Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ
Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa
ขุทฺทกนิกาเย
Khuddakanikāye
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา
Suttanipāta-aṭṭhakathā
(ทุติโย ภาโค)
(Dutiyo bhāgo)
๒. จูฬวโคฺค
2. Cūḷavaggo
๔. มงฺคลสุตฺตวณฺณนา
4. Maṅgalasuttavaṇṇanā
เอวํ เม สุตนฺติ มงฺคลสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? ชมฺพุทีเป กิร ตตฺถ ตตฺถ นครทฺวารสนฺถาคารสภาทีสุ มหาชนา สนฺนิปติตฺวา หิรญฺญสุวณฺณํ ทตฺวา นานปฺปการํ สีตาหรณาทิพาหิรกกถํ กถาเปนฺติ, เอเกกา กถา จตุมาสจฺจเยน นิฎฺฐาติฯ ตตฺถ เอกทิวสํ มงฺคลกถา สมุฎฺฐาสิ – ‘‘กิํ นุ โข มงฺคลํ, กิํ ทิฎฺฐํ มงฺคลํ, สุตํ มงฺคลํ, มุตํ มงฺคลํ, โก มงฺคลํ ชานาตี’’ติ?
Evaṃme sutanti maṅgalasuttaṃ. Kā uppatti? Jambudīpe kira tattha tattha nagaradvārasanthāgārasabhādīsu mahājanā sannipatitvā hiraññasuvaṇṇaṃ datvā nānappakāraṃ sītāharaṇādibāhirakakathaṃ kathāpenti, ekekā kathā catumāsaccayena niṭṭhāti. Tattha ekadivasaṃ maṅgalakathā samuṭṭhāsi – ‘‘kiṃ nu kho maṅgalaṃ, kiṃ diṭṭhaṃ maṅgalaṃ, sutaṃ maṅgalaṃ, mutaṃ maṅgalaṃ, ko maṅgalaṃ jānātī’’ti?
อถ ทิฎฺฐมงฺคลิโก นาเมโก ปุริโส อาห – ‘‘อหํ มงฺคลํ ชานามิ, ทิฎฺฐํ โลเก มงฺคลํ, ทิฎฺฐํ นาม อภิมงฺคลสมฺมตํ รูปํฯ เสยฺยถิทํ – อิเธกโจฺจ กาลเสฺสว วุฎฺฐาย จาตกสกุณํ วา ปสฺสติ, เพลุวลฎฺฐิํ วา คพฺภินิํ วา กุมารเก วา อลงฺกตปฎิยเตฺต ปุณฺณฆฎํ วา อลฺลโรหิตมจฺฉํ วา อาชญฺญํ วา อาชญฺญรถํ วา อุสภํ วา คาวิํ วา กปิลํ วา, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ กิญฺจิ เอวรูปํ อภิมงฺคลสมฺมตํ รูปํ ปสฺสติ, อิทํ วุจฺจติ ทิฎฺฐมงฺคล’’นฺติฯ ตสฺส วจนํ เอกเจฺจ อคฺคเหสุํ, เอกเจฺจ นาคฺคเหสุํฯ เย นาคฺคเหสุํ, เต เตน สห วิวทิํสุฯ
Atha diṭṭhamaṅgaliko nāmeko puriso āha – ‘‘ahaṃ maṅgalaṃ jānāmi, diṭṭhaṃ loke maṅgalaṃ, diṭṭhaṃ nāma abhimaṅgalasammataṃ rūpaṃ. Seyyathidaṃ – idhekacco kālasseva vuṭṭhāya cātakasakuṇaṃ vā passati, beluvalaṭṭhiṃ vā gabbhiniṃ vā kumārake vā alaṅkatapaṭiyatte puṇṇaghaṭaṃ vā allarohitamacchaṃ vā ājaññaṃ vā ājaññarathaṃ vā usabhaṃ vā gāviṃ vā kapilaṃ vā, yaṃ vā panaññampi kiñci evarūpaṃ abhimaṅgalasammataṃ rūpaṃ passati, idaṃ vuccati diṭṭhamaṅgala’’nti. Tassa vacanaṃ ekacce aggahesuṃ, ekacce nāggahesuṃ. Ye nāggahesuṃ, te tena saha vivadiṃsu.
อถ สุตมงฺคลิโก นาเมโก ปุริโส อาห – ‘‘จกฺขุ นาเมตํ, โภ, สุจิมฺปิ อสุจิมฺปิ ปสฺสติ, ตถา สุนฺทรมฺปิ อสุนฺทรมฺปิ, มนาปมฺปิ อมนาปมฺปิฯ ยทิ เตน ทิฎฺฐํ มงฺคลํ สิยา, สพฺพมฺปิ มงฺคลํ สิยา, ตสฺมา น ทิฎฺฐํ มงฺคลํ, อปิจ โข ปน สุตํ มงฺคลํ, สุตํ นาม อภิมงฺคลสมฺมโต สโทฺทฯ เสยฺยถิทํ – อิเธกโจฺจ กาลเสฺสว วุฎฺฐาย วฑฺฒาติ วา วฑฺฒมานาติ วา ปุณฺณาติ วา ผุสฺสาติ วา สุมนาติ วา สิรีติ วา สิริวฑฺฒาติ วา อชฺช สุนกฺขตฺตํ สุมุหุตฺตํ สุทิวสํ สุมงฺคลนฺติ เอวรูปํ วา ยํกิญฺจิ อภิมงฺคลสมฺมตํ สทฺทํ สุณาติ, อิทํ วุจฺจติ สุตมงฺคล’’นฺติฯ ตสฺสปิ วจนํ เอกเจฺจ อคฺคเหสุํ, เอกเจฺจ นาคฺคเหสุํฯ เย นาคฺคเหสุํ, เต เตน สห วิวทิํสุฯ
Atha sutamaṅgaliko nāmeko puriso āha – ‘‘cakkhu nāmetaṃ, bho, sucimpi asucimpi passati, tathā sundarampi asundarampi, manāpampi amanāpampi. Yadi tena diṭṭhaṃ maṅgalaṃ siyā, sabbampi maṅgalaṃ siyā, tasmā na diṭṭhaṃ maṅgalaṃ, apica kho pana sutaṃ maṅgalaṃ, sutaṃ nāma abhimaṅgalasammato saddo. Seyyathidaṃ – idhekacco kālasseva vuṭṭhāya vaḍḍhāti vā vaḍḍhamānāti vā puṇṇāti vā phussāti vā sumanāti vā sirīti vā sirivaḍḍhāti vā ajja sunakkhattaṃ sumuhuttaṃ sudivasaṃ sumaṅgalanti evarūpaṃ vā yaṃkiñci abhimaṅgalasammataṃ saddaṃ suṇāti, idaṃ vuccati sutamaṅgala’’nti. Tassapi vacanaṃ ekacce aggahesuṃ, ekacce nāggahesuṃ. Ye nāggahesuṃ, te tena saha vivadiṃsu.
อถ มุตมงฺคลิโก นาเมโก ปุริโส อาห – ‘‘โสตมฺปิ หิ นาเมตํ โภ สาธุมฺปิ อสาธุมฺปิ มนาปมฺปิ อมนาปมฺปิ สุณาติฯ ยทิ เตน สุตํ มงฺคลํ สิยา, สพฺพมฺปิ มงฺคลํ สิยา, ตสฺมา น สุตํ มงฺคลํ, อปิจ โข ปน มุตํ มงฺคลํ, มุตํ นาม อภิมงฺคลสมฺมตํ คนฺธรสโผฎฺฐพฺพํฯ เสยฺยถิทํ – อิเธกโจฺจ กาลเสฺสว วุฎฺฐาย ปทุมคนฺธาทิปุปฺผคนฺธํ วา ฆายติ, ผุสฺสทนฺตกฎฺฐํ วา ขาทติ, ปถวิํ วา อามสติ, หริตสสฺสํ วา อลฺลโคมยํ วา กจฺฉปํ วา ติลวาหํ วา ปุปฺผํ วา ผลํ วา อามสติ, ผุสฺสมตฺติกาย วา สมฺมา ลิมฺปติ, ผุสฺสสาฎกํ วา นิวาเสติ, ผุสฺสเวฐนํ วา ธาเรติ, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ กิญฺจิ เอวรูปํ อภิมงฺคลสมฺมตํ คนฺธํ วา ฆายติ, รสํ วา สายติ, โผฎฺฐพฺพํ วา ผุสติ, อิทํ วุจฺจติ มุตมงฺคล’’นฺติฯ ตสฺสปิ วจนํ เอกเจฺจ อคฺคเหสุํ, เอกเจฺจ นาคฺคเหสุํฯ
Atha mutamaṅgaliko nāmeko puriso āha – ‘‘sotampi hi nāmetaṃ bho sādhumpi asādhumpi manāpampi amanāpampi suṇāti. Yadi tena sutaṃ maṅgalaṃ siyā, sabbampi maṅgalaṃ siyā, tasmā na sutaṃ maṅgalaṃ, apica kho pana mutaṃ maṅgalaṃ, mutaṃ nāma abhimaṅgalasammataṃ gandharasaphoṭṭhabbaṃ. Seyyathidaṃ – idhekacco kālasseva vuṭṭhāya padumagandhādipupphagandhaṃ vā ghāyati, phussadantakaṭṭhaṃ vā khādati, pathaviṃ vā āmasati, haritasassaṃ vā allagomayaṃ vā kacchapaṃ vā tilavāhaṃ vā pupphaṃ vā phalaṃ vā āmasati, phussamattikāya vā sammā limpati, phussasāṭakaṃ vā nivāseti, phussaveṭhanaṃ vā dhāreti, yaṃ vā panaññampi kiñci evarūpaṃ abhimaṅgalasammataṃ gandhaṃ vā ghāyati, rasaṃ vā sāyati, phoṭṭhabbaṃ vā phusati, idaṃ vuccati mutamaṅgala’’nti. Tassapi vacanaṃ ekacce aggahesuṃ, ekacce nāggahesuṃ.
ตตฺถ น ทิฎฺฐมงฺคลิโก สุตมุตมงฺคลิเก อสกฺขิ สญฺญาเปตุํฯ น เตสํ อญฺญตโร อิตเร เทฺวฯ เตสุ จ มนุเสฺสสุ เย ทิฎฺฐมงฺคลิกสฺส วจนํ คณฺหิํสุ, เต ‘‘ทิฎฺฐํเยว มงฺคล’’นฺติ คตาฯ เย สุตมุตมงฺคลิกานํ วจนํ คณฺหิํสุ, เต ‘‘สุตํเยว มุตํเยว มงฺคล’’นฺติ คตาฯ เอวมยํ มงฺคลกถา สกลชมฺพุทีเป ปากฎา ชาตาฯ
Tattha na diṭṭhamaṅgaliko sutamutamaṅgalike asakkhi saññāpetuṃ. Na tesaṃ aññataro itare dve. Tesu ca manussesu ye diṭṭhamaṅgalikassa vacanaṃ gaṇhiṃsu, te ‘‘diṭṭhaṃyeva maṅgala’’nti gatā. Ye sutamutamaṅgalikānaṃ vacanaṃ gaṇhiṃsu, te ‘‘sutaṃyeva mutaṃyeva maṅgala’’nti gatā. Evamayaṃ maṅgalakathā sakalajambudīpe pākaṭā jātā.
อถ สกลชมฺพุทีเป มนุสฺสา คุมฺพคุมฺพา หุตฺวา ‘‘กิํ นุ โข มงฺคล’’นฺติ มงฺคลานิ จินฺตยิํสุ ฯ เตสํ มนุสฺสานํ อารกฺขเทวตา ตํ กถํ สุตฺวา ตเถว มงฺคลานิ จินฺตยิํสุฯ ตาสํ เทวตานํ ภุมฺมเทวตา มิตฺตา โหนฺติ, อถ ตโต สุตฺวา ภุมฺมเทวตาปิ ตเถว มงฺคลานิ จินฺตยิํสุฯ ตาสมฺปิ เทวตานํ อากาสฎฺฐเทวตา มิตฺตา โหนฺติ, อากาสฎฺฐเทวตานํ จาตุมหาราชิกเทวตาฯ เอเตเนว อุปาเยน ยาว สุทสฺสีเทวตานํ อกนิฎฺฐเทวตา มิตฺตา โหนฺติ, อถ ตโต สุตฺวา อกนิฎฺฐเทวตาปิ ตเถว คุมฺพคุมฺพา หุตฺวา มงฺคลานิ จินฺตยิํสุฯ เอวํ ทสสหสฺสจกฺกวาเฬสุ สพฺพตฺถ มงฺคลจินฺตา อุทปาทิฯ อุปฺปนฺนา จ สา ‘‘อิทํ มงฺคลํ อิทํ มงฺคล’’นฺติ วินิจฺฉิยมานาปิ อปฺปตฺตา เอว วินิจฺฉยํ ทฺวาทส วสฺสานิ อฎฺฐาสิฯ สเพฺพ มนุสฺสา จ เทวา จ พฺรหฺมาโน จ ฐเปตฺวา อริยสาวเก ทิฎฺฐสุตมุตวเสน ติธา ภินฺนาฯ เอโกปิ ‘‘อิทเมว มงฺคล’’นฺติ ยถาภุจฺจโต นิฎฺฐงฺคโต นาโหสิ, มงฺคลโกลาหลํ โลเก อุปฺปชฺชิฯ
Atha sakalajambudīpe manussā gumbagumbā hutvā ‘‘kiṃ nu kho maṅgala’’nti maṅgalāni cintayiṃsu . Tesaṃ manussānaṃ ārakkhadevatā taṃ kathaṃ sutvā tatheva maṅgalāni cintayiṃsu. Tāsaṃ devatānaṃ bhummadevatā mittā honti, atha tato sutvā bhummadevatāpi tatheva maṅgalāni cintayiṃsu. Tāsampi devatānaṃ ākāsaṭṭhadevatā mittā honti, ākāsaṭṭhadevatānaṃ cātumahārājikadevatā. Eteneva upāyena yāva sudassīdevatānaṃ akaniṭṭhadevatā mittā honti, atha tato sutvā akaniṭṭhadevatāpi tatheva gumbagumbā hutvā maṅgalāni cintayiṃsu. Evaṃ dasasahassacakkavāḷesu sabbattha maṅgalacintā udapādi. Uppannā ca sā ‘‘idaṃ maṅgalaṃ idaṃ maṅgala’’nti vinicchiyamānāpi appattā eva vinicchayaṃ dvādasa vassāni aṭṭhāsi. Sabbe manussā ca devā ca brahmāno ca ṭhapetvā ariyasāvake diṭṭhasutamutavasena tidhā bhinnā. Ekopi ‘‘idameva maṅgala’’nti yathābhuccato niṭṭhaṅgato nāhosi, maṅgalakolāhalaṃ loke uppajji.
โกลาหลํ นาม ปญฺจวิธํ – กปฺปโกลาหลํ, จกฺกวตฺติโกลาหลํ, พุทฺธโกลาหลํ, มงฺคลโกลาหลํ, โมเนยฺยโกลาหลนฺติฯ ตตฺถ กามาวจรเทวา มุตฺตสิรา วิกิณฺณเกสา รุทมฺมุขา อสฺสูนิ หเตฺถหิ ปุญฺฉมานา รตฺตวตฺถนิวตฺถา อติวิย วิรูปเวสธาริโน หุตฺวา, ‘‘วสฺสสตสหสฺสสฺส อจฺจเยน กปฺปุฎฺฐานํ ภวิสฺสติฯ อยํ โลโก วินสฺสิสฺสติ, มหาสมุโทฺท สุสฺสิสฺสติ, อยญฺจ มหาปถวี สิเนรุ จ ปพฺพตราชา อุฑฺฒยฺหิสฺสติ วินสฺสิสฺสติ, ยาว พฺรหฺมโลกา โลกวินาโส ภวิสฺสติฯ เมตฺตํ, มาริสา, ภาเวถ, กรุณํ มุทิตํ อุเปกฺขํ, มาริสา, ภาเวถ, มาตรํ อุปฎฺฐหถ, ปิตรํ อุปฎฺฐหถ, กุเล เชฎฺฐาปจายิโน โหถ, ชาครถ มา ปมาทตฺถา’’ติ มนุสฺสปเถ วิจริตฺวา อาโรเจนฺติฯ อิทํ กปฺปโกลาหลํ นามฯ
Kolāhalaṃ nāma pañcavidhaṃ – kappakolāhalaṃ, cakkavattikolāhalaṃ, buddhakolāhalaṃ, maṅgalakolāhalaṃ, moneyyakolāhalanti. Tattha kāmāvacaradevā muttasirā vikiṇṇakesā rudammukhā assūni hatthehi puñchamānā rattavatthanivatthā ativiya virūpavesadhārino hutvā, ‘‘vassasatasahassassa accayena kappuṭṭhānaṃ bhavissati. Ayaṃ loko vinassissati, mahāsamuddo sussissati, ayañca mahāpathavī sineru ca pabbatarājā uḍḍhayhissati vinassissati, yāva brahmalokā lokavināso bhavissati. Mettaṃ, mārisā, bhāvetha, karuṇaṃ muditaṃ upekkhaṃ, mārisā, bhāvetha, mātaraṃ upaṭṭhahatha, pitaraṃ upaṭṭhahatha, kule jeṭṭhāpacāyino hotha, jāgaratha mā pamādatthā’’ti manussapathe vicaritvā ārocenti. Idaṃ kappakolāhalaṃ nāma.
กามาวจรเทวาเยว ‘‘วสฺสสตสฺสจฺจเยน จกฺกวตฺติราชา โลเก อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ มนุสฺสปเถ วิจริตฺวา อาโรเจนฺติฯ อิทํ จกฺกวตฺติโกลาหลํ นามฯ
Kāmāvacaradevāyeva ‘‘vassasatassaccayena cakkavattirājā loke uppajjissatī’’ti manussapathe vicaritvā ārocenti. Idaṃ cakkavattikolāhalaṃ nāma.
สุทฺธาวาสา ปน เทวา พฺรหฺมาภรเณน อลงฺกริตฺวา พฺรหฺมเวฐนํ สีเส กตฺวา ปีติโสมนสฺสชาตา พุทฺธคุณวาทิโน ‘‘วสฺสสหสฺสสฺส อจฺจเยน พุโทฺธ โลเก อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ มนุสฺสปเถ วิจริตฺวา อาโรเจนฺติฯ อิทํ พุทฺธโกลาหลํ นามฯ
Suddhāvāsā pana devā brahmābharaṇena alaṅkaritvā brahmaveṭhanaṃ sīse katvā pītisomanassajātā buddhaguṇavādino ‘‘vassasahassassa accayena buddho loke uppajjissatī’’ti manussapathe vicaritvā ārocenti. Idaṃ buddhakolāhalaṃ nāma.
สุทฺธาวาสา เอว เทวา มนุสฺสานํ จิตฺตํ ญตฺวา ‘‘ทฺวาทสนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยน สมฺมาสมฺพุโทฺธ มงฺคลํ กเถสฺสตี’’ติ มนุสฺสปเถ วิจริตฺวา อาโรเจนฺติฯ อิทํ มงฺคลโกลาหลํ นามฯ
Suddhāvāsā eva devā manussānaṃ cittaṃ ñatvā ‘‘dvādasannaṃ vassānaṃ accayena sammāsambuddho maṅgalaṃ kathessatī’’ti manussapathe vicaritvā ārocenti. Idaṃ maṅgalakolāhalaṃ nāma.
สุทฺธาวาสา เอว เทวา ‘‘สตฺตนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยน อญฺญตโร ภิกฺขุ ภควตา สทฺธิํ สมาคมฺม โมเนยฺยปฎิปทํ ปุจฺฉิสฺสตี’’ติ มนุสฺสปเถ วิจริตฺวา อาโรเจนฺติฯ อิทํ โมเนยฺยโกลาหลํ นามฯ อิเมสุ ปญฺจสุ โกลาหเลสุ ทิฎฺฐมงฺคลาทิวเสน ติธา ภิเนฺนสุ เทวมนุเสฺสสุ อิทํ มงฺคลโกลาหลํ โลเก อุปฺปชฺชิฯ
Suddhāvāsā eva devā ‘‘sattannaṃ vassānaṃ accayena aññataro bhikkhu bhagavatā saddhiṃ samāgamma moneyyapaṭipadaṃ pucchissatī’’ti manussapathe vicaritvā ārocenti. Idaṃ moneyyakolāhalaṃ nāma. Imesu pañcasu kolāhalesu diṭṭhamaṅgalādivasena tidhā bhinnesu devamanussesu idaṃ maṅgalakolāhalaṃ loke uppajji.
อถ เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ วิจินิตฺวา วิจินิตฺวา มงฺคลานิ อลภมาเนสุ ทฺวาทสนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยน ตาวติํสกายิกา เทวตา สงฺคมฺม สมาคมฺม เอวํ สมจิเนฺตสุํ – ‘‘เสยฺยถาปิ นาม, มาริสา, ฆรสามิโก อโนฺตฆรชนานํ, คามสามิโก คามวาสีนํ, ราชา สพฺพมนุสฺสานํ, เอวเมวํ อยํ สโกฺก เทวานมิโนฺท อมฺหากํ อโคฺค จ เสโฎฺฐ จ ยทิทํ ปุเญฺญน เตเชน อิสฺสริเยน ปญฺญาย ทฺวินฺนํ เทวโลกานํ อธิปติฯ ยํนูน มยํ สกฺกํ เทวานมินฺทํ เอตมตฺถํ ปุเจฺฉยฺยามา’’ติฯ ตา สกฺกสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา สกฺกํ เทวานมินฺทํ ตงฺขณานุรูปนิวาสนาภรณสสฺสิริกสรีรํ อฑฺฒเตยฺยโกฎิอจฺฉราคณปริวุตํ ปาริจฺฉตฺตกมูเล ปณฺฑุกมฺพลวราสเน นิสินฺนํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ ฐตฺวา เอตทโวจุํ – ‘‘ยเคฺฆ, มาริส, ชาเนยฺยาสิ, เอตรหิ มงฺคลปญฺหา สมุฎฺฐิตา, เอเก ทิฎฺฐํ มงฺคลนฺติ วทนฺติ, เอเก สุตํ มงฺคลนฺติ วทนฺติ, เอเก มุตํ มงฺคลนฺติ วทนฺติฯ ตตฺถ มยญฺจ อเญฺญ จ อนิฎฺฐงฺคตา, สาธุ วต โน ตฺวํ ยาถาวโต พฺยากโรหี’’ติฯ เทวราชา ปกติยาปิ ปญฺญวา ‘‘อยํ มงฺคลกถา กตฺถ ปฐมํ สมุฎฺฐิตา’’ติ อาหฯ ‘‘มยํ เทว จาตุมหาราชิกานํ อสฺสุมฺหา’’ติ อาหํสุฯ ตโต จาตุมหาราชิกา อากาสฎฺฐเทวตานํ, อากาสฎฺฐเทวตา ภุมฺมเทวตานํ, ภุมฺมเทวตา มนุสฺสารกฺขเทวตานํ, มนุสฺสารกฺขเทวตา ‘‘มนุสฺสโลเก สมุฎฺฐิตา’’ติ อาหํสุฯ
Atha devesu ca manussesu ca vicinitvā vicinitvā maṅgalāni alabhamānesu dvādasannaṃ vassānaṃ accayena tāvatiṃsakāyikā devatā saṅgamma samāgamma evaṃ samacintesuṃ – ‘‘seyyathāpi nāma, mārisā, gharasāmiko antogharajanānaṃ, gāmasāmiko gāmavāsīnaṃ, rājā sabbamanussānaṃ, evamevaṃ ayaṃ sakko devānamindo amhākaṃ aggo ca seṭṭho ca yadidaṃ puññena tejena issariyena paññāya dvinnaṃ devalokānaṃ adhipati. Yaṃnūna mayaṃ sakkaṃ devānamindaṃ etamatthaṃ puccheyyāmā’’ti. Tā sakkassa santikaṃ gantvā sakkaṃ devānamindaṃ taṅkhaṇānurūpanivāsanābharaṇasassirikasarīraṃ aḍḍhateyyakoṭiaccharāgaṇaparivutaṃ pāricchattakamūle paṇḍukambalavarāsane nisinnaṃ abhivādetvā ekamantaṃ ṭhatvā etadavocuṃ – ‘‘yagghe, mārisa, jāneyyāsi, etarahi maṅgalapañhā samuṭṭhitā, eke diṭṭhaṃ maṅgalanti vadanti, eke sutaṃ maṅgalanti vadanti, eke mutaṃ maṅgalanti vadanti. Tattha mayañca aññe ca aniṭṭhaṅgatā, sādhu vata no tvaṃ yāthāvato byākarohī’’ti. Devarājā pakatiyāpi paññavā ‘‘ayaṃ maṅgalakathā kattha paṭhamaṃ samuṭṭhitā’’ti āha. ‘‘Mayaṃ deva cātumahārājikānaṃ assumhā’’ti āhaṃsu. Tato cātumahārājikā ākāsaṭṭhadevatānaṃ, ākāsaṭṭhadevatā bhummadevatānaṃ, bhummadevatā manussārakkhadevatānaṃ, manussārakkhadevatā ‘‘manussaloke samuṭṭhitā’’ti āhaṃsu.
อถ เทวานมิโนฺท ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ กตฺถ วสตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มนุสฺสโลเก, เทวา’’ติ อาหํสุฯ ‘‘ตํ ภควนฺตํ โกจิ ปุจฺฉี’’ติ อาหฯ ‘‘น โกจิ เทวา’’ติฯ ‘‘กิํ นุ โข นาม ตุเมฺห มาริสา อคฺคิํ ฉเฑฺฑตฺวา ขโชฺชปนกํ อุชฺชาเลถ, เย อนวเสสมงฺคลเทสกํ ตํ ภควนฺตํ อติกฺกมิตฺวา มํ ปุจฺฉิตพฺพํ มญฺญถ? อาคจฺฉถ, มาริสา, ตํ ภควนฺตํ ปุจฺฉาม, อทฺธา สสฺสิริกํ ปญฺหพฺยากรณํ ลภิสฺสามา’’ติ เอกํ เทวปุตฺตํ อาณาเปสิ – ‘‘ตฺวํ ภควนฺตํ ปุจฺฉา’’ติฯ โส เทวปุโตฺต ตงฺขณานุรูเปน อลงฺกาเรน อตฺตานํ อลงฺกริตฺวา วิชฺชุริว วิโชฺชตมาโน เทวคณปริวุโต เชตวนมหาวิหารํ อาคนฺตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ ฐตฺวา มงฺคลปญฺหํ ปุจฺฉโนฺต คาถาย อชฺฌภาสิฯ ภควา ตสฺส ตํ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชโนฺต อิมํ สุตฺตมภาสิฯ
Atha devānamindo ‘‘sammāsambuddho kattha vasatī’’ti pucchi. ‘‘Manussaloke, devā’’ti āhaṃsu. ‘‘Taṃ bhagavantaṃ koci pucchī’’ti āha. ‘‘Na koci devā’’ti. ‘‘Kiṃ nu kho nāma tumhe mārisā aggiṃ chaḍḍetvā khajjopanakaṃ ujjāletha, ye anavasesamaṅgaladesakaṃ taṃ bhagavantaṃ atikkamitvā maṃ pucchitabbaṃ maññatha? Āgacchatha, mārisā, taṃ bhagavantaṃ pucchāma, addhā sassirikaṃ pañhabyākaraṇaṃ labhissāmā’’ti ekaṃ devaputtaṃ āṇāpesi – ‘‘tvaṃ bhagavantaṃ pucchā’’ti. So devaputto taṅkhaṇānurūpena alaṅkārena attānaṃ alaṅkaritvā vijjuriva vijjotamāno devagaṇaparivuto jetavanamahāvihāraṃ āgantvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ ṭhatvā maṅgalapañhaṃ pucchanto gāthāya ajjhabhāsi. Bhagavā tassa taṃ pañhaṃ vissajjento imaṃ suttamabhāsi.
ตตฺถ เอวํ เม สุตนฺติอาทีนมโตฺถ สเงฺขปโต กสิภารทฺวาชสุตฺตวณฺณนายํ วุโตฺต, วิตฺถารํ ปน อิจฺฉเนฺตหิ ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมฎฺฐกถายํ วุตฺตนเยน คเหตโพฺพฯ กสิภารทฺวาชสุเตฺต จ ‘‘มคเธสุ วิหรติ ทกฺขิณาคิริสฺมิํ เอกนาฬายํ พฺราหฺมณคาเม’’ติ วุตฺตํ, อิธ ‘‘สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม’’ติฯ ตสฺมา ‘‘สาวตฺถิย’’นฺติ อิมํ ปทํ อาทิํ กตฺวา อิธ อปุพฺพปทวณฺณนํ กริสฺสามฯ
Tattha evaṃ me sutantiādīnamattho saṅkhepato kasibhāradvājasuttavaṇṇanāyaṃ vutto, vitthāraṃ pana icchantehi papañcasūdaniyā majjhimaṭṭhakathāyaṃ vuttanayena gahetabbo. Kasibhāradvājasutte ca ‘‘magadhesu viharati dakkhiṇāgirismiṃ ekanāḷāyaṃ brāhmaṇagāme’’ti vuttaṃ, idha ‘‘sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme’’ti. Tasmā ‘‘sāvatthiya’’nti imaṃ padaṃ ādiṃ katvā idha apubbapadavaṇṇanaṃ karissāma.
เสยฺยถิทํ, สาวตฺถิยนฺติ เอวํนามเก นคเรฯ ตํ กิร สวตฺถสฺส นาม อิสิโน นิวาสฎฺฐานํ อโหสิฯ ตสฺมา ยถา กุสมฺพสฺส นิวาโส โกสมฺพี, กากณฺฑสฺส นิวาโส กากณฺฑีติ, เอวํ อิตฺถิลิงฺควเสน ‘‘สาวตฺถี’’ติ วุจฺจติฯ โปราณา ปน วณฺณยนฺติ – ยสฺมา ตสฺมิํ ฐาเน สตฺถสมาโยเค ‘‘กิํภณฺฑมตฺถี’’ติ ปุจฺฉิเต ‘‘สพฺพมตฺถี’’ติ อาหํสุ, ตสฺมา ตํ วจนมุปาทาย ‘‘สาวตฺถี’’ติ วุจฺจติฯ ตสฺสํ สาวตฺถิยํฯ เอเตนสฺส โคจรคาโม ทีปิโต โหติฯ เชโต นาม ราชกุมาโร, เตน โรปิตสํวฑฺฒิตตฺตา ตสฺส เชตสฺส วนนฺติ เชตวนํ, ตสฺมิํ เชตวเนฯ อนาถานํ ปิโณฺฑ เอตสฺมิํ อตฺถีติ อนาถปิณฺฑิโก, ตสฺส อนาถปิณฺฑิกสฺสฯ อนาถปิณฺฑิเกน คหปตินา จตุปณฺณาสโกฎิปริจฺจาเคน นิฎฺฐาปิตาราเมติ อโตฺถฯ เอเตนสฺส ปพฺพชิตานุรูปนิวาโสกาโส ทีปิโต โหติฯ
Seyyathidaṃ, sāvatthiyanti evaṃnāmake nagare. Taṃ kira savatthassa nāma isino nivāsaṭṭhānaṃ ahosi. Tasmā yathā kusambassa nivāso kosambī, kākaṇḍassa nivāso kākaṇḍīti, evaṃ itthiliṅgavasena ‘‘sāvatthī’’ti vuccati. Porāṇā pana vaṇṇayanti – yasmā tasmiṃ ṭhāne satthasamāyoge ‘‘kiṃbhaṇḍamatthī’’ti pucchite ‘‘sabbamatthī’’ti āhaṃsu, tasmā taṃ vacanamupādāya ‘‘sāvatthī’’ti vuccati. Tassaṃ sāvatthiyaṃ. Etenassa gocaragāmo dīpito hoti. Jeto nāma rājakumāro, tena ropitasaṃvaḍḍhitattā tassa jetassa vananti jetavanaṃ, tasmiṃ jetavane. Anāthānaṃ piṇḍo etasmiṃ atthīti anāthapiṇḍiko, tassa anāthapiṇḍikassa. Anāthapiṇḍikena gahapatinā catupaṇṇāsakoṭipariccāgena niṭṭhāpitārāmeti attho. Etenassa pabbajitānurūpanivāsokāso dīpito hoti.
อถาติ อวิเจฺฉทเตฺถ, โขติ อธิการนฺตรนิทสฺสนเตฺถ นิปาโตฯ เตน อวิจฺฉิเนฺนเยว ตตฺถ ภควโต วิหาเร ‘‘อิทมธิการนฺตรํ อุทปาที’’ติ ทเสฺสติฯ กิํ ตนฺติ? อญฺญตรา เทวตาติอาทิฯ ตตฺถ อญฺญตราติ อนิยมิตนิเทฺทโสฯ สา หิ นามโคตฺตโต อปากฎา, ตสฺมา ‘‘อญฺญตรา’’ติ วุตฺตาฯ เทโว เอว เทวตา, อิตฺถิปุริสสาธารณเมตํฯ อิธ ปน ปุริโส เอว โส เทวปุโตฺต, กินฺตุ สาธารณนามวเสน ‘‘เทวตา’’ติ วุโตฺตฯ
Athāti avicchedatthe, khoti adhikārantaranidassanatthe nipāto. Tena avicchinneyeva tattha bhagavato vihāre ‘‘idamadhikārantaraṃ udapādī’’ti dasseti. Kiṃ tanti? Aññatarā devatātiādi. Tattha aññatarāti aniyamitaniddeso. Sā hi nāmagottato apākaṭā, tasmā ‘‘aññatarā’’ti vuttā. Devo eva devatā, itthipurisasādhāraṇametaṃ. Idha pana puriso eva so devaputto, kintu sādhāraṇanāmavasena ‘‘devatā’’ti vutto.
อภิกฺกนฺตาย รตฺติยาติ เอตฺถ อภิกฺกนฺตสโทฺท ขยสุนฺทราภิรูปอพฺภนุโมทนาทีสุ ทิสฺสติฯ ตตฺถ ‘‘อภิกฺกนฺตา, ภเนฺต, รตฺติ, นิกฺขโนฺต ปฐโม ยาโม, จิรนิสิโนฺน ภิกฺขุสโงฺฆฯ อุทฺทิสตุ, ภควา ภิกฺขูนํ ปาติโมกฺข’’นฺติ เอวมาทีสุ (จูฬว. ๓๘๓; อ. นิ. ๘.๒๐; อุทา. ๔๕) ขเย ทิสฺสติฯ ‘‘อยํ อิเมสํ จตุนฺนํ ปุคฺคลานํ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จา’’ติ เอวมาทีสุ (อ. นิ. ๔.๑๐๐) สุนฺทเรฯ
Abhikkantāyarattiyāti ettha abhikkantasaddo khayasundarābhirūpaabbhanumodanādīsu dissati. Tattha ‘‘abhikkantā, bhante, ratti, nikkhanto paṭhamo yāmo, ciranisinno bhikkhusaṅgho. Uddisatu, bhagavā bhikkhūnaṃ pātimokkha’’nti evamādīsu (cūḷava. 383; a. ni. 8.20; udā. 45) khaye dissati. ‘‘Ayaṃ imesaṃ catunnaṃ puggalānaṃ abhikkantataro ca paṇītataro cā’’ti evamādīsu (a. ni. 4.100) sundare.
‘‘โก เม วนฺทติ ปาทานิ, อิทฺธิยา ยสสา ชลํ;
‘‘Ko me vandati pādāni, iddhiyā yasasā jalaṃ;
อภิกฺกเนฺตน วเณฺณน, สพฺพา โอภาสยํ ทิสา’’ติฯ (วิ. ว. ๘๕๗) –
Abhikkantena vaṇṇena, sabbā obhāsayaṃ disā’’ti. (vi. va. 857) –
เอวมาทีสุ อภิรูเปฯ ‘‘อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตม, อภิกฺกนฺตํ, โภ โคตมา’’ติ เอวมาทีสุ (อ. นิ. ๒.๑๖; ปารา. ๑๕) อพฺภนุโมทเนฯ อิธ ปน ขเยฯ เตน อภิกฺกนฺตาย รตฺติยา, ปริกฺขีณาย รตฺติยาติ วุตฺตํ โหติฯ
Evamādīsu abhirūpe. ‘‘Abhikkantaṃ, bho gotama, abhikkantaṃ, bho gotamā’’ti evamādīsu (a. ni. 2.16; pārā. 15) abbhanumodane. Idha pana khaye. Tena abhikkantāya rattiyā, parikkhīṇāya rattiyāti vuttaṃ hoti.
อภิกฺกนฺตวณฺณาติ เอตฺถ อภิกฺกนฺตสโทฺท อภิรูเป, วณฺณสโทฺท ปน ฉวิถุติกุลวคฺคการณสณฺฐานปฺปมาณรูปายตนาทีสุ ทิสฺสติฯ ตตฺถ ‘‘สุวณฺณวโณฺณสิ ภควา’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๒.๓๙๙; สุ. นิ. ๕๕๓) ฉวิยํฯ ‘‘กทา สญฺญูฬฺหา ปน เต, คหปติ, อิเม สมณสฺส โคตมสฺส วณฺณา’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๒.๗๗) ถุติยํฯ ‘‘จตฺตาโรเม, โภ โคตม, วณฺณา’’ติ เอวมาทีสุ (ที. นิ. ๓.๑๑๕) กุลวเคฺคฯ ‘‘อถ เกน นุ วเณฺณน, คนฺธเตฺถโนติ วุจฺจตี’’ติ เอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๒๓๔) การเณฯ ‘‘มหนฺตํ หตฺถิราชวณฺณํ อภินิมฺมินิตฺวา’’ติ เอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๓๘) สณฺฐาเนฯ ‘‘ตโย ปตฺตสฺส วณฺณา’’ติ เอวมาทีสุ ปมาเณฯ ‘‘วโณฺณ คโนฺธ รโส โอชา’’ติ เอวมาทีสุ รูปายตเนฯ โส อิธ ฉวิยํ ทฎฺฐโพฺพฯ เตน อภิกฺกนฺตวณฺณา อภิรูปจฺฉวีติ วุตฺตํ โหติฯ
Abhikkantavaṇṇāti ettha abhikkantasaddo abhirūpe, vaṇṇasaddo pana chavithutikulavaggakāraṇasaṇṭhānappamāṇarūpāyatanādīsu dissati. Tattha ‘‘suvaṇṇavaṇṇosi bhagavā’’ti evamādīsu (ma. ni. 2.399; su. ni. 553) chaviyaṃ. ‘‘Kadā saññūḷhā pana te, gahapati, ime samaṇassa gotamassa vaṇṇā’’ti evamādīsu (ma. ni. 2.77) thutiyaṃ. ‘‘Cattārome, bho gotama, vaṇṇā’’ti evamādīsu (dī. ni. 3.115) kulavagge. ‘‘Atha kena nu vaṇṇena, gandhatthenoti vuccatī’’ti evamādīsu (saṃ. ni. 1.234) kāraṇe. ‘‘Mahantaṃ hatthirājavaṇṇaṃ abhinimminitvā’’ti evamādīsu (saṃ. ni. 1.138) saṇṭhāne. ‘‘Tayo pattassa vaṇṇā’’ti evamādīsu pamāṇe. ‘‘Vaṇṇo gandho raso ojā’’ti evamādīsu rūpāyatane. So idha chaviyaṃ daṭṭhabbo. Tena abhikkantavaṇṇā abhirūpacchavīti vuttaṃ hoti.
เกวลกปฺปนฺติ เอตฺถ เกวลสโทฺท อนวเสสเยภุยฺยอพฺยามิสฺสอนติเรกทฬฺหตฺถวิสํโยคาทิอเนกโตฺถฯ ตถา หิสฺส ‘‘เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริย’’นฺติ เอวมาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๕๕; ปารา. ๑) อนวเสสตา อโตฺถฯ ‘‘เกวลกปฺปา จ องฺคมาคธา ปหูตํ ขาทนียํ โภชนียํ อาทาย อุปสงฺกมิสฺสนฺตี’’ติ เอวมาทีสุ (มหาว. ๔๓) เยภุยฺยตาฯ ‘‘เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหตี’’ติ เอวมาทีสุ (วิภ. ๒๒๕) อพฺยามิสฺสตาฯ ‘‘เกวลํ สทฺธามตฺตกํ นูน อยมายสฺมา’’ติ เอวมาทีสุ (มหาว. ๒๔๔) อนติเรกตาฯ ‘‘อายสฺมโต ภเนฺต อนุรุทฺธสฺส พาหิโก นาม สทฺธิวิหาริโก เกวลกปฺปํ สงฺฆเภทาย ฐิโต’’ติ เอวมาทีสุ (อ. นิ. ๔.๒๔๓) ทฬฺหตฺถตาฯ ‘‘เกวลี วุสิตวา อุตฺตมปุริโสติ วุจฺจตี’’ติ เอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๕๗) วิสํโยโคฯ อิธ ปนสฺส อนวเสสโต อโตฺถ อธิเปฺปโตฯ
Kevalakappanti ettha kevalasaddo anavasesayebhuyyaabyāmissaanatirekadaḷhatthavisaṃyogādianekattho. Tathā hissa ‘‘kevalaparipuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariya’’nti evamādīsu (dī. ni. 1.255; pārā. 1) anavasesatā attho. ‘‘Kevalakappā ca aṅgamāgadhā pahūtaṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ ādāya upasaṅkamissantī’’ti evamādīsu (mahāva. 43) yebhuyyatā. ‘‘Kevalassa dukkhakkhandhassa samudayo hotī’’ti evamādīsu (vibha. 225) abyāmissatā. ‘‘Kevalaṃ saddhāmattakaṃ nūna ayamāyasmā’’ti evamādīsu (mahāva. 244) anatirekatā. ‘‘Āyasmato bhante anuruddhassa bāhiko nāma saddhivihāriko kevalakappaṃ saṅghabhedāya ṭhito’’ti evamādīsu (a. ni. 4.243) daḷhatthatā. ‘‘Kevalī vusitavā uttamapurisoti vuccatī’’ti evamādīsu (saṃ. ni. 3.57) visaṃyogo. Idha panassa anavasesato attho adhippeto.
กปฺปสโทฺท ปนายํ อภิสทฺทหนโวหารกาลปญฺญตฺติเฉทนวิกปฺปเลสสมนฺตภาวาทิอเนกโตฺถฯ ตถา หิสฺส ‘‘โอกปฺปนิยเมตํ โภโต โคตมสฺส, ยตา ตํ อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสา’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๘๗) อภิสทฺทหนมโตฺถฯ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหิ สมณกเปฺปหิ ผลํ ปริภุญฺชิตุ’’นฺติ เอวมาทีสุ (จูฬว. ๒๕๐) โวหาโรฯ ‘‘เยน สุทํ นิจฺจกปฺปํ วิหรามี’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๘๗) กาโลฯ ‘‘อิจฺจายสฺมา กโปฺป’’ติ เอวมาทีสุ (สุ. นิ. ๑๐๙๘; จูฬนิ. กปฺปมาณวปุจฺฉา ๑๑๗) ปญฺญตฺติฯ ‘‘อลงฺกโต กปฺปิตเกสมสฺสู’’ติ เอวมาทีสุ (ชา. ๒.๒๒.๑๓๖๘) เฉทนํฯ ‘‘กปฺปติ ทฺวงฺคุลกโปฺป’’ติ เอวมาทีสุ (จูฬว. ๔๔๖) วิกโปฺปฯ ‘‘อตฺถิ กโปฺป นิปชฺชิตุ’’นฺติ เอวมาทีสุ (อ. นิ. ๘.๘๐) เลโสฯ ‘‘เกวลกปฺปํ เวฬุวนํ โอภาเสตฺวา’’ติ เอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๙๔) สมนฺตภาโวฯ อิธ ปนสฺส สมนฺตภาโว อโตฺถติ อธิเปฺปโตฯ ยโต เกวลกปฺปํ เชตวนนฺติ เอตฺถ อนวเสสํ สมนฺตโต เชตวนนฺติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Kappasaddo panāyaṃ abhisaddahanavohārakālapaññattichedanavikappalesasamantabhāvādianekattho. Tathā hissa ‘‘okappaniyametaṃ bhoto gotamassa, yatā taṃ arahato sammāsambuddhassā’’ti evamādīsu (ma. ni. 1.387) abhisaddahanamattho. ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, pañcahi samaṇakappehi phalaṃ paribhuñjitu’’nti evamādīsu (cūḷava. 250) vohāro. ‘‘Yena sudaṃ niccakappaṃ viharāmī’’ti evamādīsu (ma. ni. 1.387) kālo. ‘‘Iccāyasmā kappo’’ti evamādīsu (su. ni. 1098; cūḷani. kappamāṇavapucchā 117) paññatti. ‘‘Alaṅkato kappitakesamassū’’ti evamādīsu (jā. 2.22.1368) chedanaṃ. ‘‘Kappati dvaṅgulakappo’’ti evamādīsu (cūḷava. 446) vikappo. ‘‘Atthi kappo nipajjitu’’nti evamādīsu (a. ni. 8.80) leso. ‘‘Kevalakappaṃ veḷuvanaṃ obhāsetvā’’ti evamādīsu (saṃ. ni. 1.94) samantabhāvo. Idha panassa samantabhāvo atthoti adhippeto. Yato kevalakappaṃ jetavananti ettha anavasesaṃ samantato jetavananti evamattho daṭṭhabbo.
โอภาเสตฺวาติ อาภาย ผริตฺวา, จนฺทิมา วิย สูริโย วิย จ เอโกภาสํ เอกปโชฺชตํ กริตฺวาติ อโตฺถฯ
Obhāsetvāti ābhāya pharitvā, candimā viya sūriyo viya ca ekobhāsaṃ ekapajjotaṃ karitvāti attho.
เยน ภควา เตนุปสงฺกมีติ ภุมฺมเตฺถ กรณวจนํ, ยโต ยตฺถ ภควา, ตตฺถ อุปสงฺกมีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เยน วา การเณน ภควา เทวมนุเสฺสหิ อุปสงฺกมิตโพฺพ, เตเนว การเณน อุปสงฺกมีติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เกน จ การเณน ภควา อุปสงฺกมิตโพฺพ? นานปฺปการคุณวิเสสาธิคมาธิปฺปาเยน สาทุผลูปโภคาธิปฺปาเยน ทิชคเณหิ นิจฺจผลิตมหารุโกฺข วิยฯ อุปสงฺกมีติ จ คตาติ วุตฺตํ โหติฯ อุปสงฺกมิตฺวาติ อุปสงฺกมนปริโยสานทีปนํฯ อถ วา เอวํ คตา ตโต อาสนฺนตรํ ฐานํ ภควโต สมีปสงฺขาตํ คนฺตฺวาติปิ วุตฺตํ โหติฯ ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวาติ ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ปณมิตฺวา นมสฺสิตฺวาฯ
Yena bhagavā tenupasaṅkamīti bhummatthe karaṇavacanaṃ, yato yattha bhagavā, tattha upasaṅkamīti evamettha attho daṭṭhabbo. Yena vā kāraṇena bhagavā devamanussehi upasaṅkamitabbo, teneva kāraṇena upasaṅkamīti evampettha attho daṭṭhabbo. Kena ca kāraṇena bhagavā upasaṅkamitabbo? Nānappakāraguṇavisesādhigamādhippāyena sāduphalūpabhogādhippāyena dijagaṇehi niccaphalitamahārukkho viya. Upasaṅkamīti ca gatāti vuttaṃ hoti. Upasaṅkamitvāti upasaṅkamanapariyosānadīpanaṃ. Atha vā evaṃ gatā tato āsannataraṃ ṭhānaṃ bhagavato samīpasaṅkhātaṃ gantvātipi vuttaṃ hoti. Bhagavantaṃ abhivādetvāti bhagavantaṃ vanditvā paṇamitvā namassitvā.
เอกมนฺตนฺติ ภาวนปุํสกนิเทฺทโส, เอโกกาสํ เอกปสฺสนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ภุมฺมเตฺถ วา อุปโยควจนํฯ อฎฺฐาสีติ นิสชฺชาทิปฎิเกฺขโป, ฐานํ กเปฺปสิ, ฐิตา อโหสีติ อโตฺถฯ
Ekamantanti bhāvanapuṃsakaniddeso, ekokāsaṃ ekapassanti vuttaṃ hoti. Bhummatthe vā upayogavacanaṃ. Aṭṭhāsīti nisajjādipaṭikkhepo, ṭhānaṃ kappesi, ṭhitā ahosīti attho.
กถํ ฐิตา ปน สา เอกมนฺตํ ฐิตา อหูติ?
Kathaṃ ṭhitā pana sā ekamantaṃ ṭhitā ahūti?
‘‘น ปจฺฉโต น ปุรโต, นาปิ อาสนฺนทูรโต;
‘‘Na pacchato na purato, nāpi āsannadūrato;
น กเจฺฉ โนปิ ปฎิวาเต, น จาปิ โอณตุณฺณเต;
Na kacche nopi paṭivāte, na cāpi oṇatuṇṇate;
อิเม โทเส วิวเชฺชตฺวา, เอกมนฺตํ ฐิตา อหู’’ติฯ
Ime dose vivajjetvā, ekamantaṃ ṭhitā ahū’’ti.
กสฺมา ปนายํ อฎฺฐาสิ เอว, น นิสีทีติ? ลหุํ นิวตฺติตุกามตายฯ เทวตา หิ กญฺจิเทว อตฺถวสํ ปฎิจฺจ สุจิปุริโส วิย วจฺจฎฺฐานํ มนุสฺสโลกํ อาคจฺฉนฺติฯ ปกติยา ปเนตาสํ โยชนสตโต ปภุติ มนุสฺสโลโก ทุคฺคนฺธตาย ปฎิกูโล โหติ, น ตตฺถ อภิรมนฺติฯ เตน สา อาคตกิจฺจํ กตฺวา ลหุํ นิวตฺติตุกามตาย น นิสีทิฯ ยสฺส จ คมนาทิอิริยาปถปริสฺสมสฺส วิโนทนตฺถํ นิสีทนฺติ, โส เทวานํ ปริสฺสโม นตฺถิ, ตสฺมาปิ น นิสีทิฯ เย จ มหาสาวกา ภควนฺตํ ปริวาเรตฺวา ฐิตา, เต ปติมาเนสิ, ตสฺมาปิ น นิสีทิฯ อปิจ ภควติ คารเวเนว น นิสีทิฯ เทวานญฺหิ นิสีทิตุกามานํ อาสนํ นิพฺพตฺตติ, ตํ อนิจฺฉมานา นิสชฺชาย จิตฺตมฺปิ อกตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ
Kasmā panāyaṃ aṭṭhāsi eva, na nisīdīti? Lahuṃ nivattitukāmatāya. Devatā hi kañcideva atthavasaṃ paṭicca sucipuriso viya vaccaṭṭhānaṃ manussalokaṃ āgacchanti. Pakatiyā panetāsaṃ yojanasatato pabhuti manussaloko duggandhatāya paṭikūlo hoti, na tattha abhiramanti. Tena sā āgatakiccaṃ katvā lahuṃ nivattitukāmatāya na nisīdi. Yassa ca gamanādiiriyāpathaparissamassa vinodanatthaṃ nisīdanti, so devānaṃ parissamo natthi, tasmāpi na nisīdi. Ye ca mahāsāvakā bhagavantaṃ parivāretvā ṭhitā, te patimānesi, tasmāpi na nisīdi. Apica bhagavati gāraveneva na nisīdi. Devānañhi nisīditukāmānaṃ āsanaṃ nibbattati, taṃ anicchamānā nisajjāya cittampi akatvā ekamantaṃ aṭṭhāsi.
เอกมนฺตํ ฐิตา โข สา เทวตาติ เอวํ อิเมหิ การเณหิ เอกมนฺตํ ฐิตา โข สา เทวตาฯ ภควนฺตํ คาถาย อชฺฌภาสีติ ภควนฺตํ คาถาย อกฺขรปทนิยมิตคนฺถิเตน วจเนน อภาสีติ อโตฺถฯ
Ekamantaṃ ṭhitā kho sā devatāti evaṃ imehi kāraṇehi ekamantaṃ ṭhitā kho sā devatā. Bhagavantaṃ gāthāya ajjhabhāsīti bhagavantaṃ gāthāya akkharapadaniyamitaganthitena vacanena abhāsīti attho.
๒๖๑. ตตฺถ พหูติ อนิยมิตสงฺขฺยานิเทฺทโสฯ เตน อเนกสตา อเนกสหสฺสา อเนกสตสหสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ ทิพฺพนฺตีติ เทวา, ปญฺจหิ กามคุเณหิ กีฬนฺติ, อตฺตโน วา สิริยา โชตนฺตีติ อโตฺถฯ อปิจ ติวิธา เทวา สมฺมุติอุปปตฺติวิสุทฺธิวเสนฯ ยถาห –
261. Tattha bahūti aniyamitasaṅkhyāniddeso. Tena anekasatā anekasahassā anekasatasahassāti vuttaṃ hoti. Dibbantīti devā, pañcahi kāmaguṇehi kīḷanti, attano vā siriyā jotantīti attho. Apica tividhā devā sammutiupapattivisuddhivasena. Yathāha –
‘‘เทวาติ ตโย เทวา สมฺมุติเทวา, อุปปตฺติเทวา, วิสุทฺธิเทวาฯ ตตฺถ สมฺมุติเทวา นาม ราชาโน, เทวิโย, ราชกุมาราฯ อุปปตฺติเทวา นาม จาตุมหาราชิเก เทเว อุปาทาย ตทุตฺตริเทวาฯ วิสุทฺธิเทวา นาม อรหโนฺต วุจฺจนฺตี’’ติ (จูฬนิ. โธตกมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๓๒, ปารายนานุคีติคาถานิเทฺทส ๑๑๙)ฯ
‘‘Devāti tayo devā sammutidevā, upapattidevā, visuddhidevā. Tattha sammutidevā nāma rājāno, deviyo, rājakumārā. Upapattidevā nāma cātumahārājike deve upādāya taduttaridevā. Visuddhidevā nāma arahanto vuccantī’’ti (cūḷani. dhotakamāṇavapucchāniddesa 32, pārāyanānugītigāthāniddesa 119).
เตสุ อิธ อุปปตฺติเทวา อธิเปฺปตาฯ มนุโน อปจฺจาติ มนุสฺสาฯ โปราณา ปน ภณนฺติ – มนสฺส อุสฺสนฺนตาย มนุสฺสาฯ เต ชมฺพุทีปกา, อปรโคยานกา, อุตฺตรกุรุกา, ปุพฺพวิเทหกาติ จตุพฺพิธาฯ อิธ ชมฺพุทีปกา อธิเปฺปตาฯ มงฺคลนฺติ อิเมหิ สตฺตาติ มงฺคลานิ, อิทฺธิํ วุทฺธิญฺจ ปาปุณนฺตีติ อโตฺถฯ อจินฺตยุนฺติ จิเนฺตสุํฯ อากงฺขมานาติ อิจฺฉมานา ปตฺถยมานา ปิหยมานาฯ โสตฺถานนฺติ โสตฺถิภาวํ, สเพฺพสํ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกานํ โสภนานํ สุนฺทรานํ กลฺยาณานํ ธมฺมานมตฺถิตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ พฺรูหีติ เทเสหิ ปกาเสหิ อาจิกฺข วิวร วิภช อุตฺตานีกโรหิฯ มงฺคลนฺติ อิทฺธิการณํ วุทฺธิการณํ สพฺพสมฺปตฺติการณํฯ อุตฺตมนฺติ วิสิฎฺฐํ ปวรํ สพฺพโลกหิตสุขาวหนฺติ อยํ คาถาย อนุปุพฺพปทวณฺณนาฯ
Tesu idha upapattidevā adhippetā. Manuno apaccāti manussā. Porāṇā pana bhaṇanti – manassa ussannatāya manussā. Te jambudīpakā, aparagoyānakā, uttarakurukā, pubbavidehakāti catubbidhā. Idha jambudīpakā adhippetā. Maṅgalanti imehi sattāti maṅgalāni, iddhiṃ vuddhiñca pāpuṇantīti attho. Acintayunti cintesuṃ. Ākaṅkhamānāti icchamānā patthayamānā pihayamānā. Sotthānanti sotthibhāvaṃ, sabbesaṃ diṭṭhadhammikasamparāyikānaṃ sobhanānaṃ sundarānaṃ kalyāṇānaṃ dhammānamatthitanti vuttaṃ hoti. Brūhīti desehi pakāsehi ācikkha vivara vibhaja uttānīkarohi. Maṅgalanti iddhikāraṇaṃ vuddhikāraṇaṃ sabbasampattikāraṇaṃ. Uttamanti visiṭṭhaṃ pavaraṃ sabbalokahitasukhāvahanti ayaṃ gāthāya anupubbapadavaṇṇanā.
อยํ ปน ปิณฺฑโตฺถ – โส เทวปุโตฺต ทสสหสฺสจกฺกวาเฬสุ เทวตา มงฺคลปญฺหํ โสตุกามตาย อิมสฺมิํ เอกจกฺกวาเฬ สนฺนิปติตฺวา เอกวาลคฺคโกฎิโอกาสมเตฺต ทสปิ วีสมฺปิ ติํสมฺปิ จตฺตาลีสมฺปิ ปญฺญาสมฺปิ สฎฺฐิปิ สตฺตติปิ อสีติปิ สุขุมตฺตภาเว นิมฺมินิตฺวา สพฺพเทวมารพฺรหฺมาโน สิริยา จ เตชสา จ อธิคยฺห วิโรจมานํ ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสินฺนํ ภควนฺตํ ปริวาเรตฺวา ฐิตา ทิสฺวา ตสฺมิํ จ สมเย อนาคตานมฺปิ สกลชมฺพุทีปกานํ มนุสฺสานํ เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย สพฺพเทวมนุสฺสานํ วิจิกิจฺฉาสลฺลสมุทฺธรณตฺถํ อาห – ‘‘พหู เทวา มนุสฺสา จ, มงฺคลานิ อจินฺตยุํ, อากงฺขมานา โสตฺถานํ อตฺตโน โสตฺถิภาวํ อิจฺฉนฺตา, พฺรูหิ มงฺคลมุตฺตมํ, เตสํ เทวานํ อนุมติยา มนุสฺสานญฺจ อนุคฺคเหน มยา ปุโฎฺฐ สมาโน ยํ สเพฺพสเมว อมฺหากํ เอกนฺตหิตสุขาวหนโต อุตฺตมํ มงฺคลํ, ตํ โน อนุกมฺปํ อุปาทาย พฺรูหิ ภควา’’ติฯ
Ayaṃ pana piṇḍattho – so devaputto dasasahassacakkavāḷesu devatā maṅgalapañhaṃ sotukāmatāya imasmiṃ ekacakkavāḷe sannipatitvā ekavālaggakoṭiokāsamatte dasapi vīsampi tiṃsampi cattālīsampi paññāsampi saṭṭhipi sattatipi asītipi sukhumattabhāve nimminitvā sabbadevamārabrahmāno siriyā ca tejasā ca adhigayha virocamānaṃ paññattavarabuddhāsane nisinnaṃ bhagavantaṃ parivāretvā ṭhitā disvā tasmiṃ ca samaye anāgatānampi sakalajambudīpakānaṃ manussānaṃ cetasā cetoparivitakkamaññāya sabbadevamanussānaṃ vicikicchāsallasamuddharaṇatthaṃ āha – ‘‘bahū devā manussā ca, maṅgalāni acintayuṃ, ākaṅkhamānā sotthānaṃ attano sotthibhāvaṃ icchantā, brūhi maṅgalamuttamaṃ, tesaṃ devānaṃ anumatiyā manussānañca anuggahena mayā puṭṭho samāno yaṃ sabbesameva amhākaṃ ekantahitasukhāvahanato uttamaṃ maṅgalaṃ, taṃ no anukampaṃ upādāya brūhi bhagavā’’ti.
๒๖๒. เอวเมตํ เทวปุตฺตสฺส วจนํ สุตฺวา ภควา ‘‘อเสวนา จ พาลาน’’นฺติ คาถมาหฯ ตตฺถ อเสวนาติ อภชนา อปยิรุปาสนาฯ พาลานนฺติ พลนฺติ อสฺสสนฺตีติ พาลา, อสฺสสิตปสฺสสิตมเตฺตน ชีวนฺติ, น ปญฺญาชีวิเตนาติ อธิปฺปาโยฯ เตสํ พาลานํ ปณฺฑิตานนฺติ ปณฺฑนฺตีติ ปณฺฑิตา, สนฺทิฎฺฐิกสมฺปรายิเกสุ อเตฺถสุ ญาณคติยา คจฺฉนฺตีติ อธิปฺปาโยฯ เตสํ ปณฺฑิตานํฯ เสวนาติ ภชนา ปยิรุปาสนา ตํสหายตา ตํสมฺปวงฺกตาฯ ปูชาติ สกฺการครุการมานนวนฺทนาฯ ปูชเนยฺยานนฺติ ปูชารหานํฯ เอตํ มงฺคลมุตฺตมนฺติ ยา จ พาลานํ อเสวนา, ยา จ ปณฺฑิตานํ เสวนา, ยา จ ปูชเนยฺยานํ ปูชา, ตํ สพฺพํ สมฺปิเณฺฑตฺวา อาห เอตํ มงฺคลมุตฺตมนฺติฯ ยํ ตยา ปุฎฺฐํ ‘‘พฺรูหิ มงฺคลมุตฺตม’’นฺติ, เอตฺถ ตาว เอตํ มงฺคลมุตฺตมนฺติ คณฺหาหีติ วุตฺตํ โหติฯ อยเมติสฺสา คาถาย ปทวณฺณนาฯ
262. Evametaṃ devaputtassa vacanaṃ sutvā bhagavā ‘‘asevanā ca bālāna’’nti gāthamāha. Tattha asevanāti abhajanā apayirupāsanā. Bālānanti balanti assasantīti bālā, assasitapassasitamattena jīvanti, na paññājīvitenāti adhippāyo. Tesaṃ bālānaṃ paṇḍitānanti paṇḍantīti paṇḍitā, sandiṭṭhikasamparāyikesu atthesu ñāṇagatiyā gacchantīti adhippāyo. Tesaṃ paṇḍitānaṃ. Sevanāti bhajanā payirupāsanā taṃsahāyatā taṃsampavaṅkatā. Pūjāti sakkāragarukāramānanavandanā. Pūjaneyyānanti pūjārahānaṃ. Etaṃ maṅgalamuttamanti yā ca bālānaṃ asevanā, yā ca paṇḍitānaṃ sevanā, yā ca pūjaneyyānaṃ pūjā, taṃ sabbaṃ sampiṇḍetvā āha etaṃ maṅgalamuttamanti. Yaṃ tayā puṭṭhaṃ ‘‘brūhi maṅgalamuttama’’nti, ettha tāva etaṃ maṅgalamuttamanti gaṇhāhīti vuttaṃ hoti. Ayametissā gāthāya padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปนสฺสา เอวํ เวทิตพฺพา – เอวเมตํ เทวปุตฺตสฺส วจนํ สุตฺวา ภควา อิมํ คาถมาหฯ ตตฺถ ยสฺมา จตุพฺพิธา กถา ปุจฺฉิตกถา, อปุจฺฉิตกถา, สานุสนฺธิกถา, อนนุสนฺธิกถาติฯ ตตฺถ ‘‘ปุจฺฉามิ ตํ, โคตม, ภูริปญฺญํ, กถํกโร สาวโก สาธุ โหตี’’ติ (สุ. นิ. ๓๗๘) จ, ‘‘กถํ นุ ตฺวํ, มาริส, โอฆมตรี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑) จ เอวมาทีสุ ปุจฺฉิเตน กถิกา ปุจฺฉิตกถาฯ ‘‘ยํ ปเร สุขโต อาหุ, ตทริยา อาหุ ทุกฺขโต’’ติ เอวมาทีสุ (สุ. นิ. ๗๖๗) อปุจฺฉิเตน อตฺตชฺฌาสยวเสเนว กถิตา อปุจฺฉิตกถาฯ สพฺพาปิ พุทฺธานํ กถา ‘‘สนิทานาหํ, ภิกฺขเว, ธมฺมํ เทเสมี’’ติ (อ. นิ. ๓.๑๒๖; กถา. ๘๐๖) วจนโต สานุสนฺธิกถาฯ อนนุสนฺธิกถา อิมสฺมิํ สาสเน นตฺถิฯ เอวเมตาสุ กถาสุ อยํ เทวปุเตฺตน ปุจฺฉิเตน ภควตา กถิตตฺตา ปุจฺฉิตกถาฯ ปุจฺฉิตกถายญฺจ ยถา เฉโก ปุริโส กุสโล มคฺคสฺส, กุสโล อมคฺคสฺส, มคฺคํ ปุโฎฺฐ ปฐมํ วิชหิตพฺพํ อาจิกฺขิตฺวา ปจฺฉา คเหตพฺพํ อาจิกฺขติ – ‘‘อสุกสฺมิํ นาม ฐาเน เทฺวธาปโถ โหติ, ตตฺถ วามํ มุญฺจิตฺวา ทกฺขิณํ คณฺหถา’’ติ, เอวํ เสวิตพฺพาเสวิตเพฺพสุ อเสวิตพฺพํ อาจิกฺขิตฺวา เสวิตพฺพํ อาจิกฺขติฯ ภควา จ มคฺคกุสลปุริสสทิโสฯ ยถาห –
Atthavaṇṇanā panassā evaṃ veditabbā – evametaṃ devaputtassa vacanaṃ sutvā bhagavā imaṃ gāthamāha. Tattha yasmā catubbidhā kathā pucchitakathā, apucchitakathā, sānusandhikathā, ananusandhikathāti. Tattha ‘‘pucchāmi taṃ, gotama, bhūripaññaṃ, kathaṃkaro sāvako sādhu hotī’’ti (su. ni. 378) ca, ‘‘kathaṃ nu tvaṃ, mārisa, oghamatarī’’ti (saṃ. ni. 1.1) ca evamādīsu pucchitena kathikā pucchitakathā. ‘‘Yaṃ pare sukhato āhu, tadariyā āhu dukkhato’’ti evamādīsu (su. ni. 767) apucchitena attajjhāsayavaseneva kathitā apucchitakathā. Sabbāpi buddhānaṃ kathā ‘‘sanidānāhaṃ, bhikkhave, dhammaṃ desemī’’ti (a. ni. 3.126; kathā. 806) vacanato sānusandhikathā. Ananusandhikathā imasmiṃ sāsane natthi. Evametāsu kathāsu ayaṃ devaputtena pucchitena bhagavatā kathitattā pucchitakathā. Pucchitakathāyañca yathā cheko puriso kusalo maggassa, kusalo amaggassa, maggaṃ puṭṭho paṭhamaṃ vijahitabbaṃ ācikkhitvā pacchā gahetabbaṃ ācikkhati – ‘‘asukasmiṃ nāma ṭhāne dvedhāpatho hoti, tattha vāmaṃ muñcitvā dakkhiṇaṃ gaṇhathā’’ti, evaṃ sevitabbāsevitabbesu asevitabbaṃ ācikkhitvā sevitabbaṃ ācikkhati. Bhagavā ca maggakusalapurisasadiso. Yathāha –
‘‘ปุริโส มคฺคกุสโลติ โข, ติสฺส, ตถาคตเสฺสตํ อธิวจนํ อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสา’’ติ (สํ. นิ. ๓.๘๔)ฯ
‘‘Puriso maggakusaloti kho, tissa, tathāgatassetaṃ adhivacanaṃ arahato sammāsambuddhassā’’ti (saṃ. ni. 3.84).
โส หิ กุสโล อิมสฺส โลกสฺส, กุสโล ปรสฺส โลกสฺส, กุสโล มจฺจุเธยฺยสฺส, กุสโล อมจฺจุเธยฺยสฺส, กุสโล มารเธยฺยสฺส, กุสโล อมารเธยฺยสฺสาติฯ ตสฺมา ปฐมํ อเสวิตพฺพํ อาจิกฺขิตฺวา เสวิตพฺพํ อาจิกฺขโนฺต อาห – ‘‘อเสวนา จ พาลานํ, ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา’’ติฯ วิชหิตพฺพมโคฺค วิย หิ ปฐมํ พาลา น เสวิตพฺพา น ปยิรุปาสิตพฺพา, ตโต คเหตพฺพมโคฺค วิย ปณฺฑิตา เสวิตพฺพา ปยิรุปาสิตพฺพาติฯ
So hi kusalo imassa lokassa, kusalo parassa lokassa, kusalo maccudheyyassa, kusalo amaccudheyyassa, kusalo māradheyyassa, kusalo amāradheyyassāti. Tasmā paṭhamaṃ asevitabbaṃ ācikkhitvā sevitabbaṃ ācikkhanto āha – ‘‘asevanā ca bālānaṃ, paṇḍitānañca sevanā’’ti. Vijahitabbamaggo viya hi paṭhamaṃ bālā na sevitabbā na payirupāsitabbā, tato gahetabbamaggo viya paṇḍitā sevitabbā payirupāsitabbāti.
กสฺมา ปน ภควตา มงฺคลํ กเถเนฺตน ปฐมํ พาลานํ อเสวนา ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา กถิตาติ? วุจฺจเต – ยสฺมา อิมํ ทิฎฺฐาทีสุ มงฺคลทิฎฺฐิํ พาลเสวนาย เทวมนุสฺสา คณฺหิํสุ, สา จ อมงฺคลํ, ตสฺมา เนสํ ตํ อิธโลกตฺถปรโลกตฺถภญฺชกํ อกลฺยาณมิตฺตสํสคฺคํ ครหเนฺตน อุภยโลกตฺถสาธกญฺจ กลฺยาณมิตฺตสํสคฺคํ ปสํสเนฺตน ภควตา ปฐมํ พาลานํ อเสวนา ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา กถิตาติฯ
Kasmā pana bhagavatā maṅgalaṃ kathentena paṭhamaṃ bālānaṃ asevanā paṇḍitānañca sevanā kathitāti? Vuccate – yasmā imaṃ diṭṭhādīsu maṅgaladiṭṭhiṃ bālasevanāya devamanussā gaṇhiṃsu, sā ca amaṅgalaṃ, tasmā nesaṃ taṃ idhalokatthaparalokatthabhañjakaṃ akalyāṇamittasaṃsaggaṃ garahantena ubhayalokatthasādhakañca kalyāṇamittasaṃsaggaṃ pasaṃsantena bhagavatā paṭhamaṃ bālānaṃ asevanā paṇḍitānañca sevanā kathitāti.
ตตฺถ พาลา นาม เย เกจิ ปาณาติปาตาทิอกุสลกมฺมปถสมนฺนาคตา สตฺตาฯ เต ตีหากาเรหิ ชานิตพฺพาฯ ยถาห – ‘‘ตีณิมานิ, ภิกฺขเว, พาลสฺส พาลลกฺขณานี’’ติ (อ. นิ. ๓.๓; ม. นิ. ๓.๒๔๖) สุตฺตํฯ อปิจ ปูรณกสฺสปาทโย ฉ สตฺถาโร เทวทตฺตโกกาลิกกฎโมทกติสฺสขณฺฑเทวิยาปุตฺตสมุทฺททตฺตจิญฺจมาณวิกาทโย อตีตกาเล จ ทีฆวิทสฺส ภาตาติ อิเม อเญฺญ จ เอวรูปา สตฺตา พาลาติ เวทิตพฺพาฯ
Tattha bālā nāma ye keci pāṇātipātādiakusalakammapathasamannāgatā sattā. Te tīhākārehi jānitabbā. Yathāha – ‘‘tīṇimāni, bhikkhave, bālassa bālalakkhaṇānī’’ti (a. ni. 3.3; ma. ni. 3.246) suttaṃ. Apica pūraṇakassapādayo cha satthāro devadattakokālikakaṭamodakatissakhaṇḍadeviyāputtasamuddadattaciñcamāṇavikādayo atītakāle ca dīghavidassa bhātāti ime aññe ca evarūpā sattā bālāti veditabbā.
เต อคฺคิปทิตฺตมิว องฺคารํ อตฺตนา ทุคฺคหิเตน อตฺตานญฺจ อตฺตโน วจนการเก จ วินาเสนฺติ, ยถา ทีฆวิทสฺส ภาตา จตุพุทฺธนฺตรํ สฎฺฐิโยชนมเตฺตน อตฺตภาเวน อุตฺตาโน ปติโต มหานิรเย ปจฺจติ, ยถา จ ตสฺส ทิฎฺฐิํ อภิรุจิกานิ ปญฺจ กุลสตานิ ตเสฺสว สหพฺยตํ อุปปนฺนานิ นิรเย ปจฺจนฺติฯ วุตฺตํ เหตํ –
Te aggipadittamiva aṅgāraṃ attanā duggahitena attānañca attano vacanakārake ca vināsenti, yathā dīghavidassa bhātā catubuddhantaraṃ saṭṭhiyojanamattena attabhāvena uttāno patito mahāniraye paccati, yathā ca tassa diṭṭhiṃ abhirucikāni pañca kulasatāni tasseva sahabyataṃ upapannāni niraye paccanti. Vuttaṃ hetaṃ –
‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, นฬาคารา วา ติณาคารา วา อคฺคิ มุโตฺต กูฎาคารานิปิ ฑหติ อุลฺลิตฺตาวลิตฺตานิ นิวาตานิ ผุสิตคฺคฬานิ ปิหิตวาตปานานิ, เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ยานิ กานิจิ ภยานิ อุปฺปชฺชนฺติ, สพฺพานิ ตานิ พาลโต อุปฺปชฺชนฺติ, โน ปณฺฑิตโตฯ เย เกจิ อุปทฺทวา อุปฺปชฺชนฺติ…เป.… เย เกจิ อุปสคฺคา…เป.… โน ปณฺฑิตโตฯ อิติ โข, ภิกฺขเว, สปฺปฎิภโย พาโล, อปฺปฎิภโย ปณฺฑิโตฯ สอุปทฺทโว พาโล, อนุปทฺทโว ปณฺฑิโต, สอุปสโคฺค พาโล, อนุปสโคฺค ปณฺฑิโต’’ติ (อ. นิ. ๓.๑)ฯ
‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, naḷāgārā vā tiṇāgārā vā aggi mutto kūṭāgārānipi ḍahati ullittāvalittāni nivātāni phusitaggaḷāni pihitavātapānāni, evameva kho, bhikkhave, yāni kānici bhayāni uppajjanti, sabbāni tāni bālato uppajjanti, no paṇḍitato. Ye keci upaddavā uppajjanti…pe… ye keci upasaggā…pe… no paṇḍitato. Iti kho, bhikkhave, sappaṭibhayo bālo, appaṭibhayo paṇḍito. Saupaddavo bālo, anupaddavo paṇḍito, saupasaggo bālo, anupasaggo paṇḍito’’ti (a. ni. 3.1).
อปิจ ปูติมจฺฉสทิโส พาโล, ปูติมจฺฉพนฺธปตฺตปุฎสทิโส โหติ ตทุปเสวี, ฉฑฺฑนียตํ ชิคุจฺฉนียตญฺจ อาปชฺชติ วิญฺญูนํฯ วุตฺตเญฺจตํ –
Apica pūtimacchasadiso bālo, pūtimacchabandhapattapuṭasadiso hoti tadupasevī, chaḍḍanīyataṃ jigucchanīyatañca āpajjati viññūnaṃ. Vuttañcetaṃ –
‘‘ปูติมจฺฉํ กุสเคฺคน, โย นโร อุปนยฺหติ;
‘‘Pūtimacchaṃ kusaggena, yo naro upanayhati;
กุสาปิ ปูตี วายนฺติ, เอวํ พาลูปเสวนา’’ติฯ (อิติวุ. ๗๖; ชา. ๑.๑๕.๑๘๓; ๒.๒๒.๑๒๕๗);
Kusāpi pūtī vāyanti, evaṃ bālūpasevanā’’ti. (itivu. 76; jā. 1.15.183; 2.22.1257);
อกิตฺติปณฺฑิโต จาปิ สเกฺกน เทวานมิเนฺทน วเร ทิยฺยมาเน เอวมาห –
Akittipaṇḍito cāpi sakkena devānamindena vare diyyamāne evamāha –
‘‘พาลํ น ปเสฺส น สุเณ, น จ พาเลน สํวเส;
‘‘Bālaṃ na passe na suṇe, na ca bālena saṃvase;
พาเลนลฺลาปสลฺลาปํ, น กเร น จ โรจเยฯ
Bālenallāpasallāpaṃ, na kare na ca rocaye.
‘‘กินฺนุ เต อกรํ พาโล, วท กสฺสป การณํ;
‘‘Kinnu te akaraṃ bālo, vada kassapa kāraṇaṃ;
เกน กสฺสป พาลสฺส, ทสฺสนํ นาภิกงฺขสิฯ
Kena kassapa bālassa, dassanaṃ nābhikaṅkhasi.
‘‘อนยํ นยติ ทุเมฺมโธ, อธุรายํ นิยุญฺชติ;
‘‘Anayaṃ nayati dummedho, adhurāyaṃ niyuñjati;
ทุนฺนโย เสยฺยโส โหติ, สมฺมา วุโตฺต ปกุปฺปติ;
Dunnayo seyyaso hoti, sammā vutto pakuppati;
วินยํ โส น ชานาติ, สาธุ ตสฺส อทสฺสน’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๓.๙๐-๙๒);
Vinayaṃ so na jānāti, sādhu tassa adassana’’nti. (jā. 1.13.90-92);
เอวํ ภควา สพฺพากาเรน พาลูปเสวนํ ครหโนฺต พาลานํ อเสวนํ ‘‘มงฺคล’’นฺติ วตฺวา อิทานิ ปณฺฑิตเสวนํ ปสํสโนฺต ‘‘ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา มงฺคล’’นฺติ อาหฯ ตตฺถ ปณฺฑิตา นาม เย เกจิ ปาณาติปาตาเวรมณิอาทิทสกุสลกมฺมปถสมนฺนาคตา สตฺตา, เต ตีหากาเรหิ ชานิตพฺพาฯ ยถาห – ‘‘ตีณิมานิ, ภิกฺขเว, ปณฺฑิตสฺส ปณฺฑิตลกฺขณานี’’ติ (อ. นิ. ๓.๓; ม. นิ. ๓.๒๕๓) วุตฺตํฯ อปิจ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธอสีติมหาสาวกา อเญฺญ จ ตถาคตสฺส สาวกา สุเนตฺตมหาโควินฺทวิธุรสรภงฺคมโหสธสุตโสมนิมิราช- อโยฆรกุมารอกิตฺติปณฺฑิตาทโย จ ปณฺฑิตาติ เวทิตพฺพาฯ
Evaṃ bhagavā sabbākārena bālūpasevanaṃ garahanto bālānaṃ asevanaṃ ‘‘maṅgala’’nti vatvā idāni paṇḍitasevanaṃ pasaṃsanto ‘‘paṇḍitānañca sevanā maṅgala’’nti āha. Tattha paṇḍitā nāma ye keci pāṇātipātāveramaṇiādidasakusalakammapathasamannāgatā sattā, te tīhākārehi jānitabbā. Yathāha – ‘‘tīṇimāni, bhikkhave, paṇḍitassa paṇḍitalakkhaṇānī’’ti (a. ni. 3.3; ma. ni. 3.253) vuttaṃ. Apica buddhapaccekabuddhaasītimahāsāvakā aññe ca tathāgatassa sāvakā sunettamahāgovindavidhurasarabhaṅgamahosadhasutasomanimirāja- ayogharakumāraakittipaṇḍitādayo ca paṇḍitāti veditabbā.
เต ภเย วิย รกฺขา, อนฺธกาเร วิย ปทีโป, ขุปฺปิปาสาทิทุกฺขาภิภเว วิย อนฺนปานาทิปฎิลาโภ, อตฺตโน วจนกรานํ สพฺพภยอุปทฺทวูปสคฺควิทฺธํสนสมตฺถา โหนฺติฯ ตถา หิ ตถาคตํ อาคมฺม อสเงฺขฺยยฺยา อปริมาณา เทวมนุสฺสา อาสวกฺขยํ ปตฺตา, พฺรหฺมโลเก ปติฎฺฐิตา, เทวโลเก ปติฎฺฐิตา, สุคติโลเก อุปฺปนฺนาฯ สาริปุตฺตเตฺถเร จิตฺตํ ปสาเทตฺวา จตูหิ ปจฺจเยหิ เถรํ อุปฎฺฐหิตฺวา อสีติ กุลสหสฺสานิ สเคฺค นิพฺพตฺตานิฯ ตถา มหาโมคฺคลฺลานมหากสฺสปปฺปภุตีสุ สพฺพมหาสาวเกสุ, สุเนตฺตสฺส สตฺถุโน สาวกา อเปฺปกเจฺจ พฺรหฺมโลเก อุปฺปชฺชิํสุ, อเปฺปกเจฺจ ปรนิมฺมิตวสวตฺตีนํ เทวานํ สหพฺยตํ…เป.… อเปฺปกเจฺจ คหปติมหาสาลกุลานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชิํสุฯ วุตฺตเญฺจตํ –
Te bhaye viya rakkhā, andhakāre viya padīpo, khuppipāsādidukkhābhibhave viya annapānādipaṭilābho, attano vacanakarānaṃ sabbabhayaupaddavūpasaggaviddhaṃsanasamatthā honti. Tathā hi tathāgataṃ āgamma asaṅkhyeyyā aparimāṇā devamanussā āsavakkhayaṃ pattā, brahmaloke patiṭṭhitā, devaloke patiṭṭhitā, sugatiloke uppannā. Sāriputtatthere cittaṃ pasādetvā catūhi paccayehi theraṃ upaṭṭhahitvā asīti kulasahassāni sagge nibbattāni. Tathā mahāmoggallānamahākassapappabhutīsu sabbamahāsāvakesu, sunettassa satthuno sāvakā appekacce brahmaloke uppajjiṃsu, appekacce paranimmitavasavattīnaṃ devānaṃ sahabyataṃ…pe… appekacce gahapatimahāsālakulānaṃ sahabyataṃ upapajjiṃsu. Vuttañcetaṃ –
‘‘นตฺถิ, ภิกฺขเว, ปณฺฑิตโต ภยํ, นตฺถิ ปณฺฑิตโต อุปทฺทโว, นตฺถิ ปณฺฑิตโต อุปสโคฺค’’ติ (อ. นิ. ๓.๑)ฯ
‘‘Natthi, bhikkhave, paṇḍitato bhayaṃ, natthi paṇḍitato upaddavo, natthi paṇḍitato upasaggo’’ti (a. ni. 3.1).
อปิจ ตครมาลาทิคนฺธภณฺฑสทิโส ปณฺฑิโต, ตครมาลาทิคนฺธภณฺฑปลิเวฐนปตฺตสทิโส โหติ ตทุปเสวี, ภาวนียตํ มนุญฺญตญฺจ อาปชฺชติ วิญฺญูนํฯ วุตฺตเญฺจตํ –
Apica tagaramālādigandhabhaṇḍasadiso paṇḍito, tagaramālādigandhabhaṇḍapaliveṭhanapattasadiso hoti tadupasevī, bhāvanīyataṃ manuññatañca āpajjati viññūnaṃ. Vuttañcetaṃ –
‘‘ตครญฺจ ปลาเสน, โย นโร อุปนยฺหติ;
‘‘Tagarañca palāsena, yo naro upanayhati;
ปตฺตาปิ สุรภี วายนฺติ, เอวํ ธีรูปเสวนา’’ติฯ (อิติวุ. ๗๖; ชา. ๑.๑๕.๑๘๔; ๒.๒๒.๑๒๕๘);
Pattāpi surabhī vāyanti, evaṃ dhīrūpasevanā’’ti. (itivu. 76; jā. 1.15.184; 2.22.1258);
อกิตฺติปณฺฑิโต จาปิ สเกฺกน เทวานมิเนฺทน วเร ทิยฺยมาเน เอวมาห –
Akittipaṇḍito cāpi sakkena devānamindena vare diyyamāne evamāha –
‘‘ธีรํ ปเสฺส สุเณ ธีรํ, ธีเรน สห สํวเส;
‘‘Dhīraṃ passe suṇe dhīraṃ, dhīrena saha saṃvase;
ธีเรนลฺลาปสลฺลาปํ, ตํ กเร ตญฺจ โรจเยฯ
Dhīrenallāpasallāpaṃ, taṃ kare tañca rocaye.
‘‘กินฺนุ เต อกรํ ธีโร, วท กสฺสป การณํ;
‘‘Kinnu te akaraṃ dhīro, vada kassapa kāraṇaṃ;
เกน กสฺสป ธีรสฺส, ทสฺสนํ อภิกงฺขสิฯ
Kena kassapa dhīrassa, dassanaṃ abhikaṅkhasi.
‘‘นยํ นยติ เมธาวี, อธุรายํ น ยุญฺชติ;
‘‘Nayaṃ nayati medhāvī, adhurāyaṃ na yuñjati;
สุนโย เสยฺยโส โหติ, สมฺมา วุโตฺต น กุปฺปติ;
Sunayo seyyaso hoti, sammā vutto na kuppati;
วินยํ โส ปชานาติ, สาธุ เตน สมาคโม’’ติฯ (ชา. ๑.๑๓.๙๔-๙๖);
Vinayaṃ so pajānāti, sādhu tena samāgamo’’ti. (jā. 1.13.94-96);
เอวํ ภควา สพฺพากาเรน ปณฺฑิตเสวนํ ปสํสโนฺต, ปณฺฑิตานํ เสวนํ ‘‘มงฺคล’’นฺติ วตฺวา อิทานิ ตาย พาลานํ อเสวนาย ปณฺฑิตานํ เสวนาย จ อนุปุเพฺพน ปูชเนยฺยภาวํ อุปคตานํ ปูชํ ปสํสโนฺต ‘‘ปูชา จ ปูชเนยฺยานํ เอตํ มงฺคลมุตฺตม’’นฺติ อาหฯ ตตฺถ ปูชเนยฺยา นาม สพฺพโทสวิรหิตตฺตา สพฺพคุณสมนฺนาคตตฺตา จ พุทฺธา ภควโนฺต, ตโต ปจฺฉา ปเจฺจกพุทฺธา อริยสาวกา จฯ เตสญฺหิ ปูชา อปฺปกาปิ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย โหติ, สุมนมาลาการมลฺลิกาทโย เจตฺถ นิทสฺสนํฯ
Evaṃ bhagavā sabbākārena paṇḍitasevanaṃ pasaṃsanto, paṇḍitānaṃ sevanaṃ ‘‘maṅgala’’nti vatvā idāni tāya bālānaṃ asevanāya paṇḍitānaṃ sevanāya ca anupubbena pūjaneyyabhāvaṃ upagatānaṃ pūjaṃ pasaṃsanto ‘‘pūjā ca pūjaneyyānaṃ etaṃ maṅgalamuttama’’nti āha. Tattha pūjaneyyā nāma sabbadosavirahitattā sabbaguṇasamannāgatattā ca buddhā bhagavanto, tato pacchā paccekabuddhā ariyasāvakā ca. Tesañhi pūjā appakāpi dīgharattaṃ hitāya sukhāya hoti, sumanamālākāramallikādayo cettha nidassanaṃ.
ตเตฺถกํ นิทสฺสนมตฺตํ ภณามฯ ภควา กิร เอกทิวสํ ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ราชคหํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อถ โข สุมนมาลากาโร รโญฺญ มาคธสฺส เสนิยสฺส พิมฺพิสารสฺส ปุปฺผานิ คเหตฺวา คจฺฉโนฺต อทฺทส ภควนฺตํ นครทฺวารํ อนุปฺปตฺตํ ปาสาทิกํ ปสาทนียํ ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณาสีตานุพฺยญฺชนปฎิมณฺฑิตํ พุทฺธสิริยา ชลนฺตํฯ ทิสฺวานสฺส เอตทโหสิ – ‘‘ราชา ปุปฺผานิ คเหตฺวา สตํ วา สหสฺสํ วา ทเทยฺย, ตญฺจ อิธโลกมตฺตเมว สุขํ ภเวยฺย, ภควโต ปน ปูชา อปฺปเมยฺยอสเงฺขฺยยฺยผลา ทีฆรตฺตํ หิตสุขาวหา โหติฯ หนฺทาหํ อิเมหิ ปุเปฺผหิ ภควนฺตํ ปูเชมี’’ติ ปสนฺนจิโตฺต เอกํ ปุปฺผมุฎฺฐิํ คเหตฺวา ภควโต ปฎิมุขํ ขิปิ, ปุปฺผานิ อากาเสน คนฺตฺวา ภควโต อุปริ มาลาวิตานํ หุตฺวา อฎฺฐํสุฯ มาลากาโร ตํ อานุภาวํ ทิสฺวา ปสนฺนตรจิโตฺต ปุน เอกํ ปุปฺผมุฎฺฐิํ ขิปิ, ตานิ คนฺตฺวา มาลากญฺจุโก หุตฺวา อฎฺฐํสุฯ เอวํ อฎฺฐ ปุปฺผมุฎฺฐิโย ขิปิ, ตานิ คนฺตฺวา ปุปฺผกูฎาคารํ หุตฺวา อฎฺฐํสุฯ ภควา อโนฺตกูฎาคาเร วิย อโหสิ, มหาชนกาโย สนฺนิปติฯ ภควา มาลาการํ ปสฺสโนฺต สิตํ ปาตฺวากาสิฯ อานนฺทเตฺถโร ‘‘น พุทฺธา อเหตุ อปฺปจฺจยา สิตํ ปาตุกโรนฺตี’’ติ สิตการณํ ปุจฺฉิฯ ภควา อาห – ‘‘เอโส, อานนฺท, มาลากาโร อิมิสฺสา ปูชาย อานุภาเวน สตสหสฺสกเปฺป เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สํสริตฺวา ปริโยสาเน สุมนิสฺสโร นาม ปเจฺจกพุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติฯ วจนปริโยสาเน จ ธมฺมเทสนตฺถํ อิมํ คาถํ อภาสิ –
Tatthekaṃ nidassanamattaṃ bhaṇāma. Bhagavā kira ekadivasaṃ pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya rājagahaṃ piṇḍāya pāvisi. Atha kho sumanamālākāro rañño māgadhassa seniyassa bimbisārassa pupphāni gahetvā gacchanto addasa bhagavantaṃ nagaradvāraṃ anuppattaṃ pāsādikaṃ pasādanīyaṃ dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇāsītānubyañjanapaṭimaṇḍitaṃ buddhasiriyā jalantaṃ. Disvānassa etadahosi – ‘‘rājā pupphāni gahetvā sataṃ vā sahassaṃ vā dadeyya, tañca idhalokamattameva sukhaṃ bhaveyya, bhagavato pana pūjā appameyyaasaṅkhyeyyaphalā dīgharattaṃ hitasukhāvahā hoti. Handāhaṃ imehi pupphehi bhagavantaṃ pūjemī’’ti pasannacitto ekaṃ pupphamuṭṭhiṃ gahetvā bhagavato paṭimukhaṃ khipi, pupphāni ākāsena gantvā bhagavato upari mālāvitānaṃ hutvā aṭṭhaṃsu. Mālākāro taṃ ānubhāvaṃ disvā pasannataracitto puna ekaṃ pupphamuṭṭhiṃ khipi, tāni gantvā mālākañcuko hutvā aṭṭhaṃsu. Evaṃ aṭṭha pupphamuṭṭhiyo khipi, tāni gantvā pupphakūṭāgāraṃ hutvā aṭṭhaṃsu. Bhagavā antokūṭāgāre viya ahosi, mahājanakāyo sannipati. Bhagavā mālākāraṃ passanto sitaṃ pātvākāsi. Ānandatthero ‘‘na buddhā ahetu appaccayā sitaṃ pātukarontī’’ti sitakāraṇaṃ pucchi. Bhagavā āha – ‘‘eso, ānanda, mālākāro imissā pūjāya ānubhāvena satasahassakappe devesu ca manussesu ca saṃsaritvā pariyosāne sumanissaro nāma paccekabuddho bhavissatī’’ti. Vacanapariyosāne ca dhammadesanatthaṃ imaṃ gāthaṃ abhāsi –
‘‘ตญฺจ กมฺมํ กตํ สาธุ, ยํ กตฺวา นานุตปฺปติ;
‘‘Tañca kammaṃ kataṃ sādhu, yaṃ katvā nānutappati;
ยสฺส ปตีโต สุมโน, วิปากํ ปฎิเสวตี’’ติฯ (ธ. ป. ๖๘);
Yassa patīto sumano, vipākaṃ paṭisevatī’’ti. (dha. pa. 68);
คาถาปริโยสาเน จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิ, เอวํ อปฺปกาปิ เตสํ ปูชา ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย โหตีติ เวทิตพฺพาฯ สา จ อามิสปูชาว โก ปน วาโท ปฎิปตฺติปูชายฯ ยโต เย กุลปุตฺตา สรณคมเนน สิกฺขาปทปฎิคฺคหเณน อุโปสถงฺคสมาทาเนน จตุปาริสุทฺธิสีลาทีหิ จ อตฺตโน คุเณหิ ภควนฺตํ ปูเชนฺติ, โก เตสํ ปูชาย ผลํ วณฺณยิสฺสติฯ เต หิ ตถาคตํ ปรมาย ปูชาย ปูเชนฺตีติ วุตฺตาฯ ยถาห –
Gāthāpariyosāne caturāsītiyā pāṇasahassānaṃ dhammābhisamayo ahosi, evaṃ appakāpi tesaṃ pūjā dīgharattaṃ hitāya sukhāya hotīti veditabbā. Sā ca āmisapūjāva ko pana vādo paṭipattipūjāya. Yato ye kulaputtā saraṇagamanena sikkhāpadapaṭiggahaṇena uposathaṅgasamādānena catupārisuddhisīlādīhi ca attano guṇehi bhagavantaṃ pūjenti, ko tesaṃ pūjāya phalaṃ vaṇṇayissati. Te hi tathāgataṃ paramāya pūjāya pūjentīti vuttā. Yathāha –
‘‘โย โข, อานนฺท, ภิกฺขุ วา ภิกฺขุนี วา อุปาสโก วา อุปาสิกา วา ธมฺมานุธมฺมปฎิปโนฺน วิหรติ สามีจิปฺปฎิปโนฺน อนุธมฺมจารี, โส ตถาคตํ สกฺกโรติ ครุํ กโรติ มาเนติ ปูเชติ อปจิยติ ปรมาย ปูชายา’’ติฯ
‘‘Yo kho, ānanda, bhikkhu vā bhikkhunī vā upāsako vā upāsikā vā dhammānudhammapaṭipanno viharati sāmīcippaṭipanno anudhammacārī, so tathāgataṃ sakkaroti garuṃ karoti māneti pūjeti apaciyati paramāya pūjāyā’’ti.
เอเตนานุสาเรน ปเจฺจกพุทฺธอริยสาวกานมฺปิ ปูชาย หิตสุขาวหตา เวทิตพฺพาฯ
Etenānusārena paccekabuddhaariyasāvakānampi pūjāya hitasukhāvahatā veditabbā.
อปิจ คหฎฺฐานํ กนิฎฺฐสฺส เชโฎฺฐ ภาตาปิ ภคินีปิ ปูชเนยฺยา, ปุตฺตสฺส มาตาปิตโร, กุลวธูนํ สามิกสสฺสุสสุราติ เอวเมฺปตฺถ ปูชเนยฺยา เวทิตพฺพาฯ เอเตสมฺปิ หิ ปูชา กุสลธมฺมสงฺขาตตฺตา อายุอาทิวฑฺฒิเหตุตฺตา จ มงฺคลเมวฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Apica gahaṭṭhānaṃ kaniṭṭhassa jeṭṭho bhātāpi bhaginīpi pūjaneyyā, puttassa mātāpitaro, kulavadhūnaṃ sāmikasassusasurāti evampettha pūjaneyyā veditabbā. Etesampi hi pūjā kusaladhammasaṅkhātattā āyuādivaḍḍhihetuttā ca maṅgalameva. Vuttañhetaṃ –
‘‘เต มเตฺตยฺยา ภวิสฺสนฺติ เปเตฺตยฺยา สามญฺญา พฺรหฺมญฺญา กุเล เชฎฺฐาปจายิโน, อิทํ กุสลํ ธมฺมํ สมาทาย วตฺติสฺสนฺติฯ เต เตสํ กุสลานํ ธมฺมานํ สมาทานเหตุ อายุนาปิ วฑฺฒิสฺสนฺติ, วเณฺณนปิ วฑฺฒิสฺสนฺตี’’ติอาทิฯ
‘‘Te matteyyā bhavissanti petteyyā sāmaññā brahmaññā kule jeṭṭhāpacāyino, idaṃ kusalaṃ dhammaṃ samādāya vattissanti. Te tesaṃ kusalānaṃ dhammānaṃ samādānahetu āyunāpi vaḍḍhissanti, vaṇṇenapi vaḍḍhissantī’’tiādi.
เอวเมติสฺสา คาถาย พาลานํ อเสวนา ปณฺฑิตานํ เสวนา ปูชเนยฺยานํ ปูชาติ ตีณิ มงฺคลานิ วุตฺตานิฯ ตตฺถ พาลานํ อเสวนา พาลเสวนปจฺจยภยาทิปริตฺตาเณน อุภยโลกหิตเหตุตฺตา ปณฺฑิตานํ เสวนา ปูชเนยฺยานํ ปูชา จ ตาสํ ผลวิภูติวณฺณนายํ วุตฺตนเยเนว นิพฺพานสุคติเหตุตฺตา ‘‘มงฺคล’’นฺติ เวทิตพฺพาฯ อิโต ปรํ ตุ มาติกํ อทเสฺสตฺวา เอว ยํ ยตฺถ มงฺคลํ, ตํ ววตฺถเปสฺสาม, ตสฺส จ มงฺคลตฺตํ วิภาวยิสฺสามาติฯ
Evametissā gāthāya bālānaṃ asevanā paṇḍitānaṃ sevanā pūjaneyyānaṃ pūjāti tīṇi maṅgalāni vuttāni. Tattha bālānaṃ asevanā bālasevanapaccayabhayādiparittāṇena ubhayalokahitahetuttā paṇḍitānaṃ sevanā pūjaneyyānaṃ pūjā ca tāsaṃ phalavibhūtivaṇṇanāyaṃ vuttanayeneva nibbānasugatihetuttā ‘‘maṅgala’’nti veditabbā. Ito paraṃ tu mātikaṃ adassetvā eva yaṃ yattha maṅgalaṃ, taṃ vavatthapessāma, tassa ca maṅgalattaṃ vibhāvayissāmāti.
นิฎฺฐิตา อเสวนา จ พาลานนฺติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā asevanā ca bālānanti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
๒๖๓. เอวํ ภควา ‘‘พฺรูหิ มงฺคลมุตฺตม’’นฺติ เอกํ อเชฺฌสิโตปิ อปฺปํ ยาจิโต พหุทายโก อุฬารปุริโส วิย เอกาย คาถาย ตีณิ มงฺคลานิ วตฺวา ตโต อุตฺตริปิ เทวตานํ โสตุกามตาย มงฺคลานญฺจ อตฺถิตาย เยสํ เยสํ ยํ ยํ อนุกูลํ, เต เต สเตฺต ตตฺถ ตตฺถ มงฺคเล นิโยเชตุกามตาย จ ‘‘ปติรูปเทสวาโส จา’’ติอาทีหิ คาถาหิ ปุนปิ อเนกานิ มงฺคลานิ วตฺตุมารโทฺธฯ
263. Evaṃ bhagavā ‘‘brūhi maṅgalamuttama’’nti ekaṃ ajjhesitopi appaṃ yācito bahudāyako uḷārapuriso viya ekāya gāthāya tīṇi maṅgalāni vatvā tato uttaripi devatānaṃ sotukāmatāya maṅgalānañca atthitāya yesaṃ yesaṃ yaṃ yaṃ anukūlaṃ, te te satte tattha tattha maṅgale niyojetukāmatāya ca ‘‘patirūpadesavāso cā’’tiādīhi gāthāhi punapi anekāni maṅgalāni vattumāraddho.
ตตฺถ ปฐมคาถาย ตาว ปติรูโปติ อนุจฺฉวิโกฯ เทโสติ คาโมปิ นิคโมปิ นครมฺปิ ชนปโทปิ โย โกจิ สตฺตานํ นิวาโสกาโสฯ วาโสติ ตตฺถ นิวาโสฯ ปุเพฺพติ ปุรา อตีตาสุ ชาตีสุฯ กตปุญฺญตาติ อุปจิตกุสลตาฯ อตฺตาติ จิตฺตํ วุจฺจติ, สกโล วา อตฺตภาโวฯ สมฺมาปณิธีติ ตสฺส อตฺตโน สมฺมา ปณิธานํ นิยุญฺชนํ, ฐปนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติ อยเมตฺถ ปทวณฺณนาฯ
Tattha paṭhamagāthāya tāva patirūpoti anucchaviko. Desoti gāmopi nigamopi nagarampi janapadopi yo koci sattānaṃ nivāsokāso. Vāsoti tattha nivāso. Pubbeti purā atītāsu jātīsu. Katapuññatāti upacitakusalatā. Attāti cittaṃ vuccati, sakalo vā attabhāvo. Sammāpaṇidhīti tassa attano sammā paṇidhānaṃ niyuñjanaṃ, ṭhapananti vuttaṃ hoti. Sesaṃ vuttanayamevāti ayamettha padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปน เอวํ เวทิตพฺพา ปติรูปเทโส นาม ยตฺถ จตโสฺส ปริสา วิหรนฺติ, ทานาทีนิ ปุญฺญกิริยาวตฺถูนิ วตฺตนฺติ, นวงฺคํ สตฺถุ สาสนํ ทิปฺปติฯ ตตฺถ นิวาโส สตฺตานํ ปุญฺญกิริยาย ปจฺจยตฺตา ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุจฺจติฯ สีหฬทีปปวิฎฺฐเกวฎฺฎาทโย เจตฺถ นิทสฺสนํฯ
Atthavaṇṇanā pana evaṃ veditabbā patirūpadeso nāma yattha catasso parisā viharanti, dānādīni puññakiriyāvatthūni vattanti, navaṅgaṃ satthu sāsanaṃ dippati. Tattha nivāso sattānaṃ puññakiriyāya paccayattā ‘‘maṅgala’’nti vuccati. Sīhaḷadīpapaviṭṭhakevaṭṭādayo cettha nidassanaṃ.
อปโร นโย – ปติรูปเทโส นาม ภควโต โพธิมณฺฑปฺปเทโส, ธมฺมจกฺกปฺปวตฺติตปฺปเทโส, ทฺวาทสโยชนาย ปริสาย มเชฺฌ สพฺพติตฺถิยมตํ ภินฺทิตฺวา ยมกปาฎิหาริยทสฺสิตกณฺฑมฺพรุกฺขมูลปฺปเทโส, เทโวโรหนปฺปเทโส, โย วา ปนโญฺญปิ สาวตฺถิราชคหาทิพุทฺธาทิวาสปฺปเทโสฯ ตตฺถ นิวาโส สตฺตานํ ฉอนุตฺตริยปฎิลาภปจฺจยโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุจฺจติฯ
Aparo nayo – patirūpadeso nāma bhagavato bodhimaṇḍappadeso, dhammacakkappavattitappadeso, dvādasayojanāya parisāya majjhe sabbatitthiyamataṃ bhinditvā yamakapāṭihāriyadassitakaṇḍambarukkhamūlappadeso, devorohanappadeso, yo vā panaññopi sāvatthirājagahādibuddhādivāsappadeso. Tattha nivāso sattānaṃ chaanuttariyapaṭilābhapaccayato ‘‘maṅgala’’nti vuccati.
อปโร นโย – ปุรตฺถิมาย ทิสาย กชงฺคลํ นาม นิคโม, ตสฺส อปเรน มหาสาลา, ตโต ปรํ ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ ทกฺขิณปุรตฺถิมาย ทิสาย สลฺลวตี นาม นที, ตโต ปรํ ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ ทกฺขิณาย ทิสาย เสตกณฺณิกํ นาม นิคโม, ตโต ปรํ ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ ปจฺฉิมาย ทิสาย ถูณํ นาม พฺราหฺมณคาโม, ตโต ปรํ ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ อุตฺตราย ทิสาย อุสิรทฺธโช นาม ปพฺพโต, ตโต ปรํ ปจฺจนฺติมา ชนปทา , โอรโต มเชฺฌ (มหาว. ๒๕๙)ฯ อยํ มชฺฌิมปฺปเทโส อายาเมน ตีณิ โยชนสตานิ, วิตฺถาเรน อฑฺฒเตยฺยานิ, ปริเกฺขเปน นวโยชนสตานิ โหนฺติ, เอโส ปติรูปเทโส นามฯ
Aparo nayo – puratthimāya disāya kajaṅgalaṃ nāma nigamo, tassa aparena mahāsālā, tato paraṃ paccantimā janapadā, orato majjhe. Dakkhiṇapuratthimāya disāya sallavatī nāma nadī, tato paraṃ paccantimā janapadā, orato majjhe. Dakkhiṇāya disāya setakaṇṇikaṃ nāma nigamo, tato paraṃ paccantimā janapadā, orato majjhe. Pacchimāya disāya thūṇaṃ nāma brāhmaṇagāmo, tato paraṃ paccantimā janapadā, orato majjhe. Uttarāya disāya usiraddhajo nāma pabbato, tato paraṃ paccantimā janapadā , orato majjhe (mahāva. 259). Ayaṃ majjhimappadeso āyāmena tīṇi yojanasatāni, vitthārena aḍḍhateyyāni, parikkhepena navayojanasatāni honti, eso patirūpadeso nāma.
เอตฺถ จตุนฺนํ มหาทีปานํ ทฺวิสหสฺสานํ ปริตฺตทีปานญฺจ อิสฺสริยาธิปจฺจการกา จกฺกวตฺตี อุปฺปชฺชนฺติ, เอกํ อสเงฺขฺยยฺยํ กปฺปสตสหสฺสญฺจ ปารมิโย ปูเรตฺวา สาริปุตฺตมหาโมคฺคลฺลานาทโย มหาสาวกา อุปฺปชฺชนฺติ, เทฺว อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ ปารมิโย ปูเรตฺวา ปเจฺจกพุทฺธา, จตฺตาริ อฎฺฐ โสฬส วา อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ ปารมิโย ปูเรตฺวา สมฺมาสมฺพุทฺธา จ อุปฺปชฺชนฺติฯ ตตฺถ สตฺตา จกฺกวตฺติรโญฺญ โอวาทํ คเหตฺวา ปญฺจสุ สีเลสุ ปติฎฺฐาย สคฺคปรายณา โหนฺติ, ตถา ปเจฺจกพุทฺธานํ โอวาเท ปติฎฺฐายฯ สมฺมาสมฺพุทฺธสาวกานํ ปน โอวาเท ปติฎฺฐาย สคฺคปรายณา นิพฺพานปรายณา จ โหนฺติฯ ตสฺมา ตตฺถ วาโส อิมาสํ สมฺปตฺตีนํ ปจฺจยโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุจฺจติฯ
Ettha catunnaṃ mahādīpānaṃ dvisahassānaṃ parittadīpānañca issariyādhipaccakārakā cakkavattī uppajjanti, ekaṃ asaṅkhyeyyaṃ kappasatasahassañca pāramiyo pūretvā sāriputtamahāmoggallānādayo mahāsāvakā uppajjanti, dve asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca pāramiyo pūretvā paccekabuddhā, cattāri aṭṭha soḷasa vā asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca pāramiyo pūretvā sammāsambuddhā ca uppajjanti. Tattha sattā cakkavattirañño ovādaṃ gahetvā pañcasu sīlesu patiṭṭhāya saggaparāyaṇā honti, tathā paccekabuddhānaṃ ovāde patiṭṭhāya. Sammāsambuddhasāvakānaṃ pana ovāde patiṭṭhāya saggaparāyaṇā nibbānaparāyaṇā ca honti. Tasmā tattha vāso imāsaṃ sampattīnaṃ paccayato ‘‘maṅgala’’nti vuccati.
ปุเพฺพ กตปุญฺญตา นาม อตีตชาติยํ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธขีณาสเว อารพฺภ อุปจิตกุสลตา, สาปิ มงฺคลํฯ กสฺมา? พุทฺธปเจฺจกพุเทฺธ สมฺมุขโต ทเสฺสตฺวา พุทฺธานํ วา พุทฺธสาวกานํ วา สมฺมุขา สุตาย จตุปฺปทิกายปิ คาถาย ปริโยสาเน อรหตฺตํ ปาเปตีติ กตฺวาฯ โย จ มนุโสฺส ปุเพฺพ กตาธิกาโร อุสฺสนฺนกุสลมูโล โหติ, โส เตเนว กุสลมูเลน วิปสฺสนํ อุปฺปาเทตฺวา อาสวกฺขยํ ปาปุณาติ ยถา ราชา มหากปฺปิโน อคฺคมเหสี จฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปุเพฺพ จ กตปุญฺญตา มงฺคล’’นฺติฯ
Pubbe katapuññatā nāma atītajātiyaṃ buddhapaccekabuddhakhīṇāsave ārabbha upacitakusalatā, sāpi maṅgalaṃ. Kasmā? Buddhapaccekabuddhe sammukhato dassetvā buddhānaṃ vā buddhasāvakānaṃ vā sammukhā sutāya catuppadikāyapi gāthāya pariyosāne arahattaṃ pāpetīti katvā. Yo ca manusso pubbe katādhikāro ussannakusalamūlo hoti, so teneva kusalamūlena vipassanaṃ uppādetvā āsavakkhayaṃ pāpuṇāti yathā rājā mahākappino aggamahesī ca. Tena vuttaṃ ‘‘pubbe ca katapuññatā maṅgala’’nti.
อตฺตสมฺมาปณิธิ นาม อิเธกโจฺจ อตฺตานํ ทุสฺสีลํ สีเล ปติฎฺฐาเปติ, อสฺสทฺธํ สทฺธาสมฺปทาย ปติฎฺฐาเปติ, มจฺฉริํ จาคสมฺปทาย ปติฎฺฐาเปติฯ อยํ วุจฺจติ ‘‘อตฺตสมฺมาปณิธี’’ติฯ เอโส จ มงฺคลํฯ กสฺมา? ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกเวรปฺปหานวิวิธานิสํสาธิคมเหตุโตติฯ
Attasammāpaṇidhi nāma idhekacco attānaṃ dussīlaṃ sīle patiṭṭhāpeti, assaddhaṃ saddhāsampadāya patiṭṭhāpeti, macchariṃ cāgasampadāya patiṭṭhāpeti. Ayaṃ vuccati ‘‘attasammāpaṇidhī’’ti. Eso ca maṅgalaṃ. Kasmā? Diṭṭhadhammikasamparāyikaverappahānavividhānisaṃsādhigamahetutoti.
เอวํ อิมิสฺสาปิ คาถาย ปติรูปเทสวาโส, ปุเพฺพ จ กตปุญฺญตา, อตฺตสมฺมาปณิธีติ ตีณิเยว มงฺคลานิ วุตฺตานิ, มงฺคลตฺตญฺจ เนสํ ตตฺถ ตตฺถ วิภาวิตเมวาติฯ
Evaṃ imissāpi gāthāya patirūpadesavāso, pubbe ca katapuññatā, attasammāpaṇidhīti tīṇiyeva maṅgalāni vuttāni, maṅgalattañca nesaṃ tattha tattha vibhāvitamevāti.
นิฎฺฐิตา ปติรูปเทสวาโส จาติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā patirūpadesavāso cāti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
๒๖๔. อิทานิ พาหุสจฺจญฺจาติ เอตฺถ พาหุสจฺจนฺติ พหุสฺสุตภาโวฯ สิปฺปนฺติ ยํกิญฺจิ หตฺถโกสลฺลํฯ วินโยติ กายวาจาจิตฺตวินยนํฯ สุสิกฺขิโตติ สุฎฺฐุ สิกฺขิโตฯ สุภาสิตาติ สุฎฺฐุ ภาสิตาฯ ยาติ อนิยมนิเทฺทโสฯ วาจาติ คิรา พฺยปฺปโถฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ อยเมตฺถ ปทวณฺณนาฯ
264. Idāni bāhusaccañcāti ettha bāhusaccanti bahussutabhāvo. Sippanti yaṃkiñci hatthakosallaṃ. Vinayoti kāyavācācittavinayanaṃ. Susikkhitoti suṭṭhu sikkhito. Subhāsitāti suṭṭhu bhāsitā. Yāti aniyamaniddeso. Vācāti girā byappatho. Sesaṃ vuttanayamevāti. Ayamettha padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปน เอวํ เวทิตพฺพา – พาหุสจฺจํ นาม ยํ ตํ ‘‘สุตธโร โหติ สุตสนฺนิจโย’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๓๙; อ. นิ. ๔.๒๒) จ ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺจสฺส ปุคฺคลสฺส พหุกํ สุตํ โหติ สุตฺตํ เคยฺยํ เวยฺยากรณ’’นฺติ (อ. นิ. ๔.๖) จ เอวมาทินา นเยน สตฺถุสาสนธรตฺตํ วณฺณิตํ, ตํ อกุสลปฺปหานกุสลาธิคมเหตุโต อนุปุเพฺพน ปรมตฺถสจฺจสจฺฉิกิริยเหตุโต จ ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุจฺจติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
Atthavaṇṇanā pana evaṃ veditabbā – bāhusaccaṃ nāma yaṃ taṃ ‘‘sutadharo hoti sutasannicayo’’ti (ma. ni. 1.339; a. ni. 4.22) ca ‘‘idha, bhikkhave, ekaccassa puggalassa bahukaṃ sutaṃ hoti suttaṃ geyyaṃ veyyākaraṇa’’nti (a. ni. 4.6) ca evamādinā nayena satthusāsanadharattaṃ vaṇṇitaṃ, taṃ akusalappahānakusalādhigamahetuto anupubbena paramatthasaccasacchikiriyahetuto ca ‘‘maṅgala’’nti vuccati. Vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘‘สุตวา จ โข, ภิกฺขเว, อริยสาวโก อกุสลํ ปชหติ, กุสลํ ภาเวติ, สาวชฺชํ ปชหติ, อนวชฺชํ ภาเวติ, สุทฺธมตฺตานํ ปริหรตี’’ติ (อ. นิ. ๗.๖๗)ฯ
‘‘Sutavā ca kho, bhikkhave, ariyasāvako akusalaṃ pajahati, kusalaṃ bhāveti, sāvajjaṃ pajahati, anavajjaṃ bhāveti, suddhamattānaṃ pariharatī’’ti (a. ni. 7.67).
อปรมฺปิ วุตฺตํ –
Aparampi vuttaṃ –
‘‘ธตานํ ธมฺมานํ อตฺถมุปปริกฺขติ, อตฺถํ อุปปริกฺขโต ธมฺมา นิชฺฌานํ ขมนฺติ, ธมฺมนิชฺฌานกฺขนฺติยา สติ ฉโนฺท ชายติ, ฉนฺทชาโต อุสฺสหติ, อุสฺสหโนฺต ตุลยติ, ตุลยโนฺต ปทหติ, ปทหโนฺต กาเยน เจว ปรมตฺถสจฺจํ สจฺฉิกโรติ, ปญฺญาย จ อติวิชฺฌ ปสฺสตี’’ติ (ม. นิ. ๒.๔๓๒)ฯ
‘‘Dhatānaṃ dhammānaṃ atthamupaparikkhati, atthaṃ upaparikkhato dhammā nijjhānaṃ khamanti, dhammanijjhānakkhantiyā sati chando jāyati, chandajāto ussahati, ussahanto tulayati, tulayanto padahati, padahanto kāyena ceva paramatthasaccaṃ sacchikaroti, paññāya ca ativijjha passatī’’ti (ma. ni. 2.432).
อปิจ อคาริกพาหุสจฺจมฺปิ ยํ อนวชฺชํ, ตํ อุภยโลกหิตสุขาวหนโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ เวทิตพฺพํฯ
Apica agārikabāhusaccampi yaṃ anavajjaṃ, taṃ ubhayalokahitasukhāvahanato ‘‘maṅgala’’nti veditabbaṃ.
สิปฺปํ นาม อคาริกสิปฺปญฺจ อนคาริกสิปฺปญฺจฯ ตตฺถ อคาริกสิปฺปํ นาม ยํ ปรูปโรธวิรหิตํ อกุสลวิวชฺชิตํ มณิการสุวณฺณการกมฺมาทิ, ตํ อิธโลกตฺถาวหนโต มงฺคลํฯ อนคาริกสิปฺปํ นาม จีวรวิจารณสิพฺพนาทิ สมณปริกฺขาราภิสงฺขรณํ, ยํ ตํ ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ยานิ ตานิ สพฺรหฺมจารีนํ อุจฺจาวจานิ กิํกรณียานิ, ตตฺถ ทโกฺข โหตี’’ติอาทินา นเยน ตตฺถ ตตฺถ สํวณฺณิตํ, ยํ ‘‘นาถกรโณ ธโมฺม’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๔๕; อ. นิ. ๑๐.๑๗) จ วุตฺตํ, ตํ อตฺตโน จ ปเรสญฺจ อุภยโลกหิตสุขาวหนโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ เวทิตพฺพํฯ
Sippaṃ nāma agārikasippañca anagārikasippañca. Tattha agārikasippaṃ nāma yaṃ parūparodhavirahitaṃ akusalavivajjitaṃ maṇikārasuvaṇṇakārakammādi, taṃ idhalokatthāvahanato maṅgalaṃ. Anagārikasippaṃ nāma cīvaravicāraṇasibbanādi samaṇaparikkhārābhisaṅkharaṇaṃ, yaṃ taṃ ‘‘idha, bhikkhave, bhikkhu yāni tāni sabrahmacārīnaṃ uccāvacāni kiṃkaraṇīyāni, tattha dakkho hotī’’tiādinā nayena tattha tattha saṃvaṇṇitaṃ, yaṃ ‘‘nāthakaraṇo dhammo’’ti (dī. ni. 3.345; a. ni. 10.17) ca vuttaṃ, taṃ attano ca paresañca ubhayalokahitasukhāvahanato ‘‘maṅgala’’nti veditabbaṃ.
วินโย นาม อคาริกวินโย จ อนคาริกวินโย จฯ ตตฺถ อคาริกวินโย นาม ทสอกุสลกมฺมปถวิรมณํ, โส ตตฺถ อสํกิเลสาปชฺชเนน อาจารคุณววตฺถาเนน จ สุสิกฺขิโต อุภยโลกหิตสุขาวหนโต มงฺคลํฯ อนคาริกวินโย นาม สตฺตาปตฺติกฺขเนฺธ อนาปชฺชนํ, โสปิ วุตฺตนเยเนว สุสิกฺขิโตฯ จตุปาริสุทฺธิสีลํ วา อนคาริกวินโยฯ โส ยถา ตตฺถ ปติฎฺฐาย อรหตฺตํ ปาปุณาติ, เอวํ สิกฺขเนน สุสิกฺขิโต โลกิยโลกุตฺตรสุขาธิคมเหตุโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ เวทิตโพฺพฯ
Vinayo nāma agārikavinayo ca anagārikavinayo ca. Tattha agārikavinayo nāma dasaakusalakammapathaviramaṇaṃ, so tattha asaṃkilesāpajjanena ācāraguṇavavatthānena ca susikkhito ubhayalokahitasukhāvahanato maṅgalaṃ. Anagārikavinayo nāma sattāpattikkhandhe anāpajjanaṃ, sopi vuttanayeneva susikkhito. Catupārisuddhisīlaṃ vā anagārikavinayo. So yathā tattha patiṭṭhāya arahattaṃ pāpuṇāti, evaṃ sikkhanena susikkhito lokiyalokuttarasukhādhigamahetuto ‘‘maṅgala’’nti veditabbo.
สุภาสิตา วาจา นาม มุสาวาทาทิโทสวิรหิตา วาจาฯ ยถาห – ‘‘จตูหิ, ภิกฺขเว, อเงฺคหิ สมนฺนาคตา วาจา สุภาสิตา โหตี’’ติฯ อสมฺผปฺปลาปา วาจา เอว วา สุภาสิตาฯ ยถาห –
Subhāsitā vācā nāma musāvādādidosavirahitā vācā. Yathāha – ‘‘catūhi, bhikkhave, aṅgehi samannāgatā vācā subhāsitā hotī’’ti. Asamphappalāpā vācā eva vā subhāsitā. Yathāha –
‘‘สุภาสิตํ อุตฺตมมาหุ สโนฺต,
‘‘Subhāsitaṃ uttamamāhu santo,
ธมฺมํ ภเณ นาธมฺมํ ตํ ทุติยํ;
Dhammaṃ bhaṇe nādhammaṃ taṃ dutiyaṃ;
ปิยํ ภเณ นาปฺปิยํ ตํ ตติยํ,
Piyaṃ bhaṇe nāppiyaṃ taṃ tatiyaṃ,
สจฺจํ ภเณ นาลิกํ ตํ จตุตฺถ’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๑๓; สุ. นิ. ๔๕๒);
Saccaṃ bhaṇe nālikaṃ taṃ catuttha’’nti. (saṃ. ni. 1.213; su. ni. 452);
อยมฺปิ อุภยโลกหิตสุขาวหนโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ เวทิตพฺพาฯ ยสฺมา จ อยํ วินยปริยาปนฺนา เอว, ตสฺมา วินยคฺคหเณน เอตํ อสงฺคณฺหิตฺวา วินโย สงฺคเหตโพฺพฯ อถวา กิํ อิมินา ปริสฺสเมน ปเรสํ ธมฺมเทสนาวาจา อิธ ‘‘สุภาสิตา วาจา’’ติ เวทิตพฺพาฯ สา หิ ยถา ปติรูปเทสวาโส, เอวํ สตฺตานํ อุภยโลกหิตสุขนิพฺพานาธิคมปจฺจยโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุจฺจติฯ อาห จ –
Ayampi ubhayalokahitasukhāvahanato ‘‘maṅgala’’nti veditabbā. Yasmā ca ayaṃ vinayapariyāpannā eva, tasmā vinayaggahaṇena etaṃ asaṅgaṇhitvā vinayo saṅgahetabbo. Athavā kiṃ iminā parissamena paresaṃ dhammadesanāvācā idha ‘‘subhāsitā vācā’’ti veditabbā. Sā hi yathā patirūpadesavāso, evaṃ sattānaṃ ubhayalokahitasukhanibbānādhigamapaccayato ‘‘maṅgala’’nti vuccati. Āha ca –
‘‘ยํ พุโทฺธ ภาสติ วาจํ, เขมํ นิพฺพานปตฺติยา;
‘‘Yaṃ buddho bhāsati vācaṃ, khemaṃ nibbānapattiyā;
ทุกฺขสฺสนฺตกิริยาย, สา เว วาจานมุตฺตมา’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๑๓; สุ. นิ. ๔๕๖);
Dukkhassantakiriyāya, sā ve vācānamuttamā’’ti. (saṃ. ni. 1.213; su. ni. 456);
เอวํ อิมิสฺสา คาถาย พาหุสจฺจํ, สิปฺปํ, วินโย สุสิกฺขิโต, สุภาสิตา วาจาติ จตฺตาริ มงฺคลานิ วุตฺตานิ, มงฺคลตฺตญฺจ เนสํ ตตฺถ ตตฺถ วิภาวิตเมวาติฯ
Evaṃ imissā gāthāya bāhusaccaṃ, sippaṃ, vinayo susikkhito, subhāsitā vācāti cattāri maṅgalāni vuttāni, maṅgalattañca nesaṃ tattha tattha vibhāvitamevāti.
นิฎฺฐิตา พาหุสจฺจญฺจาติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā bāhusaccañcāti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
๒๖๕. อิทานิ มาตาปิตุอุปฎฺฐานนฺติ เอตฺถ มาตุ จ ปิตุ จาติ มาตาปิตุฯ อุปฎฺฐานนฺติ อุปฎฺฐหนํฯ ปุตฺตานญฺจ ทารานญฺจาติ ปุตฺตทารสฺสฯ สงฺคณฺหนํ สงฺคโหฯ น อากุลา อนากุลาฯ กมฺมานิ เอว กมฺมนฺตาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติ อยํ ปทวณฺณนาฯ
265. Idāni mātāpituupaṭṭhānanti ettha mātu ca pitu cāti mātāpitu. Upaṭṭhānanti upaṭṭhahanaṃ. Puttānañca dārānañcāti puttadārassa. Saṅgaṇhanaṃ saṅgaho. Na ākulā anākulā. Kammāni eva kammantā. Sesaṃ vuttanayamevāti ayaṃ padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปน เอวํ เวทิตพฺพา – มาตา นาม ชนิกา วุจฺจติ, ตถา ปิตาฯ อุปฎฺฐานํ นาม ปาทโธวนสมฺพาหนอุจฺฉาทนนฺหาปเนหิ จตุปจฺจยสมฺปทาเนน จ อุปการกรณํฯ ตตฺถ ยสฺมา มาตาปิตโร พหูปการา ปุตฺตานํ อตฺถกามา อนุกมฺปกา, ยํ ปุตฺตเก พหิ กีฬิตฺวา ปํสุมกฺขิตสรีรเก อาคเต ทิสฺวา ปํสุกํ ปุญฺฉิตฺวา มตฺถกํ อุปสิงฺฆายนฺตา ปริจุมฺพนฺตา จ สิเนหํ อุปฺปาเทนฺติ, วสฺสสตมฺปิ มาตาปิตโร สีเสน ปริหรนฺตา ปุตฺตา เตสํ ปฎิการํ กาตุํ อสมตฺถาฯ ยสฺมา จ เต อาปาทกา โปสกา อิมสฺส โลกสฺส ทเสฺสตาโร พฺรหฺมสมฺมตา ปุพฺพาจริยสมฺมตา, ตสฺมา เตสํ อุปฎฺฐานํ อิธ ปสํสํ เปจฺจ สคฺคสุขญฺจ อาวหติ, เตน ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุจฺจติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
Atthavaṇṇanā pana evaṃ veditabbā – mātā nāma janikā vuccati, tathā pitā. Upaṭṭhānaṃ nāma pādadhovanasambāhanaucchādananhāpanehi catupaccayasampadānena ca upakārakaraṇaṃ. Tattha yasmā mātāpitaro bahūpakārā puttānaṃ atthakāmā anukampakā, yaṃ puttake bahi kīḷitvā paṃsumakkhitasarīrake āgate disvā paṃsukaṃ puñchitvā matthakaṃ upasiṅghāyantā paricumbantā ca sinehaṃ uppādenti, vassasatampi mātāpitaro sīsena pariharantā puttā tesaṃ paṭikāraṃ kātuṃ asamatthā. Yasmā ca te āpādakā posakā imassa lokassa dassetāro brahmasammatā pubbācariyasammatā, tasmā tesaṃ upaṭṭhānaṃ idha pasaṃsaṃ pecca saggasukhañca āvahati, tena ‘‘maṅgala’’nti vuccati. Vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘‘พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร, ปุพฺพาจริยาติ วุจฺจเร;
‘‘Brahmāti mātāpitaro, pubbācariyāti vuccare;
อาหุเนยฺยา จ ปุตฺตานํ, ปชาย อนุกมฺปกาฯ
Āhuneyyā ca puttānaṃ, pajāya anukampakā.
‘‘ตสฺมา หิ เน นมเสฺสยฺย, สกฺกเรยฺย จ ปณฺฑิโต;
‘‘Tasmā hi ne namasseyya, sakkareyya ca paṇḍito;
อเนฺนน อถ ปาเนน, วเตฺถน สยเนน จฯ
Annena atha pānena, vatthena sayanena ca.
‘‘อุจฺฉาทเนน นฺหาปเนน, ปาทานํ โธวเนน จ;
‘‘Ucchādanena nhāpanena, pādānaṃ dhovanena ca;
ตาย นํ ปาริจริยาย, มาตาปิตูสุ ปณฺฑิตา;
Tāya naṃ pāricariyāya, mātāpitūsu paṇḍitā;
อิเธว นํ ปสํสนฺติ, เปจฺจ สเคฺค ปโมทตี’’ติฯ (อ. นิ. ๓.๓๑; อิติวุ. ๑๐๖; ชา. ๒.๒๐.๑๘๑-๑๘๓);
Idheva naṃ pasaṃsanti, pecca sagge pamodatī’’ti. (a. ni. 3.31; itivu. 106; jā. 2.20.181-183);
อปโร นโย – อุปฎฺฐานํ นาม ภรณกิจฺจกรณกุลวํสฎฺฐปนาทิปญฺจวิธํ, ตํ ปาปนิวารณาทิปญฺจวิธทิฎฺฐธมฺมิกหิตเหตุโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
Aparo nayo – upaṭṭhānaṃ nāma bharaṇakiccakaraṇakulavaṃsaṭṭhapanādipañcavidhaṃ, taṃ pāpanivāraṇādipañcavidhadiṭṭhadhammikahitahetuto ‘‘maṅgala’’nti veditabbaṃ. Vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘‘ปญฺจหิ โข, คหปติปุตฺต, ฐาเนหิ ปุเตฺตน ปุรตฺถิมา ทิสา มาตาปิตโร ปจฺจุปฎฺฐาตพฺพา ‘ภโต เน ภริสฺสามิ, กิจฺจํ เนสํ กริสฺสามิ, กุลวํสํ ฐเปสฺสามิ, ทายชฺชํ ปฎิปชฺชิสฺสามิ, อถ วา ปน เปตานํ กาลกตานํ ทกฺขิณํ อนุปฺปทสฺสามี’ติ ฯ อิเมหิ โข, คหปติปุตฺต, ปญฺจหิ ฐาเนหิ ปุเตฺตน ปุรตฺถิมา ทิสา มาตาปิตโร ปจฺจุปฎฺฐิตา ปญฺจหิ ฐาเนหิ ปุตฺตํ อนุกมฺปนฺติ, ปาปา นิวาเรนฺติ, กลฺยาเณ นิเวเสนฺติ, สิปฺปํ สิกฺขาเปนฺติ, ปติรูเปน ทาเรน สํโยเชนฺติ, สมเย ทายชฺชํ นิยฺยาเทนฺตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๖๗)ฯ
‘‘Pañcahi kho, gahapatiputta, ṭhānehi puttena puratthimā disā mātāpitaro paccupaṭṭhātabbā ‘bhato ne bharissāmi, kiccaṃ nesaṃ karissāmi, kulavaṃsaṃ ṭhapessāmi, dāyajjaṃ paṭipajjissāmi, atha vā pana petānaṃ kālakatānaṃ dakkhiṇaṃ anuppadassāmī’ti . Imehi kho, gahapatiputta, pañcahi ṭhānehi puttena puratthimā disā mātāpitaro paccupaṭṭhitā pañcahi ṭhānehi puttaṃ anukampanti, pāpā nivārenti, kalyāṇe nivesenti, sippaṃ sikkhāpenti, patirūpena dārena saṃyojenti, samaye dāyajjaṃ niyyādentī’’ti (dī. ni. 3.267).
อปิจ โย มาตาปิตโร ตีสุ วตฺถูสุ ปสาทุปฺปาทเนน สีลสมาทาปเนน ปพฺพชฺชาย วา อุปฎฺฐหติ, อยํ มาตาปิตุอุปฎฺฐากานํ อโคฺค, ตสฺส ตํ มาตาปิตุอุปฎฺฐานํ มาตาปิตูหิ กตสฺส อุปการสฺส ปจฺจุปการภูตํ อเนเกสํ ทิฎฺฐธมฺมิกานํ สมฺปรายิกานญฺจ อตฺถานํ ปทฎฺฐานโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุจฺจติฯ
Apica yo mātāpitaro tīsu vatthūsu pasāduppādanena sīlasamādāpanena pabbajjāya vā upaṭṭhahati, ayaṃ mātāpituupaṭṭhākānaṃ aggo, tassa taṃ mātāpituupaṭṭhānaṃ mātāpitūhi katassa upakārassa paccupakārabhūtaṃ anekesaṃ diṭṭhadhammikānaṃ samparāyikānañca atthānaṃ padaṭṭhānato ‘‘maṅgala’’nti vuccati.
ปุตฺตทารสฺสาติ เอตฺถ อตฺตนา ชนิตา ปุตฺตาปิ ธีตโรปิ ‘‘ปุตฺตา’’ เตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉนฺติฯ ทาราติ วีสติยา ภริยานํ ยา กาจิ ภริยาฯ ปุตฺตา จ ทารา จ ปุตฺตทารํ, ตสฺส ปุตฺตทารสฺสฯ สงฺคโหติ สมฺมานนาทีหิ อุปการกรณํฯ ตํ สุสํวิหิตกมฺมนฺตตาทิทิฎฺฐธมฺมิกหิตเหตุโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา – ‘‘ปจฺฉิมา ทิสา ปุตฺตทารา เวทิตพฺพา’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๖๖) เอตฺถ อุทฺทิฎฺฐํ ปุตฺตทารํ ภริยาสเทฺทน สงฺคณฺหิตฺวา –
Puttadārassāti ettha attanā janitā puttāpi dhītaropi ‘‘puttā’’ tveva saṅkhyaṃ gacchanti. Dārāti vīsatiyā bhariyānaṃ yā kāci bhariyā. Puttā ca dārā ca puttadāraṃ, tassa puttadārassa. Saṅgahoti sammānanādīhi upakārakaraṇaṃ. Taṃ susaṃvihitakammantatādidiṭṭhadhammikahitahetuto ‘‘maṅgala’’nti veditabbaṃ. Vuttañhetaṃ bhagavatā – ‘‘pacchimā disā puttadārā veditabbā’’ti (dī. ni. 3.266) ettha uddiṭṭhaṃ puttadāraṃ bhariyāsaddena saṅgaṇhitvā –
‘‘ปญฺจหิ โข, คหปติปุตฺต, ฐาเนหิ สามิเกน ปจฺฉิมา ทิสา ภริยา ปจฺจุปฎฺฐาตพฺพา, สมฺมานนาย อนวมานนาย อนติจริยาย อิสฺสริยโวสฺสเคฺคน อลงฺการานุปฺปทาเนนฯ อิเมหิ โข, คหปติปุตฺต, ปญฺจหิ ฐาเนหิ สามิเกน ปจฺฉิมา ทิสา ภริยา ปจฺจุปฎฺฐิตา ปญฺจหิ ฐาเนหิ สามิกํ อนุกมฺปติ, สุสํวิหิตกมฺมนฺตา จ โหติ, สงฺคหิตปริชนา จ, อนติจารินี จ, สมฺภตญฺจ อนุรกฺขติ, ทกฺขา จ โหติ อนลสา สพฺพกิเจฺจสู’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๖๙)ฯ
‘‘Pañcahi kho, gahapatiputta, ṭhānehi sāmikena pacchimā disā bhariyā paccupaṭṭhātabbā, sammānanāya anavamānanāya anaticariyāya issariyavossaggena alaṅkārānuppadānena. Imehi kho, gahapatiputta, pañcahi ṭhānehi sāmikena pacchimā disā bhariyā paccupaṭṭhitā pañcahi ṭhānehi sāmikaṃ anukampati, susaṃvihitakammantā ca hoti, saṅgahitaparijanā ca, anaticārinī ca, sambhatañca anurakkhati, dakkhā ca hoti analasā sabbakiccesū’’ti (dī. ni. 3.269).
อยํ วา อปโร นโย – สงฺคโหติ ธมฺมิกาหิ ทานปิยวาจอตฺถจริยาหิ สงฺคณฺหนํฯ เสยฺยถิทํ – อุโปสถทิวเสสุ ปริพฺพยทานํ, นกฺขตฺตทิวเสสุ นกฺขตฺตทสฺสาปนํ, มงฺคลทิวเสสุ มงฺคลกรณํ, ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิเกสุ อเตฺถสุ โอวาทานุสาสนนฺติฯ ตํ วุตฺตนเยเนว ทิฎฺฐธมฺมิกหิตเหตุโต สมฺปรายิกหิตเหตุโต เทวตาหิปิ นมสฺสนียภาวเหตุโต จ ‘‘มงฺคล’’นฺติ เวทิตพฺพํฯ ยถาห สโกฺก เทวานมิโนฺท –
Ayaṃ vā aparo nayo – saṅgahoti dhammikāhi dānapiyavācaatthacariyāhi saṅgaṇhanaṃ. Seyyathidaṃ – uposathadivasesu paribbayadānaṃ, nakkhattadivasesu nakkhattadassāpanaṃ, maṅgaladivasesu maṅgalakaraṇaṃ, diṭṭhadhammikasamparāyikesu atthesu ovādānusāsananti. Taṃ vuttanayeneva diṭṭhadhammikahitahetuto samparāyikahitahetuto devatāhipi namassanīyabhāvahetuto ca ‘‘maṅgala’’nti veditabbaṃ. Yathāha sakko devānamindo –
‘‘เย คหฎฺฐา ปุญฺญกรา, สีลวโนฺต อุปาสกา;
‘‘Ye gahaṭṭhā puññakarā, sīlavanto upāsakā;
ธเมฺมน ทารํ โปเสนฺติ, เต นมสฺสามิ มาตลี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๖๔);
Dhammena dāraṃ posenti, te namassāmi mātalī’’ti. (saṃ. ni. 1.264);
อนากุลา กมฺมนฺตา นาม กาลญฺญุตาย ปติรูปการิตาย อนลสตาย อุฎฺฐานวีริยสมฺปทาย อพฺยสนียตาย จ กาลาติกฺกมนอปฺปติรูปกรณากรณสิถิลกรณาทิอากุลภาววิรหิตา กสิโครกฺขวณิชฺชาทโย กมฺมนฺตาฯ เอเต อตฺตโน วา ปุตฺตทารสฺส วา ทาสกมฺมกรานํ วา พฺยตฺตตาย เอวํ ปโยชิตา ทิเฎฺฐว ธเมฺม ธนธญฺญวุฑฺฒิปฎิลาภเหตุโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุตฺตาฯ วุตฺตเญฺจตํ ภควตา –
Anākulākammantā nāma kālaññutāya patirūpakāritāya analasatāya uṭṭhānavīriyasampadāya abyasanīyatāya ca kālātikkamanaappatirūpakaraṇākaraṇasithilakaraṇādiākulabhāvavirahitā kasigorakkhavaṇijjādayo kammantā. Ete attano vā puttadārassa vā dāsakammakarānaṃ vā byattatāya evaṃ payojitā diṭṭheva dhamme dhanadhaññavuḍḍhipaṭilābhahetuto ‘‘maṅgala’’nti vuttā. Vuttañcetaṃ bhagavatā –
‘‘ปติรูปการี ธุรวา, อุฎฺฐาตา วินฺทเต ธน’’นฺติฯ (สุ. นิ. ๑๘๙; สํ. นิ. ๑.๒๔๖) จ;
‘‘Patirūpakārī dhuravā, uṭṭhātā vindate dhana’’nti. (su. ni. 189; saṃ. ni. 1.246) ca;
‘‘น ทิวา โสปฺปสีเลน, รตฺติมุฎฺฐานเทสฺสินา;
‘‘Na divā soppasīlena, rattimuṭṭhānadessinā;
นิจฺจํ มเตฺตน โสเณฺฑน, สกฺกา อาวสิตุํ ฆรํฯ
Niccaṃ mattena soṇḍena, sakkā āvasituṃ gharaṃ.
‘‘อติสีตํ อติอุณฺหํ, อติสายมิทํ อหุ;
‘‘Atisītaṃ atiuṇhaṃ, atisāyamidaṃ ahu;
อิติ วิสฺสฎฺฐกมฺมเนฺต, อตฺถา อเจฺจนฺติ มาณเวฯ
Iti vissaṭṭhakammante, atthā accenti māṇave.
‘‘โยธ สีตญฺจ อุณฺหญฺจ, ติณา ภิโยฺย น มญฺญติ;
‘‘Yodha sītañca uṇhañca, tiṇā bhiyyo na maññati;
กรํ ปุริสกิจฺจานิ, โส สุขา น วิหายตี’’ติฯ จ (ที. นิ. ๓.๒๕๓);
Karaṃ purisakiccāni, so sukhā na vihāyatī’’ti. ca (dī. ni. 3.253);
‘‘โภเค สํหรมานสฺส, ภมรเสฺสว อิรียโต;
‘‘Bhoge saṃharamānassa, bhamarasseva irīyato;
โภคา สนฺนิจยํ ยนฺติ, วมฺมิโกวูปจียตี’’ติฯ (ที. นิ. ๓.๒๖๕) –
Bhogā sannicayaṃ yanti, vammikovūpacīyatī’’ti. (dī. ni. 3.265) –
จ เอวมาทิฯ
Ca evamādi.
เอวํ อิมิสฺสาปิ คาถาย มาตุปฎฺฐานํ, ปิตุปฎฺฐานํ, ปุตฺตทารสฺส สงฺคโห, อนากุลา จ กมฺมนฺตาติ จตฺตาริ มงฺคลานิ วุตฺตานิ, ปุตฺตทารสฺส สงฺคหํ วา ทฺวิธา กตฺวา ปญฺจ, มาตาปิตุอุปฎฺฐานํ วา เอกเมว กตฺวา ตีณิฯ มงฺคลตฺตญฺจ เนสํ ตตฺถ ตตฺถ วิภาวิตเมวาติฯ
Evaṃ imissāpi gāthāya mātupaṭṭhānaṃ, pitupaṭṭhānaṃ, puttadārassa saṅgaho, anākulā ca kammantāti cattāri maṅgalāni vuttāni, puttadārassa saṅgahaṃ vā dvidhā katvā pañca, mātāpituupaṭṭhānaṃ vā ekameva katvā tīṇi. Maṅgalattañca nesaṃ tattha tattha vibhāvitamevāti.
นิฎฺฐิตา มาตาปิตุอุปฎฺฐานนฺติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā mātāpituupaṭṭhānanti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
๒๖๖. อิทานิ ทานญฺจาติ เอตฺถ ทียเต อิมินาติ ทานํ, อตฺตโน สนฺตกํ ปรสฺส ปฎิปาทียตีติ วุตฺตํ โหติฯ ธมฺมสฺส จริยา, ธมฺมา วา อนเปตา จริยา ธมฺมจริยาฯ ญายเนฺต ‘‘อมฺหากํ อิเม’’ติ ญาตกาฯ น อวชฺชานิ อนวชฺชานิ, อนินฺทิตานิ อครหิตานีติ วุตฺตํ โหติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติ อยํ ปทวณฺณนาฯ
266. Idāni dānañcāti ettha dīyate imināti dānaṃ, attano santakaṃ parassa paṭipādīyatīti vuttaṃ hoti. Dhammassa cariyā, dhammā vā anapetā cariyā dhammacariyā. Ñāyante ‘‘amhākaṃ ime’’ti ñātakā. Na avajjāni anavajjāni, aninditāni agarahitānīti vuttaṃ hoti. Sesaṃ vuttanayamevāti ayaṃ padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปน เอวํ เวทิตพฺพา – ทานํ นาม ปรํ อุทฺทิสฺส สุพุทฺธิปุพฺพิกา อนฺนาทิทสทานวตฺถุปริจฺจาคเจตนา ตํสมฺปยุโตฺต วา อโลโภฯ อโลเภน หิ ตํ วตฺถุํ ปรสฺส ปฎิปาเทติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ทียเต อิมินาติ ทาน’’นฺติฯ ตํ พหุชนปิยมนาปตาทีนํ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกานํ ผลวิเสสานํ อธิคมเหตุโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุตฺตํฯ ‘‘ทายโก สีห ทานปติ พหุโน ชนสฺส ปิโย โหติ มนาโป’’ติ เอวมาทีนิ เจตฺถ สุตฺตานิ (อ. นิ. ๕.๓๔) อนุสฺสริตพฺพานิฯ
Atthavaṇṇanā pana evaṃ veditabbā – dānaṃ nāma paraṃ uddissa subuddhipubbikā annādidasadānavatthupariccāgacetanā taṃsampayutto vā alobho. Alobhena hi taṃ vatthuṃ parassa paṭipādeti. Tena vuttaṃ ‘‘dīyate imināti dāna’’nti. Taṃ bahujanapiyamanāpatādīnaṃ diṭṭhadhammikasamparāyikānaṃ phalavisesānaṃ adhigamahetuto ‘‘maṅgala’’nti vuttaṃ. ‘‘Dāyako sīha dānapati bahuno janassa piyo hoti manāpo’’ti evamādīni cettha suttāni (a. ni. 5.34) anussaritabbāni.
อปโร นโย – ทานํ นาม ทุวิธํ อามิสทานญฺจ, ธมฺมทานญฺจฯ ตตฺถ อามิสทานํ วุตฺตปฺปการเมวฯ อิธโลกปรโลกทุกฺขกฺขยสุขาวหสฺส ปน สมฺมาสมฺพุทฺธปฺปเวทิตสฺส ธมฺมสฺส ปเรสํ หิตกามตาย เทสนา ธมฺมทานํฯ อิเมสญฺจ ทฺวินฺนํ ทานานํ เอตเทว อคฺคํฯ ยถาห –
Aparo nayo – dānaṃ nāma duvidhaṃ āmisadānañca, dhammadānañca. Tattha āmisadānaṃ vuttappakārameva. Idhalokaparalokadukkhakkhayasukhāvahassa pana sammāsambuddhappaveditassa dhammassa paresaṃ hitakāmatāya desanā dhammadānaṃ. Imesañca dvinnaṃ dānānaṃ etadeva aggaṃ. Yathāha –
‘‘สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ,
‘‘Sabbadānaṃ dhammadānaṃ jināti,
สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ;
Sabbarasaṃ dhammaraso jināti;
สพฺพรติํ ธมฺมรตี ชินาติ,
Sabbaratiṃ dhammaratī jināti,
ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาตี’’ติฯ (ธ. ป. ๓๕๔);
Taṇhakkhayo sabbadukkhaṃ jinātī’’ti. (dha. pa. 354);
ตตฺถ อามิสทานสฺส มงฺคลตฺตํ วุตฺตเมวฯ ธมฺมทานํ ปน ยสฺมา อตฺถปฎิสํเวทิตาทีนํ คุณานํ ปทฎฺฐานํ, ตสฺมา ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุจฺจติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
Tattha āmisadānassa maṅgalattaṃ vuttameva. Dhammadānaṃ pana yasmā atthapaṭisaṃveditādīnaṃ guṇānaṃ padaṭṭhānaṃ, tasmā ‘‘maṅgala’’nti vuccati. Vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘‘ยถา ยถา, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ยถาสุตํ ยถาปริยตฺตํ ธมฺมํ วิตฺถาเรน ปเรสํ เทเสติ, ตถา ตถา โส ตสฺมิํ ธเมฺม อตฺถปฎิสํเวที จ โหติ ธมฺมปฎิสํเวที จา’’ติ เอวมาทิ (ที. นิ. ๓.๓๕๕; อ. นิ. ๕.๒๖)ฯ
‘‘Yathā yathā, bhikkhave, bhikkhu yathāsutaṃ yathāpariyattaṃ dhammaṃ vitthārena paresaṃ deseti, tathā tathā so tasmiṃ dhamme atthapaṭisaṃvedī ca hoti dhammapaṭisaṃvedī cā’’ti evamādi (dī. ni. 3.355; a. ni. 5.26).
ธมฺมจริยา นาม ทสกุสลกมฺมปถจริยาฯ ยถาห – ‘‘ติวิธํ โข, คหปตโย, กาเยน ธมฺมจริยาสมจริยา โหตี’’ติ เอวมาทิฯ สา ปเนสา ธมฺมจริยา สคฺคโลกูปปตฺติเหตุโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ เวทิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา – ‘‘ธมฺมจริยาสมจริยาเหตุ โข, คหปตโย, เอวมิเธกเจฺจ สตฺตา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๔๑)ฯ
Dhammacariyā nāma dasakusalakammapathacariyā. Yathāha – ‘‘tividhaṃ kho, gahapatayo, kāyena dhammacariyāsamacariyā hotī’’ti evamādi. Sā panesā dhammacariyā saggalokūpapattihetuto ‘‘maṅgala’’nti veditabbā. Vuttañhetaṃ bhagavatā – ‘‘dhammacariyāsamacariyāhetu kho, gahapatayo, evamidhekacce sattā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjantī’’ti (ma. ni. 1.441).
ญาตกา นาม มาติโต วา ปิติโต วา ยาว สตฺตมา ปิตามหยุคา สมฺพนฺธาฯ เตสํ โภคปาริชุเญฺญน วา พฺยาธิปาริชุเญฺญน วา อภิหตานํ อตฺตโน สมีปํ อาคตานํ ยถาพลํ ฆาสจฺฉาทนธนธญฺญาทีหิ สงฺคโห ปสํสาทีนํ ทิฎฺฐธมฺมิกานํ สุคติคมนาทีนญฺจ สมฺปรายิกานํ วิเสสาธิคมานํ เหตุโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุจฺจติฯ
Ñātakā nāma mātito vā pitito vā yāva sattamā pitāmahayugā sambandhā. Tesaṃ bhogapārijuññena vā byādhipārijuññena vā abhihatānaṃ attano samīpaṃ āgatānaṃ yathābalaṃ ghāsacchādanadhanadhaññādīhi saṅgaho pasaṃsādīnaṃ diṭṭhadhammikānaṃ sugatigamanādīnañca samparāyikānaṃ visesādhigamānaṃ hetuto ‘‘maṅgala’’nti vuccati.
อนวชฺชานิ กมฺมานิ นาม อุโปสถงฺคสมาทานเวยฺยาวจฺจกรณอารามวนโรปนเสตุกรณาทีนิ กายวจีมโนสุจริตกมฺมานิฯ ตานิ หิ นานปฺปการหิตสุขาธิคมเหตุโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุจฺจติฯ ‘‘ฐานํ โข ปเนตํ, วิสาเข, วิชฺชติ ยํ อิเธกโจฺจ อิตฺถี วา ปุริโส วา อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ อุปวสิตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา จาตุมหาราชิกานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปเชฺชยฺยา’’ติ เอวมาทีนิ เจตฺถ สุตฺตานิ (อ. นิ. ๘.๔๓) อนุสฺสริตพฺพานิฯ
Anavajjāni kammāni nāma uposathaṅgasamādānaveyyāvaccakaraṇaārāmavanaropanasetukaraṇādīni kāyavacīmanosucaritakammāni. Tāni hi nānappakārahitasukhādhigamahetuto ‘‘maṅgala’’nti vuccati. ‘‘Ṭhānaṃ kho panetaṃ, visākhe, vijjati yaṃ idhekacco itthī vā puriso vā aṭṭhaṅgasamannāgataṃ uposathaṃ upavasitvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā cātumahārājikānaṃ devānaṃ sahabyataṃ upapajjeyyā’’ti evamādīni cettha suttāni (a. ni. 8.43) anussaritabbāni.
เอวํ อิมิสฺสา คาถาย ทานํ, ธมฺมจริยา, ญาตกานํ สงฺคโห, อนวชฺชานิ กมฺมานีติ จตฺตาริ มงฺคลานิ วุตฺตานิ, มงฺคลตฺตญฺจ เนสํ ตตฺถ ตตฺถ วิภาวิตเมวาติฯ
Evaṃ imissā gāthāya dānaṃ, dhammacariyā, ñātakānaṃ saṅgaho, anavajjāni kammānīti cattāri maṅgalāni vuttāni, maṅgalattañca nesaṃ tattha tattha vibhāvitamevāti.
นิฎฺฐิตา ทานญฺจาติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā dānañcāti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
๒๖๗. อิทานิ อารตี วิรตีติ เอตฺถ อารตีติ อารมณํฯ วิรตีติ วิรมณํ, วิรมนฺติ วา เอตาย สตฺตาติ วิรติฯ ปาปาติ อกุสลาฯ มทนียเฎฺฐน มชฺชํ, มชฺชสฺส ปานํ มชฺชปานํ, ตโต มชฺชปานาฯ สํยมนํ สํยโมฯ อปฺปมชฺชนํ อปฺปมาโทฯ ธเมฺมสูติ กุสเลสุฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติ อยํ ปทวณฺณนาฯ
267. Idāni āratī viratīti ettha āratīti āramaṇaṃ. Viratīti viramaṇaṃ, viramanti vā etāya sattāti virati. Pāpāti akusalā. Madanīyaṭṭhena majjaṃ, majjassa pānaṃ majjapānaṃ, tato majjapānā. Saṃyamanaṃ saṃyamo. Appamajjanaṃ appamādo. Dhammesūti kusalesu. Sesaṃ vuttanayamevāti ayaṃ padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปน เอวํ เวทิตพฺพา – อารติ นาม ปาเป อาทีนวทสฺสาวิโน มนสา เอว อนภิรติฯ วิรติ นาม กมฺมทฺวารวเสน กายวาจาหิ วิรมณํฯ สา เจสา วิรติ นาม สมฺปตฺตวิรติ สมาทานวิรติ สมุเจฺฉทวิรตีติ ติวิธา โหติฯ ตตฺถ ยา กุลปุตฺตสฺส อตฺตโน ชาติํ วา กุลํ วา โคตฺตํ วา ปฎิจฺจ ‘‘น เม เอตํ ปติรูปํ, ยฺวาหํ อิมํ ปาณํ หเนยฺยํ, อทินฺนํ อาทิเยยฺย’’นฺติอาทินา นเยน สมฺปตฺตวตฺถุโต วิรติ, อยํ สมฺปตฺตวิรติ นามฯ สิกฺขาปทสมาทานวเสน ปน ปวตฺตา สมาทานวิรติ นาม, ยสฺสา ปวตฺติโต ปภุติ กุลปุโตฺต ปาณาติปาตาทีนิ น สมาจรติฯ อริยมคฺคสมฺปยุตฺตา สมุเจฺฉทวิรติ นาม, ยสฺสา ปวตฺติโต ปภุติ อริยสาวกสฺส ปญฺจ ภยานิ เวรานิ วูปสนฺตานิ โหนฺติฯ ปาปํ นาม ยํ ตํ ‘‘ปาณาติปาโต โข, คหปติปุตฺต, กมฺมกิเลโส อทินฺนาทานํ…เป.… กาเมสุมิจฺฉาจาโร…เป.… มุสาวาโท’’ติ เอวํ วิตฺถาเรตฺวา –
Atthavaṇṇanā pana evaṃ veditabbā – ārati nāma pāpe ādīnavadassāvino manasā eva anabhirati. Virati nāma kammadvāravasena kāyavācāhi viramaṇaṃ. Sā cesā virati nāma sampattavirati samādānavirati samucchedaviratīti tividhā hoti. Tattha yā kulaputtassa attano jātiṃ vā kulaṃ vā gottaṃ vā paṭicca ‘‘na me etaṃ patirūpaṃ, yvāhaṃ imaṃ pāṇaṃ haneyyaṃ, adinnaṃ ādiyeyya’’ntiādinā nayena sampattavatthuto virati, ayaṃ sampattavirati nāma. Sikkhāpadasamādānavasena pana pavattā samādānavirati nāma, yassā pavattito pabhuti kulaputto pāṇātipātādīni na samācarati. Ariyamaggasampayuttā samucchedavirati nāma, yassā pavattito pabhuti ariyasāvakassa pañca bhayāni verāni vūpasantāni honti. Pāpaṃ nāma yaṃ taṃ ‘‘pāṇātipāto kho, gahapatiputta, kammakileso adinnādānaṃ…pe… kāmesumicchācāro…pe… musāvādo’’ti evaṃ vitthāretvā –
‘‘ปาณาติปาโต อทินฺนาทานํ, มุสาวาโท จ วุจฺจติ;
‘‘Pāṇātipāto adinnādānaṃ, musāvādo ca vuccati;
ปรทารคมนเญฺจว, นปฺปสํสนฺติ ปณฺฑิตา’’ติฯ (ที. นิ. ๓.๒๔๕) –
Paradāragamanañceva, nappasaṃsanti paṇḍitā’’ti. (dī. ni. 3.245) –
เอวํ คาถาย สงฺคหิตํ กมฺมกิเลสสงฺขาตํ จตุพฺพิธํ อกุสลํ, ตโต ปาปาฯ สพฺพาเปสา อารติ จ วิรติ จ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกภยเวรปฺปหานาทินานปฺปการวิเสสาธิคมเหตุโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุจฺจติฯ ‘‘ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โข, คหปติปุตฺต, อริยสาวโก’’ติอาทีนิ เจตฺถ สุตฺตานิ อนุสฺสริตพฺพานิฯ
Evaṃ gāthāya saṅgahitaṃ kammakilesasaṅkhātaṃ catubbidhaṃ akusalaṃ, tato pāpā. Sabbāpesā ārati ca virati ca diṭṭhadhammikasamparāyikabhayaverappahānādinānappakāravisesādhigamahetuto ‘‘maṅgala’’nti vuccati. ‘‘Pāṇātipātā paṭivirato kho, gahapatiputta, ariyasāvako’’tiādīni cettha suttāni anussaritabbāni.
มชฺชปานา จ สํยโม นาม ปุเพฺพ วุตฺตสุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานา เวรมณิยาเวตํ อธิวจนํฯ ยสฺมา ปน มชฺชปายี อตฺถํ น ชานาติ, ธมฺมํ น ชานาติ, มาตุปิ อนฺตรายํ กโรติ, ปิตุ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธตถาคตสาวกานมฺปิ อนฺตรายํ กโรติ, ทิเฎฺฐว ธเมฺม ครหํ, สมฺปราเย ทุคฺคติํ, อปราปริยาเย อุมฺมาทญฺจ ปาปุณาติฯ มชฺชปานา ปน สํยโต เตสํ โทสานํ วูปสมํ ตพฺพิปรีตคุณสมฺปทญฺจ ปาปุณาติฯ ตสฺมา อยํ มชฺชปานา สํยโม ‘‘มงฺคล’’นฺติ เวทิตโพฺพฯ
Majjapānāca saṃyamo nāma pubbe vuttasurāmerayamajjapamādaṭṭhānā veramaṇiyāvetaṃ adhivacanaṃ. Yasmā pana majjapāyī atthaṃ na jānāti, dhammaṃ na jānāti, mātupi antarāyaṃ karoti, pitu buddhapaccekabuddhatathāgatasāvakānampi antarāyaṃ karoti, diṭṭheva dhamme garahaṃ, samparāye duggatiṃ, aparāpariyāye ummādañca pāpuṇāti. Majjapānā pana saṃyato tesaṃ dosānaṃ vūpasamaṃ tabbiparītaguṇasampadañca pāpuṇāti. Tasmā ayaṃ majjapānā saṃyamo ‘‘maṅgala’’nti veditabbo.
กุสเลสุ ธเมฺมสุ อปฺปมาโท นาม ‘‘กุสลานํ วา ธมฺมานํ ภาวนาย อสกฺกจฺจกิริยตา อสาตจฺจกิริยตา อนฎฺฐิตกิริยตา โอลีนวุตฺติตา นิกฺขิตฺตฉนฺทตา นิกฺขิตฺตธุรตา อนาเสวนา อภาวนา อพหุลีกมฺมํ อนธิฎฺฐานํ อนนุโยโค ปมาโทฯ โย เอวรูโป ปมาโท ปมชฺชนา ปมชฺชิตตฺตํ, อยํ วุจฺจติ ปมาโท’’ติ (วิภ. ๘๔๖) เอตฺถ วุตฺตสฺส ปมาทสฺส ปฎิปกฺขนเยน อตฺถโต กุสเลสุ ธเมฺมสุ สติยา อวิปฺปวาโส เวทิตโพฺพฯ โส นานปฺปการกุสลาธิคมเหตุโต อมตาธิคมเหตุโต จ ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุจฺจติฯ ตตฺถ ‘‘อปฺปมตฺตสฺส อาตาปิโน’’ติ (ม. นิ. ๒.๑๘-๑๙; อ. นิ. ๕.๒๖) จ ‘‘อปฺปมาโท อมตปท’’นฺติ (ธ. ป. ๒๑) จ เอวมาทิ สตฺถุสาสนํ อนุสฺสริตพฺพํฯ
Kusalesu dhammesu appamādo nāma ‘‘kusalānaṃ vā dhammānaṃ bhāvanāya asakkaccakiriyatā asātaccakiriyatā anaṭṭhitakiriyatā olīnavuttitā nikkhittachandatā nikkhittadhuratā anāsevanā abhāvanā abahulīkammaṃ anadhiṭṭhānaṃ ananuyogo pamādo. Yo evarūpo pamādo pamajjanā pamajjitattaṃ, ayaṃ vuccati pamādo’’ti (vibha. 846) ettha vuttassa pamādassa paṭipakkhanayena atthato kusalesu dhammesu satiyā avippavāso veditabbo. So nānappakārakusalādhigamahetuto amatādhigamahetuto ca ‘‘maṅgala’’nti vuccati. Tattha ‘‘appamattassa ātāpino’’ti (ma. ni. 2.18-19; a. ni. 5.26) ca ‘‘appamādo amatapada’’nti (dha. pa. 21) ca evamādi satthusāsanaṃ anussaritabbaṃ.
เอวํ อิมิสฺสา คาถาย ปาปา วิรติ, มชฺชปานา สํยโม, กุสเลสุ ธเมฺมสุ อปฺปมาโทติ ตีณิ มงฺคลานิ วุตฺตานิ, มงฺคลตฺตญฺจ เนสํ ตตฺถ ตตฺถ วิภาวิตเมวาติฯ
Evaṃ imissā gāthāya pāpā virati, majjapānā saṃyamo, kusalesu dhammesu appamādoti tīṇi maṅgalāni vuttāni, maṅgalattañca nesaṃ tattha tattha vibhāvitamevāti.
นิฎฺฐิตา อารตี วิรตีติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā āratī viratīti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
๒๖๘. อิทานิ คารโว จาติ เอตฺถ คารโวติ ครุภาโวฯ นิวาโตติ นีจวุตฺติตาฯ สนฺตุฎฺฐีติ สโนฺตโสฯ กตสฺส ชานนตา กตญฺญุตาฯ กาเลนาติ ขเณน สมเยนฯ ธมฺมสฺส สวนํ ธมฺมสฺสวนํฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติ อยํ ปทวณฺณนาฯ
268. Idāni gāravo cāti ettha gāravoti garubhāvo. Nivātoti nīcavuttitā. Santuṭṭhīti santoso. Katassa jānanatā kataññutā. Kālenāti khaṇena samayena. Dhammassa savanaṃ dhammassavanaṃ. Sesaṃ vuttanayamevāti ayaṃ padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปน เอวํ เวทิตพฺพา – คารโว นาม ครุการปโยคารเหสุ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธตถาคตสาวกอาจริยุปชฺฌายมาตาปิตุเชฎฺฐภาติกภคินิอาทีสุ ยถานุรูปํ ครุกาโร ครุกรณํ สคารวตาฯ สฺวายํ คารโว ยสฺมา สุคติคมนาทีนํ เหตุฯ ยถาห –
Atthavaṇṇanā pana evaṃ veditabbā – gāravo nāma garukārapayogārahesu buddhapaccekabuddhatathāgatasāvakaācariyupajjhāyamātāpitujeṭṭhabhātikabhaginiādīsu yathānurūpaṃ garukāro garukaraṇaṃ sagāravatā. Svāyaṃ gāravo yasmā sugatigamanādīnaṃ hetu. Yathāha –
‘‘ครุกาตพฺพํ ครุํ กโรติ, มาเนตพฺพํ มาเนติ, ปูเชตพฺพํ ปูเชติฯ โส เตน กเมฺมน เอวํ สมเตฺตน เอวํ สมาทิเนฺนน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติฯ โน เจ กายสฺส เภทา…เป.… อุปปชฺชติ, สเจ มนุสฺสตฺตํ อาคจฺฉติ, ยตฺถ ยตฺถ ปจฺจาชายติ, อุจฺจากุลีโน โหตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๙๕)ฯ
‘‘Garukātabbaṃ garuṃ karoti, mānetabbaṃ māneti, pūjetabbaṃ pūjeti. So tena kammena evaṃ samattena evaṃ samādinnena kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjati. No ce kāyassa bhedā…pe… upapajjati, sace manussattaṃ āgacchati, yattha yattha paccājāyati, uccākulīno hotī’’ti (ma. ni. 3.295).
ยถา จาห – ‘‘สตฺติเม, ภิกฺขเว, อปริหานิยา ธมฺมาฯ กตเม สตฺต? สตฺถุคารวตา’’ติอาทิ (อ. นิ. ๗.๓๒-๓๓)ฯ ตสฺมา ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุจฺจติฯ
Yathā cāha – ‘‘sattime, bhikkhave, aparihāniyā dhammā. Katame satta? Satthugāravatā’’tiādi (a. ni. 7.32-33). Tasmā ‘‘maṅgala’’nti vuccati.
นิวาโต นาม นีจมนตา นิวาตวุตฺติตา, ยาย สมนฺนาคโต ปุคฺคโล นิหตมาโน นิหตทโปฺป ปาทปุญฺฉนโจฬกสโม ฉินฺนวิสาณุสภสโม อุทฺธฎทาฐสปฺปสโม จ หุตฺวา สโณฺห สขิโล สุขสมฺภาโส โหติ, อยํ นิวาโตฯ สฺวายํ ยสาทิคุณปฎิลาภเหตุโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุจฺจติฯ อาห จ – ‘‘นิวาตวุตฺติ อตฺถโทฺธ, ตาทิโส ลภเต ยส’’นฺติ เอวมาทิ (ที. นิ. ๓.๒๗๓)ฯ
Nivāto nāma nīcamanatā nivātavuttitā, yāya samannāgato puggalo nihatamāno nihatadappo pādapuñchanacoḷakasamo chinnavisāṇusabhasamo uddhaṭadāṭhasappasamo ca hutvā saṇho sakhilo sukhasambhāso hoti, ayaṃ nivāto. Svāyaṃ yasādiguṇapaṭilābhahetuto ‘‘maṅgala’’nti vuccati. Āha ca – ‘‘nivātavutti atthaddho, tādiso labhate yasa’’nti evamādi (dī. ni. 3.273).
สนฺตุฎฺฐิ นาม อิตรีตรปจฺจยสโนฺตโส, โส ทฺวาทสวิโธ โหติฯ เสยฺยถิทํ – จีวเร ยถาลาภสโนฺตโส, ยถาพลสโนฺตโส, ยถาสารุปฺปสโนฺตโสติ ติวิโธฯ เอวํ ปิณฺฑปาตาทีสุฯ
Santuṭṭhi nāma itarītarapaccayasantoso, so dvādasavidho hoti. Seyyathidaṃ – cīvare yathālābhasantoso, yathābalasantoso, yathāsāruppasantosoti tividho. Evaṃ piṇḍapātādīsu.
ตสฺสายํ ปเภทวณฺณนา – อิธ ภิกฺขุ จีวรํ ลภติ สุนฺทรํ วา อสุนฺทรํ วา, โส เตเนว ยาเปติ, อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติ, อยมสฺส จีวเร ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ ปน อาพาธิโก โหติ, ครุํ จีวรํ ปารุปโนฺต โอณมติ วา กิลมติ วาฯ โส สภาเคน ภิกฺขุนา สทฺธิํ ตํ ปริวเตฺตตฺวา ลหุเกน ยาเปโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส จีวเร ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร ภิกฺขุ ปณีตปจฺจยลาภี โหติ, โส ปฎฺฎจีวราทีนํ อญฺญตรํ มหคฺฆํ จีวรํ ลภิตฺวา ‘‘อิทํ เถรานํ จิรปพฺพชิตานํ พหุสฺสุตานญฺจ อนุรูป’’นฺติ เตสํ ทตฺวา อตฺตนา สงฺการกูฎา วา อญฺญโต วา กุโตจิ นนฺตกานิ อุจฺจินิตฺวา สงฺฆาฎิํ กตฺวา ธาเรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส จีวเร ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Tassāyaṃ pabhedavaṇṇanā – idha bhikkhu cīvaraṃ labhati sundaraṃ vā asundaraṃ vā, so teneva yāpeti, aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhāti, ayamassa cīvare yathālābhasantoso. Atha pana ābādhiko hoti, garuṃ cīvaraṃ pārupanto oṇamati vā kilamati vā. So sabhāgena bhikkhunā saddhiṃ taṃ parivattetvā lahukena yāpentopi santuṭṭhova hoti, ayamassa cīvare yathābalasantoso. Aparo bhikkhu paṇītapaccayalābhī hoti, so paṭṭacīvarādīnaṃ aññataraṃ mahagghaṃ cīvaraṃ labhitvā ‘‘idaṃ therānaṃ cirapabbajitānaṃ bahussutānañca anurūpa’’nti tesaṃ datvā attanā saṅkārakūṭā vā aññato vā kutoci nantakāni uccinitvā saṅghāṭiṃ katvā dhārentopi santuṭṭhova hoti, ayamassa cīvare yathāsāruppasantoso.
อิธ ปน ภิกฺขุ ปิณฺฑปาตํ ลภติ ลูขํ วา ปณีตํ วา, โส เตเนว ยาเปติ, อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติ, อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ ปน อาพาธิโก โหติ, ลูขํ ปิณฺฑปาตํ ภุญฺชิตฺวา พาฬฺหํ โรคาตงฺกํ ปาปุณาติ, โส สภาคสฺส ภิกฺขุโน ตํ ทตฺวา ตสฺส หตฺถโต สปฺปิมธุขีราทีนิ ภุญฺชิตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร ภิกฺขุ ปณีตํ ปิณฺฑปาตํ ลภติ, โส ‘‘อยํ ปิณฺฑปาโต เถรานํ จิรปพฺพชิตานํ อเญฺญสญฺจ ปณีตปิณฺฑปาตํ วินา อยาเปนฺตานํ สพฺรหฺมจารีนํ อนุรูโป’’ติ เตสํ ทตฺวา อตฺตนา ปิณฺฑาย จริตฺวา มิสฺสกาหารํ ภุญฺชโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Idha pana bhikkhu piṇḍapātaṃ labhati lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā, so teneva yāpeti, aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhāti, ayamassa piṇḍapāte yathālābhasantoso. Atha pana ābādhiko hoti, lūkhaṃ piṇḍapātaṃ bhuñjitvā bāḷhaṃ rogātaṅkaṃ pāpuṇāti, so sabhāgassa bhikkhuno taṃ datvā tassa hatthato sappimadhukhīrādīni bhuñjitvā samaṇadhammaṃ karontopi santuṭṭhova hoti, ayamassa piṇḍapāte yathābalasantoso. Aparo bhikkhu paṇītaṃ piṇḍapātaṃ labhati, so ‘‘ayaṃ piṇḍapāto therānaṃ cirapabbajitānaṃ aññesañca paṇītapiṇḍapātaṃ vinā ayāpentānaṃ sabrahmacārīnaṃ anurūpo’’ti tesaṃ datvā attanā piṇḍāya caritvā missakāhāraṃ bhuñjantopi santuṭṭhova hoti, ayamassa piṇḍapāte yathāsāruppasantoso.
อิธ ปน ภิกฺขุโน เสนาสนํ ปาปุณาติ, โส เตเนว สนฺตุสฺสติ, ปุน อญฺญํ สุนฺทรตรมฺปิ ปาปุณนฺตํ น คณฺหาติ, อยมสฺส เสนาสเน ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ ปน อาพาธิโก โหติ, นิวาตเสนาสเน วสโนฺต อติวิย ปิตฺตโรคาทีหิ อาตุรียติ, โส สภาคสฺส ภิกฺขุโน ตํ ทตฺวา ตสฺส ปาปุณนเก สวาตสีตลเสนาสเน วสิตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส เสนาสเน ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร ภิกฺขุ สุนฺทรํ เสนาสนํ ปตฺตมฺปิ น สมฺปฎิจฺฉติ ‘‘สุนฺทรเสนาสนํ ปมาทฎฺฐานํ, ตตฺร นิสินฺนสฺส ถินมิทฺธํ โอกฺกมติ, นิทฺทาภิภูตสฺส จ ปุน ปฎิพุชฺฌโต กามวิตกฺกา สมุทาจรนฺตี’’ติ, โส ตํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อโพฺภกาสรุกฺขมูลปณฺณกุฎีสุ ยตฺถ กตฺถจิ นิวสโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส เสนาสเน ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Idha pana bhikkhuno senāsanaṃ pāpuṇāti, so teneva santussati, puna aññaṃ sundaratarampi pāpuṇantaṃ na gaṇhāti, ayamassa senāsane yathālābhasantoso. Atha pana ābādhiko hoti, nivātasenāsane vasanto ativiya pittarogādīhi āturīyati, so sabhāgassa bhikkhuno taṃ datvā tassa pāpuṇanake savātasītalasenāsane vasitvā samaṇadhammaṃ karontopi santuṭṭhova hoti, ayamassa senāsane yathābalasantoso. Aparo bhikkhu sundaraṃ senāsanaṃ pattampi na sampaṭicchati ‘‘sundarasenāsanaṃ pamādaṭṭhānaṃ, tatra nisinnassa thinamiddhaṃ okkamati, niddābhibhūtassa ca puna paṭibujjhato kāmavitakkā samudācarantī’’ti, so taṃ paṭikkhipitvā abbhokāsarukkhamūlapaṇṇakuṭīsu yattha katthaci nivasantopi santuṭṭhova hoti, ayamassa senāsane yathāsāruppasantoso.
อิธ ปน ภิกฺขุ เภสชฺชํ ลภติ หรีตกํ วา อามลกํ วา, โส เตเนว ยาเปติ, อเญฺญหิ ลทฺธํ สปฺปิมธุผาณิตาทิมฺปิ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติ, อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ ปน อาพาธิโก เตเลน อตฺถิโก ผาณิตํ ลภติ, โส ตํ สภาคสฺส ภิกฺขุโน ทตฺวา ตสฺส หตฺถโต เตเลน เภสชฺชํ กตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร ภิกฺขุ เอกสฺมิํ ภาชเน ปูติมุตฺตหรีตกํ ฐเปตฺวา เอกสฺมิํ จตุมธุรํ ‘‘คณฺหถ, ภเนฺต, ยทิจฺฉสี’’ติ วุจฺจมาโน สจสฺส เตสํ ทฺวินฺนํ อญฺญตเรนปิ พฺยาธิ วูปสมฺมติ, อถ ‘‘ปูติมุตฺตหรีตกํ นาม พุทฺธาทีหิ วณฺณิตํ, อยญฺจ ปูติมุตฺตเภสชฺชํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา, ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย’’ติ (มหาว. ๑๒๘) วุตฺตนฺติ จิเนฺตโนฺต จตุมธุรเภสชฺชํ ปฎิกฺขิปิตฺวา มุตฺตหรีตเกน เภสชฺชํ กโรโนฺตปิ ปรมสนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Idha pana bhikkhu bhesajjaṃ labhati harītakaṃ vā āmalakaṃ vā, so teneva yāpeti, aññehi laddhaṃ sappimadhuphāṇitādimpi na pattheti, labhantopi na gaṇhāti, ayamassa gilānapaccaye yathālābhasantoso. Atha pana ābādhiko telena atthiko phāṇitaṃ labhati, so taṃ sabhāgassa bhikkhuno datvā tassa hatthato telena bhesajjaṃ katvā samaṇadhammaṃ karontopi santuṭṭhova hoti, ayamassa gilānapaccaye yathābalasantoso. Aparo bhikkhu ekasmiṃ bhājane pūtimuttaharītakaṃ ṭhapetvā ekasmiṃ catumadhuraṃ ‘‘gaṇhatha, bhante, yadicchasī’’ti vuccamāno sacassa tesaṃ dvinnaṃ aññatarenapi byādhi vūpasammati, atha ‘‘pūtimuttaharītakaṃ nāma buddhādīhi vaṇṇitaṃ, ayañca pūtimuttabhesajjaṃ nissāya pabbajjā, tattha te yāvajīvaṃ ussāho karaṇīyo’’ti (mahāva. 128) vuttanti cintento catumadhurabhesajjaṃ paṭikkhipitvā muttaharītakena bhesajjaṃ karontopi paramasantuṭṭhova hoti, ayamassa gilānapaccaye yathāsāruppasantoso.
เอวํ ปเภโท สโพฺพเปโส สโนฺตโส สนฺตุฎฺฐีติ วุจฺจติฯ สา อตฺริจฺฉตาปาปิจฺฉตามหิจฺฉตาทีนํ ปาปธมฺมานํ ปหานาธิคมเหตุโต สุคติเหตุโต อริยมคฺคสมฺภารภาวโต จาตุทฺทิสาทิภาวเหตุโต จ ‘‘มงฺคล’’นฺติ เวทิตพฺพาฯ อาห จ –
Evaṃ pabhedo sabbopeso santoso santuṭṭhīti vuccati. Sā atricchatāpāpicchatāmahicchatādīnaṃ pāpadhammānaṃ pahānādhigamahetuto sugatihetuto ariyamaggasambhārabhāvato cātuddisādibhāvahetuto ca ‘‘maṅgala’’nti veditabbā. Āha ca –
‘‘จาตุทฺทิโส อปฺปฎิโฆ จ โหติ,
‘‘Cātuddiso appaṭigho ca hoti,
สนฺตุสฺสมาโน อิตรีตเรนา’’ติฯ (สุ. นิ. ๔๒; จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๒๘) เอวมาทิ;
Santussamāno itarītarenā’’ti. (su. ni. 42; cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddesa 128) evamādi;
กตญฺญุตา นาม อปฺปสฺส วา พหุสฺส วา เยน เกนจิ กตสฺส อุปการสฺส ปุนปฺปุนํ อนุสฺสรณภาเวน ชานนตาฯ อปิจ เนรยิกาทิทุกฺขปริตฺตาณโต ปุญฺญานิ เอว ปาณีนํ พหูปการานิ, ตโต เตสมฺปิ อุปการานุสฺสรณตา ‘‘กตญฺญุตา’’ติ เวทิตพฺพาฯ สา สปฺปุริเสหิ ปสํสนียตาทินานปฺปการวิเสสาธิคมเหตุโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุตฺตาฯ อาห จ – ‘‘เทฺวเม, ภิกฺขเว, ปุคฺคลา ทุลฺลภา โลกสฺมิํฯ กตเม เทฺว? โย จ ปุพฺพการี, โย จ กตญฺญู กตเวที’’ติ (อ. นิ. ๒.๑๒๐)ฯ
Kataññutā nāma appassa vā bahussa vā yena kenaci katassa upakārassa punappunaṃ anussaraṇabhāvena jānanatā. Apica nerayikādidukkhaparittāṇato puññāni eva pāṇīnaṃ bahūpakārāni, tato tesampi upakārānussaraṇatā ‘‘kataññutā’’ti veditabbā. Sā sappurisehi pasaṃsanīyatādinānappakāravisesādhigamahetuto ‘‘maṅgala’’nti vuttā. Āha ca – ‘‘dveme, bhikkhave, puggalā dullabhā lokasmiṃ. Katame dve? Yo ca pubbakārī, yo ca kataññū katavedī’’ti (a. ni. 2.120).
กาเลน ธมฺมสฺสวนํ นาม ยสฺมิํ กาเล อุทฺธจฺจสหคตํ จิตฺตํ โหติ, กามวิตกฺกาทีนํ วา อญฺญตเรน อภิภูตํ, ตสฺมิํ กาเล เตสํ วิโนทนตฺถํ ธมฺมสฺสวนํฯ อปเร อาหุ – ปญฺจเม ปญฺจเม ทิวเส ธมฺมสฺสวนํ กาเลน ธมฺมสฺสวนํ นามฯ ยถาห อายสฺมา อนุรุโทฺธ ‘‘ปญฺจาหิกํ โข ปน มยํ, ภเนฺต, สพฺพรตฺติํ ธมฺมิยา กถาย สนฺนิสีทามา’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๒๗; มหาว. ๔๖๖)ฯ
Kālena dhammassavanaṃ nāma yasmiṃ kāle uddhaccasahagataṃ cittaṃ hoti, kāmavitakkādīnaṃ vā aññatarena abhibhūtaṃ, tasmiṃ kāle tesaṃ vinodanatthaṃ dhammassavanaṃ. Apare āhu – pañcame pañcame divase dhammassavanaṃ kālena dhammassavanaṃ nāma. Yathāha āyasmā anuruddho ‘‘pañcāhikaṃ kho pana mayaṃ, bhante, sabbarattiṃ dhammiyā kathāya sannisīdāmā’’ti (ma. ni. 1.327; mahāva. 466).
อปิจ ยสฺมิํ กาเล กลฺยาณมิเตฺต อุปสงฺกมิตฺวา สกฺกา โหติ อตฺตโน กงฺขาปฎิวิโนทกํ ธมฺมํ โสตุํ, ตสฺมิํ กาเลปิ ธมฺมสฺสวนํ ‘‘กาเลน ธมฺมสฺสวน’’นฺติ เวทิตพฺพํฯ ยถาห – ‘‘เต กาเลน กาลํ อุปสงฺกมิตฺวา ปริปุจฺฉติ ปริปญฺหตี’’ติอาทิ (ที. นิ. ๓.๓๕๘)ฯ ตเทตํ กาเลน ธมฺมสฺสวนํ นีวรณปฺปหานจตุรานิสํสอาสวกฺขยาทินานปฺปการวิเสสาธิคมเหตุโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Apica yasmiṃ kāle kalyāṇamitte upasaṅkamitvā sakkā hoti attano kaṅkhāpaṭivinodakaṃ dhammaṃ sotuṃ, tasmiṃ kālepi dhammassavanaṃ ‘‘kālena dhammassavana’’nti veditabbaṃ. Yathāha – ‘‘te kālena kālaṃ upasaṅkamitvā paripucchati paripañhatī’’tiādi (dī. ni. 3.358). Tadetaṃ kālena dhammassavanaṃ nīvaraṇappahānacaturānisaṃsaāsavakkhayādinānappakāravisesādhigamahetuto ‘‘maṅgala’’nti veditabbaṃ. Vuttañhetaṃ –
‘‘ยสฺมิํ, ภิกฺขเว, สมเย อริยสาวโก อฎฺฐิํ กตฺวา มนสิ กตฺวา สพฺพํ เจตโส สมนฺนาหริตฺวา โอหิตโสโต ธมฺมํ สุณาติ, ปญฺจสฺส นีวรณานิ ตสฺมิํ สมเย น โหนฺตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๑๙) จฯ
‘‘Yasmiṃ, bhikkhave, samaye ariyasāvako aṭṭhiṃ katvā manasi katvā sabbaṃ cetaso samannāharitvā ohitasoto dhammaṃ suṇāti, pañcassa nīvaraṇāni tasmiṃ samaye na hontī’’ti (saṃ. ni. 5.219) ca.
‘‘โสตานุคตานํ, ภิกฺขเว, ธมฺมานํ…เป.… สุปฺปฎิวิทฺธานํ จตฺตาโร อานิสํสา ปาฎิกงฺขา’’ติ (อ. นิ. ๔.๑๙๑) จฯ
‘‘Sotānugatānaṃ, bhikkhave, dhammānaṃ…pe… suppaṭividdhānaṃ cattāro ānisaṃsā pāṭikaṅkhā’’ti (a. ni. 4.191) ca.
‘‘จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, ธมฺมา กาเลน กาลํ สมฺมา ภาวิยมานา สมฺมา อนุปริวตฺติยมานา อนุปุเพฺพน อาสวานํ ขยํ ปาเปนฺติฯ กตเม จตฺตาโร? กาเลน ธมฺมสฺสวน’’นฺติ จ เอวมาทีนิ (อ. นิ. ๔.๑๔๗)ฯ
‘‘Cattārome, bhikkhave, dhammā kālena kālaṃ sammā bhāviyamānā sammā anuparivattiyamānā anupubbena āsavānaṃ khayaṃ pāpenti. Katame cattāro? Kālena dhammassavana’’nti ca evamādīni (a. ni. 4.147).
เอวํ อิมิสฺสา คาถาย คารโว, นิวาโต, สนฺตุฎฺฐิ, กตญฺญุตา, กาเลน ธมฺมสฺสวนนฺติ ปญฺจ มงฺคลานิ วุตฺตานิ, มงฺคลตฺตญฺจ เนสํ ตตฺถ ตตฺถ วิภาวิตเมวาติฯ
Evaṃ imissā gāthāya gāravo, nivāto, santuṭṭhi, kataññutā, kālena dhammassavananti pañca maṅgalāni vuttāni, maṅgalattañca nesaṃ tattha tattha vibhāvitamevāti.
นิฎฺฐิตา คารโว จ นิวาโต จาติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā gāravo ca nivāto cāti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
๒๖๙. อิทานิ ขนฺตี จาติ เอตฺถ ขมนํ ขนฺติฯ ปทกฺขิณคฺคาหิตาย สุขํ วโจ อสฺมินฺติ สุวโจ, สุวจสฺส กมฺมํ โสวจสฺสํ, โสวจสฺสสฺส ภาโว โสวจสฺสตาฯ กิเลสานํ สมิตตฺตา สมณาฯ ทสฺสนนฺติ เปกฺขนํฯ ธมฺมสฺส สากจฺฉา ธมฺมสากจฺฉาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติ อยํ ปทวณฺณนาฯ
269. Idāni khantī cāti ettha khamanaṃ khanti. Padakkhiṇaggāhitāya sukhaṃ vaco asminti suvaco, suvacassa kammaṃ sovacassaṃ, sovacassassa bhāvo sovacassatā. Kilesānaṃ samitattā samaṇā. Dassananti pekkhanaṃ. Dhammassa sākacchā dhammasākacchā. Sesaṃ vuttanayamevāti ayaṃ padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปน เอวํ เวทิตพฺพา ขนฺติ นาม อธิวาสนกฺขนฺติ, ยาย สมนฺนาคโต ภิกฺขุ ทสหิ อโกฺกสวตฺถูหิ อโกฺกสเนฺต, วธพนฺธาทีหิ วา วิหิํสเนฺต ปุคฺคเล อสุณโนฺต วิย จ อปสฺสโนฺต วิย จ นิพฺพิกาโร โหติ ขนฺติวาที วิยฯ ยถาห –
Atthavaṇṇanā pana evaṃ veditabbā khanti nāma adhivāsanakkhanti, yāya samannāgato bhikkhu dasahi akkosavatthūhi akkosante, vadhabandhādīhi vā vihiṃsante puggale asuṇanto viya ca apassanto viya ca nibbikāro hoti khantivādī viya. Yathāha –
‘‘อหู อตีตมทฺธานํ, สมโณ ขนฺติทีปโน;
‘‘Ahū atītamaddhānaṃ, samaṇo khantidīpano;
ตํ ขนฺติยาเยว ฐิตํ, กาสิราชา อเฉทยี’’ติฯ (ชา. ๑.๔.๕๑);
Taṃ khantiyāyeva ṭhitaṃ, kāsirājā achedayī’’ti. (jā. 1.4.51);
ภทฺทกโต วา มนสิ กโรติ ตโต อุตฺตริ อปราธาภาเวน อายสฺมา ปุณฺณเตฺถโร วิยฯ ยถาห –
Bhaddakato vā manasi karoti tato uttari aparādhābhāvena āyasmā puṇṇatthero viya. Yathāha –
‘‘สเจ มํ, ภเนฺต, สุนาปรนฺตกา มนุสฺสา อโกฺกสิสฺสนฺติ ปริภาสิสฺสนฺติ, ตตฺถ เม เอวํ ภวิสฺสติ ‘ภทฺทกา วติเม สุนาปรนฺตกา มนุสฺสา, สุภทฺทกา วติเม สุนาปรนฺตกา มนุสฺสา, ยํ เม นยิเม ปาณินา ปหารํ เทนฺตี’’’ติอาทิ (ม. นิ. ๓.๓๙๖; สํ. นิ. ๔.๘๘)ฯ
‘‘Sace maṃ, bhante, sunāparantakā manussā akkosissanti paribhāsissanti, tattha me evaṃ bhavissati ‘bhaddakā vatime sunāparantakā manussā, subhaddakā vatime sunāparantakā manussā, yaṃ me nayime pāṇinā pahāraṃ dentī’’’tiādi (ma. ni. 3.396; saṃ. ni. 4.88).
ยาย จ สมนฺนาคโต อิสีนมฺปิ ปสํสนีโย โหติฯ ยถาห สรภโงฺค อิสิ –
Yāya ca samannāgato isīnampi pasaṃsanīyo hoti. Yathāha sarabhaṅgo isi –
‘‘โกธํ วธิตฺวา น กทาจิ โสจติ,
‘‘Kodhaṃ vadhitvā na kadāci socati,
มกฺขปฺปหานํ อิสโย วณฺณยนฺติ;
Makkhappahānaṃ isayo vaṇṇayanti;
สเพฺพสํ วุตฺตํ ผรุสํ ขเมถ,
Sabbesaṃ vuttaṃ pharusaṃ khametha,
เอตํ ขนฺติํ อุตฺตมมาหุ สโนฺต’’ติฯ (ชา. ๒.๑๗.๖๔);
Etaṃ khantiṃ uttamamāhu santo’’ti. (jā. 2.17.64);
เทวตานมฺปิ ปสํสนีโย โหติฯ ยถาห สโกฺก เทวานมิโนฺท –
Devatānampi pasaṃsanīyo hoti. Yathāha sakko devānamindo –
‘‘โย หเว พลวา สโนฺต, ทุพฺพลสฺส ติติกฺขติ;
‘‘Yo have balavā santo, dubbalassa titikkhati;
ตมาหุ ปรมํ ขนฺติํ, นิจฺจํ ขมติ ทุพฺพโล’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๕๐-๒๕๑);
Tamāhu paramaṃ khantiṃ, niccaṃ khamati dubbalo’’ti. (saṃ. ni. 1.250-251);
พุทฺธานมฺปิ ปสํสนีโย โหติฯ ยถาห ภควา –
Buddhānampi pasaṃsanīyo hoti. Yathāha bhagavā –
‘‘อโกฺกสํ วธพนฺธญฺจ, อทุโฎฺฐ โย ติติกฺขติ;
‘‘Akkosaṃ vadhabandhañca, aduṭṭho yo titikkhati;
ขนฺตีพลํ พลานีกํ, ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณ’’นฺติฯ (ธ. ป. ๓๙๙);
Khantībalaṃ balānīkaṃ, tamahaṃ brūmi brāhmaṇa’’nti. (dha. pa. 399);
สา ปเนสา ขนฺติ เอเตสญฺจ อิธ วณฺณิตานํ อเญฺญสญฺจ คุณานํ อธิคมเหตุโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ เวทิตพฺพาฯ
Sā panesā khanti etesañca idha vaṇṇitānaṃ aññesañca guṇānaṃ adhigamahetuto ‘‘maṅgala’’nti veditabbā.
โสวจสฺสตา นาม สหธมฺมิกํ วุจฺจมาเน วิเกฺขปํ วา ตุณฺหีภาวํ วา คุณโทสจินฺตนํ วา อนาปชฺชิตฺวา อติวิย อาทรญฺจ คารวญฺจ นีจมนตญฺจ ปุรกฺขตฺวา ‘‘สาธู’’ติ วจนกรณตาฯ สา สพฺรหฺมจารีนํ สนฺติกา โอวาทานุสาสนีปฎิลาภเหตุโต โทสปฺปหานคุณาธิคมเหตุโต จ ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุจฺจติฯ
Sovacassatā nāma sahadhammikaṃ vuccamāne vikkhepaṃ vā tuṇhībhāvaṃ vā guṇadosacintanaṃ vā anāpajjitvā ativiya ādarañca gāravañca nīcamanatañca purakkhatvā ‘‘sādhū’’ti vacanakaraṇatā. Sā sabrahmacārīnaṃ santikā ovādānusāsanīpaṭilābhahetuto dosappahānaguṇādhigamahetuto ca ‘‘maṅgala’’nti vuccati.
สมณานํ ทสฺสนํ นาม อุปสมิตกิเลสานํ ภาวิตกายวจีจิตฺตปญฺญานํ อุตฺตมทมถสมถสมนฺนาคตานํ ปพฺพชิตานํ อุปสงฺกมนุปฎฺฐานอนุสฺสรณสวนทสฺสนํ, สพฺพมฺปิ โอมกเทสนาย ‘‘ทสฺสน’’นฺติ วุตฺตํฯ ตํ ‘‘มงฺคล’’นฺติ เวทิตพฺพํฯ กสฺมา? พหูปการตฺตาฯ อาห จ – ‘‘ทสฺสนมฺปหํ, ภิกฺขเว, เตสํ ภิกฺขูนํ พหูปการํ วทามี’’ติอาทิ (อิติวุ. ๑๐๔)ฯ ยโต หิตกาเมน กุลปุเตฺตน สีลวเนฺต ภิกฺขู ฆรทฺวารํ สมฺปเตฺต ทิสฺวา ยทิ เทยฺยธโมฺม อตฺถิ, ยถาพลํ เทยฺยธเมฺมน ปติมาเนตพฺพาฯ ยทิ นตฺถิ, ปญฺจปติฎฺฐิตํ กตฺวา วนฺทิตพฺพาฯ ตสฺมิํ อสมฺปชฺชมาเน อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา นมสฺสิตพฺพา, ตสฺมิมฺปิ อสมฺปชฺชมาเน ปสนฺนจิเตฺตน ปิยจกฺขูหิ สมฺปสฺสิตพฺพาฯ เอวํ ทสฺสนมูลเกนาปิ หิ ปุเญฺญน อเนกานิ ชาติสหสฺสานิ จกฺขุมฺหิ โรโค วา ทาโห วา อุสฺสทา วา ปิฬกา วา น โหนฺติ, วิปฺปสนฺนปญฺจวณฺณสสฺสิริกานิ โหนฺติ จกฺขูนิ รตนวิมาเน อุคฺฆาฎิตมณิกวาฎสทิสานิ , สตสหสฺสกปฺปมตฺตํ เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สพฺพสมฺปตฺตีนํ ลาภี โหติฯ อนจฺฉริยเญฺจตํ, ยํ มนุสฺสภูโต สปฺปญฺญชาติโก สมฺมา ปวตฺติเตน สมณทสฺสนมเยน ปุเญฺญน เอวรูปํ วิปากสมฺปตฺติํ อนุภเวยฺย, ยตฺถ ติรจฺฉานคตานมฺปิ เกวลํ สทฺธามตฺตกชนิตสฺส สมณทสฺสนสฺส เอวํ วิปากสมฺปตฺติํ วณฺณยนฺติ –
Samaṇānaṃdassanaṃ nāma upasamitakilesānaṃ bhāvitakāyavacīcittapaññānaṃ uttamadamathasamathasamannāgatānaṃ pabbajitānaṃ upasaṅkamanupaṭṭhānaanussaraṇasavanadassanaṃ, sabbampi omakadesanāya ‘‘dassana’’nti vuttaṃ. Taṃ ‘‘maṅgala’’nti veditabbaṃ. Kasmā? Bahūpakārattā. Āha ca – ‘‘dassanampahaṃ, bhikkhave, tesaṃ bhikkhūnaṃ bahūpakāraṃ vadāmī’’tiādi (itivu. 104). Yato hitakāmena kulaputtena sīlavante bhikkhū gharadvāraṃ sampatte disvā yadi deyyadhammo atthi, yathābalaṃ deyyadhammena patimānetabbā. Yadi natthi, pañcapatiṭṭhitaṃ katvā vanditabbā. Tasmiṃ asampajjamāne añjaliṃ paggahetvā namassitabbā, tasmimpi asampajjamāne pasannacittena piyacakkhūhi sampassitabbā. Evaṃ dassanamūlakenāpi hi puññena anekāni jātisahassāni cakkhumhi rogo vā dāho vā ussadā vā piḷakā vā na honti, vippasannapañcavaṇṇasassirikāni honti cakkhūni ratanavimāne ugghāṭitamaṇikavāṭasadisāni , satasahassakappamattaṃ devesu ca manussesu ca sabbasampattīnaṃ lābhī hoti. Anacchariyañcetaṃ, yaṃ manussabhūto sappaññajātiko sammā pavattitena samaṇadassanamayena puññena evarūpaṃ vipākasampattiṃ anubhaveyya, yattha tiracchānagatānampi kevalaṃ saddhāmattakajanitassa samaṇadassanassa evaṃ vipākasampattiṃ vaṇṇayanti –
‘‘อุลูโก มณฺฑลกฺขิโก,
‘‘Ulūko maṇḍalakkhiko,
เวทิยเก จิรทีฆวาสิโก;
Vediyake ciradīghavāsiko;
สุขิโต วต โกสิโย อยํ,
Sukhito vata kosiyo ayaṃ,
กาลุฎฺฐิตํ ปสฺสติ พุทฺธวรํฯ
Kāluṭṭhitaṃ passati buddhavaraṃ.
‘‘มยิ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา, ภิกฺขุสเงฺฆ อนุตฺตเร;
‘‘Mayi cittaṃ pasādetvā, bhikkhusaṅghe anuttare;
กปฺปานํ สตสหสฺสานิ, ทุคฺคติํ โส น คจฺฉติฯ
Kappānaṃ satasahassāni, duggatiṃ so na gacchati.
‘‘เทวโลกา จวิตฺวาน, กุสลกเมฺมน โจทิโต;
‘‘Devalokā cavitvāna, kusalakammena codito;
ภวิสฺสติ อนนฺตญาโณ, โสมนโสฺสติ วิสฺสุโต’’ติฯ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๔๔; ขุ. ปา. อฎฺฐ. ๕.๑๐);
Bhavissati anantañāṇo, somanassoti vissuto’’ti. (ma. ni. aṭṭha. 1.144; khu. pā. aṭṭha. 5.10);
กาเลน ธมฺมสากจฺฉา นาม ปโทเส วา ปจฺจูเส วา เทฺว สุตฺตนฺติกา ภิกฺขู อญฺญมญฺญํ สุตฺตนฺตํ สากจฺฉนฺติ, วินยธรา วินยํ, อาภิธมฺมิกา อภิธมฺมํ , ชาตกภาณกา ชาตกํ, อฎฺฐกถิกา อฎฺฐกถํ, ลีนุทฺธตวิจิกิจฺฉาปเรตจิตฺตวิโสธนตฺถํ วา ตมฺหิ ตมฺหิ กาเล สากจฺฉนฺติ, อยํ กาเลน ธมฺมสากจฺฉาฯ สา อาคมพฺยตฺติอาทีนํ คุณานํ เหตุโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุจฺจตีติฯ
Kālena dhammasākacchā nāma padose vā paccūse vā dve suttantikā bhikkhū aññamaññaṃ suttantaṃ sākacchanti, vinayadharā vinayaṃ, ābhidhammikā abhidhammaṃ , jātakabhāṇakā jātakaṃ, aṭṭhakathikā aṭṭhakathaṃ, līnuddhatavicikicchāparetacittavisodhanatthaṃ vā tamhi tamhi kāle sākacchanti, ayaṃ kālena dhammasākacchā. Sā āgamabyattiādīnaṃ guṇānaṃ hetuto ‘‘maṅgala’’nti vuccatīti.
เอวํ อิมิสฺสา คาถาย ขนฺติ, โสวจสฺสตา, สมณทสฺสนํ, กาเลน ธมฺมสากจฺฉาติ จตฺตาริ มงฺคลานิ วุตฺตานิ, มงฺคลตฺตญฺจ เนสํ ตตฺถ ตตฺถ วิภาวิตเมวาติฯ
Evaṃ imissā gāthāya khanti, sovacassatā, samaṇadassanaṃ, kālena dhammasākacchāti cattāri maṅgalāni vuttāni, maṅgalattañca nesaṃ tattha tattha vibhāvitamevāti.
นิฎฺฐิตา ขนฺตี จาติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā khantī cāti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
๒๗๐. อิทานิ ตโป จาติ เอตฺถ ปาปเก อกุสเล ธเมฺม ตปตีติ ตโปฯ พฺรหฺมํ จริยํ, พฺรหฺมานํ วา จริยํ พฺรหฺมจริยํ, เสฎฺฐจริยนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อริยสจฺจานํ ทสฺสนํ อริยสจฺจาน ทสฺสนํฯ อริยสจฺจานิ ทสฺสนนฺติปิ เอเก, ตํ น สุนฺทรํฯ นิกฺขนฺตํ วานโตติ นิพฺพานํ, สจฺฉิกรณํ สจฺฉิกิริยา, นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยา นิพฺพานสจฺฉิกิริยาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติ อยํ ปทวณฺณนาฯ
270. Idāni tapo cāti ettha pāpake akusale dhamme tapatīti tapo. Brahmaṃ cariyaṃ, brahmānaṃ vā cariyaṃ brahmacariyaṃ, seṭṭhacariyanti vuttaṃ hoti. Ariyasaccānaṃ dassanaṃ ariyasaccāna dassanaṃ. Ariyasaccāni dassanantipi eke, taṃ na sundaraṃ. Nikkhantaṃ vānatoti nibbānaṃ, sacchikaraṇaṃ sacchikiriyā, nibbānassa sacchikiriyā nibbānasacchikiriyā. Sesaṃ vuttanayamevāti ayaṃ padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปน เอวํ เวทิตพฺพา – ตโป นาม อภิชฺฌาโทมนสฺสาทีนํ ตปนโต อินฺทฺริยสํวโร, โกสชฺชสฺส วา ตปนโต วีริยํฯ เตน หิ สมนฺนาคโต ปุคฺคโล อาตาปีติ วุจฺจติฯ สฺวายํ อภิชฺฌาทิปฺปหานฌานาทิปฎิลาภเหตุโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ เวทิตโพฺพฯ
Atthavaṇṇanā pana evaṃ veditabbā – tapo nāma abhijjhādomanassādīnaṃ tapanato indriyasaṃvaro, kosajjassa vā tapanato vīriyaṃ. Tena hi samannāgato puggalo ātāpīti vuccati. Svāyaṃ abhijjhādippahānajhānādipaṭilābhahetuto ‘‘maṅgala’’nti veditabbo.
พฺรหฺมจริยํ นาม เมถุนวิรติสมณธมฺมสาสนมคฺคานํ อธิวจนํฯ ตถา หิ ‘‘อพฺรหฺมจริยํ ปหาย พฺรหฺมจารี โหตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๙๔; ม. นิ. ๑.๒๙๒) เอวมาทีสุ เมถุนวิรติ พฺรหฺมจริยนฺติ วุจฺจติฯ ‘‘ภควติ โน, อาวุโส, พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๕๗) สมณธโมฺมฯ ‘‘น ตาวาหํ, ปาปิม, ปรินิพฺพายิสฺสามิ, ยาว เม อิทํ พฺรหฺมจริยํ น อิทฺธเญฺจว ภวิสฺสติ ผีตญฺจ วิตฺถาริกํ พาหุชญฺญ’’นฺติ เอวมาทีสุ (ที. นิ. ๒.๑๖๘; สํ. นิ. ๕.๘๒๒; อุทา. ๕๑) สาสนํฯ ‘‘อยเมว โข, ภิกฺขุ, อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค พฺรหฺมจริยํฯ เสยฺยถิทํ, สมฺมาทิฎฺฐี’’ติ เอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๕.๖) มโคฺคฯ อิธ ปน อริยสจฺจทสฺสเนน ปรโต มคฺคสฺส คหิตตฺตา อวเสสํ สพฺพมฺปิ วฎฺฎติฯ ตเญฺจตํ อุปรูปริ นานปฺปการวิเสสาธิคมเหตุโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ เวทิตพฺพํฯ
Brahmacariyaṃ nāma methunaviratisamaṇadhammasāsanamaggānaṃ adhivacanaṃ. Tathā hi ‘‘abrahmacariyaṃ pahāya brahmacārī hotī’’ti (dī. ni. 1.194; ma. ni. 1.292) evamādīsu methunavirati brahmacariyanti vuccati. ‘‘Bhagavati no, āvuso, brahmacariyaṃ vussatī’’ti evamādīsu (ma. ni. 1.257) samaṇadhammo. ‘‘Na tāvāhaṃ, pāpima, parinibbāyissāmi, yāva me idaṃ brahmacariyaṃ na iddhañceva bhavissati phītañca vitthārikaṃ bāhujañña’’nti evamādīsu (dī. ni. 2.168; saṃ. ni. 5.822; udā. 51) sāsanaṃ. ‘‘Ayameva kho, bhikkhu, ariyo aṭṭhaṅgiko maggo brahmacariyaṃ. Seyyathidaṃ, sammādiṭṭhī’’ti evamādīsu (saṃ. ni. 5.6) maggo. Idha pana ariyasaccadassanena parato maggassa gahitattā avasesaṃ sabbampi vaṭṭati. Tañcetaṃ uparūpari nānappakāravisesādhigamahetuto ‘‘maṅgala’’nti veditabbaṃ.
อริยสจฺจาน ทสฺสนํ นาม กุมารปเญฺห วุตฺตตฺถานํ จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ อภิสมยวเสน มคฺคทสฺสนํฯ ตํ สํสารทุกฺขวีติกฺกมเหตุโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ วุจฺจติฯ
Ariyasaccānadassanaṃ nāma kumārapañhe vuttatthānaṃ catunnaṃ ariyasaccānaṃ abhisamayavasena maggadassanaṃ. Taṃ saṃsāradukkhavītikkamahetuto ‘‘maṅgala’’nti vuccati.
นิพฺพานสจฺฉิกิริยา นาม อิธ อรหตฺตผลํ ‘‘นิพฺพาน’’นฺติ อธิเปฺปตํฯ ตมฺปิ หิ ปญฺจคติวานเนน วานสญฺญิตาย ตณฺหาย นิกฺขนฺตตฺตา ‘‘นิพฺพาน’’นฺติ วุจฺจติฯ ตสฺส ปตฺติ วา ปจฺจเวกฺขณา วา ‘‘สจฺฉิกิริยา’’ติ วุจฺจติฯ อิตรสฺส ปน นิพฺพานสฺส อริยสจฺจานํ ทสฺสเนเนว สจฺฉิกิริยา สิทฺธา, เตเนตํ อิธ น อธิเปฺปตํฯ เอวเมสา นิพฺพานสจฺฉิกิริยา ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหาราทิเหตุโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ เวทิตพฺพาฯ
Nibbānasacchikiriyā nāma idha arahattaphalaṃ ‘‘nibbāna’’nti adhippetaṃ. Tampi hi pañcagativānanena vānasaññitāya taṇhāya nikkhantattā ‘‘nibbāna’’nti vuccati. Tassa patti vā paccavekkhaṇā vā ‘‘sacchikiriyā’’ti vuccati. Itarassa pana nibbānassa ariyasaccānaṃ dassaneneva sacchikiriyā siddhā, tenetaṃ idha na adhippetaṃ. Evamesā nibbānasacchikiriyā diṭṭhadhammasukhavihārādihetuto ‘‘maṅgala’’nti veditabbā.
เอวํ อิมิสฺสาปิ คาถาย ตโป, พฺรหฺมจริยํ, อริยสจฺจาน ทสฺสนํ, นิพฺพานสจฺฉิกิริยาติ จตฺตาริ มงฺคลานิ วุตฺตานิ, มงฺคลตฺตญฺจ เนสํ ตตฺถ ตตฺถ วิภาวิตเมวาติฯ
Evaṃ imissāpi gāthāya tapo, brahmacariyaṃ, ariyasaccāna dassanaṃ, nibbānasacchikiriyāti cattāri maṅgalāni vuttāni, maṅgalattañca nesaṃ tattha tattha vibhāvitamevāti.
นิฎฺฐิตา ตโป จาติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā tapo cāti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
๒๗๑. อิทานิ ผุฎฺฐสฺส โลกธเมฺมหีติ เอตฺถ ผุฎฺฐสฺสาติ ผุสิตสฺส ฉุปิตสฺส สมฺปตฺตสฺสฯ โลเก ธมฺมา โลกธมฺมา, ยาว โลกปฺปวตฺติ, ตาว อนิวตฺตกา ธมฺมาติ วุตฺตํ โหติฯ จิตฺตนฺติ มโน มานสํฯ ยสฺสาติ นวสฺส วา มชฺฌิมสฺส วา เถรสฺส วาฯ น กมฺปตีติ น จลติ, น เวธติฯ อโสกนฺติ นิโสฺสกํ อพฺพูฬฺหโสกสลฺลํฯ วิรชนฺติ วิคตรชํ วิทฺธํสิตรชํฯ เขมนฺติ อภยํ นิรุปทฺทวํฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติ อยํ ตาว ปทวณฺณนาฯ
271. Idāni phuṭṭhassa lokadhammehīti ettha phuṭṭhassāti phusitassa chupitassa sampattassa. Loke dhammā lokadhammā, yāva lokappavatti, tāva anivattakā dhammāti vuttaṃ hoti. Cittanti mano mānasaṃ. Yassāti navassa vā majjhimassa vā therassa vā. Na kampatīti na calati, na vedhati. Asokanti nissokaṃ abbūḷhasokasallaṃ. Virajanti vigatarajaṃ viddhaṃsitarajaṃ. Khemanti abhayaṃ nirupaddavaṃ. Sesaṃ vuttanayamevāti ayaṃ tāva padavaṇṇanā.
อตฺถวณฺณนา ปน เอวํ เวทิตพฺพา – ผุฎฺฐสฺส โลกธเมฺมหิ ยสฺส จิตฺตํ น กมฺปติ, ยสฺส ลาภาลาภาทีหิ อฎฺฐหิ โลกธเมฺมหิ ผุฎฺฐสฺส อโชฺฌตฺถฎสฺส จิตฺตํ น กมฺปติ, น จลติ, น เวธติ, ตสฺส ตํ จิตฺตํ เกนจิ อกมฺปนียโลกุตฺตรภาวาวหนโต ‘‘มงฺคล’’นฺติ เวทิตพฺพํฯ
Atthavaṇṇanā pana evaṃ veditabbā – phuṭṭhassa lokadhammehi yassa cittaṃ na kampati, yassa lābhālābhādīhi aṭṭhahi lokadhammehi phuṭṭhassa ajjhotthaṭassa cittaṃ na kampati, na calati, na vedhati, tassa taṃ cittaṃ kenaci akampanīyalokuttarabhāvāvahanato ‘‘maṅgala’’nti veditabbaṃ.
กสฺส ปน เอเตหิ ผุฎฺฐสฺส จิตฺตํ น กมฺปติ? อรหโต ขีณาสวสฺส, น อญฺญสฺส กสฺสจิฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Kassa pana etehi phuṭṭhassa cittaṃ na kampati? Arahato khīṇāsavassa, na aññassa kassaci. Vuttañhetaṃ –
‘‘เสโล ยถา เอกคฺฆโน, วาเตน น สมีรติ;
‘‘Selo yathā ekagghano, vātena na samīrati;
เอวํ รูปา รสา สทฺทา, คนฺธา ผสฺสา จ เกวลาฯ
Evaṃ rūpā rasā saddā, gandhā phassā ca kevalā.
‘‘อิฎฺฐา ธมฺมา อนิฎฺฐา จ, น ปเวเธนฺติ ตาทิโน;
‘‘Iṭṭhā dhammā aniṭṭhā ca, na pavedhenti tādino;
ฐิตํ จิตฺตํ วิปฺปมุตฺตํ, วยญฺจสฺสานุปสฺสตี’’ติฯ (อ. นิ. ๖.๕๕; มหาว. ๒๔๔);
Ṭhitaṃ cittaṃ vippamuttaṃ, vayañcassānupassatī’’ti. (a. ni. 6.55; mahāva. 244);
อโสกํ นาม ขีณาสวเสฺสว จิตฺตํฯ ตญฺหิ โย ‘‘โสโก โสจนา โสจิตตฺตํ อโนฺตโสโก อโนฺตปริโสโก เจตโส ปรินิชฺฌายิตตฺต’’นฺติอาทินา (วิภ. ๒๓๗) นเยน วุจฺจติ โสโก, ตสฺส อภาวโต อโสกํฯ เกจิ นิพฺพานํ วทนฺติ, ตํ ปุริมปเทน นานุสนฺธิยติฯ ยถา จ อโสกํ, เอวํ วิรชํ เขมนฺติปิ ขีณาสวเสฺสว จิตฺตํฯ ตญฺหิ ราคโทสโมหรชานํ วิคตตฺตา วิรชํ, จตูหิ จ โยเคหิ เขมตฺตา เขมํฯ ยโต เอตํ เตน เตนากาเรน ตมฺหิ ตมฺหิ ปวตฺติกฺขเณ คเหตฺวา นิทฺทิฎฺฐวเสน ติวิธมฺปิ อปฺปวตฺตกฺขนฺธตาทิโลกุตฺตมภาวาวหนโต อาหุเนยฺยาทิภาวาวหนโต จ ‘‘มงฺคล’’นฺติ เวทิตพฺพํฯ
Asokaṃ nāma khīṇāsavasseva cittaṃ. Tañhi yo ‘‘soko socanā socitattaṃ antosoko antoparisoko cetaso parinijjhāyitatta’’ntiādinā (vibha. 237) nayena vuccati soko, tassa abhāvato asokaṃ. Keci nibbānaṃ vadanti, taṃ purimapadena nānusandhiyati. Yathā ca asokaṃ, evaṃ virajaṃ khemantipi khīṇāsavasseva cittaṃ. Tañhi rāgadosamoharajānaṃ vigatattā virajaṃ, catūhi ca yogehi khemattā khemaṃ. Yato etaṃ tena tenākārena tamhi tamhi pavattikkhaṇe gahetvā niddiṭṭhavasena tividhampi appavattakkhandhatādilokuttamabhāvāvahanato āhuneyyādibhāvāvahanato ca ‘‘maṅgala’’nti veditabbaṃ.
เอวํ อิมิสฺสา คาถาย อฎฺฐโลกธเมฺมหิ อกมฺปิตจิตฺตํ, อโสกจิตฺตํ, วิรชจิตฺตํ, เขมจิตฺตนฺติ จตฺตาริ มงฺคลานิ วุตฺตานิ, มงฺคลตฺตญฺจ เนสํ ตตฺถ ตตฺถ วิภาวิตเมวาติฯ
Evaṃ imissā gāthāya aṭṭhalokadhammehi akampitacittaṃ, asokacittaṃ, virajacittaṃ, khemacittanti cattāri maṅgalāni vuttāni, maṅgalattañca nesaṃ tattha tattha vibhāvitamevāti.
นิฎฺฐิตา ผุฎฺฐสฺส โลกธเมฺมหีติ อิมิสฺสา คาถาย อตฺถวณฺณนาฯ
Niṭṭhitā phuṭṭhassa lokadhammehīti imissā gāthāya atthavaṇṇanā.
๒๗๒. เอวํ ภควา ‘‘อเสวนา จ พาลาน’’นฺติอาทีหิ ทสหิ คาถาหิ อฎฺฐติํส มงฺคลานิ กเถตฺวา อิทานิ เอตาเนว อตฺตนา วุตฺตมงฺคลานิ ถุนโนฺต ‘‘เอตาทิสานิ กตฺวานา’’ติ อิมํ อวสานคาถมภาสิฯ
272. Evaṃ bhagavā ‘‘asevanā ca bālāna’’ntiādīhi dasahi gāthāhi aṭṭhatiṃsa maṅgalāni kathetvā idāni etāneva attanā vuttamaṅgalāni thunanto ‘‘etādisāni katvānā’’ti imaṃ avasānagāthamabhāsi.
ตสฺสายํ อตฺถวณฺณนา – เอตาทิสานีติ เอตานิ อีทิสานิ มยา วุตฺตปฺปการานิ พาลานํ อเสวนาทีนิฯ กตฺวานาติ กตฺวาฯ กตฺวาน กตฺวา กริตฺวาติ หิ อตฺถโต อนญฺญํฯ สพฺพตฺถมปราชิตาติ สพฺพตฺถ ขนฺธกิเลสาภิสงฺขารเทวปุตฺตมารปฺปเภเทสุ จตูสุ ปจฺจตฺถิเกสุ เอเกนปิ อปราชิตา หุตฺวา, สยเมว เต จตฺตาโร มาเร ปราเชตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ มกาโร เจตฺถ ปทสนฺธิกรณมโตฺตติ วิญฺญาตโพฺพฯ
Tassāyaṃ atthavaṇṇanā – etādisānīti etāni īdisāni mayā vuttappakārāni bālānaṃ asevanādīni. Katvānāti katvā. Katvāna katvā karitvāti hi atthato anaññaṃ. Sabbatthamaparājitāti sabbattha khandhakilesābhisaṅkhāradevaputtamārappabhedesu catūsu paccatthikesu ekenapi aparājitā hutvā, sayameva te cattāro māre parājetvāti vuttaṃ hoti. Makāro cettha padasandhikaraṇamattoti viññātabbo.
สพฺพตฺถ โสตฺถิํ คจฺฉนฺตีติ เอตาทิสานิ มงฺคลานิ กตฺวา จตูหิ มาเรหิ อปราชิตา หุตฺวา สพฺพตฺถ อิธโลกปรโลเกสุ ฐานจงฺกมนาทีสุ จ โสตฺถิํ คจฺฉนฺติ, พาลเสวนาทีหิ เย อุปฺปเชฺชยฺยุํ อาสวา วิฆาตปริฬาหา , เตสํ อภาวา โสตฺถิํ คจฺฉนฺติ, อนุปทฺทุตา อนุปสฎฺฐา เขมิโน อปฺปฎิภยา คจฺฉนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ อนุนาสิโก เจตฺถ คาถาพนฺธสุขตฺถํ วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ
Sabbattha sotthiṃ gacchantīti etādisāni maṅgalāni katvā catūhi mārehi aparājitā hutvā sabbattha idhalokaparalokesu ṭhānacaṅkamanādīsu ca sotthiṃ gacchanti, bālasevanādīhi ye uppajjeyyuṃ āsavā vighātapariḷāhā , tesaṃ abhāvā sotthiṃ gacchanti, anupaddutā anupasaṭṭhā khemino appaṭibhayā gacchantīti vuttaṃ hoti. Anunāsiko cettha gāthābandhasukhatthaṃ vuttoti veditabbo.
ตํ เตสํ มงฺคลมุตฺตมนฺติ อิมินา คาถาปาเทน ภควา เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ กถํ? เอวํ เทวปุตฺต เย เอตาทิสานิ กโรนฺติ, เต ยสฺมา สพฺพตฺถ โสตฺถิํ คจฺฉนฺติ, ตสฺมา ตํ พาลานํ อเสวนาทิ อฎฺฐติํสวิธมฺปิ เตสํ เอตาทิสการกานํ มงฺคลํ อุตฺตมํ เสฎฺฐํ ปวรนฺติ คณฺหาหีติฯ
Taṃ tesaṃ maṅgalamuttamanti iminā gāthāpādena bhagavā desanaṃ niṭṭhāpesi. Kathaṃ? Evaṃ devaputta ye etādisāni karonti, te yasmā sabbattha sotthiṃ gacchanti, tasmā taṃ bālānaṃ asevanādi aṭṭhatiṃsavidhampi tesaṃ etādisakārakānaṃ maṅgalaṃ uttamaṃ seṭṭhaṃ pavaranti gaṇhāhīti.
เอวญฺจ ภควตา นิฎฺฐาปิตาย เทสนาย ปริโยสาเน โกฎิสตสหสฺสเทวตา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุ, โสตาปตฺติสกทาคามิอนาคามิผลปฺปตฺตานํ คณนา อสเงฺขฺยยฺยา อโหสิฯ อถ ภควา ทุติยทิวเส อานนฺทเตฺถรํ อามเนฺตสิ – ‘‘อิมํ, อานนฺท, รตฺติํ อญฺญตรา เทวตา มํ อุปสงฺกมิตฺวา มงฺคลปญฺหํ ปุจฺฉิฯ อถสฺสาหํ อฎฺฐติํส มงฺคลานิ อภาสิํ, อุคฺคณฺห, อานนฺท, อิมํ มงฺคลปริยายํ, อุคฺคเหตฺวา ภิกฺขู วาเจหี’’ติฯ เถโร อุคฺคเหตฺวา ภิกฺขู วาเจสิฯ ตยิทํ อาจริยปรมฺปราภตํ ยาวชฺชตนา ปวตฺตติ, เอวมิทํ พฺรหฺมจริยํ อิทฺธเญฺจว ผีตญฺจ วิตฺถาริกํ พาหุชญฺญํ ปุถุภูตํ ยาว เทวมนุเสฺสหิ สุปฺปกาสิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Evañca bhagavatā niṭṭhāpitāya desanāya pariyosāne koṭisatasahassadevatā arahattaṃ pāpuṇiṃsu, sotāpattisakadāgāmianāgāmiphalappattānaṃ gaṇanā asaṅkhyeyyā ahosi. Atha bhagavā dutiyadivase ānandattheraṃ āmantesi – ‘‘imaṃ, ānanda, rattiṃ aññatarā devatā maṃ upasaṅkamitvā maṅgalapañhaṃ pucchi. Athassāhaṃ aṭṭhatiṃsa maṅgalāni abhāsiṃ, uggaṇha, ānanda, imaṃ maṅgalapariyāyaṃ, uggahetvā bhikkhū vācehī’’ti. Thero uggahetvā bhikkhū vācesi. Tayidaṃ ācariyaparamparābhataṃ yāvajjatanā pavattati, evamidaṃ brahmacariyaṃ iddhañceva phītañca vitthārikaṃ bāhujaññaṃ puthubhūtaṃ yāva devamanussehi suppakāsitanti veditabbaṃ.
อิทานิ เอเตเสฺวว มงฺคเลสุ ญาณปริจยปาฎวตฺถํ อยํ อาทิโต ปภุติ โยชนา – เอวมิเม อิธโลกปรโลกโลกุตฺตรสุขกามา สตฺตา พาลชนเสวนํ ปหาย, ปณฺฑิเต นิสฺสาย, ปูชเนเยฺย ปูเชนฺตา, ปติรูปเทสวาเสน ปุเพฺพ กตปุญฺญตาย จ กุสลปฺปวตฺติยํ โจทิยมานา, อตฺตานํ สมฺมา ปณิธาย, พาหุสจฺจสิปฺปวินเยหิ อลงฺกตตฺตภาวา, วินยานุรูปํ สุภาสิตํ ภาสมานา , ยาว คิหิภาวํ น วิชหนฺติ, ตาว มาตาปิตุอุปฎฺฐาเนน โปราณํ อิณมูลํ วิโสธยมานา, ปุตฺตทารสงฺคเหน นวํ อิณมูลํ ปโยชยมานา, อนากุลกมฺมนฺตตาย ธนธญฺญาทิสมิทฺธิํ ปาปุณนฺตา, ทาเนน โภคสารํ ธมฺมจริยาย ชีวิตสารญฺจ คเหตฺวา, ญาติสงฺคเหน สกชนหิตํ อนวชฺชกมฺมนฺตตาย ปรชนหิตญฺจ กโรนฺตา, ปาปวิรติยา ปรูปฆาตํ มชฺชปานสํยเมน อตฺตูปฆาตญฺจ วิวเชฺชตฺวา, ธเมฺมสุ อปฺปมาเทน กุสลปกฺขํ วเฑฺฒตฺวา, วฑฺฒิตกุสลตาย คิหิพฺยญฺชนํ โอหาย ปพฺพชิตภาเว ฐิตาปิ พุทฺธพุทฺธสาวกุปชฺฌาจริยาทีสุ คารเวน นิวาเตน จ วตฺตสมฺปทํ อาราเธตฺวา, สนฺตุฎฺฐิยา ปจฺจยเคธํ ปหาย, กตญฺญุตาย สปฺปุริสภูมิยํ ฐตฺวา, ธมฺมสฺสวเนน จิตฺตลีนตํ ปหาย, ขนฺติยา สพฺพปริสฺสเย อภิภวิตฺวา, โสวจสฺสตาย สนาถมตฺตานํ กตฺวา, สมณทสฺสเนน ปฎิปตฺติปโยคํ ปสฺสนฺตา, ธมฺมสากจฺฉาย กงฺขาฎฺฐานิเยสุ ธเมฺมสุ กงฺขํ ปฎิวิโนเทตฺวา, อินฺทฺริยสํวรตเปน สีลวิสุทฺธิํ สมณธมฺมพฺรหฺมจริเยน จิตฺตวิสุทฺธิํ ตโต ปรา จ จตโสฺส วิสุทฺธิโย สมฺปาเทนฺตา, อิมาย ปฎิปทาย อริยสจฺจทสฺสนปริยายํ ญาณทสฺสนวิสุทฺธิํ ปตฺวา อรหตฺตผลสงฺขาตํ นิพฺพานํ สจฺฉิกโรนฺติฯ ยํ สจฺฉิกตฺวา สิเนรุปพฺพโต วิย วาตวุฎฺฐีหิ อฎฺฐหิ โลกธเมฺมหิ อวิกมฺปมานจิตฺตา อโสกา วิรชา เขมิโน โหนฺติฯ เย จ เขมิโน, เต สพฺพตฺถ เอเกนาปิ อปราชิตา โหนฺติ, สพฺพตฺถ จ โสตฺถิํ คจฺฉนฺติฯ เตนาห ภควา –
Idāni etesveva maṅgalesu ñāṇaparicayapāṭavatthaṃ ayaṃ ādito pabhuti yojanā – evamime idhalokaparalokalokuttarasukhakāmā sattā bālajanasevanaṃ pahāya, paṇḍite nissāya, pūjaneyye pūjentā, patirūpadesavāsena pubbe katapuññatāya ca kusalappavattiyaṃ codiyamānā, attānaṃ sammā paṇidhāya, bāhusaccasippavinayehi alaṅkatattabhāvā, vinayānurūpaṃ subhāsitaṃ bhāsamānā , yāva gihibhāvaṃ na vijahanti, tāva mātāpituupaṭṭhānena porāṇaṃ iṇamūlaṃ visodhayamānā, puttadārasaṅgahena navaṃ iṇamūlaṃ payojayamānā, anākulakammantatāya dhanadhaññādisamiddhiṃ pāpuṇantā, dānena bhogasāraṃ dhammacariyāya jīvitasārañca gahetvā, ñātisaṅgahena sakajanahitaṃ anavajjakammantatāya parajanahitañca karontā, pāpaviratiyā parūpaghātaṃ majjapānasaṃyamena attūpaghātañca vivajjetvā, dhammesu appamādena kusalapakkhaṃ vaḍḍhetvā, vaḍḍhitakusalatāya gihibyañjanaṃ ohāya pabbajitabhāve ṭhitāpi buddhabuddhasāvakupajjhācariyādīsu gāravena nivātena ca vattasampadaṃ ārādhetvā, santuṭṭhiyā paccayagedhaṃ pahāya, kataññutāya sappurisabhūmiyaṃ ṭhatvā, dhammassavanena cittalīnataṃ pahāya, khantiyā sabbaparissaye abhibhavitvā, sovacassatāya sanāthamattānaṃ katvā, samaṇadassanena paṭipattipayogaṃ passantā, dhammasākacchāya kaṅkhāṭṭhāniyesu dhammesu kaṅkhaṃ paṭivinodetvā, indriyasaṃvaratapena sīlavisuddhiṃ samaṇadhammabrahmacariyena cittavisuddhiṃ tato parā ca catasso visuddhiyo sampādentā, imāya paṭipadāya ariyasaccadassanapariyāyaṃ ñāṇadassanavisuddhiṃ patvā arahattaphalasaṅkhātaṃ nibbānaṃ sacchikaronti. Yaṃ sacchikatvā sinerupabbato viya vātavuṭṭhīhi aṭṭhahi lokadhammehi avikampamānacittā asokā virajā khemino honti. Ye ca khemino, te sabbattha ekenāpi aparājitā honti, sabbattha ca sotthiṃ gacchanti. Tenāha bhagavā –
‘‘เอตาทิสานิ กตฺวาน, สพฺพตฺถมปราชิตา;
‘‘Etādisāni katvāna, sabbatthamaparājitā;
สพฺพตฺถ โสตฺถิํ คจฺฉนฺติ, ตํ เตสํ มงฺคลมุตฺตม’’นฺติฯ
Sabbattha sotthiṃ gacchanti, taṃ tesaṃ maṅgalamuttama’’nti.
อิติ ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Iti paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย มงฺคลสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanipāta-aṭṭhakathāya maṅgalasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๔. มงฺคลสุตฺตํ • 4. Maṅgalasuttaṃ