Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๑๘] ๘. มตกภตฺตชาตกวณฺณนา
[18] 8. Matakabhattajātakavaṇṇanā
เอวํ เจ สตฺตา ชาเนยฺยุนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต มตกภตฺตํ อารพฺภ กเถสิฯ ตสฺมิญฺหิ กาเล มนุสฺสา พหู อเชฬกาทโย มาเรตฺวา กาลกเต ญาตเก อุทฺทิสฺส มตกภตฺตํ นาม เทนฺติฯ ภิกฺขู เต มนุเสฺส ตถา กโรเนฺต ทิสฺวา สตฺถารํ ปุจฺฉิํสุ ‘‘เอตรหิ, ภเนฺต, มนุสฺสา พหู ปาเณ ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา มตกภตฺตํ นาม เทนฺติฯ อตฺถิ นุ โข, ภเนฺต, เอตฺถ วุฑฺฒี’’ติ? สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, ‘มตกภตฺตํ ทสฺสามา’ติ กเตปิ ปาณาติปาเต กาจิ วุฑฺฒิ นาม อตฺถิ, ปุเพฺพ ปณฺฑิตา อากาเส นิสชฺช ธมฺมํ เทเสตฺวา เอตฺถ อาทีนวํ กเถตฺวา สกลชมฺพุทีปวาสิเก เอตํ กมฺมํ ชหาเปสุํฯ อิทานิ ปน ภวสเงฺขปคตตฺตา ปุน ปาตุภูต’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Evaṃ ce sattā jāneyyunti idaṃ satthā jetavane viharanto matakabhattaṃ ārabbha kathesi. Tasmiñhi kāle manussā bahū ajeḷakādayo māretvā kālakate ñātake uddissa matakabhattaṃ nāma denti. Bhikkhū te manusse tathā karonte disvā satthāraṃ pucchiṃsu ‘‘etarahi, bhante, manussā bahū pāṇe jīvitakkhayaṃ pāpetvā matakabhattaṃ nāma denti. Atthi nu kho, bhante, ettha vuḍḍhī’’ti? Satthā ‘‘na, bhikkhave, ‘matakabhattaṃ dassāmā’ti katepi pāṇātipāte kāci vuḍḍhi nāma atthi, pubbe paṇḍitā ākāse nisajja dhammaṃ desetvā ettha ādīnavaṃ kathetvā sakalajambudīpavāsike etaṃ kammaṃ jahāpesuṃ. Idāni pana bhavasaṅkhepagatattā puna pātubhūta’’nti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต เอโก ติณฺณํ เวทานํ ปารคู ทิสาปาโมโกฺข อาจริยพฺราหฺมโณ ‘‘มตกภตฺตํ ทสฺสามี’’ติ เอกํ เอฬกํ คาหาเปตฺวา อเนฺตวาสิเก อาห – ‘‘ตาตา, อิมํ เอฬกํ นทิํ เนตฺวา นฺหาเปตฺวา กเณฺฐ มาลํ ปริกฺขิปิตฺวา ปญฺจงฺคุลิกํ ทตฺวา มเณฺฑตฺวา อาเนถา’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา ตํ อาทาย นทิํ คนฺตฺวา นฺหาเปตฺวา มเณฺฑตฺวา นทีตีเร ฐเปสุํฯ โส เอฬโก อตฺตโน ปุพฺพกมฺมํ ทิสฺวา ‘‘เอวรูปา นาม ทุกฺขา อชฺช มุจฺจิสฺสามี’’ติ โสมนสฺสชาโต มตฺติกาฆฎํ ภินฺทโนฺต วิย มหาหสิตํ หสิตฺวา ปุน ‘‘อยํ พฺราหฺมโณ มํ ฆาเตตฺวา มยา ลทฺธทุกฺขํ ลภิสฺสตี’’ติ พฺราหฺมเณ การุญฺญํ อุปฺปาเทตฺวา มหเนฺตน สเทฺทน ปโรทิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente eko tiṇṇaṃ vedānaṃ pāragū disāpāmokkho ācariyabrāhmaṇo ‘‘matakabhattaṃ dassāmī’’ti ekaṃ eḷakaṃ gāhāpetvā antevāsike āha – ‘‘tātā, imaṃ eḷakaṃ nadiṃ netvā nhāpetvā kaṇṭhe mālaṃ parikkhipitvā pañcaṅgulikaṃ datvā maṇḍetvā ānethā’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā taṃ ādāya nadiṃ gantvā nhāpetvā maṇḍetvā nadītīre ṭhapesuṃ. So eḷako attano pubbakammaṃ disvā ‘‘evarūpā nāma dukkhā ajja muccissāmī’’ti somanassajāto mattikāghaṭaṃ bhindanto viya mahāhasitaṃ hasitvā puna ‘‘ayaṃ brāhmaṇo maṃ ghātetvā mayā laddhadukkhaṃ labhissatī’’ti brāhmaṇe kāruññaṃ uppādetvā mahantena saddena parodi.
อถ นํ เต มาณวา ปุจฺฉิํสุ ‘‘สมฺม เอฬก , ตฺวํ มหาสเทฺทน หสิ เจว โรทิ จ, เกน นุ โข การเณน หสิ, เกน การเณน ปโรที’’ติ? ‘‘ตุเมฺห มํ อิมํ การณํ อตฺตโน อาจริยสฺส สนฺติเก ปุเจฺฉยฺยาถา’’ติฯ เต ตํ อาทาย คนฺตฺวา อิทํ การณํ อาจริยสฺส อาโรเจสุํฯ อาจริโย เตสํ วจนํ สุตฺวา เอฬกํ ปุจฺฉิ ‘‘กสฺมา ตฺวํ เอฬก, หสิ, กสฺมา โรที’’ติ? เอฬโก อตฺตนา กตกมฺมํ ชาติสฺสรญาเณน อนุสฺสริตฺวา พฺราหฺมณสฺส กเถสิ ‘‘อหํ, พฺราหฺมณ, ปุเพฺพ ตาทิโสว มนฺตชฺฌายกพฺราหฺมโณ หุตฺวา ‘มตกภตฺตํ ทสฺสามี’ติ เอกํ เอฬกํ มาเรตฺวา มตกภตฺตํ อทาสิํ, สฺวาหํ เอกสฺส เอฬกสฺส ฆาติตตฺตา เอเกนูเนสุ ปญฺจสุ อตฺตภาวสเตสุ สีสเจฺฉทํ ปาปุณิํ, อยํ เม โกฎิยํ ฐิโต ปญฺจสติโม อตฺตภาโว, สฺวาหํ ‘อชฺช เอวรูปา ทุกฺขา มุจฺจิสฺสามี’ติ โสมนสฺสชาโต อิมินา การเณน หสิํฯ โรทโนฺต ปน ‘อหํ ตาว เอกํ เอฬกํ มาเรตฺวา ปญฺจ ชาติสตานิ สีสเจฺฉททุกฺขํ ปตฺวา อชฺช ตมฺหา ทุกฺขา มุจฺจิสฺสามิ, อยํ ปน พฺราหฺมโณ มํ มาเรตฺวา อหํ วิย ปญฺจ ชาติสตานิ สีสเจฺฉททุกฺขํ ลภิสฺสตี’ติ ตยิ การุเญฺญน โรทิ’’นฺติฯ ‘‘เอฬก, มา ภายิ, นาหํ ตํ มาเรสฺสามี’’ติฯ ‘‘พฺราหฺมณ, กิํ วเทสิ, ตยิ มาเรเนฺตปิ อมาเรเนฺตปิ น สกฺกา อชฺช มยา มรณา มุจฺจิตุ’’นฺติฯ ‘‘เอฬก, มา ภายิ, อหํ เต อารกฺขํ คเหตฺวา ตยา สทฺธิํเยว วิจริสฺสามี’’ติฯ ‘‘พฺราหฺมณ, อปฺปมตฺตโก ตว อารโกฺข, มยา กตปาปํ ปน มหนฺตํ พลว’’นฺติฯ
Atha naṃ te māṇavā pucchiṃsu ‘‘samma eḷaka , tvaṃ mahāsaddena hasi ceva rodi ca, kena nu kho kāraṇena hasi, kena kāraṇena parodī’’ti? ‘‘Tumhe maṃ imaṃ kāraṇaṃ attano ācariyassa santike puccheyyāthā’’ti. Te taṃ ādāya gantvā idaṃ kāraṇaṃ ācariyassa ārocesuṃ. Ācariyo tesaṃ vacanaṃ sutvā eḷakaṃ pucchi ‘‘kasmā tvaṃ eḷaka, hasi, kasmā rodī’’ti? Eḷako attanā katakammaṃ jātissarañāṇena anussaritvā brāhmaṇassa kathesi ‘‘ahaṃ, brāhmaṇa, pubbe tādisova mantajjhāyakabrāhmaṇo hutvā ‘matakabhattaṃ dassāmī’ti ekaṃ eḷakaṃ māretvā matakabhattaṃ adāsiṃ, svāhaṃ ekassa eḷakassa ghātitattā ekenūnesu pañcasu attabhāvasatesu sīsacchedaṃ pāpuṇiṃ, ayaṃ me koṭiyaṃ ṭhito pañcasatimo attabhāvo, svāhaṃ ‘ajja evarūpā dukkhā muccissāmī’ti somanassajāto iminā kāraṇena hasiṃ. Rodanto pana ‘ahaṃ tāva ekaṃ eḷakaṃ māretvā pañca jātisatāni sīsacchedadukkhaṃ patvā ajja tamhā dukkhā muccissāmi, ayaṃ pana brāhmaṇo maṃ māretvā ahaṃ viya pañca jātisatāni sīsacchedadukkhaṃ labhissatī’ti tayi kāruññena rodi’’nti. ‘‘Eḷaka, mā bhāyi, nāhaṃ taṃ māressāmī’’ti. ‘‘Brāhmaṇa, kiṃ vadesi, tayi mārentepi amārentepi na sakkā ajja mayā maraṇā muccitu’’nti. ‘‘Eḷaka, mā bhāyi, ahaṃ te ārakkhaṃ gahetvā tayā saddhiṃyeva vicarissāmī’’ti. ‘‘Brāhmaṇa, appamattako tava ārakkho, mayā katapāpaṃ pana mahantaṃ balava’’nti.
พฺราหฺมโณ เอฬกํ มุญฺจิตฺวา ‘‘อิมํ เอฬกํ กสฺสจิปิ มาเรตุํ น ทสฺสามี’’ติ อเนฺตวาสิเก อาทาย เอฬเกเนว สทฺธิํ วิจริฯ เอฬโก วิสฺสฎฺฐมโตฺตว เอกํ ปาสาณปิฎฺฐิํ นิสฺสาย ชาตคุเมฺพ คีวํ อุกฺขิปิตฺวา ปณฺณานิ ขาทิตุํ อารโทฺธฯ ตงฺขณเญฺญว ตสฺมิํ ปาสาณปิเฎฺฐ อสนิ ปติ, ตโต เอกา ปาสาณสกลิกา ฉิชฺชิตฺวา เอฬกสฺส ปสาริตคีวาย ปติตฺวา สีสํ ฉินฺทิ, มหาชโน สนฺนิปติฯ ตทา โพธิสโตฺต ตสฺมิํ ฐาเน รุกฺขเทวตา หุตฺวา นิพฺพโตฺตฯ โส ปสฺสนฺตเสฺสว ตสฺส มหาชนสฺส เทวตานุภาเวน อากาเส ปลฺลเงฺกน นิสีทิตฺวา ‘‘อิเม สตฺตา เอวํ ปาปสฺส ผลํ ชานมานา อเปฺปวนาม ปาณาติปาตํ น กเรยฺยุ’’นฺติ มธุรสฺสเรน ธมฺมํ เทเสโนฺต อิมํ คาถมาห –
Brāhmaṇo eḷakaṃ muñcitvā ‘‘imaṃ eḷakaṃ kassacipi māretuṃ na dassāmī’’ti antevāsike ādāya eḷakeneva saddhiṃ vicari. Eḷako vissaṭṭhamattova ekaṃ pāsāṇapiṭṭhiṃ nissāya jātagumbe gīvaṃ ukkhipitvā paṇṇāni khādituṃ āraddho. Taṅkhaṇaññeva tasmiṃ pāsāṇapiṭṭhe asani pati, tato ekā pāsāṇasakalikā chijjitvā eḷakassa pasāritagīvāya patitvā sīsaṃ chindi, mahājano sannipati. Tadā bodhisatto tasmiṃ ṭhāne rukkhadevatā hutvā nibbatto. So passantasseva tassa mahājanassa devatānubhāvena ākāse pallaṅkena nisīditvā ‘‘ime sattā evaṃ pāpassa phalaṃ jānamānā appevanāma pāṇātipātaṃ na kareyyu’’nti madhurassarena dhammaṃ desento imaṃ gāthamāha –
๑๘.
18.
‘‘เอวํ เจ สตฺตา ชาเนยฺยุํ, ทุกฺขายํ ชาติสมฺภโว;
‘‘Evaṃ ce sattā jāneyyuṃ, dukkhāyaṃ jātisambhavo;
น ปาโณ ปาณินํ หเญฺญ, ปาณฆาตี หิ โสจตี’’ติฯ
Na pāṇo pāṇinaṃ haññe, pāṇaghātī hi socatī’’ti.
ตตฺถ เอวํ เจ สตฺตา ชาเนยฺยุนฺติ อิเม สตฺตา เอวํ เจ ชาเนยฺยุํฯ กถํ? ทุกฺขายํ ชาติสมฺภโวติ อยํ ตตฺถ ตตฺถ ชาติ จ ชาตสฺส อนุกฺกเมน วฑฺฒิสงฺขาโต สมฺภโว จ ชราพฺยาธิมรณอปฺปิยสมฺปโยคปิยวิปฺปโยคหตฺถปาทเจฺฉทาทีนํ ทุกฺขานํ วตฺถุภูตตฺตา ‘‘ทุโกฺข’’ติ ยทิ ชาเนยฺยุํฯ น ปาโณ ปาณินํ หเญฺญติ ‘‘ปรํ วธโนฺต ชาติสมฺภเว วธํ ลภติ, ปีเฬโนฺต ปีฬํ ลภตี’’ติ ชาติสมฺภวสฺส ทุกฺขวตฺถุตาย ทุกฺขภาวํ ชานโนฺต โกจิ ปาโณ อญฺญํ ปาณินํ น หเญฺญ, สโตฺต สตฺตํ น หเนยฺยาติ อโตฺถฯ กิํการณา? ปาณฆาตี หิ โสจตีติ, ยสฺมา สาหตฺถิกาทีสุ ฉสุ ปโยเคสุ เยน เกนจิ ปโยเคน ปรสฺส ชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉทเนน ปาณฆาตี ปุคฺคโล อฎฺฐสุ มหานิรเยสุ โสฬสสุ อุสฺสทนิรเยสุ นานปฺปการาย ติรจฺฉานโยนิยา เปตฺติวิสเย อสุรกาเยติ อิเมสุ จตูสุ อปาเยสุ มหาทุกฺขํ อนุภวมาโน ทีฆรตฺตํ อโนฺตนิชฺฌายนลกฺขเณน โสเกน โสจติฯ ยถา วายํ เอฬโก มรณภเยน โสจติ, เอวํ ทีฆรตฺตํ โสจตีติปิ ญตฺวา น ปาโณ ปาณินํ หเญฺญ, โกจิ ปาณาติปาตกมฺมํ นาม น กเรยฺยฯ โมเหน ปน มูฬฺหา อวิชฺชาย อนฺธีกตา อิมํ อาทีนวํ อปสฺสนฺตา ปาณาติปาตํ กโรนฺตีติฯ
Tattha evaṃ ce sattā jāneyyunti ime sattā evaṃ ce jāneyyuṃ. Kathaṃ? Dukkhāyaṃ jātisambhavoti ayaṃ tattha tattha jāti ca jātassa anukkamena vaḍḍhisaṅkhāto sambhavo ca jarābyādhimaraṇaappiyasampayogapiyavippayogahatthapādacchedādīnaṃ dukkhānaṃ vatthubhūtattā ‘‘dukkho’’ti yadi jāneyyuṃ. Na pāṇo pāṇinaṃ haññeti ‘‘paraṃ vadhanto jātisambhave vadhaṃ labhati, pīḷento pīḷaṃ labhatī’’ti jātisambhavassa dukkhavatthutāya dukkhabhāvaṃ jānanto koci pāṇo aññaṃ pāṇinaṃ na haññe, satto sattaṃ na haneyyāti attho. Kiṃkāraṇā? Pāṇaghātī hi socatīti, yasmā sāhatthikādīsu chasu payogesu yena kenaci payogena parassa jīvitindriyupacchedanena pāṇaghātī puggalo aṭṭhasu mahānirayesu soḷasasu ussadanirayesu nānappakārāya tiracchānayoniyā pettivisaye asurakāyeti imesu catūsu apāyesu mahādukkhaṃ anubhavamāno dīgharattaṃ antonijjhāyanalakkhaṇena sokena socati. Yathā vāyaṃ eḷako maraṇabhayena socati, evaṃ dīgharattaṃ socatītipi ñatvā na pāṇo pāṇinaṃ haññe, koci pāṇātipātakammaṃ nāma na kareyya. Mohena pana mūḷhā avijjāya andhīkatā imaṃ ādīnavaṃ apassantā pāṇātipātaṃ karontīti.
เอวํ มหาสโตฺต นิรยภเยน ตเชฺชตฺวา ธมฺมํ เทเสสิฯ มนุสฺสา ตํ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา นิรยภยภีตา ปาณาติปาตา วิรมิํสุฯ โพธิสโตฺตปิ ธมฺมํ เทเสตฺวา มหาชนํ สีเล ปติฎฺฐาเปตฺวา ยถากมฺมํ คโต, มหาชโนปิ โพธิสตฺตสฺส โอวาเท ฐตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา เทวนครํ ปูเรสิฯ สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ ‘‘อหํ เตน สมเยน รุกฺขเทวตา อโหสิ’’นฺติฯ
Evaṃ mahāsatto nirayabhayena tajjetvā dhammaṃ desesi. Manussā taṃ dhammadesanaṃ sutvā nirayabhayabhītā pāṇātipātā viramiṃsu. Bodhisattopi dhammaṃ desetvā mahājanaṃ sīle patiṭṭhāpetvā yathākammaṃ gato, mahājanopi bodhisattassa ovāde ṭhatvā dānādīni puññāni katvā devanagaraṃ pūresi. Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi ‘‘ahaṃ tena samayena rukkhadevatā ahosi’’nti.
มตกภตฺตชาตกวณฺณนา อฎฺฐมาฯ
Matakabhattajātakavaṇṇanā aṭṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๘. มตกภตฺตชาตกํ • 18. Matakabhattajātakaṃ