Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā

    ๑๐. มารเธยฺยสุตฺตวณฺณนา

    10. Māradheyyasuttavaṇṇanā

    ๕๙. ทสมสฺส กา อุปฺปตฺติ? เอกทิวสํ กิร สตฺถา เสกฺขพหุลาย ปริสาย ปริวุโต นิสิโนฺน เตสํ อชฺฌาสยํ โอโลเกตฺวา อุปริ วิเสสาธิคมาย อุสฺสาหํ ชเนตุํ อเสกฺขภูมิํ โถเมโนฺต อิทํ สุตฺตํ อภาสิฯ ตตฺถ อติกฺกมฺมาติอาทีสุ อยํ สเงฺขปโตฺถ – อติกฺกมฺม อติกฺกมิตฺวา อภิภวิตฺวาฯ มารเธยฺยํ มารสฺส วิสยํ อิสฺสริยฎฺฐานํฯ อาทิโจฺจว ยถา อาทิโจฺจ อพฺภาทิอุปกฺกิเลสวิมุโตฺต อตฺตโน อิทฺธิยา อานุภาเวน เตชสาติ ตีหิ คุเณหิ สมนฺนาคโต นภํ อพฺภุสฺสกฺกมาโน สพฺพํ อากาสคตํ ตมํ อติกฺกมฺม อติกฺกมิตฺวา อภิภวิตฺวา วิธมิตฺวา วิโรจติ, โอภาสติ, ตปติ; เอวเมว ขีณาสโว ภิกฺขุ ตีหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต สพฺพุปกฺกิเลสวิมุโตฺต มารเธยฺยสงฺขาตํ เตภูมกธมฺมปฺปวตฺตํ อภิภวิตฺวา วิโรจตีติฯ

    59. Dasamassa kā uppatti? Ekadivasaṃ kira satthā sekkhabahulāya parisāya parivuto nisinno tesaṃ ajjhāsayaṃ oloketvā upari visesādhigamāya ussāhaṃ janetuṃ asekkhabhūmiṃ thomento idaṃ suttaṃ abhāsi. Tattha atikkammātiādīsu ayaṃ saṅkhepattho – atikkamma atikkamitvā abhibhavitvā. Māradheyyaṃ mārassa visayaṃ issariyaṭṭhānaṃ. Ādiccova yathā ādicco abbhādiupakkilesavimutto attano iddhiyā ānubhāvena tejasāti tīhi guṇehi samannāgato nabhaṃ abbhussakkamāno sabbaṃ ākāsagataṃ tamaṃ atikkamma atikkamitvā abhibhavitvā vidhamitvā virocati, obhāsati, tapati; evameva khīṇāsavo bhikkhu tīhi dhammehi samannāgato sabbupakkilesavimutto māradheyyasaṅkhātaṃ tebhūmakadhammappavattaṃ abhibhavitvā virocatīti.

    อเสเกฺขนาติ เอตฺถ สิกฺขาสุ ชาตาติ เสกฺขา, สตฺตนฺนํ เสกฺขานํ เอเตติ วา เสกฺขา, อปริโยสิตสิกฺขตฺตา สยเมว สิกฺขนฺตีติ วา เสกฺขา มคฺคธมฺมา เหฎฺฐิมผลตฺตยธมฺมา จฯ อคฺคผลธมฺมา ปน อุปริ สิกฺขิตพฺพาภาเวน น เสกฺขาติ อเสกฺขาฯ ยตฺถ หิ เสกฺขภาวาสงฺกา อตฺถิ, ตตฺถายํ ปฎิเสโธติ โลกิยธเมฺมสุ นิพฺพาเน จ อเสกฺขภาวานาปตฺติ ทฎฺฐพฺพาฯ สีลสมาธิปญฺญาสงฺขาตา หิ สิกฺขา อตฺตโน ปฎิปกฺขกิเลเสหิ วิปฺปยุตฺตา ปริสุทฺธา อุปกฺกิเลสานํ อารมฺมณภาวมฺปิ อนุปคมนโต สาติสยํ สิกฺขาติ วตฺตุํ ยุตฺตา, อฎฺฐสุปิ มคฺคผเลสุ วิชฺชนฺติ; ตสฺมา จตุมคฺคเหฎฺฐิมผลตฺตยธมฺมา วิย อรหตฺตผลธมฺมาปิ ‘‘ตาสุ สิกฺขาสุ ชาตา’’ติ จ, ตํสิกฺขาสมงฺคิโน อรหโต อิตเรสํ วิย เสกฺขเตฺต สติ ‘‘เสกฺขสฺส เอเต’’ติ จ ‘‘สิกฺขา สีลํ เอเตส’’นฺติ จ เสกฺขาติ อาสงฺกา สิยุนฺติ ตทาสงฺกานิวตฺตนตฺถํ อเสกฺขาติ ยถาวุตฺตเสกฺขภาวปฺปฎิเสธํ กตฺวา วุตฺตํฯ อรหตฺตผเล ปวตฺตมานา หิ สิกฺขา ปรินิฎฺฐิตกิจฺจตฺตา น สิกฺขากิจฺจํ กโรนฺติ, เกวลํ สิกฺขาผลภาเวน ปวตฺตนฺติฯ ตสฺมา ตา น สิกฺขาวจนํ อรหนฺติ, นาปิ ตํสมงฺคิโน เสกฺขวจนํ, น จ ตํสมฺปยุตฺตธมฺมา สิกฺขนสีลาฯ ‘‘สิกฺขาสุ ชาตา’’ติ เอวมาทิอเตฺถหิ อคฺคผลธมฺมา เสกฺขา น โหนฺติฯ เหฎฺฐิมผเลสุ ปน สิกฺขา สกทาคามิมคฺควิปสฺสนาทีนํ อุปนิสฺสยภาวโต สิกฺขากิจฺจํ กโรนฺตีติ สิกฺขาวจนํ อรหนฺติ, ตํสมงฺคิโน จ เสกฺขวจนํ, ตํสมฺปยุตฺตา ธมฺมา จ สิกฺขนสีลาฯ เสกฺขธมฺมา ยถาวุเตฺตหิ อเตฺถหิ เสกฺขา โหนฺติเยวฯ

    Asekkhenāti ettha sikkhāsu jātāti sekkhā, sattannaṃ sekkhānaṃ eteti vā sekkhā, apariyositasikkhattā sayameva sikkhantīti vā sekkhā maggadhammā heṭṭhimaphalattayadhammā ca. Aggaphaladhammā pana upari sikkhitabbābhāvena na sekkhāti asekkhā. Yattha hi sekkhabhāvāsaṅkā atthi, tatthāyaṃ paṭisedhoti lokiyadhammesu nibbāne ca asekkhabhāvānāpatti daṭṭhabbā. Sīlasamādhipaññāsaṅkhātā hi sikkhā attano paṭipakkhakilesehi vippayuttā parisuddhā upakkilesānaṃ ārammaṇabhāvampi anupagamanato sātisayaṃ sikkhāti vattuṃ yuttā, aṭṭhasupi maggaphalesu vijjanti; tasmā catumaggaheṭṭhimaphalattayadhammā viya arahattaphaladhammāpi ‘‘tāsu sikkhāsu jātā’’ti ca, taṃsikkhāsamaṅgino arahato itaresaṃ viya sekkhatte sati ‘‘sekkhassa ete’’ti ca ‘‘sikkhā sīlaṃ etesa’’nti ca sekkhāti āsaṅkā siyunti tadāsaṅkānivattanatthaṃ asekkhāti yathāvuttasekkhabhāvappaṭisedhaṃ katvā vuttaṃ. Arahattaphale pavattamānā hi sikkhā pariniṭṭhitakiccattā na sikkhākiccaṃ karonti, kevalaṃ sikkhāphalabhāvena pavattanti. Tasmā tā na sikkhāvacanaṃ arahanti, nāpi taṃsamaṅgino sekkhavacanaṃ, na ca taṃsampayuttadhammā sikkhanasīlā. ‘‘Sikkhāsu jātā’’ti evamādiatthehi aggaphaladhammā sekkhā na honti. Heṭṭhimaphalesu pana sikkhā sakadāgāmimaggavipassanādīnaṃ upanissayabhāvato sikkhākiccaṃ karontīti sikkhāvacanaṃ arahanti, taṃsamaṅgino ca sekkhavacanaṃ, taṃsampayuttā dhammā ca sikkhanasīlā. Sekkhadhammā yathāvuttehi atthehi sekkhā hontiyeva.

    อถ วา เสกฺขาติ อปริโยสิตสิกฺขานํ วจนนฺติ, อเสกฺขาติ ปทํ ปริโยสิตสิกฺขานํ ทสฺสนนฺติ น โลกิยธมฺมนิพฺพานานํ อเสกฺขภาวาปตฺติฯ วุฑฺฒิปฺปตฺตา เสกฺขา อเสกฺขา จ เสกฺขธเมฺมสุ เอว เกสญฺจิ วุฑฺฒิปฺปตฺตานํ อเสกฺขตา อาปชฺชตีติ อรหตฺตมคฺคธมฺมา วุฑฺฒิปฺปตฺตาฯ ยถาวุเตฺตหิ จ อเตฺถหิ เสกฺขาติ กตฺวา อเสกฺขา อาปนฺนาติ เจ? ตํ น, สทิเสสุ ตโพฺพหารโตฯ อรหตฺตมคฺคโต หิ นินฺนานากรณํ อรหตฺตผลํ ฐเปตฺวา ปริญฺญาทิกิจฺจกรณํ วิปากภาวญฺจ, ตสฺมา เต เอว เสกฺขา ธมฺมา อรหตฺตผลภาวํ อาปนฺนาติ สกฺกา วตฺตุํฯ กุสลสุขโต จ วิปากสุขํ สนฺตตรตาย ปณีตตรนฺติ วุฑฺฒิปฺปตฺตาว เต ธมฺมา โหนฺตีติ ‘‘อเสกฺขา’’ติ วุจฺจนฺติฯ

    Atha vā sekkhāti apariyositasikkhānaṃ vacananti, asekkhāti padaṃ pariyositasikkhānaṃ dassananti na lokiyadhammanibbānānaṃ asekkhabhāvāpatti. Vuḍḍhippattā sekkhā asekkhā ca sekkhadhammesu eva kesañci vuḍḍhippattānaṃ asekkhatā āpajjatīti arahattamaggadhammā vuḍḍhippattā. Yathāvuttehi ca atthehi sekkhāti katvā asekkhā āpannāti ce? Taṃ na, sadisesu tabbohārato. Arahattamaggato hi ninnānākaraṇaṃ arahattaphalaṃ ṭhapetvā pariññādikiccakaraṇaṃ vipākabhāvañca, tasmā te eva sekkhā dhammā arahattaphalabhāvaṃ āpannāti sakkā vattuṃ. Kusalasukhato ca vipākasukhaṃ santataratāya paṇītataranti vuḍḍhippattāva te dhammā hontīti ‘‘asekkhā’’ti vuccanti.

    เต ปน อเสกฺขธเมฺม ขนฺธวเสน อิธ ติธา วิภชิตฺวา เตหิ สมนฺนาคเมน ขีณาสวสฺส อานุภาวํ วิภาเวโนฺต ภควา ‘‘อเสเกฺขน สีลกฺขเนฺธนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สีลสทฺทสฺส อโตฺถ เหฎฺฐา วุโตฺตฯ ขนฺธสโทฺท ปน ราสิมฺหิ ปญฺญตฺติยํ รุฬฺหิยํ คุเณติ พหูสุ อเตฺถสุ ทิฎฺฐปฺปโยโคฯ ตถา หิ ‘‘อสเงฺขโยฺย อปฺปเมโยฺย มหาอุทกกฺขโนฺธเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๕๑; ๖.๓๗) ราสิมฺหิ อาคโตฯ ‘‘อทฺทสา โข ภควา มหนฺตํ ทารุกฺขนฺธํ คงฺคาย นทิยา โสเตน วุยฺหมาน’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๒๔๑) ปญฺญตฺติยํฯ ‘‘จิตฺตํ มโน มานสํ หทยํ ปณฺฑรํ มโน มนายตนํ วิญฺญาณํ วิญฺญาณกฺขโนฺธ’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๖๓, ๖๕) รุฬฺหิยํฯ ‘‘น โข, อาวุโส วิสาข, อริเยน อฎฺฐงฺคิเกน มเคฺคน ตโย ขนฺธา สงฺคหิตา, ตีหิ จ โข, อาวุโส วิสาข, ขเนฺธหิ อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค สงฺคหิโต’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๔๖๒) คุเณฯ อิธาปิ คุเณเยว ทฎฺฐโพฺพฯ ตสฺมา อเสเกฺขน สีลสงฺขาเตน คุเณนาติ อโตฺถฯ สมนฺนาคโตติ สมฺปยุโตฺต สมงฺคีภูโตฯ สมาทหติ เอเตน, สยํ วา สมาทหติ, สมาธานเมว วาติ สมาธิฯ ปกาเรหิ ชานาติ ยถาสภาวํ ปฎิวิชฺฌตีติ ปญฺญาฯ สีลเมว ขโนฺธ สีลกฺขโนฺธฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ

    Te pana asekkhadhamme khandhavasena idha tidhā vibhajitvā tehi samannāgamena khīṇāsavassa ānubhāvaṃ vibhāvento bhagavā ‘‘asekkhena sīlakkhandhenā’’tiādimāha. Tattha sīlasaddassa attho heṭṭhā vutto. Khandhasaddo pana rāsimhi paññattiyaṃ ruḷhiyaṃ guṇeti bahūsu atthesu diṭṭhappayogo. Tathā hi ‘‘asaṅkheyyo appameyyo mahāudakakkhandhotveva saṅkhyaṃ gacchatī’’tiādīsu (a. ni. 4.51; 6.37) rāsimhi āgato. ‘‘Addasā kho bhagavā mahantaṃ dārukkhandhaṃ gaṅgāya nadiyā sotena vuyhamāna’’ntiādīsu (saṃ. ni. 4.241) paññattiyaṃ. ‘‘Cittaṃ mano mānasaṃ hadayaṃ paṇḍaraṃ mano manāyatanaṃ viññāṇaṃ viññāṇakkhandho’’tiādīsu (dha. sa. 63, 65) ruḷhiyaṃ. ‘‘Na kho, āvuso visākha, ariyena aṭṭhaṅgikena maggena tayo khandhā saṅgahitā, tīhi ca kho, āvuso visākha, khandhehi ariyo aṭṭhaṅgiko maggo saṅgahito’’tiādīsu (ma. ni. 1.462) guṇe. Idhāpi guṇeyeva daṭṭhabbo. Tasmā asekkhena sīlasaṅkhātena guṇenāti attho. Samannāgatoti sampayutto samaṅgībhūto. Samādahati etena, sayaṃ vā samādahati, samādhānameva vāti samādhi. Pakārehi jānāti yathāsabhāvaṃ paṭivijjhatīti paññā. Sīlameva khandho sīlakkhandho. Sesesupi eseva nayo.

    ตตฺถ อคฺคผลภูตา สมฺมาวาจา, สมฺมากมฺมโนฺต, สมฺมาอาชีโว จ สภาเวเนว อเสโกฺข สีลกฺขโนฺธ นาม, ตถา สมฺมาสมาธิ อเสโกฺข สมาธิกฺขโนฺธฯ ตทุปการกโต ปน สมฺมาวายามสมฺมาสติโย สมาธิกฺขเนฺธ สงฺคหํ คจฺฉนฺติฯ ตถา สมฺมาทิฎฺฐิ อเสโกฺข ปญฺญากฺขโนฺธฯ ตทุปการกโต สมฺมาสงฺกโปฺป ปญฺญากฺขเนฺธ สงฺคหํ คจฺฉตีติ เอวเมตฺถ อฎฺฐปิ อรหตฺตผลธมฺมา ตีหิ ขเนฺธหิ สงฺคเหตฺวา ทสฺสิตาติ เวทิตพฺพํฯ

    Tattha aggaphalabhūtā sammāvācā, sammākammanto, sammāājīvo ca sabhāveneva asekkho sīlakkhandho nāma, tathā sammāsamādhi asekkho samādhikkhandho. Tadupakārakato pana sammāvāyāmasammāsatiyo samādhikkhandhe saṅgahaṃ gacchanti. Tathā sammādiṭṭhi asekkho paññākkhandho. Tadupakārakato sammāsaṅkappo paññākkhandhe saṅgahaṃ gacchatīti evamettha aṭṭhapi arahattaphaladhammā tīhi khandhehi saṅgahetvā dassitāti veditabbaṃ.

    ยสฺส เอเต สุภาวิตาติ เยน อรหตา เอเต สีลาทโย อเสกฺขธมฺมกฺขนฺธา สุภาวิตา สุฎฺฐุ วฑฺฒิตา, โส อาทิโจฺจว วิโรจตีติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘ยสฺส เจเต’’ติปิ ปฐนฺติฯ เตสญฺจ สโทฺท นิปาตมตฺตํฯ เอวเมตสฺมิํ วเคฺค ปฐมสุเตฺต วฎฺฎํ, ปริโยสานสุเตฺต วิวฎฺฎํ, อิตเรสุ วฎฺฎวิวฎฺฎํ กถิตํฯ

    Yassa ete subhāvitāti yena arahatā ete sīlādayo asekkhadhammakkhandhā subhāvitā suṭṭhu vaḍḍhitā, so ādiccova virocatīti sambandho. ‘‘Yassa cete’’tipi paṭhanti. Tesañca saddo nipātamattaṃ. Evametasmiṃ vagge paṭhamasutte vaṭṭaṃ, pariyosānasutte vivaṭṭaṃ, itaresu vaṭṭavivaṭṭaṃ kathitaṃ.

    ทสมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dasamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปฐมวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๑๐. มารเธยฺยสุตฺตํ • 10. Māradheyyasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact