Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
๑๕. วีสตินิปาโต
15. Vīsatinipāto
[๔๙๗] ๑. มาตงฺคชาตกวณฺณนา
[497] 1. Mātaṅgajātakavaṇṇanā
กุโต นุ อาคจฺฉสิ ทุมฺมวาสีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อุเทนํ นาม วํสราชานํ อารพฺภ กเถสิฯ ตสฺมิญฺหิ กาเล อายสฺมา ปิโณฺฑลภารทฺวาโช เชตวนโต อากาเสน คนฺตฺวา เยภุเยฺยน โกสมฺพิยํ อุเทนสฺส รโญฺญ อุยฺยานํ ทิวาวิหาราย คจฺฉติฯ เถโร กิร ปุริมภเว รชฺชํ กาเรโนฺต ทีฆมทฺธานํ ตสฺมิํ อุยฺยาเน มหาปริวาโร สมฺปตฺติํ อนุภวิฯ โส เตน ปุพฺพาจิเณฺณน เยภุเยฺยน ตเตฺถว ทิวาวิหารํ นิสีทิตฺวา ผลสมาปตฺติสุเขน วีตินาเมติฯ ตสฺมิํ เอกทิวสํ ตตฺถ คนฺตฺวา สุปุปฺผิตสาลมูเล นิสิเนฺน อุเทโน สตฺตาหํ มหาปานํ ปิวิตฺวา ‘‘อุยฺยานกีฬํ กีฬิสฺสามี’’ติ มหเนฺตน ปริวาเรน อุยฺยานํ คนฺตฺวา มงฺคลสิลาปเฎฺฎ อญฺญตราย อิตฺถิยา อเงฺก นิปโนฺน สุรามทมตฺตตาย นิทฺทํ โอกฺกมิฯ คายนฺตา นิสินฺนิตฺถิโย ตูริยานิ ฉเฑฺฑตฺวา อุยฺยานํ ปวิสิตฺวา ปุปฺผผลาทีนิ วิจินนฺติโย เถรํ ทิสฺวา คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา นิสีทิํสุฯ เถโร ตาสํ ธมฺมกถํ กเถโนฺต นิสีทิฯ อิตราปิ อิตฺถี องฺกํ จาเลตฺวา ราชานํ ปโพเธตฺวา ‘‘กุหิํ ตา วสลิโย คตา’’ติ วุเตฺต ‘‘เอกํ สมณํ ปริวาเรตฺวา นิสินฺนา’’ติ อาหฯ โส กุโทฺธ คนฺตฺวา เถรํ อโกฺกสิตฺวา ปริภาสิตฺวา ‘‘หนฺทาหํ, ตํ สมณํ ตมฺพกิปิลฺลเกหิ ขาทาเปสฺสามี’’ติ โกธวเสน เถรสฺส สรีเร ตมฺพกิปิลฺลกปุฎํ ภินฺทาเปสิฯ เถโร อากาเส ฐตฺวา ตโสฺสวาทํ ทตฺวา เชตวเน คนฺธกุฎิทฺวาเรเยว โอตริตฺวา ตถาคเตน ‘‘กุโต อาคโตสี’’ติ ปุโฎฺฐ เถโร ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ สตฺถา ‘‘น โข, ภารทฺวาช, อุเทโน อิทาเนว ปพฺพชิเต วิเหเฐติ, ปุเพฺพปิ วิเหเฐสิเยวา’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Kutonu āgacchasi dummavāsīti idaṃ satthā jetavane viharanto udenaṃ nāma vaṃsarājānaṃ ārabbha kathesi. Tasmiñhi kāle āyasmā piṇḍolabhāradvājo jetavanato ākāsena gantvā yebhuyyena kosambiyaṃ udenassa rañño uyyānaṃ divāvihārāya gacchati. Thero kira purimabhave rajjaṃ kārento dīghamaddhānaṃ tasmiṃ uyyāne mahāparivāro sampattiṃ anubhavi. So tena pubbāciṇṇena yebhuyyena tattheva divāvihāraṃ nisīditvā phalasamāpattisukhena vītināmeti. Tasmiṃ ekadivasaṃ tattha gantvā supupphitasālamūle nisinne udeno sattāhaṃ mahāpānaṃ pivitvā ‘‘uyyānakīḷaṃ kīḷissāmī’’ti mahantena parivārena uyyānaṃ gantvā maṅgalasilāpaṭṭe aññatarāya itthiyā aṅke nipanno surāmadamattatāya niddaṃ okkami. Gāyantā nisinnitthiyo tūriyāni chaḍḍetvā uyyānaṃ pavisitvā pupphaphalādīni vicinantiyo theraṃ disvā gantvā vanditvā nisīdiṃsu. Thero tāsaṃ dhammakathaṃ kathento nisīdi. Itarāpi itthī aṅkaṃ cāletvā rājānaṃ pabodhetvā ‘‘kuhiṃ tā vasaliyo gatā’’ti vutte ‘‘ekaṃ samaṇaṃ parivāretvā nisinnā’’ti āha. So kuddho gantvā theraṃ akkositvā paribhāsitvā ‘‘handāhaṃ, taṃ samaṇaṃ tambakipillakehi khādāpessāmī’’ti kodhavasena therassa sarīre tambakipillakapuṭaṃ bhindāpesi. Thero ākāse ṭhatvā tassovādaṃ datvā jetavane gandhakuṭidvāreyeva otaritvā tathāgatena ‘‘kuto āgatosī’’ti puṭṭho thero tamatthaṃ ārocesi. Satthā ‘‘na kho, bhāradvāja, udeno idāneva pabbajite viheṭheti, pubbepi viheṭhesiyevā’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต ตทา มหาสโตฺต พหินคเร จณฺฑาลโยนิยํ นิพฺพตฺติ, ‘‘มาตโงฺค’’ติสฺส นามํ กริํสุฯ อปรภาเค วิญฺญุตํ ปโตฺต ‘‘มาตงฺคปณฺฑิโต’’ติ ปากโฎ อโหสิฯ ตทา พาราณสิเสฎฺฐิโน ธีตา ทิฎฺฐมงฺคลิกา นาม เอกมาสเทฺวมาสวาเรน มหาปริวารา อุยฺยานํ กีฬิตุํ คจฺฉติฯ อเถกทิวสํ มหาสโตฺต เกนจิ กเมฺมน นครํ ปวิสโนฺต อนฺตรทฺวาเร ทิฎฺฐมงฺคลิกํ ทิสฺวา เอกมนฺตํ อปคนฺตฺวา อลฺลียิตฺวา อฎฺฐาสิฯ ทิฎฺฐมงฺคลิกา สาณิยา อนฺตเรน โอโลเกนฺตี ตํ ทิสฺวา ‘‘โก เอโส’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘จณฺฑาโล อเยฺย’’ติ วุเตฺต ‘‘อทิฎฺฐปุพฺพยุตฺตกํ วต ปสฺสามี’’ติ คโนฺธทเกน อกฺขีนิ โธวิตฺวา ตโต นิวตฺติฯ ตาย สทฺธิํ นิกฺขนฺตชโน ‘‘อเร, ทุฎฺฐ จณฺฑาล, อชฺช ตํ นิสฺสาย อมฺหากํ อมูลกํ สุราภตฺตํ นฎฺฐ’’นฺติ โกธาภิภูโต มาตงฺคปณฺฑิตํ หเตฺถหิ จ ปาเทหิ จ โปเถตฺวา วิสญฺญิํ กตฺวา ปกฺกามิฯ โส มุหุตฺตํ วีตินาเมตฺวา ปฎิลทฺธสโญฺญ จิเนฺตสิ ‘‘ทิฎฺฐมงฺคลิกาย ปริชโน มํ นิโทฺทสํ อการเณน โปเถสิ, ทิฎฺฐมงฺคลิกํ ลภิตฺวาว อุฎฺฐหิสฺสามิ, โน อลภิตฺวา’’ติ อธิฎฺฐาย คนฺตฺวา ตสฺสา ปิตุ นิเวสนทฺวาเร นิปชฺชิฯ โส ‘‘เกน การเณน นิปโนฺนสี’’ติ วุเตฺต ‘‘อญฺญํ การณํ นตฺถิ, ทิฎฺฐมงฺคลิกาย เม อโตฺถ’’ติ อาหฯ เอโก ทิวโส อตีโต, ตถา ทุติโย, ตติโย, จตุโตฺถ, ปญฺจโม, ฉโฎฺฐ จฯ โพธิสตฺตานํ อธิฎฺฐานํ นาม สมิชฺฌติ, ตสฺมา สตฺตเม ทิวเส ทิฎฺฐมงฺคลิกํ นีหริตฺวา ตสฺส อทํสุฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente tadā mahāsatto bahinagare caṇḍālayoniyaṃ nibbatti, ‘‘mātaṅgo’’tissa nāmaṃ kariṃsu. Aparabhāge viññutaṃ patto ‘‘mātaṅgapaṇḍito’’ti pākaṭo ahosi. Tadā bārāṇasiseṭṭhino dhītā diṭṭhamaṅgalikā nāma ekamāsadvemāsavārena mahāparivārā uyyānaṃ kīḷituṃ gacchati. Athekadivasaṃ mahāsatto kenaci kammena nagaraṃ pavisanto antaradvāre diṭṭhamaṅgalikaṃ disvā ekamantaṃ apagantvā allīyitvā aṭṭhāsi. Diṭṭhamaṅgalikā sāṇiyā antarena olokentī taṃ disvā ‘‘ko eso’’ti pucchitvā ‘‘caṇḍālo ayye’’ti vutte ‘‘adiṭṭhapubbayuttakaṃ vata passāmī’’ti gandhodakena akkhīni dhovitvā tato nivatti. Tāya saddhiṃ nikkhantajano ‘‘are, duṭṭha caṇḍāla, ajja taṃ nissāya amhākaṃ amūlakaṃ surābhattaṃ naṭṭha’’nti kodhābhibhūto mātaṅgapaṇḍitaṃ hatthehi ca pādehi ca pothetvā visaññiṃ katvā pakkāmi. So muhuttaṃ vītināmetvā paṭiladdhasañño cintesi ‘‘diṭṭhamaṅgalikāya parijano maṃ niddosaṃ akāraṇena pothesi, diṭṭhamaṅgalikaṃ labhitvāva uṭṭhahissāmi, no alabhitvā’’ti adhiṭṭhāya gantvā tassā pitu nivesanadvāre nipajji. So ‘‘kena kāraṇena nipannosī’’ti vutte ‘‘aññaṃ kāraṇaṃ natthi, diṭṭhamaṅgalikāya me attho’’ti āha. Eko divaso atīto, tathā dutiyo, tatiyo, catuttho, pañcamo, chaṭṭho ca. Bodhisattānaṃ adhiṭṭhānaṃ nāma samijjhati, tasmā sattame divase diṭṭhamaṅgalikaṃ nīharitvā tassa adaṃsu.
อถ นํ สา ‘‘อุเฎฺฐหิ, สามิ, ตุมฺหากํ เคหํ คจฺฉามา’’ติ อาหฯ ภเทฺท, ตว ปริชเนนมฺหิ สุโปถิโต ทุพฺพโล, มํ อุกฺขิปิตฺวา ปิฎฺฐิํ อาโรเปตฺวา อาทาย คจฺฉาหีติฯ สา ตถา กตฺวา นครวาสีนํ ปสฺสนฺตานเญฺญว นครา นิกฺขมิตฺวา จณฺฑาลคามกํ คตาฯ อถ นํ มหาสโตฺต ชาติสเมฺภทวีติกฺกมํ อกตฺวาว กติปาหํ เคเห วสาเปตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อหเมตํ ลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺตํ กโรโนฺต ปพฺพชิตฺวาว กาตุํ สกฺขิสฺสามิ, น อิตรถา’’ติ ฯ อถ นํ อามเนฺตตฺวา ‘ภเทฺท, มยิ อรญฺญโต กิญฺจิ อนาหรเนฺต อมฺหากํ ชีวิกา นปฺปวตฺตติ, ยาว มมาคมนา มา อุกฺกณฺฐิ, อหํ อรญฺญํ คมิสฺสามี’’ติ วตฺวา เคหวาสิโนปิ ‘‘อิมํ มา ปมชฺชิตฺถา’’ติ โอวทิตฺวา อรญฺญํ คนฺตฺวา สมณปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อปฺปมโตฺต สตฺตเม ทิวเส อฎฺฐ สมาปตฺติโย จ ปญฺจ อภิญฺญาโย จ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘อิทานิ ทิฎฺฐมงฺคลิกาย อวสฺสโย ภวิตุํ สกฺขิสฺสามี’’ติ อิทฺธิยา คนฺตฺวา จณฺฑาลคามทฺวาเร โอตริตฺวา ทิฎฺฐมงฺคลิกาย เคหทฺวารํ อคมาสิฯ สา ตสฺสาคมนํ สุตฺวา เคหโต นิกฺขมิตฺวา ‘‘สามิ, กสฺมา มํ อนาถํ กตฺวา ปพฺพชิโตสี’’ติ ปริเทวิฯ อถ นํ ‘‘ภเทฺท, มา จินฺตยิ, ตว โปราณกยสโต อิทานิ มหนฺตตรํ ยสํ กริสฺสามิ, อปิจ โข ปน ‘น มยฺหํ มาตงฺคปณฺฑิโต สามิโก, มหาพฺรหฺมา เม สามิโก’ติ เอตฺตกํ ปริสมเชฺฌ วตฺตุํ สกฺขิสฺสสี’ติ อาหฯ ‘‘อาม, สามิ, สกฺขิสฺสามี’’ติฯ ‘‘เตน หิ ‘‘อิทานิ เต สามิโก กุหินฺติ ปุฎฺฐา ‘พฺรหฺมโลกํ คโต’ติ วตฺวา ‘กทา อาคมิสฺสตี’ติ วุเตฺต ‘อิโต สตฺตเม ทิวเส ปุณฺณมายํ จนฺทํ ภินฺทิตฺวา อาคมิสฺสตี’ติ วเทยฺยาสี’’ติ นํ วตฺวา มหาสโตฺต หิมวนฺตเมว คโตฯ
Atha naṃ sā ‘‘uṭṭhehi, sāmi, tumhākaṃ gehaṃ gacchāmā’’ti āha. Bhadde, tava parijanenamhi supothito dubbalo, maṃ ukkhipitvā piṭṭhiṃ āropetvā ādāya gacchāhīti. Sā tathā katvā nagaravāsīnaṃ passantānaññeva nagarā nikkhamitvā caṇḍālagāmakaṃ gatā. Atha naṃ mahāsatto jātisambhedavītikkamaṃ akatvāva katipāhaṃ gehe vasāpetvā cintesi ‘‘ahametaṃ lābhaggayasaggappattaṃ karonto pabbajitvāva kātuṃ sakkhissāmi, na itarathā’’ti . Atha naṃ āmantetvā ‘bhadde, mayi araññato kiñci anāharante amhākaṃ jīvikā nappavattati, yāva mamāgamanā mā ukkaṇṭhi, ahaṃ araññaṃ gamissāmī’’ti vatvā gehavāsinopi ‘‘imaṃ mā pamajjitthā’’ti ovaditvā araññaṃ gantvā samaṇapabbajjaṃ pabbajitvā appamatto sattame divase aṭṭha samāpattiyo ca pañca abhiññāyo ca uppādetvā ‘‘idāni diṭṭhamaṅgalikāya avassayo bhavituṃ sakkhissāmī’’ti iddhiyā gantvā caṇḍālagāmadvāre otaritvā diṭṭhamaṅgalikāya gehadvāraṃ agamāsi. Sā tassāgamanaṃ sutvā gehato nikkhamitvā ‘‘sāmi, kasmā maṃ anāthaṃ katvā pabbajitosī’’ti paridevi. Atha naṃ ‘‘bhadde, mā cintayi, tava porāṇakayasato idāni mahantataraṃ yasaṃ karissāmi, apica kho pana ‘na mayhaṃ mātaṅgapaṇḍito sāmiko, mahābrahmā me sāmiko’ti ettakaṃ parisamajjhe vattuṃ sakkhissasī’ti āha. ‘‘Āma, sāmi, sakkhissāmī’’ti. ‘‘Tena hi ‘‘idāni te sāmiko kuhinti puṭṭhā ‘brahmalokaṃ gato’ti vatvā ‘kadā āgamissatī’ti vutte ‘ito sattame divase puṇṇamāyaṃ candaṃ bhinditvā āgamissatī’ti vadeyyāsī’’ti naṃ vatvā mahāsatto himavantameva gato.
ทิฎฺฐมงฺคลิกาปิ พาราณสิยํ มหาชนสฺส มเชฺฌ เตสุ เตสุ ฐาเนสุ ตถา กเถสิฯ มหาชโน ‘‘อโห มหาพฺรหฺมา สมาโน ทิฎฺฐมงฺคลิกํ น คจฺฉติ, เอวเมตํ ภวิสฺสตี’’ติ สทฺทหิฯ โพธิสโตฺตปิ ปุณฺณมทิวเส จนฺทสฺส คคนมเชฺฌ ฐิตกาเล พฺรหฺมตฺตภาวํ มาเปตฺวา สกลํ กาสิรฎฺฐํ ทฺวาทสโยชนิกํ พาราณสินครญฺจ เอโกภาสํ กตฺวา จนฺทมณฺฑลํ ภินฺทิตฺวา โอตริตฺวา พาราณสิยา อุปรูปริ ติกฺขตฺตุํ ปริพฺภมิตฺวา มหาชเนน คนฺธมาลาทีหิ ปูชิยมาโน จณฺฑาลคามกาภิมุโข อโหสิฯ พฺรหฺมภตฺตา สนฺนิปติตฺวา จณฺฑาลคามกํ คนฺตฺวา ทิฎฺฐมงฺคลิกาย เคหํ สุทฺธวเตฺถหิ ฉาเทตฺวา ภูมิํ จตุชฺชาติยคเนฺธหิ โอปุญฺฉิตฺวา ปุปฺผานิ วิกิริตฺวา ธูมํ ทตฺวา เจลวิตานํ ปสาเรตฺวา มหาสยนํ ปญฺญเปตฺวา คนฺธเตเลหิ ทีปํ ชาเลตฺวา ทฺวาเร รชตปฎฺฎวณฺณวาลุกํ โอกิริตฺวา ปุปฺผานิ วิกิริตฺวา ธเช พนฺธิํสุฯ เอวํ อลงฺกเต เคเห มหาสโตฺต โอตริตฺวา อโนฺต ปวิสิตฺวา โถกํ สยนปิเฎฺฐ นิสีทิฯ
Diṭṭhamaṅgalikāpi bārāṇasiyaṃ mahājanassa majjhe tesu tesu ṭhānesu tathā kathesi. Mahājano ‘‘aho mahābrahmā samāno diṭṭhamaṅgalikaṃ na gacchati, evametaṃ bhavissatī’’ti saddahi. Bodhisattopi puṇṇamadivase candassa gaganamajjhe ṭhitakāle brahmattabhāvaṃ māpetvā sakalaṃ kāsiraṭṭhaṃ dvādasayojanikaṃ bārāṇasinagarañca ekobhāsaṃ katvā candamaṇḍalaṃ bhinditvā otaritvā bārāṇasiyā uparūpari tikkhattuṃ paribbhamitvā mahājanena gandhamālādīhi pūjiyamāno caṇḍālagāmakābhimukho ahosi. Brahmabhattā sannipatitvā caṇḍālagāmakaṃ gantvā diṭṭhamaṅgalikāya gehaṃ suddhavatthehi chādetvā bhūmiṃ catujjātiyagandhehi opuñchitvā pupphāni vikiritvā dhūmaṃ datvā celavitānaṃ pasāretvā mahāsayanaṃ paññapetvā gandhatelehi dīpaṃ jāletvā dvāre rajatapaṭṭavaṇṇavālukaṃ okiritvā pupphāni vikiritvā dhaje bandhiṃsu. Evaṃ alaṅkate gehe mahāsatto otaritvā anto pavisitvā thokaṃ sayanapiṭṭhe nisīdi.
ตทา ทิฎฺฐมงฺคลิกา อุตุนี โหติฯ อถสฺสา องฺคุฎฺฐเกน นาภิํ ปรามสิ, กุจฺฉิยํ คโพฺภ ปติฎฺฐาสิฯ อถ นํ มหาสโตฺต อามเนฺตตฺวา ‘‘ภเทฺท, คโพฺภ เต ปติฎฺฐิโต, ตฺวํ ปุตฺตํ วิชายิสฺสสิ, ตฺวมฺปิ ปุโตฺตปิ เต ลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺตา ภวิสฺสถ, ตว ปาทโธวนอุทกํ สกลชมฺพุทีเป ราชูนํ อภิเสโกทกํ ภวิสฺสติ, นหาโนทกํ ปน เต อมโตสธํ ภวิสฺสติ, เย ตํ สีเส อาสิญฺจิสฺสนฺติ, เต สพฺพโรเคหิ มุจฺจิสฺสนฺติ, กาฬกณฺณิํ ปริวเชฺชสฺสนฺติ, ตว ปาทปิเฎฺฐ สีสํ ฐเปตฺวา วนฺทนฺตา สหสฺสํ ทสฺสนฺติ, โสตปเถ ฐตฺวา วนฺทนฺตา สตํ ทสฺสนฺติ, จกฺขุปเถ ฐตฺวา วนฺทนฺตา เอกํ กหาปณํ ทตฺวา วนฺทิสฺสนฺติ, อปฺปมตฺตา โหหี’’ติ นํ โอวทิตฺวา เคหา นิกฺขมิตฺวา มหาชนสฺส ปสฺสนฺตเสฺสว อุปฺปติตฺวา จนฺทมณฺฑลํ ปาวิสิฯ พฺรหฺมภตฺตา สนฺนิปติตฺวา ฐิตกาว รตฺติํ วีตินาเมตฺวา ปาโตว ทิฎฺฐมงฺคลิกํ สุวณฺณสิวิกํ อาโรเปตฺวา สีเสน อุกฺขิปิตฺวา นครํ ปวิสิํสุฯ ‘‘มหาพฺรหฺมภริยา’’ติ ตํ อุปสงฺกมิตฺวา มหาชโน คนฺธมาลาทีหิ ปูเชสิฯ ปาทปิเฎฺฐ สีสํ ฐเปตฺวา วนฺทิตุํ ลภนฺตา สหสฺสตฺถวิกํ เทนฺติ, โสตปเถ ฐตฺวา วนฺทิตุํ ลภนฺตา สตํ เทนฺติ, จกฺขุปเถ ฐตฺวา วนฺทิตุํ ลภนฺตา เอกํ กหาปณํ เทนฺติฯ เอวํ ทฺวาทสโยชนิกํ พาราณสิํ ตํ คเหตฺวา วิจรนฺตา อฎฺฐารสโกฎิธนํ ลภิํสุฯ
Tadā diṭṭhamaṅgalikā utunī hoti. Athassā aṅguṭṭhakena nābhiṃ parāmasi, kucchiyaṃ gabbho patiṭṭhāsi. Atha naṃ mahāsatto āmantetvā ‘‘bhadde, gabbho te patiṭṭhito, tvaṃ puttaṃ vijāyissasi, tvampi puttopi te lābhaggayasaggappattā bhavissatha, tava pādadhovanaudakaṃ sakalajambudīpe rājūnaṃ abhisekodakaṃ bhavissati, nahānodakaṃ pana te amatosadhaṃ bhavissati, ye taṃ sīse āsiñcissanti, te sabbarogehi muccissanti, kāḷakaṇṇiṃ parivajjessanti, tava pādapiṭṭhe sīsaṃ ṭhapetvā vandantā sahassaṃ dassanti, sotapathe ṭhatvā vandantā sataṃ dassanti, cakkhupathe ṭhatvā vandantā ekaṃ kahāpaṇaṃ datvā vandissanti, appamattā hohī’’ti naṃ ovaditvā gehā nikkhamitvā mahājanassa passantasseva uppatitvā candamaṇḍalaṃ pāvisi. Brahmabhattā sannipatitvā ṭhitakāva rattiṃ vītināmetvā pātova diṭṭhamaṅgalikaṃ suvaṇṇasivikaṃ āropetvā sīsena ukkhipitvā nagaraṃ pavisiṃsu. ‘‘Mahābrahmabhariyā’’ti taṃ upasaṅkamitvā mahājano gandhamālādīhi pūjesi. Pādapiṭṭhe sīsaṃ ṭhapetvā vandituṃ labhantā sahassatthavikaṃ denti, sotapathe ṭhatvā vandituṃ labhantā sataṃ denti, cakkhupathe ṭhatvā vandituṃ labhantā ekaṃ kahāpaṇaṃ denti. Evaṃ dvādasayojanikaṃ bārāṇasiṃ taṃ gahetvā vicarantā aṭṭhārasakoṭidhanaṃ labhiṃsu.
อถ นํ นครํ ปริหริตฺวา อาเนตฺวา นครมเชฺฌ มหามณฺฑปํ กาเรตฺวา สาณิํ ปริกฺขิปิตฺวา มหาสยนํ ปญฺญเปตฺวา มหเนฺตน สิริโสภเคฺคน ตตฺถ วสาเปสุํฯ มณฺฑปสนฺติเกเยว สตฺตทฺวารโกฎฺฐํ สตฺตภูมิกํ ปาสาทํ กาตุํ อารภิํสุ, มหนฺตํ นวกมฺมํ อโหสิฯ ทิฎฺฐมงฺคลิกา มณฺฑเปเยว ปุตฺตํ วิชายิฯ อถสฺส นามคฺคหณทิวเส พฺราหฺมณา สนฺนิปติตฺวา มณฺฑเป ชาตตฺตา ‘‘มณฺฑพฺยกุมาโร’’ติ นามํ กริํสุฯ ปาสาโท ปน ทสหิ มาเสหิ นิฎฺฐิโตฯ ตโต ปฎฺฐาย สา มหเนฺตน ยเสน ตสฺมิํ วสติ, มณฺฑพฺยกุมาโรปิ มหเนฺตน ปริวาเรน วฑฺฒติฯ ตสฺส สตฺตฎฺฐวสฺสกาเลเยว ชมฺพุทีปตเล อุตฺตมาจริยา สนฺนิปติํสุฯ เต ตํ ตโย เวเท อุคฺคณฺหาเปสุํฯ โส โสฬสวสฺสกาลโต ปฎฺฐาย พฺราหฺมณานํ ภตฺตํ ปฎฺฐเปสิ, นิพทฺธํ โสฬส พฺราหฺมณสหสฺสานิ ภุญฺชนฺติฯ จตุเตฺถ ทฺวารโกฎฺฐเก พฺราหฺมณานํ ทานํ เทติฯ
Atha naṃ nagaraṃ pariharitvā ānetvā nagaramajjhe mahāmaṇḍapaṃ kāretvā sāṇiṃ parikkhipitvā mahāsayanaṃ paññapetvā mahantena sirisobhaggena tattha vasāpesuṃ. Maṇḍapasantikeyeva sattadvārakoṭṭhaṃ sattabhūmikaṃ pāsādaṃ kātuṃ ārabhiṃsu, mahantaṃ navakammaṃ ahosi. Diṭṭhamaṅgalikā maṇḍapeyeva puttaṃ vijāyi. Athassa nāmaggahaṇadivase brāhmaṇā sannipatitvā maṇḍape jātattā ‘‘maṇḍabyakumāro’’ti nāmaṃ kariṃsu. Pāsādo pana dasahi māsehi niṭṭhito. Tato paṭṭhāya sā mahantena yasena tasmiṃ vasati, maṇḍabyakumāropi mahantena parivārena vaḍḍhati. Tassa sattaṭṭhavassakāleyeva jambudīpatale uttamācariyā sannipatiṃsu. Te taṃ tayo vede uggaṇhāpesuṃ. So soḷasavassakālato paṭṭhāya brāhmaṇānaṃ bhattaṃ paṭṭhapesi, nibaddhaṃ soḷasa brāhmaṇasahassāni bhuñjanti. Catutthe dvārakoṭṭhake brāhmaṇānaṃ dānaṃ deti.
อเถกสฺมิํ มหามหทิวเส เคเห พหุํ ปายาสํ ปฎิยาเทสุํฯ โสฬส พฺราหฺมณสหสฺสานิ จตุเตฺถ ทฺวารโกฎฺฐเก นิสีทิตฺวา สุวณฺณรสวเณฺณน นวสปฺปินา ปกฺกมธุขณฺฑสกฺขราหิ จ อภิสงฺขตํ ปายาสํ ปริภุญฺชนฺติฯ กุมาโรปิ สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิโต สุวณฺณปาทุกา อารุยฺห หเตฺถน กญฺจนทณฺฑํ คเหตฺวา ‘‘อิธ สปฺปิํ เทถ, อิธ มธุ’’นฺติ วิจาเรโนฺต จรติฯ ตสฺมิํ ขเณ มาตงฺคปณฺฑิโต หิมวเนฺต อสฺสมปเท นิสิโนฺน ‘‘กา นุ โข ทิฎฺฐมงฺคลิกาย ปุตฺตสฺส ปวตฺตี’’ติ โอโลเกโนฺต ตสฺส อติเตฺถ ปกฺขนฺทภาวํ ทิสฺวา ‘‘อเชฺชว คนฺตฺวา มาณวํ ทเมตฺวา ยตฺถ ทินฺนํ มหปฺผลํ โหติ, ตตฺถ ทานํ ทาเปตฺวา อาคมิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อากาเสน อโนตตฺตทหํ คนฺตฺวา มุขโธวนาทีนิ กตฺวา มโนสิลาตเล ฐิโต รตฺตทุปฎฺฎํ นิวาเสตฺวา กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ปํสุกูลสงฺฆาฎิํ ปารุปิตฺวา มตฺติกาปตฺตํ อาทาย อากาเสนาคนฺตฺวา จตุเตฺถ ทฺวารโกฎฺฐเก ทานเคฺคเยว โอตริตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ มณฺฑโพฺย กุมาโร อิโต จิโต จ โอโลเกโนฺต ตํ ทิสฺวา ‘‘เอวํวิรูโป สงฺการยกฺขสทิโส อยํ ปพฺพชิโต อิมํ ฐานํ อาคจฺฉโนฺต กุโต นุ โข อาคจฺฉตี’’ติ เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Athekasmiṃ mahāmahadivase gehe bahuṃ pāyāsaṃ paṭiyādesuṃ. Soḷasa brāhmaṇasahassāni catutthe dvārakoṭṭhake nisīditvā suvaṇṇarasavaṇṇena navasappinā pakkamadhukhaṇḍasakkharāhi ca abhisaṅkhataṃ pāyāsaṃ paribhuñjanti. Kumāropi sabbālaṅkārapaṭimaṇḍito suvaṇṇapādukā āruyha hatthena kañcanadaṇḍaṃ gahetvā ‘‘idha sappiṃ detha, idha madhu’’nti vicārento carati. Tasmiṃ khaṇe mātaṅgapaṇḍito himavante assamapade nisinno ‘‘kā nu kho diṭṭhamaṅgalikāya puttassa pavattī’’ti olokento tassa atitthe pakkhandabhāvaṃ disvā ‘‘ajjeva gantvā māṇavaṃ dametvā yattha dinnaṃ mahapphalaṃ hoti, tattha dānaṃ dāpetvā āgamissāmī’’ti cintetvā ākāsena anotattadahaṃ gantvā mukhadhovanādīni katvā manosilātale ṭhito rattadupaṭṭaṃ nivāsetvā kāyabandhanaṃ bandhitvā paṃsukūlasaṅghāṭiṃ pārupitvā mattikāpattaṃ ādāya ākāsenāgantvā catutthe dvārakoṭṭhake dānaggeyeva otaritvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Maṇḍabyo kumāro ito cito ca olokento taṃ disvā ‘‘evaṃvirūpo saṅkārayakkhasadiso ayaṃ pabbajito imaṃ ṭhānaṃ āgacchanto kuto nu kho āgacchatī’’ti tena saddhiṃ sallapanto paṭhamaṃ gāthamāha –
๑.
1.
‘‘กุโต นุ อาคจฺฉสิ ทุมฺมวาสี, โอตลฺลโก ปํสุปิสาจโกว;
‘‘Kuto nu āgacchasi dummavāsī, otallako paṃsupisācakova;
สงฺการโจฬํ ปฎิมุญฺจ กเณฺฐ, โก เร ตุวํ โหสิ อทกฺขิเณโยฺย’’ติฯ
Saṅkāracoḷaṃ paṭimuñca kaṇṭhe, ko re tuvaṃ hosi adakkhiṇeyyo’’ti.
ตตฺถ ทุมฺมวาสีติ อนญฺชิตอมณฺฑิตฆฎิตสงฺฆาฎิกปิโลติกวสโนฯ โอตลฺลโกติ ลามโก โอลมฺพวิลมฺพนนฺตกธโร วาฯ ปํสุปิสาจโกวาติ สงฺการฎฺฐาเน ปิสาจโก วิยฯ สงฺการโจฬนฺติ สงฺการฎฺฐาเน ลทฺธปิโลติกํฯ ปฎิมุญฺจาติ ปฎิมุญฺจิตฺวาฯ อทกฺขิเณโยฺยติ ตฺวํ อทกฺขิเณโยฺย อิเมสํ ปรมทกฺขิเณยฺยานํ นิสินฺนฎฺฐานํ เอโก หุตฺวา กุโต อาคโตฯ
Tattha dummavāsīti anañjitaamaṇḍitaghaṭitasaṅghāṭikapilotikavasano. Otallakoti lāmako olambavilambanantakadharo vā. Paṃsupisācakovāti saṅkāraṭṭhāne pisācako viya. Saṅkāracoḷanti saṅkāraṭṭhāne laddhapilotikaṃ. Paṭimuñcāti paṭimuñcitvā. Adakkhiṇeyyoti tvaṃ adakkhiṇeyyo imesaṃ paramadakkhiṇeyyānaṃ nisinnaṭṭhānaṃ eko hutvā kuto āgato.
ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต มุทุจิเตฺตเนว เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ทุติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā mahāsatto muducitteneva tena saddhiṃ sallapanto dutiyaṃ gāthamāha –
๒.
2.
‘‘อนฺนํ ตเวทํ ปกตํ ยสสฺสิ, ตํ ขชฺชเร ภุญฺชเร ปิยฺยเร จ;
‘‘Annaṃ tavedaṃ pakataṃ yasassi, taṃ khajjare bhuñjare piyyare ca;
ชานาสิ มํ ตฺวํ ปรทตฺตูปชีวิํ, อุตฺติฎฺฐปิณฺฑํ ลภตํ สปาโก’’ติฯ
Jānāsi maṃ tvaṃ paradattūpajīviṃ, uttiṭṭhapiṇḍaṃ labhataṃ sapāko’’ti.
ตตฺถ ปกตนฺติ ปฎิยตฺตํฯ ยสสฺสีติ ปริวารสมฺปนฺนฯ ตํ ขชฺชเรติ ตํ ขชฺชนฺติ จ ภุญฺชนฺติ จ ปิวนฺติ จฯ กิํการณา มยฺหํ กุชฺฌสิ? อุตฺติฎฺฐปิณฺฑนฺติ อุปติฎฺฐิตฺวา ลภิตพฺพปิณฺฑํ, อุฎฺฐาย ฐิเตหิ วา ทียมานํ เหฎฺฐา ฐตฺวา ลภิตพฺพปิณฺฑํฯ ลภตํ สปาโกติ สปาโก จณฺฑาโลปิ ลภตุฯ ชาติสมฺปนฺนา หิ ยตฺถ กตฺถจิ ลภนฺติ, สปากจณฺฑาลสฺส ปน โก เทติ, ทุลฺลภปิโณฺฑ อหํ, ตสฺมา เม ชีวิตปวตฺตนตฺถํ โภชนํ ทาเปหิ, กุมาราติฯ
Tattha pakatanti paṭiyattaṃ. Yasassīti parivārasampanna. Taṃ khajjareti taṃ khajjanti ca bhuñjanti ca pivanti ca. Kiṃkāraṇā mayhaṃ kujjhasi? Uttiṭṭhapiṇḍanti upatiṭṭhitvā labhitabbapiṇḍaṃ, uṭṭhāya ṭhitehi vā dīyamānaṃ heṭṭhā ṭhatvā labhitabbapiṇḍaṃ. Labhataṃ sapākoti sapāko caṇḍālopi labhatu. Jātisampannā hi yattha katthaci labhanti, sapākacaṇḍālassa pana ko deti, dullabhapiṇḍo ahaṃ, tasmā me jīvitapavattanatthaṃ bhojanaṃ dāpehi, kumārāti.
ตโต มณฺฑโพฺย คาถมาห –
Tato maṇḍabyo gāthamāha –
๓.
3.
‘‘อนฺนํ มเมทํ ปกตํ พฺราหฺมณานํ, อตฺตตฺถาย สทฺทหโต มเมทํ;
‘‘Annaṃ mamedaṃ pakataṃ brāhmaṇānaṃ, attatthāya saddahato mamedaṃ;
อเปหิ เอโตฺต กิมิธฎฺฐิโตสิ, น มาทิสา ตุมฺหํ ททนฺติ ชมฺมา’’ติฯ
Apehi etto kimidhaṭṭhitosi, na mādisā tumhaṃ dadanti jammā’’ti.
ตตฺถ อตฺตตฺถายาติ อตฺตโน วฑฺฒิอตฺถายฯ อเปหิ เอโตฺตติ อิมมฺหา ฐานา อปคจฺฉฯ น มาทิสาติ มาทิสา ชาติสมฺปนฺนานํ อุทิจฺจพฺราหฺมณานํ ทานํ เทนฺติ, น ตุยฺหํ จณฺฑาลสฺส, คจฺฉ, ชมฺมาติฯ
Tattha attatthāyāti attano vaḍḍhiatthāya. Apehi ettoti imamhā ṭhānā apagaccha. Na mādisāti mādisā jātisampannānaṃ udiccabrāhmaṇānaṃ dānaṃ denti, na tuyhaṃ caṇḍālassa, gaccha, jammāti.
ตโต มหาสโตฺต คาถมาห –
Tato mahāsatto gāthamāha –
๔.
4.
‘‘ถเล จ นิเนฺน จ วปนฺติ พีชํ, อนูปเขเตฺต ผลมาสมานา;
‘‘Thale ca ninne ca vapanti bījaṃ, anūpakhette phalamāsamānā;
เอตาย สทฺธาย ททาหิ ทานํ, อเปฺปว อาราธเย ทกฺขิเณเยฺย’’ติฯ
Etāya saddhāya dadāhi dānaṃ, appeva ārādhaye dakkhiṇeyye’’ti.
ตสฺสโตฺถ – กุมาร, สสฺสผลํ อาสีสมานา ตีสุปิ เขเตฺตสุ พีชํ วปนฺติฯ ตตฺถ อติวุฎฺฐิกาเล ถเล สสฺสํ สมฺปชฺชติ, นิเนฺน ปูติกํ โหติ, อนูปเขเตฺต นทิญฺจ ตฬากญฺจ นิสฺสาย กตํ โอเฆน วุยฺหติฯ มนฺทวุฎฺฐิกาเล ถเล เขเตฺต วิปชฺชติ, นิเนฺน โถกํ สมฺปชฺชติ, อนูปเขเตฺต สมฺปชฺชเตวฯ สมวุฎฺฐิกาเล ถเล เขเตฺต โถกํ สมฺปชฺชติ, อิตเรสุ สมฺปชฺชเตวฯ ตสฺมา ยถา ผลมาสีสมานา ตีสุปิ เขเตฺตสุ วปนฺติ, ตถา ตฺวมฺปิ เอตาย ผลสทฺธาย อาคตาคตานํ สเพฺพสํเยว ทานํ เทหิ, อเปฺปว นาม เอวํ ททโนฺต ทกฺขิเณเยฺย อาราเธยฺยาสิ ลเภยฺยาสีติฯ
Tassattho – kumāra, sassaphalaṃ āsīsamānā tīsupi khettesu bījaṃ vapanti. Tattha ativuṭṭhikāle thale sassaṃ sampajjati, ninne pūtikaṃ hoti, anūpakhette nadiñca taḷākañca nissāya kataṃ oghena vuyhati. Mandavuṭṭhikāle thale khette vipajjati, ninne thokaṃ sampajjati, anūpakhette sampajjateva. Samavuṭṭhikāle thale khette thokaṃ sampajjati, itaresu sampajjateva. Tasmā yathā phalamāsīsamānā tīsupi khettesu vapanti, tathā tvampi etāya phalasaddhāya āgatāgatānaṃ sabbesaṃyeva dānaṃ dehi, appeva nāma evaṃ dadanto dakkhiṇeyye ārādheyyāsi labheyyāsīti.
ตโต มณฺฑโพฺย คาถมาห –
Tato maṇḍabyo gāthamāha –
๕.
5.
‘‘เขตฺตานิ มยฺหํ วิทิตานิ โลเก, เยสาหํ พีชานิ ปติฎฺฐเปมิ;
‘‘Khettāni mayhaṃ viditāni loke, yesāhaṃ bījāni patiṭṭhapemi;
เย พฺราหฺมณา ชาติมนฺตูปปนฺนา, ตานีธ เขตฺตานิ สุเปสลานี’’ติฯ
Ye brāhmaṇā jātimantūpapannā, tānīdha khettāni supesalānī’’ti.
ตตฺถ เยสาหนฺติ เยสุ อหํฯ ชาติมนฺตูปปนฺนาติ ชาติยา จ มเนฺตหิ จ อุปปนฺนาฯ
Tattha yesāhanti yesu ahaṃ. Jātimantūpapannāti jātiyā ca mantehi ca upapannā.
ตโต มหาสโตฺต เทฺว คาถา อภาสิ –
Tato mahāsatto dve gāthā abhāsi –
๖.
6.
‘‘ชาติมโท จ อติมานิตา จ, โลโภ จ โทโส จ มโท จ โมโห;
‘‘Jātimado ca atimānitā ca, lobho ca doso ca mado ca moho;
เอเต อคุณา เยสุ จ สนฺติ สเพฺพ, ตานีธ เขตฺตานิ อเปสลานิฯ
Ete aguṇā yesu ca santi sabbe, tānīdha khettāni apesalāni.
๗.
7.
‘‘ชาติมโท จ อติมานิตา จ, โลโภ จ โทโส จ มโท จ โมโห;
‘‘Jātimado ca atimānitā ca, lobho ca doso ca mado ca moho;
เอเต อคุณา เยสุ น สนฺติ สเพฺพ, ตานีธ เขตฺตานิ สุเปสลานี’’ติฯ
Ete aguṇā yesu na santi sabbe, tānīdha khettāni supesalānī’’ti.
ตตฺถ ชาติมโทติ ‘‘อหมสฺมิ ชาติสมฺปโนฺน’’ติ เอวํ อุปฺปนฺนมาโนฯ อติมานิตา จาติ ‘‘อโญฺญ มยา สทฺธิํ ชาติอาทีหิ สทิโส นตฺถี’’ติ อติกฺกมฺม ปวตฺตมาโนฯ โลภาทโย ลุพฺภนทุสฺสนมชฺชนมุยฺหนมตฺตาวฯ อเปสลานีติ เอวรูปา ปุคฺคลา อาสีวิสภริตา วิย วมฺมิกา อปฺปิยสีลา โหนฺติฯ เอวรูปานํ ทินฺนํ น มหปฺผลํ โหติ, ตสฺมา มา เอเตสํ สุเปสลเขตฺตภาวํ มญฺญิตฺถฯ น หิ ชาติมนฺตา สคฺคทายกาฯ เย ปน ชาติมานาทิรหิตา อริยา, ตานิ เขตฺตานิ สุเปสลานิ, เตสุ ทินฺนํ มหปฺผลํ, เต สคฺคทายกา โหนฺตีติฯ
Tattha jātimadoti ‘‘ahamasmi jātisampanno’’ti evaṃ uppannamāno. Atimānitā cāti ‘‘añño mayā saddhiṃ jātiādīhi sadiso natthī’’ti atikkamma pavattamāno. Lobhādayo lubbhanadussanamajjanamuyhanamattāva. Apesalānīti evarūpā puggalā āsīvisabharitā viya vammikā appiyasīlā honti. Evarūpānaṃ dinnaṃ na mahapphalaṃ hoti, tasmā mā etesaṃ supesalakhettabhāvaṃ maññittha. Na hi jātimantā saggadāyakā. Ye pana jātimānādirahitā ariyā, tāni khettāni supesalāni, tesu dinnaṃ mahapphalaṃ, te saggadāyakā hontīti.
อิติ โส มหาสเตฺต ปุนปฺปุนํ กเถเนฺต กุชฺฌิตฺวา ‘‘อยํ อติวิย พหุํ วิปฺปลปติ, กุหิํ คตา อิเม โทวาริกา, นยิมํ จณฺฑาลํ นีหรนฺตี’’ติ คาถมาห –
Iti so mahāsatte punappunaṃ kathente kujjhitvā ‘‘ayaṃ ativiya bahuṃ vippalapati, kuhiṃ gatā ime dovārikā, nayimaṃ caṇḍālaṃ nīharantī’’ti gāthamāha –
๘.
8.
‘‘เกฺวตฺถ คตา อุปโชติโย จ, อุปชฺฌาโย อถ วา คณฺฑกุจฺฉิ;
‘‘Kvettha gatā upajotiyo ca, upajjhāyo atha vā gaṇḍakucchi;
อิมสฺส ทณฺฑญฺจ วธญฺจ ทตฺวา, คเล คเหตฺวา ขลยาถ ชมฺม’’นฺติฯ
Imassa daṇḍañca vadhañca datvā, gale gahetvā khalayātha jamma’’nti.
ตตฺถ เกฺวตฺถ คตาติ อิเมสุ ตีสุ ทฺวาเรสุ ฐปิตา อุปโชติโย จ อุปชฺฌาโย จ คณฺฑกุจฺฉิ จาติ ตโย โทวาริกา กุหิํ คตาติ อโตฺถฯ
Tattha kvettha gatāti imesu tīsu dvāresu ṭhapitā upajotiyo ca upajjhāyo ca gaṇḍakucchi cāti tayo dovārikā kuhiṃ gatāti attho.
เตปิ ตสฺส วจนํ สุตฺวา เวเคนาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘กิํ กโรม เทวา’’ติ อาหํสุฯ ‘‘อยํ โว ชโมฺม จณฺฑาโล ทิโฎฺฐ’’ติ? ‘‘น ปสฺสาม เทว, กุโตจิ อาคตภาวํ น ชานามา’’ติฯ ‘‘โก เจส มายากาโร วา วิชฺชาธโร วา ภวิสฺสติ, อิทานิ กิํ ติฎฺฐถา’’ติฯ ‘‘กิํ กโรม เทวา’’ติ? ‘‘อิมสฺส มุขเมว โปเถตฺวา ภินฺทนฺตา ทณฺฑเวฬุเปสิกาหิ ปิฎฺฐิจมฺมํ อุปฺปาเฎนฺตา วธญฺจ ทตฺวา คเล คเหตฺวา เอตํ ชมฺมํ ขลยาถ, อิโต นีหรถา’’ติฯ
Tepi tassa vacanaṃ sutvā vegenāgantvā vanditvā ‘‘kiṃ karoma devā’’ti āhaṃsu. ‘‘Ayaṃ vo jammo caṇḍālo diṭṭho’’ti? ‘‘Na passāma deva, kutoci āgatabhāvaṃ na jānāmā’’ti. ‘‘Ko cesa māyākāro vā vijjādharo vā bhavissati, idāni kiṃ tiṭṭhathā’’ti. ‘‘Kiṃ karoma devā’’ti? ‘‘Imassa mukhameva pothetvā bhindantā daṇḍaveḷupesikāhi piṭṭhicammaṃ uppāṭentā vadhañca datvā gale gahetvā etaṃ jammaṃ khalayātha, ito nīharathā’’ti.
มหาสโตฺต เตสุ อตฺตโน สนฺติกํ อนาคเตเสฺวว อุปฺปติตฺวา อากาเส ฐิโต คาถมาห –
Mahāsatto tesu attano santikaṃ anāgatesveva uppatitvā ākāse ṭhito gāthamāha –
๙.
9.
‘‘คิริํ นเขน ขณสิ, อโย ทเนฺตหิ ขาทสิ;
‘‘Giriṃ nakhena khaṇasi, ayo dantehi khādasi;
ชาตเวทํ ปทหสิ, โย อิสิํ ปริภาสสี’’ติฯ
Jātavedaṃ padahasi, yo isiṃ paribhāsasī’’ti.
ตตฺถ ชาตเวทํ ปทหสีติ อคฺคิํ คิลิตุํ วายมสิฯ
Tattha jātavedaṃ padahasīti aggiṃ gilituṃ vāyamasi.
อิมญฺจ ปน คาถํ วตฺวา มหาสโตฺต ปสฺสนฺตเสฺสว มาณวสฺส จ พฺราหฺมณานญฺจ อากาเส ปกฺขนฺทิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –
Imañca pana gāthaṃ vatvā mahāsatto passantasseva māṇavassa ca brāhmaṇānañca ākāse pakkhandi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –
๑๐.
10.
‘‘อิทํ วตฺวาน มาตโงฺค, อิสิ สจฺจปรกฺกโม;
‘‘Idaṃ vatvāna mātaṅgo, isi saccaparakkamo;
อนฺตลิกฺขสฺมิํ ปกฺกามิ, พฺราหฺมณานํ อุทิกฺขต’’นฺติฯ
Antalikkhasmiṃ pakkāmi, brāhmaṇānaṃ udikkhata’’nti.
ตตฺถ สจฺจปรกฺกโมติ สภาวปรกฺกโมฯ
Tattha saccaparakkamoti sabhāvaparakkamo.
โส ปาจีนทิสาภิมุโข คนฺตฺวา เอกาย วีถิยา โอตริตฺวา ‘‘ปทวฬญฺชํ ปญฺญายตู’’ติ อธิฎฺฐาย ปาจีนทฺวารสมีเป ปิณฺฑาย จรโนฺต มิสฺสกภตฺตํ สํกฑฺฒิตฺวา เอกิสฺสํ สาลายํ นิสีทิตฺวา มิสฺสกภตฺตํ ปริภุญฺชิ ฯ นครเทวตา ‘‘อยํ อมฺหากํ อยฺยํ วิเหเฐตฺวา กเถตี’’ติ อสหมานา อาคมิํสุฯ อถสฺส เชฎฺฐกยโกฺข มณฺฑพฺยสฺส คีวํ คเหตฺวา ปริวเตฺตสิ, เสสเทวตา เสสพฺราหฺมณานํ คีวํ คณฺหิตฺวา ปริวเตฺตสุํฯ โพธิสเตฺต มุทุจิตฺตตาย ปน ‘‘ตสฺส ปุโตฺต’’ติ นํ น มาเรนฺติ, เกวลํ กิลเมนฺติเยวฯ มณฺฑพฺยสฺส สีสํ ปริวตฺติตฺวา ปิฎฺฐิปสฺสาภิมุขํ ชาตํ, หตฺถปาทา อุชุกา ถทฺธาว อฎฺฐํสุ, อกฺขีนิ กาลกตเสฺสว ปริวตฺติํสุฯ โส ถทฺธสรีโรว นิปชฺชิ, เสสพฺราหฺมณา มุเขน เขฬํ วมนฺตา อปราปรํ ปริวตฺตนฺติ ฯ มาณวา ‘‘อเยฺย, ปุตฺตสฺส เต กิํ ชาต’’นฺติ ทิฎฺฐมงฺคลิกาย อาโรจยิํสุฯ สา เวเคน คนฺตฺวา ปุตฺตํ ทิสฺวา ‘‘กิเมต’’นฺติ วตฺวา คาถมาห –
So pācīnadisābhimukho gantvā ekāya vīthiyā otaritvā ‘‘padavaḷañjaṃ paññāyatū’’ti adhiṭṭhāya pācīnadvārasamīpe piṇḍāya caranto missakabhattaṃ saṃkaḍḍhitvā ekissaṃ sālāyaṃ nisīditvā missakabhattaṃ paribhuñji . Nagaradevatā ‘‘ayaṃ amhākaṃ ayyaṃ viheṭhetvā kathetī’’ti asahamānā āgamiṃsu. Athassa jeṭṭhakayakkho maṇḍabyassa gīvaṃ gahetvā parivattesi, sesadevatā sesabrāhmaṇānaṃ gīvaṃ gaṇhitvā parivattesuṃ. Bodhisatte muducittatāya pana ‘‘tassa putto’’ti naṃ na mārenti, kevalaṃ kilamentiyeva. Maṇḍabyassa sīsaṃ parivattitvā piṭṭhipassābhimukhaṃ jātaṃ, hatthapādā ujukā thaddhāva aṭṭhaṃsu, akkhīni kālakatasseva parivattiṃsu. So thaddhasarīrova nipajji, sesabrāhmaṇā mukhena kheḷaṃ vamantā aparāparaṃ parivattanti . Māṇavā ‘‘ayye, puttassa te kiṃ jāta’’nti diṭṭhamaṅgalikāya ārocayiṃsu. Sā vegena gantvā puttaṃ disvā ‘‘kimeta’’nti vatvā gāthamāha –
๑๑.
11.
‘‘อาเวลฺลิตํ ปิฎฺฐิโต อุตฺตมงฺคํ, พาหุํ ปสาเรติ อกมฺมเนยฺยํ;
‘‘Āvellitaṃ piṭṭhito uttamaṅgaṃ, bāhuṃ pasāreti akammaneyyaṃ;
เสตานิ อกฺขีนิ ยถา มตสฺส, โก เม อิมํ ปุตฺตมกาสิ เอว’’นฺติฯ
Setāni akkhīni yathā matassa, ko me imaṃ puttamakāsi eva’’nti.
ตตฺถ อาเวลฺลิตนฺติ ปริวตฺติตํฯ
Tattha āvellitanti parivattitaṃ.
อถสฺสา ตสฺมิํ ฐาเน ฐิตชโน อาโรเจตุํ คาถมาห –
Athassā tasmiṃ ṭhāne ṭhitajano ārocetuṃ gāthamāha –
๑๒.
12.
‘‘อิธาคมา สมโณ ทุมฺมวาสี, โอตลฺลโก ปํสุปิสาจโกว;
‘‘Idhāgamā samaṇo dummavāsī, otallako paṃsupisācakova;
สงฺการโจฬํ ปฎิมุญฺจ กเณฺฐ, โส เต อิมํ ปุตฺตมกาสิ เอว’’นฺติฯ
Saṅkāracoḷaṃ paṭimuñca kaṇṭhe, so te imaṃ puttamakāsi eva’’nti.
สา ตํ สุตฺวาว จิเนฺตสิ ‘‘อญฺญเสฺสตํ พลํ นตฺถิ, นิสฺสํสยํ มาตงฺคปณฺฑิโต ภวิสฺสติ, สมฺปนฺนเมตฺตาภาวโน โข ปน ธีโร น เอตฺตกํ ชนํ กิลเมตฺวา คมิสฺสติ, กตรํ นุ โข ทิสํ คโต ภวิสฺสตี’’ติฯ ตโต ปุจฺฉนฺตี คาถมาห –
Sā taṃ sutvāva cintesi ‘‘aññassetaṃ balaṃ natthi, nissaṃsayaṃ mātaṅgapaṇḍito bhavissati, sampannamettābhāvano kho pana dhīro na ettakaṃ janaṃ kilametvā gamissati, kataraṃ nu kho disaṃ gato bhavissatī’’ti. Tato pucchantī gāthamāha –
๑๓.
13.
‘‘กตมํ ทิสํ อคมา ภูริปโญฺญ, อกฺขาถ เม มาณวา เอตมตฺถํ;
‘‘Katamaṃ disaṃ agamā bhūripañño, akkhātha me māṇavā etamatthaṃ;
คนฺตฺวาน ตํ ปฎิกเรมุ อจฺจยํ, อเปฺปว นํ ปุตฺต ลเภมุ ชีวิต’’นฺติฯ
Gantvāna taṃ paṭikaremu accayaṃ, appeva naṃ putta labhemu jīvita’’nti.
ตตฺถ คนฺตฺวานาติ ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวาฯ ตํ ปฎิกเรมุ อจฺจยนฺติ ตํ อจฺจยํ ปฎิกริสฺสาม เทเสสฺสาม, ขมาเปสฺสาม นนฺติฯ ปุตฺต ลเภมุ ชีวิตนฺติ อเปฺปว นาม ปุตฺตสฺส ชีวิตํ ลเภยฺยามฯ
Tattha gantvānāti tassa santikaṃ gantvā. Taṃ paṭikaremu accayanti taṃ accayaṃ paṭikarissāma desessāma, khamāpessāma nanti. Putta labhemu jīvitanti appeva nāma puttassa jīvitaṃ labheyyāma.
อถสฺสา ตตฺถ ฐิตา มาณวา กเถนฺตา คาถมาหํสุ –
Athassā tattha ṭhitā māṇavā kathentā gāthamāhaṃsu –
๑๔.
14.
‘‘เวหายสํ อคมา ภูริปโญฺญ, ปถทฺธุโน ปนฺนรเสว จโนฺท;
‘‘Vehāyasaṃ agamā bhūripañño, pathaddhuno pannaraseva cando;
อปิ จาปิ โส ปุริมทิสํ อคจฺฉิ, สจฺจปฺปฎิโญฺญ อิสิ สาธุรูโป’’ติฯ
Api cāpi so purimadisaṃ agacchi, saccappaṭiñño isi sādhurūpo’’ti.
ตตฺถ ปถทฺธุโนติ อากาสปถสงฺขาตสฺส อทฺธุโน มเชฺฌ ฐิโต ปนฺนรเส จโนฺท วิยฯ อปิ จาปิ โสติ อปิจ โข ปน โส ปุรตฺถิมํ ทิสํ คโตฯ
Tattha pathaddhunoti ākāsapathasaṅkhātassa addhuno majjhe ṭhito pannarase cando viya. Api cāpi soti apica kho pana so puratthimaṃ disaṃ gato.
สา เตสํ วจนํ สุตฺวา ‘‘มม สามิกํ อุปธาเรสฺสามี’’ติ สุวณฺณกลสสุวณฺณสรกานิ คาหาเปตฺวา ทาสิคณปริวุตา เตน ปทวฬญฺชสฺส อธิฎฺฐิตฎฺฐานํ ปตฺวา เตนานุสาเรน คจฺฉนฺตี ตสฺมิํ ปีฐิกาย นิสีทิตฺวา ภุญฺชมาเน ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ โส ตํ ทิสฺวา โถกํ โอทนํ ปเตฺต ฐเปสิฯ ทิฎฺฐมงฺคลิกา สุวณฺณกลเสน ตสฺส อุทกํ อทาสิฯ โส ตเตฺถว หตฺถํ โธวิตฺวา มุขํ วิกฺขาเลสิฯ อถ นํ สา ‘‘เกน เม ปุตฺตสฺส โส วิปฺปกาโร กโต’’ติ ปุจฺฉนฺตี คาถมาห –
Sā tesaṃ vacanaṃ sutvā ‘‘mama sāmikaṃ upadhāressāmī’’ti suvaṇṇakalasasuvaṇṇasarakāni gāhāpetvā dāsigaṇaparivutā tena padavaḷañjassa adhiṭṭhitaṭṭhānaṃ patvā tenānusārena gacchantī tasmiṃ pīṭhikāya nisīditvā bhuñjamāne tassa santikaṃ gantvā vanditvā aṭṭhāsi. So taṃ disvā thokaṃ odanaṃ patte ṭhapesi. Diṭṭhamaṅgalikā suvaṇṇakalasena tassa udakaṃ adāsi. So tattheva hatthaṃ dhovitvā mukhaṃ vikkhālesi. Atha naṃ sā ‘‘kena me puttassa so vippakāro kato’’ti pucchantī gāthamāha –
๑๕.
15.
‘‘อาเวลฺลิตํ ปิฎฺฐิโต อุตฺตมงฺคํ, พาหุํ ปสาเรติ อกมฺมเนยฺยํ;
‘‘Āvellitaṃ piṭṭhito uttamaṅgaṃ, bāhuṃ pasāreti akammaneyyaṃ;
เสตานิ อกฺขีนิ ยถา มตสฺส, โก เม อิมํ ปุตฺตมกาสิ เอว’’นฺติฯ
Setāni akkhīni yathā matassa, ko me imaṃ puttamakāsi eva’’nti.
ตโต ปรา เตสํ วจนปฎิวจนคาถา โหนฺติ –
Tato parā tesaṃ vacanapaṭivacanagāthā honti –
๑๖.
16.
‘‘ยกฺขา หเว สนฺติ มหานุภาวา, อนฺวาคตา อิสโย สาธุรูปา;
‘‘Yakkhā have santi mahānubhāvā, anvāgatā isayo sādhurūpā;
เต ทุฎฺฐจิตฺตํ กุปิตํ วิทิตฺวา, ยกฺขา หิ เต ปุตฺตมกํสุ เอวํฯ
Te duṭṭhacittaṃ kupitaṃ viditvā, yakkhā hi te puttamakaṃsu evaṃ.
๑๗.
17.
‘‘ยกฺขา จ เม ปุตฺตมกํสุ เอวํ, ตฺวเญฺญว เม มา กุโทฺธ พฺรหฺมจาริ;
‘‘Yakkhā ca me puttamakaṃsu evaṃ, tvaññeva me mā kuddho brahmacāri;
ตุเมฺหว ปาเท สรณํ คตาสฺมิ, อนฺวาคตา ปุตฺตโสเกน ภิกฺขุฯ
Tumheva pāde saraṇaṃ gatāsmi, anvāgatā puttasokena bhikkhu.
๑๘.
18.
‘‘ตเทว หิ เอตรหิ จ มยฺหํ, มโนปโทโส น มมตฺถิ โกจิ;
‘‘Tadeva hi etarahi ca mayhaṃ, manopadoso na mamatthi koci;
ปุโตฺต จ เต เวทมเทน มโตฺต, อตฺถํ น ชานาติ อธิจฺจ เวเทฯ
Putto ca te vedamadena matto, atthaṃ na jānāti adhicca vede.
๑๙.
19.
‘‘อทฺธา หเว ภิกฺขุ มุหุตฺตเกน, สมฺมุยฺหเตว ปุริสสฺส สญฺญา;
‘‘Addhā have bhikkhu muhuttakena, sammuyhateva purisassa saññā;
เอกาปราธํ ขม ภูริปญฺญ, น ปณฺฑิตา โกธพลา ภวนฺตี’’ติฯ
Ekāparādhaṃ khama bhūripañña, na paṇḍitā kodhabalā bhavantī’’ti.
ตตฺถ ยกฺขาติ นครปริคฺคาหกยกฺขาฯ อนฺวาคตาติ อนุ อาคตา, อิสโย สาธุรูปา คุณสมฺปนฺนาติ เอวํ ชานมานาติ อโตฺถฯ เตติ เต อิสีนํ คุณํ ญตฺวา ตว ปุตฺตํ ทุฎฺฐจิตฺตํ กุปิตจิตฺตํ วิทิตฺวาฯ ตฺวเญฺญว เมติ สเจ ยกฺขา กุปิตา เอวมกํสุ, กโรนฺตุ, เทวตา นาม ปานียอุฬุงฺกมเตฺตน สนฺตเปฺปตุํ สกฺกา, ตสฺมาหํ เตสํ น ภายามิ, เกวลํ ตฺวเญฺญว เม ปุตฺตสฺส มา กุชฺฌิฯ อนฺวาคตาติ อาคตาสฺมิฯ ภิกฺขูติ มหาสตฺตํ อาลปนฺตี ปุตฺตสฺส ชีวิตทานํ ยาจติฯ ตเทว หีติ ทิฎฺฐมงฺคลิเก ตทา ตว ปุตฺตสฺส มํ อโกฺกสนกาเล จ มยฺหํ มโนปโทโส นตฺถิ, เอตรหิ จ ตยิ ยาจมานายปิ มม ตสฺมิํ มโนปโทโส นตฺถิเยวฯ เวทมเทนาติ ‘‘ตโย เวทา เม อุคฺคหิตา’’ติ มเทนฯ อธิจฺจาติ เวเท อุคฺคเหตฺวาปิ อตฺถานตฺถํ น ชานาติฯ มุหุตฺตเกนาติ ยํ กิญฺจิ อุคฺคเหตฺวา มุหุตฺตเกเนวฯ
Tattha yakkhāti nagarapariggāhakayakkhā. Anvāgatāti anu āgatā, isayo sādhurūpā guṇasampannāti evaṃ jānamānāti attho. Teti te isīnaṃ guṇaṃ ñatvā tava puttaṃ duṭṭhacittaṃ kupitacittaṃ viditvā. Tvaññeva meti sace yakkhā kupitā evamakaṃsu, karontu, devatā nāma pānīyauḷuṅkamattena santappetuṃ sakkā, tasmāhaṃ tesaṃ na bhāyāmi, kevalaṃ tvaññeva me puttassa mā kujjhi. Anvāgatāti āgatāsmi. Bhikkhūti mahāsattaṃ ālapantī puttassa jīvitadānaṃ yācati. Tadeva hīti diṭṭhamaṅgalike tadā tava puttassa maṃ akkosanakāle ca mayhaṃ manopadoso natthi, etarahi ca tayi yācamānāyapi mama tasmiṃ manopadoso natthiyeva. Vedamadenāti ‘‘tayo vedā me uggahitā’’ti madena. Adhiccāti vede uggahetvāpi atthānatthaṃ na jānāti. Muhuttakenāti yaṃ kiñci uggahetvā muhuttakeneva.
เอวํ ตาย ขมาปิยมาโน มหาสโตฺต ‘‘เตน หิ เอเตสํ ยกฺขานํ ปลายนตฺถาย อมโตสธํ ทสฺสามี’’ติ วตฺวา คาถมาห –
Evaṃ tāya khamāpiyamāno mahāsatto ‘‘tena hi etesaṃ yakkhānaṃ palāyanatthāya amatosadhaṃ dassāmī’’ti vatvā gāthamāha –
๒๐.
20.
‘‘อิทญฺจ มยฺหํ อุตฺติฎฺฐปิณฺฑํ, ตว มณฺฑโพฺย ภุญฺชตุ อปฺปปโญฺญ;
‘‘Idañca mayhaṃ uttiṭṭhapiṇḍaṃ, tava maṇḍabyo bhuñjatu appapañño;
ยกฺขา จ เต นํ น วิเหฐเยยฺยุํ, ปุโตฺต จ เต เหสฺสติ โส อโรโค’’ติฯ
Yakkhā ca te naṃ na viheṭhayeyyuṃ, putto ca te hessati so arogo’’ti.
ตตฺถ อุตฺติฎฺฐปิณฺฑนฺติ อุจฺฉิฎฺฐกปิณฺฑํ, ‘‘อุจฺฉิฎฺฐปิณฺฑ’’นฺติปิ ปาโฐฯ
Tattha uttiṭṭhapiṇḍanti ucchiṭṭhakapiṇḍaṃ, ‘‘ucchiṭṭhapiṇḍa’’ntipi pāṭho.
สา มหาสตฺตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘เทถ, สามิ, อมโตสธ’’นฺติ สุวณฺณสรกํ อุปนาเมสิฯ มหาสโตฺต อุจฺฉิฎฺฐกกญฺชิกํ ตตฺถ อาสิญฺจิตฺวา ‘‘ปฐมเญฺญว อิโต อุปฑฺฒํ ตว ปุตฺตสฺส มุเข โอสิญฺจิตฺวา เสสํ จาฎิยํ อุทเกน มิเสฺสตฺวา เสสพฺราหฺมณานํ มุเข โอสิเญฺจหิ, สเพฺพปิ นิโรคา ภวิสฺสนฺตี’’ติ วตฺวา อุปฺปติตฺวา หิมวนฺตเมว คโตฯ สาปิ ตํ สรกํ สีเสนาทาย ‘‘อมโตสธํ เม ลทฺธ’’นฺติ วทนฺตี นิเวสนํ คนฺตฺวา ปฐมํ ปุตฺตสฺส มุเข กญฺชิกํ โอสิญฺจิ, ยโกฺข ปลายิฯ อิตโร ปํสุํ ปุญฺฉโนฺต อุฎฺฐาย ‘‘อมฺม กิเมต’’นฺติ อาหฯ ตยา กตํ ตฺวเมว ชานิสฺสสิฯ เอหิ, ตาต, ตว ทกฺขิเณยฺยานํ เตสํ วิปฺปการํ ปสฺสาติฯ โส เต ทิสฺวา วิปฺปฎิสารี อโหสิฯ อถ นํ มาตา ‘‘ตาต มณฺฑพฺย, ตฺวํ พาโล ทานสฺส มหปฺผลฎฺฐานํ น ชานาสิ, ทกฺขิเณยฺยา นาม เอวรูปา น โหนฺติ, มาตงฺคปณฺฑิตสทิสาว โหนฺติ, อิโต ปฎฺฐาย มา เอเตสํ ทุสฺสีลานํ ทานมทาสิ, สีลวนฺตานํ เทหี’’ติ วตฺวา อาห –
Sā mahāsattassa vacanaṃ sutvā ‘‘detha, sāmi, amatosadha’’nti suvaṇṇasarakaṃ upanāmesi. Mahāsatto ucchiṭṭhakakañjikaṃ tattha āsiñcitvā ‘‘paṭhamaññeva ito upaḍḍhaṃ tava puttassa mukhe osiñcitvā sesaṃ cāṭiyaṃ udakena missetvā sesabrāhmaṇānaṃ mukhe osiñcehi, sabbepi nirogā bhavissantī’’ti vatvā uppatitvā himavantameva gato. Sāpi taṃ sarakaṃ sīsenādāya ‘‘amatosadhaṃ me laddha’’nti vadantī nivesanaṃ gantvā paṭhamaṃ puttassa mukhe kañjikaṃ osiñci, yakkho palāyi. Itaro paṃsuṃ puñchanto uṭṭhāya ‘‘amma kimeta’’nti āha. Tayā kataṃ tvameva jānissasi. Ehi, tāta, tava dakkhiṇeyyānaṃ tesaṃ vippakāraṃ passāti. So te disvā vippaṭisārī ahosi. Atha naṃ mātā ‘‘tāta maṇḍabya, tvaṃ bālo dānassa mahapphalaṭṭhānaṃ na jānāsi, dakkhiṇeyyā nāma evarūpā na honti, mātaṅgapaṇḍitasadisāva honti, ito paṭṭhāya mā etesaṃ dussīlānaṃ dānamadāsi, sīlavantānaṃ dehī’’ti vatvā āha –
๒๑.
21.
‘‘มณฺฑพฺย พาโลสิ ปริตฺตปโญฺญ, โย ปุญฺญเกฺขตฺตานมโกวิโทสิ;
‘‘Maṇḍabya bālosi parittapañño, yo puññakkhettānamakovidosi;
มหกฺกสาเวสุ ททาสิ ทานํ, กิลิฎฺฐกเมฺมสุ อสญฺญเตสุฯ
Mahakkasāvesu dadāsi dānaṃ, kiliṭṭhakammesu asaññatesu.
๒๒.
22.
‘‘ชฎา จ เกสา อชินา นิวตฺถา, ชรูทปานํว มุขํ ปรูฬฺหํ;
‘‘Jaṭā ca kesā ajinā nivatthā, jarūdapānaṃva mukhaṃ parūḷhaṃ;
ปชํ อิมํ ปสฺสถ ทุมฺมรูปํ, น ชฎาชินํ ตายติ อปฺปปญฺญํฯ
Pajaṃ imaṃ passatha dummarūpaṃ, na jaṭājinaṃ tāyati appapaññaṃ.
๒๓.
23.
‘‘เยสํ ราโค จ โทโส จ, อวิชฺชา จ วิราชิตา;
‘‘Yesaṃ rāgo ca doso ca, avijjā ca virājitā;
ขีณาสวา อรหโนฺต, เตสุ ทินฺนํ มหปฺผล’’นฺติฯ
Khīṇāsavā arahanto, tesu dinnaṃ mahapphala’’nti.
ตตฺถ มหกฺกสาเวสูติ มหากสาเวสุ มหเนฺตหิ ราคกสาวาทีหิ สมนฺนาคเตสุฯ ชฎา จ เกสาติ ตาต มณฺฑพฺย, ตว ทกฺขิเณเยฺยสุ เอกจฺจานํ เกสา ชฎา กตฺวา พทฺธาฯ อชินา นิวตฺถาติ สขุรานิ อชินจมฺมานิ นิวตฺถาฯ ชรูทปานํ วาติ ติณคหเนน ชิณฺณกูโป วิย มุขํ ทีฆมสฺสุตาย ปรูฬฺหํฯ ปชํ อิมนฺติ อิมํ เอวรูปํ อนญฺชิตามณฺฑิตลูขเวสํ ปชํ ปสฺสถฯ น ชฎาชินนฺติ เอตํ ชฎาชินํ อิมํ อปฺปปญฺญํ ปชํ ตายิตุํ น สโกฺกติ, สีลปญฺญาณตโปกมฺมาเนว อิเมสํ สตฺตานํ ปติฎฺฐา โหนฺติฯ เยสนฺติ ยสฺมา เยสํ เอเต รชฺชนทุสฺสนมุยฺหนสภาวา ราคาทโย อฎฺฐวตฺถุกา จ อวิชฺชา วิราชิตา วิคตา, วิคตตฺตาเยว จ เอเตสํ กิเลสานํ เย ขีณาสวา อรหโนฺต, เตสุ ทินฺนํ มหปฺผลํ, ตสฺมา ตฺวํ, ตาต, อิโต ปฎฺฐาย เอวรูปานํ ทุสฺสีลานํ อทตฺวา เย โลเก อฎฺฐสมาปตฺติลาภิโน ปญฺจาภิญฺญา ธมฺมิกสมณพฺราหฺมณา จ ปเจฺจกพุทฺธา จ สนฺติ, เตสํ ทานํ เทหิฯ เอหิ, ตาต, ตว กุลูปเก อมโตสธํ ปาเยตฺวา อโรเค กริสฺสามาติ วตฺวา อุจฺฉิฎฺฐกญฺชิกํ คาหาเปตฺวา อุทกจาฎิยํ ปกฺขิปิตฺวา โสฬสนฺนํ พฺราหฺมณสหสฺสานํ มุเขสุ อาสิญฺจาเปสิฯ
Tattha mahakkasāvesūti mahākasāvesu mahantehi rāgakasāvādīhi samannāgatesu. Jaṭā ca kesāti tāta maṇḍabya, tava dakkhiṇeyyesu ekaccānaṃ kesā jaṭā katvā baddhā. Ajinā nivatthāti sakhurāni ajinacammāni nivatthā. Jarūdapānaṃ vāti tiṇagahanena jiṇṇakūpo viya mukhaṃ dīghamassutāya parūḷhaṃ. Pajaṃ imanti imaṃ evarūpaṃ anañjitāmaṇḍitalūkhavesaṃ pajaṃ passatha. Na jaṭājinanti etaṃ jaṭājinaṃ imaṃ appapaññaṃ pajaṃ tāyituṃ na sakkoti, sīlapaññāṇatapokammāneva imesaṃ sattānaṃ patiṭṭhā honti. Yesanti yasmā yesaṃ ete rajjanadussanamuyhanasabhāvā rāgādayo aṭṭhavatthukā ca avijjā virājitā vigatā, vigatattāyeva ca etesaṃ kilesānaṃ ye khīṇāsavā arahanto, tesu dinnaṃ mahapphalaṃ, tasmā tvaṃ, tāta, ito paṭṭhāya evarūpānaṃ dussīlānaṃ adatvā ye loke aṭṭhasamāpattilābhino pañcābhiññā dhammikasamaṇabrāhmaṇā ca paccekabuddhā ca santi, tesaṃ dānaṃ dehi. Ehi, tāta, tava kulūpake amatosadhaṃ pāyetvā aroge karissāmāti vatvā ucchiṭṭhakañjikaṃ gāhāpetvā udakacāṭiyaṃ pakkhipitvā soḷasannaṃ brāhmaṇasahassānaṃ mukhesu āsiñcāpesi.
เอเกโก ปํสุํ ปุญฺฉโนฺตว อุฎฺฐหิฯ อถ เน พฺราหฺมณา ‘‘อิเมหิ จณฺฑาลุจฺฉิฎฺฐกํ ปีต’’นฺติ อพฺราหฺมเณ กริํสุฯ เต ลชฺชิตา พาราณสิโต นิกฺขมิตฺวา มชฺฌรฎฺฐํ คนฺตฺวา มชฺฌรโญฺญ สนฺติเก วสิํสุ, มณฺฑโพฺย ปน ตเตฺถว วสิฯ ตทา เวตฺตวตีนครํ อุปนิสฺสาย เวตฺตวตีนทีตีเร ชาติมโนฺต นาเมโก พฺราหฺมโณ ปพฺพชิโต ชาติํ นิสฺสาย มหนฺตํ มานมกาสิฯ มหาสโตฺต ‘‘เอตสฺส มานํ ภินฺทิสฺสามี’’ติ ตํ ฐานํ คนฺตฺวา ตสฺส สนฺติเก อุปริโสเต วาสํ กเปฺปสิฯ โส เอกทิวสํ ทนฺตกฎฺฐํ ขาทิตฺวา ‘‘อิมํ ทนฺตกฎฺฐํ ชาติมนฺตสฺส ชฎาสุ ลคฺคตู’’ติ อธิฎฺฐาย นทิยํ ปาเตสิฯ ตํ ตสฺส อุทกํ อาจมนฺตสฺส ชฎาสุ ลคฺคิฯ โส ตํ ทิสฺวาว ‘‘นสฺส วสลา’’ติ วตฺวา ‘‘กุโต อยํ กาฬกณฺณี อาคโต, อุปธาเรสฺสามิ น’’นฺติ อุทฺธํโสตํ คจฺฉโนฺต มหาสตฺตํ ทิสฺวา ‘‘กิํชาติโกสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘จณฺฑาโลสฺมี’’ติฯ ‘‘ตยา นทิยา ทนฺตกฎฺฐํ ปาติต’’นฺติ ? ‘‘อาม, มยา’’ติฯ ‘‘นสฺส, วสล, จณฺฑาล กาฬกณฺณิ มา อิธ วสิ, เหฎฺฐาโสเต วสาหี’’ติ วตฺวา เหฎฺฐาโสเต วสเนฺตนปิ เตน ปาติเต ทนฺตกเฎฺฐ ปฎิโสตํ อาคนฺตฺวา ชฎาสุ ลคฺคเนฺต โส ‘‘นสฺส วสล, สเจ อิธ วสิสฺสสิ, สตฺตเม ทิวเส สตฺตธา มุทฺธา ผลิสฺสตี’’ติ อาหฯ
Ekeko paṃsuṃ puñchantova uṭṭhahi. Atha ne brāhmaṇā ‘‘imehi caṇḍālucchiṭṭhakaṃ pīta’’nti abrāhmaṇe kariṃsu. Te lajjitā bārāṇasito nikkhamitvā majjharaṭṭhaṃ gantvā majjharañño santike vasiṃsu, maṇḍabyo pana tattheva vasi. Tadā vettavatīnagaraṃ upanissāya vettavatīnadītīre jātimanto nāmeko brāhmaṇo pabbajito jātiṃ nissāya mahantaṃ mānamakāsi. Mahāsatto ‘‘etassa mānaṃ bhindissāmī’’ti taṃ ṭhānaṃ gantvā tassa santike uparisote vāsaṃ kappesi. So ekadivasaṃ dantakaṭṭhaṃ khāditvā ‘‘imaṃ dantakaṭṭhaṃ jātimantassa jaṭāsu laggatū’’ti adhiṭṭhāya nadiyaṃ pātesi. Taṃ tassa udakaṃ ācamantassa jaṭāsu laggi. So taṃ disvāva ‘‘nassa vasalā’’ti vatvā ‘‘kuto ayaṃ kāḷakaṇṇī āgato, upadhāressāmi na’’nti uddhaṃsotaṃ gacchanto mahāsattaṃ disvā ‘‘kiṃjātikosī’’ti pucchi. ‘‘Caṇḍālosmī’’ti. ‘‘Tayā nadiyā dantakaṭṭhaṃ pātita’’nti ? ‘‘Āma, mayā’’ti. ‘‘Nassa, vasala, caṇḍāla kāḷakaṇṇi mā idha vasi, heṭṭhāsote vasāhī’’ti vatvā heṭṭhāsote vasantenapi tena pātite dantakaṭṭhe paṭisotaṃ āgantvā jaṭāsu laggante so ‘‘nassa vasala, sace idha vasissasi, sattame divase sattadhā muddhā phalissatī’’ti āha.
มหาสโตฺต ‘‘สจาหํ เอตสฺส กุชฺฌิสฺสามิ, สีลํ เม อรกฺขิตํ ภวิสฺสติ, อุปาเยเนวสฺส มานํ ภินฺทิสฺสามี’’ติ สตฺตเม ทิวเส สูริยุคฺคมนํ นิวาเรสิฯ มนุสฺสา อุพฺพาฬฺหา ชาติมนฺตํ ตาปสํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห สูริยุคฺคมนํ น เทถา’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ โส อาห – ‘‘น เม ตํ กมฺมํ, นทีตีเร ปเนโก จณฺฑาโล วสติ, ตเสฺสตํ กมฺมํ ภวิสฺสตี’’ติฯ มนุสฺสา มหาสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ตุเมฺห, ภเนฺต, สูริยุคฺคมนํ น เทถา’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘อามาวุโส’’ติฯ ‘‘กิํการณา’’ติฯ ‘‘ตุมฺหากํ กุลูปโก ตาปโส มํ นิรปราธํ อภิสปิ, ตสฺมิํ อาคนฺตฺวา ขมาปนตฺถาย มม ปาเทสุ ปติเต สูริยํ วิสฺสเชฺชสฺสามี’’ติฯ เต คนฺตฺวา ตํ กฑฺฒนฺตา อาเนตฺวา มหาสตฺตสฺส ปาทมูเล นิปชฺชาเปตฺวา ขมาเปตฺวา อาหํสุ ‘‘สูริยํ วิสฺสเชฺชถ ภเนฺต’’ติฯ ‘‘น สกฺกา วิสฺสเชฺชตุํ, สจาหํ วิสฺสเชฺชสฺสามิ, อิมสฺส สตฺตธา มุทฺธา ผลิสฺสตี’’ติฯ ‘‘อถ, ภเนฺต, กิํ กโรมา’’ติ? โส ‘‘มตฺติกาปิณฺฑํ อาหรถา’’ติ อาหราเปตฺวา ‘‘อิมํ ตาปสสฺส สีเส ฐเปตฺวา ตาปสํ โอตาเรตฺวา อุทเก ฐเปถา’’ติ ฐปาเปตฺวา สูริยํ วิสฺสเชฺชสิฯ สูริยรสฺมีหิ ปหฎมเตฺต มตฺติกาปิโณฺฑ สตฺตธา ภิชฺชิ, ตาปโส อุทเก นิมุชฺชิฯ
Mahāsatto ‘‘sacāhaṃ etassa kujjhissāmi, sīlaṃ me arakkhitaṃ bhavissati, upāyenevassa mānaṃ bhindissāmī’’ti sattame divase sūriyuggamanaṃ nivāresi. Manussā ubbāḷhā jātimantaṃ tāpasaṃ upasaṅkamitvā ‘‘bhante, tumhe sūriyuggamanaṃ na dethā’’ti pucchiṃsu. So āha – ‘‘na me taṃ kammaṃ, nadītīre paneko caṇḍālo vasati, tassetaṃ kammaṃ bhavissatī’’ti. Manussā mahāsattaṃ upasaṅkamitvā ‘‘tumhe, bhante, sūriyuggamanaṃ na dethā’’ti pucchiṃsu. ‘‘Āmāvuso’’ti. ‘‘Kiṃkāraṇā’’ti. ‘‘Tumhākaṃ kulūpako tāpaso maṃ niraparādhaṃ abhisapi, tasmiṃ āgantvā khamāpanatthāya mama pādesu patite sūriyaṃ vissajjessāmī’’ti. Te gantvā taṃ kaḍḍhantā ānetvā mahāsattassa pādamūle nipajjāpetvā khamāpetvā āhaṃsu ‘‘sūriyaṃ vissajjetha bhante’’ti. ‘‘Na sakkā vissajjetuṃ, sacāhaṃ vissajjessāmi, imassa sattadhā muddhā phalissatī’’ti. ‘‘Atha, bhante, kiṃ karomā’’ti? So ‘‘mattikāpiṇḍaṃ āharathā’’ti āharāpetvā ‘‘imaṃ tāpasassa sīse ṭhapetvā tāpasaṃ otāretvā udake ṭhapethā’’ti ṭhapāpetvā sūriyaṃ vissajjesi. Sūriyarasmīhi pahaṭamatte mattikāpiṇḍo sattadhā bhijji, tāpaso udake nimujji.
มหาสโตฺต ตํ ทเมตฺวา ‘‘กหํ นุ โข ทานิ โสฬส พฺราหฺมณสหสฺสานิ วสนฺตี’’ติ อุปธาเรโนฺต ‘‘มชฺฌรโญฺญ สนฺติเก’’ติ ญตฺวา ‘‘เต ทเมสฺสามี’’ติ อิทฺธิยา คนฺตฺวา นครสามเนฺต โอตริตฺวา ปตฺตํ อาทาย นคเร ปิณฺฑาย จริฯ พฺราหฺมณา ตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ อิธ เอกํ เทฺว ทิวเส วสโนฺตปิ อเมฺห อปฺปติเฎฺฐ กริสฺสตี’’ติ เวเคน คนฺตฺวา ‘‘มหาราช, มายากาโร เอโก วิชฺชาธโร โจโร อาคโต, คณฺหาเปถ น’’นฺติ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ มหาสโตฺตปิ มิสฺสกภตฺตํ อาทาย อญฺญตรํ กุฎฺฎํ นิสฺสาย ปีฐิกาย นิสิโนฺน ภุญฺชติฯ อถ นํ อญฺญวิหิตกํ อาหารํ ปริภุญฺชมานเมว รญฺญา ปหิตปุริสา อสินา คีวํ ปหริตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปสุํฯ โส กาลํ กตฺวา พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติฯ อิมสฺมิํ กิร ชาตเก โพธิสโตฺต โกณฺฑทมโก อโหสิฯ โส เตเนว ปรตนฺติยุตฺตภาเวน ชีวิตกฺขยํ ปาปุณิฯ เทวตา กุชฺฌิตฺวา สกลเมว มชฺฌรฎฺฐํ อุณฺหํ กุกฺกุฬวสฺสํ วสฺสาเปตฺวา รฎฺฐํ อรฎฺฐมกํสุฯ เตน วุตฺตํ –
Mahāsatto taṃ dametvā ‘‘kahaṃ nu kho dāni soḷasa brāhmaṇasahassāni vasantī’’ti upadhārento ‘‘majjharañño santike’’ti ñatvā ‘‘te damessāmī’’ti iddhiyā gantvā nagarasāmante otaritvā pattaṃ ādāya nagare piṇḍāya cari. Brāhmaṇā taṃ disvā ‘‘ayaṃ idha ekaṃ dve divase vasantopi amhe appatiṭṭhe karissatī’’ti vegena gantvā ‘‘mahārāja, māyākāro eko vijjādharo coro āgato, gaṇhāpetha na’’nti rañño ārocesuṃ. Rājā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Mahāsattopi missakabhattaṃ ādāya aññataraṃ kuṭṭaṃ nissāya pīṭhikāya nisinno bhuñjati. Atha naṃ aññavihitakaṃ āhāraṃ paribhuñjamānameva raññā pahitapurisā asinā gīvaṃ paharitvā jīvitakkhayaṃ pāpesuṃ. So kālaṃ katvā brahmaloke nibbatti. Imasmiṃ kira jātake bodhisatto koṇḍadamako ahosi. So teneva paratantiyuttabhāvena jīvitakkhayaṃ pāpuṇi. Devatā kujjhitvā sakalameva majjharaṭṭhaṃ uṇhaṃ kukkuḷavassaṃ vassāpetvā raṭṭhaṃ araṭṭhamakaṃsu. Tena vuttaṃ –
‘‘อุปหจฺจ มนํ มโชฺฌ, มาตงฺคสฺมิํ ยสสฺสิเน;
‘‘Upahacca manaṃ majjho, mātaṅgasmiṃ yasassine;
สปาริสโชฺช อุจฺฉิโนฺน, มชฺฌารญฺญํ ตทา อหู’’ติฯ (ชา. ๒.๑๙.๙๖);
Sapārisajjo ucchinno, majjhāraññaṃ tadā ahū’’ti. (jā. 2.19.96);
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น อิทาเนว, ปุเพฺพปิ อุเทโน ปพฺพชิเต วิเหเฐสิเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา มณฺฑโพฺย อุเทโน อโหสิ, มาตงฺคปณฺฑิโต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na idāneva, pubbepi udeno pabbajite viheṭhesiyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā maṇḍabyo udeno ahosi, mātaṅgapaṇḍito pana ahameva ahosi’’nti.
มาตงฺคชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ
Mātaṅgajātakavaṇṇanā paṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๙๗. มาตงฺคชาตกํ • 497. Mātaṅgajātakaṃ