Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๕๓] ๓. มณิกณฺฐชาตกวณฺณนา
[253] 3. Maṇikaṇṭhajātakavaṇṇanā
มมนฺนปานนฺติ อิทํ สตฺถา อาฬวิํ นิสฺสาย อคฺคาฬเว เจติเย วิหรโนฺต กุฎิการสิกฺขาปทํ (ปารา. ๓๔๒) อารพฺภ กเถสิฯ อาฬวกา หิ ภิกฺขู สญฺญาจิกาย กุฎิโย การยมานา ยาจนพหุลา วิญฺญตฺติพหุลา วิหริํสุ ‘‘ปุริสํ เทถ, ปุริสตฺถกรํ เทถา’’ติอาทีนิ วทนฺตาฯ มนุสฺสา อุปทฺทุตา ยาจนาย อุปทฺทุตา วิญฺญตฺติยา ภิกฺขู ทิสฺวา อุพฺพิชฺชิํสุปิ อุตฺตสิํสุปิ ปลายิํสุปิฯ อถายสฺมา มหากสฺสโป อาฬวิํ อุปสงฺกมิตฺวา ปิณฺฑาย ปาวิสิ, มนุสฺสา เถรมฺปิ ทิสฺวา ตเถว ปฎิปชฺชิํสุฯ โส ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต ภิกฺขู อามเนฺตตฺวา ‘‘ปุพฺพายํ, อาวุโส, อาฬวี สุลภปิณฺฑา, อิทานิ กสฺมา ทุลฺลภปิณฺฑา ชาตา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ตํ การณํ สุตฺวา ภควติ อาฬวิํ อาคนฺตฺวา อคฺคาฬวเจติเย วิหรเนฺต ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา เอตมตฺถํ อาโรเจสิฯ สตฺถา เอตสฺมิํ การเณ ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาตาเปตฺวา อาฬวเก ภิกฺขู ปฎิปุจฺฉิ – ‘‘สจฺจํ กิร ตุเมฺห, ภิกฺขเว, สญฺญาจิกาย กุฎิโย กาเรถา’’ติฯ ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต เต ภิกฺขู ครหิตฺวา ‘‘ภิกฺขเว, ยาจนา นาเมสา สตฺตรตนปริปุเณฺณ นาคภวเน วสนฺตานํ นาคานมฺปิ อมนาปา, ปเคว มนุสฺสานํ, เยสํ เอกํ กหาปณกํ อุปฺปาเทนฺตานํ ปาสาณโต มํสํ อุปฺปาฎนกาโล วิย โหตี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Mamannapānanti idaṃ satthā āḷaviṃ nissāya aggāḷave cetiye viharanto kuṭikārasikkhāpadaṃ (pārā. 342) ārabbha kathesi. Āḷavakā hi bhikkhū saññācikāya kuṭiyo kārayamānā yācanabahulā viññattibahulā vihariṃsu ‘‘purisaṃ detha, purisatthakaraṃ dethā’’tiādīni vadantā. Manussā upaddutā yācanāya upaddutā viññattiyā bhikkhū disvā ubbijjiṃsupi uttasiṃsupi palāyiṃsupi. Athāyasmā mahākassapo āḷaviṃ upasaṅkamitvā piṇḍāya pāvisi, manussā therampi disvā tatheva paṭipajjiṃsu. So pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto bhikkhū āmantetvā ‘‘pubbāyaṃ, āvuso, āḷavī sulabhapiṇḍā, idāni kasmā dullabhapiṇḍā jātā’’ti pucchitvā taṃ kāraṇaṃ sutvā bhagavati āḷaviṃ āgantvā aggāḷavacetiye viharante bhagavantaṃ upasaṅkamitvā etamatthaṃ ārocesi. Satthā etasmiṃ kāraṇe bhikkhusaṅghaṃ sannipātāpetvā āḷavake bhikkhū paṭipucchi – ‘‘saccaṃ kira tumhe, bhikkhave, saññācikāya kuṭiyo kārethā’’ti. ‘‘Saccaṃ, bhante’’ti vutte te bhikkhū garahitvā ‘‘bhikkhave, yācanā nāmesā sattaratanaparipuṇṇe nāgabhavane vasantānaṃ nāgānampi amanāpā, pageva manussānaṃ, yesaṃ ekaṃ kahāpaṇakaṃ uppādentānaṃ pāsāṇato maṃsaṃ uppāṭanakālo viya hotī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต มหาวิภเว พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติฯ ตสฺส อาธาวิตฺวา ปริธาวิตฺวา วิจรณกาเล อโญฺญปิ ปุญฺญวา สโตฺต ตสฺส มาตุ กุจฺฉิสฺมิํ นิพฺพตฺติฯ เต อุโภปิ ภาตโร วยปฺปตฺตา มาตาปิตูนํ กาลกิริยาย สํวิคฺคหทยา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา คงฺคาตีเร ปณฺณสาลํ มาเปตฺวา วสิํสุฯ เตสุ เชฎฺฐสฺส อุปริคงฺคาย ปณฺณสาลา อโหสิ, กนิฎฺฐสฺส อโธคงฺคายฯ อเถกทิวสํ มณิกโณฺฐ นาม นาคราชา นาคภวนา นิกฺขมิตฺวา คงฺคาตีเร มาณวกเวเสน วิจรโนฺต กนิฎฺฐสฺส อสฺสมํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ, เต อญฺญมญฺญํ สโมฺมทนียกถํ กเถตฺวา วิสฺสาสิกา อเหสุํ, วินา วตฺติตุํ นาสกฺขิํสุฯ มณิกโณฺฐ อภิณฺหํ กนิฎฺฐตาปสสฺส สนฺติกํ อาคนฺตฺวา กถาสลฺลาเปน นิสีทิตฺวา คมนกาเล ตาปเส สิเนเหน อตฺตภาวํ วิชหิตฺวา โภเคหิ ตาปสํ ปริกฺขิปโนฺต ปริสฺสชิตฺวา อุปริมุทฺธนิ มหนฺตํ ผณํ ธาเรตฺวา โถกํ วสิตฺวา ตํ สิเนหํ วิโนเทตฺวา สรีรํ วินิเวเฐตฺวา ตาปสํ วนฺทิตฺวา สกฎฺฐานเมว คจฺฉติฯ ตาปโส ตสฺส ภเยน กิโส อโหสิ ลูโข ทุพฺพโณฺณ อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาโต ธมนิสนฺถตคโตฺตฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto mahāvibhave brāhmaṇakule nibbatti. Tassa ādhāvitvā paridhāvitvā vicaraṇakāle aññopi puññavā satto tassa mātu kucchismiṃ nibbatti. Te ubhopi bhātaro vayappattā mātāpitūnaṃ kālakiriyāya saṃviggahadayā isipabbajjaṃ pabbajitvā gaṅgātīre paṇṇasālaṃ māpetvā vasiṃsu. Tesu jeṭṭhassa uparigaṅgāya paṇṇasālā ahosi, kaniṭṭhassa adhogaṅgāya. Athekadivasaṃ maṇikaṇṭho nāma nāgarājā nāgabhavanā nikkhamitvā gaṅgātīre māṇavakavesena vicaranto kaniṭṭhassa assamaṃ gantvā vanditvā ekamantaṃ nisīdi, te aññamaññaṃ sammodanīyakathaṃ kathetvā vissāsikā ahesuṃ, vinā vattituṃ nāsakkhiṃsu. Maṇikaṇṭho abhiṇhaṃ kaniṭṭhatāpasassa santikaṃ āgantvā kathāsallāpena nisīditvā gamanakāle tāpase sinehena attabhāvaṃ vijahitvā bhogehi tāpasaṃ parikkhipanto parissajitvā uparimuddhani mahantaṃ phaṇaṃ dhāretvā thokaṃ vasitvā taṃ sinehaṃ vinodetvā sarīraṃ viniveṭhetvā tāpasaṃ vanditvā sakaṭṭhānameva gacchati. Tāpaso tassa bhayena kiso ahosi lūkho dubbaṇṇo uppaṇḍuppaṇḍukajāto dhamanisanthatagatto.
โส เอกทิวสํ ภาตุ สนฺติกํ อคมาสิฯ อถ นํ โส ปุจฺฉิ – ‘‘กิสฺส, ตฺวํ โภ, กิโส ลูโข ทุพฺพโณฺณ อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาโต ธมนิสนฺถตคโตฺต’’ติฯ โส ตสฺส ตํ ปวตฺติํ อาโรเจตฺวา ‘‘กิํ ปน, ตฺวํ โภ, ตสฺส นาคราชสฺส อาคมนํ อิจฺฉสิ, น อิจฺฉสี’’ติ ปุโฎฺฐ ‘‘น อิจฺฉามี’’ติ วตฺวา ‘‘โส ปน นาคราชา ตว สนฺติกํ อาคจฺฉโนฺต กิํ ปิฬนฺธนํ ปิฬนฺธิตฺวา อาคจฺฉตี’’ติ วุเตฺต ‘‘มณิรตน’’นฺติ อาหฯ เตน หิ ตฺวํ ตสฺมิํ นาคราเช ตว สนฺติกํ อาคนฺตฺวา อนิสิเนฺนเยว ‘‘มณิํ เม เทหี’’ติ ยาจ, เอวํ โส นาโค ตํ โภเคหิ อปริกฺขิปิตฺวาว คมิสฺสติฯ ปุนทิวเส อสฺสมปททฺวาเร ฐตฺวา อาคจฺฉนฺตเมว นํ ยาเจยฺยาสิ, ตติยทิวเส คงฺคาตีเร ฐตฺวา อุทกา อุมฺมุชฺชนฺตเมว นํ ยาเจยฺยาสิ, เอวํ โส ตว สนฺติกํ ปุน น อาคมิสฺสตีติฯ
So ekadivasaṃ bhātu santikaṃ agamāsi. Atha naṃ so pucchi – ‘‘kissa, tvaṃ bho, kiso lūkho dubbaṇṇo uppaṇḍuppaṇḍukajāto dhamanisanthatagatto’’ti. So tassa taṃ pavattiṃ ārocetvā ‘‘kiṃ pana, tvaṃ bho, tassa nāgarājassa āgamanaṃ icchasi, na icchasī’’ti puṭṭho ‘‘na icchāmī’’ti vatvā ‘‘so pana nāgarājā tava santikaṃ āgacchanto kiṃ piḷandhanaṃ piḷandhitvā āgacchatī’’ti vutte ‘‘maṇiratana’’nti āha. Tena hi tvaṃ tasmiṃ nāgarāje tava santikaṃ āgantvā anisinneyeva ‘‘maṇiṃ me dehī’’ti yāca, evaṃ so nāgo taṃ bhogehi aparikkhipitvāva gamissati. Punadivase assamapadadvāre ṭhatvā āgacchantameva naṃ yāceyyāsi, tatiyadivase gaṅgātīre ṭhatvā udakā ummujjantameva naṃ yāceyyāsi, evaṃ so tava santikaṃ puna na āgamissatīti.
ตาปโส ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา อตฺตโน ปณฺณสาลํ คนฺตฺวา ปุนทิวเส นาคราชานํ อาคนฺตฺวา ฐิตมตฺตเมว ‘‘เอตํ อตฺตโน ปิฬนฺธนมณิํ เม เทหี’’ติ ยาจิ, โส อนิสีทิตฺวาว ปลายิฯ อถ นํ ทุติยทิวเส อสฺสมปททฺวาเร ฐตฺวา อาคจฺฉนฺตเมว ‘‘หิโยฺย เม มณิรตนํ นาทาสิ, อชฺช ทานํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ นาโค อสฺสมปทํ อปวิสิตฺวาว ปลายิฯ ตติยทิวเส อุทกโต อุมฺมุชฺชนฺตเมว นํ ‘‘อชฺช เม ตติโย ทิวโส ยาจนฺตสฺส, เทหิ ทานิ เม เอตํ มณิรตน’’นฺติ อาหฯ นาคราชา อุทเก ฐตฺวาว ตาปสํ ปฎิกฺขิปโนฺต เทฺว คาถา อาห –
Tāpaso ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā attano paṇṇasālaṃ gantvā punadivase nāgarājānaṃ āgantvā ṭhitamattameva ‘‘etaṃ attano piḷandhanamaṇiṃ me dehī’’ti yāci, so anisīditvāva palāyi. Atha naṃ dutiyadivase assamapadadvāre ṭhatvā āgacchantameva ‘‘hiyyo me maṇiratanaṃ nādāsi, ajja dānaṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti āha. Nāgo assamapadaṃ apavisitvāva palāyi. Tatiyadivase udakato ummujjantameva naṃ ‘‘ajja me tatiyo divaso yācantassa, dehi dāni me etaṃ maṇiratana’’nti āha. Nāgarājā udake ṭhatvāva tāpasaṃ paṭikkhipanto dve gāthā āha –
๗.
7.
‘‘มมนฺนปานํ วิปุลํ อุฬารํ, อุปฺปชฺชตีมสฺส มณิสฺส เหตุ;
‘‘Mamannapānaṃ vipulaṃ uḷāraṃ, uppajjatīmassa maṇissa hetu;
ตํ เต น ทสฺสํ อติยาจโกสิ, น จาปิ เต อสฺสมมาคมิสฺสํฯ
Taṃ te na dassaṃ atiyācakosi, na cāpi te assamamāgamissaṃ.
๘.
8.
‘‘สุสู ยถา สกฺขรโธตปาณี, ตาเสสิมํ เสลํ ยาจมาโน;
‘‘Susū yathā sakkharadhotapāṇī, tāsesimaṃ selaṃ yācamāno;
ตํ เต น ทสฺสํ อติยาจโกสิ, น จาปิ เต อสฺสมมาคมิสฺส’’นฺติฯ
Taṃ te na dassaṃ atiyācakosi, na cāpi te assamamāgamissa’’nti.
ตตฺถ มมนฺนปานนฺติ มม ยาคุภตฺตาทิทิพฺพโภชนํ อฎฺฐปานกเภทญฺจ ทิพฺพปานํฯ วิปุลนฺติ พหุฯ อุฬารนฺติ เสฎฺฐํ ปณีตํฯ ตํ เตติ ตํ มณิํ ตุยฺหํฯ อติยาจโกสีติ กาลญฺจ ปมาณญฺจ อติกฺกมิตฺวา อชฺช ตีณิ ทิวสานิ มยฺหํ ปิยํ มนาปํ มณิรตนํ ยาจมาโน อติกฺกมฺม ยาจโกสิฯ น จาปิ เตติ น เกวลํ น ทสฺสํ, อสฺสมมฺปิ เต นาคมิสฺสํฯ สุสู ยถาติ ยถา นาม ยุวา ตรุณมนุโสฺสฯ สกฺขรโธตปาณีติ สกฺขราย โธตปาณิ, เตเลน ปาสาเณ โธตอสิหโตฺถฯ ตาเสสิมํ เสลํ ยาจมาโนติ อิมํ มณิํ ยาจโนฺต ตฺวํ กญฺจนถรุขคฺคํ อพฺพาหิตฺวา ‘‘สีสํ เต ฉินฺทามี’’ติ วทโนฺต ตรุณปุริโส วิย มํ ตาเสสิฯ
Tattha mamannapānanti mama yāgubhattādidibbabhojanaṃ aṭṭhapānakabhedañca dibbapānaṃ. Vipulanti bahu. Uḷāranti seṭṭhaṃ paṇītaṃ. Taṃ teti taṃ maṇiṃ tuyhaṃ. Atiyācakosīti kālañca pamāṇañca atikkamitvā ajja tīṇi divasāni mayhaṃ piyaṃ manāpaṃ maṇiratanaṃ yācamāno atikkamma yācakosi. Na cāpi teti na kevalaṃ na dassaṃ, assamampi te nāgamissaṃ. Susū yathāti yathā nāma yuvā taruṇamanusso. Sakkharadhotapāṇīti sakkharāya dhotapāṇi, telena pāsāṇe dhotaasihattho. Tāsesimaṃ selaṃ yācamānoti imaṃ maṇiṃ yācanto tvaṃ kañcanatharukhaggaṃ abbāhitvā ‘‘sīsaṃ te chindāmī’’ti vadanto taruṇapuriso viya maṃ tāsesi.
เอวํ วตฺวา โส นาคราชา อุทเก นิมุชฺชิตฺวา อตฺตโน นาคภวนเมว คนฺตฺวา น ปจฺจาคญฺฉิฯ อถ โส ตาปโส ตสฺส ทสฺสนียสฺส นาคราชสฺส อทสฺสเนน ภิโยฺยโสมตฺตาย กิโส อโหสิ ลูโข ทุพฺพโณฺณ อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาโต ธมนิสนฺถตคโตฺตฯ อถ เชฎฺฐตาปโส ‘‘กนิฎฺฐสฺส ปวตฺติํ ชานิสฺสามี’’ติ ตสฺส สนฺติกํ อาคนฺตฺวา ตํ ภิโยฺยโสมตฺตาย ปณฺฑุโรคินํ ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข, โภ, ตฺวํ ภิโยฺยโสมตฺตาย ปณฺฑุโรคี ชาโต’’ติ วตฺวา ‘‘ตสฺส ทสฺสนียสฺส นาคราชสฺส อทสฺสเนนา’’ติ สุตฺวา ‘‘อยํ ตาปโส นาคราชานํ วินา วตฺติตุํ น สโกฺกตี’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา ตติยํ คาถมาห –
Evaṃ vatvā so nāgarājā udake nimujjitvā attano nāgabhavanameva gantvā na paccāgañchi. Atha so tāpaso tassa dassanīyassa nāgarājassa adassanena bhiyyosomattāya kiso ahosi lūkho dubbaṇṇo uppaṇḍuppaṇḍukajāto dhamanisanthatagatto. Atha jeṭṭhatāpaso ‘‘kaniṭṭhassa pavattiṃ jānissāmī’’ti tassa santikaṃ āgantvā taṃ bhiyyosomattāya paṇḍuroginaṃ disvā ‘‘kiṃ nu kho, bho, tvaṃ bhiyyosomattāya paṇḍurogī jāto’’ti vatvā ‘‘tassa dassanīyassa nāgarājassa adassanenā’’ti sutvā ‘‘ayaṃ tāpaso nāgarājānaṃ vinā vattituṃ na sakkotī’’ti sallakkhetvā tatiyaṃ gāthamāha –
๙.
9.
‘‘น ตํ ยาเจ ยสฺส ปิยํ ชิคีเส, เทโสฺส โหติ อติยาจนาย;
‘‘Na taṃ yāce yassa piyaṃ jigīse, desso hoti atiyācanāya;
นาโค มณิํ ยาจิโต พฺราหฺมเณน, อทสฺสนํเยว ตทชฺฌคมา’’ติฯ
Nāgo maṇiṃ yācito brāhmaṇena, adassanaṃyeva tadajjhagamā’’ti.
ตตฺถ น ตํ ยาเจติ ตํ ภณฺฑํ น ยาเจยฺยฯ ยสฺส ปิยํ ชิคีเสติ ยํ ภณฺฑํ อสฺส ปุคฺคลสฺส ปิยนฺติ ชาเนยฺยฯ เทโสฺส โหตีติ อปฺปิโย โหติฯ อติยาจนายาติ ปมาณํ อติกฺกมิตฺวา วรภณฺฑํ ยาจโนฺต ตาย อติยาจนายฯ อทสฺสนํเยว ตทชฺฌคมาติ ตโต ปฎฺฐาย อทสฺสนเมว คโตติฯ
Tattha na taṃ yāceti taṃ bhaṇḍaṃ na yāceyya. Yassa piyaṃ jigīseti yaṃ bhaṇḍaṃ assa puggalassa piyanti jāneyya. Desso hotīti appiyo hoti. Atiyācanāyāti pamāṇaṃ atikkamitvā varabhaṇḍaṃ yācanto tāya atiyācanāya. Adassanaṃyeva tadajjhagamāti tato paṭṭhāya adassanameva gatoti.
เอวํ ปน ตํ วตฺวา ‘‘อิโต ทานิ ปฎฺฐาย มา โสจี’’ติ สมสฺสาเสตฺวา เชฎฺฐภาตา อตฺตโน อสฺสมเมว คโตฯ อถาปรภาเค เต เทฺวปิ ภาตโร อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา พฺรหฺมโลกปรายณา อเหสุํฯ
Evaṃ pana taṃ vatvā ‘‘ito dāni paṭṭhāya mā socī’’ti samassāsetvā jeṭṭhabhātā attano assamameva gato. Athāparabhāge te dvepi bhātaro abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā brahmalokaparāyaṇā ahesuṃ.
สตฺถา ‘‘เอวํ, ภิกฺขเว, สตฺตรตนปริปุเณฺณ นาคภวเน วสนฺตานํ นาคานมฺปิ ยาจนา นาม อมนาปา, กิมงฺคํ ปน มนุสฺสาน’’นฺติ อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา กนิโฎฺฐ อานโนฺท อโหสิ, เชโฎฺฐ ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā ‘‘evaṃ, bhikkhave, sattaratanaparipuṇṇe nāgabhavane vasantānaṃ nāgānampi yācanā nāma amanāpā, kimaṅgaṃ pana manussāna’’nti imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā kaniṭṭho ānando ahosi, jeṭṭho pana ahameva ahosi’’nti.
มณิกณฺฐชาตกวณฺณนา ตติยาฯ
Maṇikaṇṭhajātakavaṇṇanā tatiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๕๓. มณิกณฺฐชาตกํ • 253. Maṇikaṇṭhajātakaṃ