sāsane atthi, sakilesamaraṇaṃ tadā.

    ๓๐.

    30.

    ‘‘ธโมฺมกฺกํ ธารยิตฺวาน, สนฺตาเรตฺวา มหาชนํ;

    ‘‘Dhammokkaṃ dhārayitvāna, santāretvā mahājanaṃ;

    ชลิตฺวา ธุมเกตูว, นิพฺพุโต โส มหายโสฯ

    Jalitvā dhumaketūva, nibbuto so mahāyaso.

    ๓๑.

    31.

    ‘‘สงฺขารานํ สภาวตฺตํ, ทสฺสยิตฺวา สเทวเก;

    ‘‘Saṅkhārānaṃ sabhāvattaṃ, dassayitvā sadevake;

    ชลิตฺวา อคฺคิกฺขโนฺธว, สูริโย อตฺถงฺคโต ยถา’’ติฯ

    Jalitvā aggikkhandhova, sūriyo atthaṅgato yathā’’ti.

    ตตฺถ ตโตติ ตสฺส มงฺคลสฺส สรีรโตฯ นิทฺธาวตีติ นิทฺธาวนฺติ, วจนวิปริยาโย ทฎฺฐโพฺพฯ รํสีติ รสฺมิโยฯ อเนกสตสหสฺสิโยติ อเนกสตสหสฺสาฯ อูมีติ วีจิโย ตรงฺคาฯ คเณตุเยติ คเณตุํ สงฺขาตุํฯ เอตฺตกา สาคเร อูมิโยติ ยถา น สกฺกา คเณตุํ, เอวํ ตสฺส ภควโต สาวกาปิ น สกฺกา คเณตุํ, อถ โข คณนปถํ วีติวตฺตาติ อโตฺถฯ ยาวาติ ยาวตกํ กาลํฯ สกิเลสมรณํ ตทาติ สห กิเลเสหิ สกิเลโส, สกิเลสสฺส มรณํ สกิเลสมรณํ, ตํ นตฺถิฯ ตทา กิร ตสฺส ภควโต สาสเน สาวกา สเพฺพ อรหตฺตํ ปตฺวาเยว ปรินิพฺพายิํสุฯ ปุถุชฺชนา วา โสตาปนฺนาทโย วา หุตฺวา น กาลมกํสูติ อโตฺถฯ เกจิ ‘‘สโมฺมหมารณํ ตทา’’ติ ปฐนฺติฯ

    Tattha tatoti tassa maṅgalassa sarīrato. Niddhāvatīti niddhāvanti, vacanavipariyāyo daṭṭhabbo. Raṃsīti rasmiyo. Anekasatasahassiyoti anekasatasahassā. Ūmīti vīciyo taraṅgā. Gaṇetuyeti gaṇetuṃ saṅkhātuṃ. Ettakā sāgare ūmiyoti yathā na sakkā gaṇetuṃ, evaṃ tassa bhagavato sāvakāpi na sakkā gaṇetuṃ, atha kho gaṇanapathaṃ vītivattāti attho. Yāvāti yāvatakaṃ kālaṃ. Sakilesamaraṇaṃ tadāti saha kilesehi sakileso, sakilesassa maraṇaṃ sakilesamaraṇaṃ, taṃ natthi. Tadā kira tassa bhagavato sāsane sāvakā sabbe arahattaṃ patvāyeva parinibbāyiṃsu. Puthujjanā vā sotāpannādayo vā hutvā na kālamakaṃsūti attho. Keci ‘‘sammohamāraṇaṃ tadā’’ti paṭhanti.

    ธโมฺมกฺกนฺติ ธมฺมทีปกํฯ ธูมเกตูติ อคฺคิ วุจฺจติ, อิธ ปน ปทีโป ทฎฺฐโพฺพ ตสฺมา ปทีโป วิย ชลิตฺวา นิพฺพุโตติ อโตฺถฯ มหายโสติ มหาปริวาโร ฯ เกจิ ‘‘นิพฺพุโต โส สสาวโก’’ติ ปฐนฺติฯ สงฺขารานนฺติ สงฺขาตธมฺมานํ สปฺปจฺจยธมฺมานํฯ สภาวตฺตนฺติ อนิจฺจาทิสามญฺญลกฺขณํฯ สูริโย อตฺถงฺคโต ยถาติ ยถา สหสฺสกิรโณ ทิวสกโร สพฺพํ ตมคณํ วิธมิตฺวา สพฺพญฺจ โลกํ โอภาเสตฺวา อตฺถมุปคจฺฉติ, เอวํ มงฺคลทิวสกโรปิ เวเนยฺยกมลวนวิกสนกโร สพฺพํ อชฺฌตฺติกพาหิรโลกตมํ วิธมิตฺวา อตฺตโน สรีรปฺปภาย ชลิตฺวา อตฺถงฺคโตติ อโตฺถฯ เสสคาถา สพฺพตฺถ อุตฺตานา เอวาติฯ

    Dhammokkanti dhammadīpakaṃ. Dhūmaketūti aggi vuccati, idha pana padīpo daṭṭhabbo tasmā padīpo viya jalitvā nibbutoti attho. Mahāyasoti mahāparivāro . Keci ‘‘nibbuto so sasāvako’’ti paṭhanti. Saṅkhārānanti saṅkhātadhammānaṃ sappaccayadhammānaṃ. Sabhāvattanti aniccādisāmaññalakkhaṇaṃ. Sūriyo atthaṅgato yathāti yathā sahassakiraṇo divasakaro sabbaṃ tamagaṇaṃ vidhamitvā sabbañca lokaṃ obhāsetvā atthamupagacchati, evaṃ maṅgaladivasakaropi veneyyakamalavanavikasanakaro sabbaṃ ajjhattikabāhiralokatamaṃ vidhamitvā attano sarīrappabhāya jalitvā atthaṅgatoti attho. Sesagāthā sabbattha uttānā evāti.

    มงฺคลพุทฺธวํสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Maṅgalabuddhavaṃsavaṇṇanā niṭṭhitā.

    นิฎฺฐิโต ตติโย พุทฺธวํโสฯ

    Niṭṭhito tatiyo buddhavaṃso.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / พุทฺธวํสปาฬิ • Buddhavaṃsapāḷi / ๕. มงฺคลพุทฺธวํโส • 5. Maṅgalabuddhavaṃso


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact