Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā

    ๗. มาตงฺคจริยาวณฺณนา

    7. Mātaṅgacariyāvaṇṇanā

    ๖๐. สตฺตเม ชฎิโลติ ชฎาวโนฺต, ชฎาพนฺธเกโสติ อโตฺถฯ อุคฺคตาปโนติ มนจฺฉฎฺฐานํ อินฺทฺริยานํ ตาปนโต นิคฺคณฺหนโต ตปสงฺขาตํ อุคฺคตาปนํ เอตสฺสาติ อุคฺคตาปโน, โฆรตโป ปรมธิตินฺทฺริโยติ อโตฺถฯ อถ วา นานปฺปกาเร ทิฎฺฐธมฺมิกาทิเภเท อนเตฺถ อุคฺคิรณโต พหิ ฉฑฺฑาปนโต โฆรภีมภยานกเฎฺฐน วา ‘‘อุคฺคา’’ติ ลทฺธนาเม กิเลเส วีริยาตเปน สนฺตาปนโต อุเคฺค ตาเปตีติ อุคฺคตาปโนฯ มาตโงฺค นาม นาเมนาติ นาเมน มาตโงฺค นามฯ มาตงฺคกุเล นิพฺพตฺติยา ชาติยา อาคตํ หิสฺส เอตํ นามํฯ สีลวาติ สีลสมฺปโนฺน สุปริสุทฺธสีโลฯ สุสมาหิโตติ อุปจารปฺปนาสมาธีหิ สุฎฺฐุ สมาหิโต, ฌานสมาปตฺติลาภีติ อโตฺถฯ

    60. Sattame jaṭiloti jaṭāvanto, jaṭābandhakesoti attho. Uggatāpanoti manacchaṭṭhānaṃ indriyānaṃ tāpanato niggaṇhanato tapasaṅkhātaṃ uggatāpanaṃ etassāti uggatāpano, ghoratapo paramadhitindriyoti attho. Atha vā nānappakāre diṭṭhadhammikādibhede anatthe uggiraṇato bahi chaḍḍāpanato ghorabhīmabhayānakaṭṭhena vā ‘‘uggā’’ti laddhanāme kilese vīriyātapena santāpanato ugge tāpetīti uggatāpano. Mātaṅgo nāma nāmenāti nāmena mātaṅgo nāma. Mātaṅgakule nibbattiyā jātiyā āgataṃ hissa etaṃ nāmaṃ. Sīlavāti sīlasampanno suparisuddhasīlo. Susamāhitoti upacārappanāsamādhīhi suṭṭhu samāhito, jhānasamāpattilābhīti attho.

    ตทา หิ โพธิสโตฺต จณฺฑาลโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา รูเปน ทุทฺทสิโก พหินคเร จณฺฑาลคาเม วสติฯ ‘‘มาตงฺคปณฺฑิโต’’ติ ปกาสนาโมฯ อเถกทิวสํ ตสฺมิํ นคเร นกฺขเตฺต โฆสิเต เยภุเยฺยน นาครา นกฺขตฺตํ กีฬนฺติฯ อญฺญตราปิ พฺราหฺมณมหาสาลกญฺญา โสฬสปนฺนรสวสฺสุเทฺทสิกา เทวกญฺญา วิย รูเปน ทสฺสนียา ปาสาทิกา ‘‘อตฺตโน วิภวานุรูปํ นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามี’’ติ ปหูตขชฺชโภชฺชาทีนิ สกเฎสุ อาโรเปตฺวา สพฺพเสตํ วฬวารถมารุยฺห มหตา ปริวาเรน อุยฺยานภูมิํ คจฺฉติฯ ทิฎฺฐมงฺคลิกา นาเมสา, สา กิร ทุสฺสณฺฐิตํ รูปํ ‘‘อวมงฺคล’’นฺติ ตํ ทฎฺฐุํ น อิจฺฉติ, เตนสฺสา ‘‘ทิฎฺฐมงฺคลิกา’’เตฺวว สมญฺญา อุทปาทิฯ

    Tadā hi bodhisatto caṇḍālayoniyaṃ nibbattitvā rūpena duddasiko bahinagare caṇḍālagāme vasati. ‘‘Mātaṅgapaṇḍito’’ti pakāsanāmo. Athekadivasaṃ tasmiṃ nagare nakkhatte ghosite yebhuyyena nāgarā nakkhattaṃ kīḷanti. Aññatarāpi brāhmaṇamahāsālakaññā soḷasapannarasavassuddesikā devakaññā viya rūpena dassanīyā pāsādikā ‘‘attano vibhavānurūpaṃ nakkhattaṃ kīḷissāmī’’ti pahūtakhajjabhojjādīni sakaṭesu āropetvā sabbasetaṃ vaḷavārathamāruyha mahatā parivārena uyyānabhūmiṃ gacchati. Diṭṭhamaṅgalikā nāmesā, sā kira dussaṇṭhitaṃ rūpaṃ ‘‘avamaṅgala’’nti taṃ daṭṭhuṃ na icchati, tenassā ‘‘diṭṭhamaṅgalikā’’tveva samaññā udapādi.

    ตทา โพธิสโตฺต กาลเสฺสว อุฎฺฐาย ปฎปิโลติกํ นิวาเสตฺวา ชชฺชริตมุขภาคํ เวณุทณฺฑํ คเหตฺวา ภาชนหโตฺถ นครํ ปวิสติ มนุเสฺส ทิสฺวา ทูรโตว เตสํ ทูรีกรณตฺถํ เตน เวณุทเณฺฑน สญฺญํ กโรโนฺตฯ อถ ทิฎฺฐมงฺคลิกา ‘‘อุสฺสรถ อุสฺสรถา’’ติ อุสฺสารณํ กโรเนฺตหิ อตฺตโน ปุริเสหิ นียมานา นครทฺวารมเชฺฌ มาตงฺคํ ทิสฺวา ‘‘โก เอโส’’ติ อาหฯ ‘‘อเยฺย, มาตงฺคจณฺฑาโล’’ติ จ วุเตฺต ‘‘อีทิสํ ทิสฺวา คตานํ กุโต วุฑฺฒี’’ติ ยานํ นิวตฺตาเปสิฯ มนุสฺสา ‘‘ยํ มยํ อุยฺยานํ คนฺตฺวา พหุํ ขชฺชโภชฺชาทิํ ลเภยฺยาม, ตสฺส โน มาตเงฺคน อนฺตราโย กโต’’ติ กุปิตา ‘‘คณฺหถ, จณฺฑาล’’นฺติ เลฑฺฑูหิ ปหริตฺวา วิสญฺญีภูตํ ปาเตตฺวา อคมํสุฯ

    Tadā bodhisatto kālasseva uṭṭhāya paṭapilotikaṃ nivāsetvā jajjaritamukhabhāgaṃ veṇudaṇḍaṃ gahetvā bhājanahattho nagaraṃ pavisati manusse disvā dūratova tesaṃ dūrīkaraṇatthaṃ tena veṇudaṇḍena saññaṃ karonto. Atha diṭṭhamaṅgalikā ‘‘ussaratha ussarathā’’ti ussāraṇaṃ karontehi attano purisehi nīyamānā nagaradvāramajjhe mātaṅgaṃ disvā ‘‘ko eso’’ti āha. ‘‘Ayye, mātaṅgacaṇḍālo’’ti ca vutte ‘‘īdisaṃ disvā gatānaṃ kuto vuḍḍhī’’ti yānaṃ nivattāpesi. Manussā ‘‘yaṃ mayaṃ uyyānaṃ gantvā bahuṃ khajjabhojjādiṃ labheyyāma, tassa no mātaṅgena antarāyo kato’’ti kupitā ‘‘gaṇhatha, caṇḍāla’’nti leḍḍūhi paharitvā visaññībhūtaṃ pātetvā agamaṃsu.

    โส น จิเรเนว สติํ ปฎิลภิตฺวา วุฎฺฐาย มนุเสฺส ปุจฺฉิ – ‘‘กิํ, อยฺยา, ทฺวารํ นาม สพฺพสาธารณํ, อุทาหุ พฺราหฺมณานํ เอว กต’’นฺติ? ‘‘สเพฺพสํ สาธารณ’’นฺติฯ ‘‘เอวํ สพฺพสาธารณทฺวาเร เอกมนฺตํ อปกฺกมนฺตํ มํ ทิฎฺฐมงฺคลิกาย มนุสฺสา อิมํ อนยพฺยสนํ ปาเปสุ’’นฺติ รถิกาย มนุสฺสานํ อาโรเจตฺวา ‘‘หนฺทาหํ อิมิสฺสา มานํ ภินฺทิสฺสามี’’ติ ตสฺสา นิเวสนทฺวารํ คนฺตฺวา ‘‘อหํ ทิฎฺฐมงฺคลิกํ อลทฺธา น วุฎฺฐหิสฺสามี’’ติ นิปชฺชิฯ ทิฎฺฐมงฺคลิกาย ปิตา ‘‘ฆรทฺวาเร มาตโงฺค นิปโนฺน’’ติ สุตฺวา ‘‘ตสฺส กากณิกํ เทถ, เตเลน สรีรํ มเกฺขตฺวา คจฺฉตู’’ติ อาหฯ โส ‘‘ทิฎฺฐมงฺคลิกํ อลทฺธา น อุฎฺฐหิสฺสามิ’’เจฺจว อาหฯ ตโต พฺราหฺมเณน – ‘‘เทฺว กากณิเก เทถ, มาสกํ ปาทํ กหาปณํ เทฺว ตีณิ ยาว กหาปณสตํ กหาปณสหสฺสํ เทถา’’ติ วุเตฺตปิ น สมฺปฎิจฺฉติ เอวฯ เอวํ เตสํ มเนฺตนฺตานํ เอว สูริโย อตฺถงฺคโตฯ

    So na cireneva satiṃ paṭilabhitvā vuṭṭhāya manusse pucchi – ‘‘kiṃ, ayyā, dvāraṃ nāma sabbasādhāraṇaṃ, udāhu brāhmaṇānaṃ eva kata’’nti? ‘‘Sabbesaṃ sādhāraṇa’’nti. ‘‘Evaṃ sabbasādhāraṇadvāre ekamantaṃ apakkamantaṃ maṃ diṭṭhamaṅgalikāya manussā imaṃ anayabyasanaṃ pāpesu’’nti rathikāya manussānaṃ ārocetvā ‘‘handāhaṃ imissā mānaṃ bhindissāmī’’ti tassā nivesanadvāraṃ gantvā ‘‘ahaṃ diṭṭhamaṅgalikaṃ aladdhā na vuṭṭhahissāmī’’ti nipajji. Diṭṭhamaṅgalikāya pitā ‘‘gharadvāre mātaṅgo nipanno’’ti sutvā ‘‘tassa kākaṇikaṃ detha, telena sarīraṃ makkhetvā gacchatū’’ti āha. So ‘‘diṭṭhamaṅgalikaṃ aladdhā na uṭṭhahissāmi’’cceva āha. Tato brāhmaṇena – ‘‘dve kākaṇike detha, māsakaṃ pādaṃ kahāpaṇaṃ dve tīṇi yāva kahāpaṇasataṃ kahāpaṇasahassaṃ dethā’’ti vuttepi na sampaṭicchati eva. Evaṃ tesaṃ mantentānaṃ eva sūriyo atthaṅgato.

    อถ ทิฎฺฐมงฺคลิกาย มาตา ปาสาทา โอรุยฺห สาณิปาการํ ปริกฺขิปาเปตฺวา ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ตาต, มาตงฺค , ทิฎฺฐมงฺคลิกาย อปราธํ ขม, เทฺว สหสฺสานิ คณฺหาหิ ยาว สตสหสฺสํ คณฺหาหี’’ติ วุเตฺตปิ น สมฺปฎิจฺฉิ, นิปชฺชิ เอวฯ ตเสฺสวํ ฉ ทิวเส นิปชฺชิตฺวา สตฺตเม ทิวเส สมฺปเตฺต สมนฺตา สามนฺตฆรา ปฎิวิสกฆรา จ มนุสฺสา อุฎฺฐหิตฺวา ‘‘ตุเมฺห มาตงฺคํ วา อุฎฺฐาเปถ, ทาริกํ วา เทถ, มา อเมฺห นาสยิตฺถา’’ติ อาหํสุฯ ตทา กิร อยํ ตสฺมิํ เทเส เทสธโมฺม ‘‘ยสฺส ฆรทฺวาเร เอวํ นิปชฺชิตฺวา จณฺฑาโล มรติ, เตน ฆเรน สทฺธิํ สตฺตสตฺตฆรวาสิโน จณฺฑาลา โหนฺตี’’ติฯ

    Atha diṭṭhamaṅgalikāya mātā pāsādā oruyha sāṇipākāraṃ parikkhipāpetvā tassa santikaṃ gantvā ‘‘tāta, mātaṅga , diṭṭhamaṅgalikāya aparādhaṃ khama, dve sahassāni gaṇhāhi yāva satasahassaṃ gaṇhāhī’’ti vuttepi na sampaṭicchi, nipajji eva. Tassevaṃ cha divase nipajjitvā sattame divase sampatte samantā sāmantagharā paṭivisakagharā ca manussā uṭṭhahitvā ‘‘tumhe mātaṅgaṃ vā uṭṭhāpetha, dārikaṃ vā detha, mā amhe nāsayitthā’’ti āhaṃsu. Tadā kira ayaṃ tasmiṃ dese desadhammo ‘‘yassa gharadvāre evaṃ nipajjitvā caṇḍālo marati, tena gharena saddhiṃ sattasattagharavāsino caṇḍālā hontī’’ti.

    ตโต ทิฎฺฐมงฺคลิกาย มาตาปิตโร ทิฎฺฐมงฺคลิกํ ปฎปิโลติกํ นิวาสาเปตฺวา จณฺฑาลานุจฺฉวิกํ ปริกฺขารํ ทตฺวา ปริเทวมานํ เอว ตสฺส สนฺติกํ เนตฺวา ‘‘หนฺท, ทานิ ทาริกํ อุฎฺฐาย คณฺหาหี’’ติ อทํสุฯ สา ปเสฺส ฐตฺวา ‘‘อุฎฺฐาหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘อหํ อติวิย กิลโนฺต, หเตฺถ คเหตฺวา มํ อุฎฺฐาเปหี’’ติ อาหฯ สา ตถา อกาสิฯ มาตโงฺค ‘‘มยํ อโนฺตนคเร วสิตุํ น ลภาม, เอหิ, พหินคเร จณฺฑาลคามํ คมิสฺสามา’’ติ ตํ อปสฺสาย อตฺตโน เคหํ อคมาสิฯ ‘‘ตสฺสา ปิฎฺฐิํ อภิรุหิตฺวา’’ติ ชาตกภาณกา วทนฺติฯ

    Tato diṭṭhamaṅgalikāya mātāpitaro diṭṭhamaṅgalikaṃ paṭapilotikaṃ nivāsāpetvā caṇḍālānucchavikaṃ parikkhāraṃ datvā paridevamānaṃ eva tassa santikaṃ netvā ‘‘handa, dāni dārikaṃ uṭṭhāya gaṇhāhī’’ti adaṃsu. Sā passe ṭhatvā ‘‘uṭṭhāhī’’ti āha. So ‘‘ahaṃ ativiya kilanto, hatthe gahetvā maṃ uṭṭhāpehī’’ti āha. Sā tathā akāsi. Mātaṅgo ‘‘mayaṃ antonagare vasituṃ na labhāma, ehi, bahinagare caṇḍālagāmaṃ gamissāmā’’ti taṃ apassāya attano gehaṃ agamāsi. ‘‘Tassā piṭṭhiṃ abhiruhitvā’’ti jātakabhāṇakā vadanti.

    เอวํ ปน เคหํ คนฺตฺวา ชาติสเมฺภทวีติกฺกมํ อกตฺวาว กติปาหํ เคเห วสิตฺวา พลํ คเหตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ อิมํ พฺราหฺมณมหาสาลกญฺญํ มยฺหํ จณฺฑาลเคเห วาสาเปสิํ, หนฺท, ทานิ ตํ ลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺตํ กริสฺสามี’’ติฯ โส อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ปพฺพชิตฺวา สตฺตาหพฺภนฺตเรเยว อฎฺฐ สมาปตฺติโย ปญฺจาภิญฺญาโย นิพฺพเตฺตตฺวา อิทฺธิยา จณฺฑาลคามทฺวาเร โอตริตฺวา เคหทฺวาเร ฐิโต ทิฎฺฐมงฺคลิกํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สามิ, กิสฺส มํ อนาถํ กตฺวา ปพฺพชิโตสี’’ติ ปริเทวมานํ ‘‘ตฺวํ, ภเทฺท, มา จินฺตยิ, ตว โปราณกยสโต อิทานิ มหนฺตตรํ ยสํ กริสฺสามิ, ตฺวํ ปน ‘มหาพฺรหฺมา เม สามิโก , น มาตโงฺค, โส พฺรหฺมโลกํ คโต, อิโต สตฺตเม ทิวเส ปุณฺณมาย จนฺทมณฺฑลํ ภินฺทิตฺวา อาคมิสฺสตี’ติ ปริสาสุ วเทยฺยาสี’’ติ วตฺวา หิมวนฺตเมว คโตฯ

    Evaṃ pana gehaṃ gantvā jātisambhedavītikkamaṃ akatvāva katipāhaṃ gehe vasitvā balaṃ gahetvā cintesi – ‘‘ahaṃ imaṃ brāhmaṇamahāsālakaññaṃ mayhaṃ caṇḍālagehe vāsāpesiṃ, handa, dāni taṃ lābhaggayasaggappattaṃ karissāmī’’ti. So araññaṃ pavisitvā pabbajitvā sattāhabbhantareyeva aṭṭha samāpattiyo pañcābhiññāyo nibbattetvā iddhiyā caṇḍālagāmadvāre otaritvā gehadvāre ṭhito diṭṭhamaṅgalikaṃ pakkosāpetvā ‘‘sāmi, kissa maṃ anāthaṃ katvā pabbajitosī’’ti paridevamānaṃ ‘‘tvaṃ, bhadde, mā cintayi, tava porāṇakayasato idāni mahantataraṃ yasaṃ karissāmi, tvaṃ pana ‘mahābrahmā me sāmiko , na mātaṅgo, so brahmalokaṃ gato, ito sattame divase puṇṇamāya candamaṇḍalaṃ bhinditvā āgamissatī’ti parisāsu vadeyyāsī’’ti vatvā himavantameva gato.

    ทิฎฺฐมงฺคลิกาปิ พาราณสิยํ มหาชนมเชฺฌ เตสุ เตสุ ฐาเนสุ ตถา กเถสิฯ อถ ปุณฺณมทิวเส โพธิสโตฺต จนฺทมณฺฑลสฺส คคนมเชฺฌ ฐิตกาเล พฺรหฺมตฺตภาวํ มาเปตฺวา จนฺทมณฺฑลํ ภินฺทิตฺวา ทฺวาทสโยชนิกํ พาราณสิํ สกลํ กาสิรฎฺฐญฺจ เอโกภาสํ กตฺวา อากาสโต โอตริตฺวา พาราณสิยา อุปริ ติกฺขตฺตุํ ปริพฺภมิตฺวา มหาชเนน คนฺธมาลาทีหิ ปูชิยมาโน จณฺฑาลคามาภิมุโข อโหสิฯ พฺรหฺมภตฺตา สนฺนิปติตฺวา ตํ จณฺฑาลคามกํ คนฺตฺวา ทิฎฺฐมงฺคลิกาย เคหํ สุทฺธวตฺถคนฺธมาลาทีหิ เทววิมานํ วิย อลงฺกริํสุฯ ทิฎฺฐมงฺคลิกา จ ตทา อุตุนี โหติฯ มหาสโตฺต ตตฺถ คนฺตฺวา ทิฎฺฐมงฺคลิกํ องฺคุเฎฺฐน นาภิยํ ปรามสิตฺวา ‘‘ภเทฺท, คโพฺภ เต ปติฎฺฐิโต, ตฺวํ ปุตฺตํ วิชายิสฺสสิ, ตฺวมฺปิ ปุโตฺตปิ เต ลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺตา ภวิสฺสถ, ตว สีสโธวนอุทกํ สกลชมฺพุทีเป ราชูนํ อภิเสโกทกํ ภวิสฺสติ, นฺหาโนทกํ ปน เต อมโตทกํ ภวิสฺสติ, เย นํ สีเส อาสิญฺจิสฺสนฺติ, เต สพฺพโรเคหิ มุจฺจิสฺสนฺติ, กาฬกณฺณิยา จ ปริมุจฺจิสฺสนฺติ, ตว ปาทปิเฎฺฐ สีสํ ฐเปตฺวา วนฺทนฺตา สหสฺสํ ทสฺสนฺติ, กถาสวนฎฺฐาเน ฐตฺวา วนฺทนฺตา สตํ ทสฺสนฺติ, จกฺขุปเถ ฐตฺวา วนฺทนฺตา เอเกกํ กหาปณํ ทตฺวา วนฺทิสฺสนฺติ, อปฺปมตฺตา โหหี’’ติ ตํ โอวทิตฺวา เคหา นิกฺขมฺม มหาชนสฺส ปสฺสนฺตเสฺสว จนฺทมณฺฑลํ ปาวิสิฯ

    Diṭṭhamaṅgalikāpi bārāṇasiyaṃ mahājanamajjhe tesu tesu ṭhānesu tathā kathesi. Atha puṇṇamadivase bodhisatto candamaṇḍalassa gaganamajjhe ṭhitakāle brahmattabhāvaṃ māpetvā candamaṇḍalaṃ bhinditvā dvādasayojanikaṃ bārāṇasiṃ sakalaṃ kāsiraṭṭhañca ekobhāsaṃ katvā ākāsato otaritvā bārāṇasiyā upari tikkhattuṃ paribbhamitvā mahājanena gandhamālādīhi pūjiyamāno caṇḍālagāmābhimukho ahosi. Brahmabhattā sannipatitvā taṃ caṇḍālagāmakaṃ gantvā diṭṭhamaṅgalikāya gehaṃ suddhavatthagandhamālādīhi devavimānaṃ viya alaṅkariṃsu. Diṭṭhamaṅgalikā ca tadā utunī hoti. Mahāsatto tattha gantvā diṭṭhamaṅgalikaṃ aṅguṭṭhena nābhiyaṃ parāmasitvā ‘‘bhadde, gabbho te patiṭṭhito, tvaṃ puttaṃ vijāyissasi, tvampi puttopi te lābhaggayasaggappattā bhavissatha, tava sīsadhovanaudakaṃ sakalajambudīpe rājūnaṃ abhisekodakaṃ bhavissati, nhānodakaṃ pana te amatodakaṃ bhavissati, ye naṃ sīse āsiñcissanti, te sabbarogehi muccissanti, kāḷakaṇṇiyā ca parimuccissanti, tava pādapiṭṭhe sīsaṃ ṭhapetvā vandantā sahassaṃ dassanti, kathāsavanaṭṭhāne ṭhatvā vandantā sataṃ dassanti, cakkhupathe ṭhatvā vandantā ekekaṃ kahāpaṇaṃ datvā vandissanti, appamattā hohī’’ti taṃ ovaditvā gehā nikkhamma mahājanassa passantasseva candamaṇḍalaṃ pāvisi.

    พฺรหฺมภตฺตา สนฺนิปติตฺวา ทิฎฺฐมงฺคลิกํ มหเนฺตน สกฺกาเรน นครํ ปเวเสตฺวา มหเนฺตน สิริโสภเคฺคน ตตฺถ วสาเปสุํฯ เทววิมานสทิสญฺจสฺสา นิเวสนํ กาเรสุํฯ ตตฺถ เนตฺวา อุฬารํ ลาภสกฺการํ อุปนาเมสุํฯ ปุตฺตลาภาทิ สโพฺพ โพธิสเตฺตน วุตฺตสทิโสว อโหสิฯ โสฬสสหสฺสา พฺราหฺมณา ทิฎฺฐมงฺคลิกาย ปุเตฺตน สห นิพทฺธํ ภุญฺชนฺติ, สหสฺสมตฺตา นํ ปริวาเรนฺติ, อเนกสหสฺสานํ ทานํ ทียติฯ อถ มหาสโตฺต ‘‘อยํ อฎฺฐาเน อภิปฺปสโนฺน, หนฺทสฺส ทกฺขิเณเยฺย ชานาเปสฺสามี’’ติ ภิกฺขาย จรโนฺต ตสฺสา เคหํ คนฺตฺวา เตน สทฺธิํ สลฺลปิตฺวา อคมาสิฯ อถ กุมาโร คาถมาห –

    Brahmabhattā sannipatitvā diṭṭhamaṅgalikaṃ mahantena sakkārena nagaraṃ pavesetvā mahantena sirisobhaggena tattha vasāpesuṃ. Devavimānasadisañcassā nivesanaṃ kāresuṃ. Tattha netvā uḷāraṃ lābhasakkāraṃ upanāmesuṃ. Puttalābhādi sabbo bodhisattena vuttasadisova ahosi. Soḷasasahassā brāhmaṇā diṭṭhamaṅgalikāya puttena saha nibaddhaṃ bhuñjanti, sahassamattā naṃ parivārenti, anekasahassānaṃ dānaṃ dīyati. Atha mahāsatto ‘‘ayaṃ aṭṭhāne abhippasanno, handassa dakkhiṇeyye jānāpessāmī’’ti bhikkhāya caranto tassā gehaṃ gantvā tena saddhiṃ sallapitvā agamāsi. Atha kumāro gāthamāha –

    ‘‘กุโต นุ อาคจฺฉสิ ทุมฺมวาสี, โอตลฺลโก ปํสุปิสาจโกว;

    ‘‘Kuto nu āgacchasi dummavāsī, otallako paṃsupisācakova;

    สงฺการโจฬํ ปฎิมุญฺจ กเณฺฐ, โก เร ตุวํ โหสิ อทกฺขิเณโยฺย’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๑);

    Saṅkāracoḷaṃ paṭimuñca kaṇṭhe, ko re tuvaṃ hosi adakkhiṇeyyo’’ti. (jā. 1.15.1);

    เตน วุตฺตํ อนาจารํ อสหมานา เทวตา ตสฺส เตสญฺจ โสฬสสหสฺสานํ พฺราหฺมณานํ มุขํ วิปริวเตฺตสุํฯ ตํ ทิสฺวา ทิฎฺฐมงฺคลิกา มหาสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ โพธิสโตฺต ‘‘ตสฺส อนาจารํ อสหเนฺตหิ ยเกฺขหิ โส วิปฺปกาโร กโต, อปิ จ โข ปน อิมํ อุจฺฉิฎฺฐปิณฺฑกํ เตสํ มุเข อาสิญฺจิตฺวา ตํ วิปฺปการํ วูปสเมหี’’ติ อาหฯ สาปิ ตถา กตฺวา ตํ วูปสเมสิฯ อถ ทิฎฺฐมงฺคลิกา ปุตฺตํ อาห – ‘‘ตาต, อิมสฺมิํ โลเก ทกฺขิเณยฺยา นาม มาตงฺคปณฺฑิตสทิสา ภวนฺติ, น อิเม พฺราหฺมณา วิย ชาติมเตฺตน, มนฺตสชฺฌายนมเตฺตน วา มานตฺถทฺธา’’ติ วตฺวา เย ตทา สีลาทิคุณวิเสสยุตฺตา ฌานสมาปตฺติลาภิโน เจว ปเจฺจกพุทฺธา จ, ตเตฺถวสฺส ปสาทํ อุปฺปาเทสีติฯ

    Tena vuttaṃ anācāraṃ asahamānā devatā tassa tesañca soḷasasahassānaṃ brāhmaṇānaṃ mukhaṃ viparivattesuṃ. Taṃ disvā diṭṭhamaṅgalikā mahāsattaṃ upasaṅkamitvā tamatthaṃ ārocesi. Bodhisatto ‘‘tassa anācāraṃ asahantehi yakkhehi so vippakāro kato, api ca kho pana imaṃ ucchiṭṭhapiṇḍakaṃ tesaṃ mukhe āsiñcitvā taṃ vippakāraṃ vūpasamehī’’ti āha. Sāpi tathā katvā taṃ vūpasamesi. Atha diṭṭhamaṅgalikā puttaṃ āha – ‘‘tāta, imasmiṃ loke dakkhiṇeyyā nāma mātaṅgapaṇḍitasadisā bhavanti, na ime brāhmaṇā viya jātimattena, mantasajjhāyanamattena vā mānatthaddhā’’ti vatvā ye tadā sīlādiguṇavisesayuttā jhānasamāpattilābhino ceva paccekabuddhā ca, tatthevassa pasādaṃ uppādesīti.

    ตทา เวตฺตวตีนคเร ชาติมโนฺต นาม เอโก พฺราหฺมโณ ปพฺพชิตฺวาปิ ชาติํ นิสฺสาย มหนฺตํ มานมกาสิฯ มหาสโตฺต ‘‘ตสฺส มานํ ภินฺทิสฺสามี’’ติ ตํ ฐานํ คนฺตฺวา ตสฺสาสเนฺน อุปริโสเต วาสํ กเปฺปสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Tadā vettavatīnagare jātimanto nāma eko brāhmaṇo pabbajitvāpi jātiṃ nissāya mahantaṃ mānamakāsi. Mahāsatto ‘‘tassa mānaṃ bhindissāmī’’ti taṃ ṭhānaṃ gantvā tassāsanne uparisote vāsaṃ kappesi. Tena vuttaṃ –

    ๖๑.

    61.

    ‘‘อหญฺจ พฺราหฺมโณ เอโก, คงฺคากูเล วสามุโภ;

    ‘‘Ahañca brāhmaṇo eko, gaṅgākūle vasāmubho;

    อหํ วสามิ อุปริ, เหฎฺฐา วสติ พฺราหฺมโณ’’ติฯ

    Ahaṃ vasāmi upari, heṭṭhā vasati brāhmaṇo’’ti.

    อถ มหาสโตฺต เอกทิวสํ ทนฺตกฎฺฐํ ขาทิตฺวา ‘‘อิทํ ชาติมนฺตสฺส ชฎาสุ ลคฺคตู’’ติ อธิฎฺฐาย นทิยํ ปาเตสิฯ ตํ ตสฺส อุทกํ อาจเมนฺตสฺส ชฎาสุ ลคฺคิ, โส ตํ ทิสฺวา ‘‘นสฺส วสลา’’ติ วตฺวา ‘‘กุโตยํ กาฬกณฺณี อาคโต, อุปธาเรสฺสามิ น’’นฺติ อุทฺธํโสตํ คจฺฉโนฺต มหาสตฺตํ ทิสฺวา ‘‘กิํชาติโกสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘จณฺฑาโลสฺมี’’ติฯ ‘‘ตยา นทิยํ ทนฺตกฎฺฐํ ปาติต’’นฺติ? ‘‘อาม, มยา’’ติฯ ‘‘นสฺส, วสล, จณฺฑาล, กาฬกณฺณิ, มา อิธ วสิ, เหฎฺฐาโสเต วสา’’ติ วตฺวา เหฎฺฐาโสเต วสเนฺตนปิ ปาติเต ทนฺตกเฎฺฐ ปฎิโสตํ อาคนฺตฺวา ชฎาสุ ลคฺคเนฺต ‘‘นสฺส, วสล, สเจ อิธ วสิสฺสสิ, สตฺตเม ทิวเส สตฺตธา เต มุทฺธา ผลิสฺสตี’’ติ อาหฯ เตน วุตฺตํ –

    Atha mahāsatto ekadivasaṃ dantakaṭṭhaṃ khāditvā ‘‘idaṃ jātimantassa jaṭāsu laggatū’’ti adhiṭṭhāya nadiyaṃ pātesi. Taṃ tassa udakaṃ ācamentassa jaṭāsu laggi, so taṃ disvā ‘‘nassa vasalā’’ti vatvā ‘‘kutoyaṃ kāḷakaṇṇī āgato, upadhāressāmi na’’nti uddhaṃsotaṃ gacchanto mahāsattaṃ disvā ‘‘kiṃjātikosī’’ti pucchi. ‘‘Caṇḍālosmī’’ti. ‘‘Tayā nadiyaṃ dantakaṭṭhaṃ pātita’’nti? ‘‘Āma, mayā’’ti. ‘‘Nassa, vasala, caṇḍāla, kāḷakaṇṇi, mā idha vasi, heṭṭhāsote vasā’’ti vatvā heṭṭhāsote vasantenapi pātite dantakaṭṭhe paṭisotaṃ āgantvā jaṭāsu laggante ‘‘nassa, vasala, sace idha vasissasi, sattame divase sattadhā te muddhā phalissatī’’ti āha. Tena vuttaṃ –

    ๖๒.

    62.

    ‘‘วิจรโนฺต อนุกูลมฺหิ, อุทฺธํ เม อสฺสมทฺทส;

    ‘‘Vicaranto anukūlamhi, uddhaṃ me assamaddasa;

    ตตฺถ มํ ปริภาเสตฺวา, อภิสปิ มุทฺธผาลน’’นฺติฯ

    Tattha maṃ paribhāsetvā, abhisapi muddhaphālana’’nti.

    ตตฺถ วิจรโนฺต อนุกูลมฺหีติ อุจฺฉิฎฺฐทนฺตกเฎฺฐ อตฺตโน ชฎาสุ ลเคฺค ตสฺส อาคมนคเวสนวเสน คงฺคาย ตีเร อนุวิจรโนฺตฯ อุทฺธํ เม อสฺสมทฺทสาติ อตฺตโน วสนฎฺฐานโต อุปริโสเต มม อสฺสมํ ปณฺณสาลํ อทฺทกฺขิฯ ตตฺถ มํ ปริภาเสตฺวาติ มม อสฺสมํ อาคนฺตฺวา ชาติํ สุตฺวา ตโตว ปฎิกฺกมิตฺวา สวนูปจาเร ฐตฺวา ‘‘นสฺส, วสล จณฺฑาล, กาฬกณฺณิ มา อิธ วสี’’ติอาทีนิ วตฺวา ภเยน สนฺตเชฺชตฺวาฯ อภิสปิ มุทฺธผาลนนฺติ ‘‘สเจ ชีวิตุกาโมสิ, เอโตฺตว สีฆํ ปลายสฺสู’’ติ วตฺวา ‘‘สเจ น ปกฺกมิสฺสติ, อิโต เต สตฺตเม ทิวเส สตฺตธา มุทฺธา ผลตู’’ติ เม อภิสปํ อทาสิฯ

    Tattha vicaranto anukūlamhīti ucchiṭṭhadantakaṭṭhe attano jaṭāsu lagge tassa āgamanagavesanavasena gaṅgāya tīre anuvicaranto. Uddhaṃ me assamaddasāti attano vasanaṭṭhānato uparisote mama assamaṃ paṇṇasālaṃ addakkhi. Tattha maṃ paribhāsetvāti mama assamaṃ āgantvā jātiṃ sutvā tatova paṭikkamitvā savanūpacāre ṭhatvā ‘‘nassa, vasala caṇḍāla, kāḷakaṇṇi mā idha vasī’’tiādīni vatvā bhayena santajjetvā. Abhisapi muddhaphālananti ‘‘sace jīvitukāmosi, ettova sīghaṃ palāyassū’’ti vatvā ‘‘sace na pakkamissati, ito te sattame divase sattadhā muddhā phalatū’’ti me abhisapaṃ adāsi.

    กิํ ปน ตสฺส อภิสเปน มุทฺธา ผลตีติ? น ผลติ, กุหโก ปน โส, เอวมยํ มรณภยตชฺชิโต สุทูรํ ปกฺกมิสฺสตีติ สญฺญาย สนฺตาสนตฺถํ ตถา อาหฯ

    Kiṃ pana tassa abhisapena muddhā phalatīti? Na phalati, kuhako pana so, evamayaṃ maraṇabhayatajjito sudūraṃ pakkamissatīti saññāya santāsanatthaṃ tathā āha.

    ๖๓. ยทิหํ ตสฺส ปกุเปฺปยฺยนฺติ ตสฺส มานตฺถทฺธสฺส กูฎชฎิลสฺส อหํ ยทิ กุเชฺฌยฺยํฯ ยทิ สีลํ น โคปเยติ สีลํ ยทิ น รเกฺขยฺยํ, อิทํ สีลํ นาม ชีวิตนิรเปกฺขํ สมฺมเทว รกฺขิตพฺพนฺติ ยทิ น จิเนฺตยฺยนฺติ อโตฺถฯ โอโลเกตฺวานหํ ตสฺส, กเรยฺยํ ฉาริกํ วิยาติ สจาหํ ตทา ตสฺส อปฺปตีโต อภวิสฺสํ ฯ มม จิตฺตาจารํ ญตฺวา มยิ อภิปฺปสนฺนา เทวตา ขเณเนว ตํ ภสฺมมุฎฺฐิํ วิย วิทฺธํเสยฺยุนฺติ อธิปฺปาโยฯ สตฺถา ปน ตทา อตฺตโน อปฺปตีตภาเว สติ เทวตาหิ สาเธตพฺพํ ตสฺส อนตฺถํ อตฺตนา กตฺตพฺพํ วิย กตฺวา เทเสสิ ‘‘กเรยฺยํ ฉาริกํ วิยา’’ติฯ

    63.Yadihaṃ tassa pakuppeyyanti tassa mānatthaddhassa kūṭajaṭilassa ahaṃ yadi kujjheyyaṃ. Yadi sīlaṃ na gopayeti sīlaṃ yadi na rakkheyyaṃ, idaṃ sīlaṃ nāma jīvitanirapekkhaṃ sammadeva rakkhitabbanti yadi na cinteyyanti attho. Oloketvānahaṃ tassa, kareyyaṃ chārikaṃ viyāti sacāhaṃ tadā tassa appatīto abhavissaṃ . Mama cittācāraṃ ñatvā mayi abhippasannā devatā khaṇeneva taṃ bhasmamuṭṭhiṃ viya viddhaṃseyyunti adhippāyo. Satthā pana tadā attano appatītabhāve sati devatāhi sādhetabbaṃ tassa anatthaṃ attanā kattabbaṃ viya katvā desesi ‘‘kareyyaṃ chārikaṃ viyā’’ti.

    วิตณฺฑวาที ปนาห – ‘‘โพธิสโตฺตว ตํ ชฎิลํ อิจฺฉมาโน อิทฺธิยา ฉาริกํ กเรยฺย, เอวญฺหิ สติ อิมิสฺสา ปาฬิยา อโตฺถ อุชุกเมว นีโต โหตี’’ติฯ โส เอวมสฺส วจนีโย – ‘‘ตฺวํ อิทฺธิยา ปรูปฆาตํ วทสิ, อิทฺธิ นาเมสา อธิฎฺฐานา อิทฺธิ, วิกุพฺพนา อิทฺธิ, มโนมยา อิทฺธิ, ญาณวิปฺผารา อิทฺธิ, สมาธิวิปฺผารา อิทฺธิ, อริยา อิทฺธิ, กมฺมวิปากชา อิทฺธิ, ปุญฺญวโต อิทฺธิ, วิชฺชามยา อิทฺธิ, ตตฺถ ตตฺถ สมฺมาปโยคปฺปจฺจยา อิชฺฌนเฎฺฐน อิทฺธีติ ทสวิธาฯ ตตฺถ ‘‘กตรํ อิทฺธิํ วเทสี’’ติ? ‘‘ภาวนามย’’นฺติฯ ‘‘กิํ ปน ภาวนามยาย ปรูปฆาตกมฺมํ โหตี’’ติ? อาม, เอกเจฺจ อาจริยา ‘‘เอกวารํ โหตี’’ติ วทนฺติ, ยถา หิ ปรํ ปหริตุกาเมน อุทกภริเต ฆเฎ ขิเตฺต ปโรปิ ปหรียติ, ฆโฎปิ ภิชฺชติ, เอวเมว ภาวนามยาย อิทฺธิยา เอกวารํ ปรูปฆาตกมฺมํ โหติ, ตโต ปฎฺฐาย ปน สา นสฺสติฯ

    Vitaṇḍavādī panāha – ‘‘bodhisattova taṃ jaṭilaṃ icchamāno iddhiyā chārikaṃ kareyya, evañhi sati imissā pāḷiyā attho ujukameva nīto hotī’’ti. So evamassa vacanīyo – ‘‘tvaṃ iddhiyā parūpaghātaṃ vadasi, iddhi nāmesā adhiṭṭhānā iddhi, vikubbanā iddhi, manomayā iddhi, ñāṇavipphārā iddhi, samādhivipphārā iddhi, ariyā iddhi, kammavipākajā iddhi, puññavato iddhi, vijjāmayā iddhi, tattha tattha sammāpayogappaccayā ijjhanaṭṭhena iddhīti dasavidhā. Tattha ‘‘kataraṃ iddhiṃ vadesī’’ti? ‘‘Bhāvanāmaya’’nti. ‘‘Kiṃ pana bhāvanāmayāya parūpaghātakammaṃ hotī’’ti? Āma, ekacce ācariyā ‘‘ekavāraṃ hotī’’ti vadanti, yathā hi paraṃ paharitukāmena udakabharite ghaṭe khitte paropi paharīyati, ghaṭopi bhijjati, evameva bhāvanāmayāya iddhiyā ekavāraṃ parūpaghātakammaṃ hoti, tato paṭṭhāya pana sā nassati.

    อถ โส ‘‘ภาวนามยาย อิทฺธิยา เนว เอกวารํ น เทฺววารํ ปรูปฆาตกมฺมํ โหตี’’ติ วตฺวา ปุจฺฉิตโพฺพ ‘‘กิํ ภาวนามยา อิทฺธิ กุสลา อกุสลา อพฺยากตา, สุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ทุกฺขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา อทุกฺขมสุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา, สวิตกฺกสวิจารา อวิตกฺกวิจารมตฺตา อวิตกฺกอวิจารา, กามาวจรา รูปาวจรา อรูปาวจรา’’ติ? ชานโนฺต ‘‘ภาวนามยา อิทฺธิ กุสลา อพฺยากตา วา อทุกฺขมสุขเวทนิยา อวิตกฺกอวิจารา รูปาวจรา จา’’ติ วกฺขติฯ โส วตฺตโพฺพ ‘‘ปาณาติปาตเจตนา กุสลาทีสุ กตรํ โกฎฺฐาสํ ภชตี’’ติ? ชานโนฺต วกฺขติ ‘‘ปาณาติปาตเจตนา อกุสลาว ทุกฺขเวทนาว สวิตกฺกสวิจาราว กามาวจราวา’’ติฯ เอวํ สเนฺต ‘‘ตว ปโญฺห เนว กุสลตฺติเกน สเมติ, น เวทนาตฺติเกน น วิตกฺกตฺติเกน น ภูมนฺตเรนา’’ติ ปาฬิยา วิโรธํ ทเสฺสตฺวา สญฺญาเปตโพฺพฯ ยทิ ปน โส ‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, อิเธกโจฺจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา อิทฺธิมา เจโตวสิปฺปโตฺต อญฺญิสฺสา กุจฺฉิคตํ คพฺภํ ปาปเกน มนสานุเปกฺขิตา โหติ ‘อโห วต ยํ ตํ กุจฺฉิคตํ คพฺภํ น โสตฺถินา อภินิกฺขเมยฺยา’ติฯ เอวมฺปิ, ภิกฺขเว, กุลุมฺปสฺส อุปฆาโต โหตี’’ติ สงฺคีติํ อนารุฬฺหํ กุลุมฺปสุตฺตํ อุทาหเรยฺยฯ ตสฺสาปิ ‘‘ตฺวํ อตฺถํ น ชานาสิฯ อิทฺธิมา เจโตวสิปฺปโตฺตติ หิ เอตฺถ น ภาวนามยา อิทฺธิ อธิเปฺปตา, อาถพฺพนิกา อิทฺธิ อธิเปฺปตาฯ สา หิ เอตฺถ ลพฺภมานา ลพฺภตีติ ภาวนามยาย อิทฺธิยา ปรูปฆาโต น สมฺภวติเยวา’’ติ สญฺญาเปตโพฺพฯ โน เจ สญฺญตฺติํ อุเปติ, กมฺมํ กตฺวา อุโยฺยเชตโพฺพฯ ตสฺมา ยถาวุตฺตนเยเนเวตฺถ คาถาย อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Atha so ‘‘bhāvanāmayāya iddhiyā neva ekavāraṃ na dvevāraṃ parūpaghātakammaṃ hotī’’ti vatvā pucchitabbo ‘‘kiṃ bhāvanāmayā iddhi kusalā akusalā abyākatā, sukhāya vedanāya sampayuttā dukkhāya vedanāya sampayuttā adukkhamasukhāya vedanāya sampayuttā, savitakkasavicārā avitakkavicāramattā avitakkaavicārā, kāmāvacarā rūpāvacarā arūpāvacarā’’ti? Jānanto ‘‘bhāvanāmayā iddhi kusalā abyākatā vā adukkhamasukhavedaniyā avitakkaavicārā rūpāvacarā cā’’ti vakkhati. So vattabbo ‘‘pāṇātipātacetanā kusalādīsu kataraṃ koṭṭhāsaṃ bhajatī’’ti? Jānanto vakkhati ‘‘pāṇātipātacetanā akusalāva dukkhavedanāva savitakkasavicārāva kāmāvacarāvā’’ti. Evaṃ sante ‘‘tava pañho neva kusalattikena sameti, na vedanāttikena na vitakkattikena na bhūmantarenā’’ti pāḷiyā virodhaṃ dassetvā saññāpetabbo. Yadi pana so ‘‘puna caparaṃ, bhikkhave, idhekacco samaṇo vā brāhmaṇo vā iddhimā cetovasippatto aññissā kucchigataṃ gabbhaṃ pāpakena manasānupekkhitā hoti ‘aho vata yaṃ taṃ kucchigataṃ gabbhaṃ na sotthinā abhinikkhameyyā’ti. Evampi, bhikkhave, kulumpassa upaghāto hotī’’ti saṅgītiṃ anāruḷhaṃ kulumpasuttaṃ udāhareyya. Tassāpi ‘‘tvaṃ atthaṃ na jānāsi. Iddhimā cetovasippattoti hi ettha na bhāvanāmayā iddhi adhippetā, āthabbanikā iddhi adhippetā. Sā hi ettha labbhamānā labbhatīti bhāvanāmayāya iddhiyā parūpaghāto na sambhavatiyevā’’ti saññāpetabbo. No ce saññattiṃ upeti, kammaṃ katvā uyyojetabbo. Tasmā yathāvuttanayenevettha gāthāya attho veditabbo.

    ตถา ปน เตน อภิสปิโต มหาสโตฺต ‘‘สจาหํ เอตสฺส กุชฺฌิสฺสามิ, สีลํ เม อรกฺขิตํ ภวิสฺสติ, อุปาเยเนวสฺส มานํ ภินฺทิสฺสามิ, สา จสฺส รกฺขา ภวิสฺสตี’’ติ สตฺตเม ทิวเส สูริยุคฺคมนํ วาเรสิฯ มนุสฺสา สูริยสฺส อนุคฺคมเนน อุพฺพาฬฺหา ชาติมนฺตตาปสํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห สูริยสฺส อุคฺคนฺตุํ น เทถา’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ โส ‘‘น เมตํ กมฺมํ, คงฺคาตีเร ปน เอโก จณฺฑาลตาปโส วสติ, ตเสฺสตํ กมฺมํ สิยา’’ติ อาห ฯ มนุสฺสา มหาสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห สูริยสฺส อุคฺคนฺตุํ น เทถา’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘อามาวุโส’’ติฯ ‘‘กิํการณา’’ติ? ‘‘ตุมฺหากํ กุลูปกตาปโส มํ นิรปราธํ อภิสปิ, ตสฺมิํ อาคนฺตฺวา ขมาปนตฺถํ มม ปาเทสุ ปติเต สูริยํ วิสฺสเชฺชสฺสามี’’ติฯ เต คนฺตฺวา ตํ อากฑฺฒนฺตา อาเนตฺวา มหาสตฺตสฺส ปาทมูเล นิปชฺชาเปตฺวา ขมาเปตฺวา ‘‘สูริยํ วิสฺสเชฺชถ, ภเนฺต’’ติ อาหํสุฯ ‘‘น สกฺกา วิสฺสเชฺชตุํ, สจาหํ วิสฺสเชฺชสฺสามิ, อิมสฺส สตฺตธา มุทฺธา ผลิสฺสตี’’ติฯ ‘‘อถ, ภเนฺต, กิํ กโรมา’’ติฯ มหาสโตฺต ‘‘มตฺติกาปิณฺฑํ อาหรถา’’ติ อาหราเปตฺวา ‘‘อิมํ ตาปสสฺส สีเส ฐเปตฺวา ตาปสํ โอตาเรตฺวา อุทเก ฐเปถ, ยทา สูริโย ทิสฺสติ, ตทา ตาปโส อุทเก นิมุชฺชตู’’ติ วตฺวา สูริยํ วิสฺสเชฺชสิฯ สูริยรสฺมีหิ ผุฎฺฐมเตฺตว มตฺติกาปิโณฺฑ สตฺตธา ภิชฺชิฯ ตาปโส อุทเก นิมุชฺชิฯ เตน วุตฺตํ –

    Tathā pana tena abhisapito mahāsatto ‘‘sacāhaṃ etassa kujjhissāmi, sīlaṃ me arakkhitaṃ bhavissati, upāyenevassa mānaṃ bhindissāmi, sā cassa rakkhā bhavissatī’’ti sattame divase sūriyuggamanaṃ vāresi. Manussā sūriyassa anuggamanena ubbāḷhā jātimantatāpasaṃ upasaṅkamitvā ‘‘bhante, tumhe sūriyassa uggantuṃ na dethā’’ti pucchiṃsu. So ‘‘na metaṃ kammaṃ, gaṅgātīre pana eko caṇḍālatāpaso vasati, tassetaṃ kammaṃ siyā’’ti āha . Manussā mahāsattaṃ upasaṅkamitvā ‘‘bhante, tumhe sūriyassa uggantuṃ na dethā’’ti pucchiṃsu. ‘‘Āmāvuso’’ti. ‘‘Kiṃkāraṇā’’ti? ‘‘Tumhākaṃ kulūpakatāpaso maṃ niraparādhaṃ abhisapi, tasmiṃ āgantvā khamāpanatthaṃ mama pādesu patite sūriyaṃ vissajjessāmī’’ti. Te gantvā taṃ ākaḍḍhantā ānetvā mahāsattassa pādamūle nipajjāpetvā khamāpetvā ‘‘sūriyaṃ vissajjetha, bhante’’ti āhaṃsu. ‘‘Na sakkā vissajjetuṃ, sacāhaṃ vissajjessāmi, imassa sattadhā muddhā phalissatī’’ti. ‘‘Atha, bhante, kiṃ karomā’’ti. Mahāsatto ‘‘mattikāpiṇḍaṃ āharathā’’ti āharāpetvā ‘‘imaṃ tāpasassa sīse ṭhapetvā tāpasaṃ otāretvā udake ṭhapetha, yadā sūriyo dissati, tadā tāpaso udake nimujjatū’’ti vatvā sūriyaṃ vissajjesi. Sūriyarasmīhi phuṭṭhamatteva mattikāpiṇḍo sattadhā bhijji. Tāpaso udake nimujji. Tena vuttaṃ –

    ๖๔.

    64.

    ‘‘ยํ โส ตทา มํ อภิสปิ, กุปิโต ทุฎฺฐมานโส;

    ‘‘Yaṃ so tadā maṃ abhisapi, kupito duṭṭhamānaso;

    ตเสฺสว มตฺถเก นิปติ, โยเคน ตํ ปโมจยิ’’นฺติฯ

    Tasseva matthake nipati, yogena taṃ pamocayi’’nti.

    ตตฺถ ยํ โส ตทา มํ อภิสปีติ โส ชาติมนฺตชฎิโล ยํ มุทฺธผาลนํ สนฺธาย ตทา มํ อภิสปิ, มยฺหํ สปํ อทาสิฯ ตเสฺสว มตฺถเก นิปตีติ ตํ มยฺหํ อุปริ เตน อิจฺฉิตํ ตเสฺสว ปน อุปริ นิปติ นิปตนภาเวน อฎฺฐาสิฯ เอวเญฺหตํ โหติ ยถา ตํ อปฺปทุฎฺฐสฺส ปทุสฺสโตฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา – ‘‘โย อปฺปทุฎฺฐสฺส นรสฺส ทุสฺสติ…เป.… ปฎิวาตํว ขิโตฺต’’ติ (ธ. ป. ๑๒๕; สุ. นิ. ๖๖๗; ชา. ๑.๕.๙๔)ฯ โยเคน ตํ ปโมจยินฺติ ตํ ตสฺส ภาสิตํ มตฺถกผาลนํ อุปาเยน ตโต ปโมเจสิํ, ตํ วา ชฎิลํ ตโต ปโมเจสิํ, เยน อุปาเยน ตํ น โหติ, ตถา อกาสินฺติ อโตฺถฯ

    Tattha yaṃ so tadā maṃ abhisapīti so jātimantajaṭilo yaṃ muddhaphālanaṃ sandhāya tadā maṃ abhisapi, mayhaṃ sapaṃ adāsi. Tasseva matthakenipatīti taṃ mayhaṃ upari tena icchitaṃ tasseva pana upari nipati nipatanabhāvena aṭṭhāsi. Evañhetaṃ hoti yathā taṃ appaduṭṭhassa padussato. Vuttañhetaṃ bhagavatā – ‘‘yo appaduṭṭhassa narassa dussati…pe… paṭivātaṃva khitto’’ti (dha. pa. 125; su. ni. 667; jā. 1.5.94). Yogena taṃ pamocayinti taṃ tassa bhāsitaṃ matthakaphālanaṃ upāyena tato pamocesiṃ, taṃ vā jaṭilaṃ tato pamocesiṃ, yena upāyena taṃ na hoti, tathā akāsinti attho.

    ยญฺหิ เตน ปารมิตาปริภาวนสมิทฺธาหิ นานาสมาปตฺติวิหารปริปูริตาหิ สีลทิฎฺฐิสมฺปทาหิ สุสงฺขตสนฺตาเน มหากรุณาธิวาเส มหาสเตฺต อริยูปวาทกมฺมํ อภิสปสงฺขาตํ ผรุสวจนํ ปยุตฺตํ, ตํ มหาสตฺตสฺส เขตฺตวิเสสภาวโต ตสฺส จ อชฺฌาสยผรุสตาย ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ หุตฺวา สเจ โส มหาสตฺตํ น ขมาเปสิ, สตฺตเม ทิวเส วิปจฺจนสภาวํ ชาตํ, ขมาปิเต ปน มหาสเตฺต ปโยคสมฺปตฺติปฎิพาหิตตฺตา อวิปากธมฺมตํ อาปชฺชิ อโหสิกมฺมภาวโตฯ อยญฺหิ อริยูปวาทปาปสฺส ทิฎฺฐธมฺมเวทนียสฺส จ ธมฺมตาฯ ตตฺถ ยํ สตฺตเม ทิวเส โพธิสเตฺตน สูริยุคฺคมนนิวารณํ กตํ, อยเมตฺถ โยโคติ อธิเปฺปโต อุปาโยฯ เตน หิ อุพฺพาฬฺหา มนุสฺสา โพธิสตฺตสฺส สนฺติเก ตาปสํ อาเนตฺวา ขมาเปสุํฯ โสปิ จ มหาสตฺตสฺส คุเณ ชานิตฺวา ตสฺมิํ จิตฺตํ ปสาเทสีติ เวทิตพฺพํฯ ยํ ปนสฺส มตฺถเก มตฺติกาปิณฺฑสฺส ฐปนํ, ตสฺส จ สตฺตธา ผาลนํ กตํ, ตํ มนุสฺสานํ จิตฺตานุรกฺขณตฺถํ, อญฺญถา หิ อิเม ปพฺพชิตาปิ สมานา จิตฺตสฺส วเส วตฺตนฺติ, น ปน จิตฺตํ อตฺตโน วเส วตฺตาเปนฺตีติ มหาสตฺตมฺปิ เตน สทิสํ กตฺวา คเณฺหยฺยุํฯ ตทสฺส เนสํ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายาติฯ

    Yañhi tena pāramitāparibhāvanasamiddhāhi nānāsamāpattivihāraparipūritāhi sīladiṭṭhisampadāhi susaṅkhatasantāne mahākaruṇādhivāse mahāsatte ariyūpavādakammaṃ abhisapasaṅkhātaṃ pharusavacanaṃ payuttaṃ, taṃ mahāsattassa khettavisesabhāvato tassa ca ajjhāsayapharusatāya diṭṭhadhammavedanīyaṃ hutvā sace so mahāsattaṃ na khamāpesi, sattame divase vipaccanasabhāvaṃ jātaṃ, khamāpite pana mahāsatte payogasampattipaṭibāhitattā avipākadhammataṃ āpajji ahosikammabhāvato. Ayañhi ariyūpavādapāpassa diṭṭhadhammavedanīyassa ca dhammatā. Tattha yaṃ sattame divase bodhisattena sūriyuggamananivāraṇaṃ kataṃ, ayamettha yogoti adhippeto upāyo. Tena hi ubbāḷhā manussā bodhisattassa santike tāpasaṃ ānetvā khamāpesuṃ. Sopi ca mahāsattassa guṇe jānitvā tasmiṃ cittaṃ pasādesīti veditabbaṃ. Yaṃ panassa matthake mattikāpiṇḍassa ṭhapanaṃ, tassa ca sattadhā phālanaṃ kataṃ, taṃ manussānaṃ cittānurakkhaṇatthaṃ, aññathā hi ime pabbajitāpi samānā cittassa vase vattanti, na pana cittaṃ attano vase vattāpentīti mahāsattampi tena sadisaṃ katvā gaṇheyyuṃ. Tadassa nesaṃ dīgharattaṃ ahitāya dukkhāyāti.

    ๖๕. อิทานิ ยทตฺถํ ตทา ตสฺมิํ ตาปเส จิตฺตํ อทูเสตฺวา สุปริสุทฺธํ สีลเมว รกฺขิตํ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อนุรกฺขิํ มม สีล’’นฺติ โอสานคาถมาหฯ ตํ เหฎฺฐา วุตฺตตฺถเมวฯ

    65. Idāni yadatthaṃ tadā tasmiṃ tāpase cittaṃ adūsetvā suparisuddhaṃ sīlameva rakkhitaṃ, taṃ dassetuṃ ‘‘anurakkhiṃ mama sīla’’nti osānagāthamāha. Taṃ heṭṭhā vuttatthameva.

    ตทา มณฺฑโพฺย อุเทโน, มาตโงฺค โลกนาโถฯ

    Tadā maṇḍabyo udeno, mātaṅgo lokanātho.

    อิธาปิ เสสปารมิโย นิทฺธาเรตพฺพาฯ ตถา นิหีนชาติกสฺส สโต ยถาธิปฺปายํ ทิฎฺฐมงฺคลิกาย มานนิคฺคโห, ปพฺพชิตฺวา ‘‘ทิฎฺฐมงฺคลิกาย อวสฺสโย ภวิสฺสามี’’ติ อุปฺปนฺนจิโตฺต อรญฺญํ คนฺตฺวา ปพฺพชิตฺวา สตฺตทิวสพฺภนฺตเรเยว ยถาธิปฺปายํ ฌานาภิญฺญานิพฺพตฺตนํ, ตโต อาคนฺตฺวา ทิฎฺฐมงฺคลิกาย ลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺติยา อุปายสมฺปาทนํ, มณฺฑพฺยกุมารสฺส มานนิคฺคโห, ชาติมนฺตตาปสสฺส มานนิคฺคโห, ตสฺส จ อชานนฺตเสฺสว ภาวิโน ชีวิตนฺตรายสฺส อปนยนํ, มหาปราธสฺสาปิ ตสฺส อกุชฺฌิตฺวา อตฺตโน สีลานุรกฺขณํ, อจฺฉริยพฺภุตปาฎิหาริยกรณนฺติ เอวมาทโย มหาสตฺตสฺส คุณานุภาวา วิภาเวตพฺพาฯ

    Idhāpi sesapāramiyo niddhāretabbā. Tathā nihīnajātikassa sato yathādhippāyaṃ diṭṭhamaṅgalikāya mānaniggaho, pabbajitvā ‘‘diṭṭhamaṅgalikāya avassayo bhavissāmī’’ti uppannacitto araññaṃ gantvā pabbajitvā sattadivasabbhantareyeva yathādhippāyaṃ jhānābhiññānibbattanaṃ, tato āgantvā diṭṭhamaṅgalikāya lābhaggayasaggappattiyā upāyasampādanaṃ, maṇḍabyakumārassa mānaniggaho, jātimantatāpasassa mānaniggaho, tassa ca ajānantasseva bhāvino jīvitantarāyassa apanayanaṃ, mahāparādhassāpi tassa akujjhitvā attano sīlānurakkhaṇaṃ, acchariyabbhutapāṭihāriyakaraṇanti evamādayo mahāsattassa guṇānubhāvā vibhāvetabbā.

    มาตงฺคจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Mātaṅgacariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๗. มาตงฺคจริยา • 7. Mātaṅgacariyā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact