Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๑๐. มารตชฺชนียสุตฺตํ
10. Māratajjanīyasuttaṃ
๕๐๖. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ภเคฺคสุ วิหรติ สุสุมารคิเร เภสกฬาวเน มิคทาเยฯ เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน อโพฺภกาเส จงฺกมติฯ เตน โข ปน สมเยน มาโร ปาปิมา อายสฺมโต มหาโมคฺคลฺลานสฺส กุจฺฉิคโต โหติ โกฎฺฐมนุปวิโฎฺฐฯ อถ โข อายสฺมโต มหาโมคฺคลฺลานสฺส เอตทโหสิ – ‘‘กิํ นุ โข เม กุจฺฉิ ครุคโร วิย 1? มาสาจิตํ มเญฺญ’’ติฯ อถ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน จงฺกมา โอโรหิตฺวา วิหารํ ปวิสิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ นิสชฺช โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ปจฺจตฺตํ โยนิโส มนสากาสิฯ อทฺทสา โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน มารํ ปาปิมนฺตํ กุจฺฉิคตํ โกฎฺฐมนุปวิฎฺฐํฯ ทิสฺวาน มารํ ปาปิมนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘นิกฺขม, ปาปิม; นิกฺขม, ปาปิม! มา ตถาคตํ วิเหเสสิ, มา ตถาคตสาวกํฯ มา เต อโหสิ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายา’’ติฯ อถ โข มารสฺส ปาปิมโต เอตทโหสิ – ‘‘อชานเมว โข มํ อยํ สมโณ อปสฺสํ เอวมาห – ‘นิกฺขม, ปาปิม; นิกฺขม, ปาปิม! มา ตถาคตํ วิเหเสสิ, มา ตถาคตสาวกํฯ มา เต อโหสิ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายา’ติฯ โยปิสฺส โส สตฺถา โสปิ มํ เนว ขิปฺปํ ชาเนยฺย, กุโต ปน 2 มํ อยํ สาวโก ชานิสฺสตี’’ติ? อถ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน มารํ ปาปิมนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘เอวมฺปิ โข ตาหํ, ปาปิม, ชานามิ, มา ตฺวํ มญฺญิโตฺถ – ‘น มํ ชานาตี’ติฯ มาโร ตฺวมสิ, ปาปิม; ตุยฺหญฺหิ, ปาปิม, เอวํ โหติ – ‘อชานเมว โข มํ อยํ สมโณ อปสฺสํ เอวมาห – นิกฺขม, ปาปิม; นิกฺขม, ปาปิม! มา ตถาคตํ วิเหเสสิ, มา ตถาคตสาวกํฯ มา เต อโหสิ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายาติฯ โยปิสฺส โส สตฺถา โสปิ มํ เนว ขิปฺปํ ชาเนยฺย, กุโต ปน มํ อยํ สาวโก ชานิสฺสตี’’’ติ?
506. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ āyasmā mahāmoggallāno bhaggesu viharati susumāragire bhesakaḷāvane migadāye. Tena kho pana samayena āyasmā mahāmoggallāno abbhokāse caṅkamati. Tena kho pana samayena māro pāpimā āyasmato mahāmoggallānassa kucchigato hoti koṭṭhamanupaviṭṭho. Atha kho āyasmato mahāmoggallānassa etadahosi – ‘‘kiṃ nu kho me kucchi garugaro viya 3? Māsācitaṃ maññe’’ti. Atha kho āyasmā mahāmoggallāno caṅkamā orohitvā vihāraṃ pavisitvā paññatte āsane nisīdi. Nisajja kho āyasmā mahāmoggallāno paccattaṃ yoniso manasākāsi. Addasā kho āyasmā mahāmoggallāno māraṃ pāpimantaṃ kucchigataṃ koṭṭhamanupaviṭṭhaṃ. Disvāna māraṃ pāpimantaṃ etadavoca – ‘‘nikkhama, pāpima; nikkhama, pāpima! Mā tathāgataṃ vihesesi, mā tathāgatasāvakaṃ. Mā te ahosi dīgharattaṃ ahitāya dukkhāyā’’ti. Atha kho mārassa pāpimato etadahosi – ‘‘ajānameva kho maṃ ayaṃ samaṇo apassaṃ evamāha – ‘nikkhama, pāpima; nikkhama, pāpima! Mā tathāgataṃ vihesesi, mā tathāgatasāvakaṃ. Mā te ahosi dīgharattaṃ ahitāya dukkhāyā’ti. Yopissa so satthā sopi maṃ neva khippaṃ jāneyya, kuto pana 4 maṃ ayaṃ sāvako jānissatī’’ti? Atha kho āyasmā mahāmoggallāno māraṃ pāpimantaṃ etadavoca – ‘‘evampi kho tāhaṃ, pāpima, jānāmi, mā tvaṃ maññittho – ‘na maṃ jānātī’ti. Māro tvamasi, pāpima; tuyhañhi, pāpima, evaṃ hoti – ‘ajānameva kho maṃ ayaṃ samaṇo apassaṃ evamāha – nikkhama, pāpima; nikkhama, pāpima! Mā tathāgataṃ vihesesi, mā tathāgatasāvakaṃ. Mā te ahosi dīgharattaṃ ahitāya dukkhāyāti. Yopissa so satthā sopi maṃ neva khippaṃ jāneyya, kuto pana maṃ ayaṃ sāvako jānissatī’’’ti?
อถ โข มารสฺส ปาปิมโต เอตทโหสิ – ‘‘ชานเม โข มํ อยํ สมโณ ปสฺสํ เอวมาห – ‘นิกฺขม, ปาปิม; นิกฺขม, ปาปิม! มา ตถาคตํ วิเหเสสิ, มา ตถาคตสาวกํฯ มา เต อโหสิ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายา’’’ติฯ อถ โข มาโร ปาปิมา อายสฺมโต มหาโมคฺคลฺลานสฺส มุขโต อุคฺคนฺตฺวา ปจฺจคฺคเฬ อฎฺฐาสิฯ
Atha kho mārassa pāpimato etadahosi – ‘‘jāname kho maṃ ayaṃ samaṇo passaṃ evamāha – ‘nikkhama, pāpima; nikkhama, pāpima! Mā tathāgataṃ vihesesi, mā tathāgatasāvakaṃ. Mā te ahosi dīgharattaṃ ahitāya dukkhāyā’’’ti. Atha kho māro pāpimā āyasmato mahāmoggallānassa mukhato uggantvā paccaggaḷe aṭṭhāsi.
๕๐๗. อทฺทสา โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน มารํ ปาปิมนฺตํ ปจฺจคฺคเฬ ฐิตํ; ทิสฺวาน มารํ ปาปิมนฺตํ เอตทโวจ – ‘เอตฺถาปิ โข ตาหํ, ปาปิม, ปสฺสามิ; มา ตฺวํ มญฺญิโตฺถ ‘‘น มํ ปสฺสตี’’ติฯ เอโส ตฺวํ, ปาปิม, ปจฺจคฺคเฬ ฐิโตฯ ภูตปุพฺพาหํ, ปาปิม, ทูสี นาม มาโร อโหสิํ, ตสฺส เม กาฬี นาม ภคินีฯ ตสฺสา ตฺวํ ปุโตฺตฯ โส เม ตฺวํ ภาคิเนโยฺย อโหสิฯ เตน โข ปน, ปาปิม, สมเยน กกุสโนฺธ ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺน โหติฯ กกุสนฺธสฺส โข ปน, ปาปิม, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส วิธุรสญฺชีวํ นาม สาวกยุคํ อโหสิ อคฺคํ ภทฺทยุคํฯ ยาวตา โข ปน, ปาปิม, กกุสนฺธสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สาวกาฯ เตสุ น จ โกจิ อายสฺมตา วิธุเรน สมสโม โหติ ยทิทํ ธมฺมเทสนายฯ อิมินา โข เอวํ 5, ปาปิม, ปริยาเยน อายสฺมโต วิธุรสฺส วิธุโรเตว 6 สมญฺญา อุทปาทิฯ
507. Addasā kho āyasmā mahāmoggallāno māraṃ pāpimantaṃ paccaggaḷe ṭhitaṃ; disvāna māraṃ pāpimantaṃ etadavoca – ‘etthāpi kho tāhaṃ, pāpima, passāmi; mā tvaṃ maññittho ‘‘na maṃ passatī’’ti. Eso tvaṃ, pāpima, paccaggaḷe ṭhito. Bhūtapubbāhaṃ, pāpima, dūsī nāma māro ahosiṃ, tassa me kāḷī nāma bhaginī. Tassā tvaṃ putto. So me tvaṃ bhāgineyyo ahosi. Tena kho pana, pāpima, samayena kakusandho bhagavā arahaṃ sammāsambuddho loke uppanno hoti. Kakusandhassa kho pana, pāpima, bhagavato arahato sammāsambuddhassa vidhurasañjīvaṃ nāma sāvakayugaṃ ahosi aggaṃ bhaddayugaṃ. Yāvatā kho pana, pāpima, kakusandhassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa sāvakā. Tesu na ca koci āyasmatā vidhurena samasamo hoti yadidaṃ dhammadesanāya. Iminā kho evaṃ 7, pāpima, pariyāyena āyasmato vidhurassa vidhuroteva 8 samaññā udapādi.
‘‘อายสฺมา ปน, ปาปิม, สญฺชีโว อรญฺญคโตปิ รุกฺขมูลคโตปิ สุญฺญาคารคโตปิ อปฺปกสิเรเนว สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปชฺชติฯ ภูตปุพฺพํ, ปาปิม, อายสฺมา สญฺชีโว อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปโนฺน นิสิโนฺน โหติฯ อทฺทสํสุ โข, ปาปิม, โคปาลกา ปสุปาลกา กสฺสกา ปถาวิโน อายสฺมนฺตํ สญฺชีวํ อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปนฺนํ นิสินฺนํ; ทิสฺวาน เตสํ เอตทโหสิ – ‘อจฺฉริยํ วต, โภ, อพฺภุตํ วต, โภ! อยํ สมโณ นิสินฺนโกว กาลงฺกโต! หนฺท นํ ทหามา’ติฯ อถ โข เต, ปาปิม, โคปาลกา ปสุปาลกา กสฺสกา ปถาวิโน ติณญฺจ กฎฺฐญฺจ โคมยญฺจ สํกฑฺฒิตฺวา อายสฺมโต สญฺชีวสฺส กาเย อุปจินิตฺวา อคฺคิํ ทตฺวา ปกฺกมิํสุฯ อถ โข, ปาปิม, อายสฺมา สญฺชีโว ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน ตาย สมาปตฺติยา วุฎฺฐหิตฺวา จีวรานิ ปโปฺผเฎตฺวา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย คามํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อทฺทสํสุ โข เต, ปาปิม, โคปาลกา ปสุปาลกา กสฺสกา ปถาวิโน อายสฺมนฺตํ สญฺชีวํ ปิณฺฑาย จรนฺตํ; ทิสฺวาน เนสํ เอตทโหสิ – ‘อจฺฉริยํ วต, โภ, อพฺภุตํ วต, โภ! อยํ สมโณ นิสินฺนโกว กาลงฺกโต, สฺวายํ ปฎิสญฺชีวิโต’ติ ฯ อิมินา โข เอวํ, ปาปิม, ปริยาเยน อายสฺมโต สญฺชีวสฺส สญฺชีโวเตว 9 สมญฺญา อุทปาทิฯ
‘‘Āyasmā pana, pāpima, sañjīvo araññagatopi rukkhamūlagatopi suññāgāragatopi appakasireneva saññāvedayitanirodhaṃ samāpajjati. Bhūtapubbaṃ, pāpima, āyasmā sañjīvo aññatarasmiṃ rukkhamūle saññāvedayitanirodhaṃ samāpanno nisinno hoti. Addasaṃsu kho, pāpima, gopālakā pasupālakā kassakā pathāvino āyasmantaṃ sañjīvaṃ aññatarasmiṃ rukkhamūle saññāvedayitanirodhaṃ samāpannaṃ nisinnaṃ; disvāna tesaṃ etadahosi – ‘acchariyaṃ vata, bho, abbhutaṃ vata, bho! Ayaṃ samaṇo nisinnakova kālaṅkato! Handa naṃ dahāmā’ti. Atha kho te, pāpima, gopālakā pasupālakā kassakā pathāvino tiṇañca kaṭṭhañca gomayañca saṃkaḍḍhitvā āyasmato sañjīvassa kāye upacinitvā aggiṃ datvā pakkamiṃsu. Atha kho, pāpima, āyasmā sañjīvo tassā rattiyā accayena tāya samāpattiyā vuṭṭhahitvā cīvarāni papphoṭetvā pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya gāmaṃ piṇḍāya pāvisi. Addasaṃsu kho te, pāpima, gopālakā pasupālakā kassakā pathāvino āyasmantaṃ sañjīvaṃ piṇḍāya carantaṃ; disvāna nesaṃ etadahosi – ‘acchariyaṃ vata, bho, abbhutaṃ vata, bho! Ayaṃ samaṇo nisinnakova kālaṅkato, svāyaṃ paṭisañjīvito’ti . Iminā kho evaṃ, pāpima, pariyāyena āyasmato sañjīvassa sañjīvoteva 10 samaññā udapādi.
๕๐๘. ‘‘อถ โข, ปาปิม, ทูสิสฺส มารสฺส เอตทโหสิ – ‘อิเมสํ โข อหํ ภิกฺขูนํ สีลวนฺตานํ กลฺยาณธมฺมานํ เนว ชานามิ อาคติํ วา คติํ วาฯ ยํนูนาหํ พฺราหฺมณคหปติเก อนฺวาวิเสยฺยํ – เอถ, ตุเมฺห ภิกฺขู สีลวเนฺต กลฺยาณธเมฺม อโกฺกสถ ปริภาสถ โรเสถ วิเหเสถฯ อเปฺปว นาม ตุเมฺหหิ อโกฺกสิยมานานํ ปริภาสิยมานานํ โรสิยมานานํ วิเหสิยมานานํ สิยา จิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ, ยถา ตํ ทูสี มาโร ลเภถ โอตาร’นฺติฯ อถ โข เต, ปาปิม, ทูสี มาโร พฺราหฺมณคหปติเก อนฺวาวิสิ – ‘เอถ, ตุเมฺห ภิกฺขู สีลวเนฺต กลฺยาณธเมฺม อโกฺกสถ ปริภาสถ โรเสถ วิเหเสถฯ อเปฺปว นาม ตุเมฺหหิ อโกฺกสิยมานานํ ปริภาสิยมานานํ โรสิยมานานํ วิเหสิยมานานํ สิยา จิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ, ยถา ตํ ทูสี มาโร ลเภถ โอตาร’นฺติฯ
508. ‘‘Atha kho, pāpima, dūsissa mārassa etadahosi – ‘imesaṃ kho ahaṃ bhikkhūnaṃ sīlavantānaṃ kalyāṇadhammānaṃ neva jānāmi āgatiṃ vā gatiṃ vā. Yaṃnūnāhaṃ brāhmaṇagahapatike anvāviseyyaṃ – etha, tumhe bhikkhū sīlavante kalyāṇadhamme akkosatha paribhāsatha rosetha vihesetha. Appeva nāma tumhehi akkosiyamānānaṃ paribhāsiyamānānaṃ rosiyamānānaṃ vihesiyamānānaṃ siyā cittassa aññathattaṃ, yathā taṃ dūsī māro labhetha otāra’nti. Atha kho te, pāpima, dūsī māro brāhmaṇagahapatike anvāvisi – ‘etha, tumhe bhikkhū sīlavante kalyāṇadhamme akkosatha paribhāsatha rosetha vihesetha. Appeva nāma tumhehi akkosiyamānānaṃ paribhāsiyamānānaṃ rosiyamānānaṃ vihesiyamānānaṃ siyā cittassa aññathattaṃ, yathā taṃ dūsī māro labhetha otāra’nti.
‘‘อถ โข เต, ปาปิม, พฺราหฺมณคหปติกา อนฺวาวิสิฎฺฐา ทูสินา มาเรน ภิกฺขู สีลวเนฺต กลฺยาณธเมฺม อโกฺกสนฺติ ปริภาสนฺติ โรเสนฺติ วิเหเสนฺติ – ‘อิเม ปน มุณฺฑกา สมณกา อิพฺภา กิณฺหา 11 พนฺธุปาทาปจฺจา ‘‘ฌายิโนสฺมา ฌายิโนสฺมา’’ติ ปตฺตกฺขนฺธา อโธมุขา มธุรกชาตา ฌายนฺติ ปชฺฌายนฺติ นิชฺฌายนฺติ อปชฺฌายนฺติฯ เสยฺยถาปิ นาม อุลูโก รุกฺขสาขายํ มูสิกํ มคฺคยมาโน ฌายติ ปชฺฌายติ นิชฺฌายติ อปชฺฌายติ; เอวเมวิเม มุณฺฑกา สมณกา อิพฺภา กิณฺหา พนฺธุปาทาปจฺจา ‘‘ฌายิโนสฺมา ฌายิโนสฺมา’’ติ ปตฺตกฺขนฺธา อโธมุขา มธุรกชาตา ฌายนฺติ ปชฺฌายนฺติ นิชฺฌายนฺติ อปชฺฌายนฺติฯ เสยฺยถาปิ นาม โกตฺถุ นทีตีเร มเจฺฉ มคฺคยมาโน ฌายติ ปชฺฌายติ นิชฺฌายติ อปชฺฌายติ; เอวเมวิเม มุณฺฑกา สมณกา อิพฺภา กิณฺหา พนฺธุปาทาปจฺจา ‘‘ฌายิโนสฺมา ฌายิโนสฺมา’’ติ ปตฺตกฺขนฺธา อโธมุขา มธุรกชาตา ฌายนฺติ ปชฺฌายนฺติ นิชฺฌายนฺติ อปชฺฌายนฺติฯ เสยฺยถาปิ นาม พิฬาโร สนฺธิสมลสงฺกฎีเร มูสิกํ มคฺคยมาโน ฌายติ ปชฺฌายติ นิชฺฌายติ อปชฺฌายติ; เอวเมวิเม มุณฺฑกา สมณกา อิพฺภา กิณฺหา พนฺธุปาทาปจฺจา ‘‘ฌายิโนสฺมา ฌายิโนสฺมา’’ติ ปตฺตกฺขนฺธา อโธมุขา มธุรกชาตา ฌายนฺติ ปชฺฌายนฺติ นิชฺฌายนฺติ อปชฺฌายนฺติฯ เสยฺยถาปิ นาม คทฺรโภ วหจฺฉิโนฺน สนฺธิสมลสงฺกฎีเร ฌายติ ปชฺฌายติ นิชฺฌายติ อปชฺฌายติ, เอวเมวิเม มุณฺฑกา สมณกา อิพฺภา กิณฺหา พนฺธุปาทาปจฺจา ‘‘ฌายิโนสฺมา ฌายิโนสฺมา’’ติ ปตฺตกฺขนฺธา อโธมุขา มธุรกชาตา ฌายนฺติ ปชฺฌายนฺติ นิชฺฌายนฺติ อปชฺฌายนฺตี’’ติฯ
‘‘Atha kho te, pāpima, brāhmaṇagahapatikā anvāvisiṭṭhā dūsinā mārena bhikkhū sīlavante kalyāṇadhamme akkosanti paribhāsanti rosenti vihesenti – ‘ime pana muṇḍakā samaṇakā ibbhā kiṇhā 12 bandhupādāpaccā ‘‘jhāyinosmā jhāyinosmā’’ti pattakkhandhā adhomukhā madhurakajātā jhāyanti pajjhāyanti nijjhāyanti apajjhāyanti. Seyyathāpi nāma ulūko rukkhasākhāyaṃ mūsikaṃ maggayamāno jhāyati pajjhāyati nijjhāyati apajjhāyati; evamevime muṇḍakā samaṇakā ibbhā kiṇhā bandhupādāpaccā ‘‘jhāyinosmā jhāyinosmā’’ti pattakkhandhā adhomukhā madhurakajātā jhāyanti pajjhāyanti nijjhāyanti apajjhāyanti. Seyyathāpi nāma kotthu nadītīre macche maggayamāno jhāyati pajjhāyati nijjhāyati apajjhāyati; evamevime muṇḍakā samaṇakā ibbhā kiṇhā bandhupādāpaccā ‘‘jhāyinosmā jhāyinosmā’’ti pattakkhandhā adhomukhā madhurakajātā jhāyanti pajjhāyanti nijjhāyanti apajjhāyanti. Seyyathāpi nāma biḷāro sandhisamalasaṅkaṭīre mūsikaṃ maggayamāno jhāyati pajjhāyati nijjhāyati apajjhāyati; evamevime muṇḍakā samaṇakā ibbhā kiṇhā bandhupādāpaccā ‘‘jhāyinosmā jhāyinosmā’’ti pattakkhandhā adhomukhā madhurakajātā jhāyanti pajjhāyanti nijjhāyanti apajjhāyanti. Seyyathāpi nāma gadrabho vahacchinno sandhisamalasaṅkaṭīre jhāyati pajjhāyati nijjhāyati apajjhāyati, evamevime muṇḍakā samaṇakā ibbhā kiṇhā bandhupādāpaccā ‘‘jhāyinosmā jhāyinosmā’’ti pattakkhandhā adhomukhā madhurakajātā jhāyanti pajjhāyanti nijjhāyanti apajjhāyantī’’ti.
‘‘เย โข ปน, ปาปิม, เตน สมเยน มนุสฺสา กาลงฺกโรนฺติ เยภุเยฺยน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชนฺติฯ
‘‘Ye kho pana, pāpima, tena samayena manussā kālaṅkaronti yebhuyyena kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjanti.
๕๐๙. ‘‘อถ โข, ปาปิม, กกุสโนฺธ ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘อนฺวาวิฎฺฐา โข, ภิกฺขเว, พฺราหฺมณคหปติกา ทูสินา มาเรน – เอถ, ตุเมฺห ภิกฺขู สีลวเนฺต กลฺยาณธเมฺม อโกฺกสถ ปริภาสถ โรเสถ วิเหเสถ, อเปฺปว นาม ตุเมฺหหิ อโกฺกสิยมานานํ ปริภาสิยมานานํ โรสิยมานานํ วิเหสิยมานานํ สิยา จิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ, ยถา ตํ ทูสี มาโร ลเภถ โอตาร’นฺติฯ เอถ, ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรถ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพเชฺฌน ผริตฺวา วิหรถฯ กรุณาสหคเตน เจตสา…เป.… มุทิตาสหคเตน เจตสา…เป.… อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรถ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพเชฺฌน ผริตฺวา วิหรถา’ติฯ
509. ‘‘Atha kho, pāpima, kakusandho bhagavā arahaṃ sammāsambuddho bhikkhū āmantesi – ‘anvāviṭṭhā kho, bhikkhave, brāhmaṇagahapatikā dūsinā mārena – etha, tumhe bhikkhū sīlavante kalyāṇadhamme akkosatha paribhāsatha rosetha vihesetha, appeva nāma tumhehi akkosiyamānānaṃ paribhāsiyamānānaṃ rosiyamānānaṃ vihesiyamānānaṃ siyā cittassa aññathattaṃ, yathā taṃ dūsī māro labhetha otāra’nti. Etha, tumhe, bhikkhave, mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharatha, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ. Iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ mettāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyābajjhena pharitvā viharatha. Karuṇāsahagatena cetasā…pe… muditāsahagatena cetasā…pe… upekkhāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharatha, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ. Iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ upekkhāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyābajjhena pharitvā viharathā’ti.
‘‘อถ โข เต, ปาปิม, ภิกฺขู กกุสเนฺธน ภควตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน เอวํ โอวทิยมานา เอวํ อนุสาสิยมานา อรญฺญคตาปิ รุกฺขมูลคตาปิ สุญฺญาคารคตาปิ เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหริํสุ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพเชฺฌน ผริตฺวา วิหริํสุฯ กรุณาสหคเตน เจตสา…เป.… มุทิตาสหคเตน เจตสา…เป.… อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหริํสุ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาพเชฺฌน ผริตฺวา วิหริํสุ ฯ
‘‘Atha kho te, pāpima, bhikkhū kakusandhena bhagavatā arahatā sammāsambuddhena evaṃ ovadiyamānā evaṃ anusāsiyamānā araññagatāpi rukkhamūlagatāpi suññāgāragatāpi mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā vihariṃsu, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ. Iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ mettāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyābajjhena pharitvā vihariṃsu. Karuṇāsahagatena cetasā…pe… muditāsahagatena cetasā…pe… upekkhāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā vihariṃsu, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, tathā catutthaṃ. Iti uddhamadho tiriyaṃ sabbadhi sabbattatāya sabbāvantaṃ lokaṃ upekkhāsahagatena cetasā vipulena mahaggatena appamāṇena averena abyābajjhena pharitvā vihariṃsu .
๕๑๐. ‘‘อถ โข, ปาปิม, ทูสิสฺส มารสฺส เอตทโหสิ – ‘เอวมฺปิ โข อหํ กโรโนฺต อิเมสํ ภิกฺขูนํ สีลวนฺตานํ กลฺยาณธมฺมานํ เนว ชานามิ อาคติํ วา คติํ วา, ยํนูนาหํ พฺราหฺมณคหปติเก อนฺวาวิเสยฺยํ – เอถ, ตุเมฺห ภิกฺขู สีลวเนฺต กลฺยาณธเมฺม สกฺกโรถ ครุํ กโรถ มาเนถ ปูเชถ , อเปฺปว นาม ตุเมฺหหิ สกฺกริยมานานํ ครุกริยมานานํ มานิยมานานํ ปูชิยมานานํ สิยา จิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ, ยถา ตํ ทูสี มาโร ลเภถ โอตาร’นฺติ ฯ อถ โข เต, ปาปิม, ทูสี มาโร พฺราหฺมณคหปติเก อนฺวาวิสิ – ‘เอถ, ตุเมฺห ภิกฺขู สีลวเนฺต กลฺยาณธเมฺม สกฺกโรถ ครุํ กโรถ มาเนถ ปูเชถ, อเปฺปว นาม ตุเมฺหหิ สกฺกริยมานานํ ครุกริยมานานํ มานิยมานานํ ปูชิยมานานํ สิยา จิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ, ยถา ตํ ทูสี มาโร ลเภถ โอตาร’นฺติฯ อถ โข เต, ปาปิม, พฺราหฺมณคหปติกา อนฺวาวิฎฺฐา ทูสินา มาเรน ภิกฺขู สีลวเนฺต กลฺยาณธเมฺม สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติฯ
510. ‘‘Atha kho, pāpima, dūsissa mārassa etadahosi – ‘evampi kho ahaṃ karonto imesaṃ bhikkhūnaṃ sīlavantānaṃ kalyāṇadhammānaṃ neva jānāmi āgatiṃ vā gatiṃ vā, yaṃnūnāhaṃ brāhmaṇagahapatike anvāviseyyaṃ – etha, tumhe bhikkhū sīlavante kalyāṇadhamme sakkarotha garuṃ karotha mānetha pūjetha , appeva nāma tumhehi sakkariyamānānaṃ garukariyamānānaṃ māniyamānānaṃ pūjiyamānānaṃ siyā cittassa aññathattaṃ, yathā taṃ dūsī māro labhetha otāra’nti . Atha kho te, pāpima, dūsī māro brāhmaṇagahapatike anvāvisi – ‘etha, tumhe bhikkhū sīlavante kalyāṇadhamme sakkarotha garuṃ karotha mānetha pūjetha, appeva nāma tumhehi sakkariyamānānaṃ garukariyamānānaṃ māniyamānānaṃ pūjiyamānānaṃ siyā cittassa aññathattaṃ, yathā taṃ dūsī māro labhetha otāra’nti. Atha kho te, pāpima, brāhmaṇagahapatikā anvāviṭṭhā dūsinā mārena bhikkhū sīlavante kalyāṇadhamme sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti.
‘‘เย โข ปน, ปาปิม, เตน สมเยน มนุสฺสา กาลงฺกโรนฺติ เยภุเยฺยน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺติฯ
‘‘Ye kho pana, pāpima, tena samayena manussā kālaṅkaronti yebhuyyena kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjanti.
๕๑๑. ‘‘อถ โข, ปาปิม, กกุสโนฺธ ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘อนฺวาวิฎฺฐา โข, ภิกฺขเว, พฺราหฺมณคหปติกา ทูสินา มาเรน – เอถ, ตุเมฺห ภิกฺขู สีลวเนฺต กลฺยาณธเมฺม สกฺกโรถ ครุํ กโรถ มาเนถ ปูเชถ, อเปฺปว นาม ตุเมฺหหิ สกฺกริยมานานํ ครุกริยมานานํ มานิยมานานํ ปูชิยมานานํ สิยา จิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ, ยถา ตํ ทูสี มาโร ลเภถ โอตารนฺติฯ เอถ, ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อสุภานุปสฺสิโน กาเย วิหรถ, อาหาเร ปฎิกูลสญฺญิโน, สพฺพโลเก อนภิรติสญฺญิโน 13, สพฺพสงฺขาเรสุ อนิจฺจานุปสฺสิโน’ติฯ
511. ‘‘Atha kho, pāpima, kakusandho bhagavā arahaṃ sammāsambuddho bhikkhū āmantesi – ‘anvāviṭṭhā kho, bhikkhave, brāhmaṇagahapatikā dūsinā mārena – etha, tumhe bhikkhū sīlavante kalyāṇadhamme sakkarotha garuṃ karotha mānetha pūjetha, appeva nāma tumhehi sakkariyamānānaṃ garukariyamānānaṃ māniyamānānaṃ pūjiyamānānaṃ siyā cittassa aññathattaṃ, yathā taṃ dūsī māro labhetha otāranti. Etha, tumhe, bhikkhave, asubhānupassino kāye viharatha, āhāre paṭikūlasaññino, sabbaloke anabhiratisaññino 14, sabbasaṅkhāresu aniccānupassino’ti.
‘‘อถ โข เต, ปาปิม, ภิกฺขู กกุสเนฺธน ภควตา อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน เอวํ โอวทิยมานา เอวํ อนุสาสิยมานา อรญฺญคตาปิ รุกฺขมูลคตาปิ สุญฺญาคารคตาปิ อสุภานุปสฺสิโน กาเย วิหริํสุ, อาหาเร ปฎิกูลสญฺญิโน, สพฺพโลเก อนภิรติสญฺญิโน, สพฺพสงฺขาเรสุ อนิจฺจานุปสฺสิโนฯ
‘‘Atha kho te, pāpima, bhikkhū kakusandhena bhagavatā arahatā sammāsambuddhena evaṃ ovadiyamānā evaṃ anusāsiyamānā araññagatāpi rukkhamūlagatāpi suññāgāragatāpi asubhānupassino kāye vihariṃsu, āhāre paṭikūlasaññino, sabbaloke anabhiratisaññino, sabbasaṅkhāresu aniccānupassino.
๕๑๒. ‘‘อถ โข, ปาปิม, กกุสโนฺธ ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อายสฺมตา วิธุเรน ปจฺฉาสมเณน คามํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อถ โข, ปาปิม, ทูสี มาโร อญฺญตรํ กุมารกํ 15 อนฺวาวิสิตฺวา สกฺขรํ คเหตฺวา อายสฺมโต วิธุรสฺส สีเส ปหารมทาสิ; สีสํ โวภินฺทิ 16ฯ อถ โข, ปาปิม, อายสฺมา วิธุโร ภิเนฺนน สีเสน โลหิเตน คฬเนฺตน กกุสนฺธํเยว ภควนฺตํ อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต อนุพนฺธิฯ อถ โข , ปาปิม, กกุสโนฺธ ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ นาคาปโลกิตํ อปโลเกสิ – ‘น วายํ ทูสี มาโร มตฺตมญฺญาสี’ติฯ สหาปโลกนาย จ ปน, ปาปิม, ทูสี มาโร ตมฺหา จ ฐานา จวิ มหานิรยญฺจ อุปปชฺชิฯ
512. ‘‘Atha kho, pāpima, kakusandho bhagavā arahaṃ sammāsambuddho pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya āyasmatā vidhurena pacchāsamaṇena gāmaṃ piṇḍāya pāvisi. Atha kho, pāpima, dūsī māro aññataraṃ kumārakaṃ 17 anvāvisitvā sakkharaṃ gahetvā āyasmato vidhurassa sīse pahāramadāsi; sīsaṃ vobhindi 18. Atha kho, pāpima, āyasmā vidhuro bhinnena sīsena lohitena gaḷantena kakusandhaṃyeva bhagavantaṃ arahantaṃ sammāsambuddhaṃ piṭṭhito piṭṭhito anubandhi. Atha kho , pāpima, kakusandho bhagavā arahaṃ sammāsambuddho nāgāpalokitaṃ apalokesi – ‘na vāyaṃ dūsī māro mattamaññāsī’ti. Sahāpalokanāya ca pana, pāpima, dūsī māro tamhā ca ṭhānā cavi mahānirayañca upapajji.
‘‘ตสฺส โข ปน, ปาปิม, มหานิรยสฺส ตโย นามเธยฺยา โหนฺติ – ฉผสฺสายตนิโก อิติปิ, สงฺกุสมาหโต อิติปิ, ปจฺจตฺตเวทนิโย อิติปิฯ อถ โข มํ, ปาปิม, นิรยปาลา อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจุํ – ยทา โข เต 19, มาริส, สงฺกุนา สงฺกุ หทเย สมาคเจฺฉยฺยฯ อถ นํ ตฺวํ ชาเนยฺยาสิ – ‘วสฺสสหสฺสํ เม นิรเย ปจฺจมานสฺสา’ติฯ โส โข อหํ, ปาปิม, พหูนิ วสฺสานิ พหูนิ วสฺสสตานิ พหูนิ วสฺสสหสฺสานิ ตสฺมิํ มหานิรเย อปจฺจิํฯ ทสวสฺสสหสฺสานิ ตเสฺสว มหานิรยสฺส อุสฺสเท อปจฺจิํ วุฎฺฐานิมํ นาม เวทนํ เวทิยมาโนฯ ตสฺส มยฺหํ, ปาปิม, เอวรูโป กาโย โหติ, เสยฺยถาปิ มนุสฺสสฺสฯ เอวรูปํ สีสํ โหติ, เสยฺยถาปิ มจฺฉสฺสฯ
‘‘Tassa kho pana, pāpima, mahānirayassa tayo nāmadheyyā honti – chaphassāyataniko itipi, saṅkusamāhato itipi, paccattavedaniyo itipi. Atha kho maṃ, pāpima, nirayapālā upasaṅkamitvā etadavocuṃ – yadā kho te 20, mārisa, saṅkunā saṅku hadaye samāgaccheyya. Atha naṃ tvaṃ jāneyyāsi – ‘vassasahassaṃ me niraye paccamānassā’ti. So kho ahaṃ, pāpima, bahūni vassāni bahūni vassasatāni bahūni vassasahassāni tasmiṃ mahāniraye apacciṃ. Dasavassasahassāni tasseva mahānirayassa ussade apacciṃ vuṭṭhānimaṃ nāma vedanaṃ vediyamāno. Tassa mayhaṃ, pāpima, evarūpo kāyo hoti, seyyathāpi manussassa. Evarūpaṃ sīsaṃ hoti, seyyathāpi macchassa.
๕๑๓.
513.
‘‘กีทิโส นิรโย อาสิ, ยตฺถ ทูสี อปจฺจถ;
‘‘Kīdiso nirayo āsi, yattha dūsī apaccatha;
วิธุรํ สาวกมาสชฺช, กกุสนฺธญฺจ พฺราหฺมณํฯ
Vidhuraṃ sāvakamāsajja, kakusandhañca brāhmaṇaṃ.
‘‘สตํ อาสิ อโยสงฺกู, สเพฺพ ปจฺจตฺตเวทนา;
‘‘Sataṃ āsi ayosaṅkū, sabbe paccattavedanā;
อีทิโส นิรโย อาสิ, ยตฺถ ทูสี อปจฺจถ;
Īdiso nirayo āsi, yattha dūsī apaccatha;
วิธุรํ สาวกมาสชฺช, กกุสนฺธญฺจ พฺราหฺมณํฯ
Vidhuraṃ sāvakamāsajja, kakusandhañca brāhmaṇaṃ.
‘‘โย เอตมภิชานาติ, ภิกฺขุ พุทฺธสฺส สาวโก;
‘‘Yo etamabhijānāti, bhikkhu buddhassa sāvako;
ตาทิสํ ภิกฺขุมาสชฺช, กณฺห ทุกฺขํ นิคจฺฉสิฯ
Tādisaṃ bhikkhumāsajja, kaṇha dukkhaṃ nigacchasi.
‘‘มเชฺฌ สรสฺส ติฎฺฐนฺติ, วิมานา กปฺปฎฺฐายิโน;
‘‘Majjhe sarassa tiṭṭhanti, vimānā kappaṭṭhāyino;
เวฬุริยวณฺณา รุจิรา, อจฺจิมโนฺต ปภสฺสรา;
Veḷuriyavaṇṇā rucirā, accimanto pabhassarā;
อจฺฉรา ตตฺถ นจฺจนฺติ, ปุถุ นานตฺตวณฺณิโยฯ
Accharā tattha naccanti, puthu nānattavaṇṇiyo.
‘‘โย เอตมภิชานาติ, ภิกฺขุ พุทฺธสฺส สาวโก;
‘‘Yo etamabhijānāti, bhikkhu buddhassa sāvako;
ตาทิสํ ภิกฺขุมาสชฺช, กณฺห ทุกฺขํ นิคจฺฉสิฯ
Tādisaṃ bhikkhumāsajja, kaṇha dukkhaṃ nigacchasi.
‘‘โย เว พุเทฺธน โจทิโต, ภิกฺขุ สงฺฆสฺส เปกฺขโต;
‘‘Yo ve buddhena codito, bhikkhu saṅghassa pekkhato;
มิคารมาตุปาสาทํ, ปาทงฺคุเฎฺฐน กมฺปยิฯ
Migāramātupāsādaṃ, pādaṅguṭṭhena kampayi.
‘‘โย เอตมภิชานาติ, ภิกฺขุ พุทฺธสฺส สาวโก;
‘‘Yo etamabhijānāti, bhikkhu buddhassa sāvako;
ตาทิสํ ภิกฺขุมาสชฺช, กณฺห ทุกฺขํ นิคจฺฉสิฯ
Tādisaṃ bhikkhumāsajja, kaṇha dukkhaṃ nigacchasi.
‘‘โย เวชยนฺตํ ปาสาทํ, ปาทงฺคุเฎฺฐน กมฺปยิ;
‘‘Yo vejayantaṃ pāsādaṃ, pādaṅguṭṭhena kampayi;
อิทฺธิพเลนุปตฺถโทฺธ, สํเวเชสิ จ เทวตาฯ
Iddhibalenupatthaddho, saṃvejesi ca devatā.
‘‘โย เอตมภิชานาติ, ภิกฺขุ พุทฺธสฺส สาวโก;
‘‘Yo etamabhijānāti, bhikkhu buddhassa sāvako;
ตาทิสํ ภิกฺขุมาสชฺช, กณฺห ทุกฺขํ นิคจฺฉสิฯ
Tādisaṃ bhikkhumāsajja, kaṇha dukkhaṃ nigacchasi.
‘‘โย เวชยนฺตปาสาเท, สกฺกํ โส ปริปุจฺฉติ;
‘‘Yo vejayantapāsāde, sakkaṃ so paripucchati;
อปิ วาสว ชานาสิ, ตณฺหากฺขยวิมุตฺติโย;
Api vāsava jānāsi, taṇhākkhayavimuttiyo;
ตสฺส สโกฺก วิยากาสิ, ปญฺหํ ปุโฎฺฐ ยถาตถํฯ
Tassa sakko viyākāsi, pañhaṃ puṭṭho yathātathaṃ.
‘‘โย เอตมภิชานาติ, ภิกฺขุ พุทฺธสฺส สาวโก;
‘‘Yo etamabhijānāti, bhikkhu buddhassa sāvako;
ตาทิสํ ภิกฺขุมาสชฺช, กณฺห ทุกฺขํ นิคจฺฉสิฯ
Tādisaṃ bhikkhumāsajja, kaṇha dukkhaṃ nigacchasi.
‘‘โย พฺรหฺมํ ปริปุจฺฉติ, สุธมฺมายาภิโต สภํ;
‘‘Yo brahmaṃ paripucchati, sudhammāyābhito sabhaṃ;
อชฺชาปิ ตฺยาวุโส ทิฎฺฐิ, ยา เต ทิฎฺฐิ ปุเร อหุ;
Ajjāpi tyāvuso diṭṭhi, yā te diṭṭhi pure ahu;
ปสฺสสิ วีติวตฺตนฺตํ, พฺรหฺมโลเก ปภสฺสรํฯ
Passasi vītivattantaṃ, brahmaloke pabhassaraṃ.
‘‘ตสฺส พฺรหฺมา วิยากาสิ, อนุปุพฺพํ ยถาตถํ;
‘‘Tassa brahmā viyākāsi, anupubbaṃ yathātathaṃ;
น เม มาริส สา ทิฎฺฐิ, ยา เม ทิฎฺฐิ ปุเร อหุฯ
Na me mārisa sā diṭṭhi, yā me diṭṭhi pure ahu.
‘‘ปสฺสามิ วีติวตฺตนฺตํ, พฺรหฺมโลเก ปภสฺสรํ;
‘‘Passāmi vītivattantaṃ, brahmaloke pabhassaraṃ;
โสหํ อชฺช กถํ วชฺชํ, อหํ นิโจฺจมฺหิ สสฺสโตฯ
Sohaṃ ajja kathaṃ vajjaṃ, ahaṃ niccomhi sassato.
‘‘โย เอตมภิชานาติ, ภิกฺขุ พุทฺธสฺส สาวโก;
‘‘Yo etamabhijānāti, bhikkhu buddhassa sāvako;
ตาทิสํ ภิกฺขุมาสชฺช, กณฺห ทุกฺขํ นิคจฺฉสิฯ
Tādisaṃ bhikkhumāsajja, kaṇha dukkhaṃ nigacchasi.
‘‘โย มหาเมรุโน กูฎํ, วิโมเกฺขน อผสฺสยิ;
‘‘Yo mahāmeruno kūṭaṃ, vimokkhena aphassayi;
วนํ ปุพฺพวิเทหานํ, เย จ ภูมิสยา นราฯ
Vanaṃ pubbavidehānaṃ, ye ca bhūmisayā narā.
‘‘โย เอตมภิชานาติ, ภิกฺขุ พุทฺธสฺส สาวโก;
‘‘Yo etamabhijānāti, bhikkhu buddhassa sāvako;
ตาทิสํ ภิกฺขุมาสชฺช, กณฺห ทุกฺขํ นิคจฺฉสิฯ
Tādisaṃ bhikkhumāsajja, kaṇha dukkhaṃ nigacchasi.
พาโล จ ชลิตํ อคฺคิํ, อาสชฺช นํ ส ฑยฺหติฯ
Bālo ca jalitaṃ aggiṃ, āsajja naṃ sa ḍayhati.
‘‘เอวเมว ตุวํ มาร, อาสชฺช นํ ตถาคตํ;
‘‘Evameva tuvaṃ māra, āsajja naṃ tathāgataṃ;
สยํ ฑหิสฺสสิ อตฺตานํ, พาโล อคฺคิํว สํผุสํฯ
Sayaṃ ḍahissasi attānaṃ, bālo aggiṃva saṃphusaṃ.
‘‘อปุญฺญํ ปสวี มาโร, อาสชฺช นํ ตถาคตํ;
‘‘Apuññaṃ pasavī māro, āsajja naṃ tathāgataṃ;
กินฺนุ มญฺญสิ ปาปิม, น เม ปาปํ วิปจฺจติฯ
Kinnu maññasi pāpima, na me pāpaṃ vipaccati.
‘‘กโรโต จียติ ปาปํ, จิรรตฺตาย อนฺตก;
‘‘Karoto cīyati pāpaṃ, cirarattāya antaka;
มาร นิพฺพินฺท พุทฺธมฺหา, อาสํ มากาสิ ภิกฺขุสุฯ
Māra nibbinda buddhamhā, āsaṃ mākāsi bhikkhusu.
‘‘อิติ มารํ อตเชฺชสิ, ภิกฺขุ เภสกฬาวเน;
‘‘Iti māraṃ atajjesi, bhikkhu bhesakaḷāvane;
ตโต โส ทุมฺมโน ยโกฺข, นตเตฺถวนฺตรธายถา’’ติฯ
Tato so dummano yakkho, natatthevantaradhāyathā’’ti.
มารตชฺชนียสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ทสมํฯ
Māratajjanīyasuttaṃ niṭṭhitaṃ dasamaṃ.
จูฬยมกวโคฺค นิฎฺฐิโต ปญฺจโมฯ
Cūḷayamakavaggo niṭṭhito pañcamo.
ตสฺสุทฺทานํ –
Tassuddānaṃ –
สาเลยฺย เวรญฺชทุเว จ ตุฎฺฐิ, จูฬมหาธมฺมสมาทานญฺจ;
Sāleyya verañjaduve ca tuṭṭhi, cūḷamahādhammasamādānañca;
วีมํสกา โกสมฺพิ จ พฺราหฺมโณ, ทูสี จ มาโร ทสโม จ วโคฺคฯ
Vīmaṃsakā kosambi ca brāhmaṇo, dūsī ca māro dasamo ca vaggo.
สาเลยฺยวโคฺค นิฎฺฐิโต ปญฺจโมฯ
Sāleyyavaggo niṭṭhito pañcamo.
อิทํ วคฺคานมุทฺทานํ –
Idaṃ vaggānamuddānaṃ –
มูลปริยาโย เจว, สีหนาโท จ อุตฺตโม;
Mūlapariyāyo ceva, sīhanādo ca uttamo;
กกโจ เจว โคสิโงฺค, สาเลโยฺย จ อิเม ปญฺจฯ
Kakaco ceva gosiṅgo, sāleyyo ca ime pañca.
มูลปณฺณาสกํ สมตฺตํฯ
Mūlapaṇṇāsakaṃ samattaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. มารตชฺชนียสุตฺตวณฺณนา • 10. Māratajjanīyasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑๐. มารตชฺชนียสุตฺตวณฺณนา • 10. Māratajjanīyasuttavaṇṇanā