Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๑๐. มารตชฺชนียสุตฺตวณฺณนา
10. Māratajjanīyasuttavaṇṇanā
๕๐๖. เอวํ เม สุตนฺติ มารตชฺชนียสุตฺตํฯ ตตฺถ โกฎฺฐมนุปวิโฎฺฐติ กุจฺฉิํ ปวิสิตฺวา อนฺตานํ อโนฺต อนุปวิโฎฺฐ, ปกฺกาสยฎฺฐาเน นิสิโนฺนฯ ครุคโร วิยาติ ครุกครุโก วิย ถโทฺธ ปาสาณปุญฺชสทิโสฯ มาสาจิตํ มเญฺญติ มาสภตฺตํ ภุตฺตสฺส กุจฺฉิ วิย มาสปูริตปสิพฺพโก วิย ตินฺตมาโส วิย จาติ อโตฺถฯ วิหารํ ปวิสิตฺวาติ สเจ อาหารโทเสน เอส ครุภาโว, อโพฺภกาเส จงฺกมิตุํ น สปฺปายนฺติ จงฺกมา โอโรหิตฺวา ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา ปกติปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ ปจฺจตฺตํ โยนิโส มนสากาสีติ, ‘‘กิํ นุ โข เอต’’นฺติ อาวชฺชมาโน อตฺตโนเยว อุปาเยน มนสิ อกาสิฯ สเจ ปน เถโร อตฺตโน สีลํ อาวเชฺชตฺวา, ‘‘ยํ หิโยฺย วา ปเร วา ปรสุเว วา ปริภุตฺตํ อวิปกฺกมตฺถิ, อโญฺญ วา โกจิ วิสภาคโทโส, สพฺพํ ชีรตุ ผาสุกํ โหตู’’ติ หเตฺถน กุจฺฉิํ ปรามสิสฺส, มาโร ปาปิมา วิลียิตฺวา อคมิสฺสฯ เถโร ปน ตถา อกตฺวา โยนิโส มนสิ อกาสิฯ มา ตถาคตํ วิเหเสสีติ ยถา หิ ปุเตฺตสุ วิเหสิเตสุ มาตาปิตโร วิเหสิตาว โหนฺติ, สทฺธิวิหาริกอเนฺตวาสิเกสุ วิเหสิเตสุ อาจริยุปชฺฌายา วิเหสิตาว, ชนปเท วิเหสิเต ราชา วิเหสิโตว โหติ, เอวํ ตถาคตสาวเก วิเหสิเต ตถาคโต วิเหสิโตว โหติฯ เตนาห – ‘‘มา ตถาคตํ วิเหเสสี’’ติฯ
506.Evaṃme sutanti māratajjanīyasuttaṃ. Tattha koṭṭhamanupaviṭṭhoti kucchiṃ pavisitvā antānaṃ anto anupaviṭṭho, pakkāsayaṭṭhāne nisinno. Garugaro viyāti garukagaruko viya thaddho pāsāṇapuñjasadiso. Māsācitaṃmaññeti māsabhattaṃ bhuttassa kucchi viya māsapūritapasibbako viya tintamāso viya cāti attho. Vihāraṃ pavisitvāti sace āhāradosena esa garubhāvo, abbhokāse caṅkamituṃ na sappāyanti caṅkamā orohitvā paṇṇasālaṃ pavisitvā pakatipaññatte āsane nisīdi. Paccattaṃ yoniso manasākāsīti, ‘‘kiṃ nu kho eta’’nti āvajjamāno attanoyeva upāyena manasi akāsi. Sace pana thero attano sīlaṃ āvajjetvā, ‘‘yaṃ hiyyo vā pare vā parasuve vā paribhuttaṃ avipakkamatthi, añño vā koci visabhāgadoso, sabbaṃ jīratu phāsukaṃ hotū’’ti hatthena kucchiṃ parāmasissa, māro pāpimā vilīyitvā agamissa. Thero pana tathā akatvā yoniso manasi akāsi. Mā tathāgataṃ vihesesīti yathā hi puttesu vihesitesu mātāpitaro vihesitāva honti, saddhivihārikaantevāsikesu vihesitesu ācariyupajjhāyā vihesitāva, janapade vihesite rājā vihesitova hoti, evaṃ tathāgatasāvake vihesite tathāgato vihesitova hoti. Tenāha – ‘‘mā tathāgataṃ vihesesī’’ti.
ปจฺจคฺคเฬ อฎฺฐาสีติ ปติอคฺคเฬว อฎฺฐาสิฯ อคฺคฬํ วุจฺจติ กวาฎํ, มุเขน อุคฺคนฺตฺวา ปณฺณสาลโต นิกฺขมิตฺวา พหิปณฺณสาลาย กวาฎํ นิสฺสาย อฎฺฐาสีติ อโตฺถฯ
Paccaggaḷe aṭṭhāsīti patiaggaḷeva aṭṭhāsi. Aggaḷaṃ vuccati kavāṭaṃ, mukhena uggantvā paṇṇasālato nikkhamitvā bahipaṇṇasālāya kavāṭaṃ nissāya aṭṭhāsīti attho.
๕๐๗. ภูตปุพฺพาหํ ปาปิมาติ กสฺมา อิทํ เทสนํ อารภิ? เถโร กิร จิเนฺตสิ – ‘‘อากาสฎฺฐกเทวตานํ ตาว มนุสฺสคโนฺธ โยชนสเต ฐิตานํ อาพาธํ กโรติฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘โยชนสตํ โข ราชญฺญ มนุสฺสคโนฺธ เทเว อุพฺพาธตี’ติ (ที. นิ. ๒.๔๑๕)ฯ อยํ ปน มาโร นาคริโก ปริโจโกฺข มเหสโกฺข อานุภาวสมฺปโนฺน เทวราชา สมาโน มม กุจฺฉิยํ ปวิสิตฺวา อนฺตานํ อโนฺต ปกฺกาสโยกาเส นิสิโนฺน อติวิย ปทุโฎฺฐ ภวิสฺสติฯ เอวรูปํ นาม เชคุจฺฉํ ปฎิกูลํ โอกาสํ ปวิสิตฺวา นิสีทิตุํ สโกฺกนฺตสฺส กิมญฺญํ อกรณียํ ภวิสฺสติ, กิํ อญฺญํ ลชฺชิสฺสติ, ตฺวํ มม ญาติโกติ ปน วุเตฺต มุทุภาวํ อนาปชฺชมาโน นาม นตฺถิ, หนฺทสฺส ญาติโกฎิํ ปฎิวิชฺฌิตฺวา มุทุเกเนว นํ อุปาเยน วิสฺสเชฺชสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อิมํ เทสนมารภิฯ
507.Bhūtapubbāhaṃ pāpimāti kasmā idaṃ desanaṃ ārabhi? Thero kira cintesi – ‘‘ākāsaṭṭhakadevatānaṃ tāva manussagandho yojanasate ṭhitānaṃ ābādhaṃ karoti. Vuttañhetaṃ – ‘yojanasataṃ kho rājañña manussagandho deve ubbādhatī’ti (dī. ni. 2.415). Ayaṃ pana māro nāgariko paricokkho mahesakkho ānubhāvasampanno devarājā samāno mama kucchiyaṃ pavisitvā antānaṃ anto pakkāsayokāse nisinno ativiya paduṭṭho bhavissati. Evarūpaṃ nāma jegucchaṃ paṭikūlaṃ okāsaṃ pavisitvā nisīdituṃ sakkontassa kimaññaṃ akaraṇīyaṃ bhavissati, kiṃ aññaṃ lajjissati, tvaṃ mama ñātikoti pana vutte mudubhāvaṃ anāpajjamāno nāma natthi, handassa ñātikoṭiṃ paṭivijjhitvā mudukeneva naṃ upāyena vissajjessāmī’’ti cintetvā imaṃ desanamārabhi.
โส เม ตฺวํ ภาคิเนโยฺย โหสีติ โส ตฺวํ ตสฺมิํ กาเล มยฺหํ ภาคิเนโยฺย โหสิฯ อิทํ ปเวณิวเสน วุตฺตํฯ เทวโลกสฺมิํ ปน มารสฺส ปิตุ วํโส ปิตามหสฺส วํโส รชฺชํ กโรโนฺต นาม นตฺถิ, ปุญฺญวเสน เทวโลเก เทวราชา หุตฺวา นิพฺพโตฺต, ยาวตายุกํ ฐตฺวา จวติฯ อโญฺญ เอโก อตฺตนา กเตน กเมฺมน ตสฺมิํ ฐาเน อธิปติ หุตฺวา นิพฺพตฺตติฯ อิติ อยํ มาโรปิ ตทา ตโต จวิตฺวา ปุน กุสลํ กตฺวา อิมสฺมิํ กาเล ตสฺมิํ อธิปติฎฺฐาเน นิพฺพโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ
So me tvaṃ bhāgineyyo hosīti so tvaṃ tasmiṃ kāle mayhaṃ bhāgineyyo hosi. Idaṃ paveṇivasena vuttaṃ. Devalokasmiṃ pana mārassa pitu vaṃso pitāmahassa vaṃso rajjaṃ karonto nāma natthi, puññavasena devaloke devarājā hutvā nibbatto, yāvatāyukaṃ ṭhatvā cavati. Añño eko attanā katena kammena tasmiṃ ṭhāne adhipati hutvā nibbattati. Iti ayaṃ māropi tadā tato cavitvā puna kusalaṃ katvā imasmiṃ kāle tasmiṃ adhipatiṭṭhāne nibbattoti veditabbo.
วิธุโรติ วิคตธุโร, อเญฺญหิ สทฺธิํ อสทิโสติ อโตฺถฯ อปฺปกสิเรนาติ อปฺปทุเกฺขนฯ ปสุปาลกาติ อเชฬกปาลกาฯ ปถาวิโนติ มคฺคปฎิปนฺนาฯ กาเย อุปจินิตฺวาติ สมนฺตโต จิตกํ พนฺธิตฺวาฯ อคฺคิํ ทตฺวา ปกฺกมิํสูติ เอตฺตเกน สรีรํ ปริยาทานํ คมิสฺสตีติ จิตกสฺส ปมาณํ สลฺลเกฺขตฺวา จตูสุ ทิสาสุ อคฺคิํ ทตฺวา ปกฺกมิํสุฯ จิตโก ปทีปสิขา วิย ปชฺชลิ, เถรสฺส อุทกเลณํ ปวิสิตฺวา นิสินฺนกาโล วิย อโหสิฯ จีวรานิ ปโปฺผเฎตฺวาติ สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย วิคตธูเม กิํสุกวเณฺณ องฺคาเร มทฺทมาโน จีวรานิ วิธุนิตฺวาฯ สรีเร ปนสฺส อุสุมมตฺตมฺปิ นาโหสิ, จีวเรสุ อํสุมตฺตมฺปิ นชฺฌายิ, สมาปตฺติผลํ นาเมตํฯ
Vidhuroti vigatadhuro, aññehi saddhiṃ asadisoti attho. Appakasirenāti appadukkhena. Pasupālakāti ajeḷakapālakā. Pathāvinoti maggapaṭipannā. Kāye upacinitvāti samantato citakaṃ bandhitvā. Aggiṃ datvā pakkamiṃsūti ettakena sarīraṃ pariyādānaṃ gamissatīti citakassa pamāṇaṃ sallakkhetvā catūsu disāsu aggiṃ datvā pakkamiṃsu. Citako padīpasikhā viya pajjali, therassa udakaleṇaṃ pavisitvā nisinnakālo viya ahosi. Cīvarāni papphoṭetvāti samāpattito vuṭṭhāya vigatadhūme kiṃsukavaṇṇe aṅgāre maddamāno cīvarāni vidhunitvā. Sarīre panassa usumamattampi nāhosi, cīvaresu aṃsumattampi najjhāyi, samāpattiphalaṃ nāmetaṃ.
๕๐๘. อโกฺกสถาติ ทสหิ อโกฺกสวตฺถูหิ อโกฺกสถฯ ปริภาสถาติ วาจาย ปริภาสถฯ โรเสถาติ ฆเฎฺฎถฯ วิเหเสถาติ ทุกฺขาเปถฯ สพฺพเมตํ วาจาย ฆฎฺฎนเสฺสว อธิวจนํฯ ยถา ตํ ทูสี มาโรติ ยถา เอเตสํ ทูสี มาโรฯ ลเภถ โอตารนฺติ ลเภถ ฉิทฺทํ, กิเลสุปฺปตฺติยา อารมฺมณํ ปจฺจยํ ลเภยฺยาติ อโตฺถฯ มุณฺฑกาติอาทีสุ มุเณฺฑ มุณฺฑาติ สมเณ จ สมณาติ วตฺตุํ วเฎฺฎยฺย, อิเม ปน หีเฬนฺตา มุณฺฑกา สมณกาติ อาหํสุฯ อิพฺภาติ คหปติกาฯ กิณฺหาติ กณฺหา, กาฬกาติ อโตฺถฯ พนฺธุปาทาปจฺจาติ เอตฺถ พนฺธูติ พฺรหฺมา อธิเปฺปโต ฯ ตญฺหิ พฺราหฺมณา ปิตามโหติ โวหรนฺติฯ ปาทานํ อปจฺจา ปาทาปจฺจา, พฺรหฺมุโน ปิฎฺฐิปาทโต ชาตาติ อธิปฺปาโยฯ เตสํ กิร อยํ ลทฺธิ – ‘‘พฺราหฺมณา พฺรหฺมุโน มุขโต นิกฺขนฺตา, ขตฺติยา อุรโต, เวสฺสา นาภิโต, สุทฺทา ชาณุโต, สมณา ปิฎฺฐิปาทโต’’ติฯ
508.Akkosathāti dasahi akkosavatthūhi akkosatha. Paribhāsathāti vācāya paribhāsatha. Rosethāti ghaṭṭetha. Vihesethāti dukkhāpetha. Sabbametaṃ vācāya ghaṭṭanasseva adhivacanaṃ. Yathā taṃ dūsī māroti yathā etesaṃ dūsī māro. Labhetha otāranti labhetha chiddaṃ, kilesuppattiyā ārammaṇaṃ paccayaṃ labheyyāti attho. Muṇḍakātiādīsu muṇḍe muṇḍāti samaṇe ca samaṇāti vattuṃ vaṭṭeyya, ime pana hīḷentā muṇḍakā samaṇakāti āhaṃsu. Ibbhāti gahapatikā. Kiṇhāti kaṇhā, kāḷakāti attho. Bandhupādāpaccāti ettha bandhūti brahmā adhippeto . Tañhi brāhmaṇā pitāmahoti voharanti. Pādānaṃ apaccā pādāpaccā, brahmuno piṭṭhipādato jātāti adhippāyo. Tesaṃ kira ayaṃ laddhi – ‘‘brāhmaṇā brahmuno mukhato nikkhantā, khattiyā urato, vessā nābhito, suddā jāṇuto, samaṇā piṭṭhipādato’’ti.
ฌายิโนสฺมา ฌายิโนสฺมาติ ฌายิโน มยํ ฌายิโน มยนฺติฯ มธุรกชาตาติ อาลสิยชาตาฯ ฌายนฺตีติ จินฺตยนฺติฯ ปชฺฌายนฺตีติอาทีนิ อุปสคฺควเสน วฑฺฒิตานิฯ มูสิกํ มคฺคยมาโนติ สายํ โคจรตฺถาย สุสิรรุกฺขโต นิกฺขนฺตํ รุกฺขสาขาย มูสิกํ ปริเยสโนฺตฯ โส กิร อุปสนฺตูปสโนฺต วิย นิจฺจโลว ติฎฺฐติ, สมฺปตฺตกาเล มูสิกํ สหสา คณฺหาติฯ โกตฺถูติ สิงฺคาโล, โสโณติปิ วทนฺติฯ สนฺธิสมลสงฺกฎิเรติ สนฺธิมฺหิ จ สมเล จ สงฺกฎิเร จฯ ตตฺถ สนฺธิ นาม ฆรสนฺธิฯ สมโล นาม คูถนิทฺธมนปนาฬิฯ สงฺกฎิรํ นาม สงฺการฎฺฐานํฯ วหจฺฉิโนฺนติ กนฺตารโต นิกฺขโนฺต ฉินฺนวโหฯ สนฺธิสมลสงฺกฎิเรติ สนฺธิมฺหิ วา สมเล วา สงฺกฎิเร วาฯ โสปิ หิ พทฺธคโตฺต วิย นิจฺจโล ฌายติฯ
Jhāyinosmā jhāyinosmāti jhāyino mayaṃ jhāyino mayanti. Madhurakajātāti ālasiyajātā. Jhāyantīti cintayanti. Pajjhāyantītiādīni upasaggavasena vaḍḍhitāni. Mūsikaṃ maggayamānoti sāyaṃ gocaratthāya susirarukkhato nikkhantaṃ rukkhasākhāya mūsikaṃ pariyesanto. So kira upasantūpasanto viya niccalova tiṭṭhati, sampattakāle mūsikaṃ sahasā gaṇhāti. Kotthūti siṅgālo, soṇotipi vadanti. Sandhisamalasaṅkaṭireti sandhimhi ca samale ca saṅkaṭire ca. Tattha sandhi nāma gharasandhi. Samalo nāma gūthaniddhamanapanāḷi. Saṅkaṭiraṃ nāma saṅkāraṭṭhānaṃ. Vahacchinnoti kantārato nikkhanto chinnavaho. Sandhisamalasaṅkaṭireti sandhimhi vā samale vā saṅkaṭire vā. Sopi hi baddhagatto viya niccalo jhāyati.
นิรยํ อุปปชฺชนฺตีติ สเจ มาโร มนุสฺสานํ สรีเร อธิมุจฺจิตฺวา เอวํ กเรยฺย, มนุสฺสานํ อกุสลํ น ภเวยฺย, มารเสฺสว ภเวยฺยฯ สรีเร ปน อนธิมุจฺจิตฺวา วิสภาควตฺถุํ วิปฺปฎิสารารมฺมณํ ทเสฺสติ, ตทา กิร โส ภิกฺขู ขิปฺปํ คเหตฺวา มเจฺฉ อโชฺฌตฺถรเนฺต วิย, ชาลํ คเหตฺวา มเจฺฉ คณฺหเนฺต วิย, เลปยฎฺฐิํ โอเฑฺฑตฺวา สกุเณ พนฺธเนฺต วิย, สุนเขหิ สทฺธิํ อรเญฺญ มิควํ จรเนฺต วิย, มาตุคาเม คเหตฺวา อาปานภูมิยํ นิสิเนฺน วิย, นจฺจเนฺต วิย, คายเนฺต วิย, ภิกฺขุนีนํ รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐาเนสุ วิสภาคมนุเสฺส นิสิเนฺน วิย, ฐิเต วิย จ กตฺวา ทเสฺสสิฯ มนุสฺสา อรญฺญคตาปิ วนคตาปิ วิหารคตาปิ วิปฺปฎิสารารมฺมณํ ปสฺสิตฺวา อาคนฺตฺวา อเญฺญสํ กเถนฺติ – ‘‘สมณา เอวรูปํ อสฺสมณกํ อนนุจฺฉวิกํ กโรนฺติ, เอเตสํ ทิเนฺน กุโต กุสลํ, มา เอเตสํ กิญฺจิ อทตฺถา’’ติฯ เอวํ เต มนุสฺสา ทิฎฺฐทิฎฺฐฎฺฐาเน สีลวเนฺต อโกฺกสนฺตา อปุญฺญํ ปสวิตฺวา อปายปูรกา อเหสุํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘นิรยํ อุปปชฺชนฺตี’’ติฯ
Nirayaṃ upapajjantīti sace māro manussānaṃ sarīre adhimuccitvā evaṃ kareyya, manussānaṃ akusalaṃ na bhaveyya, mārasseva bhaveyya. Sarīre pana anadhimuccitvā visabhāgavatthuṃ vippaṭisārārammaṇaṃ dasseti, tadā kira so bhikkhū khippaṃ gahetvā macche ajjhottharante viya, jālaṃ gahetvā macche gaṇhante viya, lepayaṭṭhiṃ oḍḍetvā sakuṇe bandhante viya, sunakhehi saddhiṃ araññe migavaṃ carante viya, mātugāme gahetvā āpānabhūmiyaṃ nisinne viya, naccante viya, gāyante viya, bhikkhunīnaṃ rattiṭṭhānadivāṭṭhānesu visabhāgamanusse nisinne viya, ṭhite viya ca katvā dassesi. Manussā araññagatāpi vanagatāpi vihāragatāpi vippaṭisārārammaṇaṃ passitvā āgantvā aññesaṃ kathenti – ‘‘samaṇā evarūpaṃ assamaṇakaṃ ananucchavikaṃ karonti, etesaṃ dinne kuto kusalaṃ, mā etesaṃ kiñci adatthā’’ti. Evaṃ te manussā diṭṭhadiṭṭhaṭṭhāne sīlavante akkosantā apuññaṃ pasavitvā apāyapūrakā ahesuṃ. Tena vuttaṃ ‘‘nirayaṃ upapajjantī’’ti.
๕๐๙. อนฺวาวิฎฺฐาติ อาวฎฺฎิตาฯ ผริตฺวา วิหริํสูติ น เกวลํ ผริตฺวา วิหริํสุฯ กกุสนฺธสฺส ปน ภควโต โอวาเท ฐตฺวา อิเม จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร นิพฺพเตฺตตฺวา ฌานปทฎฺฐานํ วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหเตฺต ปติฎฺฐหิํสุฯ
509.Anvāviṭṭhāti āvaṭṭitā. Pharitvā vihariṃsūti na kevalaṃ pharitvā vihariṃsu. Kakusandhassa pana bhagavato ovāde ṭhatvā ime cattāro brahmavihāre nibbattetvā jhānapadaṭṭhānaṃ vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahatte patiṭṭhahiṃsu.
๕๑๐. อาคติํ วา คติํ วาติ ปฎิสนฺธิวเสน อาคมนฎฺฐานํ วา, จุติวเสน คมนฎฺฐานํ วา น ชานามิฯ สิยา จิตฺตสฺส อญฺญถตฺตนฺติ โสมนสฺสวเสน อญฺญถตฺตํ ภเวยฺยฯ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺตีติ อิธาปิ ปุริมนเยเนว อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ยถา หิ ปุเพฺพ วิปฺปฎิสารกรํ อารมฺมณํ ทเสฺสติ, เอวมิธาปิ ปสาทกรํฯ โส กิร ตทา มนุสฺสานํ ทสฺสนฎฺฐาเน ภิกฺขู อากาเส คจฺฉเนฺต วิย, ฐิเต วิย ปลฺลเงฺกน นิสิเนฺน วิย, อากาเส สูจิกมฺมํ กโรเนฺต วิย, โปตฺถกํ วาเจเนฺต วิย, อากาเส จีวรํ ปสาเรตฺวา กายํ อุตุํ คณฺหาเปเนฺต วิย, นวปพฺพชิเต อากาเสน จรเนฺต วิย, ตรุณสามเณเร อากาเส ฐตฺวา ปุปฺผานิ โอจินเนฺต วิย กตฺวา ทเสฺสสิฯ มนุสฺสา อรญฺญคตาปิ วนคตาปิ วิหารคตาปิ ปพฺพชิตานํ ตํ ปฎิปตฺติํ ทิสฺวา อาคนฺตฺวา อเญฺญสํ กเถนฺติ – ‘‘ภิกฺขูสุ อนฺตมโส สามเณราปิ เอวํมหิทฺธิโก มหานุภาวา, เอเตสํ ทินฺนํ มหปฺผลํ นาม โหติ, เอเตสํ เทถ สกฺกโรถา’’ติฯ ตโต มนุสฺสา ภิกฺขุสงฺฆํ จตูหิ ปจฺจเยหิ สกฺกโรนฺตา พหุํ ปุญฺญํ กตฺวา สคฺคปถปูรกา อเหสุํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺตี’’ติฯ
510.Āgatiṃvā gatiṃ vāti paṭisandhivasena āgamanaṭṭhānaṃ vā, cutivasena gamanaṭṭhānaṃ vā na jānāmi. Siyā cittassa aññathattanti somanassavasena aññathattaṃ bhaveyya. Saggaṃ lokaṃ upapajjantīti idhāpi purimanayeneva attho veditabbo. Yathā hi pubbe vippaṭisārakaraṃ ārammaṇaṃ dasseti, evamidhāpi pasādakaraṃ. So kira tadā manussānaṃ dassanaṭṭhāne bhikkhū ākāse gacchante viya, ṭhite viya pallaṅkena nisinne viya, ākāse sūcikammaṃ karonte viya, potthakaṃ vācente viya, ākāse cīvaraṃ pasāretvā kāyaṃ utuṃ gaṇhāpente viya, navapabbajite ākāsena carante viya, taruṇasāmaṇere ākāse ṭhatvā pupphāni ocinante viya katvā dassesi. Manussā araññagatāpi vanagatāpi vihāragatāpi pabbajitānaṃ taṃ paṭipattiṃ disvā āgantvā aññesaṃ kathenti – ‘‘bhikkhūsu antamaso sāmaṇerāpi evaṃmahiddhiko mahānubhāvā, etesaṃ dinnaṃ mahapphalaṃ nāma hoti, etesaṃ detha sakkarothā’’ti. Tato manussā bhikkhusaṅghaṃ catūhi paccayehi sakkarontā bahuṃ puññaṃ katvā saggapathapūrakā ahesuṃ. Tena vuttaṃ ‘‘saggaṃ lokaṃ upapajjantī’’ti.
๕๑๑. เอถ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อสุภานุปสฺสิโน กาเย วิหรถาติ ภควา สกลชมฺพุทีปํ อาหิณฺฑโนฺต อนฺตมโส ทฺวินฺนมฺปิ ติณฺณมฺปิ ภิกฺขูนํ วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา –
511.Etha tumhe, bhikkhave, asubhānupassino kāye viharathāti bhagavā sakalajambudīpaṃ āhiṇḍanto antamaso dvinnampi tiṇṇampi bhikkhūnaṃ vasanaṭṭhānaṃ gantvā –
‘‘อสุภสญฺญาปริจิเตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน เจตสา พหุลํ วิหรโต เมถุนธมฺมสมาปตฺติยา จิตฺตํ ปติลียติ ปติกุฎติ ปติวตฺตติ น สมฺปสาริยติ, อุเปกฺขา วา ปาฎิกุลฺยตา วา สณฺฐาติฯ
‘‘Asubhasaññāparicitena, bhikkhave, bhikkhuno cetasā bahulaṃ viharato methunadhammasamāpattiyā cittaṃ patilīyati patikuṭati pativattati na sampasāriyati, upekkhā vā pāṭikulyatā vā saṇṭhāti.
อาหาเร ปฎิกูลสญฺญาปริจิเตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน เจตสา พหุลํ วิหรโต รสตณฺหาย จิตฺตํ ปติลียติ ปติกุฎติ ปติวตฺตติ น สมฺปสาริยติ, อุเปกฺขา วา ปาฎิกุลฺยตา วา สณฺฐาติฯ
Āhāre paṭikūlasaññāparicitena, bhikkhave, bhikkhuno cetasā bahulaṃ viharato rasataṇhāya cittaṃ patilīyati patikuṭati pativattati na sampasāriyati, upekkhā vā pāṭikulyatā vā saṇṭhāti.
สพฺพโลเก อนภิรติสญฺญาปริจิเตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน เจตสา พหุลํ วิหรโต โลกจิเตฺรสุ จิตฺตํ ปติลียติ ปติกุฎติ ปติวตฺตติ น สมฺปสาริยติ, อุเปกฺขา วา ปาฎิกุลฺยตา วา สณฺฐาติฯ
Sabbaloke anabhiratisaññāparicitena, bhikkhave, bhikkhuno cetasā bahulaṃ viharato lokacitresu cittaṃ patilīyati patikuṭati pativattati na sampasāriyati, upekkhā vā pāṭikulyatā vā saṇṭhāti.
อนิจฺจสญฺญาปริจิเตน , ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน เจตสา พหุลํ วิหรโต ลาภสกฺการสิโลเก จิตฺตํ ปติลียติ ปติกุฎติ ปติวตฺตติ น สมฺปสาริยติ, อุเปกฺขา วา ปาฎิกุลฺยตา วา สณฺฐาตี’’ติ (อ. นิ. ๗.๔๙) เอวํ อานิสํสํ ทเสฺสตฺวา –
Aniccasaññāparicitena , bhikkhave, bhikkhuno cetasā bahulaṃ viharato lābhasakkārasiloke cittaṃ patilīyati patikuṭati pativattati na sampasāriyati, upekkhā vā pāṭikulyatā vā saṇṭhātī’’ti (a. ni. 7.49) evaṃ ānisaṃsaṃ dassetvā –
เอถ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อสุภานุปสฺสี กาเย วิหรถ, อาหาเร ปฎิกูลสญฺญิโน สพฺพโลเก อนภิรติสญฺญิโน สพฺพสงฺขาเรสุ อนิจฺจานุปสฺสิโนติฯ อิมานิ จตฺตาริ กมฺมฎฺฐานานิ กเถสิฯ เตปิ ภิกฺขู อิเมสุ จตูสุ กมฺมฎฺฐาเนสุ กมฺมํ กโรนฺตา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา สพฺพาสเว เขเปตฺวา อรหเตฺต ปติฎฺฐหิํสุ, อิมานิปิ จตฺตาริ กมฺมฎฺฐานานิ ราคสนฺตานิ โทสโมหสนฺตานิ ราคปฎิฆาตานิ โทสโมหปฎิฆาตานิ จาติฯ
Etha tumhe, bhikkhave, asubhānupassī kāye viharatha, āhāre paṭikūlasaññino sabbaloke anabhiratisaññino sabbasaṅkhāresu aniccānupassinoti. Imāni cattāri kammaṭṭhānāni kathesi. Tepi bhikkhū imesu catūsu kammaṭṭhānesu kammaṃ karontā vipassanaṃ vaḍḍhetvā sabbāsave khepetvā arahatte patiṭṭhahiṃsu, imānipi cattāri kammaṭṭhānāni rāgasantāni dosamohasantāni rāgapaṭighātāni dosamohapaṭighātāni cāti.
๕๑๒. สกฺขรํ คเหตฺวาติ อโนฺตมุฎฺฐิยํ ติฎฺฐนปมาณํ ปาสาณํ คเหตฺวาฯ อยญฺหิ พฺราหฺมณคหปติเกหิ ภิกฺขู อโกฺกสาเปตฺวาปิ, พฺราหฺมณคหปติกานํ วเสน ภิกฺขุสงฺฆสฺส ลาภสกฺการํ อุปฺปาทาเปตฺวาปิ, โอตารํ อลภโนฺต อิทานิ สหตฺถา อุปกฺกมิตุกาโม อญฺญตรสฺส กุมารสฺส สรีเร อธิมุจฺจิตฺวา เอวรูปํ ปาสาณํ อคฺคเหสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘สกฺขรํ คเหตฺวา’’ติฯ
512.Sakkharaṃ gahetvāti antomuṭṭhiyaṃ tiṭṭhanapamāṇaṃ pāsāṇaṃ gahetvā. Ayañhi brāhmaṇagahapatikehi bhikkhū akkosāpetvāpi, brāhmaṇagahapatikānaṃ vasena bhikkhusaṅghassa lābhasakkāraṃ uppādāpetvāpi, otāraṃ alabhanto idāni sahatthā upakkamitukāmo aññatarassa kumārassa sarīre adhimuccitvā evarūpaṃ pāsāṇaṃ aggahesi. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘sakkharaṃ gahetvā’’ti.
สีสํ โว ภินฺทีติ สีสํ ภินฺทิ, มหาจมฺมํ ฉิชฺชิตฺวา มํสํ เทฺวธา อโหสิฯ สกฺขรา ปนสฺส สีสกฎาหํ อภินฺทิตฺวา อฎฺฐิํ อาหเจฺจว นิวตฺตาฯ นาคาปโลกิตํ อปโลเกสีติ ปหารสทฺทํ สุตฺวา ยถา นาม หตฺถินาโค อิโต วา เอโตฺต วา อปโลเกตุกาโม คีวํ อปริวเตฺตตฺวา สกลสรีเรเนว นิวตฺติตฺวา อปโลเกติฯ เอวํ สกลสรีเรเนว นิวตฺติตฺวา อปโลเกสิฯ ยถา หิ มหาชนสฺส อฎฺฐีนิ โกฎิยา โกฎิํ อาหจฺจ ฐิตานิ, ปเจฺจกพุทฺธานํ องฺกุสลคฺคานิ, น เอวํ พุทฺธานํฯ พุทฺธานํ ปน สงฺขลิกานิ วิย เอกาพทฺธานิ หุตฺวา ฐิตานิ, ตสฺมา ปจฺฉโต อปโลกนกาเล น สกฺกา โหติ คีวํ ปริวเตฺตตุํฯ ยถา ปน หตฺถินาโค ปจฺฉาภาคํ อปโลเกตุกาโม สกลสรีเรเนว ปริวตฺตติ, เอวํ ปริวตฺติตพฺพํ โหติฯ ตสฺมา ภควา ยเนฺตน ปริวตฺติตา สุวณฺณปฎิมา วิย สกลสรีเรเนว นิวตฺติตฺวา อปโลเกสิ , อปโลเกตฺวา ฐิโต ปน, ‘‘น วายํ ทูสี มาโร มตฺตมญฺญาสี’’ติ อาหฯ ตสฺสโตฺถ, อยํ ทูสี มาโร ปาปํ กโรโนฺต เนว ปมาณํ อญฺญาสิ, ปมาณาติกฺกนฺตมกาสีติฯ
Sīsaṃ vo bhindīti sīsaṃ bhindi, mahācammaṃ chijjitvā maṃsaṃ dvedhā ahosi. Sakkharā panassa sīsakaṭāhaṃ abhinditvā aṭṭhiṃ āhacceva nivattā. Nāgāpalokitaṃ apalokesīti pahārasaddaṃ sutvā yathā nāma hatthināgo ito vā etto vā apaloketukāmo gīvaṃ aparivattetvā sakalasarīreneva nivattitvā apaloketi. Evaṃ sakalasarīreneva nivattitvā apalokesi. Yathā hi mahājanassa aṭṭhīni koṭiyā koṭiṃ āhacca ṭhitāni, paccekabuddhānaṃ aṅkusalaggāni, na evaṃ buddhānaṃ. Buddhānaṃ pana saṅkhalikāni viya ekābaddhāni hutvā ṭhitāni, tasmā pacchato apalokanakāle na sakkā hoti gīvaṃ parivattetuṃ. Yathā pana hatthināgo pacchābhāgaṃ apaloketukāmo sakalasarīreneva parivattati, evaṃ parivattitabbaṃ hoti. Tasmā bhagavā yantena parivattitā suvaṇṇapaṭimā viya sakalasarīreneva nivattitvā apalokesi , apaloketvā ṭhito pana, ‘‘na vāyaṃ dūsī māro mattamaññāsī’’ti āha. Tassattho, ayaṃ dūsī māro pāpaṃ karonto neva pamāṇaṃ aññāsi, pamāṇātikkantamakāsīti.
สหาปโลกนายาติ กกุสนฺธสฺส ภควโต อปโลกเนเนว สห ตงฺขณเญฺญวฯ ตมฺหา จ ฐานา จวีติ ตมฺหา จ เทวฎฺฐานา จุโต, มหานิรยํ อุปปโนฺนติ อโตฺถฯ จวมาโน หิ น ยตฺถ กตฺถจิ ฐิโต จวติ, ตสฺมา วสวตฺติเทวโลกํ อาคนฺตฺวา จุโต, ‘‘สหาปโลกนายา’’ติ จ วจนโต น ภควโต อปโลกิตตฺตา จุโตติ เวทิตโพฺพ, จุติกาลทสฺสนมตฺตเมว เหตํฯ อุฬาเร ปน มหาสาวเก วิรทฺธตฺตา กุทาริยา ปหฎํ วิยสฺส อายุ ตเตฺถว ฉิชฺชิตฺวา คตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตโย นามเธยฺยา โหนฺตีติ ตีณิ นามานิ โหนฺติฯ ฉผสฺสายตนิโกติ ฉสุ ผสฺสายตเนสุ ปาฎิเยกฺกาย เวทนาย ปจฺจโยฯ
Sahāpalokanāyāti kakusandhassa bhagavato apalokaneneva saha taṅkhaṇaññeva. Tamhā ca ṭhānā cavīti tamhā ca devaṭṭhānā cuto, mahānirayaṃ upapannoti attho. Cavamāno hi na yattha katthaci ṭhito cavati, tasmā vasavattidevalokaṃ āgantvā cuto, ‘‘sahāpalokanāyā’’ti ca vacanato na bhagavato apalokitattā cutoti veditabbo, cutikāladassanamattameva hetaṃ. Uḷāre pana mahāsāvake viraddhattā kudāriyā pahaṭaṃ viyassa āyu tattheva chijjitvā gatanti veditabbaṃ. Tayo nāmadheyyā hontīti tīṇi nāmāni honti. Chaphassāyatanikoti chasu phassāyatanesu pāṭiyekkāya vedanāya paccayo.
สงฺกุสมาหโตติ อยสูเลหิ สมาหโตฯ ปจฺจตฺตเวทนิโยติ สยเมว เวทนาชนโกฯ สงฺกุนา สงฺกุ หทเย สมาคเจฺฉยฺยาติ อยสูเลน สทฺธิํ อยสูลํ หทยมเชฺฌ สมาคเจฺฉยฺยฯ ตสฺมิํ กิร นิรเย อุปปนฺนานํ ติคาวุโต อตฺตภาโว โหติ, เถรสฺสาปิ ตาทิโส อโหสิฯ อถสฺส หิ นิรยปาลา ตาลกฺขนฺธปมาณานิ อยสูลานิ อาทิตฺตานิ สมฺปชฺชลิตานิ สโชติภูตานิ สยเมว คเหตฺวา ปุนปฺปุนํ นิวตฺตมานา, – ‘‘อิมินา เต ฐาเนน จิเนฺตตฺวา ปาปํ กต’’นฺติ ปูวโทณิยํ ปูวํ โกเฎฺฎโนฺต วิย หทยมชฺฌํ โกเฎฺฎตฺวา, ปณฺณาส ชนา ปาทาภิมุขา ปณฺณาส ชนา สีสาภิมุขา โกเฎฺฎตฺวา คจฺฉนฺติ, เอวํ คจฺฉนฺตา ปญฺจหิ วสฺสสเตหิ อุโภ อเนฺต ปตฺวา ปุน นิวตฺตมานา ปญฺจหิ วสฺสสเตหิ หทยมชฺฌํ อาคจฺฉนฺติฯ ตํ สนฺธาย เอวํ วุตฺตํฯ
Saṅkusamāhatoti ayasūlehi samāhato. Paccattavedaniyoti sayameva vedanājanako. Saṅkunā saṅku hadaye samāgaccheyyāti ayasūlena saddhiṃ ayasūlaṃ hadayamajjhe samāgaccheyya. Tasmiṃ kira niraye upapannānaṃ tigāvuto attabhāvo hoti, therassāpi tādiso ahosi. Athassa hi nirayapālā tālakkhandhapamāṇāni ayasūlāni ādittāni sampajjalitāni sajotibhūtāni sayameva gahetvā punappunaṃ nivattamānā, – ‘‘iminā te ṭhānena cintetvā pāpaṃ kata’’nti pūvadoṇiyaṃ pūvaṃ koṭṭento viya hadayamajjhaṃ koṭṭetvā, paṇṇāsa janā pādābhimukhā paṇṇāsa janā sīsābhimukhā koṭṭetvā gacchanti, evaṃ gacchantā pañcahi vassasatehi ubho ante patvā puna nivattamānā pañcahi vassasatehi hadayamajjhaṃ āgacchanti. Taṃ sandhāya evaṃ vuttaṃ.
วุฎฺฐานิมนฺติ วิปากวุฎฺฐานเวทนํฯ สา กิร มหานิรเย เวทนาโต ทุกฺขตรา โหติ, ยถา หิ สิเนหปานสตฺตาหโต ปริหารสตฺตาหํ ทุกฺขตรํ, เอวํ มหานิรยทุกฺขโต อุสฺสเท วิปากวุฎฺฐานเวทนา ทุกฺขตราติ วทนฺติฯ เสยฺยถาปิ มจฺฉสฺสาติ ปุริสสีสญฺหิ วฎฺฎํ โหติ, สูเลน ปหรนฺตสฺส ปหาโร ฐานํ น ลภติ ปริคลติ, มจฺฉสีสํ อายตํ ปุถุลํ, ปหาโร ฐานํ ลภติ , อวิรชฺฌิตฺวา กมฺมการณา สุกรา โหติ, ตสฺมา เอวรูปํ สีสํ โหติฯ
Vuṭṭhānimanti vipākavuṭṭhānavedanaṃ. Sā kira mahāniraye vedanāto dukkhatarā hoti, yathā hi sinehapānasattāhato parihārasattāhaṃ dukkhataraṃ, evaṃ mahānirayadukkhato ussade vipākavuṭṭhānavedanā dukkhatarāti vadanti. Seyyathāpi macchassāti purisasīsañhi vaṭṭaṃ hoti, sūlena paharantassa pahāro ṭhānaṃ na labhati parigalati, macchasīsaṃ āyataṃ puthulaṃ, pahāro ṭhānaṃ labhati , avirajjhitvā kammakāraṇā sukarā hoti, tasmā evarūpaṃ sīsaṃ hoti.
๕๑๓. วิธุรํ สาวกมาสชฺชาติ วิธุรํ สาวกํ ฆฎฺฎยิตฺวาฯ ปจฺจตฺตเวทนาติ สยเมว ปาฎิเยกฺกเวทนาชนกาฯ อีทิโส นิรโย อาสีติ อิมสฺมิํ ฐาเน นิรโย เทวทูตสุเตฺตน ทีเปตโพฺพฯ กณฺห-ทุกฺขํ นิคจฺฉสีติ กาฬก-มาร, ทุกฺขํ วินฺทิสฺสสิฯ มเชฺฌ สรสฺสาติ มหาสมุทฺทสฺส มเชฺฌ อุทกํ วตฺถุํ กตฺวา นิพฺพตฺตวิมานานิ กปฺปฎฺฐิติกานิ โหนฺติ, เตสํ เวฬุริยสฺส วิย วโณฺณ โหติ, ปพฺพตมตฺถเก ชลิตนฬคฺคิกฺขโนฺธ วิย จ เนสํ อจฺจิโย โชตนฺติ, ปภสฺสรา ปภาสมฺปนฺนา โหนฺติ, เตสุ วิมาเนสุ นีลเภทาทิวเสน นานตฺตวณฺณา อจฺฉรา นจฺจนฺติฯ โย เอตมภิชานาตีติ โย เอตํ วิมานวตฺถุํ ชานาตีติ อโตฺถฯ เอวเมตฺถ วิมานเปตวตฺถุเกเนว อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปาทงฺคุเฎฺฐน กมฺปยีติ อิทํ ปาสาทกมฺปนสุเตฺตน ทีเปตพฺพํฯ โย เวชยนฺตํ ปาสาทนฺติ อิทํ จูฬตณฺหาสงฺขยวิมุตฺติสุเตฺตน ทีเปตพฺพํฯ สกฺกํ โส ปริปุจฺฉตีติ อิทมฺปิ เตเนว ทีเปตพฺพํฯ สุธมฺมายาภิโต สภนฺติ สุธมฺมสภาย สมีเป, อยํ ปน พฺรหฺมโลเก สุธมฺมสภาว, น ตาวติํสภวเนฯ สุธมฺมสภาวิรหิโต หิ เทวโลโก นาม นตฺถิฯ
513.Vidhuraṃ sāvakamāsajjāti vidhuraṃ sāvakaṃ ghaṭṭayitvā. Paccattavedanāti sayameva pāṭiyekkavedanājanakā. Īdiso nirayo āsīti imasmiṃ ṭhāne nirayo devadūtasuttena dīpetabbo. Kaṇha-dukkhaṃ nigacchasīti kāḷaka-māra, dukkhaṃ vindissasi. Majjhe sarassāti mahāsamuddassa majjhe udakaṃ vatthuṃ katvā nibbattavimānāni kappaṭṭhitikāni honti, tesaṃ veḷuriyassa viya vaṇṇo hoti, pabbatamatthake jalitanaḷaggikkhandho viya ca nesaṃ acciyo jotanti, pabhassarā pabhāsampannā honti, tesu vimānesu nīlabhedādivasena nānattavaṇṇā accharā naccanti. Yo etamabhijānātīti yo etaṃ vimānavatthuṃ jānātīti attho. Evamettha vimānapetavatthukeneva attho veditabbo. Pādaṅguṭṭhena kampayīti idaṃ pāsādakampanasuttena dīpetabbaṃ. Yo vejayantaṃ pāsādanti idaṃ cūḷataṇhāsaṅkhayavimuttisuttena dīpetabbaṃ. Sakkaṃ so paripucchatīti idampi teneva dīpetabbaṃ. Sudhammāyābhito sabhanti sudhammasabhāya samīpe, ayaṃ pana brahmaloke sudhammasabhāva, na tāvatiṃsabhavane. Sudhammasabhāvirahito hi devaloko nāma natthi.
พฺรหฺมโลเก ปภสฺสรนฺติ พฺรหฺมโลเก มหาโมคฺคลฺลานมหากสฺสปาทีหิ สาวเกหิ สทฺธิํ ตสฺส เตโชธาตุํ สมาปชฺชิตฺวา นิสินฺนสฺส ภควโต โอภาสํฯ เอกสฺมิญฺหิ สมเย ภควา พฺรหฺมโลเก สุธมฺมาย เทวสภาย สนฺนิปติตฺวา, – ‘‘อตฺถิ นุ โข โกจิ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เอวํมหิทฺธิโกฯ โย อิธ อาคนฺตุํ สกฺกุเณยฺยา’’ติ จิเนฺตนฺตเสฺสว พฺรหฺมคณสฺส จิตฺตมญฺญาย ตตฺถ คนฺตฺวา พฺรหฺมคณสฺส มตฺถเก นิสิโนฺน เตโชธาตุํ สมาปชฺชิตฺวา มหาโมคฺคลฺลานาทีนํ อาคมนํ จิเนฺตสิฯ เตปิ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เตโชธาตุํ สมาปชฺชิตฺวา ปเจฺจกํ ทิสาสุ นิสีทิํสุ, สกลพฺรหฺมโลโก เอโกภาโส อโหสิฯ สตฺถา จตุสจฺจปฺปกาสนํ ธมฺมํ เทเสสิ, เทสนาปริโยสาเน อเนกานิ พฺรหฺมสหสฺสานิ มคฺคผเลสุ ปติฎฺฐหิํสุฯ ตํ สนฺธายิมา คาถา วุตฺตา, โส ปนายมโตฺถ อญฺญตรพฺรหฺมสุเตฺตน ทีเปตโพฺพฯ
Brahmaloke pabhassaranti brahmaloke mahāmoggallānamahākassapādīhi sāvakehi saddhiṃ tassa tejodhātuṃ samāpajjitvā nisinnassa bhagavato obhāsaṃ. Ekasmiñhi samaye bhagavā brahmaloke sudhammāya devasabhāya sannipatitvā, – ‘‘atthi nu kho koci samaṇo vā brāhmaṇo vā evaṃmahiddhiko. Yo idha āgantuṃ sakkuṇeyyā’’ti cintentasseva brahmagaṇassa cittamaññāya tattha gantvā brahmagaṇassa matthake nisinno tejodhātuṃ samāpajjitvā mahāmoggallānādīnaṃ āgamanaṃ cintesi. Tepi gantvā satthāraṃ vanditvā tejodhātuṃ samāpajjitvā paccekaṃ disāsu nisīdiṃsu, sakalabrahmaloko ekobhāso ahosi. Satthā catusaccappakāsanaṃ dhammaṃ desesi, desanāpariyosāne anekāni brahmasahassāni maggaphalesu patiṭṭhahiṃsu. Taṃ sandhāyimā gāthā vuttā, so panāyamattho aññatarabrahmasuttena dīpetabbo.
วิโมเกฺขน อผสฺสยีติ ฌานวิโมเกฺขน ผุสิฯ วนนฺติ ชมฺพุทีปํฯ ปุพฺพวิเทหานนฺติ ปุพฺพวิเทหานญฺจ ทีปํฯ เย จ ภูมิสยา นราติ ภูมิสยา นรา นาม อปรโคยานกา จ อุตฺตรกุรุกา จฯ เตปิ สเพฺพ ผุสีติ วุตฺตํ โหติฯ อยํ ปน อโตฺถ นโนฺทปนนฺททมเนน ทีเปตโพฺพฯ วตฺถุ วิสุทฺธิมเคฺค อิทฺธิกถาย วิตฺถาริตํฯ อปุญฺญํ ปสวีติ อปุญฺญํ ปฎิลภิฯ อาสํ มา อกาสิ ภิกฺขูสูติ ภิกฺขู วิเหเสมีติ เอตํ อาสํ มา อกาสิฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ
Vimokkhenaaphassayīti jhānavimokkhena phusi. Vananti jambudīpaṃ. Pubbavidehānanti pubbavidehānañca dīpaṃ. Ye ca bhūmisayā narāti bhūmisayā narā nāma aparagoyānakā ca uttarakurukā ca. Tepi sabbe phusīti vuttaṃ hoti. Ayaṃ pana attho nandopanandadamanena dīpetabbo. Vatthu visuddhimagge iddhikathāya vitthāritaṃ. Apuññaṃ pasavīti apuññaṃ paṭilabhi. Āsaṃ mā akāsi bhikkhūsūti bhikkhū vihesemīti etaṃ āsaṃ mā akāsi. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
มารตชฺชนียสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Māratajjanīyasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
ปญฺจมวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pañcamavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.
มูลปณฺณาสฎฺฐกถา นิฎฺฐิตาฯ
Mūlapaṇṇāsaṭṭhakathā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑๐. มารตชฺชนียสุตฺตํ • 10. Māratajjanīyasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑๐. มารตชฺชนียสุตฺตวณฺณนา • 10. Māratajjanīyasuttavaṇṇanā