Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๓๙๗] ๒. มโนชชาตกวณฺณนา

    [397] 2. Manojajātakavaṇṇanā

    ยถา จาโป นินฺนมตีติ อิทํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรโนฺต วิปกฺขเสวกํ ภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ ปน เหฎฺฐา มหิฬามุขชาตเก (ชา. ๑.๑.๒๖) วิตฺถาริตเมวฯ ตทา ปน สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพเปส วิปกฺขเสวโกเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Yathā cāpo ninnamatīti idaṃ satthā veḷuvane viharanto vipakkhasevakaṃ bhikkhuṃ ārabbha kathesi. Vatthu pana heṭṭhā mahiḷāmukhajātake (jā. 1.1.26) vitthāritameva. Tadā pana satthā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepesa vipakkhasevakoyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต สีโห หุตฺวา สีหิยา สทฺธิํ สํวสโนฺต เทฺว โปตเก ลภิ – ปุตฺตญฺจ ธีตรญฺจฯ ปุตฺตสฺส มโนโชติ นามํ อโหสิ, โส วยปฺปโตฺต เอกํ สีหโปติกํ คณฺหิฯ อิติ เต ปญฺจ ชนา อเหสุํฯ มโนโช วนมหิํสาทโย วธิตฺวา มํสํ อาหริตฺวา มาตาปิตโร จ ภคินิญฺจ ปชาปติญฺจ โปเสติฯ โส เอกทิวสํ โคจรภูมิยํ คิริยํ นาม สิงฺคาลํ ปลายิตุํ อปฺปโหนฺตํ อุเรน นิปนฺนํ ทิสฺวา ‘‘กิํ, สมฺมา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อุปฎฺฐาตุกาโมมฺหิ, สามี’’ติ วุเตฺต ‘‘สาธุ, อุปฎฺฐหสฺสู’’ติ ตํ คเหตฺวา อตฺตโน วสนคุหํ อาเนสิฯ โพธิสโตฺต ตํ ทิสฺวา ‘‘ตาต มโนช, สิงฺคาลา นาม ทุสฺสีลา ปาปธมฺมา อกิเจฺจ นิโยเชนฺติ, มา เอตํ อตฺตโน สนฺติเก กรี’’ติ วาเรตุํ นาสกฺขิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto sīho hutvā sīhiyā saddhiṃ saṃvasanto dve potake labhi – puttañca dhītarañca. Puttassa manojoti nāmaṃ ahosi, so vayappatto ekaṃ sīhapotikaṃ gaṇhi. Iti te pañca janā ahesuṃ. Manojo vanamahiṃsādayo vadhitvā maṃsaṃ āharitvā mātāpitaro ca bhaginiñca pajāpatiñca poseti. So ekadivasaṃ gocarabhūmiyaṃ giriyaṃ nāma siṅgālaṃ palāyituṃ appahontaṃ urena nipannaṃ disvā ‘‘kiṃ, sammā’’ti pucchitvā ‘‘upaṭṭhātukāmomhi, sāmī’’ti vutte ‘‘sādhu, upaṭṭhahassū’’ti taṃ gahetvā attano vasanaguhaṃ ānesi. Bodhisatto taṃ disvā ‘‘tāta manoja, siṅgālā nāma dussīlā pāpadhammā akicce niyojenti, mā etaṃ attano santike karī’’ti vāretuṃ nāsakkhi.

    อเถกทิวสํ สิงฺคาโล อสฺสมํสํ ขาทิตุกาโม มโนชํ อาห – ‘‘สามิ, อเมฺหหิ ฐเปตฺวา อสฺสมํสํ อญฺญํ อขาทิตปุพฺพํ นาม นตฺถิ, อสฺสํ คณฺหิสฺสามา’’ติฯ ‘‘กหํ ปน, สมฺม, อสฺสา โหนฺตี’’ติ? ‘‘พาราณสิยํ นทีตีเร’’ติฯ โส ตสฺส วจนํ คเหตฺวา เตน สทฺธิํ อสฺสานํ นทิยา นฺหานเวลายํ คนฺตฺวา เอกํ อสฺสํ คเหตฺวา ปิฎฺฐิยํ อาโรเปตฺวา เวเคน อตฺตโน คุหาทฺวารเมว อาคโตฯ อถสฺส ปิตา อสฺสมํสํ ขาทิตฺวา ‘‘ตาต, อสฺสา นาม ราชโภคา, ราชาโน จ นาม อเนกมายา กุสเลหิ ธนุคฺคเหหิ วิชฺฌาเปนฺติ, อสฺสมํสขาทนสีหา นาม ทีฆายุกา น โหนฺติ, อิโต ปฎฺฐาย มา อสฺสํ คณฺหี’’ติ อาหฯ โส ปิตุ วจนํ อกตฺวา คณฺหเตวฯ ‘‘สีโห อเสฺส คณฺหาตี’’ติ สุตฺวา ราชา อโนฺตนคเรเยว อสฺสานํ โปกฺขรณิํ การาเปสิฯ ตโตปิ อาคนฺตฺวา คณฺหิเยวฯ ราชา อสฺสสาลํ กาเรตฺวา อโนฺตสาลายเมว ติโณทกํ ทาเปสิฯ สีโห ปาการมตฺถเกน คนฺตฺวา อโนฺตสาลาโตปิ คณฺหิเยวฯ

    Athekadivasaṃ siṅgālo assamaṃsaṃ khāditukāmo manojaṃ āha – ‘‘sāmi, amhehi ṭhapetvā assamaṃsaṃ aññaṃ akhāditapubbaṃ nāma natthi, assaṃ gaṇhissāmā’’ti. ‘‘Kahaṃ pana, samma, assā hontī’’ti? ‘‘Bārāṇasiyaṃ nadītīre’’ti. So tassa vacanaṃ gahetvā tena saddhiṃ assānaṃ nadiyā nhānavelāyaṃ gantvā ekaṃ assaṃ gahetvā piṭṭhiyaṃ āropetvā vegena attano guhādvārameva āgato. Athassa pitā assamaṃsaṃ khāditvā ‘‘tāta, assā nāma rājabhogā, rājāno ca nāma anekamāyā kusalehi dhanuggahehi vijjhāpenti, assamaṃsakhādanasīhā nāma dīghāyukā na honti, ito paṭṭhāya mā assaṃ gaṇhī’’ti āha. So pitu vacanaṃ akatvā gaṇhateva. ‘‘Sīho asse gaṇhātī’’ti sutvā rājā antonagareyeva assānaṃ pokkharaṇiṃ kārāpesi. Tatopi āgantvā gaṇhiyeva. Rājā assasālaṃ kāretvā antosālāyameva tiṇodakaṃ dāpesi. Sīho pākāramatthakena gantvā antosālātopi gaṇhiyeva.

    ราชา เอกํ อกฺขณเวธิํ ธนุคฺคหํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สกฺขิสฺสสิ ตาต, สีหํ วิชฺฌิตุ’’นฺติ อาหฯ โส ‘‘สโกฺกมี’’ติ วตฺวา ปาการํ นิสฺสาย สีหสฺส อาคมนมเคฺค อฎฺฎกํ กาเรตฺวา อฎฺฐาสิฯ สีโห อาคนฺตฺวา พหิสุสาเน สิงฺคาลํ ฐเปตฺวา อสฺสคหณตฺถาย นครํ ปกฺขนฺทิฯ ธนุคฺคโห อาคมนกาเล ‘‘อติติขิโณ เวโค’’ติ สีหํ อวิชฺฌิตฺวา อสฺสํ คเหตฺวา คมนกาเล ครุภารตาย โอลีนเวคํ สีหํ ติขิเณน นาราเจน ปจฺฉาภาเค วิชฺฌิฯ นาราโจ ปุริมกาเยน นิกฺขมิตฺวา อากาสํ ปกฺขนฺทิฯ สีโห ‘‘วิโทฺธสฺมี’’ติ วิรวิฯ ธนุคฺคโห ตํ วิชฺฌิตฺวา อสนิ วิย ชิยํ โปเถสิฯ สิงฺคาโล สีหสฺส จ ชิยาย จ สทฺทํ สุตฺวา ‘‘สหาโย เม ธนุคฺคเหน วิชฺฌิตฺวา มาริโต ภวิสฺสติ, มตเกน หิ สทฺธิํ วิสฺสาโส นาม นตฺถิ, อิทานิ มม ปกติยา วสนวนเมว คมิสฺสามี’’ติ อตฺตนาว สทฺธิํ สลฺลปโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –

    Rājā ekaṃ akkhaṇavedhiṃ dhanuggahaṃ pakkosāpetvā ‘‘sakkhissasi tāta, sīhaṃ vijjhitu’’nti āha. So ‘‘sakkomī’’ti vatvā pākāraṃ nissāya sīhassa āgamanamagge aṭṭakaṃ kāretvā aṭṭhāsi. Sīho āgantvā bahisusāne siṅgālaṃ ṭhapetvā assagahaṇatthāya nagaraṃ pakkhandi. Dhanuggaho āgamanakāle ‘‘atitikhiṇo vego’’ti sīhaṃ avijjhitvā assaṃ gahetvā gamanakāle garubhāratāya olīnavegaṃ sīhaṃ tikhiṇena nārācena pacchābhāge vijjhi. Nārāco purimakāyena nikkhamitvā ākāsaṃ pakkhandi. Sīho ‘‘viddhosmī’’ti viravi. Dhanuggaho taṃ vijjhitvā asani viya jiyaṃ pothesi. Siṅgālo sīhassa ca jiyāya ca saddaṃ sutvā ‘‘sahāyo me dhanuggahena vijjhitvā mārito bhavissati, matakena hi saddhiṃ vissāso nāma natthi, idāni mama pakatiyā vasanavanameva gamissāmī’’ti attanāva saddhiṃ sallapanto dve gāthā abhāsi –

    .

    8.

    ‘‘ยถา จาโป นินฺนมติ, ชิยา จาปิ นิกูชติ;

    ‘‘Yathā cāpo ninnamati, jiyā cāpi nikūjati;

    หญฺญเต นูน มโนโช, มิคราชา สขา มมฯ

    Haññate nūna manojo, migarājā sakhā mama.

    .

    9.

    ‘‘หนฺท ทานิ วนนฺตานิ, ปกฺกมามิ ยถาสุขํ;

    ‘‘Handa dāni vanantāni, pakkamāmi yathāsukhaṃ;

    เนตาทิสา สขา โหนฺติ, ลพฺภา เม ชีวโต สขา’’ติฯ

    Netādisā sakhā honti, labbhā me jīvato sakhā’’ti.

    ตตฺถ ยถาติ เยนากาเรเนว จาโป นินฺนมติฯ หญฺญเต นูนาติ นูน หญฺญติฯ เนตาทิสาติ เอวรูปา มตกา สหายา นาม น โหนฺติฯ ลพฺภา เมติ ชีวโต มม สหาโย นาม สกฺกา ลทฺธุํฯ

    Tattha yathāti yenākāreneva cāpo ninnamati. Haññate nūnāti nūna haññati. Netādisāti evarūpā matakā sahāyā nāma na honti. Labbhā meti jīvato mama sahāyo nāma sakkā laddhuṃ.

    สีโหปิ เอกเวเคน คนฺตฺวา อสฺสํ คุหาทฺวาเร ปาเตตฺวา สยมฺปิ มริตฺวา ปติฯ อถสฺส ญาตกา นิกฺขมิตฺวา ตํ โลหิตมกฺขิตํ ปหารมุเขหิ ปคฺฆริตโลหิตํ ปาปชนเสวิตาย ชีวิตกฺขยํ ปตฺตํ อทฺทสํสุ, ทิสฺวา จสฺส มาตา ปิตา ภคินี ปชาปตีติ ปฎิปาฎิยา จตโสฺส คาถา ภาสิํสุ –

    Sīhopi ekavegena gantvā assaṃ guhādvāre pātetvā sayampi maritvā pati. Athassa ñātakā nikkhamitvā taṃ lohitamakkhitaṃ pahāramukhehi paggharitalohitaṃ pāpajanasevitāya jīvitakkhayaṃ pattaṃ addasaṃsu, disvā cassa mātā pitā bhaginī pajāpatīti paṭipāṭiyā catasso gāthā bhāsiṃsu –

    ๑๐.

    10.

    ‘‘น ปาปชนสํเสวี, อจฺจนฺตํ สุขเมธติ;

    ‘‘Na pāpajanasaṃsevī, accantaṃ sukhamedhati;

    มโนชํ ปสฺส เสมานํ, คิริยสฺสานุสาสนีฯ

    Manojaṃ passa semānaṃ, giriyassānusāsanī.

    ๑๑.

    11.

    ‘‘น ปาปสมฺปวเงฺกน, มาตา ปุเตฺตน นนฺทติ;

    ‘‘Na pāpasampavaṅkena, mātā puttena nandati;

    มโนชํ ปสฺส เสมานํ, อจฺฉนฺนํ สมฺหิ โลหิเตฯ

    Manojaṃ passa semānaṃ, acchannaṃ samhi lohite.

    ๑๒.

    12.

    ‘‘เอวมาปชฺชเต โปโส, ปาปิโย จ นิคจฺฉติ;

    ‘‘Evamāpajjate poso, pāpiyo ca nigacchati;

    โย เว หิตานํ วจนํ, น กโรติ อตฺถทสฺสินํฯ

    Yo ve hitānaṃ vacanaṃ, na karoti atthadassinaṃ.

    ๑๓.

    13.

    ‘‘เอวญฺจ โส โหติ ตโต จ ปาปิโย, โย อุตฺตโม อธมชนูปเสวี;

    ‘‘Evañca so hoti tato ca pāpiyo, yo uttamo adhamajanūpasevī;

    ปสฺสุตฺตมํ อธมชนูปเสวิตํ, มิคาธิปํ สรวรเวคนิทฺธุต’’นฺติฯ

    Passuttamaṃ adhamajanūpasevitaṃ, migādhipaṃ saravaraveganiddhuta’’nti.

    ตตฺถ อจฺจนฺตํ สุขเมธตีติ น จิรํ สุขํ ลภติฯ คิริยสฺสานุสาสนีติ อยํ เอวรูปา คิริยสฺสานุสาสนีติ ครหโนฺต อาหฯ ปาปสมฺปวเงฺกนาติ ปาเปสุ สมฺปวเงฺกน ปาปสหาเยนฯ อจฺฉนฺนนฺติ นิมุคฺคํฯ ปาปิโย จ นิคจฺฉตีติ ปาปญฺจ วินฺทติฯ หิตานนฺติ อตฺถกามานํฯ อตฺถทสฺสินนฺติ อนาคตอตฺถํ ปสฺสนฺตานํฯ ปาปิโยติ ปาปตโรฯ อธมชนูปเสวีติ อธมชนํ อุปเสวีฯ อุตฺตมนฺติ สรีรพเลน เชฎฺฐกํฯ

    Tattha accantaṃ sukhamedhatīti na ciraṃ sukhaṃ labhati. Giriyassānusāsanīti ayaṃ evarūpā giriyassānusāsanīti garahanto āha. Pāpasampavaṅkenāti pāpesu sampavaṅkena pāpasahāyena. Acchannanti nimuggaṃ. Pāpiyo ca nigacchatīti pāpañca vindati. Hitānanti atthakāmānaṃ. Atthadassinanti anāgataatthaṃ passantānaṃ. Pāpiyoti pāpataro. Adhamajanūpasevīti adhamajanaṃ upasevī. Uttamanti sarīrabalena jeṭṭhakaṃ.

    ปจฺฉิมา อภิสมฺพุทฺธคาถา –

    Pacchimā abhisambuddhagāthā –

    ๑๔.

    14.

    ‘‘นิหียติ ปุริโส นิหีนเสวี, น จ หาเยถ กทาจิ ตุลฺยเสวี;

    ‘‘Nihīyati puriso nihīnasevī, na ca hāyetha kadāci tulyasevī;

    เสฎฺฐมุปคมํ อุเทติ ขิปฺปํ, ตสฺมาตฺตนา อุตฺตริตรํ ภเชถา’’ติฯ

    Seṭṭhamupagamaṃ udeti khippaṃ, tasmāttanā uttaritaraṃ bhajethā’’ti.

    ตตฺถ นิหียตีติ ภิกฺขเว, นิหีนเสวี นาม มโนโช สีโห วิย นิหียติ ปริหายติ วินาสํ ปาปุณาติฯ ตุลฺยเสวีติ สีลาทีหิ อตฺตนา สทิสํ เสวมาโน น หายติ, วฑฺฒิเยว ปนสฺส โหติฯ เสฎฺฐมุปคมนฺติ สีลาทีหิ อุตฺตริตรํเยว อุปคจฺฉโนฺตฯ อุเทติ ขิปฺปนฺติ สีฆเมว สีลาทีหิ คุเณหิ อุเทติ, วุทฺธิํ อุปคจฺฉตีติฯ

    Tattha nihīyatīti bhikkhave, nihīnasevī nāma manojo sīho viya nihīyati parihāyati vināsaṃ pāpuṇāti. Tulyasevīti sīlādīhi attanā sadisaṃ sevamāno na hāyati, vaḍḍhiyeva panassa hoti. Seṭṭhamupagamanti sīlādīhi uttaritaraṃyeva upagacchanto. Udeti khippanti sīghameva sīlādīhi guṇehi udeti, vuddhiṃ upagacchatīti.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน วิปกฺขเสวโก โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne vipakkhasevako sotāpattiphale patiṭṭhahi.

    ตทา สิงฺคาโล เทวทโตฺต อโหสิ, มโนโช วิปกฺขเสวโก, ภคินี อุปฺปลวณฺณา, ภริยา เขมา ภิกฺขุนี, มาตา ราหุลมาตา, ปิตา สีหราชา ปน อหเมว อโหสินฺติฯ

    Tadā siṅgālo devadatto ahosi, manojo vipakkhasevako, bhaginī uppalavaṇṇā, bhariyā khemā bhikkhunī, mātā rāhulamātā, pitā sīharājā pana ahameva ahosinti.

    มโนชชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ

    Manojajātakavaṇṇanā dutiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๙๗. มโนชชาตกํ • 397. Manojajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact