Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ขุทฺทกปาฐ-อฎฺฐกถา • Khuddakapāṭha-aṭṭhakathā |
๕. มงฺคลสุตฺตวณฺณนา
5. Maṅgalasuttavaṇṇanā
นิเกฺขปปฺปโยชนํ
Nikkhepappayojanaṃ
อิทานิ กุมารปญฺหานนฺตรํ นิกฺขิตฺตสฺส มงฺคลสุตฺตสฺส อตฺถวณฺณนากฺกโม อนุปฺปโตฺต, ตสฺส อิธ นิเกฺขปปฺปโยชนํ วตฺวา อตฺถวณฺณนํ กริสฺสามฯ เสยฺยถิทํ – อิทญฺหิ สุตฺตํ อิมินา อนุกฺกเมน ภควตา อวุตฺตมฺปิ ยฺวายํ สรณคมเนหิ สาสโนตาโร, สิกฺขาปททฺวตฺติํสาการกุมารปเญฺหหิ จ สีลสมาธิปญฺญาปฺปเภทนโย ทสฺสิโต, สโพฺพเปส ปรมมงฺคลภูโต, ยโต มงฺคลตฺถิเกน เอเตฺถว อภิโยโค กาตโพฺพ, โส จสฺส มงฺคลภาโว อิมินา สุตฺตานุสาเรน เวทิตโพฺพติ ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ
Idāni kumārapañhānantaraṃ nikkhittassa maṅgalasuttassa atthavaṇṇanākkamo anuppatto, tassa idha nikkhepappayojanaṃ vatvā atthavaṇṇanaṃ karissāma. Seyyathidaṃ – idañhi suttaṃ iminā anukkamena bhagavatā avuttampi yvāyaṃ saraṇagamanehi sāsanotāro, sikkhāpadadvattiṃsākārakumārapañhehi ca sīlasamādhipaññāppabhedanayo dassito, sabbopesa paramamaṅgalabhūto, yato maṅgalatthikena ettheva abhiyogo kātabbo, so cassa maṅgalabhāvo iminā suttānusārena veditabboti dassanatthaṃ vuttaṃ.
อิทมสฺส อิธ นิเกฺขปปฺปโยชนํฯ
Idamassa idha nikkhepappayojanaṃ.
ปฐมมหาสงฺคีติกถา
Paṭhamamahāsaṅgītikathā
เอวํ นิกฺขิตฺตสฺส ปนสฺส อตฺถวณฺณนตฺถํ อยํ มาติกา –
Evaṃ nikkhittassa panassa atthavaṇṇanatthaṃ ayaṃ mātikā –
‘‘วุตฺตํ เยน ยทา ยสฺมา, เจตํ วตฺวา อิมํ วิธิํ;
‘‘Vuttaṃ yena yadā yasmā, cetaṃ vatvā imaṃ vidhiṃ;
เอวมิจฺจาทิปาฐสฺส, อตฺถํ นานปฺปการโตฯ
Evamiccādipāṭhassa, atthaṃ nānappakārato.
‘‘วณฺณยโนฺต สมุฎฺฐานํ, วตฺวา ยํ ยตฺถ มงฺคลํ;
‘‘Vaṇṇayanto samuṭṭhānaṃ, vatvā yaṃ yattha maṅgalaṃ;
ววตฺถเปตฺวา ตํ ตสฺส, มงฺคลตฺตํ วิภาวเย’’ติฯ
Vavatthapetvā taṃ tassa, maṅgalattaṃ vibhāvaye’’ti.
ตตฺถ ‘‘วุตฺตํ เยน ยทา ยสฺมา, เจตํ วตฺวา อิมํ วิธิ’’นฺติ อยํ ตาว อทฺธคาถา ยทิทํ ‘‘เอวํ เม สุตํ เอกํ สมยํ ภควา…เป.… ภควนฺตํ คาถาย อชฺฌภาสี’’ติ, อิทํ วจนํ สนฺธาย วุตฺตาฯ อิทญฺหิ อนุสฺสววเสน วุตฺตํ, โส จ ภควา สยมฺภู อนาจริยโก, ตสฺมา เนทํ ตสฺส ภควโต วจนํ อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ ยโต วตฺตพฺพเมตํ ‘‘อิทํ วจนํ เกน วุตฺตํ , กทา, กสฺมา จ วุตฺต’’นฺติฯ วุจฺจเต – อายสฺมตา อานเนฺทน วุตฺตํ, ตญฺจ ปฐมมหาสงฺคีติกาเลฯ
Tattha ‘‘vuttaṃ yena yadā yasmā, cetaṃ vatvā imaṃ vidhi’’nti ayaṃ tāva addhagāthā yadidaṃ ‘‘evaṃ me sutaṃ ekaṃ samayaṃ bhagavā…pe… bhagavantaṃ gāthāya ajjhabhāsī’’ti, idaṃ vacanaṃ sandhāya vuttā. Idañhi anussavavasena vuttaṃ, so ca bhagavā sayambhū anācariyako, tasmā nedaṃ tassa bhagavato vacanaṃ arahato sammāsambuddhassa. Yato vattabbametaṃ ‘‘idaṃ vacanaṃ kena vuttaṃ , kadā, kasmā ca vutta’’nti. Vuccate – āyasmatā ānandena vuttaṃ, tañca paṭhamamahāsaṅgītikāle.
ปฐมมหาสงฺคีติ เจสา สพฺพสุตฺตนิทานโกสลฺลตฺถมาทิโต ปภุติ เอวํ เวทิตพฺพาฯ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนญฺหิ อาทิํ กตฺวา ยาว สุภทฺทปริพฺพาชกวินยนา, กตพุทฺธกิเจฺจ กุสินารายํ อุปวตฺตเน มลฺลานํ สาลวเน ยมกสาลานมนฺตเร วิสาขปุณฺณมทิวเส ปจฺจูสสมเย อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพุเต, ภควติ โลกนาเถ ภควโต ปรินิพฺพาเน สนฺนิปติตานํ สตฺตนฺนํ ภิกฺขุสตสหสฺสานํ สงฺฆเตฺถโร อายสฺมา มหากสฺสโป สตฺตาหปรินิพฺพุเต ภควติ สุภเทฺทน วุฑฺฒปพฺพชิเตน ‘‘อลํ, อาวุโส, มา โสจิตฺถ, มา ปริเทวิตฺถ, สุมุตฺตา มยํ เตน มหาสมเณน, อุปทฺทุตา จ โหม ‘อิทํ โว กปฺปติ อิทํ โว น กปฺปตี’ติ, อิทานิ ปน มยํ ยํ อิจฺฉิสฺสาม ตํ กริสฺสาม, ยํ น อิจฺฉิสฺสาม น ตํ กริสฺสามา’’ติ (จูฬว. ๔๓๗; ที. นิ. ๒.๒๓๒) วุตฺตวจนมนุสฺสรโนฺต ‘‘ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ ยํ ปาปภิกฺขู ‘อตีตสตฺถุกํ ปาวจน’นฺติ มญฺญมานา ปกฺขํ ลภิตฺวา น จิรเสฺสว สทฺธมฺมํ อนฺตรธาเปยฺยุํฯ ยาว จ ธมฺมวินโย ติฎฺฐติ, ตาว อนตีตสตฺถุกเมว ปาวจนํ โหติฯ ยถาห ภควา –
Paṭhamamahāsaṅgīti cesā sabbasuttanidānakosallatthamādito pabhuti evaṃ veditabbā. Dhammacakkappavattanañhi ādiṃ katvā yāva subhaddaparibbājakavinayanā, katabuddhakicce kusinārāyaṃ upavattane mallānaṃ sālavane yamakasālānamantare visākhapuṇṇamadivase paccūsasamaye anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbute, bhagavati lokanāthe bhagavato parinibbāne sannipatitānaṃ sattannaṃ bhikkhusatasahassānaṃ saṅghatthero āyasmā mahākassapo sattāhaparinibbute bhagavati subhaddena vuḍḍhapabbajitena ‘‘alaṃ, āvuso, mā socittha, mā paridevittha, sumuttā mayaṃ tena mahāsamaṇena, upaddutā ca homa ‘idaṃ vo kappati idaṃ vo na kappatī’ti, idāni pana mayaṃ yaṃ icchissāma taṃ karissāma, yaṃ na icchissāma na taṃ karissāmā’’ti (cūḷava. 437; dī. ni. 2.232) vuttavacanamanussaranto ‘‘ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati yaṃ pāpabhikkhū ‘atītasatthukaṃ pāvacana’nti maññamānā pakkhaṃ labhitvā na cirasseva saddhammaṃ antaradhāpeyyuṃ. Yāva ca dhammavinayo tiṭṭhati, tāva anatītasatthukameva pāvacanaṃ hoti. Yathāha bhagavā –
‘‘โย โว, อานนฺท, มยา ธโมฺม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญโตฺต, โส โว มมจฺจเยน สตฺถา’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๑๖)ฯ
‘‘Yo vo, ānanda, mayā dhammo ca vinayo ca desito paññatto, so vo mamaccayena satthā’’ti (dī. ni. 2.216).
‘‘ยํนูนาหํ ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคาเยยฺยํ, ยถยิทํ สาสนํ อทฺธนิยํ อสฺส จิรฎฺฐิติกํ’’ฯ
‘‘Yaṃnūnāhaṃ dhammañca vinayañca saṅgāyeyyaṃ, yathayidaṃ sāsanaṃ addhaniyaṃ assa ciraṭṭhitikaṃ’’.
ยญฺจาหํ ภควตา –
Yañcāhaṃ bhagavatā –
‘‘ธาเรสฺสสิ ปน เม ตฺวํ, กสฺสป, สาณานิ ปํสุกูลานิ นิพฺพสนานี’’ติ วตฺวา จีวเร สาธารณปริโภเคน เจว –
‘‘Dhāressasi pana me tvaṃ, kassapa, sāṇāni paṃsukūlāni nibbasanānī’’ti vatvā cīvare sādhāraṇaparibhogena ceva –
‘‘อหํ, ภิกฺขเว, ยาวเท อากงฺขามิ วิวิเจฺจว กาเมหิ…เป.… ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรามิ, กสฺสโปปิ, ภิกฺขเว, ยาวเทว อากงฺขติ วิวิเจฺจว กาเมหิ…เป.… ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรตี’’ติ –
‘‘Ahaṃ, bhikkhave, yāvade ākaṅkhāmi vivicceva kāmehi…pe… paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharāmi, kassapopi, bhikkhave, yāvadeva ākaṅkhati vivicceva kāmehi…pe… paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharatī’’ti –
เอวมาทินา นเยน นวานุปุพฺพวิหารฉฬภิญฺญาปฺปเภเท อุตฺตริมนุสฺสธเมฺม อตฺตนา สมสมฎฺฐปเนน จ อนุคฺคหิโต, ตสฺส เม กิมญฺญํ อาณณฺยํ ภวิสฺสติ? ‘‘นนุ มํ ภควา ราชา วิย สกกวจอิสฺสริยานุปฺปทาเนน อตฺตโน กุลวํสปฺปติฎฺฐาปกํ ปุตฺตํ ‘สทฺธมฺมวํสปฺปติฎฺฐาปโก เม อยํ ภวิสฺสตี’ติ มนฺตฺวา อิมินา อสาธารเณน อนุคฺคเหน อนุคฺคเหสี’’ติ จินฺตยโนฺต ธมฺมวินยสงฺคายนตฺถํ ภิกฺขูนํ อุสฺสาหํ ชเนสิ? ยถาห –
Evamādinā nayena navānupubbavihārachaḷabhiññāppabhede uttarimanussadhamme attanā samasamaṭṭhapanena ca anuggahito, tassa me kimaññaṃ āṇaṇyaṃ bhavissati? ‘‘Nanu maṃ bhagavā rājā viya sakakavacaissariyānuppadānena attano kulavaṃsappatiṭṭhāpakaṃ puttaṃ ‘saddhammavaṃsappatiṭṭhāpako me ayaṃ bhavissatī’ti mantvā iminā asādhāraṇena anuggahena anuggahesī’’ti cintayanto dhammavinayasaṅgāyanatthaṃ bhikkhūnaṃ ussāhaṃ janesi? Yathāha –
‘‘อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป ภิกฺขู อามเนฺตสิ – เอกมิทาหํ, อาวุโส, สมยํ ปาวาย กุสินารํ อทฺธานมคฺคปฺปฎิปโนฺน มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ ปญฺจมเตฺตหิ ภิกฺขุสเตหี’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๓๑; จูฬว. ๔๓๗) สพฺพํ สุภทฺทกณฺฑํ วิตฺถาเรตพฺพํฯ
‘‘Atha kho āyasmā mahākassapo bhikkhū āmantesi – ekamidāhaṃ, āvuso, samayaṃ pāvāya kusināraṃ addhānamaggappaṭipanno mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ pañcamattehi bhikkhusatehī’’ti (dī. ni. 2.231; cūḷava. 437) sabbaṃ subhaddakaṇḍaṃ vitthāretabbaṃ.
ตโต ปรํ อาห –
Tato paraṃ āha –
‘‘หนฺท มยํ, อาวุโส, ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคาเยยฺยาม, ปุเร อธโมฺม ทิปฺปติ, ธโมฺม ปฎิพาหิยฺยติ, อวินโย ทิปฺปติ, วินโย ปฎิพาหิยฺยติ, ปุเร อธมฺมวาทิโน พลวโนฺต โหนฺติ, ธมฺมวาทิโน ทุพฺพลา โหนฺติ, อวินยวาทิโน พลวโนฺต โหนฺติ, วินยวาทิโน ทุพฺพลา โหนฺตี’’ติ (จูฬว. ๔๓๗)ฯ
‘‘Handa mayaṃ, āvuso, dhammañca vinayañca saṅgāyeyyāma, pure adhammo dippati, dhammo paṭibāhiyyati, avinayo dippati, vinayo paṭibāhiyyati, pure adhammavādino balavanto honti, dhammavādino dubbalā honti, avinayavādino balavanto honti, vinayavādino dubbalā hontī’’ti (cūḷava. 437).
ภิกฺขู อาหํสุ ‘‘เตน หิ, ภเนฺต, เถโร ภิกฺขู อุจฺจินตู’’ติฯ เถโร สกลนวงฺคสตฺถุสาสนปริยตฺติธเร ปุถุชฺชนโสตาปนฺนสกทาคามิอนาคามิสุกฺขวิปสฺสกขีณาสวภิกฺขู อเนกสเต อเนกสหเสฺส จ วเชฺชตฺวา ติปิฎกสพฺพปริยตฺติปฺปเภทธเร ปฎิสมฺภิทาปฺปเตฺต มหานุภาเว เยภุเยฺยน ภควตา เอตทคฺคํ อาโรปิเต เตวิชฺชาทิเภเท ขีณาสวภิกฺขูเยว เอกูนปญฺจสเต ปริคฺคเหสิฯ เย สนฺธาย อิทํ วุตฺตํ ‘‘อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป เอเกนูนปญฺจอรหนฺตสตานิ อุจฺจินี’’ติ (จูฬว. ๔๓๗)ฯ
Bhikkhū āhaṃsu ‘‘tena hi, bhante, thero bhikkhū uccinatū’’ti. Thero sakalanavaṅgasatthusāsanapariyattidhare puthujjanasotāpannasakadāgāmianāgāmisukkhavipassakakhīṇāsavabhikkhū anekasate anekasahasse ca vajjetvā tipiṭakasabbapariyattippabhedadhare paṭisambhidāppatte mahānubhāve yebhuyyena bhagavatā etadaggaṃ āropite tevijjādibhede khīṇāsavabhikkhūyeva ekūnapañcasate pariggahesi. Ye sandhāya idaṃ vuttaṃ ‘‘atha kho āyasmā mahākassapo ekenūnapañcaarahantasatāni uccinī’’ti (cūḷava. 437).
กิสฺส ปน เถโร เอเกนูนมกาสีติ? อายสฺมโต อานนฺทเตฺถรสฺส โอกาสกรณตฺถํฯ เตน หายสฺมตา สหาปิ วินาปิ น สกฺกา ธมฺมสงฺคีติ กาตุํฯ โส หายสฺมา เสโข สกรณีโย, ตสฺมา สห น สกฺกา, ยสฺมา ปนสฺส กิญฺจิ ทสพลเทสิตํ สุตฺตเคยฺยาทิกํ ภควโต อสมฺมุขา ปฎิคฺคหิตํ นาม นตฺถิ, ตสฺมา วินาปิ น สกฺกาฯ ยทิ เอวํ เสโขปิ สมาโน ธมฺมสงฺคีติยา พหูการตฺตา เถเรน อุจฺจินิตโพฺพ อสฺส, อถ กสฺมา น อุจฺจินิโตติ? ปรูปวาทวิวชฺชนโต ฯ เถโร หิ อายสฺมเนฺต อานเนฺท อติวิย วิสฺสโตฺถ อโหสิฯ ตถา หิ นํ สิรสฺมิํ ปลิเตสุ ชาเตสุปิ ‘‘น วายํ กุมารโก มตฺตมญฺญาสี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔) กุมารกวาเทน โอวทติฯ สกฺยกุลปฺปสุโต จายํ อายสฺมา ตถาคตสฺส ภาตา จูฬปิตุ ปุโตฺต, ตตฺร ภิกฺขู ฉนฺทาคมนํ วิย มญฺญมานา ‘‘พหู อเสขปฎิสมฺภิทาปฺปเตฺต ภิกฺขู ฐเปตฺวา อานนฺทํ เสขปฎิสมฺภิทาปฺปตฺตํ เถโร อุจฺจินี’’ติ อุปวเทยฺยุํฯ ตํ ปรูปวาทํ ปริวิวเชฺชโนฺต ‘‘อานนฺทํ วินา สงฺคีติ น สกฺกา กาตุํ, ภิกฺขูนํเยว อนุมติยา คเหสฺสามี’’ติ น อุจฺจินิฯ
Kissa pana thero ekenūnamakāsīti? Āyasmato ānandattherassa okāsakaraṇatthaṃ. Tena hāyasmatā sahāpi vināpi na sakkā dhammasaṅgīti kātuṃ. So hāyasmā sekho sakaraṇīyo, tasmā saha na sakkā, yasmā panassa kiñci dasabaladesitaṃ suttageyyādikaṃ bhagavato asammukhā paṭiggahitaṃ nāma natthi, tasmā vināpi na sakkā. Yadi evaṃ sekhopi samāno dhammasaṅgītiyā bahūkārattā therena uccinitabbo assa, atha kasmā na uccinitoti? Parūpavādavivajjanato . Thero hi āyasmante ānande ativiya vissattho ahosi. Tathā hi naṃ sirasmiṃ palitesu jātesupi ‘‘na vāyaṃ kumārako mattamaññāsī’’ti (saṃ. ni. 2.154) kumārakavādena ovadati. Sakyakulappasuto cāyaṃ āyasmā tathāgatassa bhātā cūḷapitu putto, tatra bhikkhū chandāgamanaṃ viya maññamānā ‘‘bahū asekhapaṭisambhidāppatte bhikkhū ṭhapetvā ānandaṃ sekhapaṭisambhidāppattaṃ thero uccinī’’ti upavadeyyuṃ. Taṃ parūpavādaṃ parivivajjento ‘‘ānandaṃ vinā saṅgīti na sakkā kātuṃ, bhikkhūnaṃyeva anumatiyā gahessāmī’’ti na uccini.
อถ สยเมว ภิกฺขู อานนฺทสฺสตฺถาย เถรํ ยาจิํสุฯ ยถาห –
Atha sayameva bhikkhū ānandassatthāya theraṃ yāciṃsu. Yathāha –
‘‘ภิกฺขู อายสฺมนฺตํ มหากสฺสปํ เอตทโวจุํ – ‘อยํ, ภเนฺต, อายสฺมา อานโนฺท กิญฺจาปิ เสโข, อภโพฺพ ฉนฺทา โทสา โมหา ภยา อคติํ คนฺตุํ, พหุ จาเนน ภควโต สนฺติเก ธโมฺม จ วินโย จ ปริยโตฺต, เตน หิ, ภเนฺต, เถโร อายสฺมนฺตมฺปิ อานนฺทํ อุจฺจินตู’ติฯ อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป อายสฺมนฺตมฺปิ อานนฺทํ อุจฺจินี’’ติ (จูฬว. ๔๓๗)ฯ
‘‘Bhikkhū āyasmantaṃ mahākassapaṃ etadavocuṃ – ‘ayaṃ, bhante, āyasmā ānando kiñcāpi sekho, abhabbo chandā dosā mohā bhayā agatiṃ gantuṃ, bahu cānena bhagavato santike dhammo ca vinayo ca pariyatto, tena hi, bhante, thero āyasmantampi ānandaṃ uccinatū’ti. Atha kho āyasmā mahākassapo āyasmantampi ānandaṃ uccinī’’ti (cūḷava. 437).
เอวํ ภิกฺขูนํ อนุมติยา อุจฺจินิเตน เตนายสฺมตา สทฺธิํ ปญฺจเถรสตานิ อเหสุํฯ
Evaṃ bhikkhūnaṃ anumatiyā uccinitena tenāyasmatā saddhiṃ pañcatherasatāni ahesuṃ.
อถ โข เถรานํ ภิกฺขูนํ เอตทโหสิ – ‘‘กตฺถ นุ โข มยํ ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคาเยยฺยามา’’ติฯ อถ โข เถรานํ ภิกฺขูนํ เอตทโหสิ ‘‘ราชคหํ โข มหาโคจรํ ปหูตเสนาสนํ, ยํนูน มยํ ราชคเห วสฺสํ วสนฺตา ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคาเยยฺยาม, นเญฺญ ภิกฺขู ราชคเห วสฺสํ อุปคเจฺฉยฺยุ’’นฺติฯ กสฺมา ปน เนสํ เอตทโหสิ? อิทํ อมฺหากํ ถาวรกมฺมํ, โกจิ วิสภาคปุคฺคโล สงฺฆมชฺฌํ ปวิสิตฺวา อุโกฺกเฎยฺยาติฯ อถายสฺมา มหากสฺสโป ญตฺติทุติเยน กเมฺมน สาเวสิฯ ตํ สงฺคีติกฺขนฺธเก (จูฬว. ๔๓๗) วุตฺตนเยเนว ญาตพฺพํฯ
Atha kho therānaṃ bhikkhūnaṃ etadahosi – ‘‘kattha nu kho mayaṃ dhammañca vinayañca saṅgāyeyyāmā’’ti. Atha kho therānaṃ bhikkhūnaṃ etadahosi ‘‘rājagahaṃ kho mahāgocaraṃ pahūtasenāsanaṃ, yaṃnūna mayaṃ rājagahe vassaṃ vasantā dhammañca vinayañca saṅgāyeyyāma, naññe bhikkhū rājagahe vassaṃ upagaccheyyu’’nti. Kasmā pana nesaṃ etadahosi? Idaṃ amhākaṃ thāvarakammaṃ, koci visabhāgapuggalo saṅghamajjhaṃ pavisitvā ukkoṭeyyāti. Athāyasmā mahākassapo ñattidutiyena kammena sāvesi. Taṃ saṅgītikkhandhake (cūḷava. 437) vuttanayeneva ñātabbaṃ.
อถ ตถาคตสฺส ปรินิพฺพานโต สตฺตสุ สาธุกีฬนทิวเสสุ สตฺตสุ จ ธาตุปูชาทิวเสสุ วีติวเตฺตสุ ‘‘อฑฺฒมาโส อติกฺกโนฺต, อิทานิ คิมฺหานํ ทิยโฑฺฒ มาโส เสโส, อุปกฎฺฐา วสฺสูปนายิกา’’ติ มนฺตฺวา มหากสฺสปเตฺถโร ‘‘ราชคหํ, อาวุโส, คจฺฉามา’’ติ อุปฑฺฒํ ภิกฺขุสงฺฆํ คเหตฺวา เอกํ มคฺคํ คโตฯ อนุรุทฺธเตฺถโรปิ อุปฑฺฒํ คเหตฺวา เอกํ มคฺคํ คโต, อานนฺทเตฺถโร ปน ภควโต ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต สาวตฺถิํ คนฺตฺวา ราชคหํ คนฺตุกาโม เยน สาวตฺถิ, เตน จาริกํ ปกฺกามิฯ อานนฺทเตฺถเรน คตคตฎฺฐาเน มหาปริเทโว อโหสิ, ‘‘ภเนฺต อานนฺท, กุหิํ สตฺถารํ ฐเปตฺวา อาคโตสี’’ติ? อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ อนุปฺปเตฺต เถเร ภควโต ปรินิพฺพานสมเย วิย มหาปริเทโว อโหสิฯ
Atha tathāgatassa parinibbānato sattasu sādhukīḷanadivasesu sattasu ca dhātupūjādivasesu vītivattesu ‘‘aḍḍhamāso atikkanto, idāni gimhānaṃ diyaḍḍho māso seso, upakaṭṭhā vassūpanāyikā’’ti mantvā mahākassapatthero ‘‘rājagahaṃ, āvuso, gacchāmā’’ti upaḍḍhaṃ bhikkhusaṅghaṃ gahetvā ekaṃ maggaṃ gato. Anuruddhattheropi upaḍḍhaṃ gahetvā ekaṃ maggaṃ gato, ānandatthero pana bhagavato pattacīvaraṃ gahetvā bhikkhusaṅghaparivuto sāvatthiṃ gantvā rājagahaṃ gantukāmo yena sāvatthi, tena cārikaṃ pakkāmi. Ānandattherena gatagataṭṭhāne mahāparidevo ahosi, ‘‘bhante ānanda, kuhiṃ satthāraṃ ṭhapetvā āgatosī’’ti? Anupubbena sāvatthiṃ anuppatte there bhagavato parinibbānasamaye viya mahāparidevo ahosi.
ตตฺร สุทํ อายสฺมา อานโนฺท อนิจฺจตาทิปฎิสํยุตฺตาย ธมฺมิยา กถาย ตํ มหาชนํ สญฺญาเปตฺวา เชตวนํ ปวิสิตฺวา ทสพเลน วสิตคนฺธกุฎิยา ทฺวารํ วิวริตฺวา มญฺจปีฐํ นีหริตฺวา ปโปฺผเฎตฺวา คนฺธกุฎิํ สมฺมชฺชิตฺวา มิลาตมาลากจวรํ ฉเฑฺฑตฺวา มญฺจปีฐํ อติหริตฺวา ปุน ยถาฐาเน ฐเปตฺวา ภควโต ฐิตกาเล กรณียํ วตฺตํ สพฺพมกาสิฯ อถ เถโร ภควโต ปรินิพฺพานโต ปภุติ ฐานนิสชฺชพหุลตฺตา อุสฺสนฺนธาตุกํ กายํ สมสฺสาเสตุํ ทุติยทิวเส ขีรวิเรจนํ ปิวิตฺวา วิหาเรเยว นิสีทิ, ยํ สนฺธาย สุเภน มาณเวน ปหิตํ มาณวกํ เอตทโวจ –
Tatra sudaṃ āyasmā ānando aniccatādipaṭisaṃyuttāya dhammiyā kathāya taṃ mahājanaṃ saññāpetvā jetavanaṃ pavisitvā dasabalena vasitagandhakuṭiyā dvāraṃ vivaritvā mañcapīṭhaṃ nīharitvā papphoṭetvā gandhakuṭiṃ sammajjitvā milātamālākacavaraṃ chaḍḍetvā mañcapīṭhaṃ atiharitvā puna yathāṭhāne ṭhapetvā bhagavato ṭhitakāle karaṇīyaṃ vattaṃ sabbamakāsi. Atha thero bhagavato parinibbānato pabhuti ṭhānanisajjabahulattā ussannadhātukaṃ kāyaṃ samassāsetuṃ dutiyadivase khīravirecanaṃ pivitvā vihāreyeva nisīdi, yaṃ sandhāya subhena māṇavena pahitaṃ māṇavakaṃ etadavoca –
‘‘อกาโล โข, มาณวก, อตฺถิ เม อชฺช เภสชฺชมตฺตา ปีตา, อเปฺปว นาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยามา’’ติ (ที. นิ. ๑.๔๔๗)ฯ
‘‘Akālo kho, māṇavaka, atthi me ajja bhesajjamattā pītā, appeva nāma svepi upasaṅkameyyāmā’’ti (dī. ni. 1.447).
ทุติยทิวเส เจตกเตฺถเรน ปจฺฉาสมเณน คนฺตฺวา สุเภน มาณเวน ปุโฎฺฐ ทีฆนิกาเย สุภสุตฺตํ นาม ทสมํ สุตฺตมภาสิฯ
Dutiyadivase cetakattherena pacchāsamaṇena gantvā subhena māṇavena puṭṭho dīghanikāye subhasuttaṃ nāma dasamaṃ suttamabhāsi.
อถ โข เถโร เชตวเน วิหาเร ขณฺฑผุลฺลปฺปฎิสงฺขรณํ การาเปตฺวา อุปกฎฺฐาย วสฺสูปนายิกาย ราชคหํ คโตฯ ตถา มหากสฺสปเตฺถโร อนุรุทฺธเตฺถโร จ สพฺพํ ภิกฺขุสงฺฆํ คเหตฺวา ราชคหเมว คตาฯ
Atha kho thero jetavane vihāre khaṇḍaphullappaṭisaṅkharaṇaṃ kārāpetvā upakaṭṭhāya vassūpanāyikāya rājagahaṃ gato. Tathā mahākassapatthero anuruddhatthero ca sabbaṃ bhikkhusaṅghaṃ gahetvā rājagahameva gatā.
เตน โข ปน สมเยน ราชคเห อฎฺฐารส มหาวิหารา โหนฺติฯ เต สเพฺพปิ ฉฑฺฑิตปติตอุกฺลาปา อเหสุํฯ ภควโต หิ ปรินิพฺพาเน สเพฺพ ภิกฺขู อตฺตโน อตฺตโน ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา วิหาเร จ ปริเวเณ จ ฉเฑฺฑตฺวา อคมํสุฯ ตตฺถ เถรา ภควโต วจนปูชนตฺถํ ติตฺถิยวาทปริโมจนตฺถญฺจ ‘‘ปฐมํ มาสํ ขณฺฑผุลฺลปฺปฎิสงฺขรณํ กโรมา’’ติ จิเนฺตสุํฯ ติตฺถิยา หิ วเทยฺยุํ ‘‘สมณสฺส โคตมสฺส สาวกา สตฺถริ ฐิเตเยว วิหาเร ปฎิชคฺคิํสุ, ปรินิพฺพุเต ฉเฑฺฑสุ’’นฺติฯ เตสํ วาทปริโมจนตฺถญฺจ จิเนฺตสุนฺติ วุตฺตํ โหติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Tena kho pana samayena rājagahe aṭṭhārasa mahāvihārā honti. Te sabbepi chaḍḍitapatitauklāpā ahesuṃ. Bhagavato hi parinibbāne sabbe bhikkhū attano attano pattacīvaraṃ gahetvā vihāre ca pariveṇe ca chaḍḍetvā agamaṃsu. Tattha therā bhagavato vacanapūjanatthaṃ titthiyavādaparimocanatthañca ‘‘paṭhamaṃ māsaṃ khaṇḍaphullappaṭisaṅkharaṇaṃ karomā’’ti cintesuṃ. Titthiyā hi vadeyyuṃ ‘‘samaṇassa gotamassa sāvakā satthari ṭhiteyeva vihāre paṭijaggiṃsu, parinibbute chaḍḍesu’’nti. Tesaṃ vādaparimocanatthañca cintesunti vuttaṃ hoti. Vuttampi cetaṃ –
‘‘อถ โข เถรานํ ภิกฺขูนํ เอตทโหสิ – ภควตา โข, อาวุโส, ขณฺฑผุลฺลปฺปฎิสงฺขรณํ วณฺณิตํ, หนฺท มยํ, อาวุโส, ปฐมํ มาสํ ขณฺฑผุลฺลปฺปฎิสงฺขรณํ กโรม, มชฺฌิมํ มาสํ สนฺนิปติตฺวา ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคายิสฺสามา’’ติ (จูฬว. ๔๓๘)ฯ
‘‘Atha kho therānaṃ bhikkhūnaṃ etadahosi – bhagavatā kho, āvuso, khaṇḍaphullappaṭisaṅkharaṇaṃ vaṇṇitaṃ, handa mayaṃ, āvuso, paṭhamaṃ māsaṃ khaṇḍaphullappaṭisaṅkharaṇaṃ karoma, majjhimaṃ māsaṃ sannipatitvā dhammañca vinayañca saṅgāyissāmā’’ti (cūḷava. 438).
เต ทุติยทิวเส คนฺตฺวา ราชทฺวาเร อฎฺฐํสุฯ อชาตสตฺตุ ราชา อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘อหํ, ภเนฺต, กิํ กโรมิ, เกนโตฺถ’’ติ ปวาเรสิฯ เถรา อฎฺฐารสมหาวิหารปฺปฎิสงฺขรณตฺถาย หตฺถกมฺมํ ปฎิเวเทสุํฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ ราชา หตฺถกมฺมการเก มนุเสฺส อทาสิฯ เถรา ปฐมํ มาสํ สพฺพวิหาเร ปฎิสงฺขราเปสุํฯ
Te dutiyadivase gantvā rājadvāre aṭṭhaṃsu. Ajātasattu rājā āgantvā vanditvā ‘‘ahaṃ, bhante, kiṃ karomi, kenattho’’ti pavāresi. Therā aṭṭhārasamahāvihārappaṭisaṅkharaṇatthāya hatthakammaṃ paṭivedesuṃ. ‘‘Sādhu, bhante’’ti rājā hatthakammakārake manusse adāsi. Therā paṭhamaṃ māsaṃ sabbavihāre paṭisaṅkharāpesuṃ.
อถ รโญฺญ อาโรเจสุํ – ‘‘นิฎฺฐิตํ, มหาราช, วิหารปฺปฎิสงฺขรณํ , อิทานิ ธมฺมวินยสงฺคหํ กโรมา’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต, วิสฺสตฺถา กโรถ, มยฺหํ อาณาจกฺกํ, ตุมฺหากํ ธมฺมจกฺกํ โหตุฯ อาณาเปถ, ภเนฺต, กิํ กโรมี’’ติ? ‘‘ธมฺมสงฺคหํ กโรนฺตานํ ภิกฺขูนํ สนฺนิสชฺชฎฺฐานํ มหาราชา’’ติฯ ‘‘กตฺถ กโรมิ, ภเนฺต’’ติ? ‘‘เวภารปพฺพตปเสฺส สตฺตปณฺณิคุหาทฺวาเร กาตุํ ยุตฺตํ มหาราชา’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ โข, ราชา อชาตสตฺตุ, วิสฺสกมฺมุนา นิมฺมิตสทิสํ สุวิภตฺตภิตฺติถมฺภโสปานํ นานาวิธมาลากมฺมลตากมฺมวิจิตฺรํ มหามณฺฑปํ การาเปตฺวา วิวิธกุสุมทามโอลมฺพกวินิคฺคลนฺตจารุวิตานํ รตนวิจิตฺรมณิโกฎฺฎิมตลมิว จ นํ นานาปุปฺผูปหารวิจิตฺรํ สุปรินิฎฺฐิตภูมิกมฺมํ พฺรหฺมวิมานสทิสํ อลงฺกริตฺวา ตสฺมิํ มหามณฺฑเป ปญฺจสตานํ ภิกฺขูนํ อนคฺฆานิ ปญฺจกปฺปิยปจฺจตฺถรณสตานิ ปญฺญาเปตฺวา ทกฺขิณภาคํ นิสฺสาย อุตฺตราภิมุขํ เถราสนํ, มณฺฑปมเชฺฌ ปุรตฺถาภิมุขํ พุทฺธสฺส ภควโต อาสนารหํ ธมฺมาสนํ ปญฺญาเปตฺวา ทนฺตขจิตํ จิตฺตพีชนิเญฺจตฺถ ฐเปตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส อาโรจาเปสิ ‘‘นิฎฺฐิตํ, ภเนฺต, กิจฺจ’’นฺติฯ
Atha rañño ārocesuṃ – ‘‘niṭṭhitaṃ, mahārāja, vihārappaṭisaṅkharaṇaṃ , idāni dhammavinayasaṅgahaṃ karomā’’ti. ‘‘Sādhu, bhante, vissatthā karotha, mayhaṃ āṇācakkaṃ, tumhākaṃ dhammacakkaṃ hotu. Āṇāpetha, bhante, kiṃ karomī’’ti? ‘‘Dhammasaṅgahaṃ karontānaṃ bhikkhūnaṃ sannisajjaṭṭhānaṃ mahārājā’’ti. ‘‘Kattha karomi, bhante’’ti? ‘‘Vebhārapabbatapasse sattapaṇṇiguhādvāre kātuṃ yuttaṃ mahārājā’’ti. ‘‘Sādhu, bhante’’ti kho, rājā ajātasattu, vissakammunā nimmitasadisaṃ suvibhattabhittithambhasopānaṃ nānāvidhamālākammalatākammavicitraṃ mahāmaṇḍapaṃ kārāpetvā vividhakusumadāmaolambakaviniggalantacāruvitānaṃ ratanavicitramaṇikoṭṭimatalamiva ca naṃ nānāpupphūpahāravicitraṃ supariniṭṭhitabhūmikammaṃ brahmavimānasadisaṃ alaṅkaritvā tasmiṃ mahāmaṇḍape pañcasatānaṃ bhikkhūnaṃ anagghāni pañcakappiyapaccattharaṇasatāni paññāpetvā dakkhiṇabhāgaṃ nissāya uttarābhimukhaṃ therāsanaṃ, maṇḍapamajjhe puratthābhimukhaṃ buddhassa bhagavato āsanārahaṃ dhammāsanaṃ paññāpetvā dantakhacitaṃ cittabījaniñcettha ṭhapetvā bhikkhusaṅghassa ārocāpesi ‘‘niṭṭhitaṃ, bhante, kicca’’nti.
ภิกฺขู อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อาหํสุ ‘‘เสฺว, อาวุโส อานนฺท, สงฺฆสนฺนิปาโต, ตฺวญฺจ เสโข สกรณีโย, เตน เต น ยุตฺตํ สนฺนิปาตํ คนฺตุํ, อปฺปมโตฺต โหหี’’ติฯ อถ โข อายสฺมา อานโนฺท ‘‘เสฺว สนฺนิปาโต, น โข ปน เมตํ ปติรูปํ, ยฺวาหํ เสโข สมาโน สนฺนิปาตํ คเจฺฉยฺย’’นฺติ พหุเทว รตฺติํ กายคตาย สติยา วีตินาเมตฺวา รตฺติยา ปจฺจูสสมเย จงฺกมา โอโรหิตฺวา วิหารํ ปวิสิตฺวา ‘‘นิปชฺชิสฺสามี’’ติ กายํ อาวเชฺชสิฯ เทฺว ปาทา ภูมิโต มุตฺตา, อปฺปตฺตญฺจ สีสํ พิโมฺพหนํ, เอตสฺมิํ อนฺตเร อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุจฺจิฯ อยญฺหิ อายสฺมา จงฺกเมน พหิ วีตินาเมตฺวา วิเสสํ นิพฺพเตฺตตุํ อสโกฺกโนฺต จิเนฺตสิ ‘‘นนุ มํ ภควา เอตทโวจ – ‘กตปุโญฺญสิ ตฺวํ, อานนฺท, ปธานมนุยุญฺช, ขิปฺปํ โหหิสิ อนาสโว’ติ (ที. นิ. ๒.๒๐๗)ฯ พุทฺธานญฺจ กถาโทโส นาม นตฺถิ, มม ปน อจฺจารทฺธํ วีริยํ, เตน เม จิตฺตํ อุทฺธจฺจาย สํวตฺตติ, หนฺทาหํ วีริยสมตํ โยเชมี’’ติ จงฺกมา โอโรหิตฺวา ปาทโธวนฎฺฐาเน ฐตฺวา ปาเท โธวิตฺวา วิหารํ ปวิสิตฺวา มญฺจเก นิสีทิตฺวา ‘‘โถกํ วิสฺสมิสฺสามี’’ติ กายํ มญฺจเก อุปนาเมสิฯ เทฺว ปาทา ภูมิโต มุตฺตา, สีสญฺจ พิโมฺพหนมสมฺปตฺตํ, เอตสฺมิํ อนฺตเร อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุจฺจิฯ จตุอิริยาปถวิรหิตํ เถรสฺส อรหตฺตํฯ เตน ‘‘อิมสฺมิํ สาสเน อนิสิโนฺน อนิปโนฺน อฎฺฐิโต อจงฺกมโนฺต โก ภิกฺขุ อรหตฺตํ ปโตฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘อานนฺทเตฺถโร’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ
Bhikkhū āyasmantaṃ ānandaṃ āhaṃsu ‘‘sve, āvuso ānanda, saṅghasannipāto, tvañca sekho sakaraṇīyo, tena te na yuttaṃ sannipātaṃ gantuṃ, appamatto hohī’’ti. Atha kho āyasmā ānando ‘‘sve sannipāto, na kho pana metaṃ patirūpaṃ, yvāhaṃ sekho samāno sannipātaṃ gaccheyya’’nti bahudeva rattiṃ kāyagatāya satiyā vītināmetvā rattiyā paccūsasamaye caṅkamā orohitvā vihāraṃ pavisitvā ‘‘nipajjissāmī’’ti kāyaṃ āvajjesi. Dve pādā bhūmito muttā, appattañca sīsaṃ bimbohanaṃ, etasmiṃ antare anupādāya āsavehi cittaṃ vimucci. Ayañhi āyasmā caṅkamena bahi vītināmetvā visesaṃ nibbattetuṃ asakkonto cintesi ‘‘nanu maṃ bhagavā etadavoca – ‘katapuññosi tvaṃ, ānanda, padhānamanuyuñja, khippaṃ hohisi anāsavo’ti (dī. ni. 2.207). Buddhānañca kathādoso nāma natthi, mama pana accāraddhaṃ vīriyaṃ, tena me cittaṃ uddhaccāya saṃvattati, handāhaṃ vīriyasamataṃ yojemī’’ti caṅkamā orohitvā pādadhovanaṭṭhāne ṭhatvā pāde dhovitvā vihāraṃ pavisitvā mañcake nisīditvā ‘‘thokaṃ vissamissāmī’’ti kāyaṃ mañcake upanāmesi. Dve pādā bhūmito muttā, sīsañca bimbohanamasampattaṃ, etasmiṃ antare anupādāya āsavehi cittaṃ vimucci. Catuiriyāpathavirahitaṃ therassa arahattaṃ. Tena ‘‘imasmiṃ sāsane anisinno anipanno aṭṭhito acaṅkamanto ko bhikkhu arahattaṃ patto’’ti vutte ‘‘ānandatthero’’ti vattuṃ vaṭṭati.
อถ เถรา ภิกฺขู ทุติยทิวเส ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา ปตฺตจีวรํ ปฎิสาเมตฺวา ธมฺมสภายํ สนฺนิปติตาฯ อานนฺทเตฺถโร ปน อตฺตโน อรหตฺตปฺปตฺติํ ญาเปตุกาโม ภิกฺขูหิ สทฺธิํ น คโตฯ ภิกฺขู ยถาวุฑฺฒํ อตฺตโน อตฺตโน ปตฺตาสเน นิสีทนฺตา อานนฺทเตฺถรสฺส อาสนํ ฐเปตฺวา นิสินฺนาฯ ตตฺถ เกหิจิ ‘‘เอตมาสนํ กสฺสา’’ติ วุเตฺต อานนฺทสฺสาติฯ ‘‘อานโนฺท ปน กุหิํ คโต’’ติฯ ตสฺมิํ สมเย เถโร จิเนฺตสิ ‘‘อิทานิ มยฺหํ คมนกาโล’’ติฯ ตโต อตฺตโน อานุภาวํ ทเสฺสโนฺต ปถวิยํ นิมุชฺชิตฺวา อตฺตโน อาสเนเยว อตฺตานํ ทเสฺสสิฯ อากาเสนาคนฺตฺวา นิสีทีติปิ เอเกฯ
Atha therā bhikkhū dutiyadivase bhattakiccaṃ katvā pattacīvaraṃ paṭisāmetvā dhammasabhāyaṃ sannipatitā. Ānandatthero pana attano arahattappattiṃ ñāpetukāmo bhikkhūhi saddhiṃ na gato. Bhikkhū yathāvuḍḍhaṃ attano attano pattāsane nisīdantā ānandattherassa āsanaṃ ṭhapetvā nisinnā. Tattha kehici ‘‘etamāsanaṃ kassā’’ti vutte ānandassāti. ‘‘Ānando pana kuhiṃ gato’’ti. Tasmiṃ samaye thero cintesi ‘‘idāni mayhaṃ gamanakālo’’ti. Tato attano ānubhāvaṃ dassento pathaviyaṃ nimujjitvā attano āsaneyeva attānaṃ dassesi. Ākāsenāgantvā nisīdītipi eke.
เอวํ นิสิเนฺน ตสฺมิํ อายสฺมเนฺต มหากสฺสปเตฺถโร ภิกฺขู อามเนฺตสิ, ‘‘อาวุโส, กิํ ปฐมํ สงฺคายาม ธมฺมํ วา วินยํ วา’’ติ? ภิกฺขู อาหํสุ, ‘‘ภเนฺต มหากสฺสป, วินโยนามพุทฺธสาสนสฺส อายุ, วินเย ฐิเต สาสนํ ฐิตํ โหติ, ตสฺมา ปฐมํ วินยํ สงฺคายามา’’ติฯ ‘‘กํ ธุรํ กตฺวา วินโย สงฺคายิตโพฺพ’’ติ? ‘‘อายสฺมนฺตํ อุปาลิ’’นฺติ ฯ ‘‘กิํ อานโนฺท นปฺปโหตี’’ติ? ‘‘โน นปฺปโหติ, อปิจ โข ปน สมฺมาสมฺพุโทฺธ ธรมาโนเยว วินยปริยตฺติํ นิสฺสาย อายสฺมนฺตํ อุปาลิํ เอตทเคฺค ฐเปสิ – ‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ วินยธรานํ ยทิทํ อุปาลี’’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๒๘)ฯ ตสฺมา อุปาลิเตฺถรํ ปุจฺฉิตฺวา วินยํ สงฺคายามาติฯ ตโต เถโร วินยํ ปุจฺฉนตฺถาย อตฺตนาว อตฺตานํ สมฺมนฺนิฯ อุปาลิเตฺถโรปิ วิสฺสชฺชนตฺถาย สมฺมนฺนิฯ ตตฺรายํ ปาฬิ –
Evaṃ nisinne tasmiṃ āyasmante mahākassapatthero bhikkhū āmantesi, ‘‘āvuso, kiṃ paṭhamaṃ saṅgāyāma dhammaṃ vā vinayaṃ vā’’ti? Bhikkhū āhaṃsu, ‘‘bhante mahākassapa, vinayonāmabuddhasāsanassa āyu, vinaye ṭhite sāsanaṃ ṭhitaṃ hoti, tasmā paṭhamaṃ vinayaṃ saṅgāyāmā’’ti. ‘‘Kaṃ dhuraṃ katvā vinayo saṅgāyitabbo’’ti? ‘‘Āyasmantaṃ upāli’’nti . ‘‘Kiṃ ānando nappahotī’’ti? ‘‘No nappahoti, apica kho pana sammāsambuddho dharamānoyeva vinayapariyattiṃ nissāya āyasmantaṃ upāliṃ etadagge ṭhapesi – ‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ vinayadharānaṃ yadidaṃ upālī’’’ti (a. ni. 1.228). Tasmā upālittheraṃ pucchitvā vinayaṃ saṅgāyāmāti. Tato thero vinayaṃ pucchanatthāya attanāva attānaṃ sammanni. Upālittheropi vissajjanatthāya sammanni. Tatrāyaṃ pāḷi –
อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป สงฺฆํ ญาเปสิ –
Atha kho āyasmā mahākassapo saṅghaṃ ñāpesi –
‘‘สุณาตุ เม, อาวุโส, สโงฺฆ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อุปาลิํ วินยํ ปุเจฺฉยฺย’’นฺติฯ
‘‘Suṇātu me, āvuso, saṅgho, yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ upāliṃ vinayaṃ puccheyya’’nti.
อายสฺมาปิ อุปาลิ สงฺฆํ ญาเปสิ –
Āyasmāpi upāli saṅghaṃ ñāpesi –
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อายสฺมตา มหากสฺสเปน วินยํ ปุโฎฺฐ วิสฺสเชฺชยฺย’’นฺติฯ
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ āyasmatā mahākassapena vinayaṃ puṭṭho vissajjeyya’’nti.
เอวํ อตฺตนาว อตฺตานํ สมฺมนฺนิตฺวา อายสฺมา, อุปาลิ, อุฎฺฐายาสนา เอกํสํ จีวรํ กตฺวา เถเร ภิกฺขู วนฺทิตฺวา ธมฺมาสเน นิสีทิ ทนฺตขจิตํ พีชนิํ คเหตฺวาฯ ตโต มหากสฺสปเตฺถโร อุปาลิเตฺถรํ ปฐมปาราชิกํ อาทิํ กตฺวา สพฺพํ วินยํ ปุจฺฉิ, อุปาลิเตฺถโร วิสฺสเชฺชสิฯ สเพฺพ ปญฺจสตา ภิกฺขู ปฐมปาราชิกสิกฺขาปทํ สนิทานํ กตฺวา เอกโต คณสชฺฌายมกํสุฯ เอวํ เสสานิปีติ สพฺพํ วินยฎฺฐกถาย คเหตพฺพํฯ เอเตน นเยน สอุภโตวิภงฺคํ สขนฺธกปริวารํ สกลํ วินยปิฎกํ สงฺคายิตฺวา อุปาลิเตฺถโร ทนฺตขจิตํ พีชนิํ นิกฺขิปิตฺวา ธมฺมาสนา โอโรหิตฺวา วุเฑฺฒ ภิกฺขู วนฺทิตฺวา อตฺตโน ปตฺตาสเน นิสีทิฯ
Evaṃ attanāva attānaṃ sammannitvā āyasmā, upāli, uṭṭhāyāsanā ekaṃsaṃ cīvaraṃ katvā there bhikkhū vanditvā dhammāsane nisīdi dantakhacitaṃ bījaniṃ gahetvā. Tato mahākassapatthero upālittheraṃ paṭhamapārājikaṃ ādiṃ katvā sabbaṃ vinayaṃ pucchi, upālitthero vissajjesi. Sabbe pañcasatā bhikkhū paṭhamapārājikasikkhāpadaṃ sanidānaṃ katvā ekato gaṇasajjhāyamakaṃsu. Evaṃ sesānipīti sabbaṃ vinayaṭṭhakathāya gahetabbaṃ. Etena nayena saubhatovibhaṅgaṃ sakhandhakaparivāraṃ sakalaṃ vinayapiṭakaṃ saṅgāyitvā upālitthero dantakhacitaṃ bījaniṃ nikkhipitvā dhammāsanā orohitvā vuḍḍhe bhikkhū vanditvā attano pattāsane nisīdi.
วินยํ สงฺคายิตฺวา ธมฺมํ สงฺคายิตุกาโม อายสฺมา มหากสฺสปเตฺถโร ภิกฺขู ปุจฺฉิ – ‘‘ธมฺมํ สงฺคายเนฺตหิ กํ ปุคฺคลํ ธุรํ กตฺวา ธโมฺม สงฺคายิตโพฺพ’’ติ? ภิกฺขู ‘‘อานนฺทเตฺถรํ ธุรํ กตฺวา’’ติ อาหํสุฯ
Vinayaṃ saṅgāyitvā dhammaṃ saṅgāyitukāmo āyasmā mahākassapatthero bhikkhū pucchi – ‘‘dhammaṃ saṅgāyantehi kaṃ puggalaṃ dhuraṃ katvā dhammo saṅgāyitabbo’’ti? Bhikkhū ‘‘ānandattheraṃ dhuraṃ katvā’’ti āhaṃsu.
อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป สงฺฆํ ญาเปสิ –
Atha kho āyasmā mahākassapo saṅghaṃ ñāpesi –
‘‘สุณาตุ เม, อาวุโส, สโงฺฆ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อานนฺทํ ธมฺมํ ปุเจฺฉยฺย’’นฺติฯ
‘‘Suṇātu me, āvuso, saṅgho, yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ ānandaṃ dhammaṃ puccheyya’’nti.
อถ โข อายสฺมา อานโนฺท สงฺฆํ ญาเปสิ –
Atha kho āyasmā ānando saṅghaṃ ñāpesi –
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อายสฺมตา มหากสฺสเปน ธมฺมํ ปุโฎฺฐ วิสฺสเชฺชยฺย’’นฺติฯ
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ āyasmatā mahākassapena dhammaṃ puṭṭho vissajjeyya’’nti.
อถ โข อายสฺมา อานโนฺท อุฎฺฐายาสนา เอกํสํ จีวรํ กตฺวา เถเร ภิกฺขู วนฺทิตฺวา ธมฺมาสเน นิสีทิ ทนฺตขจิตํ พีชนิํ คเหตฺวาฯ อถ มหากสฺสปเตฺถโร อานนฺทเตฺถรํ ธมฺมํ ปุจฺฉิ – ‘‘พฺรหฺมชาลํ, อาวุโส อานนฺท, กตฺถ ภาสิต’’นฺติ? ‘‘อนฺตรา จ, ภเนฺต, ราชคหํ อนฺตรา จ นาฬนฺทํ ราชาคารเก อมฺพลฎฺฐิกาย’’นฺติฯ ‘‘กํ อารพฺภา’’ติ ? ‘‘สุปฺปิยญฺจ ปริพฺพาชกํ พฺรหฺมทตฺตญฺจ มาณวก’’นฺติฯ อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ พฺรหฺมชาลสฺส นิทานมฺปิ ปุจฺฉิ, ปุคฺคลมฺปิ ปุจฺฉิฯ ‘‘สามญฺญผลํ; ปนาวุโส อานนฺท, กตฺถ ภาสิต’’นฺติ? ‘‘ราชคเห, ภเนฺต, ชีวกมฺพวเน’’ติฯ ‘‘เกน สทฺธิ’’นฺติ? ‘‘อชาตสตฺตุนา เวเทหิปุเตฺตน สทฺธิ’’นฺติฯ อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ สามญฺญผลสฺส นิทานมฺปิ ปุจฺฉิ, ปุคฺคลมฺปิ ปุจฺฉิฯ เอเตเนว อุปาเยน ปญฺจปิ นิกาเย ปุจฺฉิ, ปุโฎฺฐ ปุโฎฺฐ อายสฺมา อานโนฺท วิสฺสเชฺชสิฯ อยํ ปฐมมหาสงฺคีติ ปญฺจหิ เถรสเตหิ กตา –
Atha kho āyasmā ānando uṭṭhāyāsanā ekaṃsaṃ cīvaraṃ katvā there bhikkhū vanditvā dhammāsane nisīdi dantakhacitaṃ bījaniṃ gahetvā. Atha mahākassapatthero ānandattheraṃ dhammaṃ pucchi – ‘‘brahmajālaṃ, āvuso ānanda, kattha bhāsita’’nti? ‘‘Antarā ca, bhante, rājagahaṃ antarā ca nāḷandaṃ rājāgārake ambalaṭṭhikāya’’nti. ‘‘Kaṃ ārabbhā’’ti ? ‘‘Suppiyañca paribbājakaṃ brahmadattañca māṇavaka’’nti. Atha kho āyasmā mahākassapo āyasmantaṃ ānandaṃ brahmajālassa nidānampi pucchi, puggalampi pucchi. ‘‘Sāmaññaphalaṃ; panāvuso ānanda, kattha bhāsita’’nti? ‘‘Rājagahe, bhante, jīvakambavane’’ti. ‘‘Kena saddhi’’nti? ‘‘Ajātasattunā vedehiputtena saddhi’’nti. Atha kho āyasmā mahākassapo āyasmantaṃ ānandaṃ sāmaññaphalassa nidānampi pucchi, puggalampi pucchi. Eteneva upāyena pañcapi nikāye pucchi, puṭṭho puṭṭho āyasmā ānando vissajjesi. Ayaṃ paṭhamamahāsaṅgīti pañcahi therasatehi katā –
‘‘สเตหิ ปญฺจหิ กตา, เตน ปญฺจสตาติ จ;
‘‘Satehi pañcahi katā, tena pañcasatāti ca;
เถเรเหว กตตฺตา จ, เถริกาติ ปวุจฺจตี’’ติฯ
Thereheva katattā ca, therikāti pavuccatī’’ti.
อิมิสฺสา ปฐมมหาสงฺคีติยา วตฺตมานาย สพฺพํ ทีฆนิกายํ มชฺฌิมนิกายาทิญฺจ ปุจฺฉิตฺวา อนุปุเพฺพน ขุทฺทกนิกายํ ปุจฺฉเนฺตน อายสฺมตา มหากสฺสเปน ‘‘มงฺคลสุตฺตํ, อาวุโส อานนฺท, กตฺถ ภาสิต’’นฺติ เอวมาทิวจนาวสาเน ‘‘นิทานมฺปิ ปุจฺฉิ, ปุคฺคลมฺปิ ปุจฺฉี’’ติ เอตฺถ นิทาเน ปุจฺฉิเต ตํ นิทานํ วิตฺถาเรตฺวา ยถา จ ภาสิตํ, เยน จ สุตํ, ยทา จ สุตํ, เยน จ ภาสิตํ, ยตฺถ จ ภาสิตํ, ยสฺส จ ภาสิตํ, ตํ สพฺพํ กเถตุกาเมน ‘‘เอวํ ภาสิตํ มยา สุตํ, เอกํ สมยํ สุตํ, ภควตา ภาสิตํ, สาวตฺถิยํ ภาสิตํ, เทวตาย ภาสิต’’นฺติ เอตมตฺถํ ทเสฺสเนฺตน อายสฺมตา อานเนฺทน วุตฺตํ ‘‘เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม…เป.… ภควนฺตํ คาถาย อชฺฌภาสี’’ติฯ เอวมิทํ อายสฺมตา อานเนฺทน วุตฺตํ, ตญฺจ ปน ปฐมมหาสงฺคีติกาเล วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Imissā paṭhamamahāsaṅgītiyā vattamānāya sabbaṃ dīghanikāyaṃ majjhimanikāyādiñca pucchitvā anupubbena khuddakanikāyaṃ pucchantena āyasmatā mahākassapena ‘‘maṅgalasuttaṃ, āvuso ānanda, kattha bhāsita’’nti evamādivacanāvasāne ‘‘nidānampi pucchi, puggalampi pucchī’’ti ettha nidāne pucchite taṃ nidānaṃ vitthāretvā yathā ca bhāsitaṃ, yena ca sutaṃ, yadā ca sutaṃ, yena ca bhāsitaṃ, yattha ca bhāsitaṃ, yassa ca bhāsitaṃ, taṃ sabbaṃ kathetukāmena ‘‘evaṃ bhāsitaṃ mayā sutaṃ, ekaṃ samayaṃ sutaṃ, bhagavatā bhāsitaṃ, sāvatthiyaṃ bhāsitaṃ, devatāya bhāsita’’nti etamatthaṃ dassentena āyasmatā ānandena vuttaṃ ‘‘evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme…pe… bhagavantaṃ gāthāya ajjhabhāsī’’ti. Evamidaṃ āyasmatā ānandena vuttaṃ, tañca pana paṭhamamahāsaṅgītikāle vuttanti veditabbaṃ.
อิทานิ ‘‘กสฺมา วุตฺต’’นฺติ เอตฺถ วุจฺจเต – ยสฺมา อยมายสฺมา มหากสฺสปเตฺถเรน นิทานํ ปุโฎฺฐ, ตสฺมาเนน ตํ นิทานํ อาทิโต ปภุติ วิตฺถาเรตุํ วุตฺตํฯ ยสฺมา วา อานนฺทํ ธมฺมาสเน นิสินฺนํ วสีคณปริวุตํ ทิสฺวา เอกจฺจานํ เทวตานํ จิตฺตมุปฺปนฺนํ ‘‘อยมายสฺมา เวเทหมุนิ ปกติยาปิ สกฺยกุลมนฺวโย ภควโต ทายาโท, ภควตาปิ ปญฺจกฺขตฺตุํ เอตทเคฺค นิทฺทิโฎฺฐ, จตูหิ อจฺฉริยอพฺภุตธเมฺมหิ สมนฺนาคโต, จตุนฺนํ ปริสานํ ปิโย มนาโป, อิทานิ มเญฺญ ภควโต ธมฺมรชฺชทายชฺชํ ปตฺวา พุโทฺธ ชาโต’’ติฯ ตสฺมา อายสฺมา อานโนฺท ตาสํ เทวตานํ เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย ตํ อภูตคุณสมฺภาวนํ อนธิวาเสโนฺต อตฺตโน สาวกภาวเมว ทีเปตุํ อาห ‘‘เอวํ เม สุตํ เอกํ สมยํ ภควา …เป.… อชฺฌภาสี’’ติฯ เอตฺถนฺตเร ปญฺจ อรหนฺตสตานิ อเนกานิ จ เทวตาสหสฺสานิ ‘‘สาธุ สาธู’’ติ อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อภินนฺทิํสุ, มหาภูมิจาโล อโหสิ, นานาวิธกุสุมวสฺสํ อนฺตลิกฺขโต ปปติ, อญฺญานิ จ พหูนิ อจฺฉริยานิ ปาตุรเหสุํ, พหูนญฺจ เทวตานํ สํเวโค อุปฺปชฺชิ ‘‘ยํ อเมฺหหิ ภควโต สมฺมุขา สุตํ, อิทาเนว ตํ ปโรกฺขา ชาต’’นฺติฯ เอวมิทํ อายสฺมตา อานเนฺทน ปฐมมหาสงฺคีติกาเล วทเนฺตนาปิ อิมินา การเณน วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เอตฺตาวตา จ ‘‘วุตฺตํ เยน ยทา ยสฺมา, เจตํ วตฺวา อิมํ วิธิ’’นฺติ อิมิสฺสา อทฺธคาถาย อโตฺถ ปกาสิโต โหติฯ
Idāni ‘‘kasmā vutta’’nti ettha vuccate – yasmā ayamāyasmā mahākassapattherena nidānaṃ puṭṭho, tasmānena taṃ nidānaṃ ādito pabhuti vitthāretuṃ vuttaṃ. Yasmā vā ānandaṃ dhammāsane nisinnaṃ vasīgaṇaparivutaṃ disvā ekaccānaṃ devatānaṃ cittamuppannaṃ ‘‘ayamāyasmā vedehamuni pakatiyāpi sakyakulamanvayo bhagavato dāyādo, bhagavatāpi pañcakkhattuṃ etadagge niddiṭṭho, catūhi acchariyaabbhutadhammehi samannāgato, catunnaṃ parisānaṃ piyo manāpo, idāni maññe bhagavato dhammarajjadāyajjaṃ patvā buddho jāto’’ti. Tasmā āyasmā ānando tāsaṃ devatānaṃ cetasā cetoparivitakkamaññāya taṃ abhūtaguṇasambhāvanaṃ anadhivāsento attano sāvakabhāvameva dīpetuṃ āha ‘‘evaṃ me sutaṃ ekaṃ samayaṃ bhagavā …pe… ajjhabhāsī’’ti. Etthantare pañca arahantasatāni anekāni ca devatāsahassāni ‘‘sādhu sādhū’’ti āyasmantaṃ ānandaṃ abhinandiṃsu, mahābhūmicālo ahosi, nānāvidhakusumavassaṃ antalikkhato papati, aññāni ca bahūni acchariyāni pāturahesuṃ, bahūnañca devatānaṃ saṃvego uppajji ‘‘yaṃ amhehi bhagavato sammukhā sutaṃ, idāneva taṃ parokkhā jāta’’nti. Evamidaṃ āyasmatā ānandena paṭhamamahāsaṅgītikāle vadantenāpi iminā kāraṇena vuttanti veditabbaṃ. Ettāvatā ca ‘‘vuttaṃ yena yadā yasmā, cetaṃ vatvā imaṃ vidhi’’nti imissā addhagāthāya attho pakāsito hoti.
เอวมิจฺจาทิปาฐวณฺณนา
Evamiccādipāṭhavaṇṇanā
๑. อิทานิ ‘‘เอวมิจฺจาทิปาฐสฺส, อตฺถํ นานปฺปการโต’’ติ เอวมาทิมาติกาย สงฺคหิตตฺถปฺปกาสนตฺถํ วุจฺจเต – เอวนฺติ อยํ สโทฺท อุปมูปเทสสมฺปหํสนครหณวจนสมฺปฎิคฺคหาการนิทสฺสนาวธารณาทีสุ อเตฺถสุ ทฎฺฐโพฺพฯ ตถา เหส ‘‘เอวํ ชาเตน มเจฺจน, กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุ’’นฺติ เอวมาทีสุ (ธ. ป. ๕๓) อุปมายํ ทิสฺสติฯ ‘‘เอวํ เต อภิกฺกมิตพฺพํ, เอวํ เต ปฎิกฺกมิตพฺพ’’นฺติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๑๒๒) อุปเทเสฯ ‘‘เอวเมตํ ภควา, เอวเมตํ สุคตา’’ติ เอวมาทีสุ (อ. นิ. ๓.๖๖) สมฺปหํสเนฯ ‘‘เอวเมวํ ปนายํ วสลี ยสฺมิํ วา ตสฺมิํ วา ตสฺส มุณฺฑกสฺส สมณกสฺส วณฺณํ ภาสตี’’ติ เอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๘๗) ครหเณฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺตติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุ’’นฺติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑) วจนสมฺปฎิคฺคเหฯ ‘‘เอวํ พฺยา โข อหํ, ภเนฺต, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามี’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๙๘) อากาเรฯ ‘‘เอหิ ตฺวํ, มาณวก, เยน สมโณ อานโนฺท เตนุปสงฺกม, อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน สมณํ อานนฺทํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉฯ ‘สุโภ มาณโว โตเทยฺยปุโตฺต ภวนฺตํ อานนฺทํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉตี’ติ, เอวญฺจ วเทหิ สาธุ กิร ภวํ อานโนฺท เยน สุภสฺส มาณวสฺส โตเทยฺยปุตฺตสฺส นิเวสนํ, เตนุปสงฺกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’ติ เอวมาทีสุ (ที. นิ. ๑.๔๔๕) นิทสฺสเนฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญถ กาลามา, อิเม ธมฺมา กุสลา วา อกุสลา วาติ? อกุสลา, ภเนฺตฯ สาวชฺชา วา อนวชฺชา วาติ? สาวชฺชา, ภเนฺตฯ วิญฺญุครหิตา วา วิญฺญุปฺปสตฺถา วาติ? วิญฺญุครหิตา, ภเนฺตฯ สมตฺตา สมาทินฺนา อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนฺติ โน วา, กถํ โว เอตฺถ โหตีติ? สมตฺตา, ภเนฺต, สมาทินฺนา อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนฺติ, เอวํ โน เอตฺถ โหตี’’ติ เอวมาทีสุ (อ. นิ. ๓.๖๖) อวธารเณฯ อิธ ปน อาการนิทสฺสนาวธารเณสุ ทฎฺฐโพฺพฯ
1. Idāni ‘‘evamiccādipāṭhassa, atthaṃ nānappakārato’’ti evamādimātikāya saṅgahitatthappakāsanatthaṃ vuccate – evanti ayaṃ saddo upamūpadesasampahaṃsanagarahaṇavacanasampaṭiggahākāranidassanāvadhāraṇādīsu atthesu daṭṭhabbo. Tathā hesa ‘‘evaṃ jātena maccena, kattabbaṃ kusalaṃ bahu’’nti evamādīsu (dha. pa. 53) upamāyaṃ dissati. ‘‘Evaṃ te abhikkamitabbaṃ, evaṃ te paṭikkamitabba’’ntiādīsu (a. ni. 4.122) upadese. ‘‘Evametaṃ bhagavā, evametaṃ sugatā’’ti evamādīsu (a. ni. 3.66) sampahaṃsane. ‘‘Evamevaṃ panāyaṃ vasalī yasmiṃ vā tasmiṃ vā tassa muṇḍakassa samaṇakassa vaṇṇaṃ bhāsatī’’ti evamādīsu (saṃ. ni. 1.187) garahaṇe. ‘‘Evaṃ, bhanteti kho te bhikkhū bhagavato paccassosu’’nti evamādīsu (ma. ni. 1.1) vacanasampaṭiggahe. ‘‘Evaṃ byā kho ahaṃ, bhante, bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmī’’ti evamādīsu (ma. ni. 1.398) ākāre. ‘‘Ehi tvaṃ, māṇavaka, yena samaṇo ānando tenupasaṅkama, upasaṅkamitvā mama vacanena samaṇaṃ ānandaṃ appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ puccha. ‘Subho māṇavo todeyyaputto bhavantaṃ ānandaṃ appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ pucchatī’ti, evañca vadehi sādhu kira bhavaṃ ānando yena subhassa māṇavassa todeyyaputtassa nivesanaṃ, tenupasaṅkamatu anukampaṃ upādāyā’’ti evamādīsu (dī. ni. 1.445) nidassane. ‘‘Taṃ kiṃ maññatha kālāmā, ime dhammā kusalā vā akusalā vāti? Akusalā, bhante. Sāvajjā vā anavajjā vāti? Sāvajjā, bhante. Viññugarahitā vā viññuppasatthā vāti? Viññugarahitā, bhante. Samattā samādinnā ahitāya dukkhāya saṃvattanti no vā, kathaṃ vo ettha hotīti? Samattā, bhante, samādinnā ahitāya dukkhāya saṃvattanti, evaṃ no ettha hotī’’ti evamādīsu (a. ni. 3.66) avadhāraṇe. Idha pana ākāranidassanāvadhāraṇesu daṭṭhabbo.
ตตฺถ อาการเตฺถน เอวํ-สเทฺทน เอตมตฺถํ ทีเปติ – นานานยนิปุณมเนกชฺฌาสยสมุฎฺฐานํ อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนํ วิวิธปาฎิหาริยํ ธมฺมตฺถเทสนาปฎิเวธคมฺภีรํ สพฺพสตฺตานํ สกสกภาสานุรูปโต โสตปถมาคจฺฉนฺตํ ตสฺส ภควโต วจนํ สพฺพปฺปกาเรน โก สมโตฺถ วิญฺญาตุํ, สพฺพถาเมน ปน โสตุกามตํ ชเนตฺวาปิ เอวํ เม สุตํ, มยาปิ เอเกนากาเรน สุตนฺติฯ
Tattha ākāratthena evaṃ-saddena etamatthaṃ dīpeti – nānānayanipuṇamanekajjhāsayasamuṭṭhānaṃ atthabyañjanasampannaṃ vividhapāṭihāriyaṃ dhammatthadesanāpaṭivedhagambhīraṃ sabbasattānaṃ sakasakabhāsānurūpato sotapathamāgacchantaṃ tassa bhagavato vacanaṃ sabbappakārena ko samattho viññātuṃ, sabbathāmena pana sotukāmataṃ janetvāpi evaṃ me sutaṃ, mayāpi ekenākārena sutanti.
นิทสฺสนเตฺถน ‘‘นาหํ สยมฺภู, น มยา อิทํ สจฺฉิกต’’นฺติ อตฺตานํ ปริโมเจโนฺต ‘‘เอวํ เม สุตํ, มยาปิ เอวํ สุต’’นฺติ อิทานิ วตฺตพฺพํ สกลสุตฺตํ นิทเสฺสติฯ
Nidassanatthena ‘‘nāhaṃ sayambhū, na mayā idaṃ sacchikata’’nti attānaṃ parimocento ‘‘evaṃ me sutaṃ, mayāpi evaṃ suta’’nti idāni vattabbaṃ sakalasuttaṃ nidasseti.
อวธารณเตฺถน ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ พหุสฺสุตานํ ยทิทํ อานโนฺท, คติมนฺตานํ, สติมนฺตานํ, ธิติมนฺตานํ, อุปฎฺฐากานํ ยทิทํ อานโนฺท’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๑๙-๒๒๓) เอวํ ภควตา ปสตฺถภาวานุรูปํ อตฺตโน ธารณพลํ ทเสฺสโนฺต สตฺตานํ โสตุกมฺยตํ ชเนติ ‘‘เอวํ เม สุตํ, ตญฺจ โข อตฺถโต วา พฺยญฺชนโต วา อนูนมนธิกํ, เอวเมว, น อญฺญถา ทฎฺฐพฺพ’’นฺติฯ
Avadhāraṇatthena ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ bahussutānaṃ yadidaṃ ānando, gatimantānaṃ, satimantānaṃ, dhitimantānaṃ, upaṭṭhākānaṃ yadidaṃ ānando’’ti (a. ni. 1.219-223) evaṃ bhagavatā pasatthabhāvānurūpaṃ attano dhāraṇabalaṃ dassento sattānaṃ sotukamyataṃ janeti ‘‘evaṃ me sutaṃ, tañca kho atthato vā byañjanato vā anūnamanadhikaṃ, evameva, na aññathā daṭṭhabba’’nti.
เม-สโทฺท ตีสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ ตถา หิสฺส ‘‘คาถาภิคีตํ เม อโภชเนยฺย’’นฺติ เอวมาทีสุ (สุ. นิ. ๘๑) มยาติ อโตฺถฯ ‘‘สาธุ เม, ภเนฺต, ภควา สํขิเตฺตน ธมฺมํ เทเสตู’’ติ เอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๘๘) มยฺหนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ธมฺมทายาทา เม, ภิกฺขเว, ภวถา’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๙) มมาติ อโตฺถฯ อิธ ปน ‘‘มยา สุต’’นฺติ จ ‘‘มม สุต’’นฺติ จ อตฺถทฺวเย ยุชฺชติฯ
Me-saddo tīsu atthesu dissati. Tathā hissa ‘‘gāthābhigītaṃ me abhojaneyya’’nti evamādīsu (su. ni. 81) mayāti attho. ‘‘Sādhu me, bhante, bhagavā saṃkhittena dhammaṃ desetū’’ti evamādīsu (saṃ. ni. 4.88) mayhanti attho. ‘‘Dhammadāyādā me, bhikkhave, bhavathā’’ti evamādīsu (ma. ni. 1.29) mamāti attho. Idha pana ‘‘mayā suta’’nti ca ‘‘mama suta’’nti ca atthadvaye yujjati.
สุตนฺติ อยํ สุตสโทฺท สอุปสโคฺค อนุปสโคฺค จ คมนขฺยาตราคาภิภูตูปจิตานุโยคโสตวิเญฺญยฺยโสตทฺวารวิญฺญาตาทิอเนกตฺถปฺปเภโทฯ ตถา หิสฺส ‘‘เสนาย ปสุโต’’ติ เอวมาทีสุ คจฺฉโนฺตติ อโตฺถฯ ‘‘สุตธมฺมสฺส ปสฺสโต’’ติ เอวมาทีสุ ขฺยาตธมฺมสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘อวสฺสุตา อวสฺสุตสฺสา’’ติ เอวมาทีสุ (ปาจิ. ๖๕๗) ราคาภิภูตา ราคาภิภูตสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘ตุเมฺหหิ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปก’’นฺติ เอวมาทีสุ (ขุ. ปา. ๗.๑๒) อุปจิตนฺติ อโตฺถฯ ‘‘เย ฌานปฺปสุตา ธีรา’’ติ เอวมาทีสุ (ธ. ป. ๑๘๑) ฌานานุยุตฺตาติ อโตฺถฯ ‘‘ทิฎฺฐํ สุตํ มุต’’นฺติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๔๑) โสตวิเญฺญยฺยนฺติ อโตฺถฯ ‘‘สุตธโร สุตสนฺนิจโย’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๓๙) โสตทฺวารานุสารวิญฺญาตธโรติ อโตฺถฯ อิธ ปน สุตนฺติ โสตวิญฺญาณปุพฺพงฺคมาย วิญฺญาณวีถิยา อุปธาริตนฺติ วา อุปธารณนฺติ วาติ อโตฺถฯ ตตฺถ ยทา เม-สทฺทสฺส มยาติ อโตฺถ, ตทา ‘‘เอวํ มยา สุตํ, โสตวิญฺญาณปุพฺพงฺคมาย วิญฺญาณวีถิยา อุปธาริต’’นฺติ ยุชฺชติฯ ยทา เม-สทฺทสฺส มมาติ อโตฺถ, ตทา ‘‘เอวํ มม สุตํ โสตวิญฺญาณปุพฺพงฺคมาย วิญฺญาณวีถิยา อุปธารณ’’นฺติ ยุชฺชติฯ
Sutanti ayaṃ sutasaddo saupasaggo anupasaggo ca gamanakhyātarāgābhibhūtūpacitānuyogasotaviññeyyasotadvāraviññātādianekatthappabhedo. Tathā hissa ‘‘senāya pasuto’’ti evamādīsu gacchantoti attho. ‘‘Sutadhammassa passato’’ti evamādīsu khyātadhammassāti attho. ‘‘Avassutā avassutassā’’ti evamādīsu (pāci. 657) rāgābhibhūtā rāgābhibhūtassāti attho. ‘‘Tumhehi puññaṃ pasutaṃ anappaka’’nti evamādīsu (khu. pā. 7.12) upacitanti attho. ‘‘Ye jhānappasutā dhīrā’’ti evamādīsu (dha. pa. 181) jhānānuyuttāti attho. ‘‘Diṭṭhaṃ sutaṃ muta’’nti evamādīsu (ma. ni. 1.241) sotaviññeyyanti attho. ‘‘Sutadharo sutasannicayo’’ti evamādīsu (ma. ni. 1.339) sotadvārānusāraviññātadharoti attho. Idha pana sutanti sotaviññāṇapubbaṅgamāya viññāṇavīthiyā upadhāritanti vā upadhāraṇanti vāti attho. Tattha yadā me-saddassa mayāti attho, tadā ‘‘evaṃ mayā sutaṃ, sotaviññāṇapubbaṅgamāya viññāṇavīthiyā upadhārita’’nti yujjati. Yadā me-saddassa mamāti attho, tadā ‘‘evaṃ mama sutaṃ sotaviññāṇapubbaṅgamāya viññāṇavīthiyā upadhāraṇa’’nti yujjati.
เอวเมเตสุ ตีสุ ปเทสุ เอวนฺติ โสตวิญฺญาณกิจฺจนิทสฺสนํฯ เมติ วุตฺตวิญฺญาณสมงฺคีปุคฺคลนิทสฺสนํฯ สุตนฺติ อสฺสวนภาวปฺปฎิเกฺขปโต อนูนานธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสนํฯ ตถา เอวนฺติ สวนาทิจิตฺตานํ นานปฺปกาเรน อารมฺมเณ ปวตฺตภาวนิทสฺสนํฯ เมติ อตฺตนิทสฺสนํฯ สุตนฺติ ธมฺมนิทสฺสนํฯ
Evametesu tīsu padesu evanti sotaviññāṇakiccanidassanaṃ. Meti vuttaviññāṇasamaṅgīpuggalanidassanaṃ. Sutanti assavanabhāvappaṭikkhepato anūnānadhikāviparītaggahaṇanidassanaṃ. Tathā evanti savanādicittānaṃ nānappakārena ārammaṇe pavattabhāvanidassanaṃ. Meti attanidassanaṃ. Sutanti dhammanidassanaṃ.
ตถา เอวนฺติ นิทฺทิสิตพฺพธมฺมนิทสฺสนํฯ เมติ ปุคฺคลนิทสฺสนํฯ สุตนฺติ ปุคฺคลกิจฺจนิทสฺสนํฯ
Tathā evanti niddisitabbadhammanidassanaṃ. Meti puggalanidassanaṃ. Sutanti puggalakiccanidassanaṃ.
ตถา เอวนฺติ วีถิจิตฺตานํ อาการปญฺญตฺติวเสน นานปฺปการนิเทฺทโสฯ เมติ กตฺตารนิเทฺทโสฯ สุตนฺติ วิสยนิเทฺทโสฯ
Tathā evanti vīthicittānaṃ ākārapaññattivasena nānappakāraniddeso. Meti kattāraniddeso. Sutanti visayaniddeso.
ตถา เอวนฺติ ปุคฺคลกิจฺจนิเทฺทโสฯ สุตนฺติ วิญฺญาณกิจฺจนิเทฺทโสฯ เมติ อุภยกิจฺจยุตฺตปุคฺคลนิเทฺทโสฯ
Tathā evanti puggalakiccaniddeso. Sutanti viññāṇakiccaniddeso. Meti ubhayakiccayuttapuggalaniddeso.
ตถา เอวนฺติ ภาวนิเทฺทโสฯ เมติ ปุคฺคลนิเทฺทโสฯ สุตนฺติ ตสฺส กิจฺจนิเทฺทโสฯ
Tathā evanti bhāvaniddeso. Meti puggalaniddeso. Sutanti tassa kiccaniddeso.
ตตฺถ เอวนฺติ จ เมติ จ สจฺฉิกฎฺฐปรมตฺถวเสน อวิชฺชมานปญฺญตฺติฯ สุตนฺติ วิชฺชมานปญฺญตฺติฯ ตถา เอวนฺติ จ เมติ จ ตํ ตํ อุปาทาย วตฺตพฺพโต อุปาทาปญฺญตฺติฯ สุตนฺติ ทิฎฺฐาทีนิ อุปนิธาย วตฺตพฺพโต อุปนิธาปญฺญตฺติ ฯ
Tattha evanti ca meti ca sacchikaṭṭhaparamatthavasena avijjamānapaññatti. Sutanti vijjamānapaññatti. Tathā evanti ca meti ca taṃ taṃ upādāya vattabbato upādāpaññatti. Sutanti diṭṭhādīni upanidhāya vattabbato upanidhāpaññatti .
เอตฺถ จ เอวนฺติ วจเนน อสโมฺมหํ ทีเปติ, สุตนฺติ วจเนน สุตสฺส อสโมฺมสํฯ ตถา เอวนฺติ วจเนน โยนิโสมนสิการํ ทีเปติ อโยนิโส มนสิกโรโต นานปฺปการปฺปฎิเวธาภาวโตฯ สุตนฺติ วจเนน อวิเกฺขปํ ทีเปติ วิกฺขิตฺตจิตฺตสฺส สวนาภาวโตฯ ตถา หิ วิกฺขิตฺตจิโตฺต ปุคฺคโล สพฺพสมฺปตฺติยา วุจฺจมาโนปิ ‘‘น มยา สุตํ, ปุน ภณถา’’ติ ภณติฯ โยนิโสมนสิกาเรน เจตฺถ อตฺตสมฺมาปณิธิํ ปุเพฺพ กตปุญฺญตญฺจ สาเธติ, อวิเกฺขเปน สทฺธมฺมสฺสวนํ สปฺปุริสูปนิสฺสยญฺจฯ เอวนฺติ จ อิมินา ภทฺทเกน อากาเรน ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสมฺปตฺติํ อตฺตโน ทีเปติ, สุตนฺติ สวนโยเคน ปุริมจกฺกทฺวยสมฺปตฺติํฯ ตถา อาสยสุทฺธิํ ปโยคสุทฺธิญฺจ, ตาย จ อาสยสุทฺธิยา อธิคมพฺยตฺติํ, ปโยคสุทฺธิยา อาคมพฺยตฺติํฯ
Ettha ca evanti vacanena asammohaṃ dīpeti, sutanti vacanena sutassa asammosaṃ. Tathā evanti vacanena yonisomanasikāraṃ dīpeti ayoniso manasikaroto nānappakārappaṭivedhābhāvato. Sutanti vacanena avikkhepaṃ dīpeti vikkhittacittassa savanābhāvato. Tathā hi vikkhittacitto puggalo sabbasampattiyā vuccamānopi ‘‘na mayā sutaṃ, puna bhaṇathā’’ti bhaṇati. Yonisomanasikārena cettha attasammāpaṇidhiṃ pubbe katapuññatañca sādheti, avikkhepena saddhammassavanaṃ sappurisūpanissayañca. Evanti ca iminā bhaddakena ākārena pacchimacakkadvayasampattiṃ attano dīpeti, sutanti savanayogena purimacakkadvayasampattiṃ. Tathā āsayasuddhiṃ payogasuddhiñca, tāya ca āsayasuddhiyā adhigamabyattiṃ, payogasuddhiyā āgamabyattiṃ.
เอวนฺติ จ อิมินา นานปฺปการปฎิเวธทีปเกน วจเนน อตฺตโน อตฺถปฎิภานปฎิสมฺภิทาสมฺปทํ ทีเปติฯ สุตนฺติ อิมินา โสตพฺพเภทปฎิเวธทีปเกน ธมฺมนิรุตฺติปฎิสมฺภิทาสมฺปทํ ทีเปติฯ เอวนฺติ จ อิทํ โยนิโสมนสิการทีปกํ วจนํ ภณโนฺต ‘‘เอเต มยา ธมฺมา มนสานุเปกฺขิตา ทิฎฺฐิยา สุปฺปฎิวิทฺธา’’ติ ญาเปติฯ สุตนฺติ อิทํ สวนโยคทีปกวจนํ ภณโนฺต ‘‘พหู มยา ธมฺมา สุตา ธาตา วจสา ปริจิตา’’ติ ญาเปติฯ ตทุภเยนปิ อตฺถพฺยญฺชนปาริปูริํ ทีเปโนฺต สวเน อาทรํ ชเนติฯ
Evanti ca iminā nānappakārapaṭivedhadīpakena vacanena attano atthapaṭibhānapaṭisambhidāsampadaṃ dīpeti. Sutanti iminā sotabbabhedapaṭivedhadīpakena dhammaniruttipaṭisambhidāsampadaṃ dīpeti. Evanti ca idaṃ yonisomanasikāradīpakaṃ vacanaṃ bhaṇanto ‘‘ete mayā dhammā manasānupekkhitā diṭṭhiyā suppaṭividdhā’’ti ñāpeti. Sutanti idaṃ savanayogadīpakavacanaṃ bhaṇanto ‘‘bahū mayā dhammā sutā dhātā vacasā paricitā’’ti ñāpeti. Tadubhayenapi atthabyañjanapāripūriṃ dīpento savane ādaraṃ janeti.
เอวํ เม สุตนฺติ อิมินา ปน สกเลนปิ วจเนน อายสฺมา อานโนฺท ตถาคตปฺปเวทิตํ ธมฺมํ อตฺตโน อทหโนฺต อสปฺปุริสภูมิํ, อติกฺกมติ, สาวกตฺตํ ปฎิชานโนฺต สปฺปุริสภูมิํ โอกฺกมติฯ ตถา อสทฺธมฺมา จิตฺตํ วุฎฺฐาเปติ, สทฺธเมฺม จิตฺตํ ปติฎฺฐาเปติฯ ‘‘เกวลํ สุตเมเวตํ มยา, ตเสฺสว ตุ ภควโต วจนํ อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสา’’ติ จ ทีเปโนฺต อตฺตานํ ปริโมเจติ, สตฺถารํ อปทิสติ, ชินวจนํ อเปฺปติ, ธมฺมเนตฺติํ ปติฎฺฐาเปติฯ
Evaṃ me sutanti iminā pana sakalenapi vacanena āyasmā ānando tathāgatappaveditaṃ dhammaṃ attano adahanto asappurisabhūmiṃ, atikkamati, sāvakattaṃ paṭijānanto sappurisabhūmiṃ okkamati. Tathā asaddhammā cittaṃ vuṭṭhāpeti, saddhamme cittaṃ patiṭṭhāpeti. ‘‘Kevalaṃ sutamevetaṃ mayā, tasseva tu bhagavato vacanaṃ arahato sammāsambuddhassā’’ti ca dīpento attānaṃ parimoceti, satthāraṃ apadisati, jinavacanaṃ appeti, dhammanettiṃ patiṭṭhāpeti.
อปิจ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติ อตฺตนา อุปฺปาทิตภาวํ อปฺปฎิชานโนฺต ปุริมสฺสวนํ วิวรโนฺต ‘‘สมฺมุขา ปฎิคฺคหิตมิทํ มยา ตสฺส ภควโต จตุเวสารชฺชวิสารทสฺส ทสพลธรสฺส อาสภฎฺฐานฎฺฐายิโน สีหนาทนาทิโน สพฺพสตฺตุตฺตมสฺส ธมฺมิสฺสรสฺส ธมฺมราชสฺส ธมฺมาธิปติโน ธมฺมทีปสฺส ธมฺมปฺปฎิสรณสฺส สทฺธมฺมวรจกฺกวตฺติโน สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ น เอตฺถ อเตฺถ วา ธเมฺม วา ปเท วา พฺยญฺชเน วา กงฺขา วา วิมติ วา กาตพฺพา’’ติ สพฺพเทวมนุสฺสานํ อิมสฺมิํ ธเมฺม อสฺสทฺธิยํ วินาเสติ, สทฺธาสมฺปทํ อุปฺปาเทตีติ เวทิตโพฺพฯ โหติ เจตฺถ –
Apica ‘‘evaṃ me suta’’nti attanā uppāditabhāvaṃ appaṭijānanto purimassavanaṃ vivaranto ‘‘sammukhā paṭiggahitamidaṃ mayā tassa bhagavato catuvesārajjavisāradassa dasabaladharassa āsabhaṭṭhānaṭṭhāyino sīhanādanādino sabbasattuttamassa dhammissarassa dhammarājassa dhammādhipatino dhammadīpassa dhammappaṭisaraṇassa saddhammavaracakkavattino sammāsambuddhassa. Na ettha atthe vā dhamme vā pade vā byañjane vā kaṅkhā vā vimati vā kātabbā’’ti sabbadevamanussānaṃ imasmiṃ dhamme assaddhiyaṃ vināseti, saddhāsampadaṃ uppādetīti veditabbo. Hoti cettha –
‘‘วินาสยติ อสฺสทฺธํ, สทฺธํ วเฑฺฒติ สาสเน;
‘‘Vināsayati assaddhaṃ, saddhaṃ vaḍḍheti sāsane;
เอวํ เม สุตมิเจฺจวํ, วทํ โคตมสาวโก’’ติฯ
Evaṃ me sutamiccevaṃ, vadaṃ gotamasāvako’’ti.
เอกนฺติ คณนปริเจฺฉทนิเทฺทโสฯ สมยนฺติ ปริจฺฉินฺนนิเทฺทโสฯ เอกํ สมยนฺติ อนิยมิตปริทีปนํฯ ตตฺถ สมยสโทฺท –
Ekanti gaṇanaparicchedaniddeso. Samayanti paricchinnaniddeso. Ekaṃ samayanti aniyamitaparidīpanaṃ. Tattha samayasaddo –
สมวาเย ขเณ กาเล, สมูเห เหตุทิฎฺฐิสุ;
Samavāye khaṇe kāle, samūhe hetudiṭṭhisu;
ปฎิลาเภ ปหาเน จ, ปฎิเวเธ จ ทิสฺสติฯ
Paṭilābhe pahāne ca, paṭivedhe ca dissati.
ตถา หิสฺส ‘‘อเปฺปว นาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยาม กาลญฺจ สมยญฺจ อุปาทายา’’ติ เอวมาทีสุ (ที. นิ. ๑.๔๔๗) สมวาโย อโตฺถฯ ‘‘เอโกว โข, ภิกฺขเว, ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสายา’’ติ เอวมาทีสุ (อ. นิ. ๘.๒๙) ขโณฯ ‘‘อุณฺหสมโย ปริฬาหสมโย’’ติ เอวมาทีสุ (ปาจิ. ๓๕๘) กาโลฯ ‘‘มหาสมโย ปวนสฺมิ’’นฺติ เอวมาทีสุ สมูโหฯ ‘‘สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลิ, อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสิ, ภควา โข สาวตฺถิยํ วิหรติ, โสปิ มํ ชานิสฺสติ, ‘ภทฺทาลิ, นาม ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี’ติ, อยมฺปิ โข เต ภทฺทาลิ สมโย อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสี’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๒.๑๓๕) เหตุฯ ‘‘เตน โข ปน สมเยน อุคฺคาหมาโน ปริพฺพาชโก สมณมุณฺฑิกาปุโตฺต สมยปฺปวาทเก ตินฺทุกาจีเร เอกสาลเก มลฺลิกาย อาราเม ปฎิวสตี’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๒.๒๖๐) ทิฎฺฐิฯ
Tathā hissa ‘‘appeva nāma svepi upasaṅkameyyāma kālañca samayañca upādāyā’’ti evamādīsu (dī. ni. 1.447) samavāyo attho. ‘‘Ekova kho, bhikkhave, khaṇo ca samayo ca brahmacariyavāsāyā’’ti evamādīsu (a. ni. 8.29) khaṇo. ‘‘Uṇhasamayo pariḷāhasamayo’’ti evamādīsu (pāci. 358) kālo. ‘‘Mahāsamayo pavanasmi’’nti evamādīsu samūho. ‘‘Samayopi kho te, bhaddāli, appaṭividdho ahosi, bhagavā kho sāvatthiyaṃ viharati, sopi maṃ jānissati, ‘bhaddāli, nāma bhikkhu satthusāsane sikkhāya aparipūrakārī’ti, ayampi kho te bhaddāli samayo appaṭividdho ahosī’’ti evamādīsu (ma. ni. 2.135) hetu. ‘‘Tena kho pana samayena uggāhamāno paribbājako samaṇamuṇḍikāputto samayappavādake tindukācīre ekasālake mallikāya ārāme paṭivasatī’’ti evamādīsu (ma. ni. 2.260) diṭṭhi.
‘‘ทิเฎฺฐ ธเมฺม จ โย อโตฺถ, โย จโตฺถ สมฺปรายิโก;
‘‘Diṭṭhe dhamme ca yo attho, yo cattho samparāyiko;
อตฺถาภิสมยา ธีโร, ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๒๙) –
Atthābhisamayā dhīro, paṇḍitoti pavuccatī’’ti. (saṃ. ni. 1.129) –
เอวมาทีสุ ปฎิลาโภฯ ‘‘สมฺมา มานาภิสมยา อนฺตมกาสิ ทุกฺขสฺสา’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๘) ปหานํฯ ‘‘ทุกฺขสฺส ปีฬนโฎฺฐ สงฺขตโฎฺฐ สนฺตาปโฎฺฐ วิปริณามโฎฺฐ อภิสมยโฎฺฐ’’ติ เอวมาทีสุ (ปฎิ. ม. ๒.๘) ปฎิเวโธฯ อิธ ปนสฺส กาโล อโตฺถฯ เตน เอกํ สมยนฺติ สํวจฺฉรอุตุมาสอฑฺฒมาสรตฺติทิวปุพฺพณฺหมชฺฌนฺหิกสายนฺหปฐมมชฺฌิม- ปจฺฉิมยามมุหุตฺตาทีสุ กาลเขฺยสุ สมเยสุ เอกํ สมยนฺติ ทีเปติฯ
Evamādīsu paṭilābho. ‘‘Sammā mānābhisamayā antamakāsi dukkhassā’’ti evamādīsu (ma. ni. 1.28) pahānaṃ. ‘‘Dukkhassa pīḷanaṭṭho saṅkhataṭṭho santāpaṭṭho vipariṇāmaṭṭho abhisamayaṭṭho’’ti evamādīsu (paṭi. ma. 2.8) paṭivedho. Idha panassa kālo attho. Tena ekaṃ samayanti saṃvaccharautumāsaaḍḍhamāsarattidivapubbaṇhamajjhanhikasāyanhapaṭhamamajjhima- pacchimayāmamuhuttādīsu kālakhyesu samayesu ekaṃ samayanti dīpeti.
เย วา อิเม คโพฺภกฺกนฺติสมโย ชาติสมโย สํเวคสมโย อภินิกฺขมนสมโย ทุกฺกรการิกสมโย มารวิชยสมโย อภิสโมฺพธิสมโย ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารสมโย เทสนาสมโย ปรินิพฺพานสมโยติ เอวมาทโย ภควโต เทวมนุเสฺสสุ อติวิย ปกาสา อเนกกาลขฺยา เอว สมยาฯ เตสุ สมเยสุ เทสนาสมยสงฺขาตํ เอกํ สมยนฺติ วุตฺตํ โหติฯ โย จายํ ญาณกรุณากิจฺจสมเยสุ กรุณากิจฺจสมโย, อตฺตหิตปรหิตปฺปฎิปตฺติสมเยสุ ปรหิตปฺปฎิปตฺติสมโย, สนฺนิปติตานํ กรณียทฺวยสมเยสุ ธมฺมีกถาสมโย, เทสนาปฎิปตฺติสมเยสุ เทสนาสมโย, เตสุปิ สมเยสุ ยํ กิญฺจิ สนฺธาย ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ วุตฺตํ โหติฯ
Ye vā ime gabbhokkantisamayo jātisamayo saṃvegasamayo abhinikkhamanasamayo dukkarakārikasamayo māravijayasamayo abhisambodhisamayo diṭṭhadhammasukhavihārasamayo desanāsamayo parinibbānasamayoti evamādayo bhagavato devamanussesu ativiya pakāsā anekakālakhyā eva samayā. Tesu samayesu desanāsamayasaṅkhātaṃ ekaṃ samayanti vuttaṃ hoti. Yo cāyaṃ ñāṇakaruṇākiccasamayesu karuṇākiccasamayo, attahitaparahitappaṭipattisamayesu parahitappaṭipattisamayo, sannipatitānaṃ karaṇīyadvayasamayesu dhammīkathāsamayo, desanāpaṭipattisamayesu desanāsamayo, tesupi samayesu yaṃ kiñci sandhāya ‘‘ekaṃ samaya’’nti vuttaṃ hoti.
เอตฺถาห – อถ กสฺมา ยถา อภิธเมฺม ‘‘ยสฺมิํ สมเย กามาวจร’’นฺติ จ อิโต อเญฺญสุ สุตฺตปเทสุ ‘‘ยสฺมิํ สมเย, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหี’’ติ จ ภุมฺมวจเนน นิเทฺทโส กโต, วินเย จ ‘‘เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา’’ติ กรณวจเนน, ตถา อกตฺวา อิธ ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ อุปโยควจนนิเทฺทโส กโตติฯ ตตฺถ ตถา, อิธ จ อญฺญถา อตฺถสมฺภวโตฯ ตตฺถ หิ อภิธเมฺม อิโต อเญฺญสุ สุตฺตปเทสุ จ อธิกรณโตฺถ ภาเวนภาวลกฺขณโตฺถ จ สมฺภวติฯ อธิกรณญฺหิ กาลโตฺถ สมูหโตฺถ จ สมโย, ตตฺถ วุตฺตานํ ผสฺสาทิธมฺมานํ ขณสมวายเหตุสงฺขาตสฺส จ สมยสฺส ภาเวน เตสํ ภาโว ลกฺขียติ, ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ ตตฺถ ภุมฺมวจนนิเทฺทโส กโตฯ
Etthāha – atha kasmā yathā abhidhamme ‘‘yasmiṃ samaye kāmāvacara’’nti ca ito aññesu suttapadesu ‘‘yasmiṃ samaye, bhikkhave, bhikkhu vivicceva kāmehī’’ti ca bhummavacanena niddeso kato, vinaye ca ‘‘tena samayena buddho bhagavā’’ti karaṇavacanena, tathā akatvā idha ‘‘ekaṃ samaya’’nti upayogavacananiddeso katoti. Tattha tathā, idha ca aññathā atthasambhavato. Tattha hi abhidhamme ito aññesu suttapadesu ca adhikaraṇattho bhāvenabhāvalakkhaṇattho ca sambhavati. Adhikaraṇañhi kālattho samūhattho ca samayo, tattha vuttānaṃ phassādidhammānaṃ khaṇasamavāyahetusaṅkhātassa ca samayassa bhāvena tesaṃ bhāvo lakkhīyati, tasmā tadatthajotanatthaṃ tattha bhummavacananiddeso kato.
วินเย จ เหตฺวโตฺถ กรณโตฺถ จ สมฺภวติฯ โย หิ โส สิกฺขาปทปญฺญตฺติสมโย สาริปุตฺตาทีหิปิ ทุพฺพิเญฺญโยฺย, เตน สมเยน เหตุภูเตน กรณภูเตน จ สิกฺขาปทานิ ปญฺญเปโนฺต สิกฺขาปทปญฺญตฺติเหตุญฺจ อเปกฺขมาโน ภควา ตตฺถ ตตฺถ วิหาสิ, ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ ตตฺถ กรณวจนนิเทฺทโส กโตฯ
Vinaye ca hetvattho karaṇattho ca sambhavati. Yo hi so sikkhāpadapaññattisamayo sāriputtādīhipi dubbiññeyyo, tena samayena hetubhūtena karaṇabhūtena ca sikkhāpadāni paññapento sikkhāpadapaññattihetuñca apekkhamāno bhagavā tattha tattha vihāsi, tasmā tadatthajotanatthaṃ tattha karaṇavacananiddeso kato.
อิธ ปน อญฺญสฺมิญฺจ เอวํชาติเก สุตฺตนฺตปาเฐ อจฺจนฺตสํโยคโตฺถ สมฺภวติฯ ยญฺหิ สมยํ ภควา อิมํ อญฺญํ วา สุตฺตนฺตํ เทเสสิ, อจฺจนฺตเมว ตํ สมยํ กรุณาวิหาเรน วิหาสิฯ ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ อิธ อุปโยควจนนิเทฺทโส กโตติ วิเญฺญโยฺยฯ โหติ เจตฺถ –
Idha pana aññasmiñca evaṃjātike suttantapāṭhe accantasaṃyogattho sambhavati. Yañhi samayaṃ bhagavā imaṃ aññaṃ vā suttantaṃ desesi, accantameva taṃ samayaṃ karuṇāvihārena vihāsi. Tasmā tadatthajotanatthaṃ idha upayogavacananiddeso katoti viññeyyo. Hoti cettha –
‘‘ตํ ตํ อตฺถมเปกฺขิตฺวา, ภุเมฺมน กรเณน จ;
‘‘Taṃ taṃ atthamapekkhitvā, bhummena karaṇena ca;
อญฺญตฺร สมโย วุโตฺต, อุปโยเคน โส อิธา’’ติฯ
Aññatra samayo vutto, upayogena so idhā’’ti.
ภควาติ คุณวิสิฎฺฐสตฺตุตฺตมครุคารวาธิวจนเมตํฯ ยถาห –
Bhagavāti guṇavisiṭṭhasattuttamagarugāravādhivacanametaṃ. Yathāha –
‘‘ภควาติ วจนํ เสฎฺฐํ, ภควาติ วจนมุตฺตมํ;
‘‘Bhagavāti vacanaṃ seṭṭhaṃ, bhagavāti vacanamuttamaṃ;
ครุ คารวยุโตฺต โส, ภควา เตน วุจฺจตี’’ติฯ
Garu gāravayutto so, bhagavā tena vuccatī’’ti.
จตุพฺพิธญฺหิ นามํ อาวตฺถิกํ, ลิงฺคิกํ, เนมิตฺตกํ, อธิจฺจสมุปฺปนฺนนฺติฯ อธิจฺจสมุปฺปนฺนํ นาม ‘‘ยทิจฺฉก’’นฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ วโจฺฉ ทโมฺม พลิพโทฺธติ เอวมาทิ อาวตฺถิกํ, ทณฺฑี ฉตฺตี สิขี กรีติ เอวมาทิ ลิงฺคิกํ, เตวิโชฺช ฉฬภิโญฺญติ เอวมาทิ เนมิตฺตกํ, สิริวฑฺฒโก ธนวฑฺฒโกติ เอวมาทิ วจนตฺถมนเปกฺขิตฺวา ปวตฺตํ อธิจฺจสมุปฺปนฺนํฯ อิทํ ปน ภควาติ นามํ คุณเนมิตฺตกํ, น มหามายาย, น สุโทฺธทนมหาราเชน, น อสีติยา ญาติสหเสฺสหิ กตํ, น สกฺกสนฺตุสิตาทีหิ เทวตาวิเสเสหิ กตํฯ ยถาห อายสฺมา สาริปุตฺตเตฺถโร ‘‘ภควาติ เนตํ นามํ มาตรา กตํ…เป.… สจฺฉิกา ปญฺญตฺติ ยทิทํ ภควา’’ติ (มหานิ. ๘๔)ฯ
Catubbidhañhi nāmaṃ āvatthikaṃ, liṅgikaṃ, nemittakaṃ, adhiccasamuppannanti. Adhiccasamuppannaṃ nāma ‘‘yadicchaka’’nti vuttaṃ hoti. Tattha vaccho dammo balibaddhoti evamādi āvatthikaṃ, daṇḍī chattī sikhī karīti evamādi liṅgikaṃ, tevijjo chaḷabhiññoti evamādi nemittakaṃ, sirivaḍḍhako dhanavaḍḍhakoti evamādi vacanatthamanapekkhitvā pavattaṃ adhiccasamuppannaṃ. Idaṃ pana bhagavāti nāmaṃ guṇanemittakaṃ, na mahāmāyāya, na suddhodanamahārājena, na asītiyā ñātisahassehi kataṃ, na sakkasantusitādīhi devatāvisesehi kataṃ. Yathāha āyasmā sāriputtatthero ‘‘bhagavāti netaṃ nāmaṃ mātarā kataṃ…pe… sacchikā paññatti yadidaṃ bhagavā’’ti (mahāni. 84).
ยํ คุณเนมิตฺตกเญฺจตํ นามํ, เตสํ คุณานํ ปกาสนตฺถํ อิมํ คาถํ วทนฺติ –
Yaṃ guṇanemittakañcetaṃ nāmaṃ, tesaṃ guṇānaṃ pakāsanatthaṃ imaṃ gāthaṃ vadanti –
‘‘ภคี ภชี ภาคี วิภตฺตวา อิติ,
‘‘Bhagī bhajī bhāgī vibhattavā iti,
อกาสิ ภคฺคนฺติ ครูติ ภาคฺยวา;
Akāsi bhagganti garūti bhāgyavā;
พหูหิ ญาเยหิ สุภาวิตตฺตโน,
Bahūhi ñāyehi subhāvitattano,
ภวนฺตโค โส ภควาติ วุจฺจตี’’ติฯ
Bhavantago so bhagavāti vuccatī’’ti.
นิเทฺทสาทีสุ (มหานิ. ๘๔; จูฬนิ. อชิตมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๒) วุตฺตนเยเนว จสฺส อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Niddesādīsu (mahāni. 84; cūḷani. ajitamāṇavapucchāniddesa 2) vuttanayeneva cassa attho daṭṭhabbo.
อยํ ปน อปโร ปริยาโย –
Ayaṃ pana aparo pariyāyo –
‘‘ภาคฺยวา ภคฺควา ยุโตฺต, ภเคหิ จ วิภตฺตวา;
‘‘Bhāgyavā bhaggavā yutto, bhagehi ca vibhattavā;
ภตฺตวา วนฺตคมโน, ภเวสุ ภควา ตโต’’ติฯ
Bhattavā vantagamano, bhavesu bhagavā tato’’ti.
ตตฺถ ‘‘วณฺณาคโม วณฺณวิปริยาโย’’ติ เอวํ นิรุตฺติลกฺขณํ คเหตฺวา สทฺทนเยน วา ปิโสทราทิปเกฺขปลกฺขณํ คเหตฺวา ยสฺมา โลกิยโลกุตฺตรสุขาภินิพฺพตฺตกํ ทานสีลาทิปารปฺปตฺตํ ภาคฺยมสฺส อตฺถิ, ตสฺมา ภาคฺยวาติ วตฺตเพฺพ ภควาติ วุจฺจตีติ ญาตพฺพํฯ ยสฺมา ปน โลภโทสโมหวิปรีตมนสิการอหิริกาโนตฺตปฺปโกธูปนาหมกฺขปลา- อิสฺสามจฺฉริยมายาสาเฐยฺยถมฺภสารมฺภมานาติมานมทปมาทตณฺหาวิชฺชาติวิธากุสลมูลทุจฺจริต- สํกิเลสมลวิสมสญฺญาวิตกฺกปปญฺจจตุพฺพิธวิปริเยสอาสวคนฺถโอฆโยคอคติตณฺหุปาทาน- ปญฺจเจโตขิลวินิพนฺธนีวรณาภินนฺทนฉวิวาทมูลตณฺหากายสตฺตานุสย- อฎฺฐมิจฺฉตฺตนวตณฺหามูลกทสากุสลกมฺมปถทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิคต- อฎฺฐสตตณฺหาวิจริตปฺปเภทสพฺพทรถปริฬาหกิเลสสตสหสฺสานิ , สเงฺขปโต วา ปญฺจ กิเลสกฺขนฺธอภิสงฺขารมจฺจุเทวปุตฺตมาเร อภญฺชิ, ตสฺมา ภคฺคตฺตา เอเตสํ ปริสฺสยานํ ภคฺควาติ วตฺตเพฺพ ภควาติ วุจฺจติฯ อาห เจตฺถ –
Tattha ‘‘vaṇṇāgamo vaṇṇavipariyāyo’’ti evaṃ niruttilakkhaṇaṃ gahetvā saddanayena vā pisodarādipakkhepalakkhaṇaṃ gahetvā yasmā lokiyalokuttarasukhābhinibbattakaṃ dānasīlādipārappattaṃ bhāgyamassa atthi, tasmā bhāgyavāti vattabbe bhagavāti vuccatīti ñātabbaṃ. Yasmā pana lobhadosamohaviparītamanasikāraahirikānottappakodhūpanāhamakkhapalā- issāmacchariyamāyāsāṭheyyathambhasārambhamānātimānamadapamādataṇhāvijjātividhākusalamūladuccarita- saṃkilesamalavisamasaññāvitakkapapañcacatubbidhavipariyesaāsavaganthaoghayogaagatitaṇhupādāna- pañcacetokhilavinibandhanīvaraṇābhinandanachavivādamūlataṇhākāyasattānusaya- aṭṭhamicchattanavataṇhāmūlakadasākusalakammapathadvāsaṭṭhidiṭṭhigata- aṭṭhasatataṇhāvicaritappabhedasabbadarathapariḷāhakilesasatasahassāni , saṅkhepato vā pañca kilesakkhandhaabhisaṅkhāramaccudevaputtamāre abhañji, tasmā bhaggattā etesaṃ parissayānaṃ bhaggavāti vattabbe bhagavāti vuccati. Āha cettha –
‘‘ภคฺคราโค ภคฺคโทโส, ภคฺคโมโห อนาสโว;
‘‘Bhaggarāgo bhaggadoso, bhaggamoho anāsavo;
ภคฺคาสฺส ปาปกา ธมฺมา, ภควา เตน วุจฺจตี’’ติฯ
Bhaggāssa pāpakā dhammā, bhagavā tena vuccatī’’ti.
ภาคฺยวตาย จสฺส สตปุญฺญลกฺขณธรสฺส รูปกายสมฺปตฺติ ทีปิตา โหติ, ภคฺคโทสตาย ธมฺมกายสมฺปตฺติฯ ตถา โลกิยสริกฺขกานํ พหุมานภาโว, คหฎฺฐปพฺพชิเตหิ อภิคมนียตาฯ ตถา อภิคตานญฺจ เนสํ กายจิตฺตทุกฺขาปนยเน ปฎิพลภาโว, อามิสทานธมฺมทาเนหิ อุปการิตาฯ โลกิยโลกุตฺตรสุเขหิ จ สํโยชนสมตฺถตา ทีปิตา โหติฯ
Bhāgyavatāya cassa satapuññalakkhaṇadharassa rūpakāyasampatti dīpitā hoti, bhaggadosatāya dhammakāyasampatti. Tathā lokiyasarikkhakānaṃ bahumānabhāvo, gahaṭṭhapabbajitehi abhigamanīyatā. Tathā abhigatānañca nesaṃ kāyacittadukkhāpanayane paṭibalabhāvo, āmisadānadhammadānehi upakāritā. Lokiyalokuttarasukhehi ca saṃyojanasamatthatā dīpitā hoti.
ยสฺมา จ โลเก อิสฺสริยธมฺมยสสิริกามปยเตฺตสุ ฉสุ ธเมฺมสุ ภคสโทฺท วตฺตติ, ปรมญฺจสฺส สกจิเตฺต อิสฺสริยํ, อณิมาลฆิมาทิกํ วา โลกิยสมฺมตํ สพฺพาการปริปูรํ อตฺถิ, ตถา โลกุตฺตโร ธโมฺม, โลกตฺตยพฺยาปโก ยถาภุจฺจคุณาธิคโต อติวิย ปริสุโทฺธ ยโส, รูปกายทสฺสนพฺยาวฎชนนยนมนปฺปสาทชนนสมตฺถา สพฺพาการปริปูรา สพฺพงฺคปจฺจงฺคสิรี, ยํ ยํ อเนน อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ อตฺตหิตํ ปรหิตํ วา, ตสฺส ตสฺส ตเถว อภินิปฺผนฺนตฺตา อิจฺฉิตตฺถนิปฺผตฺติสญฺญิโต กาโม, สพฺพโลกครุภาวปฺปตฺติเหตุภูโต สมฺมาวายามสงฺขาโต ปยโตฺต จ อตฺถิ, ตสฺมา อิเมหิ ภเคหิ ยุตฺตตฺตาปิ ภคา อสฺส สนฺตีติ อิมินา อเตฺถน ‘‘ภควา’’ติ วุจฺจติฯ
Yasmā ca loke issariyadhammayasasirikāmapayattesu chasu dhammesu bhagasaddo vattati, paramañcassa sakacitte issariyaṃ, aṇimālaghimādikaṃ vā lokiyasammataṃ sabbākāraparipūraṃ atthi, tathā lokuttaro dhammo, lokattayabyāpako yathābhuccaguṇādhigato ativiya parisuddho yaso, rūpakāyadassanabyāvaṭajananayanamanappasādajananasamatthā sabbākāraparipūrā sabbaṅgapaccaṅgasirī, yaṃ yaṃ anena icchitaṃ patthitaṃ attahitaṃ parahitaṃ vā, tassa tassa tatheva abhinipphannattā icchitatthanipphattisaññito kāmo, sabbalokagarubhāvappattihetubhūto sammāvāyāmasaṅkhāto payatto ca atthi, tasmā imehi bhagehi yuttattāpi bhagā assa santīti iminā atthena ‘‘bhagavā’’ti vuccati.
ยสฺมา ปน กุสลาทิเภเทหิ สพฺพธเมฺม, ขนฺธายตนธาตุสจฺจอินฺทฺริยปฎิจฺจสมุปฺปาทาทีหิ วา กุสลาทิธเมฺม, ปีฬนสงฺขตสนฺตาปวิปริณามเฎฺฐน วา ทุกฺขมริยสจฺจํ, อายูหนนิทานสํโยคปลิโพธเฎฺฐน สมุทยํ, นิสฺสรณวิเวกาสงฺขตอมตเฎฺฐน นิโรธํ, นิยฺยานิกเหตุทสฺสนาธิปเตยฺยเฎฺฐน มคฺคํ วิภตฺตวา, วิภชิตฺวา วิวริตฺวา เทสิตวาติ วุตฺตํ โหติ, ตสฺมา วิภตฺตวาติ วตฺตเพฺพ ‘‘ภควา’’ติ วุจฺจติฯ
Yasmā pana kusalādibhedehi sabbadhamme, khandhāyatanadhātusaccaindriyapaṭiccasamuppādādīhi vā kusalādidhamme, pīḷanasaṅkhatasantāpavipariṇāmaṭṭhena vā dukkhamariyasaccaṃ, āyūhananidānasaṃyogapalibodhaṭṭhena samudayaṃ, nissaraṇavivekāsaṅkhataamataṭṭhena nirodhaṃ, niyyānikahetudassanādhipateyyaṭṭhena maggaṃ vibhattavā, vibhajitvā vivaritvā desitavāti vuttaṃ hoti, tasmā vibhattavāti vattabbe ‘‘bhagavā’’ti vuccati.
ยสฺมา จ เอส ทิพฺพพฺรหฺมอริยวิหาเร กายจิตฺตอุปธิวิเวเก สุญฺญตาปฺปณิหิตานิมิตฺตวิโมเกฺข อเญฺญ จ โลกิยโลกุตฺตเร อุตฺตริมนุสฺสธเมฺม ภชิ เสวิ พหุลมกาสิ, ตสฺมา ภตฺตวาติ วตฺตเพฺพ ‘‘ภควา’’ติ วุจฺจติฯ
Yasmā ca esa dibbabrahmaariyavihāre kāyacittaupadhiviveke suññatāppaṇihitānimittavimokkhe aññe ca lokiyalokuttare uttarimanussadhamme bhaji sevi bahulamakāsi, tasmā bhattavāti vattabbe ‘‘bhagavā’’ti vuccati.
ยสฺมา ปน ตีสุ ภเวสุ ตณฺหาสงฺขาตํ คมนํ อเนน วนฺตํ, ตสฺมา ภเวสุ วนฺตคมโนติ วตฺตเพฺพ ภวสทฺทโต ภการํ คมนสทฺทโต คการํ วนฺตสทฺทโต วการญฺจ ทีฆํ กตฺวา อาทาย ‘‘ภควา’’ติ วุจฺจติ, ยถา โลเก ‘‘เมหนสฺส ขสฺส มาลา’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘เมขลา’’ติฯ
Yasmā pana tīsu bhavesu taṇhāsaṅkhātaṃ gamanaṃ anena vantaṃ, tasmā bhavesu vantagamanoti vattabbe bhavasaddato bhakāraṃ gamanasaddato gakāraṃ vantasaddato vakārañca dīghaṃ katvā ādāya ‘‘bhagavā’’ti vuccati, yathā loke ‘‘mehanassa khassa mālā’’ti vattabbe ‘‘mekhalā’’ti.
เอตฺตาวตา เจตฺถ เอวํ เม สุตนฺติ วจเนน ยถาสุตํ ยถาปริยตฺตํ ธมฺมํ เทเสโนฺต ปจฺจกฺขํ กตฺวา ภควโต ธมฺมสรีรํ ปกาเสติ, เตน ‘‘นยิทํ อตีตสตฺถุกํ ปาวจนํ, อยํ โว สตฺถา’’ติ ภควโต อทสฺสเนน อุกฺกณฺฐิตชนํ สมสฺสาเสติฯ
Ettāvatā cettha evaṃ me sutanti vacanena yathāsutaṃ yathāpariyattaṃ dhammaṃ desento paccakkhaṃ katvā bhagavato dhammasarīraṃ pakāseti, tena ‘‘nayidaṃ atītasatthukaṃ pāvacanaṃ, ayaṃ vo satthā’’ti bhagavato adassanena ukkaṇṭhitajanaṃ samassāseti.
เอกํ สมยํ ภควาติ วจเนน ตสฺมิํ สมเย ภควโต อวิชฺชมานภาวํ ทเสฺสโนฺต รูปกายปรินิพฺพานํ ทเสฺสติฯ เตน ‘‘เอวํวิธสฺส อิมสฺส อริยธมฺมสฺส เทเสตา ทสพลธโร วชิรสงฺฆาตกาโย โสปิ ภควา ปรินิพฺพุโต, ตตฺถ เกนเญฺญน ชีวิเต อาสา ชเนตพฺพา’’ติ ชีวิตมทมตฺตํ ชนํ สํเวเชติ, สทฺธเมฺม จสฺส อุสฺสาหํ ชเนติฯ
Ekaṃ samayaṃ bhagavāti vacanena tasmiṃ samaye bhagavato avijjamānabhāvaṃ dassento rūpakāyaparinibbānaṃ dasseti. Tena ‘‘evaṃvidhassa imassa ariyadhammassa desetā dasabaladharo vajirasaṅghātakāyo sopi bhagavā parinibbuto, tattha kenaññena jīvite āsā janetabbā’’ti jīvitamadamattaṃ janaṃ saṃvejeti, saddhamme cassa ussāhaṃ janeti.
เอวนฺติ จ ภณโนฺต เทสนาสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ, เม สุตนฺติ สาวกสมฺปตฺติํ, เอกํ สมยนฺติ กาลสมฺปตฺติํ, ภควาติ เทสกสมฺปตฺติํฯ
Evanti ca bhaṇanto desanāsampattiṃ niddisati, me sutanti sāvakasampattiṃ, ekaṃ samayanti kālasampattiṃ, bhagavāti desakasampattiṃ.
สาวตฺถิยํ วิหรตีติ เอตฺถ สาวตฺถีติ สวตฺถสฺส อิสิโน นิวาสฎฺฐานภูตํ นครํ, ยถา กากนฺที มากนฺทีติ, เอวํ อิตฺถิลิงฺควเสน สาวตฺถีติ วุจฺจติ, เอวํ อกฺขรจินฺตกาฯ อฎฺฐกถาจริยา ปน ภณนฺติ ‘‘ยํกิญฺจิ มนุสฺสานํ อุปโภคปริโภคํ สพฺพเมตฺถ อตฺถี’’ติ สาวตฺถีฯ สตฺถสมาโยเค จ ‘‘กิํ ภณฺฑมตฺถี’’ติ ปุจฺฉิเต ‘‘สพฺพมตฺถี’’ติ วจนมุปาทาย สาวตฺถีฯ
Sāvatthiyaṃ viharatīti ettha sāvatthīti savatthassa isino nivāsaṭṭhānabhūtaṃ nagaraṃ, yathā kākandī mākandīti, evaṃ itthiliṅgavasena sāvatthīti vuccati, evaṃ akkharacintakā. Aṭṭhakathācariyā pana bhaṇanti ‘‘yaṃkiñci manussānaṃ upabhogaparibhogaṃ sabbamettha atthī’’ti sāvatthī. Satthasamāyoge ca ‘‘kiṃ bhaṇḍamatthī’’ti pucchite ‘‘sabbamatthī’’ti vacanamupādāya sāvatthī.
‘‘สพฺพทา สพฺพูปกรณํ, สาวตฺถิยํ สโมหิตํ;
‘‘Sabbadā sabbūpakaraṇaṃ, sāvatthiyaṃ samohitaṃ;
ตสฺมา สพฺพมุปาทาย, สาวตฺถีติ ปวุจฺจติฯ
Tasmā sabbamupādāya, sāvatthīti pavuccati.
‘‘โกสลานํ ปุรํ รมฺมํ, ทสฺสเนยฺยํ มโนรมํ;
‘‘Kosalānaṃ puraṃ rammaṃ, dassaneyyaṃ manoramaṃ;
ทสหิ สเทฺทหิ อวิวิตฺตํ, อนฺนปานสมายุตํฯ
Dasahi saddehi avivittaṃ, annapānasamāyutaṃ.
‘‘วุฑฺฒิํ เวปุลฺลตํ ปตฺตํ, อิทฺธํ ผีตํ มโนรมํ;
‘‘Vuḍḍhiṃ vepullataṃ pattaṃ, iddhaṃ phītaṃ manoramaṃ;
อาฬกมนฺทาว เทวานํ, สาวตฺถิปุรมุตฺตม’’นฺติฯ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๔);
Āḷakamandāva devānaṃ, sāvatthipuramuttama’’nti. (ma. ni. aṭṭha. 1.14);
ตสฺสํ สาวตฺถิยํฯ สมีปเตฺถ ภุมฺมวจนํฯ
Tassaṃ sāvatthiyaṃ. Samīpatthe bhummavacanaṃ.
วิหรตีติ อวิเสเสน อิริยาปถทิพฺพพฺรหฺมอริยวิหาเรสุ อญฺญตรวิหารสมงฺคิปริทีปนเมตํฯ อิธ ปน ฐานคมนาสนสยนปฺปเภเทสุ อิริยาปเถสุ อญฺญตรอิริยาปถสมาโยคปริทีปนํ, เตน ฐิโตปิ คจฺฉโนฺตปิ นิสิโนฺนปิ สยาโนปิ ภควา วิหรติเจฺจว เวทิตโพฺพฯ โส หิ เอกํ อิริยาปถพาธนํ อปเรน อิริยาปเถน วิจฺฉินฺทิตฺวา อปริปตนฺตํ อตฺตภาวํ หรติ ปวเตฺตติฯ ตสฺมา วิหรตีติ วุจฺจติฯ
Viharatīti avisesena iriyāpathadibbabrahmaariyavihāresu aññataravihārasamaṅgiparidīpanametaṃ. Idha pana ṭhānagamanāsanasayanappabhedesu iriyāpathesu aññatarairiyāpathasamāyogaparidīpanaṃ, tena ṭhitopi gacchantopi nisinnopi sayānopi bhagavā viharaticceva veditabbo. So hi ekaṃ iriyāpathabādhanaṃ aparena iriyāpathena vicchinditvā aparipatantaṃ attabhāvaṃ harati pavatteti. Tasmā viharatīti vuccati.
เชตวเนติ เอตฺถ อตฺตโน ปจฺจตฺถิกชนํ ชินาตีติ เชโต, รญฺญา วา อตฺตโน ปจฺจตฺถิกชเน ชิเต ชาโตติ เชโต, มงฺคลกมฺยตาย วา ตสฺส เอวํ นามเมว กตนฺติปิ เชโตฯ วนยตีติ วนํ, อตฺตสมฺปทาย สตฺตานํ ภตฺติํ กาเรติ, อตฺตนิ สิเนหํ อุปฺปาเทตีติ อโตฺถฯ วนุเต อิติ วา วนํ, นานาวิธกุสุมคนฺธสโมฺมทมตฺตโกกิลาทิวิหงฺควิรุเตหิ มนฺทมาลุตจลิตรุกฺขสาขาวิฎปปุปฺผผลปลฺลวปลาเสหิ จ ‘‘เอถ มํ ปริภุญฺชถา’’ติ ปาณิโน ยาจติ วิยาติ อโตฺถฯ เชตสฺส วนํ เชตวนํฯ ตญฺหิ เชเตน ราชกุมาเรน โรปิตํ สํวฑฺฒิตํ ปริปาลิตํ, โส จ ตสฺส สามี อโหสิ, ตสฺมา เชตวนนฺติ วุจฺจติฯ ตสฺมิํ เชตวเนฯ
Jetavaneti ettha attano paccatthikajanaṃ jinātīti jeto, raññā vā attano paccatthikajane jite jātoti jeto, maṅgalakamyatāya vā tassa evaṃ nāmameva katantipi jeto. Vanayatīti vanaṃ, attasampadāya sattānaṃ bhattiṃ kāreti, attani sinehaṃ uppādetīti attho. Vanute iti vā vanaṃ, nānāvidhakusumagandhasammodamattakokilādivihaṅgavirutehi mandamālutacalitarukkhasākhāviṭapapupphaphalapallavapalāsehi ca ‘‘etha maṃ paribhuñjathā’’ti pāṇino yācati viyāti attho. Jetassa vanaṃ jetavanaṃ. Tañhi jetena rājakumārena ropitaṃ saṃvaḍḍhitaṃ paripālitaṃ, so ca tassa sāmī ahosi, tasmā jetavananti vuccati. Tasmiṃ jetavane.
อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมติ เอตฺถ สุทโตฺต นาม โส คหปติ มาตาปิตูหิ กตนามวเสน, สพฺพกามสมิทฺธิตาย ตุ วิคตมลมเจฺฉรตาย กรุณาทิคุณสมงฺคิตาย จ นิจฺจกาลํ อนาถานํ ปิณฺฑํ อทาสิ, เตน อนาถปิณฺฑิโกติ สงฺขฺยํ คโตฯ อารมนฺติ เอตฺถ ปาณิโน, วิเสเสน วา ปพฺพชิตาติ อาราโม, ตสฺส ปุปฺผผลปลฺลวาทิโสภนตาย นาติทูรนาจฺจาสนฺนตาทิปญฺจวิธเสนาสนงฺคสมฺปตฺติยา จ ตโต ตโต อาคมฺม รมนฺติ อภิรมนฺติ อนุกฺกณฺฐิตา หุตฺวา นิวสนฺตีติ อโตฺถฯ วุตฺตปฺปการาย วา สมฺปตฺติยา ตตฺถ ตตฺถ คเตปิ อตฺตโน อพฺภนฺตรํเยว อาเนตฺวา รเมตีติ อาราโมฯ โส หิ อนาถปิณฺฑิเกน คหปตินา เชตสฺส ราชกุมารสฺส หตฺถโต อฎฺฐารสหิรญฺญโกฎิสนฺถาเรน กิณิตฺวา อฎฺฐารสหิรญฺญโกฎีหิ เสนาสนํ การาเปตฺวา อฎฺฐารสหิรญฺญโกฎีหิ วิหารมหํ นิฎฺฐาเปตฺวา เอวํ จตุปญฺญาสาย หิรญฺญโกฎิปริจฺจาเคน พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส นิยฺยาติโต, ตสฺมา ‘‘อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราโม’’ติ วุจฺจติฯ ตสฺมิํ อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ
Anāthapiṇḍikassa ārāmeti ettha sudatto nāma so gahapati mātāpitūhi katanāmavasena, sabbakāmasamiddhitāya tu vigatamalamaccheratāya karuṇādiguṇasamaṅgitāya ca niccakālaṃ anāthānaṃ piṇḍaṃ adāsi, tena anāthapiṇḍikoti saṅkhyaṃ gato. Āramanti ettha pāṇino, visesena vā pabbajitāti ārāmo, tassa pupphaphalapallavādisobhanatāya nātidūranāccāsannatādipañcavidhasenāsanaṅgasampattiyā ca tato tato āgamma ramanti abhiramanti anukkaṇṭhitā hutvā nivasantīti attho. Vuttappakārāya vā sampattiyā tattha tattha gatepi attano abbhantaraṃyeva ānetvā rametīti ārāmo. So hi anāthapiṇḍikena gahapatinā jetassa rājakumārassa hatthato aṭṭhārasahiraññakoṭisanthārena kiṇitvā aṭṭhārasahiraññakoṭīhi senāsanaṃ kārāpetvā aṭṭhārasahiraññakoṭīhi vihāramahaṃ niṭṭhāpetvā evaṃ catupaññāsāya hiraññakoṭipariccāgena buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa niyyātito, tasmā ‘‘anāthapiṇḍikassa ārāmo’’ti vuccati. Tasmiṃ anāthapiṇḍikassa ārāme.
เอตฺถ จ ‘‘เชตวเน’’ติ วจนํ ปุริมสามิปริกิตฺตนํ, ‘‘อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม’’ติ ปจฺฉิมสามิปริกิตฺตนํฯ กิเมเตสํ ปริกิตฺตเน ปโยชนนฺติ? วุจฺจเต – อธิการโต ตาว ‘‘กตฺถ ภาสิต’’นฺติ ปุจฺฉานิยามกรณํ อเญฺญสํ ปุญฺญกามานํ ทิฎฺฐานุคติอาปชฺชเน นิโยชนญฺจฯ ตตฺถ หิ ทฺวารโกฎฺฐกปาสาทมาปเน ภูมิวิกฺกยลทฺธา อฎฺฐารส หิรญฺญโกฎิโย อเนกโกฎิอคฺฆนกา รุกฺขา จ เชตสฺส ปริจฺจาโค, จตุปญฺญาส โกฎิโย อนาถปิณฺฑิกสฺสฯ ยโต เตสํ ปริกิตฺตเนน ‘‘เอวํ ปุญฺญกามา ปุญฺญานิ กโรนฺตี’’ติ ทเสฺสโนฺต อายสฺมา อานโนฺท อเญฺญปิ ปุญฺญกาเม เตสํ ทิฎฺฐานุคติอาปชฺชเน นิโยเชติฯ เอวเมตฺถ ปุญฺญกามานํ ทิฎฺฐานุคติอาปชฺชเน นิโยชนํ ปโยชนนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Ettha ca ‘‘jetavane’’ti vacanaṃ purimasāmiparikittanaṃ, ‘‘anāthapiṇḍikassa ārāme’’ti pacchimasāmiparikittanaṃ. Kimetesaṃ parikittane payojananti? Vuccate – adhikārato tāva ‘‘kattha bhāsita’’nti pucchāniyāmakaraṇaṃ aññesaṃ puññakāmānaṃ diṭṭhānugatiāpajjane niyojanañca. Tattha hi dvārakoṭṭhakapāsādamāpane bhūmivikkayaladdhā aṭṭhārasa hiraññakoṭiyo anekakoṭiagghanakā rukkhā ca jetassa pariccāgo, catupaññāsa koṭiyo anāthapiṇḍikassa. Yato tesaṃ parikittanena ‘‘evaṃ puññakāmā puññāni karontī’’ti dassento āyasmā ānando aññepi puññakāme tesaṃ diṭṭhānugatiāpajjane niyojeti. Evamettha puññakāmānaṃ diṭṭhānugatiāpajjane niyojanaṃ payojananti veditabbaṃ.
เอตฺถาห – ‘‘ยทิ ตาว ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ, ‘เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม’ติ น วตฺตพฺพํฯ อถ ตตฺถ วิหรติ, ‘สาวตฺถิย’นฺติ น วตฺตพฺพํฯ น หิ สกฺกา อุภยตฺถ เอกํ สมยํ วิหริตุ’’นฺติฯ วุจฺจเต – นนุ วุตฺตเมตํ ‘‘สมีปเตฺถ ภุมฺมวจน’’นฺติ, ยโต ยถา คงฺคายมุนาทีนํ สมีเป โคยูถานิ จรนฺตานิ ‘‘คงฺคาย จรนฺติ, ยมุนาย จรนฺตี’’ติ วุจฺจนฺติ, เอวมิธาปิ ยทิทํ สาวตฺถิยา สมีเป เชตวนํ อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราโม, ตตฺถ วิหรโนฺต วุจฺจติ ‘‘สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม’’ติ เวทิตโพฺพฯ โคจรคามนิทสฺสนตฺถํ หิสฺส สาวตฺถิวจนํ, ปพฺพชิตานุรูปนิวาสฎฺฐานนิทสฺสนตฺถํ เสสวจนํฯ
Etthāha – ‘‘yadi tāva bhagavā sāvatthiyaṃ viharati, ‘jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme’ti na vattabbaṃ. Atha tattha viharati, ‘sāvatthiya’nti na vattabbaṃ. Na hi sakkā ubhayattha ekaṃ samayaṃ viharitu’’nti. Vuccate – nanu vuttametaṃ ‘‘samīpatthe bhummavacana’’nti, yato yathā gaṅgāyamunādīnaṃ samīpe goyūthāni carantāni ‘‘gaṅgāya caranti, yamunāya carantī’’ti vuccanti, evamidhāpi yadidaṃ sāvatthiyā samīpe jetavanaṃ anāthapiṇḍikassa ārāmo, tattha viharanto vuccati ‘‘sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme’’ti veditabbo. Gocaragāmanidassanatthaṃ hissa sāvatthivacanaṃ, pabbajitānurūpanivāsaṭṭhānanidassanatthaṃ sesavacanaṃ.
ตตฺถ สาวตฺถิกิตฺตเนน ภควโต คหฎฺฐานุคฺคหกรณํ ทเสฺสติ, เชตวนาทิกิตฺตเนน ปพฺพชิตานุคฺคหกรณํฯ ตถา ปุริเมน ปจฺจยคฺคหณโต อตฺตกิลมถานุโยควิวชฺชนํ, ปจฺฉิเมน วตฺถุกามปฺปหานโต กามสุขลฺลิกานุโยควชฺชนูปายทสฺสนํฯ ปุริเมน จ ธมฺมเทสนาภิโยคํ, ปจฺฉิเมน วิเวกาธิมุตฺติํฯ ปุริเมน กรุณาย อุปคมนํ, ปจฺฉิเมน จ ปญฺญาย อปคมนํฯ ปุริเมน สตฺตานํ หิตสุขนิปฺผาทนาธิมุตฺติตํ, ปจฺฉิเมน ปรหิตสุขกรเณ นิรุปเลปตํฯ ปุริเมน ธมฺมิกสุขาปริจฺจาคนิมิตฺตํ ผาสุวิหารํ, ปจฺฉิเมน อุตฺตริมนุสฺสธมฺมานุโยคนิมิตฺตํฯ ปุริเมน มนุสฺสานํ อุปการพหุลตํ, ปจฺฉิเมน เทวานํฯ ปุริเมน โลเก ชาตสฺส โลเก สํวฑฺฒภาวํ, ปจฺฉิเมน โลเกน อนุปลิตฺตตนฺติ เอวมาทิฯ
Tattha sāvatthikittanena bhagavato gahaṭṭhānuggahakaraṇaṃ dasseti, jetavanādikittanena pabbajitānuggahakaraṇaṃ. Tathā purimena paccayaggahaṇato attakilamathānuyogavivajjanaṃ, pacchimena vatthukāmappahānato kāmasukhallikānuyogavajjanūpāyadassanaṃ. Purimena ca dhammadesanābhiyogaṃ, pacchimena vivekādhimuttiṃ. Purimena karuṇāya upagamanaṃ, pacchimena ca paññāya apagamanaṃ. Purimena sattānaṃ hitasukhanipphādanādhimuttitaṃ, pacchimena parahitasukhakaraṇe nirupalepataṃ. Purimena dhammikasukhāpariccāganimittaṃ phāsuvihāraṃ, pacchimena uttarimanussadhammānuyoganimittaṃ. Purimena manussānaṃ upakārabahulataṃ, pacchimena devānaṃ. Purimena loke jātassa loke saṃvaḍḍhabhāvaṃ, pacchimena lokena anupalittatanti evamādi.
อถาติ อวิเจฺฉทเตฺถ, โขติ อธิการนฺตรนิทสฺสนเตฺถ นิปาโตฯ เตน อวิจฺฉิเนฺนเยว ตตฺถ ภควโต วิหาเร อิทมธิการนฺตรํ อุทปาทีติ ทเสฺสติฯ กิํ ตนฺติ? อญฺญตรา เทวตาติอาทิฯ ตตฺถ อญฺญตราติ อนิยมิตนิเทฺทโสฯ สา หิ นามโคตฺตโต อปากฎา, ตสฺมา ‘‘อญฺญตรา’’ติ วุตฺตาฯ เทโว เอว เทวตา, อิตฺถิปุริสสาธารณเมตํฯ อิธ ปน ปุริโส เอว, โส เทวปุโตฺต กินฺตุ, สาธารณนามวเสน เทวตาติ วุโตฺตฯ
Athāti avicchedatthe, khoti adhikārantaranidassanatthe nipāto. Tena avicchinneyeva tattha bhagavato vihāre idamadhikārantaraṃ udapādīti dasseti. Kiṃ tanti? Aññatarā devatātiādi. Tattha aññatarāti aniyamitaniddeso. Sā hi nāmagottato apākaṭā, tasmā ‘‘aññatarā’’ti vuttā. Devo eva devatā, itthipurisasādhāraṇametaṃ. Idha pana puriso eva, so devaputto kintu, sādhāraṇanāmavasena devatāti vutto.
อภิกฺกนฺตาย รตฺติยาติ เอตฺถ อภิกฺกนฺตสโทฺท ขยสุนฺทราภิรูปอพฺภนุโมทนาทีสุ ทิสฺสติฯ ตตฺถ ‘‘อภิกฺกนฺตา, ภเนฺต, รตฺติ, นิกฺขโนฺต ปฐโม ยาโม, จิรนิสิโนฺน ภิกฺขุสโงฺฆ, อุทฺทิสตุ, ภเนฺต, ภควา ภิกฺขูนํ ปาติโมกฺข’’นฺติ เอวมาทีสุ (จูฬว. ๓๘๓; อ. นิ. ๘.๒๐) ขเย ทิสฺสติฯ ‘‘อยํ อิเมสํ จตุนฺนํ ปุคฺคลานํ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จา’’ติ เอวมาทีสุ (อ. นิ. ๔.๑๐๐) สุนฺทเรฯ
Abhikkantāya rattiyāti ettha abhikkantasaddo khayasundarābhirūpaabbhanumodanādīsu dissati. Tattha ‘‘abhikkantā, bhante, ratti, nikkhanto paṭhamo yāmo, ciranisinno bhikkhusaṅgho, uddisatu, bhante, bhagavā bhikkhūnaṃ pātimokkha’’nti evamādīsu (cūḷava. 383; a. ni. 8.20) khaye dissati. ‘‘Ayaṃ imesaṃ catunnaṃ puggalānaṃ abhikkantataro ca paṇītataro cā’’ti evamādīsu (a. ni. 4.100) sundare.
‘‘โก เม วนฺทติ ปาทานิ, อิทฺธิยา ยสสา ชลํ;
‘‘Ko me vandati pādāni, iddhiyā yasasā jalaṃ;
อภิกฺกเนฺตน วเณฺณน, สพฺพา โอภาสยํ ทิสา’’ติฯ (วิ. ว. ๘๕๗); –
Abhikkantena vaṇṇena, sabbā obhāsayaṃ disā’’ti. (vi. va. 857); –
เอวมาทีสุ อภิรูเปฯ ‘‘อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตม, อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตมา’’ติ เอวมาทีสุ (อ. นิ. ๒.๑๖; ปารา. ๑๕) อพฺภนุโมทเนฯ อิธ ปน ขเยฯ เตน อภิกฺกนฺตาย รตฺติยาติ ปริกฺขีณาย รตฺติยาติ วุตฺตํ โหติฯ
Evamādīsu abhirūpe. ‘‘Abhikkantaṃ, bho gotama, abhikkantaṃ, bho gotamā’’ti evamādīsu (a. ni. 2.16; pārā. 15) abbhanumodane. Idha pana khaye. Tena abhikkantāya rattiyāti parikkhīṇāya rattiyāti vuttaṃ hoti.
อภิกฺกนฺตวณฺณาติ เอตฺถ อภิกฺกนฺตสโทฺท อภิรูเป, วณฺณสโทฺท ปน ฉวิถุติกุลวคฺคการณสณฺฐานปมาณรูปายตนาทีสุ ทิสฺสติฯ ตตฺถ ‘‘สุวณฺณวโณฺณสิ ภควา’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๒.๓๙๙; สุ. นิ. ๕๕๓) ฉวิยํฯ ‘‘กทา สญฺญูฬฺหา ปน เต คหปติ อิเม สมณสฺส โคตมสฺส วณฺณา’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๒.๗๗) ถุติยํฯ ‘‘จตฺตาโรเม, โภ โคตม, วณฺณา’’ติ เอวมาทีสุ (ที. นิ. ๓.๑๑๕) กุลวเคฺคฯ ‘‘อถ เกน นุ วเณฺณน, คนฺธเถโนติ วุจฺจตี’’ติ เอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๒๓๔) การเณฯ ‘‘มหนฺตํ หตฺถิราชวณฺณํ อภินิมฺมินิตฺวา’’ติ เอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๓๘) สณฺฐาเนฯ ‘‘ตโย ปตฺตสฺส วณฺณา’’ติ เอวมาทีสุ ปมาเณฯ ‘‘วโณฺณ คโนฺธ รโส โอชา’’ติ เอวมาทีสุ รูปายตเนฯ โส อิธ ฉวิยํ ทฎฺฐโพฺพฯ เตน อภิกฺกนฺตวณฺณาติ อภิรูปจฺฉวีติ วุตฺตํ โหติฯ
Abhikkantavaṇṇāti ettha abhikkantasaddo abhirūpe, vaṇṇasaddo pana chavithutikulavaggakāraṇasaṇṭhānapamāṇarūpāyatanādīsu dissati. Tattha ‘‘suvaṇṇavaṇṇosi bhagavā’’ti evamādīsu (ma. ni. 2.399; su. ni. 553) chaviyaṃ. ‘‘Kadā saññūḷhā pana te gahapati ime samaṇassa gotamassa vaṇṇā’’ti evamādīsu (ma. ni. 2.77) thutiyaṃ. ‘‘Cattārome, bho gotama, vaṇṇā’’ti evamādīsu (dī. ni. 3.115) kulavagge. ‘‘Atha kena nu vaṇṇena, gandhathenoti vuccatī’’ti evamādīsu (saṃ. ni. 1.234) kāraṇe. ‘‘Mahantaṃ hatthirājavaṇṇaṃ abhinimminitvā’’ti evamādīsu (saṃ. ni. 1.138) saṇṭhāne. ‘‘Tayo pattassa vaṇṇā’’ti evamādīsu pamāṇe. ‘‘Vaṇṇo gandho raso ojā’’ti evamādīsu rūpāyatane. So idha chaviyaṃ daṭṭhabbo. Tena abhikkantavaṇṇāti abhirūpacchavīti vuttaṃ hoti.
เกวลกปฺปนฺติ เอตฺถ เกวลสโทฺท อนวเสสเยภุยฺยอพฺยามิสฺสานติเรกทฬฺหตฺถวิสํโยคาทิอเนกโตฺถ ฯ ตถา หิสฺส ‘‘เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริย’’นฺติ เอวมาทีสุ (ปารา. ๑) อนวเสสตา อโตฺถฯ ‘‘เกวลกปฺปา จ องฺคมาคธา ปหูตํ ขาทนียํ โภชนียํ อาทาย อุปสงฺกมิสฺสนฺตี’’ติ เอวมาทีสุ (มหาว. ๔๓) เยภุยฺยตาฯ ‘‘เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหตี’’ติ เอวมาทีสุ (วิภ. ๒๒๕) อพฺยามิสฺสตาฯ ‘‘เกวลํ สทฺธามตฺตกํ นูน อยมายสฺมา’’ติ เอวมาทีสุ (มหาว. ๒๔๔) อนติเรกตาฯ ‘‘อายสฺมโต, ภเนฺต, อนุรุทฺธสฺส พาหิโย นาม สทฺธิวิหาริโก เกวลกปฺปํ สงฺฆเภทาย ฐิโต’’ติ เอวมาทีสุ (อ. นิ. ๔.๒๔๓) ทฬฺหตฺถตาฯ ‘‘เกวลี วุสิตวา อุตฺตมปุริโสติ วุจฺจตี’’ติ เอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๕๗) วิสํโยโคฯ อิธ ปนสฺส อนวเสสตฺตมโตฺถ อธิเปฺปโตฯ
Kevalakappanti ettha kevalasaddo anavasesayebhuyyaabyāmissānatirekadaḷhatthavisaṃyogādianekattho . Tathā hissa ‘‘kevalaparipuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariya’’nti evamādīsu (pārā. 1) anavasesatā attho. ‘‘Kevalakappā ca aṅgamāgadhā pahūtaṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ ādāya upasaṅkamissantī’’ti evamādīsu (mahāva. 43) yebhuyyatā. ‘‘Kevalassa dukkhakkhandhassa samudayo hotī’’ti evamādīsu (vibha. 225) abyāmissatā. ‘‘Kevalaṃ saddhāmattakaṃ nūna ayamāyasmā’’ti evamādīsu (mahāva. 244) anatirekatā. ‘‘Āyasmato, bhante, anuruddhassa bāhiyo nāma saddhivihāriko kevalakappaṃ saṅghabhedāya ṭhito’’ti evamādīsu (a. ni. 4.243) daḷhatthatā. ‘‘Kevalī vusitavā uttamapurisoti vuccatī’’ti evamādīsu (saṃ. ni. 3.57) visaṃyogo. Idha panassa anavasesattamattho adhippeto.
กปฺปสโทฺท ปนายํ อภิสทฺทหนโวหารกาลปญฺญตฺติเฉทนวิกปฺปเลสสมนฺตภาวาทิอเนกโตฺถฯ ตถา หิสฺส ‘‘โอกปฺปนียเมตํ โภโต โคตมสฺส, ยถา ตํ อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสา’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๘๗) อภิสทฺทหนมโตฺถฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหิ สมณกเปฺปหิ ผลํ ปริภุญฺชิตุ’’นฺติ เอวมาทีสุ (จูฬว. ๒๕๐) โวหาโรฯ ‘‘เยน สุทํ นิจฺจกปฺปํ วิหรามี’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๘๗) กาโลฯ ‘‘อิจฺจายสฺมา กโปฺป’’ติ เอวมาทีสุ (สุ. นิ. ๑๐๙๘; จูฬนิ. กปฺปมาณวปุจฺฉา ๑๑๗, กปฺปมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๖๑) ปญฺญตฺติฯ ‘‘อลงฺกโต กปฺปิตเกสมสฺสู’’ติ เอวมาทีสุ (ชา. ๒.๒๒.๑๓๖๘) เฉทนํฯ ‘‘กปฺปติ ทฺวงฺคุลกโปฺป’’ติ เอวมาทีสุ (จูฬว. ๔๔๖) วิกโปฺปฯ ‘‘อตฺถิ กโปฺป นิปชฺชิตุ’’นฺติ เอวมาทีสุ (อ. นิ. ๘.๘๐) เลโสฯ ‘‘เกวลกปฺปํ เวฬุวนํ โอภาเสตฺวา’’ติ เอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๙๔) สมนฺตภาโวฯ อิธ ปนสฺส สมนฺตภาโว อโตฺถ อธิเปฺปโตฯ ยโต เกวลกปฺปํ เชตวนนฺติ เอตฺถ อนวเสสํ สมนฺตโต เชตวนนฺติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Kappasaddo panāyaṃ abhisaddahanavohārakālapaññattichedanavikappalesasamantabhāvādianekattho. Tathā hissa ‘‘okappanīyametaṃ bhoto gotamassa, yathā taṃ arahato sammāsambuddhassā’’ti evamādīsu (ma. ni. 1.387) abhisaddahanamattho. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, pañcahi samaṇakappehi phalaṃ paribhuñjitu’’nti evamādīsu (cūḷava. 250) vohāro. ‘‘Yena sudaṃ niccakappaṃ viharāmī’’ti evamādīsu (ma. ni. 1.387) kālo. ‘‘Iccāyasmā kappo’’ti evamādīsu (su. ni. 1098; cūḷani. kappamāṇavapucchā 117, kappamāṇavapucchāniddesa 61) paññatti. ‘‘Alaṅkato kappitakesamassū’’ti evamādīsu (jā. 2.22.1368) chedanaṃ. ‘‘Kappati dvaṅgulakappo’’ti evamādīsu (cūḷava. 446) vikappo. ‘‘Atthi kappo nipajjitu’’nti evamādīsu (a. ni. 8.80) leso. ‘‘Kevalakappaṃ veḷuvanaṃ obhāsetvā’’ti evamādīsu (saṃ. ni. 1.94) samantabhāvo. Idha panassa samantabhāvo attho adhippeto. Yato kevalakappaṃ jetavananti ettha anavasesaṃ samantato jetavananti evamattho daṭṭhabbo.
โอภาเสตฺวาติ อาภาย ผริตฺวา, จนฺทิมา วิย สูริโย วิย จ เอโกภาสํ เอกปโชฺชตํ กริตฺวาติ อโตฺถฯ
Obhāsetvāti ābhāya pharitvā, candimā viya sūriyo viya ca ekobhāsaṃ ekapajjotaṃ karitvāti attho.
เยน ภควา เตนุปสงฺกมีติ ภุมฺมเตฺถ กรณวจนํฯ ยโต ยตฺถ ภควา, ตตฺถ อุปสงฺกมีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เยน วา การเณน ภควา เทวมนุเสฺสหิ อุปสงฺกมิตโพฺพ, เตเนว การเณน อุปสงฺกมีติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เกน จ การเณน ภควา อุปสงฺกมิตโพฺพ? นานปฺปการคุณวิเสสาธิคมาธิปฺปาเยน, สาทุรสผลูปโภคาธิปฺปาเยน ทิชคเณหิ นิจฺจผลิตมหารุโกฺข วิยฯ อุปสงฺกมีติ จ คตาติ วุตฺตํ โหติฯ อุปสงฺกมิตฺวาติ อุปสงฺกมนปริโยสานทีปนํ ฯ อถ วา เอวํ คตา ตโต อาสนฺนตรํ ฐานํ ภควโต สมีปสงฺขาตํ คนฺตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวาติ ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ปณมิตฺวา นมสฺสิตฺวาฯ
Yena bhagavā tenupasaṅkamīti bhummatthe karaṇavacanaṃ. Yato yattha bhagavā, tattha upasaṅkamīti evamettha attho daṭṭhabbo. Yena vā kāraṇena bhagavā devamanussehi upasaṅkamitabbo, teneva kāraṇena upasaṅkamīti evampettha attho daṭṭhabbo. Kena ca kāraṇena bhagavā upasaṅkamitabbo? Nānappakāraguṇavisesādhigamādhippāyena, sādurasaphalūpabhogādhippāyena dijagaṇehi niccaphalitamahārukkho viya. Upasaṅkamīti ca gatāti vuttaṃ hoti. Upasaṅkamitvāti upasaṅkamanapariyosānadīpanaṃ . Atha vā evaṃ gatā tato āsannataraṃ ṭhānaṃ bhagavato samīpasaṅkhātaṃ gantvāti vuttaṃ hoti. Bhagavantaṃ abhivādetvāti bhagavantaṃ vanditvā paṇamitvā namassitvā.
เอกมนฺตนฺติ ภาวนปุํสกนิเทฺทโส เอโกกาสํ เอกปสฺสนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ภุมฺมเตฺถ วา อุปโยควจนํฯ อฎฺฐาสีติ นิสชฺชาทิปฎิเกฺขโป, ฐานํ กเปฺปสิ, ฐิตา อโหสีติ อโตฺถฯ
Ekamantanti bhāvanapuṃsakaniddeso ekokāsaṃ ekapassanti vuttaṃ hoti. Bhummatthe vā upayogavacanaṃ. Aṭṭhāsīti nisajjādipaṭikkhepo, ṭhānaṃ kappesi, ṭhitā ahosīti attho.
กถํ ฐิตา ปน สา เอกมนฺตํ ฐิตา อหูติ?
Kathaṃ ṭhitā pana sā ekamantaṃ ṭhitā ahūti?
‘‘น ปจฺฉโต น ปุรโต, นาปิ อาสนฺนทูรโต;
‘‘Na pacchato na purato, nāpi āsannadūrato;
น กเจฺฉ โนปิ ปฎิวาเต, น จาปิ โอณตุณฺณเต;
Na kacche nopi paṭivāte, na cāpi oṇatuṇṇate;
อิเม โทเส วิวเชฺชตฺวา, เอกมนฺตํ ฐิตา อหู’’ติฯ
Ime dose vivajjetvā, ekamantaṃ ṭhitā ahū’’ti.
กสฺมา ปนายํ อฎฺฐาสิ เอว, น นิสีทีติ? ลหุํ นิวตฺติตุกามตายฯ เทวตาโย หิ กญฺจิเทว อตฺถวสํ ปฎิจฺจ สุจิปุริโส วิย วจฺจฎฺฐานํ มนุสฺสโลกํ อาคจฺฉนฺติฯ ปกติยา ปน ตาสํ โยชนสตโต ปภุติ มนุสฺสโลโก ทุคฺคนฺธตาย ปฎิกูโล โหติ, น เอตฺถ อภิรมนฺติ, เตน สา อาคตกิจฺจํ กตฺวา ลหุํ นิวตฺติตุกามตาย น นิสีทิฯ ยสฺส จ คมนาทิอิริยาปถปริสฺสมสฺส วิโนทนตฺถํ นิสีทนฺติ, โส เทวานํ ปริสฺสโม นตฺถิ, ตสฺมาปิ น นิสีทิฯ เย จ มหาสาวกา ภควนฺตํ ปริวาเรตฺวา ฐิตา, เต ปติมาเนติ, ตสฺมาปิ น นิสีทิฯ อปิจ ภควติ คารเวเนว น นิสีทิฯ เทวตานญฺหิ นิสีทิตุกามานํ อาสนํ นิพฺพตฺตติ, ตํ อนิจฺฉมานา นิสชฺชาย จิตฺตมฺปิ อกตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ
Kasmā panāyaṃ aṭṭhāsi eva, na nisīdīti? Lahuṃ nivattitukāmatāya. Devatāyo hi kañcideva atthavasaṃ paṭicca sucipuriso viya vaccaṭṭhānaṃ manussalokaṃ āgacchanti. Pakatiyā pana tāsaṃ yojanasatato pabhuti manussaloko duggandhatāya paṭikūlo hoti, na ettha abhiramanti, tena sā āgatakiccaṃ katvā lahuṃ nivattitukāmatāya na nisīdi. Yassa ca gamanādiiriyāpathaparissamassa vinodanatthaṃ nisīdanti, so devānaṃ parissamo natthi, tasmāpi na nisīdi. Ye ca mahāsāvakā bhagavantaṃ parivāretvā ṭhitā, te patimāneti, tasmāpi na nisīdi. Apica bhagavati gāraveneva na nisīdi. Devatānañhi nisīditukāmānaṃ āsanaṃ nibbattati, taṃ anicchamānā nisajjāya cittampi akatvā ekamantaṃ aṭṭhāsi.
เอกมนฺตํ ฐิตา โข สา เทวตาติ เอวํ อิเมหิ การเณหิ เอกมนฺตํ ฐิตา โข สา เทวตาฯ ภควนฺตํ คาถาย อชฺฌภาสีติ ภควนฺตํ อกฺขรปทนิยมิตคนฺถิเตน วจเนน อภาสีติ อโตฺถฯ กถํ? พหู เทวา มนุสฺสา จ…เป.… พฺรูหิ มงฺคลมุตฺตมนฺติฯ
Ekamantaṃ ṭhitā kho sā devatāti evaṃ imehi kāraṇehi ekamantaṃ ṭhitā kho sā devatā. Bhagavantaṃ gāthāya ajjhabhāsīti bhagavantaṃ akkharapadaniyamitaganthitena vacanena abhāsīti attho. Kathaṃ? Bahū devā manussā ca…pe… brūhi maṅgalamuttamanti.
มงฺคลปญฺหสมุฎฺฐานกถา
Maṅgalapañhasamuṭṭhānakathā
ตตฺถ ยสฺมา ‘‘เอวมิจฺจาทิปาฐสฺส, อตฺถํ นานปฺปการโตฯ วณฺณยโนฺต สมุฎฺฐานํ, วตฺวา’’ติ มาติกา ฐปิตา, ตสฺส จ สมุฎฺฐานสฺส อยํ วตฺตพฺพตาย โอกาโส, ตสฺมา มงฺคลปญฺหสมุฎฺฐานํ ตาว วตฺวา ปจฺฉา อิเมสํ คาถาปทานมตฺถํ วณฺณยิสฺสามิฯ กิญฺจ มงฺคลปญฺหสมุฎฺฐานํ? ชมฺพุทีเป กิร ตตฺถ ตตฺถ นครทฺวารสนฺถาคารสภาทีสุ มหาชโน สนฺนิปติตฺวา หิรญฺญสุวณฺณํ ทตฺวา นานปฺปการํ สีตาหรณาทิกถํ กถาเปติ, เอเกกา กถา จตุมาสจฺจเยน นิฎฺฐาติฯ ตตฺถ เอกทิวสํ มงฺคลกถา สมุฎฺฐาสิ ‘‘กิํ นุ โข มงฺคลํ, กิํ ทิฎฺฐํ มงฺคลํ, สุตํ มงฺคลํ, มุตํ มงฺคลํ, โก มงฺคลํ ชานาตี’’ติฯ
Tattha yasmā ‘‘evamiccādipāṭhassa, atthaṃ nānappakārato. Vaṇṇayanto samuṭṭhānaṃ, vatvā’’ti mātikā ṭhapitā, tassa ca samuṭṭhānassa ayaṃ vattabbatāya okāso, tasmā maṅgalapañhasamuṭṭhānaṃ tāva vatvā pacchā imesaṃ gāthāpadānamatthaṃ vaṇṇayissāmi. Kiñca maṅgalapañhasamuṭṭhānaṃ? Jambudīpe kira tattha tattha nagaradvārasanthāgārasabhādīsu mahājano sannipatitvā hiraññasuvaṇṇaṃ datvā nānappakāraṃ sītāharaṇādikathaṃ kathāpeti, ekekā kathā catumāsaccayena niṭṭhāti. Tattha ekadivasaṃ maṅgalakathā samuṭṭhāsi ‘‘kiṃ nu kho maṅgalaṃ, kiṃ diṭṭhaṃ maṅgalaṃ, sutaṃ maṅgalaṃ, mutaṃ maṅgalaṃ, ko maṅgalaṃ jānātī’’ti.
อถ ทิฎฺฐมงฺคลิโก นาเมโก ปุริโส อาห ‘‘อหํ มงฺคลํ ชานามิ, ทิฎฺฐํ โลเก มงฺคลํ ทิฎฺฐํ นาม อภิมงฺคลสมฺมตํ รูปํฯ เสยฺยถิทํ – อิเธกโจฺจ กาลเสฺสว วุฎฺฐาย จาตกสกุณํ วา ปสฺสติ, เพลุวลฎฺฐิํ วา คพฺภินิํ วา กุมารเก วา อลงฺกตปฎิยเตฺต ปุณฺณฆเฎ วา อลฺลโรหิตมจฺฉํ วา อาชญฺญํ วา อาชญฺญรถํ วา อุสภํ วา คาวิํ วา กปิลํ วา, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ กิญฺจิ เอวรูปํ อภิมงฺคลสมฺมตํ รูปํ ปสฺสติ, อิทํ วุจฺจติ ทิฎฺฐมงฺคล’’นฺติฯ ตสฺส วจนํ เอกเจฺจ อคฺคเหสุํ, เอกเจฺจ น อคฺคเหสุํฯ เย น อคฺคเหสุํ, เต เตน สห วิวทิํสุฯ
Atha diṭṭhamaṅgaliko nāmeko puriso āha ‘‘ahaṃ maṅgalaṃ jānāmi, diṭṭhaṃ loke maṅgalaṃ diṭṭhaṃ nāma abhimaṅgalasammataṃ rūpaṃ. Seyyathidaṃ – idhekacco kālasseva vuṭṭhāya cātakasakuṇaṃ vā passati, beluvalaṭṭhiṃ vā gabbhiniṃ vā kumārake vā alaṅkatapaṭiyatte puṇṇaghaṭe vā allarohitamacchaṃ vā ājaññaṃ vā ājaññarathaṃ vā usabhaṃ vā gāviṃ vā kapilaṃ vā, yaṃ vā panaññampi kiñci evarūpaṃ abhimaṅgalasammataṃ rūpaṃ passati, idaṃ vuccati diṭṭhamaṅgala’’nti. Tassa vacanaṃ ekacce aggahesuṃ, ekacce na aggahesuṃ. Ye na aggahesuṃ, te tena saha vivadiṃsu.
อถ สุตมงฺคลิโก นาม เอโก ปุริโส อาห – ‘‘จกฺขุนาเมตํ, โภ, สุจิมฺปิ ปสฺสติ อสุจิมฺปิ, ตถา สุนฺทรมฺปิ, อสุนฺทรมฺปิ, มนาปมฺปิ, อมนาปมฺปิฯ ยทิ เตน ทิฎฺฐํ มงฺคลํ สิยา, สพฺพมฺปิ มงฺคลํ สิยาฯ ตสฺมา น ทิฎฺฐํ มงฺคลํ, อปิจ โข ปน สุตํ มงฺคลํฯ สุตํ นาม อภิมงฺคลสมฺมโต สโทฺทฯ เสยฺยถิทํ? อิเธกโจฺจ กาลเสฺสว วุฎฺฐาย วฑฺฒาติ วา วฑฺฒมานาติ วา ปุณฺณาติ วา ผุสฺสาติ วา สุมนาติ วา สิรีติ วา สิริวฑฺฒาติ วา อชฺช สุนกฺขตฺตํ สุมุหุตฺตํ สุทิวสํ สุมงฺคลนฺติ เอวรูปํ วา ยํกิญฺจิ อภิมงฺคลสมฺมตํ สทฺทํ สุณาติ, อิทํ วุจฺจติ สุตมงฺคล’’นฺติฯ ตสฺสาปิ วจนํ เอกเจฺจ อคฺคเหสุํ, เอกเจฺจ น อคฺคเหสุํฯ เย น อคฺคเหสุํ, เต เตน สห วิวทิํสุฯ
Atha sutamaṅgaliko nāma eko puriso āha – ‘‘cakkhunāmetaṃ, bho, sucimpi passati asucimpi, tathā sundarampi, asundarampi, manāpampi, amanāpampi. Yadi tena diṭṭhaṃ maṅgalaṃ siyā, sabbampi maṅgalaṃ siyā. Tasmā na diṭṭhaṃ maṅgalaṃ, apica kho pana sutaṃ maṅgalaṃ. Sutaṃ nāma abhimaṅgalasammato saddo. Seyyathidaṃ? Idhekacco kālasseva vuṭṭhāya vaḍḍhāti vā vaḍḍhamānāti vā puṇṇāti vā phussāti vā sumanāti vā sirīti vā sirivaḍḍhāti vā ajja sunakkhattaṃ sumuhuttaṃ sudivasaṃ sumaṅgalanti evarūpaṃ vā yaṃkiñci abhimaṅgalasammataṃ saddaṃ suṇāti, idaṃ vuccati sutamaṅgala’’nti. Tassāpi vacanaṃ ekacce aggahesuṃ, ekacce na aggahesuṃ. Ye na aggahesuṃ, te tena saha vivadiṃsu.
อถ มุตมงฺคลิโก นาเมโก ปุริโส อาห ‘‘โสตมฺปิ หิ นาเมตํ, โภ, สาธุมฺปิ อสาธุมฺปิ มนาปมฺปิ อมนาปมฺปิ สทฺทํ สุณาติฯ ยทิ เตน สุตํ มงฺคลํ สิยา, สพฺพมฺปิ มงฺคลํ สิยาฯ ตสฺมา น สุตํ มงฺคลํ, อปิจ โข ปน มุตํ มงฺคลํฯ มุตํ นาม อภิมงฺคลสมฺมตํ คนฺธรสโผฎฺฐพฺพํฯ เสยฺยถิทํ – อิเธกโจฺจ กาลเสฺสว วุฎฺฐาย ปทุมคนฺธาทิปุปฺผคนฺธํ วา ฆายติ, ผุสฺสทนฺตกฎฺฐํ วา ขาทติ, ปถวิํ วา อามสติ, หริตสสฺสํ วา อลฺลโคมยํ วา กจฺฉปํ วา ติลํ วา ปุปฺผํ วา ผลํ วา อามสติ, ผุสฺสมตฺติกาย วา สมฺมา ลิมฺปติ, ผุสฺสสาฎกํ วา นิวาเสติ, ผุสฺสเวฐนํ วา ธาเรติฯ ยํ วา ปนญฺญมฺปิ กิญฺจิ เอวรูปํ อภิมงฺคลสมฺมตํ คนฺธํ วา ฆายติ, รสํ วา สายติ, โผฎฺฐพฺพํ วา ผุสติ, อิทํ วุจฺจติ มุตมงฺคล’’นฺติฯ ตสฺสาปิ วจนํ เอกเจฺจ อคฺคเหสุํ, เอกเจฺจ น อคฺคเหสุํฯ
Atha mutamaṅgaliko nāmeko puriso āha ‘‘sotampi hi nāmetaṃ, bho, sādhumpi asādhumpi manāpampi amanāpampi saddaṃ suṇāti. Yadi tena sutaṃ maṅgalaṃ siyā, sabbampi maṅgalaṃ siyā. Tasmā na sutaṃ maṅgalaṃ, apica kho pana mutaṃ maṅgalaṃ. Mutaṃ nāma abhimaṅgalasammataṃ gandharasaphoṭṭhabbaṃ. Seyyathidaṃ – idhekacco kālasseva vuṭṭhāya padumagandhādipupphagandhaṃ vā ghāyati, phussadantakaṭṭhaṃ vā khādati, pathaviṃ vā āmasati, haritasassaṃ vā allagomayaṃ vā kacchapaṃ vā tilaṃ vā pupphaṃ vā phalaṃ vā āmasati, phussamattikāya vā sammā limpati, phussasāṭakaṃ vā nivāseti, phussaveṭhanaṃ vā dhāreti. Yaṃ vā panaññampi kiñci evarūpaṃ abhimaṅgalasammataṃ gandhaṃ vā ghāyati, rasaṃ vā sāyati, phoṭṭhabbaṃ vā phusati, idaṃ vuccati mutamaṅgala’’nti. Tassāpi vacanaṃ ekacce aggahesuṃ, ekacce na aggahesuṃ.
ตตฺถ น ทิฎฺฐมงฺคลิโก สุตมุตมงฺคลิเก อสกฺขิ ญาเปตุํ, น เตสํ อญฺญตโร อิตเร เทฺวฯ เตสุ จ มนุเสฺสสุ เย ทิฎฺฐมงฺคลิกสฺส วจนํ คณฺหิํสุ, เต ‘‘ทิฎฺฐํเยว มงฺคล’’นฺติ คตาฯ เย สุตมุตมงฺคลิกานํ, เต ‘‘สุตํเยว มุตํเยว มงฺคล’’นฺติ คตาฯ เอวมยํ มงฺคลกถา สกลชมฺพุทีเป ปากฎา ชาตาฯ
Tattha na diṭṭhamaṅgaliko sutamutamaṅgalike asakkhi ñāpetuṃ, na tesaṃ aññataro itare dve. Tesu ca manussesu ye diṭṭhamaṅgalikassa vacanaṃ gaṇhiṃsu, te ‘‘diṭṭhaṃyeva maṅgala’’nti gatā. Ye sutamutamaṅgalikānaṃ, te ‘‘sutaṃyeva mutaṃyeva maṅgala’’nti gatā. Evamayaṃ maṅgalakathā sakalajambudīpe pākaṭā jātā.
อถ สกลชมฺพุทีเป มนุสฺสา คุมฺพคุมฺพา หุตฺวา ‘‘กิํ นุ โข มงฺคล’’นฺติ มงฺคลานิ จินฺตยิํสุฯ เตสํ มนุสฺสานํ อารกฺขเทวตา ตํ กถํ สุตฺวา ตเถว มงฺคลานิ จินฺตยิํสุฯ ตาสํ เทวตานํ ภุมฺมเทวตา มิตฺตา โหนฺติ, อถ ตโต สุตฺวา ภุมฺมเทวตาปิ ตเถว มงฺคลานิ จินฺตยิํสุ, ตาสํ เทวตานํ อากาสฎฺฐเทวตา มิตฺตา โหนฺติ, อากาสฎฺฐเทวตานํ จตุมหาราชิกา เทวตา มิตฺตา โหนฺติ, เอเตนุปาเยน ยาว สุทสฺสีเทวตานํ อกนิฎฺฐเทวตา มิตฺตา โหนฺติ, อถ ตโต สุตฺวา อกนิฎฺฐเทวตาปิ ตเถว คุมฺพคุมฺพา หุตฺวา มงฺคลานิ จินฺตยิํสุฯ เอวํ ยาว ทสสหสฺสจกฺกวาเฬสุ สพฺพตฺถ มงฺคลจินฺตา อุทปาทิฯ อุปฺปนฺนา จ ‘‘อิทํ มงฺคลํ อิทํ มงฺคล’’นฺติ วินิจฺฉยมานาปิ อปฺปตฺตา เอว วินิจฺฉยํ ทฺวาทส วสฺสานิ อฎฺฐาสิฯ สเพฺพ มนุสฺสา จ เทวา จ พฺรหฺมาโน จ ฐเปตฺวา อริยสาวเก ทิฎฺฐสุตมุตวเสน ติธา ภินฺนาฯ เอโกปิ ‘‘อิทเมว มงฺคล’’นฺติ ยถาภุจฺจโต นิฎฺฐงฺคโต นาโหสิ, มงฺคลโกลาหลํ โลเก อุปฺปชฺชิฯ
Atha sakalajambudīpe manussā gumbagumbā hutvā ‘‘kiṃ nu kho maṅgala’’nti maṅgalāni cintayiṃsu. Tesaṃ manussānaṃ ārakkhadevatā taṃ kathaṃ sutvā tatheva maṅgalāni cintayiṃsu. Tāsaṃ devatānaṃ bhummadevatā mittā honti, atha tato sutvā bhummadevatāpi tatheva maṅgalāni cintayiṃsu, tāsaṃ devatānaṃ ākāsaṭṭhadevatā mittā honti, ākāsaṭṭhadevatānaṃ catumahārājikā devatā mittā honti, etenupāyena yāva sudassīdevatānaṃ akaniṭṭhadevatā mittā honti, atha tato sutvā akaniṭṭhadevatāpi tatheva gumbagumbā hutvā maṅgalāni cintayiṃsu. Evaṃ yāva dasasahassacakkavāḷesu sabbattha maṅgalacintā udapādi. Uppannā ca ‘‘idaṃ maṅgalaṃ idaṃ maṅgala’’nti vinicchayamānāpi appattā eva vinicchayaṃ dvādasa vassāni aṭṭhāsi. Sabbe manussā ca devā ca brahmāno ca ṭhapetvā ariyasāvake diṭṭhasutamutavasena tidhā bhinnā. Ekopi ‘‘idameva maṅgala’’nti yathābhuccato niṭṭhaṅgato nāhosi, maṅgalakolāhalaṃ loke uppajji.
โกลาหลํ นาม ปญฺจวิธํ กปฺปโกลาหลํ, จกฺกวตฺติโกลาหลํ, พุทฺธโกลาหลํ, มงฺคลโกลาหลํ, โมเนยฺยโกลาหลนฺติฯ ตตฺถ กามาวจรเทวา มุตฺตสิรา วิกิณฺณเกสา รุทมฺมุขา อสฺสูนิ หเตฺถหิ ปุญฺฉมานา รตฺตวตฺถนิวตฺถา อติวิย วิรูปเวสธาริโน หุตฺวา ‘‘วสฺสสตสหสฺสจฺจเยน กปฺปุฎฺฐานํ โหหิติ, อยํ โลโก วินสฺสิสฺสติ, มหาสมุโทฺท สุสฺสิสฺสติ, อยญฺจ มหาปถวี สิเนรุ จ ปพฺพตราชา อุฑฺฒยฺหิสฺสติ วินสฺสิสฺสติ, ยาว พฺรหฺมโลกา โลกวินาโส ภวิสฺสติ, เมตฺตํ มาริสา ภาเวถ, กรุณํ มุทิตํ อุเปกฺขํ มาริสา ภาเวถ, มาตรํ อุปฎฺฐหถ, ปิตรํ อุปฎฺฐหถ, กุเล เชฎฺฐาปจายิโน โหถ, ชาครถ มา ปมาทตฺถา’’ติ มนุสฺสปเถ วิจริตฺวา อาโรเจนฺติฯ อิทํ กปฺปโกลาหลํ นามฯ
Kolāhalaṃ nāma pañcavidhaṃ kappakolāhalaṃ, cakkavattikolāhalaṃ, buddhakolāhalaṃ, maṅgalakolāhalaṃ, moneyyakolāhalanti. Tattha kāmāvacaradevā muttasirā vikiṇṇakesā rudammukhā assūni hatthehi puñchamānā rattavatthanivatthā ativiya virūpavesadhārino hutvā ‘‘vassasatasahassaccayena kappuṭṭhānaṃ hohiti, ayaṃ loko vinassissati, mahāsamuddo sussissati, ayañca mahāpathavī sineru ca pabbatarājā uḍḍhayhissati vinassissati, yāva brahmalokā lokavināso bhavissati, mettaṃ mārisā bhāvetha, karuṇaṃ muditaṃ upekkhaṃ mārisā bhāvetha, mātaraṃ upaṭṭhahatha, pitaraṃ upaṭṭhahatha, kule jeṭṭhāpacāyino hotha, jāgaratha mā pamādatthā’’ti manussapathe vicaritvā ārocenti. Idaṃ kappakolāhalaṃ nāma.
กามาวจรเทวาเยว ‘‘วสฺสสตสฺสจฺจเยน จกฺกวตฺติราชา โลเก อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ มนุสฺสปเถ วิจริตฺวา อาโรเจนฺติฯ อิทํ จกฺกวตฺติโกลาหลํ นามฯ สุทฺธาวาสา ปน เทวา พฺรหฺมาภรเณน อลงฺกริตฺวา พฺรหฺมเวฐนํ สีเส กตฺวา ปีติโสมนสฺสชาตา พุทฺธคุณวาทิโน ‘‘วสฺสสหสฺสจฺจเยน พุโทฺธ โลเก อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ มนุสฺสปเถ วิจริตฺวา อาโรเจนฺติฯ อิทํ พุทฺธโกลาหลํ นามฯ สุทฺธาวาสา เอว เทวา เทวมนุสฺสานํ จิตฺตํ ญตฺวา ‘‘ทฺวาทสนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยน สมฺมาสมฺพุโทฺธ มงฺคลํ กเถสฺสตี’’ติ มนุสฺสปเถ วิจริตฺวา อาโรเจนฺติฯ อิทํ มงฺคลโกลาหลํ นามฯ สุทฺธาวาสา เอว เทวา ‘‘สตฺตนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยน อญฺญตโร ภิกฺขุ ภควตา สทฺธิํ สมาคมฺม โมเนยฺยปฺปฎิปทํ ปุจฺฉิสฺสตี’’ติ มนุสฺสปเถ วิจริตฺวา อาโรเจนฺติฯ อิทํ โมเนยฺยโกลาหลํ นามฯ อิเมสุ ปญฺจสุ โกลาหเลสุ เทวมนุสฺสานํ อิทํ มงฺคลโกลาหลํ โลเก อุปฺปชฺชิฯ
Kāmāvacaradevāyeva ‘‘vassasatassaccayena cakkavattirājā loke uppajjissatī’’ti manussapathe vicaritvā ārocenti. Idaṃ cakkavattikolāhalaṃ nāma. Suddhāvāsā pana devā brahmābharaṇena alaṅkaritvā brahmaveṭhanaṃ sīse katvā pītisomanassajātā buddhaguṇavādino ‘‘vassasahassaccayena buddho loke uppajjissatī’’ti manussapathe vicaritvā ārocenti. Idaṃ buddhakolāhalaṃ nāma. Suddhāvāsā eva devā devamanussānaṃ cittaṃ ñatvā ‘‘dvādasannaṃ vassānaṃ accayena sammāsambuddho maṅgalaṃ kathessatī’’ti manussapathe vicaritvā ārocenti. Idaṃ maṅgalakolāhalaṃ nāma. Suddhāvāsā eva devā ‘‘sattannaṃ vassānaṃ accayena aññataro bhikkhu bhagavatā saddhiṃ samāgamma moneyyappaṭipadaṃ pucchissatī’’ti manussapathe vicaritvā ārocenti. Idaṃ moneyyakolāhalaṃ nāma. Imesu pañcasu kolāhalesu devamanussānaṃ idaṃ maṅgalakolāhalaṃ loke uppajji.
อถ เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ วิจินิตฺวา วิจินิตฺวา มงฺคลานิ อลภมาเนสุ ทฺวาทสนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยน ตาวติํสกายิกา เทวตา สงฺคมฺม สมาคมฺม เอวํ สมจิเนฺตสุํ ‘‘เสยฺยถาปิ นาม ฆรสามิโก อโนฺตฆรชนานํ, คามสามิโก คามวาสีนํ , ราชา สพฺพมนุสฺสานํ, เอวเมว อยํ สโกฺก เทวานมิโนฺท อมฺหากํ อโคฺค จ เสโฎฺฐ จ ยทิทํ ปุเญฺญน เตเชน อิสฺสริเยน ปญฺญาย ทฺวินฺนํ เทวโลกานํ อธิปติ, ยํนูน มยํ สกฺกํ เทวานมินฺทํ เอตมตฺถํ ปุเจฺฉยฺยามา’’ติฯ ตา สกฺกสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา สกฺกํ เทวานมินฺทํ ตงฺขณานุรูปนิวาสนาภรณสสฺสิริกสรีรํ อฑฺฒเตยฺยโกฎิอจฺฉราคณปริวุตํ ปาริจฺฉตฺตกมูเล ปณฺฑุกมฺพลวราสเน นิสินฺนํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ ฐตฺวา เอตทโวจุํ ‘‘ยเคฺฆ, มาริส, ชาเนยฺยาสิ, เอตรหิ มงฺคลปญฺหา สมุฎฺฐิตา, เอเก ‘ทิฎฺฐํ มงฺคล’นฺติ วทนฺติ, เอเก ‘สุตํ มงฺคล’นฺติ, เอเก ‘มุตํ มงฺคล’นฺติ, ตตฺถ มยญฺจ อเญฺญ จ อนิฎฺฐงฺคตา, สาธุ วต โน ตฺวํ ยาถาวโต พฺยากโรหี’’ติฯ เทวราชา ปกติยาปิ ปญฺญวา ‘‘อยํ มงฺคลกถา กตฺถ ปฐมํ สมุฎฺฐิตา’’ติ อาหฯ ‘‘มยํ, เทว, จาตุมหาราชิกานํ อสฺสุมฺหา’’ติ อาหํสุฯ ตโต จาตุมหาราชิกา อากาสฎฺฐเทวตานํ, อากาสฎฺฐเทวตา ภุมฺมเทวตานํ, ภุมฺมเทวตา มนุสฺสารกฺขเทวตานํ, มนุสฺสารกฺขเทวตา ‘‘มนุสฺสโลเก สมุฎฺฐิตา’’ติ อาหํสุฯ
Atha devesu ca manussesu ca vicinitvā vicinitvā maṅgalāni alabhamānesu dvādasannaṃ vassānaṃ accayena tāvatiṃsakāyikā devatā saṅgamma samāgamma evaṃ samacintesuṃ ‘‘seyyathāpi nāma gharasāmiko antogharajanānaṃ, gāmasāmiko gāmavāsīnaṃ , rājā sabbamanussānaṃ, evameva ayaṃ sakko devānamindo amhākaṃ aggo ca seṭṭho ca yadidaṃ puññena tejena issariyena paññāya dvinnaṃ devalokānaṃ adhipati, yaṃnūna mayaṃ sakkaṃ devānamindaṃ etamatthaṃ puccheyyāmā’’ti. Tā sakkassa santikaṃ gantvā sakkaṃ devānamindaṃ taṅkhaṇānurūpanivāsanābharaṇasassirikasarīraṃ aḍḍhateyyakoṭiaccharāgaṇaparivutaṃ pāricchattakamūle paṇḍukambalavarāsane nisinnaṃ abhivādetvā ekamantaṃ ṭhatvā etadavocuṃ ‘‘yagghe, mārisa, jāneyyāsi, etarahi maṅgalapañhā samuṭṭhitā, eke ‘diṭṭhaṃ maṅgala’nti vadanti, eke ‘sutaṃ maṅgala’nti, eke ‘mutaṃ maṅgala’nti, tattha mayañca aññe ca aniṭṭhaṅgatā, sādhu vata no tvaṃ yāthāvato byākarohī’’ti. Devarājā pakatiyāpi paññavā ‘‘ayaṃ maṅgalakathā kattha paṭhamaṃ samuṭṭhitā’’ti āha. ‘‘Mayaṃ, deva, cātumahārājikānaṃ assumhā’’ti āhaṃsu. Tato cātumahārājikā ākāsaṭṭhadevatānaṃ, ākāsaṭṭhadevatā bhummadevatānaṃ, bhummadevatā manussārakkhadevatānaṃ, manussārakkhadevatā ‘‘manussaloke samuṭṭhitā’’ti āhaṃsu.
อถ เทวานมิโนฺท ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ กตฺถ วสตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มนุสฺสโลเก เทวา’’ติ อาหํสุฯ ตํ ภควนฺตํ โกจิ ปุจฺฉีติ, น โกจิ เทวาติ ฯ กินฺนุ นาม ตุเมฺห มาริสา อคฺคิํ ฉเฑฺฑตฺวา ขโชฺชปนกํ อุชฺชาเลถ, เยน ตุเมฺห อนวเสสมงฺคลเทสกํ ตํ ภควนฺตํ อติกฺกมิตฺวา มํ ปุจฺฉิตพฺพํ มญฺญถ, อาคจฺฉถ มาริสา, ตํ ภควนฺตํ ปุจฺฉาม, อทฺธา สสฺสิริกํ ปญฺหเวยฺยากรณํ ลภิสฺสามาติ เอกํ เทวปุตฺตํ อาณาเปสิ ‘‘ตํ ภควนฺตํ ปุจฺฉา’’ติฯ โส เทวปุโตฺต ตงฺขณานุรูเปน อลงฺกาเรน อตฺตานํ อลงฺกริตฺวา วิชฺชุริว วิโชฺชตมาโน เทวคณปริวุโต เชตวนมหาวิหารํ คนฺตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ ฐตฺวา มงฺคลปญฺหํ ปุจฺฉโนฺต คาถาย อชฺฌภาสิ ‘‘พหู เทวา มนุสฺสา จา’’ติฯ
Atha devānamindo ‘‘sammāsambuddho kattha vasatī’’ti pucchi. ‘‘Manussaloke devā’’ti āhaṃsu. Taṃ bhagavantaṃ koci pucchīti, na koci devāti . Kinnu nāma tumhe mārisā aggiṃ chaḍḍetvā khajjopanakaṃ ujjāletha, yena tumhe anavasesamaṅgaladesakaṃ taṃ bhagavantaṃ atikkamitvā maṃ pucchitabbaṃ maññatha, āgacchatha mārisā, taṃ bhagavantaṃ pucchāma, addhā sassirikaṃ pañhaveyyākaraṇaṃ labhissāmāti ekaṃ devaputtaṃ āṇāpesi ‘‘taṃ bhagavantaṃ pucchā’’ti. So devaputto taṅkhaṇānurūpena alaṅkārena attānaṃ alaṅkaritvā vijjuriva vijjotamāno devagaṇaparivuto jetavanamahāvihāraṃ gantvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ ṭhatvā maṅgalapañhaṃ pucchanto gāthāya ajjhabhāsi ‘‘bahū devā manussā cā’’ti.
อิทํ มงฺคลปญฺหสมุฎฺฐานํฯ
Idaṃ maṅgalapañhasamuṭṭhānaṃ.
พหูเทวาติคาถาวณฺณนา
Bahūdevātigāthāvaṇṇanā
๒. อิทานิ คาถาปทานํ อตฺถวณฺณนา โหติฯ พหูติ อนิยมิตสงฺขฺยานิเทฺทโส, เตน อเนกสตา อเนกสหสฺสา อเนกสตสหสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ ทิพฺพนฺตีติ เทวา, ปญฺจหิ กามคุเณหิ กีฬนฺติ, อตฺตโน วา สิริยา โชเตนฺตีติ อโตฺถฯ อปิจ เทวาติ ติวิธา เทวา สมฺมุติอุปปตฺติวิสุทฺธิวเสนฯ ยถาห –
2. Idāni gāthāpadānaṃ atthavaṇṇanā hoti. Bahūti aniyamitasaṅkhyāniddeso, tena anekasatā anekasahassā anekasatasahassāti vuttaṃ hoti. Dibbantīti devā, pañcahi kāmaguṇehi kīḷanti, attano vā siriyā jotentīti attho. Apica devāti tividhā devā sammutiupapattivisuddhivasena. Yathāha –
‘‘เทวาติ ตโย เทวา – สมฺมุติเทวา, อุปปตฺติเทวา, วิสุทฺธิเทวาฯ ตตฺถ สมฺมุติเทวา นาม ราชาโน เทวิโย ราชกุมาราฯ อุปปตฺติเทวา นาม จาตุมหาราชิเก เทเว อุปาทาย ตทุตฺตริเทวาฯ วิสุทฺธิเทวา นาม อรหโนฺต วุจฺจนฺตี’’ติ (จูฬนิ. โธตกมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๓๒, ปารายนานุคีติคาถานิเทฺทส ๑๑๙)ฯ
‘‘Devāti tayo devā – sammutidevā, upapattidevā, visuddhidevā. Tattha sammutidevā nāma rājāno deviyo rājakumārā. Upapattidevā nāma cātumahārājike deve upādāya taduttaridevā. Visuddhidevā nāma arahanto vuccantī’’ti (cūḷani. dhotakamāṇavapucchāniddesa 32, pārāyanānugītigāthāniddesa 119).
เตสุ อิธ อุปปตฺติเทวา อธิเปฺปตาฯ มนุโน อปจฺจาติ มนุสฺสาฯ โปราณา ปน ภณนฺติ – มนโส อุสฺสนฺนตาย มนุสฺสาฯ เต ชมฺพุทีปกา, อปรโคยานกา, อุตฺตรกุรุกา, ปุพฺพวิเทหกาติ จตุพฺพิธา, อิธ ชมฺพุทีปกา อธิเปฺปตาฯ มงฺคลนฺติ มหนฺติ อิเมหิ สตฺตาติ มงฺคลานิ, อิทฺธิํ วุทฺธิญฺจ ปาปุณนฺตีติ อโตฺถฯ อจินฺตยุนฺติ จิเนฺตสุํ อากงฺขมานาติ อิจฺฉมานา ปตฺถยมานา ปิหยมานาฯ โสตฺถานนฺติ โสตฺถิภาวํ, สเพฺพสํ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกานํ โสภนานํ สุนฺทรานํ กลฺยาณานํ ธมฺมานมตฺถิตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ พฺรูหีติ เทเสหิ ปกาเสหิ, อาจิกฺข วิวร วิภช อุตฺตานีกโรหิฯ มงฺคลนฺติ อิทฺธิการณํ วุทฺธิการณํ สพฺพสมฺปตฺติการณํฯ อุตฺตมนฺติ วิสิฎฺฐํ ปวรํ สพฺพโลกหิตสุขาวหนฺติ อยํ คาถาย อนุปุพฺพปทวณฺณนาฯ
Tesu idha upapattidevā adhippetā. Manuno apaccāti manussā. Porāṇā pana bhaṇanti – manaso ussannatāya manussā. Te jambudīpakā, aparagoyānakā, uttarakurukā, pubbavidehakāti catubbidhā, idha jambudīpakā adhippetā. Maṅgalanti mahanti imehi sattāti maṅgalāni, iddhiṃ vuddhiñca pāpuṇantīti attho. Acintayunti cintesuṃ ākaṅkhamānāti icchamānā patthayamānā pihayamānā. Sotthānanti sotthibhāvaṃ, sabbesaṃ diṭṭhadhammikasamparāyikānaṃ sobhanānaṃ sundarānaṃ kalyāṇānaṃ dhammānamatthitanti vuttaṃ hoti. Brūhīti desehi pakāsehi, ācikkha vivara vibhaja uttānīkarohi. Maṅgalanti iddhikāraṇaṃ vuddhikāraṇaṃ sabbasampattikāraṇaṃ. Uttamanti visiṭṭhaṃ pavaraṃ sabbalokahitasukhāvahanti ayaṃ gāthāya anupubbapadavaṇṇanā.
อยํ ปน ปิณฺฑโตฺถ – โส เทวปุโตฺต ทสสหสฺสจกฺกวาเฬสุ เทวตา มงฺคลปญฺหํ โสตุกามตาย อิมสฺมิํ จกฺกวาเฬ สนฺนิปติตฺวา เอกวาลคฺคโกฎิโอกาสมเตฺต ทสปิ วีสมฺปิ ติํสมฺปิ จตฺตาลีสมฺปิ ปญฺญาสมฺปิ สฎฺฐิปิ สตฺตติปิ อสีติปิ สุขุมตฺตภาเว นิมฺมินิตฺวา สพฺพเทวมารพฺรหฺมาโน สิริยา จ เตชสา จ อธิคฺคยฺห วิโรจมานํ ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสินฺนํ ภควนฺตํ ปริวาเรตฺวา ฐิตา ทิสฺวา ตสฺมิญฺจ สมเย อนาคตานมฺปิ สกลชมฺพุทีปกานํ มนุสฺสานํ เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย สพฺพเทวมนุสฺสานํ วิจิกิจฺฉาสลฺลสมุทฺธรณตฺถํ อาห –
Ayaṃ pana piṇḍattho – so devaputto dasasahassacakkavāḷesu devatā maṅgalapañhaṃ sotukāmatāya imasmiṃ cakkavāḷe sannipatitvā ekavālaggakoṭiokāsamatte dasapi vīsampi tiṃsampi cattālīsampi paññāsampi saṭṭhipi sattatipi asītipi sukhumattabhāve nimminitvā sabbadevamārabrahmāno siriyā ca tejasā ca adhiggayha virocamānaṃ paññattavarabuddhāsane nisinnaṃ bhagavantaṃ parivāretvā ṭhitā disvā tasmiñca samaye anāgatānampi sakalajambudīpakānaṃ manussānaṃ cetasā cetoparivitakkamaññāya sabbadevamanussānaṃ vicikicchāsallasamuddharaṇatthaṃ āha –
‘‘พหู เทวา มนุสฺสา จ, มงฺคลานิ อจินฺตยุํ;
‘‘Bahū devā manussā ca, maṅgalāni acintayuṃ;
อากงฺขมานา โสตฺถานํ, พฺรูหิ มงฺคลมุตฺตม’’นฺติฯ
Ākaṅkhamānā sotthānaṃ, brūhi maṅgalamuttama’’nti.
ตาสํ เทวตานํ อนุมติยา มนุสฺสานญฺจ อนุคฺคเหน มยา ปุโฎฺฐ สมาโน ยํ สเพฺพสเมว อมฺหากํ เอกนฺตหิตสุขาวหโต อุตฺตมํ มงฺคลํ, ตํ โน อนุกมฺปํ อุปาทาย พฺรูหิ ภควาติฯ
Tāsaṃ devatānaṃ anumatiyā manussānañca anuggahena mayā puṭṭho samāno yaṃ sabbesameva amhākaṃ ekantahitasukhāvahato uttamaṃ maṅgalaṃ, taṃ no anukampaṃ upādāya brūhi bhagavāti.
อเสวนาจาติคาถาวณฺณนา
Asevanācātigāthāvaṇṇanā
๓. เอวเมตํ เทวปุตฺตสฺส วจนํ สุตฺวา ภควา ‘‘อเสวนา จ พาลาน’’นฺติ คาถมาหฯ ตตฺถ อเสวนาติ อภชนา อปยิรุปาสนาฯ พาลานนฺติ พลนฺติ อสฺสสนฺตีติ พาลา, อสฺสสิตปสฺสสิตมเตฺตน ชีวนฺติ, น ปญฺญาชีวิเตนาติ อธิปฺปาโยฯ เตสํ พาลานํฯ ปณฺฑิตานนฺติ ปณฺฑนฺตีติ ปณฺฑิตา, สนฺทิฎฺฐิกสมฺปรายิเกสุ อเตฺถสุ ญาณคติยา คจฺฉนฺตีติ อธิปฺปาโยฯ เตสํ ปณฺฑิตานํฯ เสวนาติ ภชนา ปยิรุปาสนา ตํสหายตา ตํสมฺปวงฺกตา ตํสมงฺคิตา ปูชาติ สกฺการครุการมานนวนฺทนาฯ ปูชเนยฺยานนฺติ ปูชารหานํฯ เอตํ มงฺคลมุตฺตมนฺติ ยา จ พาลานํ อเสวนา, ยา จ ปณฺฑิตานํ เสวนา, ยา จ ปูชเนยฺยานํ ปูชา, ตํ สพฺพํ สมฺปิเณฺฑตฺวา อาห ‘‘เอตํ มงฺคลมุตฺตม’’นฺติฯ ยํ ตยา ปุฎฺฐํ ‘‘พฺรูหิ มงฺคลมุตฺตม’’นฺติ, เอตฺถ ตาว เอตํ มงฺคลมุตฺตมนฺติ คณฺหาหีติ วุตฺตํ โหติฯ อยเมติสฺสา คาถาย ปทวณฺณนาฯ
3. Evametaṃ devaputtassa vacanaṃ sutvā bhagavā ‘‘asevanā ca bālāna’’nti gāthamāha. Tattha asevanāti abhajanā apayirupāsanā. Bālānanti balanti assasantīti bālā, assasitapassasitamattena jīvanti, na paññājīvitenāti adhippāyo. Tesaṃ bālānaṃ. Paṇḍitānanti paṇḍantīti paṇḍitā, sandiṭṭhikasamparāyikesu atthesu ñāṇagatiyā gacchantīti adhippāyo. Tesaṃ paṇḍitānaṃ. Sevanāti bhajanā payirupāsanā taṃsahāyatā taṃsampavaṅkatā taṃsamaṅgitā pūjāti sakkāragarukāramānanavandanā. Pūjaneyyānanti pūjārahānaṃ. Etaṃ maṅgalamuttamanti yā ca bālānaṃ asevanā, yā ca paṇḍitānaṃ sevanā, yā ca pūjaneyyānaṃ pūjā, taṃ sabbaṃ sampiṇḍetvā āha ‘‘etaṃ maṅgalamuttama’’nti. Yaṃ tayā puṭṭhaṃ ‘‘brūhi maṅgalamuttama’’nti, ettha tāva etaṃ maṅgalamuttamanti gaṇhāhīti vuttaṃ hoti. Ayametissā gāthāya padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปนสฺสา เอวํ เวทิตพฺพา – เอวเมตํ เทวปุตฺตสฺส วจนํ สุตฺวา ภควา ‘‘อเสวนา จ พาลาน’’นฺติ อิมํ คาถมาหฯ ตตฺถ ยสฺมา จตุพฺพิธา คาถา ปุจฺฉิตคาถา, อปุจฺฉิตคาถา, สานุสนฺธิกคาถา, อนนุสนฺธิกคาถาติฯ ตตฺถ ‘‘ปุจฺฉามิ ตํ, โคตม, ภูริปญฺญ, กถงฺกโร สาวโก สาธุ โหตี’’ติ (สุ. นิ. ๓๗๘) จ ‘‘กถํ นุ ตฺวํ, มาริส, โอฆมตรี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑) จ เอวมาทีสุ ปุจฺฉิเตน กถิตา ปุจฺฉิตคาถาฯ ‘‘ยํ ปเร สุขโต อาหุ, ตทริยา อาหุ ทุกฺขโต’’ติ เอวมาทีสุ (สุ. นิ. ๗๖๗) อปุจฺฉิเตน อตฺตชฺฌาสยวเสน กถิตา อปุจฺฉิตคาถาฯ สพฺพาปิ พุทฺธานํ คาถา ‘‘สนิทานาหํ, ภิกฺขเว, ธมฺมํ เทเสสฺสามี’’ติ (อ. นิ. ๓.๑๒๖; กถา. ๘๐๖) วจนโต สานุสนฺธิกคาถาฯ อนนุสนฺธิกคาถา อิมสฺมิํ สาสเน นตฺถิฯ เอวเมตาสุ คาถาสุ อยํ เทวปุเตฺตน ปุจฺฉิเตน ภควตา กถิตตฺตา ปุจฺฉิตคาถาฯ อยญฺจ ยถา เฉโก ปุริโส กุสโล มคฺคสฺส กุสโล อมคฺคสฺส มคฺคํ ปุโฎฺฐ ปฐมํ วิชหิตพฺพํ อาจิกฺขิตฺวา ปจฺฉา คเหตพฺพํ อาจิกฺขติ ‘‘อสุกสฺมิํ นาม ฐาเน เทฺวธาปโถ โหติ, ตตฺถ วามํ มุญฺจิตฺวา ทกฺขิณํ คณฺหถา’’ติ, เอวํ เสวิตพฺพาเสวิตเพฺพสุ อเสวิตพฺพํ อาจิกฺขิตฺวา เสวิตพฺพํ อาจิกฺขติ ฯ ภควา จ มคฺคกุสลปุริสสทิโสฯ ยถาห –
Atthavaṇṇanā panassā evaṃ veditabbā – evametaṃ devaputtassa vacanaṃ sutvā bhagavā ‘‘asevanā ca bālāna’’nti imaṃ gāthamāha. Tattha yasmā catubbidhā gāthā pucchitagāthā, apucchitagāthā, sānusandhikagāthā, ananusandhikagāthāti. Tattha ‘‘pucchāmi taṃ, gotama, bhūripañña, kathaṅkaro sāvako sādhu hotī’’ti (su. ni. 378) ca ‘‘kathaṃ nu tvaṃ, mārisa, oghamatarī’’ti (saṃ. ni. 1.1) ca evamādīsu pucchitena kathitā pucchitagāthā. ‘‘Yaṃ pare sukhato āhu, tadariyā āhu dukkhato’’ti evamādīsu (su. ni. 767) apucchitena attajjhāsayavasena kathitā apucchitagāthā. Sabbāpi buddhānaṃ gāthā ‘‘sanidānāhaṃ, bhikkhave, dhammaṃ desessāmī’’ti (a. ni. 3.126; kathā. 806) vacanato sānusandhikagāthā. Ananusandhikagāthā imasmiṃ sāsane natthi. Evametāsu gāthāsu ayaṃ devaputtena pucchitena bhagavatā kathitattā pucchitagāthā. Ayañca yathā cheko puriso kusalo maggassa kusalo amaggassa maggaṃ puṭṭho paṭhamaṃ vijahitabbaṃ ācikkhitvā pacchā gahetabbaṃ ācikkhati ‘‘asukasmiṃ nāma ṭhāne dvedhāpatho hoti, tattha vāmaṃ muñcitvā dakkhiṇaṃ gaṇhathā’’ti, evaṃ sevitabbāsevitabbesu asevitabbaṃ ācikkhitvā sevitabbaṃ ācikkhati . Bhagavā ca maggakusalapurisasadiso. Yathāha –
‘‘ปุริโส มคฺคกุสโลติ โข, ติสฺส, ตถาคตเสฺสตํ อธิวจนํ อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ โส หิ กุสโล อิมสฺส โลกสฺส, กุสโล ปรสฺส โลกสฺส, กุสโล มจฺจุเธยฺยสฺส, กุสโล อมจฺจุเธยฺยสฺส, กุสโล มารเธยฺยสฺส, กุสโล อมารเธยฺยสฺสา’’ติฯ
‘‘Puriso maggakusaloti kho, tissa, tathāgatassetaṃ adhivacanaṃ arahato sammāsambuddhassa. So hi kusalo imassa lokassa, kusalo parassa lokassa, kusalo maccudheyyassa, kusalo amaccudheyyassa, kusalo māradheyyassa, kusalo amāradheyyassā’’ti.
ตสฺมา ปฐมํ อเสวิตพฺพํ อาจิกฺขโนฺต อาห – ‘‘อเสวนา จ พาลานํ, ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา’’ติฯ วิชหิตพฺพมโคฺค วิย หิ ปฐมํ พาลา น เสวิตพฺพา น ปยิรุปาสิตพฺพา, ตโต คเหตพฺพมโคฺค วิย ปณฺฑิตา เสวิตพฺพา ปยิรุปาสิตพฺพาติฯ กสฺมา ปน ภควตา มงฺคลํ กเถเนฺตน ปฐมํ พาลานมเสวนา ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา กถิตาติ? วุจฺจเต – ยสฺมา อิมํ ทิฎฺฐาทีสุ มงฺคลทิฎฺฐิํ พาลเสวนาย เทวมนุสฺสา คณฺหิํสุ, สา จ อมงฺคลํ, ตสฺมา เตสํ ตํ อิธโลกปรโลกตฺถภญฺชกํ อกลฺยาณมิตฺตสํสคฺคํ ครหเนฺตน อุภยโลกตฺถสาธกญฺจ กลฺยาณมิตฺตสํสคฺคํ ปสํสเนฺตน ภควตา ปฐมํ พาลานมเสวนา ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา กถิตาติฯ
Tasmā paṭhamaṃ asevitabbaṃ ācikkhanto āha – ‘‘asevanā ca bālānaṃ, paṇḍitānañca sevanā’’ti. Vijahitabbamaggo viya hi paṭhamaṃ bālā na sevitabbā na payirupāsitabbā, tato gahetabbamaggo viya paṇḍitā sevitabbā payirupāsitabbāti. Kasmā pana bhagavatā maṅgalaṃ kathentena paṭhamaṃ bālānamasevanā paṇḍitānañca sevanā kathitāti? Vuccate – yasmā imaṃ diṭṭhādīsu maṅgaladiṭṭhiṃ bālasevanāya devamanussā gaṇhiṃsu, sā ca amaṅgalaṃ, tasmā tesaṃ taṃ idhalokaparalokatthabhañjakaṃ akalyāṇamittasaṃsaggaṃ garahantena ubhayalokatthasādhakañca kalyāṇamittasaṃsaggaṃ pasaṃsantena bhagavatā paṭhamaṃ bālānamasevanā paṇḍitānañca sevanā kathitāti.
ตตฺถ พาลา นาม เย เกจิ ปาณาติปาตาทิอกุสลกมฺมปถสมนฺนาคตา สตฺตา, เต ตีหากาเรหิ ชานิตพฺพาฯ ยถาห ‘‘ตีณิมานิ, ภิกฺขเว, พาลสฺส พาลลกฺขณานี’’ติ สุตฺตํ (อ. นิ. ๓.๓; ม. นิ. ๓.๒๔๖)ฯ อปิจ ปูรณกสฺสปาทโย ฉ สตฺถาโร, เทวทตฺตโกกาลิกกฎโมทกติสฺสขณฺฑเทวิยาปุตฺตสมุทฺททตฺตจิญฺจมาณวิกาทโย อตีตกาเล จ ทีฆวิทสฺส ภาตาติ อิเม อเญฺญ จ เอวรูปา สตฺตา พาลาติ เวทิตพฺพาฯ
Tattha bālā nāma ye keci pāṇātipātādiakusalakammapathasamannāgatā sattā, te tīhākārehi jānitabbā. Yathāha ‘‘tīṇimāni, bhikkhave, bālassa bālalakkhaṇānī’’ti suttaṃ (a. ni. 3.3; ma. ni. 3.246). Apica pūraṇakassapādayo cha satthāro, devadattakokālikakaṭamodakatissakhaṇḍadeviyāputtasamuddadattaciñcamāṇavikādayo atītakāle ca dīghavidassa bhātāti ime aññe ca evarūpā sattā bālāti veditabbā.
เต อคฺคิปทิตฺตมิว อคารํ อตฺตนา ทุคฺคหิเตน อตฺตานเญฺจว อตฺตโน วจนการเก จ วินาเสนฺติฯ ยถา ทีฆวิทสฺส ภาตา จตุพุทฺธนฺตรํ สฎฺฐิโยชนมเตฺตน อตฺตภาเวน อุตฺตาโน ปติโต มหานิรเย ปจฺจติ, ยถา จ ตสฺส ทิฎฺฐิํ อภิรุจนกานิ ปญฺจ กุลสตานิ ตเสฺสว สหพฺยตํ อุปปนฺนานิ มหานิรเย ปจฺจนฺติฯ วุตฺตเญฺจตํ ภควตา –
Te aggipadittamiva agāraṃ attanā duggahitena attānañceva attano vacanakārake ca vināsenti. Yathā dīghavidassa bhātā catubuddhantaraṃ saṭṭhiyojanamattena attabhāvena uttāno patito mahāniraye paccati, yathā ca tassa diṭṭhiṃ abhirucanakāni pañca kulasatāni tasseva sahabyataṃ upapannāni mahāniraye paccanti. Vuttañcetaṃ bhagavatā –
‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, นฬาคารา วา ติณาคารา วา อคฺคิ มุโตฺต กูฎาคารานิปิ ฑหติ อุลฺลิตฺตาวลิตฺตานิ นิวาตานิ ผุสิตคฺคฬานิ ปิหิตวาตปานานิ, เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ยานิ กานิจิ ภยานิ อุปฺปชฺชนฺติ, สพฺพานิ ตานิ พาลโต อุปฺปชฺชนฺติ, โน ปณฺฑิตโตฯ เย เกจิ อุปทฺทวา อุปฺปชฺชนฺติ…เป.… เย เกจิ อุปสคฺคา…เป.… โน ปณฺฑิตโตฯ อิติ โข, ภิกฺขเว, สปฺปฎิภโย พาโล, อปฺปฎิภโย ปณฺฑิโตฯ สอุปทฺทโว พาโล, อนุปทฺทโว ปณฺฑิโต, สอุปสโคฺค พาโล, อนุปสโคฺค ปณฺฑิโต’’ติ (อ. นิ. ๓.๑)ฯ
‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, naḷāgārā vā tiṇāgārā vā aggi mutto kūṭāgārānipi ḍahati ullittāvalittāni nivātāni phusitaggaḷāni pihitavātapānāni, evameva kho, bhikkhave, yāni kānici bhayāni uppajjanti, sabbāni tāni bālato uppajjanti, no paṇḍitato. Ye keci upaddavā uppajjanti…pe… ye keci upasaggā…pe… no paṇḍitato. Iti kho, bhikkhave, sappaṭibhayo bālo, appaṭibhayo paṇḍito. Saupaddavo bālo, anupaddavo paṇḍito, saupasaggo bālo, anupasaggo paṇḍito’’ti (a. ni. 3.1).
อปิจ ปูติมจฺฉสทิโส พาโล, ปูติมจฺฉพนฺธปตฺตปุฎสทิโส โหติ ตทุปเสวี, ฉฑฺฑนียตํ ชิคุจฺฉนียตญฺจ ปาปุณาติ วิญฺญูนํฯ วุตฺตเญฺจตํ –
Apica pūtimacchasadiso bālo, pūtimacchabandhapattapuṭasadiso hoti tadupasevī, chaḍḍanīyataṃ jigucchanīyatañca pāpuṇāti viññūnaṃ. Vuttañcetaṃ –
‘‘ปูติมจฺฉํ กุสเคฺคน, โย นโร อุปนยฺหติ;
‘‘Pūtimacchaṃ kusaggena, yo naro upanayhati;
กุสาปิ ปูตี วายนฺติ, เอวํ พาลูปเสวนา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๑๘๓; ๒.๒๒.๑๒๕๗);
Kusāpi pūtī vāyanti, evaṃ bālūpasevanā’’ti. (jā. 1.15.183; 2.22.1257);
อกิตฺติปณฺฑิโต จาปิ สเกฺกน เทวานมิเนฺทน วเร ทิยฺยมาเน เอวมาห –
Akittipaṇḍito cāpi sakkena devānamindena vare diyyamāne evamāha –
‘‘พาลํ น ปเสฺส น สุเณ, น จ พาเลน สํวเส;
‘‘Bālaṃ na passe na suṇe, na ca bālena saṃvase;
พาเลนลฺลาปสลฺลาปํ, น กเร น จ โรจเยฯ
Bālenallāpasallāpaṃ, na kare na ca rocaye.
‘‘กินฺนุ เต อกรํ พาโล, วท กสฺสป การณํ;
‘‘Kinnu te akaraṃ bālo, vada kassapa kāraṇaṃ;
เกน กสฺสป พาลสฺส, ทสฺสนํ นาภิกงฺขสิฯ
Kena kassapa bālassa, dassanaṃ nābhikaṅkhasi.
‘‘อนยํ นยติ ทุเมฺมโธ, อธุรายํ นิยุญฺชติ;
‘‘Anayaṃ nayati dummedho, adhurāyaṃ niyuñjati;
ทุนฺนโย เสยฺยโส โหติ, สมฺมา วุโตฺต ปกุปฺปติ;
Dunnayo seyyaso hoti, sammā vutto pakuppati;
วินยํ โส น ชานาติ, สาธุ ตสฺส อทสฺสน’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๓.๙๐-๙๒);
Vinayaṃ so na jānāti, sādhu tassa adassana’’nti. (jā. 1.13.90-92);
เอวํ ภควา สพฺพากาเรน พาลูปเสวนํ ครหโนฺต ‘‘พาลานมเสวนา มงฺคล’’นฺติ วตฺวา อิทานิ ปณฺฑิตเสวนํ ปสํสโนฺต ‘‘ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา มงฺคล’’นฺติ อาหฯ ตตฺถ ปณฺฑิตา นาม เย เกจิ ปาณาติปาตาเวรมณิอาทิทสกุสลกมฺมปถสมนฺนาคตา สตฺตา, เต ตีหากาเรหิ ชานิตพฺพาฯ ยถาห ‘‘ตีณิมานิ, ภิกฺขเว, ปณฺฑิตสฺส ปณฺฑิตลกฺขณานี’’ติ (อ. นิ. ๓.๓; ม. นิ. ๓.๒๕๓) สุตฺตํฯ อปิจ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธอสีติมหาสาวกา อเญฺญ จ ตถาคตสฺส สาวกา สุเนตฺตมหาโควินฺทวิธุรสรภงฺคมโหสธสุตโสมนิมิราช- อโยฆรกุมารอกิตฺติปณฺฑิตาทโย จ ปณฺฑิตาติ เวทิตพฺพาฯ
Evaṃ bhagavā sabbākārena bālūpasevanaṃ garahanto ‘‘bālānamasevanā maṅgala’’nti vatvā idāni paṇḍitasevanaṃ pasaṃsanto ‘‘paṇḍitānañca sevanā maṅgala’’nti āha. Tattha paṇḍitā nāma ye keci pāṇātipātāveramaṇiādidasakusalakammapathasamannāgatā sattā, te tīhākārehi jānitabbā. Yathāha ‘‘tīṇimāni, bhikkhave, paṇḍitassa paṇḍitalakkhaṇānī’’ti (a. ni. 3.3; ma. ni. 3.253) suttaṃ. Apica buddhapaccekabuddhaasītimahāsāvakā aññe ca tathāgatassa sāvakā sunettamahāgovindavidhurasarabhaṅgamahosadhasutasomanimirāja- ayogharakumāraakittipaṇḍitādayo ca paṇḍitāti veditabbā.
เต ภเย วิย รกฺขา อนฺธกาเร วิย ปทีโป ขุปฺปิปาสาทิทุกฺขาภิภเว วิย อนฺนปานาทิปฺปฎิลาโภ อตฺตโน วจนกรานํ สพฺพภยุปทฺทวูปสคฺควิทฺธํสนสมตฺถา โหนฺติฯ ตถา หิ ตถาคตํ อาคมฺม อสเงฺขฺยยฺยา อปริมาณา เทวมนุสฺสา อาสวกฺขยํ ปตฺตา, พฺรหฺมโลเก ปติฎฺฐิตา, เทวโลเก ปติฎฺฐิตา, สุคติโลเก อุปฺปนฺนา, สาริปุตฺตเตฺถเร จิตฺตํ ปสาเทตฺวา จตูหิ จ ปจฺจเยหิ เถรํ อุปฎฺฐหิตฺวา อสีติ กุลสหสฺสานิ สเคฺค นิพฺพตฺตานิฯ ตถา มหาโมคฺคลฺลานมหากสฺสปปฺปภุตีสุ สพฺพมหาสาวเกสุ, สุเนตฺตสฺส สตฺถุโน สาวกา อเปฺปกเจฺจ พฺรหฺมโลเก อุปฺปชฺชิํสุ, อเปฺปกเจฺจ ปรนิมฺมิตวสวตฺตีนํ เทวานํ สหพฺยตํ…เป.… อเปฺปกเจฺจ คหปติมหาสาลานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชิํสุฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Te bhaye viya rakkhā andhakāre viya padīpo khuppipāsādidukkhābhibhave viya annapānādippaṭilābho attano vacanakarānaṃ sabbabhayupaddavūpasaggaviddhaṃsanasamatthā honti. Tathā hi tathāgataṃ āgamma asaṅkhyeyyā aparimāṇā devamanussā āsavakkhayaṃ pattā, brahmaloke patiṭṭhitā, devaloke patiṭṭhitā, sugatiloke uppannā, sāriputtatthere cittaṃ pasādetvā catūhi ca paccayehi theraṃ upaṭṭhahitvā asīti kulasahassāni sagge nibbattāni. Tathā mahāmoggallānamahākassapappabhutīsu sabbamahāsāvakesu, sunettassa satthuno sāvakā appekacce brahmaloke uppajjiṃsu, appekacce paranimmitavasavattīnaṃ devānaṃ sahabyataṃ…pe… appekacce gahapatimahāsālānaṃ sahabyataṃ upapajjiṃsu. Vuttampi cetaṃ –
‘‘นตฺถิ, ภิกฺขเว, ปณฺฑิตโต ภยํ, นตฺถิ ปณฺฑิตโต อุปทฺทโว, นตฺถิ ปณฺฑิตโต อุปสโคฺค’’ติ (อ. นิ. ๓.๑)ฯ
‘‘Natthi, bhikkhave, paṇḍitato bhayaṃ, natthi paṇḍitato upaddavo, natthi paṇḍitato upasaggo’’ti (a. ni. 3.1).
อปิจ ตครมาลาทิคนฺธสทิโส ปณฺฑิโต, ตครมาลาทิคนฺธพนฺธปลิเวฐนปตฺตสทิโส โหติ ตทุปเสวี, ภาวนียตํ มนุญฺญตญฺจ อาปชฺชติ วิญฺญูนํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Apica tagaramālādigandhasadiso paṇḍito, tagaramālādigandhabandhapaliveṭhanapattasadiso hoti tadupasevī, bhāvanīyataṃ manuññatañca āpajjati viññūnaṃ. Vuttampi cetaṃ –
‘‘ตครญฺจ ปลาเสน, โย นโร อุปนยฺหติ;
‘‘Tagarañca palāsena, yo naro upanayhati;
ปตฺตาปิ สุรภี วายนฺติ, เอวํ ธีรูปเสวนา’’ติฯ (อิติวุ. ๗๖; ชา. ๑.๑๕.๑๘๔; ๒.๒๒.๑๒๕๘);
Pattāpi surabhī vāyanti, evaṃ dhīrūpasevanā’’ti. (itivu. 76; jā. 1.15.184; 2.22.1258);
อกิตฺติปณฺฑิโต จาปิ สเกฺกน เทวานมิเนฺทน วเร ทิยฺยมาเน เอวมาห –
Akittipaṇḍito cāpi sakkena devānamindena vare diyyamāne evamāha –
‘‘ธีรํ ปเสฺส สุเณ ธีรํ, ธีเรน สห สํวเส;
‘‘Dhīraṃ passe suṇe dhīraṃ, dhīrena saha saṃvase;
ธีเรนลฺลาปสลฺลาปํ, ตํ กเร ตญฺจ โรจเยฯ
Dhīrenallāpasallāpaṃ, taṃ kare tañca rocaye.
‘‘กินฺนุ เต อกรํ ธีโร, วท กสฺสป การณํ;
‘‘Kinnu te akaraṃ dhīro, vada kassapa kāraṇaṃ;
เกน กสฺสป ธีรสฺส, ทสฺสนํ อภิกงฺขสิฯ
Kena kassapa dhīrassa, dassanaṃ abhikaṅkhasi.
‘‘นยํ นยติ เมธาวี, อธุรายํ น ยุญฺชติ;
‘‘Nayaṃ nayati medhāvī, adhurāyaṃ na yuñjati;
สุนโย เสยฺยโส โหติ, สมฺมา วุโตฺต น กุปฺปติ;
Sunayo seyyaso hoti, sammā vutto na kuppati;
วินยํ โส ปชานาติ, สาธุ เตน สมาคโม’’ติฯ (ชา. ๑.๑๓.๙๔-๙๖);
Vinayaṃ so pajānāti, sādhu tena samāgamo’’ti. (jā. 1.13.94-96);
เอวํ ภควา สพฺพากาเรน ปณฺฑิตเสวนํ ปสํสโนฺต ‘‘ปณฺฑิตานํ เสวนา มงฺคล’’นฺติ วตฺวา อิทานิ ตาย พาลานํ อเสวนาย ปณฺฑิตานํ เสวนาย จ อนุปุเพฺพน ปูชเนยฺยภาวํ อุปคตานํ ปูชํ ปสํสโนฺต ‘‘ปูชา จ ปูชเนยฺยานํ มงฺคล’’นฺติ อาหฯ ตตฺถ ปูชเนยฺยา นาม สพฺพโทสวิรหิตตฺตา สพฺพคุณสมนฺนาคตตฺตา จ พุทฺธา ภควโนฺต, ตโต ปจฺฉา ปเจฺจกพุทฺธา, อริยสาวกา จฯ เตสญฺหิ ปูชา อปฺปกาปิ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย โหติ, สุมนมาลาการมลฺลิกาทโย เจตฺถ นิทสฺสนํฯ
Evaṃ bhagavā sabbākārena paṇḍitasevanaṃ pasaṃsanto ‘‘paṇḍitānaṃ sevanā maṅgala’’nti vatvā idāni tāya bālānaṃ asevanāya paṇḍitānaṃ sevanāya ca anupubbena pūjaneyyabhāvaṃ upagatānaṃ pūjaṃ pasaṃsanto ‘‘pūjā ca pūjaneyyānaṃ maṅgala’’nti āha. Tattha pūjaneyyā nāma sabbadosavirahitattā sabbaguṇasamannāgatattā ca buddhā bhagavanto, tato pacchā paccekabuddhā, ariyasāvakā ca. Tesañhi pūjā appakāpi dīgharattaṃ hitāya sukhāya hoti, sumanamālākāramallikādayo cettha nidassanaṃ.
ตเตฺถกํ นิทสฺสนมตฺตํ ภณาม – ภควา หิ เอกทิวสํ ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ราชคหํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อถ โข สุมนมาลากาโร รโญฺญ มาคธสฺส เสนิยสฺส พิมฺพิสารสฺส ปุปฺผานิ คเหตฺวา คจฺฉโนฺต อทฺทส ภควนฺตํ นครทฺวารมนุปฺปตฺตํ ปาสาทิกํ ปสาทนียํ ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณาสีตานุพฺยญฺชนปฺปฎิมณฺฑิตํ พุทฺธสิริยา ชลนฺตํ, ทิสฺวานสฺส เอตทโหสิ ‘‘ราชา ปุปฺผานิ คเหตฺวา สตํ วา สหสฺสํ วา ทเทยฺย , ตญฺจ อิธโลกมตฺตเมว สุขํ ภเวยฺย, ภควโต ปน ปูชา อปฺปเมยฺยอสเงฺขฺยยฺยผลา ทีฆรตฺตํ หิตสุขาวหา โหติ, หนฺทาหํ อิเมหิ ปุเปฺผหิ ภควนฺตํ ปูเชมี’’ติ ปสนฺนจิโตฺต เอกํ ปุปฺผมุฎฺฐิํ คเหตฺวา ภควโต ปฎิมุขํ ขิปิ, ปุปฺผานิ อากาเสน คนฺตฺวา ภควโต อุปริ มาลาวิตานํ หุตฺวา อฎฺฐํสุฯ มาลากาโร ตมานุภาวํ ทิสฺวา ปสนฺนตรจิโตฺต ปุน เอกํ ปุปฺผมุฎฺฐิํ ขิปิ, ตานิปิ คนฺตฺวา มาลากญฺจุโก หุตฺวา อฎฺฐํสุฯ เอวํ อฎฺฐ ปุปฺผมุฎฺฐิโย ขิปิ, ตานิ คนฺตฺวา ปุปฺผกูฎาคารํ หุตฺวา อฎฺฐํสุฯ
Tatthekaṃ nidassanamattaṃ bhaṇāma – bhagavā hi ekadivasaṃ pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya rājagahaṃ piṇḍāya pāvisi. Atha kho sumanamālākāro rañño māgadhassa seniyassa bimbisārassa pupphāni gahetvā gacchanto addasa bhagavantaṃ nagaradvāramanuppattaṃ pāsādikaṃ pasādanīyaṃ dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇāsītānubyañjanappaṭimaṇḍitaṃ buddhasiriyā jalantaṃ, disvānassa etadahosi ‘‘rājā pupphāni gahetvā sataṃ vā sahassaṃ vā dadeyya , tañca idhalokamattameva sukhaṃ bhaveyya, bhagavato pana pūjā appameyyaasaṅkhyeyyaphalā dīgharattaṃ hitasukhāvahā hoti, handāhaṃ imehi pupphehi bhagavantaṃ pūjemī’’ti pasannacitto ekaṃ pupphamuṭṭhiṃ gahetvā bhagavato paṭimukhaṃ khipi, pupphāni ākāsena gantvā bhagavato upari mālāvitānaṃ hutvā aṭṭhaṃsu. Mālākāro tamānubhāvaṃ disvā pasannataracitto puna ekaṃ pupphamuṭṭhiṃ khipi, tānipi gantvā mālākañcuko hutvā aṭṭhaṃsu. Evaṃ aṭṭha pupphamuṭṭhiyo khipi, tāni gantvā pupphakūṭāgāraṃ hutvā aṭṭhaṃsu.
ภควา อโนฺตกูฎาคาเร อโหสิ, มหาชนกาโย สนฺนิปติฯ ภควา มาลาการํ ปสฺสโนฺต สิตํ ปาตฺวากาสิฯ อานนฺทเตฺถโร ‘‘น พุทฺธา อเหตู อปจฺจยา สิตํ ปาตุกโรนฺตี’’ติ สิตการณํ ปุจฺฉิฯ ภควา อาห ‘‘เอโส, อานนฺท, มาลากาโร อิมิสฺสา ปูชาย อานุภาเวน สตสหสฺสกเปฺป เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สํสริตฺวา ปริโยสาเน สุมนิสฺสโร นาม ปเจฺจกพุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติฯ วจนปริโยสาเน ธมฺมเทสนตฺถํ อิมํ คาถํ อภาสิ –
Bhagavā antokūṭāgāre ahosi, mahājanakāyo sannipati. Bhagavā mālākāraṃ passanto sitaṃ pātvākāsi. Ānandatthero ‘‘na buddhā ahetū apaccayā sitaṃ pātukarontī’’ti sitakāraṇaṃ pucchi. Bhagavā āha ‘‘eso, ānanda, mālākāro imissā pūjāya ānubhāvena satasahassakappe devesu ca manussesu ca saṃsaritvā pariyosāne sumanissaro nāma paccekabuddho bhavissatī’’ti. Vacanapariyosāne dhammadesanatthaṃ imaṃ gāthaṃ abhāsi –
‘‘ตญฺจ กมฺมํ กตํ สาธุ, ยํ กตฺวา นานุตปฺปติ;
‘‘Tañca kammaṃ kataṃ sādhu, yaṃ katvā nānutappati;
ยสฺส ปตีโต สุมโน, วิปากํ ปฎิเสวตี’’ติฯ (ธ. ป. ๖๘);
Yassa patīto sumano, vipākaṃ paṭisevatī’’ti. (dha. pa. 68);
คาถาวสาเน จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิฯ เอวํ อปฺปกาปิ เตสํ ปูชา ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย โหตีติ เวทิตพฺพาฯ สา จ อามิสปูชาว, โก ปน วาโท ปฎิปตฺติปูชาย? ยโต เย กุลปุตฺตา สรณคมนสิกฺขาปทปฺปฎิคฺคหเณน อุโปสถงฺคสมาทาเนน จตุปาริสุทฺธิสีลาทีหิ จ อตฺตโน คุเณหิ ภควนฺตํ ปูเชนฺติ, โก เตสํ ปูชาผลํ วณฺณยิสฺสติ? เต หิ ตถาคตํ ปรมาย ปูชาย ปูเชนฺตีติ วุตฺตาฯ ยถาห –
Gāthāvasāne caturāsītiyā pāṇasahassānaṃ dhammābhisamayo ahosi. Evaṃ appakāpi tesaṃ pūjā dīgharattaṃ hitāya sukhāya hotīti veditabbā. Sā ca āmisapūjāva, ko pana vādo paṭipattipūjāya? Yato ye kulaputtā saraṇagamanasikkhāpadappaṭiggahaṇena uposathaṅgasamādānena catupārisuddhisīlādīhi ca attano guṇehi bhagavantaṃ pūjenti, ko tesaṃ pūjāphalaṃ vaṇṇayissati? Te hi tathāgataṃ paramāya pūjāya pūjentīti vuttā. Yathāha –
‘‘โย โข, อานนฺท, ภิกฺขุ วา ภิกฺขุนี วา อุปาสโก วา อุปาสิกา วา ธมฺมานุธมฺมปฺปฎิปโนฺน วิหรติ สามีจิปฺปฎิปโนฺน อนุธมฺมจารี, โส ตถาคตํ สกฺกโรติ ครุํ กโรติ มาเนติ ปูเชติ อปจิยติ ปรมาย ปูชายา’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๙๙)ฯ
‘‘Yo kho, ānanda, bhikkhu vā bhikkhunī vā upāsako vā upāsikā vā dhammānudhammappaṭipanno viharati sāmīcippaṭipanno anudhammacārī, so tathāgataṃ sakkaroti garuṃ karoti māneti pūjeti apaciyati paramāya pūjāyā’’ti (dī. ni. 2.199).
เอเตนานุสาเรน ปเจฺจกพุทฺธอริยสาวกานมฺปิ ปูชาย หิตสุขาวหตา เวทิตพฺพาฯ
Etenānusārena paccekabuddhaariyasāvakānampi pūjāya hitasukhāvahatā veditabbā.
อปิจ คหฎฺฐานํ กนิฎฺฐสฺส เชโฎฺฐ ภาตาปิ ภคินีปิ ปูชเนยฺยา, ปุตฺตสฺส มาตาปิตโร, กุลวธูนํ สามิกสสฺสุสสุราติ เอวเมตฺถ ปูชเนยฺยา เวทิตพฺพาฯ เอเตสมฺปิ หิ ปูชา กุสลธมฺมสงฺขาตตฺตา อายุอาทิวุฑฺฒิเหตุตฺตา จ มงฺคลเมวฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Apica gahaṭṭhānaṃ kaniṭṭhassa jeṭṭho bhātāpi bhaginīpi pūjaneyyā, puttassa mātāpitaro, kulavadhūnaṃ sāmikasassusasurāti evamettha pūjaneyyā veditabbā. Etesampi hi pūjā kusaladhammasaṅkhātattā āyuādivuḍḍhihetuttā ca maṅgalameva. Vuttañhetaṃ –
‘‘เต มเตฺตยฺยา ภวิสฺสนฺติ เปเตฺตยฺยา สามญฺญา พฺรหฺมญฺญา กุเล เชฎฺฐาปจายิโน, อิทํ กุสลํ ธมฺมํ สมาทาย วตฺติสฺสนฺติ, เต เตสํ กุสลานํ ธมฺมานํ สมาทานเหตุ อายุนาปิ วฑฺฒิสฺสนฺติ, วเณฺณนปิ วฑฺฒิสฺสนฺตี’’ติอาทิ (ที. นิ. ๓.๑๐๕)ฯ
‘‘Te matteyyā bhavissanti petteyyā sāmaññā brahmaññā kule jeṭṭhāpacāyino, idaṃ kusalaṃ dhammaṃ samādāya vattissanti, te tesaṃ kusalānaṃ dhammānaṃ samādānahetu āyunāpi vaḍḍhissanti, vaṇṇenapi vaḍḍhissantī’’tiādi (dī. ni. 3.105).
อิทานิ ยสฺมา ‘‘ยํ ยตฺถ มงฺคลํฯ ววตฺถเปตฺวา ตํ ตสฺส, มงฺคลตฺตํ วิภาวเย’’ติ อิติ มาติกา นิกฺขิตฺตา, ตสฺมา อิทํ วุจฺจติ – เอวเมติสฺสา คาถาย พาลานํ อเสวนา, ปณฺฑิตานํ เสวนา, ปูชเนยฺยานญฺจ ปูชาติ ตีณิ มงฺคลานิ วุตฺตานิฯ ตตฺถ พาลานํ อเสวนา พาลเสวนปจฺจยภยาทิปริตฺตาเณน อุภยโลกตฺถเหตุตฺตา, ปณฺฑิตานํ เสวนา ปูชเนยฺยานํ ปูชา จ ตาสํ ผลวิภูติวณฺณนายํ วุตฺตนเยเนว นิพฺพานสุคติเหตุตฺตา มงฺคลนฺติ เวทิตพฺพาฯ อิโต ปรํ ตุ มาติกํ อทเสฺสตฺวา เอว ยํ ยตฺถ มงฺคลํ, ตํ ววตฺถเปตฺวา ตสฺส มงฺคลตฺตํ วิภาวยิสฺสามาติฯ
Idāni yasmā ‘‘yaṃ yattha maṅgalaṃ. Vavatthapetvā taṃ tassa, maṅgalattaṃ vibhāvaye’’ti iti mātikā nikkhittā, tasmā idaṃ vuccati – evametissā gāthāya bālānaṃ asevanā, paṇḍitānaṃ sevanā, pūjaneyyānañca pūjāti tīṇi maṅgalāni vuttāni. Tattha bālānaṃ asevanā bālasevanapaccayabhayādiparittāṇena ubhayalokatthahetuttā, paṇḍitānaṃ sevanā pūjaneyyānaṃ pūjā ca tāsaṃ phalavibhūtivaṇṇanāyaṃ vuttanayeneva nibbānasugatihetuttā maṅgalanti veditabbā. Ito paraṃ tu mātikaṃ adassetvā eva yaṃ yattha maṅgalaṃ, taṃ vavatthapetvā tassa maṅgalattaṃ vibhāvayissāmāti.
นิฎฺฐิตา อเสวนา จ พาลานนฺติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā asevanā ca bālānanti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
ปติรูปเทสวาโสจาติคาถาวณฺณนา
Patirūpadesavāsocātigāthāvaṇṇanā
๔. เอวํ ภควา ‘‘พฺรูหิ มงฺคลมุตฺตม’’นฺติ เอกํ อเชฺฌสิโตปิ อปฺปํ ยาจิโต พหุทายโก อุฬารปุริโส วิย เอกาย คาถาย ตีณิ มงฺคลานิ วตฺวา ตโต อุตฺตริปิ เทวตานํ โสตุกามตาย มงฺคลานมตฺถิตาย เยสํ เยสํ ยํ ยํ อนุกุลํ, เต เต สเตฺต ตตฺถ ตตฺถ มงฺคเล นิโยเชตุกามตาย จ ‘‘ปติรูปเทสวาโส จา’’ติอาทีหิ คาถาหิ ปุนปิ อเนกานิ มงฺคลานิ วตฺตุมารโทฺธฯ ตตฺถ ปฐมคาถาย ตาว ปติรูโปติ อนุจฺฉวิโกฯ เทโสติ คาโมปิ นิคโมปิ นครมฺปิ ชนปโทปิ โย โกจิ สตฺตานํ นิวาโส โอกาโสฯ วาโสติ ตตฺถ นิวาโสฯ ปุเพฺพติ ปุรา อตีตาสุ ชาตีสุฯ กตปุญฺญตาติ อุปจิตกุสลตาฯ อตฺตาติ จิตฺตํ วุจฺจติ สกโล วา อตฺตภาโว, สมฺมาปณิธีติ ตสฺส อตฺตโน สมฺมา ปณิธานํ นิยุญฺชนํ, ฐปนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ อยเมตฺถ ปทวณฺณนาฯ
4. Evaṃ bhagavā ‘‘brūhi maṅgalamuttama’’nti ekaṃ ajjhesitopi appaṃ yācito bahudāyako uḷārapuriso viya ekāya gāthāya tīṇi maṅgalāni vatvā tato uttaripi devatānaṃ sotukāmatāya maṅgalānamatthitāya yesaṃ yesaṃ yaṃ yaṃ anukulaṃ, te te satte tattha tattha maṅgale niyojetukāmatāya ca ‘‘patirūpadesavāso cā’’tiādīhi gāthāhi punapi anekāni maṅgalāni vattumāraddho. Tattha paṭhamagāthāya tāva patirūpoti anucchaviko. Desoti gāmopi nigamopi nagarampi janapadopi yo koci sattānaṃ nivāso okāso. Vāsoti tattha nivāso. Pubbeti purā atītāsu jātīsu. Katapuññatāti upacitakusalatā. Attāti cittaṃ vuccati sakalo vā attabhāvo, sammāpaṇidhīti tassa attano sammā paṇidhānaṃ niyuñjanaṃ, ṭhapananti vuttaṃ hoti. Sesaṃ vuttanayamevāti. Ayamettha padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปน เอวํ เวทิตพฺพา – ปติรูปเทสวาโส นาม ยตฺถ จตโสฺส ปริสา วิจรนฺติ, ทานาทีนิ ปุญฺญกิริยวตฺถูนิ วตฺตนฺติ, นวงฺคํ สตฺถุ สาสนํ ทิพฺพติ, ตตฺถ นิวาโส สตฺตานํ ปุญฺญกิริยาย ปจฺจยตฺตา มงฺคลนฺติ วุจฺจติฯ สีหฬทีปปวิฎฺฐเกวฎฺฎาทโย เจตฺถ นิทสฺสนํฯ
Atthavaṇṇanā pana evaṃ veditabbā – patirūpadesavāso nāma yattha catasso parisā vicaranti, dānādīni puññakiriyavatthūni vattanti, navaṅgaṃ satthu sāsanaṃ dibbati, tattha nivāso sattānaṃ puññakiriyāya paccayattā maṅgalanti vuccati. Sīhaḷadīpapaviṭṭhakevaṭṭādayo cettha nidassanaṃ.
อปโร นโย – ปติรูปเทสวาโส นาม ภควโต โพธิมณฺฑปฺปเทโส ธมฺมจกฺกวตฺติตปฺปเทโส ทฺวาทสโยชนาย ปริสาย มเชฺฌ สพฺพติตฺถิยมตํ ภินฺทิตฺวา ยมกปาฎิหาริยทสฺสิตกณฺฑมฺพ รุกฺขมูลปฺปเทโส เทโวโรหณปฺปเทโส, โย วา ปนโญฺญปิ สาวตฺถิราชคหาทิ พุทฺธาธิวาสปฺปเทโส, ตตฺถ นิวาโส สตฺตานํ ฉอนุตฺตริยปฺปฎิลาภปจฺจยโต มงฺคลนฺติ วุจฺจติฯ
Aparo nayo – patirūpadesavāso nāma bhagavato bodhimaṇḍappadeso dhammacakkavattitappadeso dvādasayojanāya parisāya majjhe sabbatitthiyamataṃ bhinditvā yamakapāṭihāriyadassitakaṇḍamba rukkhamūlappadeso devorohaṇappadeso, yo vā panaññopi sāvatthirājagahādi buddhādhivāsappadeso, tattha nivāso sattānaṃ chaanuttariyappaṭilābhapaccayato maṅgalanti vuccati.
อปโร นโย (มหาว. ๒๕๙) – ปุรตฺถิมาย ทิสาย คชงฺคลํ นาม นิคโม, ตสฺส ปเรน มหาสาลา, ตโต ปรํ ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ ทกฺขิณปุรตฺถิมาย ทิสาย สลฺลวตี นาม นที, ตโต ปรํ ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ ทกฺขิณาย ทิสาย เสตกณฺณิกํ นาม นิคโม, ตโต ปรํ ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ ปจฺฉิมาย ทิสาย ถูณํ นาม พฺราหฺมณคาโม, ตโต ปรํ ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ อุตฺตราย ทิสาย อุสีรทฺธโช นาม ปพฺพโต, ตโต ปรํ ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ อยํ มชฺฌิมเทโส อายาเมน ตีณิ โยชนสตานิ, วิตฺถาเรน อฑฺฒเตยฺยานิ, ปริเกฺขเปน นว โยชนสตานิ โหนฺติฯ เอโส ปติรูปเทโส นามฯ
Aparo nayo (mahāva. 259) – puratthimāya disāya gajaṅgalaṃ nāma nigamo, tassa parena mahāsālā, tato paraṃ paccantimā janapadā, orato majjhe. Dakkhiṇapuratthimāya disāya sallavatī nāma nadī, tato paraṃ paccantimā janapadā, orato majjhe. Dakkhiṇāya disāya setakaṇṇikaṃ nāma nigamo, tato paraṃ paccantimā janapadā, orato majjhe. Pacchimāya disāya thūṇaṃ nāma brāhmaṇagāmo, tato paraṃ paccantimā janapadā, orato majjhe. Uttarāya disāya usīraddhajo nāma pabbato, tato paraṃ paccantimā janapadā, orato majjhe. Ayaṃ majjhimadeso āyāmena tīṇi yojanasatāni, vitthārena aḍḍhateyyāni, parikkhepena nava yojanasatāni honti. Eso patirūpadeso nāma.
เอตฺถ จตุนฺนํ มหาทีปานํ ทฺวิสหสฺสานํ ปริตฺตทีปานญฺจ อิสฺสริยาธิปจฺจการกา จกฺกวตฺตี อุปฺปชฺชนฺติ, เอกํ อสเงฺขฺยยฺยํ กปฺปสตสหสฺสญฺจ ปารมิโย ปูเรตฺวา สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานาทโย มหาสาวกา อุปฺปชฺชนฺติ, เทฺว อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ ปารมิโย ปูเรตฺวา ปเจฺจกพุทฺธา, จตฺตาริ อฎฺฐ โสฬส วา อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ ปารมิโย ปูเรตฺวา สมฺมาสมฺพุทฺธา อุปฺปชฺชนฺติฯ ตตฺถ สตฺตา จกฺกวตฺติรโญฺญ โอวาทํ คเหตฺวา ปญฺจสุ สีเลสุ ปติฎฺฐาย สคฺคปรายณา โหนฺติฯ ตถา ปเจฺจกพุทฺธานํ โอวาเท ปติฎฺฐาย, สมฺมาสมฺพุทฺธานํ ปน พุทฺธสาวกานํ โอวาเท ปติฎฺฐาย สคฺคปรายณา นิพฺพานปรายณา จ โหนฺติฯ ตสฺมา ตตฺถ วาโส อิมาสํ สมฺปตฺตีนํ ปจฺจยโต มงฺคลนฺติ วุจฺจติฯ
Ettha catunnaṃ mahādīpānaṃ dvisahassānaṃ parittadīpānañca issariyādhipaccakārakā cakkavattī uppajjanti, ekaṃ asaṅkhyeyyaṃ kappasatasahassañca pāramiyo pūretvā sāriputtamoggallānādayo mahāsāvakā uppajjanti, dve asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca pāramiyo pūretvā paccekabuddhā, cattāri aṭṭha soḷasa vā asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca pāramiyo pūretvā sammāsambuddhā uppajjanti. Tattha sattā cakkavattirañño ovādaṃ gahetvā pañcasu sīlesu patiṭṭhāya saggaparāyaṇā honti. Tathā paccekabuddhānaṃ ovāde patiṭṭhāya, sammāsambuddhānaṃ pana buddhasāvakānaṃ ovāde patiṭṭhāya saggaparāyaṇā nibbānaparāyaṇā ca honti. Tasmā tattha vāso imāsaṃ sampattīnaṃ paccayato maṅgalanti vuccati.
ปุเพฺพ กตปุญฺญตา นาม อตีตชาติยํ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธขีณาสเว อารพฺภ อุปจิตกุสลตา, สาปิ มงฺคลํฯ กสฺมา? พุทฺธปเจฺจกพุทฺธสมฺมุขโต ทเสฺสตฺวา พุทฺธานํ พุทฺธสาวกานํ วา สมฺมุขา สุตาย จตุปฺปทิกายปิ คาถาย ปริโยสาเน อรหตฺตํ ปาเปตีติ กตฺวาฯ โย จ มนุโสฺส ปุเพฺพ กตาธิกาโร อุสฺสนฺนกุสลมูโล โหติ, โส เตเนว กุสลมูเลน วิปสฺสนํ อุปฺปาเทตฺวา อาสวกฺขยํ ปาปุณาติ ยถา ราชา มหากปฺปิโน อคฺคมเหสี จฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปุเพฺพ จ กตปุญฺญตา มงฺคล’’นฺติฯ
Pubbe katapuññatā nāma atītajātiyaṃ buddhapaccekabuddhakhīṇāsave ārabbha upacitakusalatā, sāpi maṅgalaṃ. Kasmā? Buddhapaccekabuddhasammukhato dassetvā buddhānaṃ buddhasāvakānaṃ vā sammukhā sutāya catuppadikāyapi gāthāya pariyosāne arahattaṃ pāpetīti katvā. Yo ca manusso pubbe katādhikāro ussannakusalamūlo hoti, so teneva kusalamūlena vipassanaṃ uppādetvā āsavakkhayaṃ pāpuṇāti yathā rājā mahākappino aggamahesī ca. Tena vuttaṃ ‘‘pubbe ca katapuññatā maṅgala’’nti.
อตฺตสมฺมาปณิธิ นาม อิเธกโจฺจ อตฺตานํ ทุสฺสีลํ สีเล ปติฎฺฐาเปติ, อสฺสทฺธํ สทฺธาสมฺปทาย ปติฎฺฐาเปติ, มจฺฉริํ จาคสมฺปทาย ปติฎฺฐาเปติฯ อยํ วุจฺจติ ‘‘อตฺตสมฺมาปณิธี’’ติ , เอโส จ มงฺคลํฯ กสฺมา? ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกเวรปฺปหานวิวิธานิสํสาธิคมเหตุโตติฯ
Attasammāpaṇidhi nāma idhekacco attānaṃ dussīlaṃ sīle patiṭṭhāpeti, assaddhaṃ saddhāsampadāya patiṭṭhāpeti, macchariṃ cāgasampadāya patiṭṭhāpeti. Ayaṃ vuccati ‘‘attasammāpaṇidhī’’ti , eso ca maṅgalaṃ. Kasmā? Diṭṭhadhammikasamparāyikaverappahānavividhānisaṃsādhigamahetutoti.
เอวํ อิมิสฺสาปิ คาถาย ปติรูปเทสวาโส จ, ปุเพฺพ จ กตปุญฺญตา, อตฺตสมฺมาปณิธี จาติ ตีณิเยว มงฺคลานิ วุตฺตานิฯ มงฺคลตฺตญฺจ เนสํ ตตฺถ ตตฺถ วิภาวิตเมวาติฯ
Evaṃ imissāpi gāthāya patirūpadesavāso ca, pubbe ca katapuññatā, attasammāpaṇidhī cāti tīṇiyeva maṅgalāni vuttāni. Maṅgalattañca nesaṃ tattha tattha vibhāvitamevāti.
นิฎฺฐิตา ปติรูปเทสวาโส จาติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā patirūpadesavāso cāti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
พาหุสจฺจญฺจาติคาถาวณฺณนา
Bāhusaccañcātigāthāvaṇṇanā
๕. อิทานิ พาหุสจฺจญฺจาติ เอตฺถ พาหุสจฺจนฺติ พหุสฺสุตภาโวฯ สิปฺปนฺติ ยํ กิญฺจิ หตฺถโกสลฺลํฯ วินโยติ กายวาจาจิตฺตวินยนํฯ สุสิกฺขิโตติ สุฎฺฐุ สิกฺขิโตฯ สุภาสิตาติ สุฎฺฐุ ภาสิตาฯ ยาติ อนิยตนิเทฺทโสฯ วาจาติ คิรา พฺยปฺปโถฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ อยเมตฺถ ปทวณฺณนาฯ
5. Idāni bāhusaccañcāti ettha bāhusaccanti bahussutabhāvo. Sippanti yaṃ kiñci hatthakosallaṃ. Vinayoti kāyavācācittavinayanaṃ. Susikkhitoti suṭṭhu sikkhito. Subhāsitāti suṭṭhu bhāsitā. Yāti aniyataniddeso. Vācāti girā byappatho. Sesaṃ vuttanayamevāti. Ayamettha padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปน เอวํ เวทิตพฺพา – พาหุสจฺจํ นาม ยํ ตํ ‘‘สุตธโร โหติ สุตสนฺนิจโย’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๓๙; อ. นิ. ๔.๒๒) จ ‘‘อิเธกจฺจสฺส พหุกํ สุตํ โหติ, สุตฺตํ เคยฺยํ เวยฺยากรณ’’นฺติ จ (อ. นิ. ๔.๖) เอวมาทินา นเยน สตฺถุสาสนธรตฺตํ วณฺณิตํ, ตํ อกุสลปฺปหานกุสลาธิคมเหตุโต อนุปุเพฺพน ปรมตฺถสจฺจสจฺฉิกิริยาเหตุโต จ มงฺคลนฺติ วุจฺจติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
Atthavaṇṇanā pana evaṃ veditabbā – bāhusaccaṃ nāma yaṃ taṃ ‘‘sutadharo hoti sutasannicayo’’ti (ma. ni. 1.339; a. ni. 4.22) ca ‘‘idhekaccassa bahukaṃ sutaṃ hoti, suttaṃ geyyaṃ veyyākaraṇa’’nti ca (a. ni. 4.6) evamādinā nayena satthusāsanadharattaṃ vaṇṇitaṃ, taṃ akusalappahānakusalādhigamahetuto anupubbena paramatthasaccasacchikiriyāhetuto ca maṅgalanti vuccati. Vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘‘สุตวา จ โข, ภิกฺขเว, อริยสาวโก อกุสลํ ปชหติ, กุสลํ ภาเวติ, สาวชฺชํ ปชหติ, อนวชฺชํ ภาเวติ, สุทฺธมตฺตานํ ปริหรตี’’ติ (อ. นิ. ๗.๖๗)ฯ
‘‘Sutavā ca kho, bhikkhave, ariyasāvako akusalaṃ pajahati, kusalaṃ bhāveti, sāvajjaṃ pajahati, anavajjaṃ bhāveti, suddhamattānaṃ pariharatī’’ti (a. ni. 7.67).
อปรมฺปิ วุตฺตํ –
Aparampi vuttaṃ –
‘‘ธตานํ ธมฺมานํ อตฺถมุปปริกฺขติ, อตฺถํ อุปปริกฺขโต ธมฺมา นิชฺฌานํ ขมนฺติ, ธมฺมนิชฺฌานกฺขนฺติยา สติ ฉโนฺท ชายติ, ฉนฺทชาโต อุสฺสหติ, อุสฺสหโนฺต ตุลยติ , ตุลยโนฺต ปทหติ ปทหโนฺต กาเยน เจว ปรมตฺถสจฺจํ สจฺฉิกโรติ, ปญฺญาย จ อติวิชฺฌ ปสฺสตี’’ติ (ม. นิ. ๒.๔๓๒)ฯ
‘‘Dhatānaṃ dhammānaṃ atthamupaparikkhati, atthaṃ upaparikkhato dhammā nijjhānaṃ khamanti, dhammanijjhānakkhantiyā sati chando jāyati, chandajāto ussahati, ussahanto tulayati , tulayanto padahati padahanto kāyena ceva paramatthasaccaṃ sacchikaroti, paññāya ca ativijjha passatī’’ti (ma. ni. 2.432).
อปิจ อคาริกพาหุสจฺจมฺปิ ยํ อนวชฺชํ, ตํ อุภยโลกหิตสุขาวหนโต มงฺคลนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Apica agārikabāhusaccampi yaṃ anavajjaṃ, taṃ ubhayalokahitasukhāvahanato maṅgalanti veditabbaṃ.
สิปฺปํ นาม อคาริกสิปฺปญฺจ อนคาริกสิปฺปญฺจฯ ตตฺถ อคาริกสิปฺปํ นาม ยํ ปรูปโรธวิรหิตํ อกุสลวิวชฺชิตํ มณิการสุวณฺณการกมฺมาทิกํ, ตํ อิธโลกตฺถาวหนโต มงฺคลํฯ อนคาริกสิปฺปํ นาม จีวรวิจารณสิพฺพนาทิสมณปริกฺขาราภิสงฺขรณํ, ยํ ตํ ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ยานิ ตานิ สพฺรหฺมจารีนํ อุจฺจาวจานิ กิํ กรณียานิ, ตตฺถ ทโกฺข โหตี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๓.๓๔๕; ๓๖๐; อ. นิ. ๑๐.๑๗) นเยน ตตฺถ ตตฺถ สํวณฺณิตํ, ยํ ‘‘นาถกโร ธโมฺม’’ติ จ วุตฺตํ, ตํ อตฺตโน จ ปเรสญฺจ อุภยโลกหิตสุขาวหนโต มงฺคลนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Sippaṃ nāma agārikasippañca anagārikasippañca. Tattha agārikasippaṃ nāma yaṃ parūparodhavirahitaṃ akusalavivajjitaṃ maṇikārasuvaṇṇakārakammādikaṃ, taṃ idhalokatthāvahanato maṅgalaṃ. Anagārikasippaṃ nāma cīvaravicāraṇasibbanādisamaṇaparikkhārābhisaṅkharaṇaṃ, yaṃ taṃ ‘‘idha, bhikkhave, bhikkhu yāni tāni sabrahmacārīnaṃ uccāvacāni kiṃ karaṇīyāni, tattha dakkho hotī’’tiādinā (dī. ni. 3.345; 360; a. ni. 10.17) nayena tattha tattha saṃvaṇṇitaṃ, yaṃ ‘‘nāthakaro dhammo’’ti ca vuttaṃ, taṃ attano ca paresañca ubhayalokahitasukhāvahanato maṅgalanti veditabbaṃ.
วินโย นาม อคาริกวินโย จ อนคาริกวินโย จฯ ตตฺถ อคาริกวินโย นาม ทสอกุสลกมฺมปถวิรมณํ, โส ตตฺถ สุสิกฺขิโต อสํกิเลสาปชฺชเนน อาจารคุณววตฺถาเนน จ อุภยโลกหิตสุขาวหนโต มงฺคลํฯ อนคาริกวินโย นาม สตฺตาปตฺติกฺขนฺธอนาปชฺชนํ, โสปิ วุตฺตนเยเนว สุสิกฺขิโต, จตุปาริสุทฺธิสีลํ วา อนคาริกวินโย, โส ยถา ตตฺถ ปติฎฺฐาย อรหตฺตํ ปาปุณาติ, เอวํ สิกฺขเนน สุสิกฺขิโต โลกิยโลกุตฺตรสุขาธิคมเหตุโต มงฺคลนฺติ เวทิตโพฺพฯ
Vinayo nāma agārikavinayo ca anagārikavinayo ca. Tattha agārikavinayo nāma dasaakusalakammapathaviramaṇaṃ, so tattha susikkhito asaṃkilesāpajjanena ācāraguṇavavatthānena ca ubhayalokahitasukhāvahanato maṅgalaṃ. Anagārikavinayo nāma sattāpattikkhandhaanāpajjanaṃ, sopi vuttanayeneva susikkhito, catupārisuddhisīlaṃ vā anagārikavinayo, so yathā tattha patiṭṭhāya arahattaṃ pāpuṇāti, evaṃ sikkhanena susikkhito lokiyalokuttarasukhādhigamahetuto maṅgalanti veditabbo.
สุภาสิตา วาจา นาม มุสาวาทาทิโทสวิรหิตาฯ ยถาห ‘‘จตูหิ, ภิกฺขเว, อเงฺคหิ สมนฺนาคโต วาจา สุภาสิตา โหตี’’ติ (สุ. นิ. สุภาสิตสุตฺตํ)ฯ อสมฺผปฺปลาปา วาจา เอว วา สุภาสิตาฯ ยถาห –
Subhāsitā vācā nāma musāvādādidosavirahitā. Yathāha ‘‘catūhi, bhikkhave, aṅgehi samannāgato vācā subhāsitā hotī’’ti (su. ni. subhāsitasuttaṃ). Asamphappalāpā vācā eva vā subhāsitā. Yathāha –
‘‘สุภาสิตํ อุตฺตมมาหุ สโนฺต,
‘‘Subhāsitaṃ uttamamāhu santo,
ธมฺมํ ภเณ นาธมฺมํ ตํ ทุติยํ;
Dhammaṃ bhaṇe nādhammaṃ taṃ dutiyaṃ;
ปิยํ ภเณ นาปฺปิยํ ตํ ตติยํ,
Piyaṃ bhaṇe nāppiyaṃ taṃ tatiyaṃ,
สจฺจํ ภเณ นาลิกํ ตํ จตุตฺถ’’นฺติฯ (สุ. นิ. ๔๕๒);
Saccaṃ bhaṇe nālikaṃ taṃ catuttha’’nti. (su. ni. 452);
อยมฺปิ อุภยโลกหิตสุขาวหนโต มงฺคลนฺติ เวทิตพฺพาฯ ยสฺมา จ อยํ วินยปริยาปนฺนา เอว, ตสฺมา วินยคฺคหเณน เอตํ อสงฺคณฺหิตฺวา วินโย สงฺคเหตโพฺพฯ อถ วา กิํ อิมินา ปริสฺสเมน ปเรสํ ธมฺมเทสนาทิวาจา อิธ สุภาสิตา วาจาติ เวทิตพฺพาฯ สา หิ ยถา ปติรูปเทสวาโส, เอวํ สตฺตานํ อุภยโลกหิตสุขนิพฺพานาธิคมปจฺจยโต มงฺคลนฺติ วุจฺจติฯ อาห จ –
Ayampi ubhayalokahitasukhāvahanato maṅgalanti veditabbā. Yasmā ca ayaṃ vinayapariyāpannā eva, tasmā vinayaggahaṇena etaṃ asaṅgaṇhitvā vinayo saṅgahetabbo. Atha vā kiṃ iminā parissamena paresaṃ dhammadesanādivācā idha subhāsitā vācāti veditabbā. Sā hi yathā patirūpadesavāso, evaṃ sattānaṃ ubhayalokahitasukhanibbānādhigamapaccayato maṅgalanti vuccati. Āha ca –
‘‘ยํ พุโทฺธ ภาสติ วาจํ, เขมํ นิพฺพานปตฺติยา;
‘‘Yaṃ buddho bhāsati vācaṃ, khemaṃ nibbānapattiyā;
ทุกฺขสฺสนฺตกิริยาย, สา เว วาจานมุตฺตมา’’ติฯ (สุ. นิ. ๔๕๖);
Dukkhassantakiriyāya, sā ve vācānamuttamā’’ti. (su. ni. 456);
เอวํ อิมิสฺสา คาถาย พาหุสจฺจํ, สิปฺปํ, วินโย สุสิกฺขิโต, สุภาสิตา วาจาติ จตฺตาริ มงฺคลานิ วุตฺตานิฯ มงฺคลตฺตญฺจ เนสํ ตตฺถ ตตฺถ วิภาวิตเมวาติฯ
Evaṃ imissā gāthāya bāhusaccaṃ, sippaṃ, vinayo susikkhito, subhāsitā vācāti cattāri maṅgalāni vuttāni. Maṅgalattañca nesaṃ tattha tattha vibhāvitamevāti.
นิฎฺฐิตา พาหุสจฺจญฺจาติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā bāhusaccañcāti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
มาตาปิตุอุปฎฺฐานนฺติคาถาวณฺณนา
Mātāpituupaṭṭhānantigāthāvaṇṇanā
๖. อิทานิ มาตาปิตุอุปฎฺฐานนฺติ เอตฺถ มาตุ จ ปิตุ จาติ มาตาปิตุฯ อุปฎฺฐานนฺติ อุปฎฺฐหนํฯ ปุตฺตานญฺจ ทารานญฺจาติ ปุตฺตทารสฺส สงฺคณฺหนํ สงฺคโหฯ น อากุลา อนากุลาฯ กมฺมานิ เอว กมฺมนฺตาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติ อยํ ปทวณฺณนาฯ
6. Idāni mātāpituupaṭṭhānanti ettha mātu ca pitu cāti mātāpitu. Upaṭṭhānanti upaṭṭhahanaṃ. Puttānañca dārānañcāti puttadārassa saṅgaṇhanaṃ saṅgaho. Na ākulā anākulā. Kammāni eva kammantā. Sesaṃ vuttanayamevāti ayaṃ padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปน เอวํ เวทิตพฺพา – มาตา นาม ชนิกา วุจฺจติ, ตถา ปิตาฯ อุปฎฺฐานํ นาม ปาทโธวนสมฺพาหนุจฺฉาทนนฺหาปเนหิ จตุปจฺจยสมฺปทาเนน จ อุปการกรณํฯ ตตฺถ ยสฺมา มาตาปิตโร พหูปการา ปุตฺตานํ อตฺถกามา อนุกมฺปกา, เย ปุตฺตเก พหิ กีฬิตฺวา ปํสุมกฺขิตสรีรเก อาคเต ทิสฺวา ปํสุํ ปุญฺฉิตฺวา มตฺถกํ อุปสิงฺฆายนฺตา ปริจุมฺพนฺตา จ สิเนหํ อุปฺปาเทนฺติ, วสฺสสตมฺปิ มาตาปิตโร สีเสน ปริหรนฺตา ปุตฺตา เตสํ ปติการํ กาตุํ อสมตฺถาฯ ยสฺมา จ เต อาปาทกา โปสกา อิมสฺส โลกสฺส ทเสฺสตาโร, พฺรหฺมสมฺมตา ปุพฺพาจริยสมฺมตา, ตสฺมา เตสํ อุปฎฺฐานํ อิธ ปสํสํ, เปจฺจ สคฺคสุขญฺจ อาวหติฯ เตน มงฺคลนฺติ วุจฺจติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
Atthavaṇṇanā pana evaṃ veditabbā – mātā nāma janikā vuccati, tathā pitā. Upaṭṭhānaṃ nāma pādadhovanasambāhanucchādananhāpanehi catupaccayasampadānena ca upakārakaraṇaṃ. Tattha yasmā mātāpitaro bahūpakārā puttānaṃ atthakāmā anukampakā, ye puttake bahi kīḷitvā paṃsumakkhitasarīrake āgate disvā paṃsuṃ puñchitvā matthakaṃ upasiṅghāyantā paricumbantā ca sinehaṃ uppādenti, vassasatampi mātāpitaro sīsena pariharantā puttā tesaṃ patikāraṃ kātuṃ asamatthā. Yasmā ca te āpādakā posakā imassa lokassa dassetāro, brahmasammatā pubbācariyasammatā, tasmā tesaṃ upaṭṭhānaṃ idha pasaṃsaṃ, pecca saggasukhañca āvahati. Tena maṅgalanti vuccati. Vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘‘พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร, ปุพฺพาจริยาติ วุจฺจเร;
‘‘Brahmāti mātāpitaro, pubbācariyāti vuccare;
อาหุเนยฺยา จ ปุตฺตานํ, ปชาย อนุกมฺปกาฯ
Āhuneyyā ca puttānaṃ, pajāya anukampakā.
‘‘ตสฺมา หิ เน นมเสฺสยฺย, สกฺกเรยฺย จ ปณฺฑิโต;
‘‘Tasmā hi ne namasseyya, sakkareyya ca paṇḍito;
อเนฺนน อถ ปาเนน, วเตฺถน สยเนน จ;
Annena atha pānena, vatthena sayanena ca;
อุจฺฉาทเนน นฺหาปเนน, ปาทานํ โธวเนน จฯ
Ucchādanena nhāpanena, pādānaṃ dhovanena ca.
‘‘ตาย นํ ปาริจริยาย, มาตาปิตูสุ ปณฺฑิตา;
‘‘Tāya naṃ pāricariyāya, mātāpitūsu paṇḍitā;
อิเธว นํ ปสํสนฺติ, เปจฺจ สเคฺค ปโมทตี’’ติฯ (อิติวุ. ๑๐๖; ชา. ๒.๒๐.๑๘๑-๑๘๓);
Idheva naṃ pasaṃsanti, pecca sagge pamodatī’’ti. (itivu. 106; jā. 2.20.181-183);
อปโร นโย – อุปฎฺฐานํ นาม ภรณกิจฺจกรณกุลวํสฎฺฐปนาทิปญฺจวิธํ, ตํ ปาปนิวารณาทิปญฺจวิธทิฎฺฐธมฺมิกหิตสุขเหตุโต มงฺคลนฺติ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
Aparo nayo – upaṭṭhānaṃ nāma bharaṇakiccakaraṇakulavaṃsaṭṭhapanādipañcavidhaṃ, taṃ pāpanivāraṇādipañcavidhadiṭṭhadhammikahitasukhahetuto maṅgalanti veditabbaṃ. Vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘‘‘ปญฺจหิ โข, คหปติปุตฺต, ฐาเนหิ ปุเตฺตน ปุรตฺถิมา ทิสา มาตาปิตโร ปจฺจุปฎฺฐาตพฺพา ภโต เน ภริสฺสามิ, กิจฺจํ เนสํ กริสฺสามิ , กุลวํสํ ฐเปสฺสามิ, ทายชฺชํ ปฎิปชฺชิสฺสามิ, อถ วา ปน เปตานํ กาลกตานํ ทกฺขิณํ อนุปฺปทสฺสามี’ติฯ อิเมหิ โข, คหปติปุตฺต, ปญฺจหิ ฐาเนหิ ปุเตฺตน ปุรตฺถิมา ทิสา มาตาปิตโร ปจฺจุปฎฺฐิตา ปญฺจหิ ฐาเนหิ ปุตฺตํ อนุกมฺปนฺติ, ปาปา นิวาเรนฺติ, กลฺยาเณ นิเวเสนฺติ, สิปฺปํ สิกฺขาเปนฺติ, ปติรูเปน ทาเรน สํโยเชนฺติ, สมเย ทายชฺชํ นิยฺยาเทนฺตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๖๗)ฯ
‘‘‘Pañcahi kho, gahapatiputta, ṭhānehi puttena puratthimā disā mātāpitaro paccupaṭṭhātabbā bhato ne bharissāmi, kiccaṃ nesaṃ karissāmi , kulavaṃsaṃ ṭhapessāmi, dāyajjaṃ paṭipajjissāmi, atha vā pana petānaṃ kālakatānaṃ dakkhiṇaṃ anuppadassāmī’ti. Imehi kho, gahapatiputta, pañcahi ṭhānehi puttena puratthimā disā mātāpitaro paccupaṭṭhitā pañcahi ṭhānehi puttaṃ anukampanti, pāpā nivārenti, kalyāṇe nivesenti, sippaṃ sikkhāpenti, patirūpena dārena saṃyojenti, samaye dāyajjaṃ niyyādentī’’ti (dī. ni. 3.267).
อปิจ โย มาตาปิตโร ตีสุ วตฺถูสุ ปสาทุปฺปาทเนน, สีลสมาทาปเนน, ปพฺพชฺชาย วา อุปฎฺฐหติ, อยํ มาตาปิตุอุปฎฺฐากานํ อโคฺคฯ ตสฺส ตํ มาตาปิตุอุปฎฺฐานํ มาตาปิตูหิ กตสฺส อุปการสฺส ปจฺจุปการภูตํ อเนเกสํ ทิฎฺฐธมฺมิกานํ สมฺปรายิกานญฺจ อตฺถานํ ปทฎฺฐานโต มงฺคลนฺติ วุจฺจติฯ
Apica yo mātāpitaro tīsu vatthūsu pasāduppādanena, sīlasamādāpanena, pabbajjāya vā upaṭṭhahati, ayaṃ mātāpituupaṭṭhākānaṃ aggo. Tassa taṃ mātāpituupaṭṭhānaṃ mātāpitūhi katassa upakārassa paccupakārabhūtaṃ anekesaṃ diṭṭhadhammikānaṃ samparāyikānañca atthānaṃ padaṭṭhānato maṅgalanti vuccati.
ปุตฺตทารสฺสาติ เอตฺถ อตฺตโต ชาตา ปุตฺตาปิ ธีตโรปิ ปุตฺตาอิเจฺจว สงฺขฺยํ คจฺฉนฺติฯ ทาราติ วีสติยา ภริยานํ ยา กาจิ ภริยาฯ ปุตฺตา จ ทารา จ ปุตฺตทารํ, ตสฺส ปุตฺตทารสฺสฯ สงฺคโหติ สมฺมานนาทีหิ อุปการกรณํฯ ตํ สุสํวิหิตกมฺมนฺตตาทิทิฎฺฐธมฺมิกหิตสุขเหตุโต มงฺคลนฺติ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา – ‘‘ปจฺฉิมา ทิสา ปุตฺตทารา เวทิตพฺพา’’ติ เอตฺถ อุทฺทิฎฺฐํ ปุตฺตทารํ ภริยาสเทฺทน สงฺคณฺหิตฺวา ‘‘ปญฺจหิ โข, คหปติปุตฺต, ฐาเนหิ สามิเกน ปจฺฉิมา ทิสา ภริยา ปจฺจุปฎฺฐาตพฺพา สมฺมานนาย, อนวมานนาย, อนติ จริยาย, อิสฺสริยโวสฺสเคฺคน, อลงฺการานุปฺปทาเนนฯ อิเมหิ โข, คหปติปุตฺต, ปญฺจหิ ฐาเนหิ สามิเกน ปจฺฉิมา ทิสา ภริยา ปจฺจุปฎฺฐิตา ปญฺจหิ ฐาเนหิ สามิกํ อนุกมฺปติ, สุสํวิหิตกมฺมนฺตา จ โหติ, สงฺคหิตปริชนา จ, อนติจารินี จ, สมฺภตญฺจ อนุรกฺขติ ทกฺขา จ โหติ อนลสา สพฺพกิเจฺจสู’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๖๙)ฯ
Puttadārassāti ettha attato jātā puttāpi dhītaropi puttāicceva saṅkhyaṃ gacchanti. Dārāti vīsatiyā bhariyānaṃ yā kāci bhariyā. Puttā ca dārā ca puttadāraṃ, tassa puttadārassa. Saṅgahoti sammānanādīhi upakārakaraṇaṃ. Taṃ susaṃvihitakammantatādidiṭṭhadhammikahitasukhahetuto maṅgalanti veditabbaṃ. Vuttañhetaṃ bhagavatā – ‘‘pacchimā disā puttadārā veditabbā’’ti ettha uddiṭṭhaṃ puttadāraṃ bhariyāsaddena saṅgaṇhitvā ‘‘pañcahi kho, gahapatiputta, ṭhānehi sāmikena pacchimā disā bhariyā paccupaṭṭhātabbā sammānanāya, anavamānanāya, anati cariyāya, issariyavossaggena, alaṅkārānuppadānena. Imehi kho, gahapatiputta, pañcahi ṭhānehi sāmikena pacchimā disā bhariyā paccupaṭṭhitā pañcahi ṭhānehi sāmikaṃ anukampati, susaṃvihitakammantā ca hoti, saṅgahitaparijanā ca, anaticārinī ca, sambhatañca anurakkhati dakkhā ca hoti analasā sabbakiccesū’’ti (dī. ni. 3.269).
อยํ วา อปโร นโย – สงฺคโหติ ธมฺมิกาหิ ทานปิยวาจาตฺถจริยาหิ สงฺคณฺหนํฯ เสยฺยถิทํ – อุโปสถทิวเสสุ ปริพฺพยทานํ, นกฺขตฺตทิวเสสุ นกฺขตฺตทสฺสาปนํ, มงฺคลทิวเสสุ มงฺคลกรณํ, ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิเกสุ อเตฺถสุ โอวาทานุสาสนนฺติฯ ตํ วุตฺตนเยเนว ทิฎฺฐธมฺมิกหิตเหตุโต สมฺปรายิกหิตเหตุโต เทวตาหิปิ นมสฺสนียภาวเหตุโต จ มงฺคลนฺติ เวทิตพฺพํฯ ยถาห สโกฺก เทวานมิโนฺท –
Ayaṃ vā aparo nayo – saṅgahoti dhammikāhi dānapiyavācātthacariyāhi saṅgaṇhanaṃ. Seyyathidaṃ – uposathadivasesu paribbayadānaṃ, nakkhattadivasesu nakkhattadassāpanaṃ, maṅgaladivasesu maṅgalakaraṇaṃ, diṭṭhadhammikasamparāyikesu atthesu ovādānusāsananti. Taṃ vuttanayeneva diṭṭhadhammikahitahetuto samparāyikahitahetuto devatāhipi namassanīyabhāvahetuto ca maṅgalanti veditabbaṃ. Yathāha sakko devānamindo –
‘‘เย คหฎฺฐา ปุญฺญกรา, สีลวโนฺต อุปาสกา;
‘‘Ye gahaṭṭhā puññakarā, sīlavanto upāsakā;
ธเมฺมน ทารํ โปเสนฺติ, เต นมสฺสามิ มาตลี’’ติฯ (สํ.นิ.๑.๑.๒๖๔);
Dhammena dāraṃ posenti, te namassāmi mātalī’’ti. (saṃ.ni.1.1.264);
อนากุลา กมฺมนฺตา นาม กาลญฺญุตาย ปติรูปการิตาย อนลสตาย อุฎฺฐานวีริยสมฺปทาย, อพฺยสนียตาย จ กาลาติกฺกมนอปฺปติรูปกรณสิถิลกรณาทิอากุลภาววิรหิตา กสิโครกฺขวาณิชฺชาทโย กมฺมนฺตาฯ เอเต อตฺตโน วา ปุตฺตทารสฺส วา ทาสกมฺมกรานํ วา พฺยตฺตตาย เอวํ ปโยชิตา ทิเฎฺฐว ธเมฺม ธนธญฺญวุทฺธิปฎิลาภเหตุโต มงฺคลนฺติ วุจฺจนฺติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
Anākulā kammantā nāma kālaññutāya patirūpakāritāya analasatāya uṭṭhānavīriyasampadāya, abyasanīyatāya ca kālātikkamanaappatirūpakaraṇasithilakaraṇādiākulabhāvavirahitā kasigorakkhavāṇijjādayo kammantā. Ete attano vā puttadārassa vā dāsakammakarānaṃ vā byattatāya evaṃ payojitā diṭṭheva dhamme dhanadhaññavuddhipaṭilābhahetuto maṅgalanti vuccanti. Vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘‘ปติรูปการี ธุรวา, อุฎฺฐาตา วินฺทเต ธน’’นฺติ จ (สุ. นิ. ๑๘๕; สํ. นิ. ๑.๒๔๖)ฯ
‘‘Patirūpakārī dhuravā, uṭṭhātā vindate dhana’’nti ca (su. ni. 185; saṃ. ni. 1.246).
‘‘น ทิวา โสปฺปสีเลน, รตฺติมุฎฺฐานเทสฺสินา;
‘‘Na divā soppasīlena, rattimuṭṭhānadessinā;
นิจฺจํ มเตฺตน โสเณฺฑน, สกฺกา อาวสิตุํ ฆรํฯ
Niccaṃ mattena soṇḍena, sakkā āvasituṃ gharaṃ.
‘‘อติสีตํ อติอุณฺหํ, อติสายมิทํ อหุ;
‘‘Atisītaṃ atiuṇhaṃ, atisāyamidaṃ ahu;
อิติ วิสฺสฎฺฐกมฺมเนฺต, อตฺถา อเจฺจนฺติ มาณเวฯ
Iti vissaṭṭhakammante, atthā accenti māṇave.
‘‘โยธ สีตญฺจ อุณฺหญฺจ, ติณา ภิโยฺย น มญฺญติ;
‘‘Yodha sītañca uṇhañca, tiṇā bhiyyo na maññati;
กรํ ปุริสกิจฺจานิ, โส สุขํ น วิหายตี’’ติฯ (ที. นิ. ๓.๒๕๓);
Karaṃ purisakiccāni, so sukhaṃ na vihāyatī’’ti. (dī. ni. 3.253);
‘‘โภเค สํหรมานสฺส, ภมรเสฺสว อิรียโต;
‘‘Bhoge saṃharamānassa, bhamarasseva irīyato;
โภคา สนฺนิจยํ ยนฺติ, วมฺมิโกวูปจียตี’’ติฯ จ เอวมาทิ (ที. นิ. ๓.๒๖๕);
Bhogā sannicayaṃ yanti, vammikovūpacīyatī’’ti. ca evamādi (dī. ni. 3.265);
เอวํ อิมิสฺสา คาถาย มาตุอุปฎฺฐานํ, ปิตุอุปฎฺฐานํ, ปุตฺตทารสฺส สงฺคโห, อนากุลา จ กมฺมนฺตาติ จตฺตาริ มงฺคลานิ วุตฺตานิ, ปุตฺตทารสฺส สงฺคหํ วา ทฺวิธา กตฺวา ปญฺจ, มาตาปิตุอุปฎฺฐานํ วา เอกเมว กตฺวา ตีณิฯ มงฺคลตฺตญฺจ เนสํ ตตฺถ ตตฺถ วิภาวิตเมวาติฯ
Evaṃ imissā gāthāya mātuupaṭṭhānaṃ, pituupaṭṭhānaṃ, puttadārassa saṅgaho, anākulā ca kammantāti cattāri maṅgalāni vuttāni, puttadārassa saṅgahaṃ vā dvidhā katvā pañca, mātāpituupaṭṭhānaṃ vā ekameva katvā tīṇi. Maṅgalattañca nesaṃ tattha tattha vibhāvitamevāti.
นิฎฺฐิตา มาตาปิตุอุปฎฺฐานนฺติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā mātāpituupaṭṭhānanti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
ทานญฺจาติคาถาวณฺณนา
Dānañcātigāthāvaṇṇanā
๗. อิทานิ ทานญฺจาติ เอตฺถ ทียเต อิมินาติ ทานํ, อตฺตโน สนฺตกํ ปรสฺส ปฎิปาทียตีติ วุตฺตํ โหติฯ ธมฺมสฺส จริยา, ธมฺมา วา อนเปตา จริยา ธมฺมจริยาฯ ญายเนฺต ‘‘อมฺหากํ อิเม’’ติ ญาตกาฯ น อวชฺชานิ อนวชฺชานิ, อนินฺทิตานิ อครหิตานีติ วุตฺตํ โหติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติ อยํ ปทวณฺณนาฯ
7. Idāni dānañcāti ettha dīyate imināti dānaṃ, attano santakaṃ parassa paṭipādīyatīti vuttaṃ hoti. Dhammassa cariyā, dhammā vā anapetā cariyā dhammacariyā. Ñāyante ‘‘amhākaṃ ime’’ti ñātakā. Na avajjāni anavajjāni, aninditāni agarahitānīti vuttaṃ hoti. Sesaṃ vuttanayamevāti ayaṃ padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปน เอวํ เวทิตพฺพา – ทานํ นาม ปรํ อุทฺทิสฺส สุพุทฺธิปุพฺพิกา อนฺนาทิทสทานวตฺถุปริจฺจาคเจตนา, ตํสมฺปยุโตฺต วา อโลโภฯ อโลเภน หิ ตํ วตฺถุํ ปรสฺส ปฎิปาเทติ, เตน วุตฺตํ ‘‘ทียเต อิมินาติ ทาน’’นฺติฯ ตํ พหุชนปิยมนาปตาทีนํ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกานํ ผลวิเสสานํ อธิคมเหตุโต มงฺคลนฺติ วุจฺจติฯ ‘‘ทายโก, สีห ทานปติ, พหุโน ชนสฺส ปิโย โหติ มนาโป’’ติ เอวมาทีนิ (อ. นิ. ๕.๓๔) เจตฺถ สุตฺตานิ อนุสฺสริตพฺพานิฯ
Atthavaṇṇanā pana evaṃ veditabbā – dānaṃ nāma paraṃ uddissa subuddhipubbikā annādidasadānavatthupariccāgacetanā, taṃsampayutto vā alobho. Alobhena hi taṃ vatthuṃ parassa paṭipādeti, tena vuttaṃ ‘‘dīyate imināti dāna’’nti. Taṃ bahujanapiyamanāpatādīnaṃ diṭṭhadhammikasamparāyikānaṃ phalavisesānaṃ adhigamahetuto maṅgalanti vuccati. ‘‘Dāyako, sīha dānapati, bahuno janassa piyo hoti manāpo’’ti evamādīni (a. ni. 5.34) cettha suttāni anussaritabbāni.
อปโร นโย – ทานํ นาม ทุวิธํ อามิสทานํ, ธมฺมทานญฺจ, ตตฺถ อามิสทานํ วุตฺตปฺปการเมวฯ อิธโลกปรโลกทุกฺขกฺขยสุขาวหสฺส ปน สมฺมาสมฺพุทฺธปฺปเวทิตสฺส ธมฺมสฺส ปเรสํ หิตกามตาย เทสนา ธมฺมทานํ , อิเมสญฺจ ทฺวินฺนํ ทานานํ เอตเทว อคฺคํฯ ยถาห –
Aparo nayo – dānaṃ nāma duvidhaṃ āmisadānaṃ, dhammadānañca, tattha āmisadānaṃ vuttappakārameva. Idhalokaparalokadukkhakkhayasukhāvahassa pana sammāsambuddhappaveditassa dhammassa paresaṃ hitakāmatāya desanā dhammadānaṃ, imesañca dvinnaṃ dānānaṃ etadeva aggaṃ. Yathāha –
‘‘สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ,
‘‘Sabbadānaṃ dhammadānaṃ jināti,
สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ;
Sabbarasaṃ dhammaraso jināti;
สพฺพรติํ ธมฺมรติ ชินาติ,
Sabbaratiṃ dhammarati jināti,
ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาตี’’ติฯ (ธ. ป. ๓๕๔);
Taṇhakkhayo sabbadukkhaṃ jinātī’’ti. (dha. pa. 354);
ตตฺถ อามิสทานสฺส มงฺคลตฺตํ วุตฺตเมวฯ ธมฺมทานํ ปน ยสฺมา อตฺถปฎิสํเวทิตาทีนํ คุณานํ ปทฎฺฐานํ, ตสฺมา มงฺคลนฺติ วุจฺจติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
Tattha āmisadānassa maṅgalattaṃ vuttameva. Dhammadānaṃ pana yasmā atthapaṭisaṃveditādīnaṃ guṇānaṃ padaṭṭhānaṃ, tasmā maṅgalanti vuccati. Vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘‘ยถา ยถา, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ยถาสุตํ ยถาปริยตฺตํ ธมฺมํ วิตฺถาเรน ปเรสํ เทเสติ, ตถา ตถา โส ตสฺมิํ ธเมฺม อตฺถปฎิสํเวที จ โหติ ธมฺมปฎิสํเวที จา’’ติ เอวมาทิ (อ. นิ. ๕.๒๖)ฯ
‘‘Yathā yathā, bhikkhave, bhikkhu yathāsutaṃ yathāpariyattaṃ dhammaṃ vitthārena paresaṃ deseti, tathā tathā so tasmiṃ dhamme atthapaṭisaṃvedī ca hoti dhammapaṭisaṃvedī cā’’ti evamādi (a. ni. 5.26).
ธมฺมจริยา นาม ทสกุสลกมฺมปถจริยาฯ ยถาห – ‘‘ติวิธา โข คหปตโย กาเยน ธมฺมจริยา สมจริยา โหตี’’ติ เอวมาทิฯ สา ปเนสา ธมฺมจริยา สคฺคโลกูปปตฺติเหตุโต มงฺคลนฺติ เวทิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา – ‘‘ธมฺมจริยาสมจริยาเหตุ โข คหปตโย เอวมิเธกเจฺจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๓๙)ฯ
Dhammacariyā nāma dasakusalakammapathacariyā. Yathāha – ‘‘tividhā kho gahapatayo kāyena dhammacariyā samacariyā hotī’’ti evamādi. Sā panesā dhammacariyā saggalokūpapattihetuto maṅgalanti veditabbā. Vuttañhetaṃ bhagavatā – ‘‘dhammacariyāsamacariyāhetu kho gahapatayo evamidhekacce sattā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjantī’’ti (ma. ni. 1.439).
ญาตกา นาม มาติโต วา ปิติโต วา ยาว สตฺตมา ปิตามหยุคา สมฺพนฺธาฯ เตสํ โภคปาริชุเญฺญน วา พฺยาธิปาริชุเญฺญน วา อภิหตานํ อตฺตโน สมีปํ อาคตานํ ยถาพลํ ฆาสจฺฉาทนธนธญฺญาทีหิ สงฺคโห ปสํสาทีนํ ทิฎฺฐธมฺมิกานํ สุคติคมนาทีนญฺจ สมฺปรายิกานํ วิเสสาธิคมานํ เหตุโต มงฺคลนฺติ วุจฺจติฯ
Ñātakā nāma mātito vā pitito vā yāva sattamā pitāmahayugā sambandhā. Tesaṃ bhogapārijuññena vā byādhipārijuññena vā abhihatānaṃ attano samīpaṃ āgatānaṃ yathābalaṃ ghāsacchādanadhanadhaññādīhi saṅgaho pasaṃsādīnaṃ diṭṭhadhammikānaṃ sugatigamanādīnañca samparāyikānaṃ visesādhigamānaṃ hetuto maṅgalanti vuccati.
อนวชฺชานิ กมฺมานิ นาม อุโปสถงฺคสมาทานเวยฺยาวจฺจกรณอารามวนโรปนเสตุกรณาทีนิ กายวจีมโนสุจริตกมฺมานิฯ ตานิ หิ นานปฺปการหิตสุขาธิคมเหตุโต มงฺคลนฺติ วุจฺจนฺติฯ ‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, วิสาเข, วิชฺชติ ยํ อิเธกโจฺจ อิตฺถี วา ปุริโส วา อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ อุปวสิตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา จาตุมหาราชิกานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปเชฺชยฺยา’’ติ เอวมาทีนิ เจตฺถ สุตฺตานิ (อ. นิ. ๘.๔๓) อนุสฺสริตพฺพานิฯ
Anavajjāni kammāni nāma uposathaṅgasamādānaveyyāvaccakaraṇaārāmavanaropanasetukaraṇādīni kāyavacīmanosucaritakammāni. Tāni hi nānappakārahitasukhādhigamahetuto maṅgalanti vuccanti. ‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, visākhe, vijjati yaṃ idhekacco itthī vā puriso vā aṭṭhaṅgasamannāgataṃ uposathaṃ upavasitvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā cātumahārājikānaṃ devānaṃ sahabyataṃ upapajjeyyā’’ti evamādīni cettha suttāni (a. ni. 8.43) anussaritabbāni.
เอวํ อิมิสฺสา คาถาย ทานญฺจ, ธมฺมจริยา จ, ญาตกานญฺจ สงฺคโห, อนวชฺชานิ กมฺมานีติ จตฺตาริ มงฺคลานิ วุตฺตานิฯ มงฺคลตฺตญฺจ เนสํ ตตฺถ ตตฺถ วิภาวิตเมวาติฯ
Evaṃ imissā gāthāya dānañca, dhammacariyā ca, ñātakānañca saṅgaho, anavajjāni kammānīti cattāri maṅgalāni vuttāni. Maṅgalattañca nesaṃ tattha tattha vibhāvitamevāti.
นิฎฺฐิตา ทานญฺจาติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā dānañcāti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
อารตีติคาถาวณฺณนา
Āratītigāthāvaṇṇanā
๘. อิทานิ อารตี วิรตีติ เอตฺถ อารตีติ อารมณํ, วิรตีติ วิรมณํ, วิรมนฺติ วา เอตาย สตฺตาติ วิรติฯ ปาปาติ อกุสลาฯ มทนียเฎฺฐน มชฺชํ, มชฺชสฺส ปานํ มชฺชปานํ, ตโต มชฺชปานาฯ สํยมนํ สํยโม อปฺปมชฺชนํ อปฺปมาโทฯ ธเมฺมสูติ กุสเลสุฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติ อยํ ปทวณฺณนาฯ
8. Idāni āratī viratīti ettha āratīti āramaṇaṃ, viratīti viramaṇaṃ, viramanti vā etāya sattāti virati. Pāpāti akusalā. Madanīyaṭṭhena majjaṃ, majjassa pānaṃ majjapānaṃ, tato majjapānā. Saṃyamanaṃ saṃyamo appamajjanaṃ appamādo. Dhammesūti kusalesu. Sesaṃ vuttanayamevāti ayaṃ padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปน เอวํ เวทิตพฺพา – อารติ นาม ปาเป อาทีนวทสฺสาวิโน มนสา เอว อนภิรติฯ วิรติ นาม กมฺมทฺวารวเสน กายวาจาหิ วิรมณํ, สา เจสา วิรติ นาม สมฺปตฺตวิรติ, สมาทานวิรติ, สมุเจฺฉทวิรตีติ ติวิธา โหติ, ตตฺถ ยา กุลปุตฺตสฺส อตฺตโน ชาติํ วา กุลํ วา โคตฺตํ วา ปฎิจฺจ ‘‘น เม เอตํ ปติรูปํ, ยฺวาหํ อิมํ ปาณํ หเนยฺยํ, อทินฺนํ อาทิเยยฺย’’นฺติอาทินา นเยน สมฺปตฺตวตฺถุโต วิรติ, อยํ สมฺปตฺตวิรติ นามฯ สิกฺขาปทสมาทานวเสน ปวตฺตา สมาทานวิรติ นาม, ยสฺสา ปวตฺติโต ปภุติ กุลปุโตฺต ปาณาติปาตาทีนิ น กโรติฯ อริยมคฺคสมฺปยุตฺตา สมุเจฺฉทวิรติ นาม, ยสฺสา ปวตฺติโต ปภุติ อริยสาวกสฺส ปญฺจ ภยานิ เวรานิ วูปสนฺตานิ โหนฺติฯ ปาปํ นาม ยํ ตํ ‘‘ปาณาติปาโต โข, คหปติปุตฺต, กมฺมกิเลโส, อทินฺนาทานํ…เป.… กาเมสุมิจฺฉาจาโร…เป.… มุสาวาโท’’ติ เอวํ วิตฺถาเรตฺวา –
Atthavaṇṇanā pana evaṃ veditabbā – ārati nāma pāpe ādīnavadassāvino manasā eva anabhirati. Virati nāma kammadvāravasena kāyavācāhi viramaṇaṃ, sā cesā virati nāma sampattavirati, samādānavirati, samucchedaviratīti tividhā hoti, tattha yā kulaputtassa attano jātiṃ vā kulaṃ vā gottaṃ vā paṭicca ‘‘na me etaṃ patirūpaṃ, yvāhaṃ imaṃ pāṇaṃ haneyyaṃ, adinnaṃ ādiyeyya’’ntiādinā nayena sampattavatthuto virati, ayaṃ sampattavirati nāma. Sikkhāpadasamādānavasena pavattā samādānavirati nāma, yassā pavattito pabhuti kulaputto pāṇātipātādīni na karoti. Ariyamaggasampayuttā samucchedavirati nāma, yassā pavattito pabhuti ariyasāvakassa pañca bhayāni verāni vūpasantāni honti. Pāpaṃ nāma yaṃ taṃ ‘‘pāṇātipāto kho, gahapatiputta, kammakileso, adinnādānaṃ…pe… kāmesumicchācāro…pe… musāvādo’’ti evaṃ vitthāretvā –
‘‘ปาณาติปาโต อทินฺนาทานํ, มุสาวาโท จ วุจฺจติ;
‘‘Pāṇātipāto adinnādānaṃ, musāvādo ca vuccati;
ปรทารคมนเญฺจว, นปฺปสํสนฺติ ปณฺฑิตา’’ติฯ (ที. นิ. ๓.๒๔๕) –
Paradāragamanañceva, nappasaṃsanti paṇḍitā’’ti. (dī. ni. 3.245) –
เอวํ คาถาย สงฺคหิตํ กมฺมกิเลสสงฺขาตํ จตุพฺพิธํ อกุสลํ, ตโต ปาปาฯ สพฺพาเปสา อารติ จ วิรติ จ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกภยเวรปฺปหานาทินานปฺปการวิเสสาธิคมเหตุโต มงฺคลนฺติ วุจฺจติฯ ‘‘ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โข, คหปติปุตฺต, อริยสาวโก’’ติอาทีนิ เจตฺถ สุตฺตานิ อนุสฺสริตพฺพานิฯ
Evaṃ gāthāya saṅgahitaṃ kammakilesasaṅkhātaṃ catubbidhaṃ akusalaṃ, tato pāpā. Sabbāpesā ārati ca virati ca diṭṭhadhammikasamparāyikabhayaverappahānādinānappakāravisesādhigamahetuto maṅgalanti vuccati. ‘‘Pāṇātipātā paṭivirato kho, gahapatiputta, ariyasāvako’’tiādīni cettha suttāni anussaritabbāni.
มชฺชปานา สํยโม นาม ปุเพฺพ วุตฺตสุราเมรยมชฺชปฺปมาทฎฺฐานา เวรมณิยา เอเวตํ อธิวจนํฯ ยสฺมา ปน มชฺชปายี อตฺถํ น ชานาติ, ธมฺมํ น ชานาติ, มาตุ อนฺตรายํ กโรติ, ปิตุ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธตถาคตสาวกานมฺปิ อนฺตรายํ กโรติ, ทิเฎฺฐว ธเมฺม ครหํ สมฺปราเย ทุคฺคติํ อปราปริเย อุมฺมาทญฺจ ปาปุณาติฯ มชฺชปานา ปน สํยโม เตสํ โทสานํ วูปสมํ ตพฺพิปรีตคุณสมฺปทญฺจ ปาปุณาติฯ ตสฺมา อยํ มชฺชปานา สํยโม มงฺคลนฺติ เวทิตโพฺพฯ
Majjapānā saṃyamo nāma pubbe vuttasurāmerayamajjappamādaṭṭhānā veramaṇiyā evetaṃ adhivacanaṃ. Yasmā pana majjapāyī atthaṃ na jānāti, dhammaṃ na jānāti, mātu antarāyaṃ karoti, pitu buddhapaccekabuddhatathāgatasāvakānampi antarāyaṃ karoti, diṭṭheva dhamme garahaṃ samparāye duggatiṃ aparāpariye ummādañca pāpuṇāti. Majjapānā pana saṃyamo tesaṃ dosānaṃ vūpasamaṃ tabbiparītaguṇasampadañca pāpuṇāti. Tasmā ayaṃ majjapānā saṃyamo maṅgalanti veditabbo.
กุสเลสุ ธเมฺมสุ อปฺปมาโท นาม ‘‘กุสลานํ วา ธมฺมานํ ภาวนาย อสกฺกจฺจกิริยตา, อสาตจฺจกิริยตา, อนฎฺฐิตกิริยตา, โอลีนวุตฺติตา, นิกฺขิตฺตฉนฺทตา, นิกฺขิตฺตธุรตา, อนาเสวนา, อภาวนา, อพหุลีกมฺมํ, อนธิฎฺฐานํ, อนนุโยโค, ปมาโทฯ โย เอวรูโป ปมาโท ปมชฺชนา ปมชฺชิตตฺตํ, อยํ วุจฺจติ ปมาโท’’ติ (วิภ. ๘๔๖)ฯ เอตฺถ วุตฺตสฺส ปมาทสฺส ปฎิปกฺขวเสน อตฺถโต กุสเลสุ ธเมฺมสุ สติยา อวิปฺปวาโส เวทิตโพฺพฯ โส นานปฺปการกุสลาธิคมเหตุโต อมตาธิคมเหตุโต จ มงฺคลนฺติ วุจฺจติ ฯ ตตฺถ ‘‘อปฺปมตฺตสฺส อาตาปิโน’’ติ จ (ม. นิ. ๒.๑๘; อ. นิ. ๕.๒๖), ‘‘อปฺปมาโท อมตํ ปท’’นฺติ จ, เอวมาทิ (ธ. ป. ๒๑) สตฺถุ สาสนํ อนุสฺสริตพฺพํฯ
Kusalesu dhammesu appamādo nāma ‘‘kusalānaṃ vā dhammānaṃ bhāvanāya asakkaccakiriyatā, asātaccakiriyatā, anaṭṭhitakiriyatā, olīnavuttitā, nikkhittachandatā, nikkhittadhuratā, anāsevanā, abhāvanā, abahulīkammaṃ, anadhiṭṭhānaṃ, ananuyogo, pamādo. Yo evarūpo pamādo pamajjanā pamajjitattaṃ, ayaṃ vuccati pamādo’’ti (vibha. 846). Ettha vuttassa pamādassa paṭipakkhavasena atthato kusalesu dhammesu satiyā avippavāso veditabbo. So nānappakārakusalādhigamahetuto amatādhigamahetuto ca maṅgalanti vuccati . Tattha ‘‘appamattassa ātāpino’’ti ca (ma. ni. 2.18; a. ni. 5.26), ‘‘appamādo amataṃ pada’’nti ca, evamādi (dha. pa. 21) satthu sāsanaṃ anussaritabbaṃ.
เอวํ อิมิสฺสา คาถาย ปาปา วิรติ, มชฺชปานา สํยโม, กุสเลสุ ธเมฺมสุ อปฺปมาโทติ ตีณิ มงฺคลานิ วุตฺตานิฯ มงฺคลตฺตญฺจ เนสํ ตตฺถ ตตฺถ วิภาวิตเมวาติฯ
Evaṃ imissā gāthāya pāpā virati, majjapānā saṃyamo, kusalesu dhammesu appamādoti tīṇi maṅgalāni vuttāni. Maṅgalattañca nesaṃ tattha tattha vibhāvitamevāti.
นิฎฺฐิตา อารตีติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā āratīti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
คารโวจาติคาถาวณฺณนา
Gāravocātigāthāvaṇṇanā
๙. อิทานิ คารโว จาติ เอตฺถ คารโวติ ครุภาโวฯ นิวาโตติ นีจวุตฺติตาฯ สนฺตุฎฺฐีติ สโนฺตโส ฯ กตสฺส ชานนตา กตญฺญุตาฯ กาเลนาติ ขเณน สมเยนฯ ธมฺมสฺส สวนํ ธมฺมสฺสวนํฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติ อยํ ปทวณฺณนาฯ
9. Idāni gāravo cāti ettha gāravoti garubhāvo. Nivātoti nīcavuttitā. Santuṭṭhīti santoso . Katassa jānanatā kataññutā. Kālenāti khaṇena samayena. Dhammassa savanaṃ dhammassavanaṃ. Sesaṃ vuttanayamevāti ayaṃ padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปน เอวํ เวทิตพฺพา – คารโว นาม ครุการปฺปโยคารเหสุ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธตถาคตสาวกอาจริยุปชฺฌายมาตาปิตุเชฎฺฐกภาติกภคินีอาทีสุ ยถานุรูปํ ครุกาโร ครุกรณํ สคารวตาฯ ส จายํ คารโว ยสฺมา สุคติคมนาทีนํ เหตุฯ ยถาห –
Atthavaṇṇanā pana evaṃ veditabbā – gāravo nāma garukārappayogārahesu buddhapaccekabuddhatathāgatasāvakaācariyupajjhāyamātāpitujeṭṭhakabhātikabhaginīādīsu yathānurūpaṃ garukāro garukaraṇaṃ sagāravatā. Sa cāyaṃ gāravo yasmā sugatigamanādīnaṃ hetu. Yathāha –
‘‘ครุกาตพฺพํ ครุํ กโรติ, มาเนตพฺพํ มาเนติ, ปูเชตพฺพํ ปูเชติฯ โส เตน กเมฺมน เอวํ สมเตฺตน เอวํ สมาทิเนฺนน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติฯ โน เจ กายสฺส…เป.… อุปปชฺชติ, สเจ มนุสฺสตฺตํ อาคจฺฉติ, ยตฺถ ยตฺถ ปจฺจาชายติ, อุจฺจากุลีโน โหตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๙๕)ฯ
‘‘Garukātabbaṃ garuṃ karoti, mānetabbaṃ māneti, pūjetabbaṃ pūjeti. So tena kammena evaṃ samattena evaṃ samādinnena kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjati. No ce kāyassa…pe… upapajjati, sace manussattaṃ āgacchati, yattha yattha paccājāyati, uccākulīno hotī’’ti (ma. ni. 3.295).
ยถา จาห – ‘‘สตฺติเม, ภิกฺขเว, อปริหานิยา ธมฺมาฯ กตเม สตฺต? สตฺถุคารวตา’’ติอาทิ (อ. นิ. ๗.๓๓), ตสฺมา มงฺคลนฺติ วุจฺจติฯ
Yathā cāha – ‘‘sattime, bhikkhave, aparihāniyā dhammā. Katame satta? Satthugāravatā’’tiādi (a. ni. 7.33), tasmā maṅgalanti vuccati.
นิวาโต นาม นีจมนตา นิวาตวุตฺติตา, ยาย สมนฺนาคโต ปุคฺคโล นิหตมาโน นิหตทโปฺป ปาทปุญฺฉนกโจฬสทิโส ฉินฺนวิสาณอุสภสโม อุทฺธฎทาฐสปฺปสโม จ หุตฺวา สโณฺห สขิโล สุขสมฺภาโส โหติ, อยํ นิวาโตฯ สฺวายํ ยสาทิคุณปฺปฎิลาภเหตุโต มงฺคลนฺติ วุจฺจติฯ อาห จ ‘‘นิวาตวุตฺติ อตฺถโทฺธ, ตาทิโส ลภเต ยส’’นฺติ เอวมาทิ (ที. นิ. ๓.๒๗๓)ฯ
Nivāto nāma nīcamanatā nivātavuttitā, yāya samannāgato puggalo nihatamāno nihatadappo pādapuñchanakacoḷasadiso chinnavisāṇausabhasamo uddhaṭadāṭhasappasamo ca hutvā saṇho sakhilo sukhasambhāso hoti, ayaṃ nivāto. Svāyaṃ yasādiguṇappaṭilābhahetuto maṅgalanti vuccati. Āha ca ‘‘nivātavutti atthaddho, tādiso labhate yasa’’nti evamādi (dī. ni. 3.273).
สนฺตุฎฺฐิ นาม อิตรีตรปจฺจยสโนฺตโส, โส ทฺวาทสวิโธ โหติฯ เสยฺยถิทํ – จีวเร ยถาลาภสโนฺตโส, ยถาพลสโนฺตโส, ยถาสารุปฺปสโนฺตโสติ ติวิโธฯ เอวํ ปิณฺฑปาตาทีสุฯ
Santuṭṭhi nāma itarītarapaccayasantoso, so dvādasavidho hoti. Seyyathidaṃ – cīvare yathālābhasantoso, yathābalasantoso, yathāsāruppasantosoti tividho. Evaṃ piṇḍapātādīsu.
ตสฺสายํ ปเภทวณฺณนา – อิธ ภิกฺขุ จีวรํ ลภติ สุนฺทรํ วา อสุนฺทรํ วาฯ โส เตเนว ยาเปติ, อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติ, อยมสฺส จีวเร ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ ปน ภิกฺขุ อาพาธิโก โหติ, ครุํ จีวรํ ปารุปโนฺต โอณมติ วา กิลมติ วา, โส สภาเคน ภิกฺขุนา สทฺธิํ ตํ ปริวเตฺตตฺวา ลหุเกน ยาเปโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส จีวเร ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร ภิกฺขุ ปณีตปจฺจยลาภี โหติ, โส ปฎฺฎจีวราทีนํ อญฺญตรํ มหคฺฆํ จีวรํ ลภิตฺวา ‘‘อิทํ เถรานํ จิรปพฺพชิตานํ พหุสฺสุตานญฺจ อนุรูป’’นฺติ เตสํ ทตฺวา อตฺตนา สงฺการกูฎา วา อญฺญโต วา กุโตจิ นนฺตกานิ อุจฺจินิตฺวา สงฺฆาฎิํ กริตฺวา ธาเรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส จีวเร ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Tassāyaṃ pabhedavaṇṇanā – idha bhikkhu cīvaraṃ labhati sundaraṃ vā asundaraṃ vā. So teneva yāpeti, aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhāti, ayamassa cīvare yathālābhasantoso. Atha pana bhikkhu ābādhiko hoti, garuṃ cīvaraṃ pārupanto oṇamati vā kilamati vā, so sabhāgena bhikkhunā saddhiṃ taṃ parivattetvā lahukena yāpentopi santuṭṭhova hoti, ayamassa cīvare yathābalasantoso. Aparo bhikkhu paṇītapaccayalābhī hoti, so paṭṭacīvarādīnaṃ aññataraṃ mahagghaṃ cīvaraṃ labhitvā ‘‘idaṃ therānaṃ cirapabbajitānaṃ bahussutānañca anurūpa’’nti tesaṃ datvā attanā saṅkārakūṭā vā aññato vā kutoci nantakāni uccinitvā saṅghāṭiṃ karitvā dhārentopi santuṭṭhova hoti, ayamassa cīvare yathāsāruppasantoso.
อิธ ปน ภิกฺขุ ปิณฺฑปาตํ ลภติ ลูขํ วา ปณีตํ วา, โส เตเนว ยาเปติ, อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติ, อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ ปน ภิกฺขุ อาพาธิโก โหติ, ลูขํ ปิณฺฑปาตํ ภุญฺชิตฺวา คาฬฺหํ โรคาตงฺกํ ปาปุณาติ, โส ตํ สภาคสฺส ภิกฺขุโน ทตฺวา ตสฺส หตฺถโต สปฺปิมธุขีราทีนิ ภุญฺชิตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร ภิกฺขุ ปณีตํ ปิณฺฑปาตํ ลภติ, โส ‘‘อยํ ปิณฺฑปาโต เถรานํ จิรปพฺพชิตานํ อเญฺญสญฺจ ปณีตปิณฺฑปาตํ วินา อยาเปนฺตานํ สพฺรหฺมจารีนํ อนุรูโป’’ติ เตสํ ทตฺวา อตฺตนา ปิณฺฑาย จริตฺวา มิสฺสกาหารํ ภุญฺชโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Idha pana bhikkhu piṇḍapātaṃ labhati lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā, so teneva yāpeti, aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhāti, ayamassa piṇḍapāte yathālābhasantoso. Atha pana bhikkhu ābādhiko hoti, lūkhaṃ piṇḍapātaṃ bhuñjitvā gāḷhaṃ rogātaṅkaṃ pāpuṇāti, so taṃ sabhāgassa bhikkhuno datvā tassa hatthato sappimadhukhīrādīni bhuñjitvā samaṇadhammaṃ karontopi santuṭṭhova hoti, ayamassa piṇḍapāte yathābalasantoso. Aparo bhikkhu paṇītaṃ piṇḍapātaṃ labhati, so ‘‘ayaṃ piṇḍapāto therānaṃ cirapabbajitānaṃ aññesañca paṇītapiṇḍapātaṃ vinā ayāpentānaṃ sabrahmacārīnaṃ anurūpo’’ti tesaṃ datvā attanā piṇḍāya caritvā missakāhāraṃ bhuñjantopi santuṭṭhova hoti, ayamassa piṇḍapāte yathāsāruppasantoso.
อิธ ปน ภิกฺขุโน เสนาสนํ ปาปุณาติฯ โส เตเนว สนฺตุสฺสติ, ปุน อญฺญํ สุนฺทรตรมฺปิ ปาปุณนฺตํ น คณฺหาติ, อยมสฺส เสนาสเน ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ ปน ภิกฺขุ อาพาธิโก โหติ, นิวาตเสนาสเน วสโนฺต อติวิย ปิตฺตโรคาทีหิ อาตุรียติฯ โส ตํ สภาคสฺส ภิกฺขุโน ทตฺวา ตสฺส ปาปุณเน สวาเต สีตลเสนาสเน วสิตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส เสนาสเน ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร ภิกฺขุ สุนฺทรํ เสนาสนํ ปตฺตมฺปิ น สมฺปฎิจฺฉติ ‘‘สุนฺทรเสนาสนํ ปมาทฎฺฐานํ, ตตฺร นิสินฺนสฺส ถินมิทฺธํ โอกฺกมติ, นิทฺทาภิภูตสฺส จ ปุน ปฎิพุชฺฌโต กามวิตโกฺก สมุทาจรตี’’ติฯ โส ตํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อโชฺฌกาสรุกฺขมูลปณฺณกุฎีสุ ยตฺถ กตฺถจิ นิวสโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส เสนาสเน ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Idha pana bhikkhuno senāsanaṃ pāpuṇāti. So teneva santussati, puna aññaṃ sundaratarampi pāpuṇantaṃ na gaṇhāti, ayamassa senāsane yathālābhasantoso. Atha pana bhikkhu ābādhiko hoti, nivātasenāsane vasanto ativiya pittarogādīhi āturīyati. So taṃ sabhāgassa bhikkhuno datvā tassa pāpuṇane savāte sītalasenāsane vasitvā samaṇadhammaṃ karontopi santuṭṭhova hoti, ayamassa senāsane yathābalasantoso. Aparo bhikkhu sundaraṃ senāsanaṃ pattampi na sampaṭicchati ‘‘sundarasenāsanaṃ pamādaṭṭhānaṃ, tatra nisinnassa thinamiddhaṃ okkamati, niddābhibhūtassa ca puna paṭibujjhato kāmavitakko samudācaratī’’ti. So taṃ paṭikkhipitvā ajjhokāsarukkhamūlapaṇṇakuṭīsu yattha katthaci nivasantopi santuṭṭhova hoti, ayamassa senāsane yathāsāruppasantoso.
อิธ ปน ภิกฺขุ เภสชฺชํ ลภติ หรีตกํ วา อามลกํ วาฯ โส เตเนว ยาเปติ, อเญฺญหิ ลทฺธสปฺปิมธุผาณิตาทิมฺปิ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติ, อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ ปน ภิกฺขุ อาพาธิโก โหติ, เตเลนตฺถิโก ผาณิตํ ลภติ, โส ตํ สภาคสฺส ภิกฺขุโน ทตฺวา ตสฺส หตฺถโต เตเลน เภสชฺชํ กตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร ภิกฺขุ เอกสฺมิํ ภาชเน ปูติมุตฺตหรีตกํ ฐเปตฺวา เอกสฺมิํ จตุมธุรํ ‘‘คณฺหถ, ภเนฺต, ยทิจฺฉสี’’ติ วุจฺจมาโน สจสฺส เตสํ ทฺวินฺนมญฺญตเรนปิ พฺยาธิ วูปสมฺมติ, อถ ‘‘ปูติมุตฺตหรีตกํ นาม พุทฺธาทีหิ วณฺณิต’’นฺติ จ ‘‘ปูติมุตฺตเภสชฺชํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา, ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโยติ วุตฺต’’นฺติ (มหาว. ๑๒๘) จ จิเนฺตโนฺต จตุมธุรเภสชฺชํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ปูติมุตฺตหรีตเกน เภสชฺชํ กโรโนฺตปิ ปรมสนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Idha pana bhikkhu bhesajjaṃ labhati harītakaṃ vā āmalakaṃ vā. So teneva yāpeti, aññehi laddhasappimadhuphāṇitādimpi na pattheti, labhantopi na gaṇhāti, ayamassa gilānapaccaye yathālābhasantoso. Atha pana bhikkhu ābādhiko hoti, telenatthiko phāṇitaṃ labhati, so taṃ sabhāgassa bhikkhuno datvā tassa hatthato telena bhesajjaṃ katvā samaṇadhammaṃ karontopi santuṭṭhova hoti, ayamassa gilānapaccaye yathābalasantoso. Aparo bhikkhu ekasmiṃ bhājane pūtimuttaharītakaṃ ṭhapetvā ekasmiṃ catumadhuraṃ ‘‘gaṇhatha, bhante, yadicchasī’’ti vuccamāno sacassa tesaṃ dvinnamaññatarenapi byādhi vūpasammati, atha ‘‘pūtimuttaharītakaṃ nāma buddhādīhi vaṇṇita’’nti ca ‘‘pūtimuttabhesajjaṃ nissāya pabbajjā, tattha te yāvajīvaṃ ussāho karaṇīyoti vutta’’nti (mahāva. 128) ca cintento catumadhurabhesajjaṃ paṭikkhipitvā pūtimuttaharītakena bhesajjaṃ karontopi paramasantuṭṭhova hoti. Ayamassa gilānapaccaye yathāsāruppasantoso.
เอวํปเภโท สโพฺพเปโส สโนฺตโส สนฺตุฎฺฐีติ วุจฺจติฯ สา อตฺริจฺฉตามหิจฺฉตาปาปิจฺฉตาทีนํ ปาปธมฺมานํ ปหานาธิคมเหตุโต, สุคติเหตุโต, อริยมคฺคสมฺภารภาวโต, จาตุทฺทิสาทิภาวเหตุโต จ มงฺคลนฺติ เวทิตพฺพาฯ อาห จ –
Evaṃpabhedo sabbopeso santoso santuṭṭhīti vuccati. Sā atricchatāmahicchatāpāpicchatādīnaṃ pāpadhammānaṃ pahānādhigamahetuto, sugatihetuto, ariyamaggasambhārabhāvato, cātuddisādibhāvahetuto ca maṅgalanti veditabbā. Āha ca –
‘‘จาตุทฺทิโส อปฺปฎิโฆ จ โหติ,
‘‘Cātuddiso appaṭigho ca hoti,
สนฺตุสฺสมาโน อิตรีตเรนา’’ติฯ เอวมาทิ (สุ. นิ. ๔๒);
Santussamāno itarītarenā’’ti. evamādi (su. ni. 42);
กตญฺญุตา นาม อปฺปสฺส วา พหุสฺส วา เยน เกนจิ กตสฺส อุปการสฺส ปุนปฺปุนํ อนุสฺสรณภาเวน ชานนตาฯ อปิจ เนรยิกาทิทุกฺขปริตฺตาณโต ปุญฺญานิ เอว ปาณีนํ พหูปการานิ, ตโต เตสมฺปิ อุปการานุสฺสรณตา กตญฺญุตาติ เวทิตพฺพาฯ สา สปฺปุริเสหิ ปสํสนียาทินานปฺปการวิเสสาธิคมเหตุโต มงฺคลนฺติ วุจฺจติฯ อาห จ ‘‘เทฺวเม, ภิกฺขเว, ปุคฺคลา ทุลฺลภา โลกสฺมิํฯ กตเม เทฺว? โย จ ปุพฺพการี โย จ กตญฺญู กตเวที’’ติ (อ. นิ. ๒.๑๒๐)ฯ
Kataññutā nāma appassa vā bahussa vā yena kenaci katassa upakārassa punappunaṃ anussaraṇabhāvena jānanatā. Apica nerayikādidukkhaparittāṇato puññāni eva pāṇīnaṃ bahūpakārāni, tato tesampi upakārānussaraṇatā kataññutāti veditabbā. Sā sappurisehi pasaṃsanīyādinānappakāravisesādhigamahetuto maṅgalanti vuccati. Āha ca ‘‘dveme, bhikkhave, puggalā dullabhā lokasmiṃ. Katame dve? Yo ca pubbakārī yo ca kataññū katavedī’’ti (a. ni. 2.120).
กาเลน ธมฺมสฺสวนํ นาม ยสฺมิํ กาเล อุทฺธจฺจสหคตํ จิตฺตํ โหติ, กามวิตกฺกาทีนํ วา อญฺญตเรน อภิภูตํ, ตสฺมิํ กาเล เตสํ วิโนทนตฺถํ ธมฺมสฺสวนํฯ อปเร อาหุ ‘‘ปญฺจเม ปญฺจเม ทิวเส ธมฺมสฺสวนํ กาเลน ธมฺมสฺสวนํ นามฯ ยถาห อายสฺมา อนุรุโทฺธ ‘ปญฺจาหิกํ โข ปน มยํ, ภเนฺต, สพฺพรตฺติํ ธมฺมิยา กถาย สนฺนิสีทามา’’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๒๗; มหาว. ๔๖๖)ฯ
Kālena dhammassavanaṃ nāma yasmiṃ kāle uddhaccasahagataṃ cittaṃ hoti, kāmavitakkādīnaṃ vā aññatarena abhibhūtaṃ, tasmiṃ kāle tesaṃ vinodanatthaṃ dhammassavanaṃ. Apare āhu ‘‘pañcame pañcame divase dhammassavanaṃ kālena dhammassavanaṃ nāma. Yathāha āyasmā anuruddho ‘pañcāhikaṃ kho pana mayaṃ, bhante, sabbarattiṃ dhammiyā kathāya sannisīdāmā’’’ti (ma. ni. 1.327; mahāva. 466).
อปิจ ยสฺมิํ กาเล กลฺยาณมิเตฺต อุปสงฺกมิตฺวา สกฺกา โหติ อตฺตโน กงฺขาวิโนทกํ ธมฺมํ โสตุํ, ตสฺมิํ กาเลปิ ธมฺมสฺสวนํ กาเลน ธมฺมสฺสวนนฺติ เวทิตพฺพํฯ ยถาห ‘‘เต กาเลน กาลํ อุปสงฺกมิตฺวา ปริปุจฺฉติ ปริปญฺหตี’’ติอาทิ (ที. นิ. ๓.๓๕๘)ฯ ตเทตํ กาเลน ธมฺมสฺสวนํ นีวรณปฺปหานจตุรานิสํสอาสวกฺขยาทินานปฺปการวิเสสาธิคมเหตุโต มงฺคลนฺติ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Apica yasmiṃ kāle kalyāṇamitte upasaṅkamitvā sakkā hoti attano kaṅkhāvinodakaṃ dhammaṃ sotuṃ, tasmiṃ kālepi dhammassavanaṃ kālena dhammassavananti veditabbaṃ. Yathāha ‘‘te kālena kālaṃ upasaṅkamitvā paripucchati paripañhatī’’tiādi (dī. ni. 3.358). Tadetaṃ kālena dhammassavanaṃ nīvaraṇappahānacaturānisaṃsaāsavakkhayādinānappakāravisesādhigamahetuto maṅgalanti veditabbaṃ. Vuttañhetaṃ –
‘‘ยสฺมิํ , ภิกฺขเว, สมเย อริยสาวโก อฎฺฐิํ กตฺวา มนสิ กตฺวา สพฺพํ เจตสา สมนฺนาหริตฺวา โอหิตโสโต ธมฺมํ สุณาติ, ปญฺจสฺส นีวรณา ตสฺมิํ สมเย น โหนฺตี’’ติ จ (สํ. นิ. ๕.๒๑๙)ฯ
‘‘Yasmiṃ , bhikkhave, samaye ariyasāvako aṭṭhiṃ katvā manasi katvā sabbaṃ cetasā samannāharitvā ohitasoto dhammaṃ suṇāti, pañcassa nīvaraṇā tasmiṃ samaye na hontī’’ti ca (saṃ. ni. 5.219).
‘‘โสตานุคตานํ, ภิกฺขเว, ธมฺมานํ…เป.… สุปฺปฎิวิทฺธานํ จตฺตาโร อานิสํสา ปาฎิกงฺขา’’ติ จ (อ. นิ. ๔.๑๙๑)ฯ
‘‘Sotānugatānaṃ, bhikkhave, dhammānaṃ…pe… suppaṭividdhānaṃ cattāro ānisaṃsā pāṭikaṅkhā’’ti ca (a. ni. 4.191).
‘‘จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, ธมฺมา กาเลน กาลํ สมฺมา ภาวิยมานา สมฺมา อนุปริวตฺติยมานา อนุปุเพฺพน อาสวานํ ขยํ ปาเปนฺติฯ กตเม จตฺตาโร? กาเลน ธมฺมสฺสวน’’นฺติ จ เอวมาทิ (อ. นิ. ๔.๑๔๗)ฯ
‘‘Cattārome, bhikkhave, dhammā kālena kālaṃ sammā bhāviyamānā sammā anuparivattiyamānā anupubbena āsavānaṃ khayaṃ pāpenti. Katame cattāro? Kālena dhammassavana’’nti ca evamādi (a. ni. 4.147).
เอวํ อิมิสฺสา คาถาย คารโว, นิวาโต, สนฺตุฎฺฐิ, กตญฺญุตา, กาเลน ธมฺมสฺสวนนฺติ ปญฺจ มงฺคลานิ วุตฺตานิฯ มงฺคลตฺตญฺจ เนสํ ตตฺถ ตตฺถ วิภาวิตเมวาติฯ
Evaṃ imissā gāthāya gāravo, nivāto, santuṭṭhi, kataññutā, kālena dhammassavananti pañca maṅgalāni vuttāni. Maṅgalattañca nesaṃ tattha tattha vibhāvitamevāti.
นิฎฺฐิตา คารโว จาติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā gāravo cāti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
ขนฺตีจาติคาถาวณฺณนา
Khantīcātigāthāvaṇṇanā
๑๐. อิทานิ ขนฺตี จาติ เอตฺถ ขมนํ ขนฺติฯ ปทกฺขิณคฺคาหิตาย สุขํ วโจ อสฺมินฺติ สุวโจ, สุวจสฺส กมฺมํ โสวจสฺสํ, โสวจสฺสสฺส ภาโว โสวจสฺสตาฯ กิเลสานํ สมิตตฺตา สมณาฯ ทสฺสนนฺติ เปกฺขนํฯ ธมฺมสฺส สากจฺฉา ธมฺมสากจฺฉาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ อยํ ปทวณฺณนาฯ
10. Idāni khantī cāti ettha khamanaṃ khanti. Padakkhiṇaggāhitāya sukhaṃ vaco asminti suvaco, suvacassa kammaṃ sovacassaṃ, sovacassassa bhāvo sovacassatā. Kilesānaṃ samitattā samaṇā. Dassananti pekkhanaṃ. Dhammassa sākacchā dhammasākacchā. Sesaṃ vuttanayamevāti. Ayaṃ padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปน เอวํ เวทิตพฺพา – ขนฺติ นาม อธิวาสนกฺขนฺติ, ตาย สมนฺนาคโต ภิกฺขุ ทสหิ อโกฺกสวตฺถูหิ อโกฺกสเนฺต วธพนฺธาทีหิ วา วิเหสเนฺต ปุคฺคเล อสุณโนฺต วิย อปสฺสโนฺต วิย จ นิพฺพิกาโร โหติ ขนฺติวาที วิยฯ ยถาห –
Atthavaṇṇanā pana evaṃ veditabbā – khanti nāma adhivāsanakkhanti, tāya samannāgato bhikkhu dasahi akkosavatthūhi akkosante vadhabandhādīhi vā vihesante puggale asuṇanto viya apassanto viya ca nibbikāro hoti khantivādī viya. Yathāha –
‘‘อหุ อตีตมทฺธานํ, สมโณ ขนฺติทีปโน;
‘‘Ahu atītamaddhānaṃ, samaṇo khantidīpano;
ตํ ขนฺติยาเยว ฐิตํ, กาสิราชา อเฉทยี’’ติฯ (ชา. ๑.๔.๕๑);
Taṃ khantiyāyeva ṭhitaṃ, kāsirājā achedayī’’ti. (jā. 1.4.51);
ภทฺรกโต วา มนสิ กโรติ ตโต อุตฺตริ อปราธาภาเวน อายสฺมา ปุณฺณเตฺถโร วิยฯ ยถาห โส –
Bhadrakato vā manasi karoti tato uttari aparādhābhāvena āyasmā puṇṇatthero viya. Yathāha so –
‘‘สเจ มํ, ภเนฺต, สุนาปรนฺตกา มนุสฺสา อโกฺกสิสฺสนฺติ ปริภาสิสฺสนฺติ, ตตฺถ เม เอวํ ภวิสฺสติ ‘ภทฺทกา วติเม สุนาปรนฺตกา มนุสฺสา, สุภทฺทกา วติเม สุนาปรนฺตกา มนุสฺสา, ยํ เม นยิเม ปาณินา ปหารํ เทนฺตี’’’ติอาทิ (ม. นิ. ๓.๓๙๖; สํ. นิ. ๔.๘๘)ฯ
‘‘Sace maṃ, bhante, sunāparantakā manussā akkosissanti paribhāsissanti, tattha me evaṃ bhavissati ‘bhaddakā vatime sunāparantakā manussā, subhaddakā vatime sunāparantakā manussā, yaṃ me nayime pāṇinā pahāraṃ dentī’’’tiādi (ma. ni. 3.396; saṃ. ni. 4.88).
ยาย จ สมนฺนาคโต อิสีนมฺปิ ปสํสนีโย โหติฯ ยถาห สรภโงฺค อิสิ –
Yāya ca samannāgato isīnampi pasaṃsanīyo hoti. Yathāha sarabhaṅgo isi –
‘‘โกธํ วธิตฺวา น กทาจิ โสจติ,
‘‘Kodhaṃ vadhitvā na kadāci socati,
มกฺขปฺปหานํ อิสโย วณฺณยนฺติ;
Makkhappahānaṃ isayo vaṇṇayanti;
สเพฺพสํ วุตฺตํ ผรุสํ ขเมถ,
Sabbesaṃ vuttaṃ pharusaṃ khametha,
เอตํ ขนฺติํ อุตฺตมมาหุ สโนฺต’’ติฯ (ชา. ๒.๑๗.๖๔);
Etaṃ khantiṃ uttamamāhu santo’’ti. (jā. 2.17.64);
เทวตานมฺปิ ปสํสนีโย โหติฯ ยถาห สโกฺก เทวานมิโนฺท –
Devatānampi pasaṃsanīyo hoti. Yathāha sakko devānamindo –
‘‘โย หเว พลวา สโนฺต, ทุพฺพลสฺส ติติกฺขติ;
‘‘Yo have balavā santo, dubbalassa titikkhati;
ตมาหุ ปรมํ ขนฺติํ, นิจฺจํ ขมติ ทุพฺพโล’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๕๐-๒๕๑);
Tamāhu paramaṃ khantiṃ, niccaṃ khamati dubbalo’’ti. (saṃ. ni. 1.250-251);
พุทฺธานมฺปิ ปสํสนีโย โหติฯ ยถาห ภควา –
Buddhānampi pasaṃsanīyo hoti. Yathāha bhagavā –
‘‘อโกฺกสํ วธพนฺธญฺจ, อทุโฎฺฐ โย ติติกฺขติ;
‘‘Akkosaṃ vadhabandhañca, aduṭṭho yo titikkhati;
ขนฺตีพลํ พลาณีกํ, ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณ’’นฺติฯ (ธ. ป. ๓๙๙);
Khantībalaṃ balāṇīkaṃ, tamahaṃ brūmi brāhmaṇa’’nti. (dha. pa. 399);
สา ปเนสา ขนฺติ เอเตสญฺจ อิธ วณฺณิตานํ อเญฺญสญฺจ คุณานํ อธิคมเหตุโต มงฺคลนฺติ เวทิตพฺพาฯ
Sā panesā khanti etesañca idha vaṇṇitānaṃ aññesañca guṇānaṃ adhigamahetuto maṅgalanti veditabbā.
โสวจสฺสตา นาม สหธมฺมิกํ วุจฺจมาเน วิเกฺขปํ วา ตุณฺหีภาวํ วา คุณโทสจินฺตนํ วา อนาปชฺชิตฺวา อติวิย อาทรญฺจ คารวญฺจ นีจมนตญฺจ ปุรกฺขตฺวา สาธูติ วจนกรณตาฯ สา สพฺรหฺมจารีนํ สนฺติกา โอวาทานุสาสนิปฺปฎิลาภเหตุโต โทสปฺปหานคุณาธิคมเหตุโต จ มงฺคลนฺติ วุจฺจติฯ
Sovacassatā nāma sahadhammikaṃ vuccamāne vikkhepaṃ vā tuṇhībhāvaṃ vā guṇadosacintanaṃ vā anāpajjitvā ativiya ādarañca gāravañca nīcamanatañca purakkhatvā sādhūti vacanakaraṇatā. Sā sabrahmacārīnaṃ santikā ovādānusāsanippaṭilābhahetuto dosappahānaguṇādhigamahetuto ca maṅgalanti vuccati.
สมณานํ ทสฺสนํ นาม อุปสมิตกิเลสานํ ภาวิตกายวจีจิตฺตปญฺญานํ อุตฺตมทมถสมถสมนฺนาคตานํ ปพฺพชิตานํ อุปสงฺกมนุปฎฺฐานานุสฺสรณสฺสวนทสฺสนํ, สพฺพมฺปิ โอมกเทสนาย ทสฺสนนฺติ วุตฺตํ, ตํ มงฺคลนฺติ เวทิตพฺพํฯ กสฺมา? พหูปการตฺตาฯ อาห จ ‘‘ทสฺสนมฺปหํ, ภิกฺขเว, เตสํ ภิกฺขูนํ พหูปการํ วทามี’’ติอาทิ (อิติวุ. ๑๐๔)ฯ ยโต หิตกาเมน กุลปุเตฺตน สีลวเนฺต ภิกฺขู ฆรทฺวารํ สมฺปเตฺต ทิสฺวา ยทิ เทยฺยธโมฺม อตฺถิ, ยถาพลํ เทยฺยธเมฺมน ปติมาเนตพฺพาฯ ยทิ นตฺถิ, ปญฺจปติฎฺฐิตํ กตฺวา วนฺทิตพฺพาฯ ตสฺมิมฺปิ อสมฺปชฺชมาเน อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา นมสฺสิตพฺพา, ตสฺมิมฺปิ อสมฺปชฺชมาเน ปสนฺนจิเตฺตน ปิยจกฺขูหิ สมฺปสฺสิตพฺพาฯ เอวํ ทสฺสนมูลเกนปิ หิ ปุเญฺญน อเนกานิ ชาติสหสฺสานิ จกฺขุมฺหิ โรโค วา ทาโห วา อุสฺสทา วา ปิฬกา วา น โหนฺติ, วิปฺปสนฺนปญฺจวณฺณสสฺสิริกานิ โหนฺติ จกฺขูนิ รตนวิมาเน อุคฺฆาฎิตมณิกวาฎสทิสานิ, สตสหสฺสกปฺปมตฺตํ เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สมฺปตฺตีนํ ลาภี โหติฯ อนจฺฉริยเญฺจตํ, ยํ มนุสฺสภูโต สปฺปญฺญชาติโก สมฺมา ปวตฺติเตน สมณทสฺสนมเยน ปุเญฺญน เอวรูปํ วิปากสมฺปตฺติํ อนุภเวยฺย, ยตฺถ ติรจฺฉานคตานมฺปิ เกวลํ สทฺธามตฺตเกน กตสฺส สมณทสฺสนสฺส เอวํ วิปากสมฺปตฺติํ วณฺณยนฺติฯ
Samaṇānaṃ dassanaṃ nāma upasamitakilesānaṃ bhāvitakāyavacīcittapaññānaṃ uttamadamathasamathasamannāgatānaṃ pabbajitānaṃ upasaṅkamanupaṭṭhānānussaraṇassavanadassanaṃ, sabbampi omakadesanāya dassananti vuttaṃ, taṃ maṅgalanti veditabbaṃ. Kasmā? Bahūpakārattā. Āha ca ‘‘dassanampahaṃ, bhikkhave, tesaṃ bhikkhūnaṃ bahūpakāraṃ vadāmī’’tiādi (itivu. 104). Yato hitakāmena kulaputtena sīlavante bhikkhū gharadvāraṃ sampatte disvā yadi deyyadhammo atthi, yathābalaṃ deyyadhammena patimānetabbā. Yadi natthi, pañcapatiṭṭhitaṃ katvā vanditabbā. Tasmimpi asampajjamāne añjaliṃ paggahetvā namassitabbā, tasmimpi asampajjamāne pasannacittena piyacakkhūhi sampassitabbā. Evaṃ dassanamūlakenapi hi puññena anekāni jātisahassāni cakkhumhi rogo vā dāho vā ussadā vā piḷakā vā na honti, vippasannapañcavaṇṇasassirikāni honti cakkhūni ratanavimāne ugghāṭitamaṇikavāṭasadisāni, satasahassakappamattaṃ devesu ca manussesu ca sampattīnaṃ lābhī hoti. Anacchariyañcetaṃ, yaṃ manussabhūto sappaññajātiko sammā pavattitena samaṇadassanamayena puññena evarūpaṃ vipākasampattiṃ anubhaveyya, yattha tiracchānagatānampi kevalaṃ saddhāmattakena katassa samaṇadassanassa evaṃ vipākasampattiṃ vaṇṇayanti.
‘‘อุลูโก มณฺฑลกฺขิโก, เวทิยเก จิรทีฆวาสิโก;
‘‘Ulūko maṇḍalakkhiko, vediyake ciradīghavāsiko;
สุขิโต วต โกสิโย อยํ, กาลุฎฺฐิตํ ปสฺสติ พุทฺธวรํฯ
Sukhito vata kosiyo ayaṃ, kāluṭṭhitaṃ passati buddhavaraṃ.
‘‘มยิ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา, ภิกฺขุสเงฺฆ อนุตฺตเร;
‘‘Mayi cittaṃ pasādetvā, bhikkhusaṅghe anuttare;
กปฺปานํ สตสหสฺสานิ, ทุคฺคเตโส น คจฺฉติฯ
Kappānaṃ satasahassāni, duggateso na gacchati.
‘‘ส เทวโลกา จวิตฺวา, กุสลกเมฺมน โจทิโต;
‘‘Sa devalokā cavitvā, kusalakammena codito;
ภวิสฺสติ อนนฺตญาโณ, โสมนโสฺสติ วิสฺสุโต’’ติฯ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๔๔);
Bhavissati anantañāṇo, somanassoti vissuto’’ti. (ma. ni. aṭṭha. 1.144);
กาเลน ธมฺมสากจฺฉา นาม ปโทเส วา ปจฺจูเส วา เทฺว สุตฺตนฺติกา ภิกฺขู อญฺญมญฺญํ สุตฺตนฺตํ สากจฺฉนฺติ, วินยธรา วินยํ, อาภิธมฺมิกา อภิธมฺมํ, ชาตกภาณกา ชาตกํ, อฎฺฐกถิกา อฎฺฐกถํ, ลีนุทฺธตวิจิกิจฺฉาปเรตจิตฺตวิโสธนตฺถํ วา ตมฺหิ ตมฺหิ กาเล สากจฺฉนฺติ, อยํ กาเลน ธมฺมสากจฺฉาฯ สา อาคมพฺยตฺติอาทีนํ คุณานํ เหตุโต มงฺคลนฺติ วุจฺจตีติฯ
Kālena dhammasākacchā nāma padose vā paccūse vā dve suttantikā bhikkhū aññamaññaṃ suttantaṃ sākacchanti, vinayadharā vinayaṃ, ābhidhammikā abhidhammaṃ, jātakabhāṇakā jātakaṃ, aṭṭhakathikā aṭṭhakathaṃ, līnuddhatavicikicchāparetacittavisodhanatthaṃ vā tamhi tamhi kāle sākacchanti, ayaṃ kālena dhammasākacchā. Sā āgamabyattiādīnaṃ guṇānaṃ hetuto maṅgalanti vuccatīti.
เอวํ อิมิสฺสา คาถาย ขนฺติ, โสวจสฺสตา, สมณทสฺสนํ, กาเลน ธมฺมสากจฺฉาติ จตฺตาริ มงฺคลานิ วุตฺตานิฯ มงฺคลตฺตญฺจ เนสํ ตตฺถ ตตฺถ วิภาวิตเมวาติฯ
Evaṃ imissā gāthāya khanti, sovacassatā, samaṇadassanaṃ, kālena dhammasākacchāti cattāri maṅgalāni vuttāni. Maṅgalattañca nesaṃ tattha tattha vibhāvitamevāti.
นิฎฺฐิตา ขนฺตี จาติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā khantī cāti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
ตโปจาติคาถาวณฺณนา
Tapocātigāthāvaṇṇanā
๑๑. อิทานิ ตโป จาติ เอตฺถ ปาปเก ธเมฺม ตปตีติ ตโปฯ พฺรหฺมํ จริยํ, พฺรหฺมานํ วา จริยํ พฺรหฺมจริยํ, เสฎฺฐจริยนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อริยสจฺจานํ ทสฺสนํ อริยสจฺจานทสฺสนํ, อริยสจฺจานิ ทสฺสนนฺติปิ เอเก, ตํ น สุนฺทรํฯ นิกฺขนฺตํ วานโตติ นิพฺพานํ, สจฺฉิกรณํ สจฺฉิกิริยา, นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยา นิพฺพานสจฺฉิกิริยาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติ อยํ ปทวณฺณนาฯ
11. Idāni tapo cāti ettha pāpake dhamme tapatīti tapo. Brahmaṃ cariyaṃ, brahmānaṃ vā cariyaṃ brahmacariyaṃ, seṭṭhacariyanti vuttaṃ hoti. Ariyasaccānaṃ dassanaṃ ariyasaccānadassanaṃ, ariyasaccāni dassanantipi eke, taṃ na sundaraṃ. Nikkhantaṃ vānatoti nibbānaṃ, sacchikaraṇaṃ sacchikiriyā, nibbānassa sacchikiriyā nibbānasacchikiriyā. Sesaṃ vuttanayamevāti ayaṃ padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปน เอวํ เวทิตพฺพา – ตโป นาม อภิชฺฌาโทมนสฺสาทีนํ ตปนโต อินฺทฺริยสํวโร , โกสชฺชสฺส วา ตปนโต วีริยํ, เตหิ สมนฺนาคโต ปุคฺคโล อาตาปีติ วุจฺจติฯ สฺวายํ อภิชฺฌาทิปฺปหานฌานาทิปฺปฎิลาภเหตุโต มงฺคลนฺติ เวทิตโพฺพฯ
Atthavaṇṇanā pana evaṃ veditabbā – tapo nāma abhijjhādomanassādīnaṃ tapanato indriyasaṃvaro , kosajjassa vā tapanato vīriyaṃ, tehi samannāgato puggalo ātāpīti vuccati. Svāyaṃ abhijjhādippahānajhānādippaṭilābhahetuto maṅgalanti veditabbo.
พฺรหฺมจริยํ นาม เมถุนวิรติสมณธมฺมสาสนมคฺคานมธิวจนํฯ ตถา หิ ‘‘อพฺรหฺมจริยํ ปหาย พฺรหฺมจารี โหตี’’ติ เอวมาทีสุ (ที. นิ. ๑.๑๙๔; ม. นิ. ๑.๒๙๒) เมถุนวิรติ พฺรหฺมจริยนฺติ วุจฺจติฯ ‘‘ภควติ โน, อาวุโส, พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตีติ? เอวมาวุโส’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๕๗) สมณธโมฺมฯ ‘‘น ตาวาหํ, ปาปิม, ปรินิพฺพายิสฺสามิ, ยาว เม อิทํ พฺรหฺมจริยํ น อิทฺธเญฺจว ภวิสฺสติ ผีตญฺจ วิตฺถาริกํ พาหุชญฺญ’’นฺติ เอวมาทีสุ (ที. นิ. ๒.๑๖๘; สํ. นิ. ๕.๘๒๒; อุทา. ๕๑) สาสนํฯ ‘‘อยเมว โข, ภิกฺขุ, อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค พฺรหฺมจริยํฯ เสยฺยถิทํ, สมฺมาทิฎฺฐี’’ติ เอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๕.๖) มโคฺคฯ อิธ ปน อริยสจฺจทสฺสเนน ปรโต มคฺคสฺส สงฺคหิตตฺตา อวเสสํ สพฺพมฺปิ วฎฺฎติฯ ตเญฺจตํ อุปรูปริ นานปฺปการวิเสสาธิคมเหตุโต มงฺคลนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Brahmacariyaṃ nāma methunaviratisamaṇadhammasāsanamaggānamadhivacanaṃ. Tathā hi ‘‘abrahmacariyaṃ pahāya brahmacārī hotī’’ti evamādīsu (dī. ni. 1.194; ma. ni. 1.292) methunavirati brahmacariyanti vuccati. ‘‘Bhagavati no, āvuso, brahmacariyaṃ vussatīti? Evamāvuso’’ti evamādīsu (ma. ni. 1.257) samaṇadhammo. ‘‘Na tāvāhaṃ, pāpima, parinibbāyissāmi, yāva me idaṃ brahmacariyaṃ na iddhañceva bhavissati phītañca vitthārikaṃ bāhujañña’’nti evamādīsu (dī. ni. 2.168; saṃ. ni. 5.822; udā. 51) sāsanaṃ. ‘‘Ayameva kho, bhikkhu, ariyo aṭṭhaṅgiko maggo brahmacariyaṃ. Seyyathidaṃ, sammādiṭṭhī’’ti evamādīsu (saṃ. ni. 5.6) maggo. Idha pana ariyasaccadassanena parato maggassa saṅgahitattā avasesaṃ sabbampi vaṭṭati. Tañcetaṃ uparūpari nānappakāravisesādhigamahetuto maṅgalanti veditabbaṃ.
อริยสจฺจาน ทสฺสนํ นาม กุมารปเญฺห วุตฺตานํ จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ อภิสมยวเสน มคฺคทสฺสนํ, ตํ สํสารทุกฺขวีติกฺกมเหตุโต มงฺคลนฺติ วุจฺจติฯ
Ariyasaccāna dassanaṃ nāma kumārapañhe vuttānaṃ catunnaṃ ariyasaccānaṃ abhisamayavasena maggadassanaṃ, taṃ saṃsāradukkhavītikkamahetuto maṅgalanti vuccati.
นิพฺพานสจฺฉิกิริยา นาม อิธ อรหตฺตผลํ นิพฺพานนฺติ อธิเปฺปตํฯ ตมฺปิ หิ ปญฺจคติวานเนน วานสญฺญิตาย ตณฺหาย นิกฺขนฺตตฺตา นิพฺพานนฺติ วุจฺจติฯ ตสฺส ปตฺติ วา ปจฺจเวกฺขณา วา สจฺฉิกิริยาติ วุจฺจติฯ อิตรสฺส ปน นิพฺพานสฺส อริยสจฺจานํ ทสฺสเนเนว สจฺฉิกิริยา สิทฺธา, เตเนตํ อิธ นาธิเปฺปตํฯ เอวเมสา นิพฺพานสจฺฉิกิริยา ทิฎฺฐธมฺมิกสุขวิหาราทิเหตุโต มงฺคลนฺติ เวทิตพฺพาฯ
Nibbānasacchikiriyā nāma idha arahattaphalaṃ nibbānanti adhippetaṃ. Tampi hi pañcagativānanena vānasaññitāya taṇhāya nikkhantattā nibbānanti vuccati. Tassa patti vā paccavekkhaṇā vā sacchikiriyāti vuccati. Itarassa pana nibbānassa ariyasaccānaṃ dassaneneva sacchikiriyā siddhā, tenetaṃ idha nādhippetaṃ. Evamesā nibbānasacchikiriyā diṭṭhadhammikasukhavihārādihetuto maṅgalanti veditabbā.
เอวํ อิมิสฺสา คาถาย ตโป พฺรหฺมจริยํ, อริยสจฺจานํ ทสฺสนํ, นิพฺพานสจฺฉิกิริยาติ จตฺตาริ มงฺคลานิ วุตฺตานิฯ มงฺคลตฺตญฺจ เนสํ ตตฺถ ตตฺถ วิภาวิตเมวาติฯ
Evaṃ imissā gāthāya tapo brahmacariyaṃ, ariyasaccānaṃ dassanaṃ, nibbānasacchikiriyāti cattāri maṅgalāni vuttāni. Maṅgalattañca nesaṃ tattha tattha vibhāvitamevāti.
นิฎฺฐิตา ตโป จาติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā tapo cāti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
ผุฎฺฐสฺสโลกธเมฺมหีติคาถาวณฺณนา
Phuṭṭhassalokadhammehītigāthāvaṇṇanā
๑๒. อิทานิ ผุฎฺฐสฺส โลกธเมฺมหีติ เอตฺถ ผุฎฺฐสฺสาติ ผุสิตสฺส ฉุปิตสฺส สมฺปตฺตสฺสฯ โลเก ธมฺมา โลกธมฺมา, ยาว โลกปฺปวตฺติ, ตาว อนิวตฺตกา ธมฺมาติ วุตฺตํ โหติฯ จิตฺตนฺติ มโน มานสํฯ ยสฺสาติ นวสฺส วา มชฺฌิมสฺส วา เถรสฺส วาฯ น กมฺปตีติ น จลติ น เวธติฯ อโสกนฺติ นิโสฺสกํ อพฺพูฬฺหโสกสลฺลํฯ วิรชนฺติ วิคตรชํ วิทฺธํสิตรชํฯ เขมนฺติ อภยํ นิรุปทฺทวํฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติ อยํ ปทวณฺณนาฯ
12. Idāni phuṭṭhassa lokadhammehīti ettha phuṭṭhassāti phusitassa chupitassa sampattassa. Loke dhammā lokadhammā, yāva lokappavatti, tāva anivattakā dhammāti vuttaṃ hoti. Cittanti mano mānasaṃ. Yassāti navassa vā majjhimassa vā therassa vā. Na kampatīti na calati na vedhati. Asokanti nissokaṃ abbūḷhasokasallaṃ. Virajanti vigatarajaṃ viddhaṃsitarajaṃ. Khemanti abhayaṃ nirupaddavaṃ. Sesaṃ vuttanayamevāti ayaṃ padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปน เอวํ เวทิตพฺพา – ผุฎฺฐสฺส โลกธเมฺมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ นาม ยสฺส ลาภาลาภาทีหิ อฎฺฐหิ โลกธเมฺมหิ ผุฎฺฐสฺส อโชฺฌตฺถฎสฺส จิตฺตํ น กมฺปติ น จลติ น เวธติ, ตสฺส ตํ จิตฺตํ เกนจิ อกมฺปนียโลกุตฺตมภาวาวหนโต มงฺคลนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Atthavaṇṇanā pana evaṃ veditabbā – phuṭṭhassa lokadhammehi cittaṃyassana kampati nāma yassa lābhālābhādīhi aṭṭhahi lokadhammehi phuṭṭhassa ajjhotthaṭassa cittaṃ na kampati na calati na vedhati, tassa taṃ cittaṃ kenaci akampanīyalokuttamabhāvāvahanato maṅgalanti veditabbaṃ.
กสฺส จ เอเตหิ ผุฎฺฐสฺส จิตฺตํ น กมฺปตีติ? อรหโต ขีณาสวสฺส, น อญฺญสฺส กสฺสจิฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Kassa ca etehi phuṭṭhassa cittaṃ na kampatīti? Arahato khīṇāsavassa, na aññassa kassaci. Vuttañhetaṃ –
‘‘เสโล ยถา เอกคฺฆโน, วาเตน น สมีรติ;
‘‘Selo yathā ekagghano, vātena na samīrati;
เอวํ รูปา รสา สทฺทา, คนฺธา ผสฺสา จ เกวลาฯ
Evaṃ rūpā rasā saddā, gandhā phassā ca kevalā.
‘‘อิฎฺฐา ธมฺมา อนิฎฺฐา จ, น ปเวเธนฺติ ตาทิโน;
‘‘Iṭṭhā dhammā aniṭṭhā ca, na pavedhenti tādino;
ฐิตํ จิตฺตํ วิปฺปมุตฺตํ, วยญฺจสฺสานุปสฺสตี’’ติฯ (มหาว. ๒๔๔);
Ṭhitaṃ cittaṃ vippamuttaṃ, vayañcassānupassatī’’ti. (mahāva. 244);
อโสกํ นาม ขีณาสวเสฺสว จิตฺตํฯ ตญฺหิ ยฺวายํ ‘‘โสโก โสจนา โสจิตตฺตํ อโนฺตโสโก อโนฺตปริโสโก เจตโส ปรินิชฺฌายิตตฺต’’นฺติอาทินา (วิภ. ๒๓๗) นเยน วุจฺจติ โสโก, ตสฺส อภาวโต อโสกํฯ เกจิ นิพฺพานํ วทนฺติ, ตํ ปุริมปเทน นานุสนฺธิยติฯ ยถา จ อโสกํ, เอวํ วิรชํ เขมนฺติปิ ขีณาสวเสฺสว จิตฺตํฯ ตญฺหิ ราคโทสโมหรชานํ วิคตตฺตา วิรชํ, จตูหิ จ โยเคหิ เขมตฺตา เขมํ, ยโต เอตํ เตน เตนากาเรน ตมฺหิ ตมฺหิ ปวตฺติกฺขเณ คเหตฺวา นิทฺทิฎฺฐวเสน ติวิธมฺปิ อปฺปวตฺตกฺขนฺธตาทิโลกุตฺตมภาวาวหนโต อาหุเนยฺยาทิภาวาวหนโต จ มงฺคลนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Asokaṃ nāma khīṇāsavasseva cittaṃ. Tañhi yvāyaṃ ‘‘soko socanā socitattaṃ antosoko antoparisoko cetaso parinijjhāyitatta’’ntiādinā (vibha. 237) nayena vuccati soko, tassa abhāvato asokaṃ. Keci nibbānaṃ vadanti, taṃ purimapadena nānusandhiyati. Yathā ca asokaṃ, evaṃ virajaṃ khemantipi khīṇāsavasseva cittaṃ. Tañhi rāgadosamoharajānaṃ vigatattā virajaṃ, catūhi ca yogehi khemattā khemaṃ, yato etaṃ tena tenākārena tamhi tamhi pavattikkhaṇe gahetvā niddiṭṭhavasena tividhampi appavattakkhandhatādilokuttamabhāvāvahanato āhuneyyādibhāvāvahanato ca maṅgalanti veditabbaṃ.
เอวํ อิมิสฺสา คาถาย อฎฺฐโลกธเมฺมหิ อกมฺปิตจิตฺตํ, อโสกจิตฺตํ, วิรชจิตฺตํ, เขมจิตฺตนฺติ จตฺตาริ มงฺคลานิ วุตฺตานิฯ มงฺคลตฺตญฺจ เนสํ ตตฺถ ตตฺถ วิภาวิตเมวาติฯ
Evaṃ imissā gāthāya aṭṭhalokadhammehi akampitacittaṃ, asokacittaṃ, virajacittaṃ, khemacittanti cattāri maṅgalāni vuttāni. Maṅgalattañca nesaṃ tattha tattha vibhāvitamevāti.
นิฎฺฐิตา ผุฎฺฐสฺส โลกธเมฺมหีติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā phuṭṭhassa lokadhammehīti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
เอตาทิสานีติคาถาวณฺณนา
Etādisānītigāthāvaṇṇanā
๑๓. เอวํ ภควา อเสวนา จ พาลานนฺติอาทีหิ ทสหิ คาถาหิ อฎฺฐติํส มหามงฺคลานิ กเถตฺวา อิทานิ เอตาเนว อตฺตนา วุตฺตมงฺคลานิ ถุนโนฺต ‘‘เอตาทิสานิ กตฺวานา’’ติ อวสานคาถมภาสิฯ
13. Evaṃ bhagavā asevanā ca bālānantiādīhi dasahi gāthāhi aṭṭhatiṃsa mahāmaṅgalāni kathetvā idāni etāneva attanā vuttamaṅgalāni thunanto ‘‘etādisāni katvānā’’ti avasānagāthamabhāsi.
ตสฺสายมตฺถวณฺณนา – เอตาทิสานีติ เอตานิ อีทิสานิ มยา วุตฺตปฺปการานิ พาลานํ อเสวนาทีนิฯ กตฺวานาติ กตฺวาฯ กตฺวาน กตฺวา กริตฺวาติ หิ อตฺถโต อนญฺญํฯ สพฺพตฺถมปราชิตาติ สพฺพตฺถ ขนฺธกิเลสาภิสงฺขารเทวปุตฺตมารปฺปเภเทสุ จตูสุ ปจฺจตฺถิเกสุ เอเกนาปิ อปราชิตา หุตฺวา, สยเมว เต จตฺตาโร มาเร ปราเชตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ มกาโร เจตฺถ ปทสนฺธิกรมโตฺตติ วิญฺญาตโพฺพฯ
Tassāyamatthavaṇṇanā – etādisānīti etāni īdisāni mayā vuttappakārāni bālānaṃ asevanādīni. Katvānāti katvā. Katvāna katvā karitvāti hi atthato anaññaṃ. Sabbatthamaparājitāti sabbattha khandhakilesābhisaṅkhāradevaputtamārappabhedesu catūsu paccatthikesu ekenāpi aparājitā hutvā, sayameva te cattāro māre parājetvāti vuttaṃ hoti. Makāro cettha padasandhikaramattoti viññātabbo.
สพฺพตฺถ โสตฺถิํ คจฺฉนฺตีติ เอตาทิสานิ มงฺคลานิ กตฺวา จตูหิ มาเรหิ อปราชิตา หุตฺวา สพฺพตฺถ อิธโลกปรโลเกสุ ฐานจงฺกมนาทีสุ จ โสตฺถิํ คจฺฉนฺติ, พาลเสวนาทีหิ เย อุปฺปเชฺชยฺยุํ อาสวา วิฆาตปริฬาหา, เตสํ อภาวา โสตฺถิํ คจฺฉนฺติ, อนุปทฺทุตา อนุปสฎฺฐา เขมิโน อปฺปฎิภยา คจฺฉนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ อนุนาสิโก เจตฺถ คาถาพนฺธสุขตฺถํ วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ
Sabbattha sotthiṃ gacchantīti etādisāni maṅgalāni katvā catūhi mārehi aparājitā hutvā sabbattha idhalokaparalokesu ṭhānacaṅkamanādīsu ca sotthiṃ gacchanti, bālasevanādīhi ye uppajjeyyuṃ āsavā vighātapariḷāhā, tesaṃ abhāvā sotthiṃ gacchanti, anupaddutā anupasaṭṭhā khemino appaṭibhayā gacchantīti vuttaṃ hoti. Anunāsiko cettha gāthābandhasukhatthaṃ vuttoti veditabbo.
ตํ เตสํ มงฺคลมุตฺตมนฺติ อิมินา คาถาปเทน ภควา เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ กถํ? เอวํ, เทวปุตฺต, เย เอตาทิสานิ กโรนฺติ, เต ยสฺมา สพฺพตฺถ โสตฺถิํ คจฺฉนฺติ, ตสฺมา ตํ พาลานํ อเสวนาทิอฎฺฐติํสวิธมฺปิ เตสํ เอตาทิสการกานํ มงฺคลมุตฺตมํ เสฎฺฐํ ปวรนฺติ คณฺหาหีติฯ
Taṃ tesaṃ maṅgalamuttamanti iminā gāthāpadena bhagavā desanaṃ niṭṭhāpesi. Kathaṃ? Evaṃ, devaputta, ye etādisāni karonti, te yasmā sabbattha sotthiṃ gacchanti, tasmā taṃ bālānaṃ asevanādiaṭṭhatiṃsavidhampi tesaṃ etādisakārakānaṃ maṅgalamuttamaṃ seṭṭhaṃ pavaranti gaṇhāhīti.
เอวญฺจ ภควตา นิฎฺฐาปิตาย เทสนาย ปริโยสาเน โกฎิสตสหสฺสเทวตาโย อรหตฺตํ ปาปุณิํสุ, โสตาปตฺติสกทาคามิอนาคามิผลสมฺปตฺตานํ คณนา อสเงฺขฺยยฺยา อโหสิฯ อถ ภควา ทุติยทิวเส อานนฺทเตฺถรํ อามเนฺตสิ – ‘‘อิมํ ปน, อานนฺท, รตฺติํ อญฺญตรา เทวตา มํ อุปสงฺกมิตฺวา มงฺคลปญฺหํ ปุจฺฉิ, อถสฺสาหํ อฎฺฐติํส มงฺคลานิ อภาสิํ, อุคฺคณฺหาหิ, อานนฺท, อิมํ มงฺคลปริยายํ, อุคฺคเหตฺวา ภิกฺขู วาเจหี’’ติฯ เถโร อุคฺคเหตฺวา ภิกฺขู วาเจสิฯ ตยิทํ อาจริยปรมฺปราย อาภตํ ยาวชฺชตนา ปวตฺตติ, ‘‘เอวมิทํ พฺรหฺมจริยํ อิทฺธเญฺจว ผีตญฺจ วิตฺถาริกํ พาหุชญฺญํ ปุถุภูตํ ยาว เทวมนุเสฺสหิ สุปฺปกาสิต’’นฺติ เวทิตพฺพํฯ
Evañca bhagavatā niṭṭhāpitāya desanāya pariyosāne koṭisatasahassadevatāyo arahattaṃ pāpuṇiṃsu, sotāpattisakadāgāmianāgāmiphalasampattānaṃ gaṇanā asaṅkhyeyyā ahosi. Atha bhagavā dutiyadivase ānandattheraṃ āmantesi – ‘‘imaṃ pana, ānanda, rattiṃ aññatarā devatā maṃ upasaṅkamitvā maṅgalapañhaṃ pucchi, athassāhaṃ aṭṭhatiṃsa maṅgalāni abhāsiṃ, uggaṇhāhi, ānanda, imaṃ maṅgalapariyāyaṃ, uggahetvā bhikkhū vācehī’’ti. Thero uggahetvā bhikkhū vācesi. Tayidaṃ ācariyaparamparāya ābhataṃ yāvajjatanā pavattati, ‘‘evamidaṃ brahmacariyaṃ iddhañceva phītañca vitthārikaṃ bāhujaññaṃ puthubhūtaṃ yāva devamanussehi suppakāsita’’nti veditabbaṃ.
อิทานิ เอเตเสฺวว มงฺคเลสุ ญาณปริจยปาฎวตฺถํ อยมาทิโต ปภุติ โยชนา – เอวมิเม อิธโลกปรโลกโลกุตฺตรสุขกามา สตฺตา พาลชนเสวนํ ปหาย, ปณฺฑิเต นิสฺสาย, ปูชเนเยฺย ปูเชตฺวา, ปติรูปเทสวาเสน ปุเพฺพ จ กตปุญฺญตาย กุสลปฺปวตฺติยํ โจทิยมานา อตฺตานํ สมฺมา ปณิธาย, พาหุสจฺจสิปฺปวินเยหิ อลงฺกตตฺตภาวา, วินยานุรูปํ สุภาสิตํ ภาสมานา, ยาว คิหิภาวํ น วิชหนฺติ, ตาว มาตาปิตูปฎฺฐาเนน โปราณํ อิณมูลํ วิโสธยมานา, ปุตฺตทารสงฺคเหน นวํ อิณมูลํ ปโยชยมานา, อนากุลกมฺมนฺตตาย ธนธญฺญาทิสมิทฺธิํ ปาปุณนฺตา, ทาเนน โภคสารํ ธมฺมจริยาย ชีวิตสารญฺจ คเหตฺวา, ญาติสงฺคเหน สกชนหิตํ อนวชฺชกมฺมนฺตตาย ปรชนหิตญฺจ กโรนฺตา, ปาปวิรติยา ปรูปฆาตํ มชฺชปานสํยเมน อตฺตูปฆาตญฺจ วิวเชฺชตฺวา, ธเมฺมสุ อปฺปมาเทน กุสลปกฺขํ วเฑฺฒตฺวา, วฑฺฒิตกุสลตาย คิหิพฺยญฺชนํ โอหาย ปพฺพชิตภาเว ฐิตาปิ พุทฺธพุทฺธสาวกูปชฺฌายาจริยาทีสุ คารเวน นิวาเตน จ วตฺตสมฺปทํ อาราเธตฺวา, สนฺตุฎฺฐิยา ปจฺจยเคธํ ปหาย, กตญฺญุตาย สปฺปุริสภูมิยํ ฐตฺวา, ธมฺมสฺสวเนน จิตฺตลีนตํ ปหาย, ขนฺติยา สพฺพปริสฺสเย อภิภวิตฺวา, โสวจสฺสตาย สนาถํ อตฺตานํ กตฺวา, สมณทสฺสเนน ปฎิปตฺติปโยคํ ปสฺสนฺตา, ธมฺมสากจฺฉาย กงฺขาฎฺฐานิเยสุ ธเมฺมสุ กงฺขํ วิโนเทตฺวา, อินฺทฺริยสํวรตเปน สีลวิสุทฺธิํ สมณธมฺมพฺรหฺมจริเยน จิตฺตวิสุทฺธิํ ตโต ปรา จ จตโสฺส วิสุทฺธิโย สมฺปาเทนฺตา , อิมาย ปฎิปทาย อริยสจฺจทสฺสนปริยายํ ญาณทสฺสนวิสุทฺธิํ ปตฺวา อรหตฺตผลสงฺขฺยํ นิพฺพานํ สจฺฉิกโรนฺติ, ยํ สจฺฉิกริตฺวา สิเนรุปพฺพโต วิย วาตวุฎฺฐีหิ อฎฺฐหิ โลกธเมฺมหิ อวิกมฺปมานจิตฺตา อโสกา วิรชา เขมิโน โหนฺติฯ เย จ เขมิโน โหนฺติ, เต สพฺพตฺถ เอเกนปิ อปราชิตา โหนฺติ, สพฺพตฺถ โสตฺถิํ คจฺฉนฺติฯ เตนาห ภควา –
Idāni etesveva maṅgalesu ñāṇaparicayapāṭavatthaṃ ayamādito pabhuti yojanā – evamime idhalokaparalokalokuttarasukhakāmā sattā bālajanasevanaṃ pahāya, paṇḍite nissāya, pūjaneyye pūjetvā, patirūpadesavāsena pubbe ca katapuññatāya kusalappavattiyaṃ codiyamānā attānaṃ sammā paṇidhāya, bāhusaccasippavinayehi alaṅkatattabhāvā, vinayānurūpaṃ subhāsitaṃ bhāsamānā, yāva gihibhāvaṃ na vijahanti, tāva mātāpitūpaṭṭhānena porāṇaṃ iṇamūlaṃ visodhayamānā, puttadārasaṅgahena navaṃ iṇamūlaṃ payojayamānā, anākulakammantatāya dhanadhaññādisamiddhiṃ pāpuṇantā, dānena bhogasāraṃ dhammacariyāya jīvitasārañca gahetvā, ñātisaṅgahena sakajanahitaṃ anavajjakammantatāya parajanahitañca karontā, pāpaviratiyā parūpaghātaṃ majjapānasaṃyamena attūpaghātañca vivajjetvā, dhammesu appamādena kusalapakkhaṃ vaḍḍhetvā, vaḍḍhitakusalatāya gihibyañjanaṃ ohāya pabbajitabhāve ṭhitāpi buddhabuddhasāvakūpajjhāyācariyādīsu gāravena nivātena ca vattasampadaṃ ārādhetvā, santuṭṭhiyā paccayagedhaṃ pahāya, kataññutāya sappurisabhūmiyaṃ ṭhatvā, dhammassavanena cittalīnataṃ pahāya, khantiyā sabbaparissaye abhibhavitvā, sovacassatāya sanāthaṃ attānaṃ katvā, samaṇadassanena paṭipattipayogaṃ passantā, dhammasākacchāya kaṅkhāṭṭhāniyesu dhammesu kaṅkhaṃ vinodetvā, indriyasaṃvaratapena sīlavisuddhiṃ samaṇadhammabrahmacariyena cittavisuddhiṃ tato parā ca catasso visuddhiyo sampādentā , imāya paṭipadāya ariyasaccadassanapariyāyaṃ ñāṇadassanavisuddhiṃ patvā arahattaphalasaṅkhyaṃ nibbānaṃ sacchikaronti, yaṃ sacchikaritvā sinerupabbato viya vātavuṭṭhīhi aṭṭhahi lokadhammehi avikampamānacittā asokā virajā khemino honti. Ye ca khemino honti, te sabbattha ekenapi aparājitā honti, sabbattha sotthiṃ gacchanti. Tenāha bhagavā –
‘‘เอตาทิสานิ กตฺวาน, สพฺพตฺถมปราชิตา;
‘‘Etādisāni katvāna, sabbatthamaparājitā;
สพฺพตฺถ โสตฺถิํ คจฺฉนฺติ, ตํ เตสํ มงฺคลมุตฺตม’’นฺติฯ
Sabbattha sotthiṃ gacchanti, taṃ tesaṃ maṅgalamuttama’’nti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทกปาฐ-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddakapāṭha-aṭṭhakathāya
มงฺคลสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Maṅgalasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ขุทฺทกปาฐปาฬิ • Khuddakapāṭhapāḷi / ๕. มงฺคลสุตฺตํ • 5. Maṅgalasuttaṃ