Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๘๗] ๗. มงฺคลชาตกวณฺณนา

    [87] 7. Maṅgalajātakavaṇṇanā

    ยสฺส มงฺคลา สมูหตาติ อิทํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรโนฺต เอกํ สาฎกลกฺขณพฺราหฺมณํ อารพฺภ กเถสิฯ ราชคหวาสิโก กิเรโก พฺราหฺมโณ โกตุหลมงฺคลิโก ตีสุ รตเนสุ อปฺปสโนฺน มิจฺฉาทิฎฺฐิโก อโฑฺฒ มหทฺธโน มหาโภโค, ตสฺส สมุเคฺค ฐปิตํ สาฎกยุคํ มูสิกา ขาทิํสุฯ อถสฺส สีสํ นฺหายิตฺวา ‘‘สาฎเก อาหรถา’’ติ วุตฺตกาเล มูสิกาย ขาทิตภาวํ อาโรจยิํสุฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘สเจ อิทํ มูสิกาทฎฺฐํ สาฎกยุคํ อิมสฺมิํ เคเห ภวิสฺสติ, มหาวินาโส ภวิสฺสติฯ อิทญฺหิ อวมงฺคลํ กาฬกณฺณิสทิสํ ปุตฺตธีตาทีนํ วา ทาสกมฺมกราทีนํ วา น สกฺกา ทาตุํฯ โย หิ อิทํ คณฺหิสฺสติ, สพฺพสฺส มหาวินาโส ภวิสฺสติ, อามกสุสาเน ตํ ฉฑฺฑาเปสฺสามิ, น โข ปน สกฺกา ทาสกมฺมกราทีนํ หเตฺถ ทาตุํฯ เต หิ เอตฺถ โลภํ อุปฺปาเทตฺวา อิมํ คเหตฺวา วินาสํ ปาปุเณยฺยุํ, ปุตฺตสฺส ตํ หเตฺถ ทสฺสามี’’ติฯ โส ปุตฺตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ‘‘ตฺวมฺปิ นํ, ตาต, หเตฺถน อผุสิตฺวา ทณฺฑเกน คเหตฺวา อามกสุสาเน ฉเฑฺฑตฺวา สีสํ นฺหายิตฺวา เอหี’’ติ เปเสสิฯ

    Yassa maṅgalā samūhatāti idaṃ satthā veḷuvane viharanto ekaṃ sāṭakalakkhaṇabrāhmaṇaṃ ārabbha kathesi. Rājagahavāsiko kireko brāhmaṇo kotuhalamaṅgaliko tīsu ratanesu appasanno micchādiṭṭhiko aḍḍho mahaddhano mahābhogo, tassa samugge ṭhapitaṃ sāṭakayugaṃ mūsikā khādiṃsu. Athassa sīsaṃ nhāyitvā ‘‘sāṭake āharathā’’ti vuttakāle mūsikāya khāditabhāvaṃ ārocayiṃsu. So cintesi ‘‘sace idaṃ mūsikādaṭṭhaṃ sāṭakayugaṃ imasmiṃ gehe bhavissati, mahāvināso bhavissati. Idañhi avamaṅgalaṃ kāḷakaṇṇisadisaṃ puttadhītādīnaṃ vā dāsakammakarādīnaṃ vā na sakkā dātuṃ. Yo hi idaṃ gaṇhissati, sabbassa mahāvināso bhavissati, āmakasusāne taṃ chaḍḍāpessāmi, na kho pana sakkā dāsakammakarādīnaṃ hatthe dātuṃ. Te hi ettha lobhaṃ uppādetvā imaṃ gahetvā vināsaṃ pāpuṇeyyuṃ, puttassa taṃ hatthe dassāmī’’ti. So puttaṃ pakkosāpetvā tamatthaṃ ārocetvā ‘‘tvampi naṃ, tāta, hatthena aphusitvā daṇḍakena gahetvā āmakasusāne chaḍḍetvā sīsaṃ nhāyitvā ehī’’ti pesesi.

    สตฺถาปิ โข ตํ ทิวสํ ปจฺจูสสมเย โพธเนยฺยพนฺธเว โอโลเกโนฺต อิเมสํ ปิตาปุตฺตานํ โสตาปตฺติผลสฺส อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา มิควีถิํ คเหตฺวา มิคลุทฺทโก วิย คนฺตฺวา อามกสุสานทฺวาเร นิสีทิ ฉพฺพณฺณพุทฺธรสฺมิโย วิสฺสเชฺชโนฺตฯ มาณโวปิ ปิตุ วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อชครสปฺปํ วิย ตํ ยุคสาฎกํ ยฎฺฐิโกฎิยา คเหตฺวา อามกสุสานทฺวารํ ปาปุณิฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘กิํ กโรสิ มาณวา’’ติ อาหฯ ‘‘โภ โคตม, อิทํ สาฎกยุคํ มูสิกาทฎฺฐํ กาฬกณฺณิสทิสํ หลาหลวิสูปมํ, มม ปิตา ‘อโญฺญ เอตํ ฉเฑฺฑโนฺต โลภํ อุปฺปาเทตฺวา คเณฺหยฺยา’ติ ภเยน มํ ปหิณิ, อหเมตํ ฉเฑฺฑตฺวา สีสํ นฺหายิสฺสามีติ อาคโตมฺหิ, โภ โคตมา’’ติฯ ‘‘เตน หิ ฉเฑฺฑหี’’ติฯ มาณโว ฉเฑฺฑสิ, สตฺถา ‘‘อมฺหากํ ทานิ วฎฺฎตี’’ติ ตสฺส สมฺมุขาว คณฺหิฯ ‘‘อวมงฺคลํ, โภ โคตม, เอตํ กาฬกณฺณิสทิสํ, มา คณฺหิ มา คณฺหี’’ติ ตสฺมิํ วารยมาเนเยว ตํ คเหตฺวา เวฬุวนาภิมุโข ปายาสิฯ

    Satthāpi kho taṃ divasaṃ paccūsasamaye bodhaneyyabandhave olokento imesaṃ pitāputtānaṃ sotāpattiphalassa upanissayaṃ disvā migavīthiṃ gahetvā migaluddako viya gantvā āmakasusānadvāre nisīdi chabbaṇṇabuddharasmiyo vissajjento. Māṇavopi pitu vacanaṃ sampaṭicchitvā ajagarasappaṃ viya taṃ yugasāṭakaṃ yaṭṭhikoṭiyā gahetvā āmakasusānadvāraṃ pāpuṇi. Atha naṃ satthā ‘‘kiṃ karosi māṇavā’’ti āha. ‘‘Bho gotama, idaṃ sāṭakayugaṃ mūsikādaṭṭhaṃ kāḷakaṇṇisadisaṃ halāhalavisūpamaṃ, mama pitā ‘añño etaṃ chaḍḍento lobhaṃ uppādetvā gaṇheyyā’ti bhayena maṃ pahiṇi, ahametaṃ chaḍḍetvā sīsaṃ nhāyissāmīti āgatomhi, bho gotamā’’ti. ‘‘Tena hi chaḍḍehī’’ti. Māṇavo chaḍḍesi, satthā ‘‘amhākaṃ dāni vaṭṭatī’’ti tassa sammukhāva gaṇhi. ‘‘Avamaṅgalaṃ, bho gotama, etaṃ kāḷakaṇṇisadisaṃ, mā gaṇhi mā gaṇhī’’ti tasmiṃ vārayamāneyeva taṃ gahetvā veḷuvanābhimukho pāyāsi.

    มาณโว เวเคน คนฺตฺวา ปิตุ อาโรเจสิ ‘‘ตาต, มยา อามกสุสาเน ฉฑฺฑิตํ สาฎกยุคํ สมโณ โคตโม ‘อมฺหากํ วฎฺฎตี’ติ มยา วาริยมาโนปิ คเหตฺวา เวฬุวนํ คโต’’ติฯ พฺราหฺมโณ จิเนฺตสิ ‘‘ตํ สาฎกยุคํ อวมงฺคลํ กาฬกณฺณิสทิสํ, ตํ วฬเญฺชโนฺต สมโณปิ โคตโม นสฺสิสฺสติ, วิหาโรปิ นสฺสิสฺสติ, ตโต อมฺหากํ ครหา ภวิสฺสติ, สมณสฺส โคตมสฺส อเญฺญ พหู สาฎเก ทตฺวา ตํ ฉฑฺฑาเปสฺสามี’’ติฯ โส พหู สาฎเก คาหาเปตฺวา ปุเตฺตน สทฺธิํ เวฬุวนํ คนฺตฺวา สตฺถารํ ทิสฺวา เอกมนฺตํ ฐิโต เอวมาห ‘‘สจฺจํ กิร โว, โภ โคตม, อามกสุสาเน สาฎกยุคํ คหิต’’นฺติ? ‘‘สจฺจํ, พฺราหฺมณา’’ติฯ ‘‘โภ โคตม, ตํ สาฎกยุคํ อวมงฺคลํ, ตุเมฺห ตํ ปริภุญฺชมานา นสฺสิสฺสถ, สกลวิหาโรปิ นสฺสิสฺสติฯ สเจ โว นิวาสนํ วา ปารุปนํ วา นปฺปโหติ, อิเม สาฎเก คเหตฺวา ตํ ฉฑฺฑาเปถา’’ติฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘มยํ พฺราหฺมณ ปพฺพชิตา นาม, อมฺหากํ อามกสุสาเน อนฺตรวีถิยํ สงฺการฎฺฐาเน นฺหานติเตฺถ มหามเคฺคติ เอวรูเปสุ ฐาเนสุ ฉฑฺฑิตา วา ปติตา วา ปิโลติกา วฎฺฎติ, ตฺวํ ปน น อิทาเนว เอวํลทฺธิโก, ปุเพฺพปิ เอวํลทฺธิโกเยวา’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Māṇavo vegena gantvā pitu ārocesi ‘‘tāta, mayā āmakasusāne chaḍḍitaṃ sāṭakayugaṃ samaṇo gotamo ‘amhākaṃ vaṭṭatī’ti mayā vāriyamānopi gahetvā veḷuvanaṃ gato’’ti. Brāhmaṇo cintesi ‘‘taṃ sāṭakayugaṃ avamaṅgalaṃ kāḷakaṇṇisadisaṃ, taṃ vaḷañjento samaṇopi gotamo nassissati, vihāropi nassissati, tato amhākaṃ garahā bhavissati, samaṇassa gotamassa aññe bahū sāṭake datvā taṃ chaḍḍāpessāmī’’ti. So bahū sāṭake gāhāpetvā puttena saddhiṃ veḷuvanaṃ gantvā satthāraṃ disvā ekamantaṃ ṭhito evamāha ‘‘saccaṃ kira vo, bho gotama, āmakasusāne sāṭakayugaṃ gahita’’nti? ‘‘Saccaṃ, brāhmaṇā’’ti. ‘‘Bho gotama, taṃ sāṭakayugaṃ avamaṅgalaṃ, tumhe taṃ paribhuñjamānā nassissatha, sakalavihāropi nassissati. Sace vo nivāsanaṃ vā pārupanaṃ vā nappahoti, ime sāṭake gahetvā taṃ chaḍḍāpethā’’ti. Atha naṃ satthā ‘‘mayaṃ brāhmaṇa pabbajitā nāma, amhākaṃ āmakasusāne antaravīthiyaṃ saṅkāraṭṭhāne nhānatitthe mahāmaggeti evarūpesu ṭhānesu chaḍḍitā vā patitā vā pilotikā vaṭṭati, tvaṃ pana na idāneva evaṃladdhiko, pubbepi evaṃladdhikoyevā’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต มคธรเฎฺฐ ราชคหนคเร ธมฺมิโก มคธราชา รชฺชํ กาเรสิฯ ตทา โพธิสโตฺต เอกสฺมิํ อุทิจฺจพฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วิญฺญุตํ ปโตฺต อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา หิมวเนฺต วสมาโน เอกสฺมิํ กาเล หิมวนฺตโต นิกฺขมิตฺวา ราชคหนคเร ราชุยฺยานํ ปตฺวา ตตฺถ วสิตฺวา ทุติยทิวเส ภิกฺขาจารตฺถาย นครํ ปาวิสิฯ ราชา ตํ ทิสฺวา ปโกฺกสาเปตฺวา ปาสาเท นิสีทาเปตฺวา โภเชตฺวา อุยฺยาเนเยว วสนตฺถาย ปฎิญฺญํ คณฺหิฯ โพธิสโตฺต รโญฺญ นิเวสเน ภุญฺชิตฺวา อุยฺยาเน วสติฯ ตสฺมิํ กาเล ราชคหนคเร ทุสฺสลกฺขณพฺราหฺมโณ นาม อโหสิฯ ตสฺส สมุเคฺค ฐปิตํ สาฎกยุคนฺติ สพฺพํ ปุริมสทิสเมวฯ

    Atīte magadharaṭṭhe rājagahanagare dhammiko magadharājā rajjaṃ kāresi. Tadā bodhisatto ekasmiṃ udiccabrāhmaṇakule nibbattitvā viññutaṃ patto isipabbajjaṃ pabbajitvā abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā himavante vasamāno ekasmiṃ kāle himavantato nikkhamitvā rājagahanagare rājuyyānaṃ patvā tattha vasitvā dutiyadivase bhikkhācāratthāya nagaraṃ pāvisi. Rājā taṃ disvā pakkosāpetvā pāsāde nisīdāpetvā bhojetvā uyyāneyeva vasanatthāya paṭiññaṃ gaṇhi. Bodhisatto rañño nivesane bhuñjitvā uyyāne vasati. Tasmiṃ kāle rājagahanagare dussalakkhaṇabrāhmaṇo nāma ahosi. Tassa samugge ṭhapitaṃ sāṭakayuganti sabbaṃ purimasadisameva.

    มาณเว ปน สุสานํ คจฺฉเนฺต โพธิสโตฺต ปฐมตรํ คนฺตฺวา สุสานทฺวาเร นิสีทิตฺวา เตน ฉฑฺฑิตํ สาฎกยุคํ คเหตฺวา อุยฺยานํ อคมาสิฯ มาณโว คนฺตฺวา ปิตุ อาโรเจสิฯ ปิตา ‘‘ราชกุลูปโก ตาปโส นเสฺสยฺยา’’ติ โพธิสตฺตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ตาปส, ตยา คหิตสาฎเก ฉเฑฺฑหิ, มา นสฺสี’’ติ อาหฯ ตาปโส ‘‘อมฺหากํ สุสาเน ฉฑฺฑิตปิโลติกา วฎฺฎติ, น มยํ โกตุหลมงฺคลิกา, โกตุหลมงฺคลํ นาเมตํ น พุทฺธปเจฺจกพุทฺธโพธิสเตฺตหิ วณฺณิตํ, ตสฺมา ปณฺฑิเตน นาม โกตุหลมงฺคลิเกน น ภวิตพฺพ’’นฺติ พฺราหฺมณสฺส ธมฺมํ เทเสสิฯ พฺราหฺมโณ ธมฺมํ สุตฺวา ทิฎฺฐิํ ภินฺทิตฺวา โพธิสตฺตํ สรณํ คโตฯ โพธิสโตฺตปิ อปริหีนชฺฌาโน พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ

    Māṇave pana susānaṃ gacchante bodhisatto paṭhamataraṃ gantvā susānadvāre nisīditvā tena chaḍḍitaṃ sāṭakayugaṃ gahetvā uyyānaṃ agamāsi. Māṇavo gantvā pitu ārocesi. Pitā ‘‘rājakulūpako tāpaso nasseyyā’’ti bodhisattassa santikaṃ gantvā ‘‘tāpasa, tayā gahitasāṭake chaḍḍehi, mā nassī’’ti āha. Tāpaso ‘‘amhākaṃ susāne chaḍḍitapilotikā vaṭṭati, na mayaṃ kotuhalamaṅgalikā, kotuhalamaṅgalaṃ nāmetaṃ na buddhapaccekabuddhabodhisattehi vaṇṇitaṃ, tasmā paṇḍitena nāma kotuhalamaṅgalikena na bhavitabba’’nti brāhmaṇassa dhammaṃ desesi. Brāhmaṇo dhammaṃ sutvā diṭṭhiṃ bhinditvā bodhisattaṃ saraṇaṃ gato. Bodhisattopi aparihīnajjhāno brahmalokaparāyaṇo ahosi.

    สตฺถาปิ อิมํ อตีตํ อาหริตฺวา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา พฺราหฺมณสฺส ธมฺมํ เทเสโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Satthāpi imaṃ atītaṃ āharitvā abhisambuddho hutvā brāhmaṇassa dhammaṃ desento imaṃ gāthamāha –

    ๘๗.

    87.

    ‘‘ยสฺส มงฺคลา สมูหตา, อุปฺปาตา สุปินา จ ลกฺขณา จ;

    ‘‘Yassa maṅgalā samūhatā, uppātā supinā ca lakkhaṇā ca;

    โส มงฺคลโทสวีติวโตฺต, ยุคโยคาธิคโต น ชาตุเมตี’’ติฯ

    So maṅgaladosavītivatto, yugayogādhigato na jātumetī’’ti.

    ตตฺถ ยสฺส มงฺคลา สมูหตาติ ยสฺส อรหโต ขีณาสวสฺส ทิฎฺฐมงฺคลํ, สุตมงฺคลํ, มุตมงฺคลนฺติ เอเต มงฺคลา สมุจฺฉินฺนาฯ อุปฺปาตา สุปินา จ ลกฺขณา จาติ ‘‘เอวรูโป จนฺทคฺคาโห ภวิสฺสติ, เอวรูโป สูริยคฺคาโห ภวิสฺสติ, เอวรูโป นกฺขตฺตคฺคาโห ภวิสฺสติ, เอวรูโป อุกฺกาปาโต ภวิสฺสติ, เอวรูโป ทิสาฑาโห ภวิสฺสตี’’ติ อิเม ปญฺจ มหาอุปฺปาตา, นานปฺปการา สุปินา, สุภคลกฺขณํ, ทุพฺภคลกฺขณํ, อิตฺถิลกฺขณํ, ปุริสลกฺขณํ, ทาสิลกฺขณํ, ทาสลกฺขณํ, อสิลกฺขณํ, หตฺถิลกฺขณํ, อสฺสลกฺขณํ, อุสภลกฺขณํ, อาวุธลกฺขณํ, วตฺถลกฺขณนฺติ เอวมาทิกานิ ลกฺขณานิ อิเม จ ทิฎฺฐิฎฺฐานา ยสฺส สมูหตา, น เอเตหิ อุปฺปาตาทีหิ อตฺตโน มงฺคลํ วา อวมงฺคลํ วา ปเจฺจติฯ โส มงฺคลโทสวีติวโตฺตติ โส ขีณาสโว สพฺพมงฺคลโทเส วีติวโตฺต อติกฺกโนฺต ปชหิตฺวา ฐิโตฯ ยุคโยคาธิคโตติ ‘‘โกโธ จ อุปนาโห จ, มโกฺข จ ปฬาโส จา’’ติอาทินา (วิภ. ๘๓๓) นเยน เทฺว เทฺว เอกโต อาคตกิเลสา ยุคา นามฯ กามโยโค, ภวโยโค, ทิฎฺฐิโยโค, อวิชฺชาโยโคติ อิเม สํสาเร โยชนภาวโต จตฺตาโร โยคา นามฯ เต ยุเค จ โยเค จาติ ยุคโยเค อธิคโต อภิภวิตฺวา คโต วีติวโตฺต สมติกฺกโนฺต ขีณาสโว ภิกฺขุฯ น ชาตุเมตีติ ปุน ปฎิสนฺธิวเสน เอกํเสเนว อิมํ โลกํ น เอติ นาคจฺฉตีติฯ

    Tattha yassa maṅgalā samūhatāti yassa arahato khīṇāsavassa diṭṭhamaṅgalaṃ, sutamaṅgalaṃ, mutamaṅgalanti ete maṅgalā samucchinnā. Uppātā supinā ca lakkhaṇā cāti ‘‘evarūpo candaggāho bhavissati, evarūpo sūriyaggāho bhavissati, evarūpo nakkhattaggāho bhavissati, evarūpo ukkāpāto bhavissati, evarūpo disāḍāho bhavissatī’’ti ime pañca mahāuppātā, nānappakārā supinā, subhagalakkhaṇaṃ, dubbhagalakkhaṇaṃ, itthilakkhaṇaṃ, purisalakkhaṇaṃ, dāsilakkhaṇaṃ, dāsalakkhaṇaṃ, asilakkhaṇaṃ, hatthilakkhaṇaṃ, assalakkhaṇaṃ, usabhalakkhaṇaṃ, āvudhalakkhaṇaṃ, vatthalakkhaṇanti evamādikāni lakkhaṇāni ime ca diṭṭhiṭṭhānā yassa samūhatā, na etehi uppātādīhi attano maṅgalaṃ vā avamaṅgalaṃ vā pacceti. So maṅgaladosavītivattoti so khīṇāsavo sabbamaṅgaladose vītivatto atikkanto pajahitvā ṭhito. Yugayogādhigatoti ‘‘kodho ca upanāho ca, makkho ca paḷāso cā’’tiādinā (vibha. 833) nayena dve dve ekato āgatakilesā yugā nāma. Kāmayogo, bhavayogo, diṭṭhiyogo, avijjāyogoti ime saṃsāre yojanabhāvato cattāro yogā nāma. Te yuge ca yoge cāti yugayoge adhigato abhibhavitvā gato vītivatto samatikkanto khīṇāsavo bhikkhu. Na jātumetīti puna paṭisandhivasena ekaṃseneva imaṃ lokaṃ na eti nāgacchatīti.

    เอวํ สตฺถา อิมาย คาถาย พฺราหฺมณสฺส ธมฺมํ เทเสตฺวา สจฺจานิ ปกาเสสิ, สจฺจปริโยสาเน พฺราหฺมโณ สทฺธิํ ปุเตฺตน โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ สตฺถา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา เอเตว ปิตาปุตฺตา อิทานิ ปิตาปุตฺตา อเหสุํ, ตาปโส ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Evaṃ satthā imāya gāthāya brāhmaṇassa dhammaṃ desetvā saccāni pakāsesi, saccapariyosāne brāhmaṇo saddhiṃ puttena sotāpattiphale patiṭṭhahi. Satthā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā eteva pitāputtā idāni pitāputtā ahesuṃ, tāpaso pana ahameva ahosi’’nti.

    มงฺคลชาตกวณฺณนา สตฺตมาฯ

    Maṅgalajātakavaṇṇanā sattamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๘๗. มงฺคลชาตกํ • 87. Maṅgalajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact