Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation |
มชฺฌิม นิกาย ๕๐
The Middle-Length Suttas Collection 50
มารตชฺชนียสุตฺต
The Rebuke of Māra
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ภคฺเคสุ วิหรติ สุสุมารคิเร เภสกฬาวเน มิคทาเยฯ
So I have heard. At one time Venerable Mahāmoggallāna was staying in the land of the Bhaggas on Crocodile Hill, in the deer park at Bhesakaḷā’s Wood.
เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน อพฺโภกาเส จงฺกมติฯ
At that time Moggallāna was walking mindfully in the open air.
เตน โข ปน สมเยน มาโร ปาปิมา อายสฺมโต มหาโมคฺคลฺลานสฺส กุจฺฉิคโต โหติ โกฏฺฐมนุปวิฏฺโฐฯ อถ โข อายสฺมโต มหาโมคฺคลฺลานสฺส เอตทโหสิ: “กึ นุ โข เม กุจฺฉิ ครุคโร วิย? มาสาจิตํ มญฺเญ”ติฯ อถ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน จงฺกมา โอโรหิตฺวา วิหารํ ปวิสิตฺวา ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทิฯ นิสชฺช โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ปจฺจตฺตํ โยนิโส มนสากาสิฯ
Now at that time Māra the Wicked had got inside Moggallāna’s belly. Moggallāna thought, “Why now is my belly so very heavy, like I’ve just eaten a load of beans?” Then he stepped down from the walking path, entered his dwelling, sat down on the seat spread out, and investigated inside himself.
อทฺทสา โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน มารํ ปาปิมนฺตํ กุจฺฉิคตํ โกฏฺฐมนุปวิฏฺฐํฯ ทิสฺวาน มารํ ปาปิมนฺตํ เอตทโวจ: “นิกฺขม, ปาปิม; นิกฺขม, ปาปิมฯ มา ตถาคตํ วิเหเสสิ, มา ตถาคตสาวกํฯ มา เต อโหสิ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายา”ติฯ
He saw that Māra the Wicked had got inside his belly. So he said to Māra, “Come out, Wicked One, come out! Do not harass the Realized One or his disciple. Don’t create lasting harm and suffering for yourself!”
อถ โข มารสฺส ปาปิมโต เอตทโหสิ: “อชานเมว โข มํ อยํ สมโณ อปสฺสํ เอวมาห: ‘นิกฺขม, ปาปิม; นิกฺขม, ปาปิมฯ มา ตถาคตํ วิเหเสสิ, มา ตถาคตสาวกํฯ มา เต อโหสิ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายา'ติฯ โยปิสฺส โส สตฺถา โสปิ มํ เนว ขิปฺปํ ชาเนยฺย, กุโต ปน มํ อยํ สาวโก ชานิสฺสตี”ติ?
Then Māra thought, “This ascetic doesn’t really know me or see me when he tells me to come out. Not even the Teacher could recognize me so quickly, so how could a disciple?”
อถ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน มารํ ปาปิมนฺตํ เอตทโวจ: “เอวมฺปิ โข ตาหํ, ปาปิม, ชานามิ, มา ตฺวํ มญฺญิตฺโถ: ‘น มํ ชานาตี'ติฯ มาโร ตฺวมสิ, ปาปิม; ตุยฺหญฺหิ, ปาปิม, เอวํ โหติ: ‘อชานเมว โข มํ อยํ สมโณ อปสฺสํ เอวมาห—นิกฺขม, ปาปิม; นิกฺขม, ปาปิมฯ มา ตถาคตํ วิเหเสสิ, มา ตถาคตสาวกํฯ มา เต อโหสิ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายาติฯ โยปิสฺส โส สตฺถา โสปิ มํ เนว ขิปฺปํ ชาเนยฺย, กุโต ปน มํ อยํ สาวโก ชานิสฺสตี'”ติ?
Then Moggallāna said to Māra, “I know you even when you’re like this, Wicked One. Do not think, ‘He doesn’t know me.’ You are Māra the Wicked. And you think, ‘This ascetic doesn’t really know me or see me when he tells me to come out. Not even the Teacher could recognize me so quickly, so how could a disciple?’”
อถ โข มารสฺส ปาปิมโต เอตทโหสิ: “ชานเมว โข มํ อยํ สมโณ ปสฺสํ เอวมาห: ‘นิกฺขม, ปาปิม; นิกฺขม, ปาปิมฯ มา ตถาคตํ วิเหเสสิ, มา ตถาคตสาวกํฯ มา เต อโหสิ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายา'”ติฯ
Then Māra thought, “This ascetic really does know me and see me when he tells me to come out.”
อถ โข มาโร ปาปิมา อายสฺมโต มหาโมคฺคลฺลานสฺส มุขโต อุคฺคนฺตฺวา ปจฺจคฺคเฬ อฏฺฐาสิฯ อทฺทสา โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน มารํ ปาปิมนฺตํ ปจฺจคฺคเฬ ฐิตํ; ทิสฺวาน มารํ ปาปิมนฺตํ เอตทโวจ: “เอตฺถาปิ โข ตาหํ, ปาปิม, ปสฺสามิ; มา ตฺวํ มญฺญิตฺโถ ‘น มํ ปสฺสตี'ติฯ เอโส ตฺวํ, ปาปิม, ปจฺจคฺคเฬ ฐิโตฯ
Then Māra came up out of Moggallāna’s mouth and stood against the door bar. Moggallāna saw him there and said, “I see you even there, Wicked One. Do not think, ‘He doesn’t see me.’ That’s you, Wicked One, standing against the door bar.
ภูตปุพฺพาหํ, ปาปิม, ทูสี นาม มาโร อโหสึ, ตสฺส เม กาฬี นาม ภคินีฯ ตสฺสา ตฺวํ ปุตฺโตฯ โส เม ตฺวํ ภาคิเนโยฺย อโหสิฯ
Once upon a time, Wicked One, I was a Māra named Dūsī, and I had a sister named Kāḷī. You were her son, which made you my nephew.
เตน โข ปน, ปาปิม, สมเยน กกุสนฺโธ ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก อุปฺปนฺโน โหติฯ กกุสนฺธสฺส โข ปน, ปาปิม, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส วิธุรสญฺชีวํ นาม สาวกยุคํ อโหสิ อคฺคํ ภทฺทยุคํฯ ยาวตา โข ปน, ปาปิม, กกุสนฺธสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สาวกาฯ เตสุ น จ โกจิ อายสฺมตา วิธุเรน สมสโม โหติ ยทิทํ ธมฺมเทสนายฯ อิมินา โข เอวํ, ปาปิม, ปริยาเยน อายสฺมโต วิธุรสฺส วิธุโรเตว สมญฺญา อุทปาทิฯ
At that time Kakusandha, the Blessed One, the perfected one, the fully awakened Buddha arose in the world. Kakusandha had a fine pair of chief disciples named Vidhura and Sañjīva. Of all the disciples of the Buddha Kakusandha, none were the equal of Venerable Vidhura in teaching Dhamma. And that’s how he came to be known as Vidhura.
อายสฺมา ปน, ปาปิม, สญฺชีโว อรญฺญคโตปิ รุกฺขมูลคโตปิ สุญฺญาคารคโตปิ อปฺปกสิเรเนว สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปชฺชติฯ ภูตปุพฺพํ, ปาปิม, อายสฺมา สญฺชีโว อญฺญตรสฺมึ รุกฺขมูเล สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปนฺโน นิสินฺโน โหติฯ อทฺทสํสุ โข, ปาปิม, โคปาลกา ปสุปาลกา กสฺสกา ปถาวิโน อายสฺมนฺตํ สญฺชีวํ อญฺญตรสฺมึ รุกฺขมูเล สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปนฺนํ นิสินฺนํ; ทิสฺวาน เตสํ เอตทโหสิ: ‘อจฺฉริยํ วต โภ, อพฺภุตํ วต, โภฯ อยํ สมโณ นิสินฺนโกว กาลงฺกโตฯ หนฺท นํ ทหามา'ติฯ อถ โข เต, ปาปิม, โคปาลกา ปสุปาลกา กสฺสกา ปถาวิโน ติณญฺจ กฏฺฐญฺจ โคมยญฺจ สงฺกฑฺฒิตฺวา อายสฺมโต สญฺชีวสฺส กาเย อุปจินิตฺวา อคฺคึ ทตฺวา ปกฺกมึสุฯ
But when Venerable Sañjīva had gone to a wilderness, or to the root of a tree, or to an empty hut, he easily attained the cessation of perception and feeling. Once upon a time, Sañjīva was sitting at the root of a certain tree having attained the cessation of perception and feeling. Some cowherds, shepherds, farmers, and passers-by saw him sitting there and said, ‘Oh, how incredible, how amazing! This ascetic passed away while sitting. We should cremate him.’ They collected grass, wood, and cow-dung, heaped it all on Sañjīva’s body, set it on fire, and left.
อถ โข, ปาปิม, อายสฺมา สญฺชีโว ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน ตาย สมาปตฺติยา วุฏฺฐหิตฺวา จีวรานิ ปปฺโผเฏตฺวา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย คามํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อทฺทสํสุ โข เต, ปาปิม, โคปาลกา ปสุปาลกา กสฺสกา ปถาวิโน อายสฺมนฺตํ สญฺชีวํ ปิณฺฑาย จรนฺตํ; ทิสฺวาน เนสํ เอตทโหสิ: ‘อจฺฉริยํ วต โภ, อพฺภุตํ วต, โภฯ อยํ สมโณ นิสินฺนโกว กาลงฺกโต, สฺวายํ ปฏิสญฺชีวิโต'ติฯ อิมินา โข เอวํ, ปาปิม, ปริยาเยน อายสฺมโต สญฺชีวสฺส สญฺชีโวเตว สมญฺญา อุทปาทิฯ
Then, when the night had passed, Sañjīva emerged from that attainment, shook out his robes, and, since it was morning, he robed up and entered the village for alms. Those cowherds, shepherds, farmers, and passers-by saw him wandering for alms and said, ‘Oh, how incredible, how amazing! This ascetic passed away while sitting, and now he has come back to life!’ And that’s how he came to be known as Sañjīva.
อถ โข, ปาปิม, ทูสิสฺส มารสฺส เอตทโหสิ: ‘อิเมสํ โข อหํ ภิกฺขูนํ สีลวนฺตานํ กลฺยาณธมฺมานํ เนว ชานามิ อาคตึ วา คตึ วาฯ ยนฺนูนาหํ พฺราหฺมณคหปติเก อนฺวาวิเสยฺยํ—เอถ, ตุเมฺห ภิกฺขู สีลวนฺเต กลฺยาณธมฺเม อกฺโกสถ ปริภาสถ โรเสถ วิเหเสถฯ อปฺเปว นาม ตุเมฺหหิ อกฺโกสิยมานานํ ปริภาสิยมานานํ โรสิยมานานํ วิเหสิยมานานํ สิยา จิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ, ยถา ตํ ทูสี มาโร ลเภถ โอตารนฺ'ติฯ อถ โข เต, ปาปิม, ทูสี มาโร พฺราหฺมณคหปติเก อนฺวาวิสิ: ‘เอถ, ตุเมฺห ภิกฺขู สีลวนฺเต กลฺยาณธมฺเม อกฺโกสถ ปริภาสถ โรเสถ วิเหเสถฯ อปฺเปว นาม ตุเมฺหหิ อกฺโกสิยมานานํ ปริภาสิยมานานํ โรสิยมานานํ วิเหสิยมานานํ สิยา จิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ, ยถา ตํ ทูสี มาโร ลเภถ โอตารนฺ'ติฯ
Then it occurred to Māra Dūsī, ‘I don’t know the course of rebirth of these ethical bhikkhus of good character. Why don’t I take possession of these brahmins and householders and say, “Come, all of you, abuse, attack, harass, and trouble the ethical bhikkhus of good character. Hopefully by doing this we can upset their minds so that Māra Dūsī can find a vulnerability.”’ And that’s exactly what he did.
อถ โข เต, ปาปิม, พฺราหฺมณคหปติกา อนฺวาวิสิฏฺฐา ทูสินา มาเรน ภิกฺขู สีลวนฺเต กลฺยาณธมฺเม อกฺโกสนฺติ ปริภาสนฺติ โรเสนฺติ วิเหเสนฺติ: ‘อิเม ปน มุณฺฑกา สมณกา อิพฺภา กิณฺหา พนฺธุปาทาปจฺจา “ฌายิโนสฺมา ฌายิโนสฺมา”ติ ปตฺตกฺขนฺธา อโธมุขา มธุรกชาตา ฌายนฺติ ปชฺฌายนฺติ นิชฺฌายนฺติ อปชฺฌายนฺติฯ เสยฺยถาปิ นาม อุลูโก รุกฺขสาขายํ มูสิกํ มคฺคยมาโน ฌายติ ปชฺฌายติ นิชฺฌายติ อปชฺฌายติ; เอวเมวิเม มุณฺฑกา สมณกา อิพฺภา กิณฺหา พนฺธุปาทาปจฺจา “ฌายิโนสฺมา ฌายิโนสฺมา”ติ ปตฺตกฺขนฺธา อโธมุขา มธุรกชาตา ฌายนฺติ ปชฺฌายนฺติ นิชฺฌายนฺติ อปชฺฌายนฺติฯ เสยฺยถาปิ นาม โกตฺถุ นทีตีเร มจฺเฉ มคฺคยมาโน ฌายติ ปชฺฌายติ นิชฺฌายติ อปชฺฌายติ; เอวเมวิเม มุณฺฑกา สมณกา อิพฺภา กิณฺหา พนฺธุปาทาปจฺจา “ฌายิโนสฺมา ฌายิโนสฺมา”ติ ปตฺตกฺขนฺธา อโธมุขา มธุรกชาตา ฌายนฺติ ปชฺฌายนฺติ นิชฺฌายนฺติ อปชฺฌายนฺติฯ เสยฺยถาปิ นาม พิฬาโร สนฺธิสมลสงฺกฏีเร มูสิกํ มคฺคยมาโน ฌายติ ปชฺฌายติ นิชฺฌายติ อปชฺฌายติ; เอวเมวิเม มุณฺฑกา สมณกา อิพฺภา กิณฺหา พนฺธุปาทาปจฺจา “ฌายิโนสฺมา ฌายิโนสฺมา”ติ ปตฺตกฺขนฺธา อโธมุขา มธุรกชาตา ฌายนฺติ ปชฺฌายนฺติ นิชฺฌายนฺติ อปชฺฌายนฺติฯ เสยฺยถาปิ นาม คทฺรโภ วหจฺฉินฺโน สนฺธิสมลสงฺกฏีเร ฌายติ ปชฺฌายติ นิชฺฌายติ อปชฺฌายติ; เอวเมวิเม มุณฺฑกา สมณกา อิพฺภา กิณฺหา พนฺธุปาทาปจฺจา “ฌายิโนสฺมา ฌายิโนสฺมา”ติ ปตฺตกฺขนฺธา อโธมุขา มธุรกชาตา ฌายนฺติ ปชฺฌายนฺติ นิชฺฌายนฺติ อปชฺฌายนฺตี'ติฯ
Then those brahmins and householders abused, attacked, harassed, and troubled the ethical bhikkhus of good character: ‘These shavelings, fake ascetics, primitives, black spawn from the feet of our kinsman, say, “We practice jhāna meditation! We practice jhāna meditation!” Slouching, downcast, and dopey, they meditate and concentrate and contemplate and ruminate. They’re just like an owl on a branch, which meditates and concentrates and contemplates and ruminates as it hunts a mouse. They’re just like a jackal on a river-bank, which meditates and concentrates and contemplates and ruminates as it hunts a fish. They’re just like a cat by an alley or a drain or a dustbin, which meditates and concentrates and contemplates and ruminates as it hunts a mouse. They’re just like an unladen donkey by an alley or a drain or a dustbin, which meditates and concentrates and contemplates and ruminates. In the same way, these shavelings, fake ascetics, primitives, black spawn from the feet of our kinsman, say, “We practice jhāna meditation! We practice jhāna meditation!” Slouching, downcast, and dopey, they meditate and concentrate and contemplate and ruminate.’
เย โข ปน, ปาปิม, เตน สมเยน มนุสฺสา กาลํ กโรนฺติ เยภุเยฺยน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชนฺติฯ
Most of the people who died at that time—when their body broke up, after death—were reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell.
อถ โข, ปาปิม, กกุสนฺโธ ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ภิกฺขู อามนฺเตสิ: ‘อนฺวาวิฏฺฐา โข, ภิกฺขเว, พฺราหฺมณคหปติกา ทูสินา มาเรน—เอถ, ตุเมฺห ภิกฺขู สีลวนฺเต กลฺยาณธมฺเม อกฺโกสถ ปริภาสถ โรเสถ วิเหเสถ, อปฺเปว นาม ตุเมฺหหิ อกฺโกสิยมานานํ ปริภาสิยมานานํ โรสิยมานานํ วิเหสิยมานานํ สิยา จิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ, ยถา ตํ ทูสี มาโร ลเภถ โอตารนฺ'ติฯ เอถ, ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรถ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพชฺเฌน ผริตฺวา วิหรถฯ กรุณาสหคเตน เจตสา …เป… มุทิตาสหคเตน เจตสา …เป… อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรถ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพชฺเฌน ผริตฺวา วิหรถา'ติฯ
Then Kakusandha the Blessed One, the perfected one, the fully awakened Buddha, addressed the bhikkhus: ‘Bhikkhus, the brahmins and householders have been possessed by Māra Dūsī. He told them to abuse you in the hope of upsetting your minds so that he can find a vulnerability. Come, all of you bhikkhus, meditate spreading a heart full of love to one direction, and to the second, and to the third, and to the fourth. In the same way above, below, across, everywhere, all around, spread a heart full of love to the whole world—abundant, expansive, limitless, free of enmity and ill will. Meditate spreading a heart full of compassion … Meditate spreading a heart full of rejoicing … Meditate spreading a heart full of equanimity to one direction, and to the second, and to the third, and to the fourth. In the same way above, below, across, everywhere, all around, spread a heart full of equanimity to the whole world—abundant, expansive, limitless, free of enmity and ill will.’
อถ โข เต, ปาปิม, ภิกฺขู กกุสนฺเธน ภควตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน เอวํ โอวทิยมานา เอวํ อนุสาสิยมานา อรญฺญคตาปิ รุกฺขมูลคตาปิ สุญฺญาคารคตาปิ เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรึสุ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพชฺเฌน ผริตฺวา วิหรึสุฯ กรุณาสหคเตน เจตสา …เป… มุทิตาสหคเตน เจตสา …เป… อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรึสุ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพชฺเฌน ผริตฺวา วิหรึสุฯ
When those bhikkhus were instructed and advised by the Buddha Kakusandha in this way, they went to a wilderness, or to the root of a tree, or to an empty hut, where they meditated spreading a heart full of love … compassion … rejoicing … equanimity.
อถ โข, ปาปิม, ทูสิสฺส มารสฺส เอตทโหสิ: ‘เอวมฺปิ โข อหํ กโรนฺโต อิเมสํ ภิกฺขูนํ สีลวนฺตานํ กลฺยาณธมฺมานํ เนว ชานามิ อาคตึ วา คตึ วา, ยนฺนูนาหํ พฺราหฺมณคหปติเก อนฺวาวิเสยฺยํ: “เอถ, ตุเมฺห ภิกฺขู สีลวนฺเต กลฺยาณธมฺเม สกฺกโรถ ครุํ กโรถ มาเนถ ปูเชถ, อปฺเปว นาม ตุเมฺหหิ สกฺกริยมานานํ ครุกริยมานานํ มานิยมานานํ ปูชิยมานานํ สิยา จิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ, ยถา ตํ ทูสี มาโร ลเภถ โอตารนฺ”'ติฯ
Then it occurred to Māra Dūsī, ‘Even when I do this I don’t know the course of rebirth of these ethical bhikkhus of good character. Why don’t I take possession of these brahmins and householders and say, “Come, all of you, honor, respect, esteem, and venerate the ethical bhikkhus of good character. Hopefully by doing this we can upset their minds so that Māra Dūsī can find a vulnerability.”’
อถ โข เต, ปาปิม, ทูสี มาโร พฺราหฺมณคหปติเก อนฺวาวิสิ: ‘เอถ, ตุเมฺห ภิกฺขู สีลวนฺเต กลฺยาณธมฺเม สกฺกโรถ ครุํ กโรถ มาเนถ ปูเชถ, อปฺเปว นาม ตุเมฺหหิ สกฺกริยมานานํ ครุกริยมานานํ มานิยมานานํ ปูชิยมานานํ สิยา จิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ, ยถา ตํ ทูสี มาโร ลเภถ โอตารนฺ'ติฯ อถ โข เต, ปาปิม, พฺราหฺมณคหปติกา อนฺวาวิฏฺฐา ทูสินา มาเรน ภิกฺขู สีลวนฺเต กลฺยาณธมฺเม สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติฯ
And that’s exactly what he did. Then those brahmins and householders honored, respected, esteemed, and venerated the ethical bhikkhus of good character.
เย โข ปน, ปาปิม, เตน สมเยน มนุสฺสา กาลํ กโรนฺติ เยภุเยฺยน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺติฯ
Most of the people who died at that time—when their body broke up, after death—were reborn in a good place, a heavenly realm.
อถ โข, ปาปิม, กกุสนฺโธ ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ภิกฺขู อามนฺเตสิ: ‘อนฺวาวิฏฺฐา โข, ภิกฺขเว, พฺราหฺมณคหปติกา ทูสินา มาเรน: “เอถ, ตุเมฺห ภิกฺขู สีลวนฺเต กลฺยาณธมฺเม สกฺกโรถ ครุํ กโรถ มาเนถ ปูเชถ, อปฺเปว นาม ตุเมฺหหิ สกฺกริยมานานํ ครุกริยมานานํ มานิยมานานํ ปูชิยมานานํ สิยา จิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ, ยถา ตํ ทูสี มาโร ลเภถ โอตารนฺ”ติฯ เอถ, ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อสุภานุปสฺสิโน กาเย วิหรถ, อาหาเร ปฏิกูลสญฺญิโน, สพฺพโลเก อนภิรติสญฺญิโน, สพฺพสงฺขาเรสุ อนิจฺจานุปสฺสิโน'ติฯ
Then Kakusandha the Blessed One, the perfected one, the fully awakened Buddha, addressed the bhikkhus: ‘Bhikkhus, the brahmins and householders have been possessed by Māra Dūsī. He told them to venerate you in the hope of upsetting your minds so that he can find a vulnerability. Come, all you bhikkhus, meditate observing the ugliness of the body, perceiving the repulsiveness of food, perceiving dissatisfaction with the whole world, and observing the impermanence of all conditions.’
อถ โข เต, ปาปิม, ภิกฺขู กกุสนฺเธน ภควตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน เอวํ โอวทิยมานา เอวํ อนุสาสิยมานา อรญฺญคตาปิ รุกฺขมูลคตาปิ สุญฺญาคารคตาปิ อสุภานุปสฺสิโน กาเย วิหรึสุ, อาหาเร ปฏิกูลสญฺญิโน, สพฺพโลเก อนภิรติสญฺญิโน, สพฺพสงฺขาเรสุ อนิจฺจานุปสฺสิโนฯ
When those bhikkhus were instructed and advised by the Buddha Kakusandha in this way, they went to a wilderness, or to the root of a tree, or to an empty hut, where they meditated observing the ugliness of the body, perceiving the repulsiveness of food, perceiving dissatisfaction with the whole world, and observing the impermanence of all conditions.
อถ โข, ปาปิม, กกุสนฺโธ ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อายสฺมตา วิธุเรน ปจฺฉาสมเณน คามํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ
Then the Buddha Kakusandha robed up in the morning and, taking this bowl and robe, entered the village for alms with Venerable Vidhura as his second monk.
อถ โข, ปาปิม, ทูสี มาโร อญฺญตรํ กุมารกํ อนฺวาวิสิตฺวา สกฺขรํ คเหตฺวา อายสฺมโต วิธุรสฺส สีเส ปหารมทาสิ; สีสํ โวภินฺทิฯ อถ โข, ปาปิม, อายสฺมา วิธุโร ภินฺเนน สีเสน โลหิเตน คฬนฺเตน กกุสนฺธํเยว ภควนฺตํ อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ ปิฏฺฐิโต ปิฏฺฐิโต อนุพนฺธิฯ อถ โข, ปาปิม, กกุสนฺโธ ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ นาคาปโลกิตํ อปโลเกสิ: ‘น วายํ ทูสี มาโร มตฺตมญฺญาสี'ติฯ สหาปโลกนาย จ ปน, ปาปิม, ทูสี มาโร ตมฺหา จ ฐานา จวิ มหานิรยญฺจ อุปปชฺชิฯ
Then Māra Dūsī took possession of a certain boy, picked up a rock, and hit Vidhura on the head, cracking it open. Then Vidhura, with blood pouring from his cracked skull, still followed behind the Buddha Kakusandha. Then the Buddha Kakusandha turned to gaze back, the way that elephants do, saying, ‘This Māra Dūsī knows no bounds.’ And with that look Māra Dūsī fell from that place and was reborn in the Great Hell.
ตสฺส โข ปน, ปาปิม, มหานิรยสฺส ตโย นามเธยฺยา โหนฺติ—ฉผสฺสายตนิโก อิติปิ, สงฺกุสมาหโต อิติปิ, ปจฺจตฺตเวทนิโย อิติปิฯ อถ โข มํ, ปาปิม, นิรยปาลา อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจุํ: ‘ยทา โข เต, มาริส, สงฺกุนา สงฺกุ หทเย สมาคจฺเฉยฺยฯ อถ นํ ตฺวํ ชาเนยฺยาสิ: “วสฺสสหสฺสํ เม นิรเย ปจฺจมานสฺสา”'ติฯ
Now that Great Hell is known by three names: ‘The Six Fields of Contact’ and also ‘The Impaling With Spikes’ and also ‘Individually Painful’. Then the wardens of hell came to me and said, ‘When spike meets spike in your heart, you will know that you’ve been roasting in hell for a thousand years.’
โส โข อหํ, ปาปิม, พหูนิ วสฺสานิ พหูนิ วสฺสสตานิ พหูนิ วสฺสสหสฺสานิ ตสฺมึ มหานิรเย อปจฺจึฯ ทสวสฺสสหสฺสานิ ตเสฺสว มหานิรยสฺส อุสฺสเท อปจฺจึ วุฏฺฐานิมํ นาม เวทนํ เวทิยมาโนฯ ตสฺส มยฺหํ, ปาปิม, เอวรูโป กาโย โหติ, เสยฺยถาปิ มนุสฺสสฺสฯ เอวรูปํ สีสํ โหติ, เสยฺยถาปิ มจฺฉสฺสฯ
I roasted for many years, many centuries, many millennia in that Great Hell. For ten thousand years I roasted in the annex of that Great Hell, experiencing the pain called ‘this is emergence’. My body was in human form, but I had the head of a fish.
กีทิโส นิรโย อาสิ, ยตฺถ ทูสี อปจฺจถ; วิธุรํ สาวกมาสชฺช, กกุสนฺธญฺจ พฺราหฺมณํฯ
What kind of hell was that, where Dūsī was roasted after attacking the disciple Vidhura along with the brahmin Kakusandha?
สตํ อาสิ อโยสงฺกู, สพฺเพ ปจฺจตฺตเวทนา; อีทิโส นิรโย อาสิ, ยตฺถ ทูสี อปจฺจถ; วิธุรํ สาวกมาสชฺช, กกุสนฺธญฺจ พฺราหฺมณํฯ
There were 100 iron spikes, each one individually painful. That’s the kind of hell where Dūsī was roasted after attacking the disciple Vidhura along with the brahmin Kakusandha.
โย เอตมภิชานาติ, ภิกฺขุ พุทฺธสฺส สาวโก; ตาทิสํ ภิกฺขุมาสชฺช, กณฺห ทุกฺขํ นิคจฺฉสิฯ
Dark One, if you attack a bhikkhu who directly knows this, a disciple of the Buddha, you’ll fall into suffering.
มชฺเฌ สรสฺส ติฏฺฐนฺติ, วิมานา กปฺปฏฺฐายิโน; เวฬุริยวณฺณา รุจิรา, อจฺจิมนฺโต ปภสฺสรา; อจฺฉรา ตตฺถ นจฺจนฺติ, ปุถุ นานตฺตวณฺณิโยฯ
There are mansions that last for an eon standing in the middle of a lake. Sapphire-colored, brilliant, they sparkle and shine. Dancing there are nymphs shining in all different colors.
โย เอตมภิชานาติ, ภิกฺขุ พุทฺธสฺส สาวโก; ตาทิสํ ภิกฺขุมาสชฺช, กณฺห ทุกฺขํ นิคจฺฉสิฯ
Dark One, if you attack a bhikkhu who directly knows this, a disciple of the Buddha, you’ll fall into suffering.
โย เว พุทฺเธน โจทิโต, ภิกฺขุ สงฺฆสฺส เปกฺขโต; มิคารมาตุปาสาทํ, ปาทงฺคุฏฺเฐน กมฺปยิฯ
I’m the one who, urged by the Buddha, shook the stilt longhouse of Migāra’s mother with his big toe as the Saṅgha of bhikkhus watched.
โย เอตมภิชานาติ, ภิกฺขุ พุทฺธสฺส สาวโก; ตาทิสํ ภิกฺขุมาสชฺช, กณฺห ทุกฺขํ นิคจฺฉสิฯ
Dark One, if you attack a bhikkhu who directly knows this, a disciple of the Buddha, you’ll fall into suffering.
โย เวชยนฺตํ ปาสาทํ, ปาทงฺคุฏฺเฐน กมฺปยิ; อิทฺธิพเลนุปตฺถทฺโธ, สํเวเชสิ จ เทวตาฯ
I’m the one who shook the Palace of Victory with his big toe owing to psychic power, inspiring deities to awe.
โย เอตมภิชานาติ, ภิกฺขุ พุทฺธสฺส สาวโก; ตาทิสํ ภิกฺขุมาสชฺช, กณฺห ทุกฺขํ นิคจฺฉสิฯ
Dark One, if you attack a bhikkhu who directly knows this, a disciple of the Buddha, you’ll fall into suffering.
โย เวชยนฺตปาสาเท, สกฺกํ โส ปริปุจฺฉติ; อปิ วาสว ชานาสิ, ตณฺหากฺขยวิมุตฺติโย; ตสฺส สกฺโก วิยากาสิ, ปญฺหํ ปุฏฺโฐ ยถาตถํฯ
I’m the one who asked Sakka in the Palace of Victory: ‘Vāsava, do you know the freedom that comes with the ending of craving?’ And I’m the one to whom Sakka admitted the truth when asked.
โย เอตมภิชานาติ, ภิกฺขุ พุทฺธสฺส สาวโก; ตาทิสํ ภิกฺขุมาสชฺช, กณฺห ทุกฺขํ นิคจฺฉสิฯ
Dark One, if you attack a bhikkhu who directly knows this, a disciple of the Buddha, you’ll fall into suffering.
โย พฺรหฺมํ ปริปุจฺฉติ, สุธมฺมายาภิโต สภํ; อชฺชาปิ ตฺยาวุโส ทิฏฺฐิ, ยา เต ทิฏฺฐิ ปุเร อหุ; ปสฺสสิ วีติวตฺตนฺตํ, พฺรหฺมโลเก ปภสฺสรํฯ
I’m the one who asked Brahmā in the Hall of Justice before the assembly: ‘Friend, do you still have the same view that you had in the past? Or do you see the radiance transcending the Brahmā realm?’
ตสฺส พฺรหฺมา วิยากาสิ, อนุปุพฺพํ ยถาตถํ; น เม มาริส สา ทิฏฺฐิ, ยา เม ทิฏฺฐิ ปุเร อหุฯ
And I’m the one to whom Brahmā truthfully admitted his progress: ‘Good sir, I don’t have that view that I had in the past.
ปสฺสามิ วีติวตฺตนฺตํ, พฺรหฺมโลเก ปภสฺสรํ; โสหํ อชฺช กถํ วชฺชํ, อหํ นิจฺโจมฺหิ สสฺสโตฯ
I see the radiance transcending the Brahmā realm. So how could I say today that I am permanent and eternal?’
โย เอตมภิชานาติ, ภิกฺขุ พุทฺธสฺส สาวโก; ตาทิสํ ภิกฺขุมาสชฺช, กณฺห ทุกฺขํ นิคจฺฉสิฯ
Dark One, if you attack a bhikkhu who directly knows this, a disciple of the Buddha, you’ll fall into suffering.
โย มหาเมรุโน กูฏํ, วิโมกฺเขน อผสฺสยิ; วนํ ปุพฺพวิเทหานํ, เย จ ภูมิสยา นราฯ
I’m the one who touched the peak of Mount Meru using the power of meditative liberation. I’ve visited the forests of the people who dwell in the Eastern Continent.
โย เอตมภิชานาติ, ภิกฺขุ พุทฺธสฺส สาวโก; ตาทิสํ ภิกฺขุมาสชฺช, กณฺห ทุกฺขํ นิคจฺฉสิฯ
Dark One, if you attack a bhikkhu who directly knows this, a disciple of the Buddha, you’ll fall into suffering.
น เว อคฺคิ เจตยติ, ‘อหํ พาลํ ฑหามี'ติ; พาโล จ ชลิตํ อคฺคึ, อาสชฺช นํ ส ฑยฺหติฯ
Though a fire doesn’t think, ‘I’ll burn the fool!’ Still the fool who attacks the fire gets burnt.
เอวเมว ตุวํ มาร, อาสชฺช นํ ตถาคตํ; สยํ ฑหิสฺสสิ อตฺตานํ, พาโล อคฺคึว สมฺผุสํฯ
In the same way, Māra, in attacking the Realized One, you’ll only burn yourself, like a fool touching the flames.
อปุญฺญํ ปสวี มาโร, อาสชฺช นํ ตถาคตํ; กึ นุ มญฺญสิ ปาปิม, น เม ปาปํ วิปจฺจติฯ
Māra’s done a bad thing in attacking the Realized One. Wicked One, do you imagine that your wickedness won’t bear fruit?
กโรโต จียติ ปาปํ, จิรรตฺตาย อนฺตก; มาร นิพฺพินฺท พุทฺธมฺหา, อาสํ มากาสิ ภิกฺขุสุฯ
Your deeds heap up wickedness that will last a long time, terminator! Forget about the Buddha, Māra! And give up your hopes for the bhikkhus!”
อิติ มารํ อตชฺเชสิ, ภิกฺขุ เภสกฬาวเน; ตโต โส ทุมฺมโน ยกฺโข, ตตฺเถวนฺตรธายถา”ติฯ
That is how, in the Bhesekaḷā grove, the bhikkhu rebuked Māra. That spirit, downcast, disappeared right there!
มารตชฺชนียสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ทสมํฯ
จูฬยมกวคฺโค นิฏฺฐิโต ปญฺจโมฯ
ตสฺสุทฺทานํ
สาเลยฺย เวรญฺชทุเว จ ตุฏฺฐิ, จูฬมหาธมฺมสมาทานญฺจ; วีมํสกา โกสมฺพิ จ พฺราหฺมโณ, ทูสี จ มาโร ทสโม จ วคฺโคฯ
อิทํ วคฺคานมุทฺทานํ
มูลปริยาโย เจว, สีหนาโท จ อุตฺตโม; กกโจ เจว โคสิงฺโค, สาเลโยฺย จ อิเม ปญฺจฯ
มูลปณฺณาสกํ สมตฺตํฯ
The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]