Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๑๙๔] ๔. มณิโจรชาตกวณฺณนา

    [194] 4. Maṇicorajātakavaṇṇanā

    น สนฺติ เทวา ปวสนฺติ นูนาติ อิทํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรโนฺต วธาย ปริสกฺกนฺตํ เทวทตฺตํ อารพฺภ กเถสิฯ ตทา ปน สตฺถา ‘‘เทวทโตฺต วธาย ปริสกฺกตี’’ติ สุตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ เทวทโตฺต มยฺหํ วธาย ปริสกฺกติเยว, ปริสกฺกโนฺตปิ ปน มํ วธิตุํ นาสกฺขี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Na santi devā pavasanti nūnāti idaṃ satthā veḷuvane viharanto vadhāya parisakkantaṃ devadattaṃ ārabbha kathesi. Tadā pana satthā ‘‘devadatto vadhāya parisakkatī’’ti sutvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi devadatto mayhaṃ vadhāya parisakkatiyeva, parisakkantopi pana maṃ vadhituṃ nāsakkhī’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต พาราณสิโต อวิทูเร คามเก คหปติกุเล นิพฺพตฺติฯ อถสฺส วยปฺปตฺตสฺส พาราณสิโต กุลธีตรํ อาเนสุํ, สา สุวณฺณวณฺณา อโหสิ อภิรูปา ทสฺสนียา เทวจฺฉรา วิย ปุปฺผลตา วิย ลฬมานา มตฺตกินฺนรี วิย จ สุชาตาติ นาเมน ปติพฺพตา สีลาจารสมฺปนฺนา วตฺตสมฺปนฺนาฯ นิจฺจกาลมฺปิสฺสา ปติวตฺตํ สสฺสุวตฺตํ สสุรวตฺตญฺจ กตเมว โหติ, สา โพธิสตฺตสฺส ปิยา อโหสิ มนาปาฯ อิติ อุโภปิ เต สโมฺมทมานา เอกจิตฺตา สมคฺควาสํ วสิํสุฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto bārāṇasito avidūre gāmake gahapatikule nibbatti. Athassa vayappattassa bārāṇasito kuladhītaraṃ ānesuṃ, sā suvaṇṇavaṇṇā ahosi abhirūpā dassanīyā devaccharā viya pupphalatā viya laḷamānā mattakinnarī viya ca sujātāti nāmena patibbatā sīlācārasampannā vattasampannā. Niccakālampissā pativattaṃ sassuvattaṃ sasuravattañca katameva hoti, sā bodhisattassa piyā ahosi manāpā. Iti ubhopi te sammodamānā ekacittā samaggavāsaṃ vasiṃsu.

    อเถกทิวสํ สุชาตา ‘‘มาตาปิตโร ทฎฺฐุกามามฺหี’’ติ โพธิสตฺตสฺส อาโรเจสิฯ ‘‘สาธุ, ภเทฺท, มคฺคปาเถยฺยํ ปโหนกํ ปฎิยาเทหี’’ติ ขชฺชวิกติํ ปจาเปตฺวา ขชฺชกาทีนิ ยานเก ฐเปตฺวา ยานกํ ปาเชโนฺต ยานกสฺส ปุรโต อโหสิ, อิตรา ปจฺฉโตฯ เต นครสมีปํ คนฺตฺวา ยานกํ โมเจตฺวา นฺหตฺวา ภุญฺชิํสุฯ ปุน โพธิสโตฺต ยานกํ โยเชตฺวา ปุรโต นิสีทิ, สุชาตา วตฺถานิ ปริวเตฺตตฺวา อลงฺกริตฺวา ปจฺฉโต นิสีทิฯ ยานกสฺส อโนฺตนครํ ปวิฎฺฐกาเล พาราณสิราชา หตฺถิกฺขนฺธวรคโต นครํ ปทกฺขิณํ กโรโนฺต ตํ ปเทสํ อคมาสิฯ สุชาตา โอตริตฺวา ยานกสฺส ปจฺฉโต ปทสา ปายาสิฯ ราชา ตํ ทิสฺวา ตสฺสา รูปสมฺปตฺติยา อากฑฺฒิยมานโลจโน ปฎิพทฺธจิโตฺต หุตฺวา เอกํ อมจฺจํ อาณาเปสิ – ‘‘คจฺฉ ตฺวํ เอติสฺสา สสฺสามิกภาวํ วา อสฺสามิกภาวํ วา ชานาหี’’ติฯ โส คนฺตฺวา ตสฺสา สสฺสามิกภาวํ ญตฺวา ‘‘สสฺสามิกา กิร, เทว, ยานเก นิสิโนฺน ปุริโส เอติสฺสา สามิโก’’ติ อาหฯ

    Athekadivasaṃ sujātā ‘‘mātāpitaro daṭṭhukāmāmhī’’ti bodhisattassa ārocesi. ‘‘Sādhu, bhadde, maggapātheyyaṃ pahonakaṃ paṭiyādehī’’ti khajjavikatiṃ pacāpetvā khajjakādīni yānake ṭhapetvā yānakaṃ pājento yānakassa purato ahosi, itarā pacchato. Te nagarasamīpaṃ gantvā yānakaṃ mocetvā nhatvā bhuñjiṃsu. Puna bodhisatto yānakaṃ yojetvā purato nisīdi, sujātā vatthāni parivattetvā alaṅkaritvā pacchato nisīdi. Yānakassa antonagaraṃ paviṭṭhakāle bārāṇasirājā hatthikkhandhavaragato nagaraṃ padakkhiṇaṃ karonto taṃ padesaṃ agamāsi. Sujātā otaritvā yānakassa pacchato padasā pāyāsi. Rājā taṃ disvā tassā rūpasampattiyā ākaḍḍhiyamānalocano paṭibaddhacitto hutvā ekaṃ amaccaṃ āṇāpesi – ‘‘gaccha tvaṃ etissā sassāmikabhāvaṃ vā assāmikabhāvaṃ vā jānāhī’’ti. So gantvā tassā sassāmikabhāvaṃ ñatvā ‘‘sassāmikā kira, deva, yānake nisinno puriso etissā sāmiko’’ti āha.

    ราชา ปฎิพทฺธจิตฺตํ วิโนเทตุํ อสโกฺกโนฺต กิเลสาตุโร หุตฺวา ‘‘เอเกน นํ อุปาเยน มาราเปตฺวา อิตฺถิํ คณฺหิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา เอกํ ปุริสํ อามเนฺตตฺวา ‘‘คจฺฉ, โภ, อิมํ จูฬามณิํ วีถิํ คจฺฉโนฺต วิย หุตฺวา เอตสฺส ปุริสสฺส ยานเก ปกฺขิปิตฺวา เอหี’’ติ จูฬามณิํ ทตฺวา อุโยฺยเชสิฯ โส ‘‘สาธู’’ติ ตํ คเหตฺวา คนฺตฺวา ยานเก ฐเปตฺวา ‘‘ฐปิโต เม, เทวา’’ติ อาคนฺตฺวา อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘จูฬามณิ เม นโฎฺฐ’’ติ อาห, มนุสฺสา เอกโกลาหลํ อกํสุฯ ราชา ‘‘สพฺพทฺวารานิ ปิทหิตฺวา สญฺจารํ ฉินฺทิตฺวา โจรํ ปริเยสถา’’ติ อาห, ราชปุริสา ตถา อกํสุ, นครํ เอกสโงฺขภํ อโหสิฯ อิตโร ปุริโส มนุเสฺส คเหตฺวา โพธิสตฺตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘โภ, ยานกํ ฐเปหิ, รโญฺญ จูฬามณิ นโฎฺฐ, ยานกํ โสเธสฺสามี’’ติ ยานกํ โสเธโนฺต อตฺตนา ฐปิตมณิํ คเหตฺวา โพธิสตฺตํ คเหตฺวา ‘‘มณิโจโร’’ติ หเตฺถหิ จ ปาเทหิ จ โปเถตฺวา ปจฺฉาพาหํ พนฺธิตฺวา เนตฺวา ‘‘อยํ มณิโจโร’’ติ รโญฺญ ทเสฺสสิฯ ราชาปิ ‘‘สีสมสฺส ฉินฺทถา’’ติ อาณาเปสิฯ

    Rājā paṭibaddhacittaṃ vinodetuṃ asakkonto kilesāturo hutvā ‘‘ekena naṃ upāyena mārāpetvā itthiṃ gaṇhissāmī’’ti cintetvā ekaṃ purisaṃ āmantetvā ‘‘gaccha, bho, imaṃ cūḷāmaṇiṃ vīthiṃ gacchanto viya hutvā etassa purisassa yānake pakkhipitvā ehī’’ti cūḷāmaṇiṃ datvā uyyojesi. So ‘‘sādhū’’ti taṃ gahetvā gantvā yānake ṭhapetvā ‘‘ṭhapito me, devā’’ti āgantvā ārocesi. Rājā ‘‘cūḷāmaṇi me naṭṭho’’ti āha, manussā ekakolāhalaṃ akaṃsu. Rājā ‘‘sabbadvārāni pidahitvā sañcāraṃ chinditvā coraṃ pariyesathā’’ti āha, rājapurisā tathā akaṃsu, nagaraṃ ekasaṅkhobhaṃ ahosi. Itaro puriso manusse gahetvā bodhisattassa santikaṃ gantvā ‘‘bho, yānakaṃ ṭhapehi, rañño cūḷāmaṇi naṭṭho, yānakaṃ sodhessāmī’’ti yānakaṃ sodhento attanā ṭhapitamaṇiṃ gahetvā bodhisattaṃ gahetvā ‘‘maṇicoro’’ti hatthehi ca pādehi ca pothetvā pacchābāhaṃ bandhitvā netvā ‘‘ayaṃ maṇicoro’’ti rañño dassesi. Rājāpi ‘‘sīsamassa chindathā’’ti āṇāpesi.

    อถ นํ ราชปุริสา จตุเกฺก จตุเกฺก กสาหิ ตาเฬนฺตา ทกฺขิณทฺวาเรน นครา นิกฺขมาเปสุํฯ สุชาตาปิ ยานกํ ปหาย พาหา ปคฺคยฺห ปริเทวมานา ‘‘สามิ, มํ นิสฺสาย อิมํ ทุกฺขํ ปโตฺตสี’’ติ ปริเทวมานา ปจฺฉโต ปจฺฉโต อคมาสิฯ ราชปุริสา ‘‘สีสมสฺส ฉินฺทิสฺสามา’’ติ โพธิสตฺตํ อุตฺตานํ นิปชฺชาเปสุํฯ ตํ ทิสฺวา สุชาตา อตฺตโน สีลคุณํ อาวเชฺชตฺวา ‘‘นตฺถิ วต มเญฺญ อิมสฺมิํ โลเก สีลวนฺตานํ วิเหฐเก ปาปสาหสิกมนุเสฺส นิเสเธตุํ สมตฺถา เทวตา นามา’’ติอาทีนิ วตฺวา ปฐมํ คาถมาห –

    Atha naṃ rājapurisā catukke catukke kasāhi tāḷentā dakkhiṇadvārena nagarā nikkhamāpesuṃ. Sujātāpi yānakaṃ pahāya bāhā paggayha paridevamānā ‘‘sāmi, maṃ nissāya imaṃ dukkhaṃ pattosī’’ti paridevamānā pacchato pacchato agamāsi. Rājapurisā ‘‘sīsamassa chindissāmā’’ti bodhisattaṃ uttānaṃ nipajjāpesuṃ. Taṃ disvā sujātā attano sīlaguṇaṃ āvajjetvā ‘‘natthi vata maññe imasmiṃ loke sīlavantānaṃ viheṭhake pāpasāhasikamanusse nisedhetuṃ samatthā devatā nāmā’’tiādīni vatvā paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๘๗.

    87.

    ‘‘น สนฺติ เทวา ปวสนฺติ นูน, น หิ นูน สนฺติ อิธ โลกปาลา;

    ‘‘Na santi devā pavasanti nūna, na hi nūna santi idha lokapālā;

    สหสา กโรนฺตานมสญฺญตานํ, น หิ นูน สนฺติ ปฎิเสธิตาโร’’ติฯ

    Sahasā karontānamasaññatānaṃ, na hi nūna santi paṭisedhitāro’’ti.

    ตตฺถ น สนฺติ, เทวาติ อิมสฺมิํ โลเก สีลวนฺตานํ โอโลกนกา ปาปานญฺจ นิเสธกา น สนฺติ นูน เทวาฯ ปวสนฺติ นูนาติ เอวรูเปสุ วา กิเจฺจสุ อุปฺปเนฺนสุ นูน ปวสนฺติ ปวาสํ คจฺฉนฺติฯ อิธ, โลกปาลาติ อิมสฺมิํ โลเก โลกปาลสมฺมตา สมณพฺราหฺมณาปิ สีลวนฺตานํ อนุคฺคาหกา น หิ นูน สนฺติฯ สหสา กโรนฺตานมสญฺญตานนฺติ สหสา อวีมํสิตฺวา สาหสิกํ ทารุณํ กมฺมํ กโรนฺตานํ ทุสฺสีลานํฯ ปฎิเสธิตาโรติ เอวรูปํ กมฺมํ มา กริตฺถ, น ลพฺภา เอตํ กาตุนฺติ ปฎิเสเธนฺตา นตฺถีติ อโตฺถฯ

    Tattha na santi, devāti imasmiṃ loke sīlavantānaṃ olokanakā pāpānañca nisedhakā na santi nūna devā. Pavasanti nūnāti evarūpesu vā kiccesu uppannesu nūna pavasanti pavāsaṃ gacchanti. Idha, lokapālāti imasmiṃ loke lokapālasammatā samaṇabrāhmaṇāpi sīlavantānaṃ anuggāhakā na hi nūna santi. Sahasā karontānamasaññatānanti sahasā avīmaṃsitvā sāhasikaṃ dāruṇaṃ kammaṃ karontānaṃ dussīlānaṃ. Paṭisedhitāroti evarūpaṃ kammaṃ mā karittha, na labbhā etaṃ kātunti paṭisedhentā natthīti attho.

    เอวํ ตาย สีลสมฺปนฺนาย ปริเทวมานาย สกฺกสฺส เทวรโญฺญ นิสินฺนาสนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิ, สโกฺก ‘‘โก นุ โข มํ สกฺกตฺตโต จาเวตุกาโม’’ติ อาวเชฺชโนฺต อิมํ การณํ ญตฺวา ‘‘พาราณสิราชา อติผรุสกมฺมํ กโรติ, สีลสมฺปนฺนํ สุชาตํ กิลเมติ, คนฺตุํ ทานิ เม วฎฺฎตี’’ติ เทวโลกา โอรุยฺห อตฺตโน อานุภาเวน หตฺถิปิเฎฺฐ นิสินฺนํ ตํ ปาปราชานํ หตฺถิกฺขนฺธโต โอตาเรตฺวา ธมฺมคณฺฑิกาย อุตฺตานํ นิปชฺชาเปตฺวา โพธิสตฺตํ อุกฺขิปิตฺวา สพฺพาลงฺกาเรหิ อลงฺกริตฺวา ราชเวสํ คาหาเปตฺวา หตฺถิกฺขเนฺธ นิสีทาเปสิฯ ราชปุริสา ผรสุํ อุกฺขิปิตฺวา สีสํ ฉินฺทนฺตา รโญฺญ สีสํ ฉินฺทิํสุ, ฉินฺนกาเลเยว จสฺส รโญฺญ สีสภาวํ ชานิํสุฯ สโกฺก เทวราชา ทิสฺสมานกสรีเรเนว โพธิสตฺตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา โพธิสตฺตสฺส ราชาภิเสกํ กตฺวา สุชาตาย จ อคฺคมเหสิฎฺฐานํ ทาเปสิฯ อมจฺจา เจว พฺราหฺมณคหปติกาทโย จ สกฺกํ เทวราชานํ ทิสฺวา ‘‘อธมฺมิกราชา มาริโต, อิทานิ อเมฺหหิ สกฺกทตฺติโก ธมฺมิกราชา ลโทฺธ’’ติ โสมนสฺสปฺปตฺตา อเหสุํฯ

    Evaṃ tāya sīlasampannāya paridevamānāya sakkassa devarañño nisinnāsanaṃ uṇhākāraṃ dassesi, sakko ‘‘ko nu kho maṃ sakkattato cāvetukāmo’’ti āvajjento imaṃ kāraṇaṃ ñatvā ‘‘bārāṇasirājā atipharusakammaṃ karoti, sīlasampannaṃ sujātaṃ kilameti, gantuṃ dāni me vaṭṭatī’’ti devalokā oruyha attano ānubhāvena hatthipiṭṭhe nisinnaṃ taṃ pāparājānaṃ hatthikkhandhato otāretvā dhammagaṇḍikāya uttānaṃ nipajjāpetvā bodhisattaṃ ukkhipitvā sabbālaṅkārehi alaṅkaritvā rājavesaṃ gāhāpetvā hatthikkhandhe nisīdāpesi. Rājapurisā pharasuṃ ukkhipitvā sīsaṃ chindantā rañño sīsaṃ chindiṃsu, chinnakāleyeva cassa rañño sīsabhāvaṃ jāniṃsu. Sakko devarājā dissamānakasarīreneva bodhisattassa santikaṃ gantvā bodhisattassa rājābhisekaṃ katvā sujātāya ca aggamahesiṭṭhānaṃ dāpesi. Amaccā ceva brāhmaṇagahapatikādayo ca sakkaṃ devarājānaṃ disvā ‘‘adhammikarājā mārito, idāni amhehi sakkadattiko dhammikarājā laddho’’ti somanassappattā ahesuṃ.

    สโกฺกปิ อากาเส ฐตฺวา ‘‘อยํ โว สกฺกทตฺติโก ราชา, อิโต ปฎฺฐาย ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสฺสติฯ สเจ หิ ราชา อธมฺมิโก โหติ, เทโว อกาเล วสฺสติ, กาเล น วสฺสติ, ฉาตภยํ โรคภยํ สตฺถภยนฺติ อิมานิ ตีณิ ภยานิ อุปคตาเนว โหนฺตี’’ติ โอวทโนฺต ทุติยํ คาถมาห –

    Sakkopi ākāse ṭhatvā ‘‘ayaṃ vo sakkadattiko rājā, ito paṭṭhāya dhammena rajjaṃ kāressati. Sace hi rājā adhammiko hoti, devo akāle vassati, kāle na vassati, chātabhayaṃ rogabhayaṃ satthabhayanti imāni tīṇi bhayāni upagatāneva hontī’’ti ovadanto dutiyaṃ gāthamāha –

    ๘๘.

    88.

    ‘‘อกาเล วสฺสตี ตสฺส, กาเล ตสฺส น วสฺสติ;

    ‘‘Akāle vassatī tassa, kāle tassa na vassati;

    สคฺคา จ จวติ ฐานา, นนุ โส ตาวตา หโต’’ติฯ

    Saggā ca cavati ṭhānā, nanu so tāvatā hato’’ti.

    ตตฺถ อกาเลติ อธมฺมิกรโญฺญ รเชฺช อยุตฺตกาเล สสฺสานํ ปกฺกกาเล วา ลายนมทฺทนาทิกาเล วา เทโว วสฺสติฯ กาเลติ ยุตฺตปยุตฺตกาเล วปนกาเล ตรุณสสฺสกาเล คพฺภคฺคหณกาเล จ น วสฺสติฯ สคฺคา จ จวติ ฐานาติ สคฺคสงฺขาตา ฐานา เทวโลกา จวตีติ อโตฺถฯ อธมฺมิกราชา หิ อปฺปฎิลาภวเสน เทวโลกา จวติ นาม, สเคฺคปิ วา รชฺชํ กาเรโนฺต อธมฺมิกราชา ตโต จวตีติปิ อโตฺถฯ นนุ โส ตาวตา หโตติ นนุ โส อธมฺมิโก ราชา เอตฺตเกน หโต โหติฯ อถ วา เอกํสวาจี เอตฺถ นุ-กาโร, เนโส เอกํเสน เอตฺตาวตา หโต, อฎฺฐสุ ปน มหานิรเยสุ โสฬสสุ จ อุสฺสทนิรเยสุ ทีฆรตฺตํ โส หญฺญิสฺสตีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ

    Tattha akāleti adhammikarañño rajje ayuttakāle sassānaṃ pakkakāle vā lāyanamaddanādikāle vā devo vassati. Kāleti yuttapayuttakāle vapanakāle taruṇasassakāle gabbhaggahaṇakāle ca na vassati. Saggā ca cavati ṭhānāti saggasaṅkhātā ṭhānā devalokā cavatīti attho. Adhammikarājā hi appaṭilābhavasena devalokā cavati nāma, saggepi vā rajjaṃ kārento adhammikarājā tato cavatītipi attho. Nanu so tāvatā hatoti nanu so adhammiko rājā ettakena hato hoti. Atha vā ekaṃsavācī ettha nu-kāro, neso ekaṃsena ettāvatā hato, aṭṭhasu pana mahānirayesu soḷasasu ca ussadanirayesu dīgharattaṃ so haññissatīti ayamettha attho.

    เอวํ สโกฺก มหาชนสฺส โอวาทํ ทตฺวา อตฺตโน เทวฎฺฐานเมว อคมาสิฯ โพธิสโตฺตปิ ธเมฺมน รชฺชํ กาเรตฺวา สคฺคปุรํ ปูเรสิฯ

    Evaṃ sakko mahājanassa ovādaṃ datvā attano devaṭṭhānameva agamāsi. Bodhisattopi dhammena rajjaṃ kāretvā saggapuraṃ pūresi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา อธมฺมิกราชา เทวทโตฺต อโหสิ, สโกฺก อนุรุโทฺธ, สุชาตา ราหุลมาตา, สกฺกทตฺติยราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā adhammikarājā devadatto ahosi, sakko anuruddho, sujātā rāhulamātā, sakkadattiyarājā pana ahameva ahosi’’nti.

    มณิโจรชาตกวณฺณนา จตุตฺถาฯ

    Maṇicorajātakavaṇṇanā catutthā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๙๔. มณิโจรชาตกํ • 194. Maṇicorajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact