Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    ๕. ปญฺจกนิปาโต

    5. Pañcakanipāto

    ๑. มณิกุณฺฑลวโคฺค

    1. Maṇikuṇḍalavaggo

    [๓๕๑] ๑. มณิกุณฺฑลชาตกวณฺณนา

    [351] 1. Maṇikuṇḍalajātakavaṇṇanā

    ชีโน รถสฺสํ มณิกุณฺฑเล จาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต โกสลรโญฺญ อเนฺตปุเร สพฺพตฺถสาธกํ ปทุฎฺฐามจฺจํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ เหฎฺฐา วิตฺถาริตเมวฯ อิธ ปน โพธิสโตฺต พาราณสิราชา อโหสิฯ ปทุฎฺฐามโจฺจ โกสลราชานํ อาเนตฺวา กาสิรชฺชํ คาหาเปตฺวา พาราณสิราชานํ พนฺธาเปตฺวา พนฺธนาคาเร ปกฺขิปาเปสิฯ ราชา ฌานํ อุปฺปาเทตฺวา อากาเส ปลฺลเงฺกน นิสีทิ, โจรรโญฺญ สรีเร ฑาโห อุปฺปชฺชิฯ โส พาราณสิราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ปฐมํ คาถมาห –

    Jīnorathassaṃ maṇikuṇḍale cāti idaṃ satthā jetavane viharanto kosalarañño antepure sabbatthasādhakaṃ paduṭṭhāmaccaṃ ārabbha kathesi. Vatthu heṭṭhā vitthāritameva. Idha pana bodhisatto bārāṇasirājā ahosi. Paduṭṭhāmacco kosalarājānaṃ ānetvā kāsirajjaṃ gāhāpetvā bārāṇasirājānaṃ bandhāpetvā bandhanāgāre pakkhipāpesi. Rājā jhānaṃ uppādetvā ākāse pallaṅkena nisīdi, corarañño sarīre ḍāho uppajji. So bārāṇasirājānaṃ upasaṅkamitvā paṭhamaṃ gāthamāha –

    .

    1.

    ‘‘ชีโน รถสฺสํ มณิกุณฺฑเล จ, ปุเตฺต จ ทาเร จ ตเถว ชีโน;

    ‘‘Jīno rathassaṃ maṇikuṇḍale ca, putte ca dāre ca tatheva jīno;

    สเพฺพสุ โภเคสุ อเสสเกสุ, กสฺมา น สนฺตปฺปสิ โสกกาเล’’ติฯ

    Sabbesu bhogesu asesakesu, kasmā na santappasi sokakāle’’ti.

    ตตฺถ ชีโน รถสฺสํ มณิกุณฺฑเล จาติ มหาราช, ตฺวํ รถญฺจ อสฺสญฺจ มณิกุณฺฑลานิ จ ชีโน, ‘‘ชีโน รถเสฺส จ มณิกุณฺฑเล จา’’ติปิ ปาโฐฯ อเสสเกสูติ นิเสฺสสเกสุฯ

    Tattha jīno rathassaṃ maṇikuṇḍale cāti mahārāja, tvaṃ rathañca assañca maṇikuṇḍalāni ca jīno, ‘‘jīno rathasse ca maṇikuṇḍale cā’’tipi pāṭho. Asesakesūti nissesakesu.

    ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต อิมา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Taṃ sutvā bodhisatto imā dve gāthā abhāsi –

    .

    2.

    ‘‘ปุเพฺพว มจฺจํ วิชหนฺติ โภคา, มโจฺจ วา เต ปุพฺพตรํ ชหาติ;

    ‘‘Pubbeva maccaṃ vijahanti bhogā, macco vā te pubbataraṃ jahāti;

    อสสฺสตา โภคิโน กามกามิ, ตสฺมา น โสจามหํ โสกกาเลฯ

    Asassatā bhogino kāmakāmi, tasmā na socāmahaṃ sokakāle.

    .

    3.

    ‘‘อุเทติ อาปูรติ เวติ จโนฺท, อตฺถํ ตเปตฺวาน ปเลติ สูริโย;

    ‘‘Udeti āpūrati veti cando, atthaṃ tapetvāna paleti sūriyo;

    วิทิตา มยา สตฺตุก โลกธมฺมา, ตสฺมา น โสจามหํ โสกกาเล’’ติฯ

    Viditā mayā sattuka lokadhammā, tasmā na socāmahaṃ sokakāle’’ti.

    ตตฺถ ปุเพฺพว มจฺจนฺติ มจฺจํ วา โภคา ปุเพฺพว ปฐมตรเญฺญว วิชหนฺติ, มโจฺจ วา เต โภเค ปุพฺพตรํ ชหาติฯ กามกามีติ โจรราชานํ อาลปติฯ อโมฺภ, กาเม กามยมาน กามกามิ โภคิโน นาม โลเก อสสฺสตา, โภเคสุ วา นเฎฺฐสุ ชีวมานาว อโภคิโน โหนฺติ, โภเค วา ปหาย สยํ นสฺสนฺติ, ตสฺมา อหํ มหาชนสฺส โสกกาเลปิ น โสจามีติ อโตฺถฯ วิทิตา มยา สตฺตุก โลกธมฺมาติ โจรราชานํ อาลปติฯ อโมฺภ, สตฺตุก, มยา ลาโภ อลาโภ ยโส อยโสติอาทโย โลกธมฺมา วิทิตาฯ ยเถว หิ จโนฺท อุเทติ จ ปูรติ จ ปุน จ ขียติ, ยถา จ สูริโย อนฺธการํ วิธมโนฺต มหนฺตํ อาโลกํ ตเปตฺวาน ปุน สายํ อตฺถํ ปเลติ อตฺถํ คจฺฉติ น ทิสฺสติ, เอวเมว โภคา อุปฺปชฺชนฺติ จ นสฺสนฺติ จ, ตตฺถ กิํ โสเกน, ตสฺมา น โสจามีติ อโตฺถฯ

    Tattha pubbeva maccanti maccaṃ vā bhogā pubbeva paṭhamataraññeva vijahanti, macco vā te bhoge pubbataraṃ jahāti. Kāmakāmīti corarājānaṃ ālapati. Ambho, kāme kāmayamāna kāmakāmi bhogino nāma loke asassatā, bhogesu vā naṭṭhesu jīvamānāva abhogino honti, bhoge vā pahāya sayaṃ nassanti, tasmā ahaṃ mahājanassa sokakālepi na socāmīti attho. Viditā mayā sattuka lokadhammāti corarājānaṃ ālapati. Ambho, sattuka, mayā lābho alābho yaso ayasotiādayo lokadhammā viditā. Yatheva hi cando udeti ca pūrati ca puna ca khīyati, yathā ca sūriyo andhakāraṃ vidhamanto mahantaṃ ālokaṃ tapetvāna puna sāyaṃ atthaṃ paleti atthaṃ gacchati na dissati, evameva bhogā uppajjanti ca nassanti ca, tattha kiṃ sokena, tasmā na socāmīti attho.

    เอวํ มหาสโตฺต โจรรโญฺญ ธมฺมํ เทเสตฺวา อิทานิ ตเมว โจรํ ครหโนฺต อาห –

    Evaṃ mahāsatto corarañño dhammaṃ desetvā idāni tameva coraṃ garahanto āha –

    .

    4.

    ‘‘อลโส คิหี กามโภคี น สาธุ, อสญฺญโต ปพฺพชิโต น สาธุ;

    ‘‘Alaso gihī kāmabhogī na sādhu, asaññato pabbajito na sādhu;

    ราชา น สาธุ อนิสมฺมการี, โย ปณฺฑิโต โกธโน ตํ น สาธุฯ

    Rājā na sādhu anisammakārī, yo paṇḍito kodhano taṃ na sādhu.

    .

    5.

    ‘‘นิสมฺม ขตฺติโย กยิรา, นานิสมฺม ทิสมฺปติ;

    ‘‘Nisamma khattiyo kayirā, nānisamma disampati;

    นิสมฺมการิโน ราช, ยโส กิตฺติ จ วฑฺฒตี’’ติฯ

    Nisammakārino rāja, yaso kitti ca vaḍḍhatī’’ti.

    อิมา ปน เทฺว คาถา เหฎฺฐา วิตฺถาริตาเยวฯ โจรราชา โพธิสตฺตํ ขมาเปตฺวา รชฺชํ ปฎิจฺฉาเปตฺวา อตฺตโน ชนปทเมว คโตฯ

    Imā pana dve gāthā heṭṭhā vitthāritāyeva. Corarājā bodhisattaṃ khamāpetvā rajjaṃ paṭicchāpetvā attano janapadameva gato.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา โกสลราชา อานโนฺท อโหสิ, พาราณสิราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā kosalarājā ānando ahosi, bārāṇasirājā pana ahameva ahosi’’nti.

    มณิกุณฺฑลชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ

    Maṇikuṇḍalajātakavaṇṇanā paṭhamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๕๑. มณิกุณฺฑลชาตกํ • 351. Maṇikuṇḍalajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact