Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๒๘๕] ๕. มณิสูกรชาตกวณฺณนา

    [285] 5. Maṇisūkarajātakavaṇṇanā

    ทริยา สตฺต วสฺสานีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต สุนฺทรีมารณํ อารพฺภ กเถสิฯ เตน โข ปน สมเยน ภควา สกฺกโต โหติ ครุกโตติ วตฺถุ อุทาเน (อุทา. ๓๘) อาคตเมวฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขโป – ภควโต กิร ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ ปญฺจนฺนํ มหานทีนํ มโหฆสทิเส ลาภสกฺกาเร อุปฺปเนฺน หตลาภสกฺการา อญฺญติตฺถิยา สูริยุคฺคมนกาเล ขโชฺชปนกา วิย นิปฺปภา หุตฺวา เอกโต สนฺนิปติตฺวา มนฺตยิํสุ – ‘‘มยํ สมณสฺส โคตมสฺส อุปฺปนฺนกาลโต ปฎฺฐาย หตลาภสกฺการา, น โกจิ อมฺหากํ อตฺถิภาวมฺปิ ชานาติ, เกน นุ โข สทฺธิํ เอกโต หุตฺวา สมณสฺส โคตมสฺส อวณฺณํ อุปฺปาเทตฺวา ลาภสกฺการมสฺส อนฺตรธาเปยฺยามา’’ติฯ อถ เนสํ เอตทโหสิ – ‘‘สุนฺทริยา สทฺธิํ เอกโต หุตฺวา สกฺกุณิสฺสามา’’ติฯ

    Dariyāsatta vassānīti idaṃ satthā jetavane viharanto sundarīmāraṇaṃ ārabbha kathesi. Tena kho pana samayena bhagavā sakkato hoti garukatoti vatthu udāne (udā. 38) āgatameva. Ayaṃ panettha saṅkhepo – bhagavato kira bhikkhusaṅghassa ca pañcannaṃ mahānadīnaṃ mahoghasadise lābhasakkāre uppanne hatalābhasakkārā aññatitthiyā sūriyuggamanakāle khajjopanakā viya nippabhā hutvā ekato sannipatitvā mantayiṃsu – ‘‘mayaṃ samaṇassa gotamassa uppannakālato paṭṭhāya hatalābhasakkārā, na koci amhākaṃ atthibhāvampi jānāti, kena nu kho saddhiṃ ekato hutvā samaṇassa gotamassa avaṇṇaṃ uppādetvā lābhasakkāramassa antaradhāpeyyāmā’’ti. Atha nesaṃ etadahosi – ‘‘sundariyā saddhiṃ ekato hutvā sakkuṇissāmā’’ti.

    เต เอกทิวสํ สุนฺทริํ ติตฺถิยารามํ ปวิสิตฺวา วนฺทิตฺวา ฐิตํ นาลปิํสุฯ สา ปุนปฺปุนํ สลฺลปนฺตีปิ ปฎิวจนํ อลภิตฺวา ‘‘อปิ นุ, อยฺยา, ตุเมฺห เกนจิ วิเหฐิตาตฺถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘กิํ, ภคินิ, สมณํ โคตมํ อเมฺห วิเหเฐตฺวา หตลาภสกฺกาเร กตฺวา วิจรนฺตํ น ปสฺสสี’’ติฯ สา เอวมาห – ‘‘มยา เอตฺถ กิํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ? ตฺวํ โขสิ, ภคินิ, อภิรูปา โสภคฺคปฺปตฺตา, สมณสฺส โคตมสฺส อยสํ อาโรเปตฺวา มหาชนํ ตว กถํ คาหาเปตฺวา หตลาภสกฺการํ กโรหี’’ติ? สา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา วนฺทิตฺวา ปกฺกนฺตาฯ ตโต ปฎฺฐาย มาลาคนฺธวิเลปนกปฺปูรกฎุกผลาทีนิ คเหตฺวา สายํ มหาชนสฺส สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา นครํ ปวิสนกาเล เชตวนาภิมุขี คจฺฉติฯ ‘‘กหํ คจฺฉสี’’ติ จ ปุฎฺฐา ‘‘สมณสฺส โคตมสฺส สนฺติกํ, อหญฺหิ เตน สทฺธิํ เอกคนฺธกุฎิยํ วสามี’’ติ วตฺวา อญฺญตรสฺมิํ ติตฺถิยาราเม วสิตฺวา ปาโตว เชตวนมคฺคํ โอตริตฺวา นคราภิมุขี คจฺฉติฯ ‘‘กิํ, สุนฺทริ, กหํ คตาสี’’ติ จ ปุฎฺฐา ‘‘สมเณน โคตเมน สทฺธิํ เอกคนฺธกุฎิยํ วสิตฺวา ตํ กิเลสรติยา รมาเปตฺวา อาคตามฺหี’’ติ วทติฯ

    Te ekadivasaṃ sundariṃ titthiyārāmaṃ pavisitvā vanditvā ṭhitaṃ nālapiṃsu. Sā punappunaṃ sallapantīpi paṭivacanaṃ alabhitvā ‘‘api nu, ayyā, tumhe kenaci viheṭhitātthā’’ti pucchi. ‘‘Kiṃ, bhagini, samaṇaṃ gotamaṃ amhe viheṭhetvā hatalābhasakkāre katvā vicarantaṃ na passasī’’ti. Sā evamāha – ‘‘mayā ettha kiṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti? Tvaṃ khosi, bhagini, abhirūpā sobhaggappattā, samaṇassa gotamassa ayasaṃ āropetvā mahājanaṃ tava kathaṃ gāhāpetvā hatalābhasakkāraṃ karohī’’ti? Sā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā vanditvā pakkantā. Tato paṭṭhāya mālāgandhavilepanakappūrakaṭukaphalādīni gahetvā sāyaṃ mahājanassa satthu dhammadesanaṃ sutvā nagaraṃ pavisanakāle jetavanābhimukhī gacchati. ‘‘Kahaṃ gacchasī’’ti ca puṭṭhā ‘‘samaṇassa gotamassa santikaṃ, ahañhi tena saddhiṃ ekagandhakuṭiyaṃ vasāmī’’ti vatvā aññatarasmiṃ titthiyārāme vasitvā pātova jetavanamaggaṃ otaritvā nagarābhimukhī gacchati. ‘‘Kiṃ, sundari, kahaṃ gatāsī’’ti ca puṭṭhā ‘‘samaṇena gotamena saddhiṃ ekagandhakuṭiyaṃ vasitvā taṃ kilesaratiyā ramāpetvā āgatāmhī’’ti vadati.

    อถ นํ กติปาหจฺจเยน ธุตฺตานํ กหาปเณ ทตฺวา ‘‘คจฺฉถ สุนฺทริํ มาเรตฺวา สมณสฺส โคตมสฺส คนฺธกุฎิยา สมีเป มาลากจวรนฺตเร นิกฺขิปิตฺวา เอถา’’ติ วทิํสุ, เต ตถา อกํสุฯ ตโต ติตฺถิยา ‘‘สุนฺทริํ น ปสฺสามา’’ติ โกลาหลํ กตฺวา รโญฺญ อาโรเจตฺวา ‘‘กหํ โว อาสงฺกา’’ติ วุตฺตา ‘‘อิเมสุ ทิวเสสุ เชตวเน วสติ, ตตฺรสฺสา ปวตฺติํ น ชานามา’’ติ วตฺวา ‘‘เตน หิ คจฺฉถ, นํ วิจินถา’’ติ รญฺญา อนุญฺญาตา อตฺตโน อุปฎฺฐาเก คเหตฺวา เชตวนํ คนฺตฺวา วิจินนฺตา มาลากจวรนฺตเร ทิสฺวา มญฺจกํ อาโรเปตฺวา นครํ ปเวเสตฺวา ‘‘สมณสฺส โคตมสฺส สาวกา ‘สตฺถารา กตปาปกมฺมํ ปฎิจฺฉาเทสฺสามา’ติ สุนฺทริํ มาเรตฺวา มาลากจวรนฺตเร นิกฺขิปิํสู’’ติ รโญฺญ อาโรเจสุํ, ราชา ‘‘เตน หิ คจฺฉถ, นครํ อาหิณฺฑถา’’ติ อาหฯ เต นครวีถีสุ ‘‘ปสฺสถ สมณานํ สกฺยปุตฺติยานํ กมฺม’’นฺติอาทีนิ วิรวิตฺวา ปุน รโญฺญ นิเวสนทฺวารํ อคมํสุฯ

    Atha naṃ katipāhaccayena dhuttānaṃ kahāpaṇe datvā ‘‘gacchatha sundariṃ māretvā samaṇassa gotamassa gandhakuṭiyā samīpe mālākacavarantare nikkhipitvā ethā’’ti vadiṃsu, te tathā akaṃsu. Tato titthiyā ‘‘sundariṃ na passāmā’’ti kolāhalaṃ katvā rañño ārocetvā ‘‘kahaṃ vo āsaṅkā’’ti vuttā ‘‘imesu divasesu jetavane vasati, tatrassā pavattiṃ na jānāmā’’ti vatvā ‘‘tena hi gacchatha, naṃ vicinathā’’ti raññā anuññātā attano upaṭṭhāke gahetvā jetavanaṃ gantvā vicinantā mālākacavarantare disvā mañcakaṃ āropetvā nagaraṃ pavesetvā ‘‘samaṇassa gotamassa sāvakā ‘satthārā katapāpakammaṃ paṭicchādessāmā’ti sundariṃ māretvā mālākacavarantare nikkhipiṃsū’’ti rañño ārocesuṃ, rājā ‘‘tena hi gacchatha, nagaraṃ āhiṇḍathā’’ti āha. Te nagaravīthīsu ‘‘passatha samaṇānaṃ sakyaputtiyānaṃ kamma’’ntiādīni viravitvā puna rañño nivesanadvāraṃ agamaṃsu.

    ราชา สุนฺทริยา สรีรํ อามกสุสาเน อฎฺฎกํ อาโรเปตฺวา รกฺขาเปสิฯ สาวตฺถิวาสิโน ฐเปตฺวา อริยสาวเก เสสา เยภุเยฺยน ‘‘ปสฺสถ สมณานํ สกฺยปุตฺติยานํ กมฺม’’นฺติอาทีนิ วตฺวา อโนฺตนคเร จ พหินคเร จ ภิกฺขู อโกฺกสนฺตา ปริภาสนฺตา วิจรนฺติฯ ภิกฺขู ตํ ปวตฺติํ ตถาคตสฺส อาโรเจสุํฯ สตฺถา ‘‘เตน หิ ตุเมฺหปิ เต มนุเสฺส เอวํ ปฎิโจเทถา’’ติ –

    Rājā sundariyā sarīraṃ āmakasusāne aṭṭakaṃ āropetvā rakkhāpesi. Sāvatthivāsino ṭhapetvā ariyasāvake sesā yebhuyyena ‘‘passatha samaṇānaṃ sakyaputtiyānaṃ kamma’’ntiādīni vatvā antonagare ca bahinagare ca bhikkhū akkosantā paribhāsantā vicaranti. Bhikkhū taṃ pavattiṃ tathāgatassa ārocesuṃ. Satthā ‘‘tena hi tumhepi te manusse evaṃ paṭicodethā’’ti –

    ‘‘อภูตวาที นิรยํ อุเปติ, โย วาปิ กตฺวา น กโรมิ จาห;

    ‘‘Abhūtavādī nirayaṃ upeti, yo vāpi katvā na karomi cāha;

    อุโภปิ เต เปจฺจ สมา ภวนฺติ, นิหีนกมฺมา มนุชา ปรตฺถา’’ติฯ (อุทา. ๓๘) –

    Ubhopi te pecca samā bhavanti, nihīnakammā manujā paratthā’’ti. (udā. 38) –

    อิมํ คาถมาหฯ

    Imaṃ gāthamāha.

    ราชา ‘‘สุนฺทริยา อเญฺญหิ มาริตภาวํ ชานาถา’’ติ ปุริเส เปเสสิฯ เตปิ โข ธุตฺตา เตหิ กหาปเณหิ สุรํ ปิวนฺตา อญฺญมญฺญํ กลหํ กโรนฺติฯ ตเตฺถโก เอวมาห – ‘‘ตฺวํ สุนฺทริํ เอกปฺปหาเรเนว มาเรตฺวา มาลากจวรนฺตเร นิกฺขิปิตฺวา ตโต ลทฺธกหาปเณหิ สุรํ ปิวสิ, โหตุ โหตู’’ติฯ ราชปุริสา เต ธุเตฺต คเหตฺวา รโญฺญ ทเสฺสสุํฯ อถ เต ราชา ‘‘ตุเมฺหหิ มาริตา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, เทวา’’ติฯ ‘‘เกหิ มาราปิตา’’ติ? ‘‘อญฺญติตฺถิเยหิ, เทวา’’ติฯ ราชา ติตฺถิเย ปโกฺกสาเปตฺวา สุนฺทริํ อุกฺขิปาเปตฺวา ‘‘คจฺฉถ ตุเมฺห, เอวํ วทนฺตา นครํ อาหิณฺฑถ ‘อยํ สุนฺทรี สมณสฺส โคตมสฺส อวณฺณํ อาโรเปตุกาเมหิ อเมฺหหิ มาราปิตา, เนว สมณสฺส โคตมสฺส, น โคตมสาวกานํ โทโส อตฺถิ, อมฺหากํเยว โทโส’’’ติ อาณาเปสิฯ เต ตถา อกํสุฯ พาลมหาชโน ตทา สทฺทหิ, ติตฺถิยาปิ ปุริสวธทเณฺฑน ปลิพุทฺธาฯ ตโต ปฎฺฐาย พุทฺธานํ มหนฺตตโร ลาภสกฺกาโร อโหสิฯ

    Rājā ‘‘sundariyā aññehi māritabhāvaṃ jānāthā’’ti purise pesesi. Tepi kho dhuttā tehi kahāpaṇehi suraṃ pivantā aññamaññaṃ kalahaṃ karonti. Tattheko evamāha – ‘‘tvaṃ sundariṃ ekappahāreneva māretvā mālākacavarantare nikkhipitvā tato laddhakahāpaṇehi suraṃ pivasi, hotu hotū’’ti. Rājapurisā te dhutte gahetvā rañño dassesuṃ. Atha te rājā ‘‘tumhehi māritā’’ti pucchi. ‘‘Āma, devā’’ti. ‘‘Kehi mārāpitā’’ti? ‘‘Aññatitthiyehi, devā’’ti. Rājā titthiye pakkosāpetvā sundariṃ ukkhipāpetvā ‘‘gacchatha tumhe, evaṃ vadantā nagaraṃ āhiṇḍatha ‘ayaṃ sundarī samaṇassa gotamassa avaṇṇaṃ āropetukāmehi amhehi mārāpitā, neva samaṇassa gotamassa, na gotamasāvakānaṃ doso atthi, amhākaṃyeva doso’’’ti āṇāpesi. Te tathā akaṃsu. Bālamahājano tadā saddahi, titthiyāpi purisavadhadaṇḍena palibuddhā. Tato paṭṭhāya buddhānaṃ mahantataro lābhasakkāro ahosi.

    อเถกทิวสํ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘อาวุโส, ติตฺถิยา ‘พุทฺธานํ กาฬกภาวํ อุปฺปาเทสฺสามา’ติ สยํ กาฬกา ชาตา, พุทฺธานํ ปน มหนฺตตโร ลาภสกฺกาโร อุทปาที’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, สกฺกา พุทฺธานํ สํกิเลสํ อุปฺปาเทตุํ, พุทฺธานํ สํกิลิฎฺฐภาวกรณํ นาม ชาติมณิโน กิลิฎฺฐภาวกรณสทิสํ, ปุเพฺพ ชาติมณิํ ‘กิลิฎฺฐํ กริสฺสามา’ติ วายมนฺตาปิ นาสกฺขิํสุ กิลิฎฺฐํ กาตุ’’นฺติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Athekadivasaṃ bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘āvuso, titthiyā ‘buddhānaṃ kāḷakabhāvaṃ uppādessāmā’ti sayaṃ kāḷakā jātā, buddhānaṃ pana mahantataro lābhasakkāro udapādī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, sakkā buddhānaṃ saṃkilesaṃ uppādetuṃ, buddhānaṃ saṃkiliṭṭhabhāvakaraṇaṃ nāma jātimaṇino kiliṭṭhabhāvakaraṇasadisaṃ, pubbe jātimaṇiṃ ‘kiliṭṭhaṃ karissāmā’ti vāyamantāpi nāsakkhiṃsu kiliṭṭhaṃ kātu’’nti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต เอกสฺมิํ คามเก พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต กาเมสุ อาทีนวํ ทิสฺวา นิกฺขมิตฺวา หิมวนฺตปเทเส ติโสฺส ปพฺพตราชิโย อติกฺกมิตฺวา ตาปโส หุตฺวา ปณฺณสาลายํ วสิฯ ตสฺสา อวิทูเร มณิคุหา อโหสิ, ตตฺถ ติํสมตฺตา สูกรา วสนฺติ, คุหาย อวิทูเร เอโก สีโห จรติ, ตสฺส มณิมฺหิ ฉายา ปญฺญายติฯ สูกรา สีหจฺฉายํ ทิสฺวา ภีตา อุตฺรสฺตา อปฺปมํสโลหิตา อเหสุํฯ เต ‘‘อิมสฺส มณิโน วิปฺปสนฺนตฺตา อยํ ฉายา ปญฺญายติ, อิมํ มณิํ สํกิลิฎฺฐํ วิวณฺณํ กโรมา’’ติ จิเนฺตตฺวา อวิทูเร เอกํ สรํ คนฺตฺวา กลเล ปวเฎฺฎตฺวา อาคนฺตฺวา ตํ มณิํ ฆํสนฺติฯ โส สูกรโลเมหิ ฆํสิยมาโน วิปฺปสนฺนตโร อโหสิฯ สูกรา อุปายํ อปสฺสนฺตา ‘‘อิมสฺส มณิโน วิวณฺณกรณูปายํ ตาปสํ ปุจฺฉิสฺสามา’’ติ โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ ฐิตา ปุริมา เทฺว คาถา อุทาหริํสุ –

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto ekasmiṃ gāmake brāhmaṇakule nibbattitvā vayappatto kāmesu ādīnavaṃ disvā nikkhamitvā himavantapadese tisso pabbatarājiyo atikkamitvā tāpaso hutvā paṇṇasālāyaṃ vasi. Tassā avidūre maṇiguhā ahosi, tattha tiṃsamattā sūkarā vasanti, guhāya avidūre eko sīho carati, tassa maṇimhi chāyā paññāyati. Sūkarā sīhacchāyaṃ disvā bhītā utrastā appamaṃsalohitā ahesuṃ. Te ‘‘imassa maṇino vippasannattā ayaṃ chāyā paññāyati, imaṃ maṇiṃ saṃkiliṭṭhaṃ vivaṇṇaṃ karomā’’ti cintetvā avidūre ekaṃ saraṃ gantvā kalale pavaṭṭetvā āgantvā taṃ maṇiṃ ghaṃsanti. So sūkaralomehi ghaṃsiyamāno vippasannataro ahosi. Sūkarā upāyaṃ apassantā ‘‘imassa maṇino vivaṇṇakaraṇūpāyaṃ tāpasaṃ pucchissāmā’’ti bodhisattaṃ upasaṅkamitvā vanditvā ekamantaṃ ṭhitā purimā dve gāthā udāhariṃsu –

    ๑๐๓.

    103.

    ‘‘ทริยา สตฺต วสฺสานิ, ติํสมตฺตา วสามเส;

    ‘‘Dariyā satta vassāni, tiṃsamattā vasāmase;

    หญฺญาม มณิโน อาภํ, อิติ โน มนฺตรํ อหุฯ

    Haññāma maṇino ābhaṃ, iti no mantaraṃ ahu.

    ๑๐๔.

    104.

    ‘‘ยาวตา มณิํ ฆํสาม, ภิโยฺย โวทายเต มณิ;

    ‘‘Yāvatā maṇiṃ ghaṃsāma, bhiyyo vodāyate maṇi;

    อิทญฺจทานิ ปุจฺฉาม, กิํ กิจฺจํ อิธ มญฺญสี’’ติฯ

    Idañcadāni pucchāma, kiṃ kiccaṃ idha maññasī’’ti.

    ตตฺถ ทริยาติ มณิคุหายํฯ วสามเสติ วสามฯ หญฺญามาติ หนิสฺสาม, มยมฺปิ วิวณฺณํ กริสฺสามฯ อิทญฺจทานิ ปุจฺฉามาติ อิทานิ มยํ ‘‘เกน การเณน อยํ มณิ กิลิสฺสมาโน โวทายเต’’ติ อิทํ ตํ ปุจฺฉามฯ ‘‘กิํ กิจฺจํ ‘อิธ มญฺญสี’ติ อิมสฺมิํ อเตฺถ ตฺวํ อิมํ กิจฺจํ กินฺติ มญฺญสี’’ติฯ

    Tattha dariyāti maṇiguhāyaṃ. Vasāmaseti vasāma. Haññāmāti hanissāma, mayampi vivaṇṇaṃ karissāma. Idañcadāni pucchāmāti idāni mayaṃ ‘‘kena kāraṇena ayaṃ maṇi kilissamāno vodāyate’’ti idaṃ taṃ pucchāma. ‘‘Kiṃ kiccaṃ ‘idha maññasī’ti imasmiṃ atthe tvaṃ imaṃ kiccaṃ kinti maññasī’’ti.

    อถ เนสํ อาจิกฺขโนฺต โพธิสโตฺต ตติยํ คาถมาห –

    Atha nesaṃ ācikkhanto bodhisatto tatiyaṃ gāthamāha –

    ๑๐๕.

    105.

    ‘‘อยํ มณิ เวฬุริโย, อกาโจ วิมโล สุโภ;

    ‘‘Ayaṃ maṇi veḷuriyo, akāco vimalo subho;

    นาสฺส สกฺกา สิริํ หนฺตุํ, อปกฺกมถ สูกรา’’ติฯ

    Nāssa sakkā siriṃ hantuṃ, apakkamatha sūkarā’’ti.

    ตตฺถ อกาโจติ อกกฺกโสฯ สุโภติ โสภโนฯ สิรินฺติ ปภํฯ อปกฺกมถาติ อิมสฺส มณิสฺส ปภา นาเสตุํ น สกฺกา, ตุเมฺห ปน อิมํ มณิคุหํ ปหาย อญฺญตฺถ คจฺฉถาติฯ

    Tattha akācoti akakkaso. Subhoti sobhano. Sirinti pabhaṃ. Apakkamathāti imassa maṇissa pabhā nāsetuṃ na sakkā, tumhe pana imaṃ maṇiguhaṃ pahāya aññattha gacchathāti.

    เต ตสฺส กถํ สุตฺวา ตถา อกํสุฯ โพธิสโตฺต ฌานํ อุปฺปาเทตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ

    Te tassa kathaṃ sutvā tathā akaṃsu. Bodhisatto jhānaṃ uppādetvā brahmalokaparāyaṇo ahosi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ตาปโส อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā tāpaso ahameva ahosi’’nti.

    มณิสูกรชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ

    Maṇisūkarajātakavaṇṇanā pañcamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๘๕. มณิสูกรชาตกํ • 285. Maṇisūkarajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact