Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปฎิสมฺภิทามคฺค-อฎฺฐกถา • Paṭisambhidāmagga-aṭṭhakathā

    (๑) มหาวโคฺค

    (1) Mahāvaggo

    ๑. ญาณกถา

    1. Ñāṇakathā

    มาติกาวณฺณนา

    Mātikāvaṇṇanā

    . ตตฺถ อุเทฺทเส ตาว โสตาวธาเน ปญฺญา สุตมเย ญาณนฺติ เอตฺถ โสตสโทฺท อเนกตฺถปฺปเภโทฯ ตถา เหส –

    1. Tattha uddese tāva sotāvadhāne paññā sutamaye ñāṇanti ettha sotasaddo anekatthappabhedo. Tathā hesa –

    มํสวิญฺญาณญาเณสุ, ตณฺหาทีสุ จ ทิสฺสติ;

    Maṃsaviññāṇañāṇesu, taṇhādīsu ca dissati;

    ธารายํ อริยมเคฺค, จิตฺตสนฺตติยมฺปิ จฯ

    Dhārāyaṃ ariyamagge, cittasantatiyampi ca.

    ‘‘โสตายตนํ โสตธาตุ โสตินฺทฺริย’’นฺติอาทีสุ (วิภ. ๑๕๗) หิ อยํ โสตสโทฺท มํสโสเต ทิสฺสติฯ ‘‘โสเตน สทฺทํ สุตฺวา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๙๕) โสตวิญฺญาเณฯ ‘‘ทิพฺพาย โสตธาตุยา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๓๕๖) ญาณโสเตฯ ‘‘ยานิ โสตานิ โลกสฺมินฺติ ยานิ เอตานิ โสตานิ มยา กิตฺติตานิ ปกิตฺติตานิ อาจิกฺขิตานิ เทสิตานิ ปญฺญปิตานิ ปฎฺฐปิตานิ วิวริตานิ วิภตฺตานิ อุตฺตานีกตานิ ปกาสิตานิฯ เสยฺยถิทํ – ตณฺหาโสโต ทิฎฺฐิโสโต กิเลสโสโต ทุจฺจริตโสโต อวิชฺชาโสโต’’ติอาทีสุ (จูฬนิ. อชิตมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๔) ตณฺหาทีสุ ปญฺจสุ ธเมฺมสุฯ ‘‘อทฺทสา โข ภควา มหนฺตํ ทารุกฺขนฺธํ คงฺคาย นทิยา โสเตน วุยฺหมาน’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๒๔๑) อุทกธารายํฯ ‘‘อริยเสฺสตํ, อาวุโส, อฎฺฐงฺคิกสฺส มคฺคสฺส อธิวจนํ, ยทิทํ โสโต’’ติอาทีสุ อริยมเคฺคฯ ‘‘ปุริสสฺส จ วิญฺญาณโสตํ ปชานาติ อุภยโต อโพฺพจฺฉินฺนํ อิธ โลเก ปติฎฺฐิตญฺจ ปรโลเก ปติฎฺฐิตญฺจา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๑๔๙) จิตฺตสนฺตติยํ ฯ อิธ ปนายํ มํสโสเต ทฎฺฐโพฺพฯ เตน โสเตน เหตุภูเตน, กรณภูเตน วา อวธียติ อวตฺถาปียติ อปฺปียตีติ โสตาวธานํฯ กิํ ตํ? สุตํฯ สุตญฺจ นาม ‘‘พหุสฺสุโต โหติ สุตธโร สุตสนฺนิจโย’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๓๙) วิย โสตทฺวารานุสาเรน วิญฺญาตํ อวธาริตํ ธมฺมชาตํ, ตํ อิธ โสตาวธานนฺติ วุตฺตํฯ ตสฺมิํ โสตาวธานสงฺขาเต สุเต ปวตฺตา ปญฺญา โสตาวธาเน ปญฺญาฯ ปญฺญาติ จ ตสฺส ตสฺส อตฺถสฺส ปากฎกรณสงฺขาเตน ปญฺญาปนเฎฺฐน ปญฺญา, เตน เตน วา อนิจฺจาทินา ปกาเรน ธเมฺม ชานาตีติปิ ปญฺญาฯ

    ‘‘Sotāyatanaṃ sotadhātu sotindriya’’ntiādīsu (vibha. 157) hi ayaṃ sotasaddo maṃsasote dissati. ‘‘Sotena saddaṃ sutvā’’tiādīsu (ma. ni. 1.295) sotaviññāṇe. ‘‘Dibbāya sotadhātuyā’’tiādīsu (dī. ni. 3.356) ñāṇasote. ‘‘Yāni sotāni lokasminti yāni etāni sotāni mayā kittitāni pakittitāni ācikkhitāni desitāni paññapitāni paṭṭhapitāni vivaritāni vibhattāni uttānīkatāni pakāsitāni. Seyyathidaṃ – taṇhāsoto diṭṭhisoto kilesasoto duccaritasoto avijjāsoto’’tiādīsu (cūḷani. ajitamāṇavapucchāniddesa 4) taṇhādīsu pañcasu dhammesu. ‘‘Addasā kho bhagavā mahantaṃ dārukkhandhaṃ gaṅgāya nadiyā sotena vuyhamāna’’ntiādīsu (saṃ. ni. 4.241) udakadhārāyaṃ. ‘‘Ariyassetaṃ, āvuso, aṭṭhaṅgikassa maggassa adhivacanaṃ, yadidaṃ soto’’tiādīsu ariyamagge. ‘‘Purisassa ca viññāṇasotaṃ pajānāti ubhayato abbocchinnaṃ idha loke patiṭṭhitañca paraloke patiṭṭhitañcā’’tiādīsu (dī. ni. 3.149) cittasantatiyaṃ . Idha panāyaṃ maṃsasote daṭṭhabbo. Tena sotena hetubhūtena, karaṇabhūtena vā avadhīyati avatthāpīyati appīyatīti sotāvadhānaṃ. Kiṃ taṃ? Sutaṃ. Sutañca nāma ‘‘bahussuto hoti sutadharo sutasannicayo’’tiādīsu (ma. ni. 1.339) viya sotadvārānusārena viññātaṃ avadhāritaṃ dhammajātaṃ, taṃ idha sotāvadhānanti vuttaṃ. Tasmiṃ sotāvadhānasaṅkhāte sute pavattā paññā sotāvadhāne paññā. Paññāti ca tassa tassa atthassa pākaṭakaraṇasaṅkhātena paññāpanaṭṭhena paññā, tena tena vā aniccādinā pakārena dhamme jānātītipi paññā.

    สุตมเย ญาณนฺติ เอตฺถ สุตสโทฺท ตาว สอุปสโคฺค อนุปสโคฺค จ –

    Sutamayeñāṇanti ettha sutasaddo tāva saupasaggo anupasaggo ca –

    คมเน วิสฺสุเต ติเนฺตนุโยโคปจิเตปิ จ;

    Gamane vissute tintenuyogopacitepi ca;

    สเทฺท จ โสตทฺวารานุสารญาเต จ ทิสฺสติฯ

    Sadde ca sotadvārānusārañāte ca dissati.

    ตถา หิสฺส ‘‘เสนาย ปสุโต’’ติอาทีสุ คจฺฉโนฺตติ อโตฺถฯ ‘‘สุตธมฺมสฺส ปสฺสโต’’ติอาทีสุ (อุทา. ๑๑; มหาว. ๕) วิสฺสุตธมฺมสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘อวสฺสุตา อวสฺสุตสฺส ปุริสปุคฺคลสฺสา’’ติอาทีสุ (ปาจิ. ๖๕๗) ตินฺตา ตินฺตสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘เย ฌานปสุตา ธีรา’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๑๘๑) อนุยุตฺตาติ อโตฺถฯ ‘‘ตุเมฺหหิ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปก’’นฺติอาทีสุ (ขุ. ปา. ๗.๑๒; เป. ว. ๒๕) อุปจิตนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ทิฎฺฐํ สุตํ มุตํ วิญฺญาต’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๔๑) สโทฺทติ อโตฺถฯ ‘‘พหุสฺสุโต โหติ สุตธโร สุตสนฺนิจโย’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๓๙) โสตทฺวารานุสารวิญฺญาตธโรติ อโตฺถฯ อิธ ปนสฺส โสตทฺวารานุสาเรน วิญฺญาตํ อุปธาริตนฺติ อโตฺถฯ สุตมเย ญาณนฺติ ยา เอสา เอตํ สุตํ วิญฺญาตํ อวธาริตํ สทฺธมฺมํ อารพฺภ อารมฺมณํ กตฺวา สพฺพปฐมญฺจ อปราปรญฺจ ปวตฺตา ปญฺญา, ตํ ‘‘สุตมเย ญาณ’’นฺติ วุตฺตํ โหติ, สุตมยํ ญาณนฺติ อโตฺถฯ สุตมเยติ จ ปจฺจตฺตวจนเมตํ, ยถา ‘‘น เหวํ วตฺตเพฺพ’’ (กถา. ๑, ๑๕-๑๘)ฯ ‘‘วนปฺปคุเมฺพ ยถา ผุสฺสิตเคฺค’’ (ขุ. ปา. ๖.๑๓; สุ. นิ. ๒๓๖)ฯ ‘‘นตฺถิ อตฺตกาเร นตฺถิ ปรกาเร นตฺถิ ปุริสกาเร’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๑๖๘) ปจฺจตฺตวจนํ, เอวมิธาปิ ทฎฺฐพฺพํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สุตมยํ ญาณนฺติ อโตฺถ’’ติฯ

    Tathā hissa ‘‘senāya pasuto’’tiādīsu gacchantoti attho. ‘‘Sutadhammassa passato’’tiādīsu (udā. 11; mahāva. 5) vissutadhammassāti attho. ‘‘Avassutā avassutassa purisapuggalassā’’tiādīsu (pāci. 657) tintā tintassāti attho. ‘‘Ye jhānapasutā dhīrā’’tiādīsu (dha. pa. 181) anuyuttāti attho. ‘‘Tumhehi puññaṃ pasutaṃ anappaka’’ntiādīsu (khu. pā. 7.12; pe. va. 25) upacitanti attho. ‘‘Diṭṭhaṃ sutaṃ mutaṃ viññāta’’ntiādīsu (ma. ni. 1.241) saddoti attho. ‘‘Bahussuto hoti sutadharo sutasannicayo’’tiādīsu (ma. ni. 1.339) sotadvārānusāraviññātadharoti attho. Idha panassa sotadvārānusārena viññātaṃ upadhāritanti attho. Sutamaye ñāṇanti yā esā etaṃ sutaṃ viññātaṃ avadhāritaṃ saddhammaṃ ārabbha ārammaṇaṃ katvā sabbapaṭhamañca aparāparañca pavattā paññā, taṃ ‘‘sutamaye ñāṇa’’nti vuttaṃ hoti, sutamayaṃ ñāṇanti attho. Sutamayeti ca paccattavacanametaṃ, yathā ‘‘na hevaṃ vattabbe’’ (kathā. 1, 15-18). ‘‘Vanappagumbe yathā phussitagge’’ (khu. pā. 6.13; su. ni. 236). ‘‘Natthi attakāre natthi parakāre natthi purisakāre’’tiādīsu (dī. ni. 1.168) paccattavacanaṃ, evamidhāpi daṭṭhabbaṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘sutamayaṃ ñāṇanti attho’’ti.

    อถ วา สุเตน ปกโต ผสฺสาทิโก ธมฺมปุโญฺช สุตมโย, ตสฺมิํ สุตมเย ธมฺมปุเญฺช ปวตฺตํ ตํสมฺปยุตฺตํ ญาณํ สุตมเย ญาณํฯ สภาวสามญฺญลกฺขณวเสน ธเมฺม ชานาตีติ ญาณํฯ ตํเยว ญาณํ ปริยายวจเนน อธิปฺปายปกาสนตฺถํ อนิยเมน ‘‘ปญฺญา’’ติ วตฺวา ปจฺฉา อธิเปฺปตํ ‘‘ญาณ’’นฺติ นิยเมตฺวา วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ญาณญฺจ นาม สภาวปฎิเวธลกฺขณํ, อกฺขลิตปฎิเวธลกฺขณํ วา กุสลิสฺสาสขิตฺตอุสุปฎิเวโธ วิย, วิสโยภาสนรสํ ปทีโป วิย, อสโมฺมหปจฺจุปฎฺฐานํ อรญฺญคตสุเทสโก วิยฯ ‘‘สมาหิโต, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ยถาภูตํ ปชานาตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๗๑) วจนโต สมาธิปทฎฺฐานํฯ ลกฺขณาทีสุ หิ สภาโว วา สามญฺญํ วา ลกฺขณํ นาม, กิจฺจํ วา สมฺปตฺติ วา รโส นาม, อุปฎฺฐานากาโร วา ผลํ วา ปจฺจุปฎฺฐานํ นาม, อาสนฺนการณํ ปทฎฺฐานํ นามาติ เวทิตพฺพํฯ

    Atha vā sutena pakato phassādiko dhammapuñjo sutamayo, tasmiṃ sutamaye dhammapuñje pavattaṃ taṃsampayuttaṃ ñāṇaṃ sutamaye ñāṇaṃ. Sabhāvasāmaññalakkhaṇavasena dhamme jānātīti ñāṇaṃ. Taṃyeva ñāṇaṃ pariyāyavacanena adhippāyapakāsanatthaṃ aniyamena ‘‘paññā’’ti vatvā pacchā adhippetaṃ ‘‘ñāṇa’’nti niyametvā vuttanti veditabbaṃ. Ñāṇañca nāma sabhāvapaṭivedhalakkhaṇaṃ, akkhalitapaṭivedhalakkhaṇaṃ vā kusalissāsakhittausupaṭivedho viya, visayobhāsanarasaṃ padīpo viya, asammohapaccupaṭṭhānaṃ araññagatasudesako viya. ‘‘Samāhito, bhikkhave, bhikkhu yathābhūtaṃ pajānātī’’ti (saṃ. ni. 5.1071) vacanato samādhipadaṭṭhānaṃ. Lakkhaṇādīsu hi sabhāvo vā sāmaññaṃ vā lakkhaṇaṃ nāma, kiccaṃ vā sampatti vā raso nāma, upaṭṭhānākāro vā phalaṃ vā paccupaṭṭhānaṃ nāma, āsannakāraṇaṃ padaṭṭhānaṃ nāmāti veditabbaṃ.

    . สุตฺวาน สํวเร ปญฺญาติ –

    2. Sutvāna saṃvare paññāti –

    ปาติโมโกฺข สตี เจว, ญาณํ ขนฺติ ตเถว จ;

    Pātimokkho satī ceva, ñāṇaṃ khanti tatheva ca;

    วีริยํ ปญฺจิเม ธมฺมา, สํวราติ ปกาสิตาฯ

    Vīriyaṃ pañcime dhammā, saṃvarāti pakāsitā.

    ‘‘อิมินา ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต โหติ สมุเปโต อุปาคโต สมุปาคโต อุปปโนฺน สมฺปโนฺน สมนฺนาคโต’’ติ (วิภ. ๕๑๑) อาคโต ปาติโมกฺขสํวโรฯ ‘‘จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ นานุพฺยญฺชนคฺคาหีฯ ยตฺวาธิกรณเมนํ จกฺขุนฺทฺริยํ อสํวุตํ วิหรนฺตํ อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุํ, ตสฺส สํวราย ปฎิปชฺชติ, รกฺขติ จกฺขุนฺทฺริยํ, จกฺขุนฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชตี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๑.๒๑๓; ม. นิ. ๑.๒๙๕; สํ. นิ. ๔.๒๓๙; อ. นิ. ๓.๑๖) นเยน อาคโต สติสํวโร

    ‘‘Iminā pātimokkhasaṃvarena upeto hoti samupeto upāgato samupāgato upapanno sampanno samannāgato’’ti (vibha. 511) āgato pātimokkhasaṃvaro. ‘‘Cakkhunā rūpaṃ disvā na nimittaggāhī hoti nānubyañjanaggāhī. Yatvādhikaraṇamenaṃ cakkhundriyaṃ asaṃvutaṃ viharantaṃ abhijjhādomanassā pāpakā akusalā dhammā anvāssaveyyuṃ, tassa saṃvarāya paṭipajjati, rakkhati cakkhundriyaṃ, cakkhundriye saṃvaraṃ āpajjatī’’tiādinā (dī. ni. 1.213; ma. ni. 1.295; saṃ. ni. 4.239; a. ni. 3.16) nayena āgato satisaṃvaro.

    ‘‘ยานิ โสตานิ โลกสฺมิํ (อชิตาติ ภควา),

    ‘‘Yāni sotāni lokasmiṃ (ajitāti bhagavā),

    สติ เตสํ นิวารณํ;

    Sati tesaṃ nivāraṇaṃ;

    โสตานํ สํวรํ พฺรูมิ, ปญฺญาเยเต ปิธียเร’’ติ ฯ (จูฬนิ. อชิตมาณวปุจฺฉา ๖๐; สุ. นิ. ๑๐๔๑) –

    Sotānaṃ saṃvaraṃ brūmi, paññāyete pidhīyare’’ti . (cūḷani. ajitamāṇavapucchā 60; su. ni. 1041) –

    อาคโต ญาณสํวโรฯ ‘‘กตเม จ, ภิกฺขเว, อาสวา ปฎิเสวนา ปหาตพฺพา? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ปฎิสงฺขา โยนิโส จีวรํ ปฎิเสวตี’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๓; อ. นิ. ๖.๕๘) นเยน อาคโต ปจฺจยปฎิเสวนาสํวโร, โสปิ ญาณสํวเรเนว สงฺคหิโตฯ ‘‘ขโม โหติ สีตสฺส อุณฺหสฺส ชิฆจฺฉาย ปิปาสาย ฑํสมกสวาตาตปสริสปสมฺผสฺสานํ ทุรุตฺตานํ ทุราคตานํ วจนปถานํ อุปฺปนฺนานํ สารีริกานํ เวทนานํ ทุกฺขานํ ติพฺพานํ ขรานํ กฎุกานํ อสาตานํ อมนาปานํ ปาณหรานํ อธิวาสกชาติโก โหตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๔; อ. นิ. ๔.๑๑๔; ๖.๕๘) อาคโต ขนฺติสํวโรฯ ‘‘อุปฺปนฺนํ กามวิตกฺกํ นาธิวาเสติ ปชหติ วิโนเทติ พฺยนฺตีกโรติ อนภาวํ คเมตี’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๖; อ. นิ. ๔.๑๑๔; ๖.๕๘) นเยน อาคโต วีริยสํวโรฯ ‘‘อิธ อริยสาวโก มิจฺฉาอาชีวํ ปหาย สมฺมาอาชีเวน ชีวิกํ กเปฺปตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๘) อาคโต อาชีวปาริสุทฺธิสํวโร, โสปิ วีริยสํวเรเนว สงฺคหิโตฯ เตสุ สตฺตสุ สํวเรสุ ปาติโมกฺขสํวรอินฺทฺริยสํวรอาชีวปาริสุทฺธิปจฺจยปฎิเสวนสงฺขาตา จตฺตาโร สํวรา อิธาธิเปฺปตา, เตสุ จ วิเสเสน ปาติโมกฺขสํวโรฯ สโพฺพปิ จายํ สํวโร ยถาสกํ สํวริตพฺพานํ กายทุจฺจริตาทีนํ สํวรณโต สํวโรติ วุจฺจติฯ สุตมยญาเณ วุตฺตํ ธมฺมํ สุตฺวา สํวรนฺตสฺส สํวรํ กโรนฺตสฺส ตสฺมิํ สํวเร ปวตฺตา ตํสมฺปยุตฺตา ปญฺญา ‘‘สุตฺวาน สํวเร ปญฺญา’’ติ วุตฺตาฯ อถ วา เหตุอเตฺถ สุตฺวาติ วจนสฺส สมฺภวโต สุตเหตุนา สํวเร ปญฺญาติปิ อโตฺถฯ

    Āgato ñāṇasaṃvaro. ‘‘Katame ca, bhikkhave, āsavā paṭisevanā pahātabbā? Idha, bhikkhave, bhikkhu paṭisaṅkhā yoniso cīvaraṃ paṭisevatī’’tiādinā (ma. ni. 1.23; a. ni. 6.58) nayena āgato paccayapaṭisevanāsaṃvaro, sopi ñāṇasaṃvareneva saṅgahito. ‘‘Khamo hoti sītassa uṇhassa jighacchāya pipāsāya ḍaṃsamakasavātātapasarisapasamphassānaṃ duruttānaṃ durāgatānaṃ vacanapathānaṃ uppannānaṃ sārīrikānaṃ vedanānaṃ dukkhānaṃ tibbānaṃ kharānaṃ kaṭukānaṃ asātānaṃ amanāpānaṃ pāṇaharānaṃ adhivāsakajātiko hotī’’ti (ma. ni. 1.24; a. ni. 4.114; 6.58) āgato khantisaṃvaro. ‘‘Uppannaṃ kāmavitakkaṃ nādhivāseti pajahati vinodeti byantīkaroti anabhāvaṃ gametī’’tiādinā (ma. ni. 1.26; a. ni. 4.114; 6.58) nayena āgato vīriyasaṃvaro. ‘‘Idha ariyasāvako micchāājīvaṃ pahāya sammāājīvena jīvikaṃ kappetī’’ti (saṃ. ni. 5.8) āgato ājīvapārisuddhisaṃvaro, sopi vīriyasaṃvareneva saṅgahito. Tesu sattasu saṃvaresu pātimokkhasaṃvaraindriyasaṃvaraājīvapārisuddhipaccayapaṭisevanasaṅkhātā cattāro saṃvarā idhādhippetā, tesu ca visesena pātimokkhasaṃvaro. Sabbopi cāyaṃ saṃvaro yathāsakaṃ saṃvaritabbānaṃ kāyaduccaritādīnaṃ saṃvaraṇato saṃvaroti vuccati. Sutamayañāṇe vuttaṃ dhammaṃ sutvā saṃvarantassa saṃvaraṃ karontassa tasmiṃ saṃvare pavattā taṃsampayuttā paññā ‘‘sutvāna saṃvare paññā’’ti vuttā. Atha vā hetuatthe sutvāti vacanassa sambhavato sutahetunā saṃvare paññātipi attho.

    สีลมเย ญาณนฺติ เอตฺถ สีลนฺติ สีลนเฎฺฐน สีลํฯ กิมิทํ สีลนํ นาม? สมาธานํ วา, กายกมฺมาทีนํ สุสีลฺยวเสน อวิปฺปกิณฺณตาติ อโตฺถฯ อุปธารณํ วา, กุสลานํ ธมฺมานํ ปติฎฺฐาวเสน อาธารภาโวติ อโตฺถฯ เอตเทว หิ เอตฺถ อตฺถทฺวยํ สทฺทลกฺขณวิทู อนุชานนฺติฯ อเญฺญ ปน ‘‘อธิเสวนเฎฺฐน อาจารเฎฺฐน ตสฺสีลเฎฺฐน สิรเฎฺฐน สีตลเฎฺฐน สิวเฎฺฐน สีล’’นฺติ วณฺณยนฺติฯ

    Sīlamaye ñāṇanti ettha sīlanti sīlanaṭṭhena sīlaṃ. Kimidaṃ sīlanaṃ nāma? Samādhānaṃ vā, kāyakammādīnaṃ susīlyavasena avippakiṇṇatāti attho. Upadhāraṇaṃ vā, kusalānaṃ dhammānaṃ patiṭṭhāvasena ādhārabhāvoti attho. Etadeva hi ettha atthadvayaṃ saddalakkhaṇavidū anujānanti. Aññe pana ‘‘adhisevanaṭṭhena ācāraṭṭhena tassīlaṭṭhena siraṭṭhena sītalaṭṭhena sivaṭṭhena sīla’’nti vaṇṇayanti.

    สีลนํ ลกฺขณํ ตสฺส, ภินฺนสฺสาปิ อเนกธา;

    Sīlanaṃ lakkhaṇaṃ tassa, bhinnassāpi anekadhā;

    สนิทสฺสนตฺตํ รูปสฺส, ยถา ภินฺนสฺส เนกธาฯ

    Sanidassanattaṃ rūpassa, yathā bhinnassa nekadhā.

    ยถา หิ นีลปีตาทิเภเทน อเนกธา ภินฺนสฺสาปิ รูปายตนสฺส สนิทสฺสนตฺตํ ลกฺขณํ นีลาทิเภเทน ภินฺนสฺสาปิ สนิทสฺสนภาวานติกฺกมนโต, ตถา สีลสฺส เจตนาทิเภเทน อเนกธา ภินฺนสฺสาปิ ยเทตํ กายกมฺมาทีนํ สมาธานวเสน กุสลานญฺจ ธมฺมานํ ปติฎฺฐานวเสน วุตฺตํ สีลนํ, ตเทว ลกฺขณํ เจตนาทิเภเทน ภินฺนสฺสาปิ สมาธานปติฎฺฐานภาวานติกฺกมนโตฯ เอวํลกฺขณสฺส ปนสฺส –

    Yathā hi nīlapītādibhedena anekadhā bhinnassāpi rūpāyatanassa sanidassanattaṃ lakkhaṇaṃ nīlādibhedena bhinnassāpi sanidassanabhāvānatikkamanato, tathā sīlassa cetanādibhedena anekadhā bhinnassāpi yadetaṃ kāyakammādīnaṃ samādhānavasena kusalānañca dhammānaṃ patiṭṭhānavasena vuttaṃ sīlanaṃ, tadeva lakkhaṇaṃ cetanādibhedena bhinnassāpi samādhānapatiṭṭhānabhāvānatikkamanato. Evaṃlakkhaṇassa panassa –

    ‘‘ทุสฺสีลฺยวิทฺธํสนตา, อนวชฺชคุโณ ตถา;

    ‘‘Dussīlyaviddhaṃsanatā, anavajjaguṇo tathā;

    กิจฺจสมฺปตฺติ อเตฺถน, รโส นาม ปวุจฺจติ’’ฯ

    Kiccasampatti atthena, raso nāma pavuccati’’.

    ตสฺมา อิทํ สีลํ นาม กิจฺจเฎฺฐน รเสน ทุสฺสีลฺยวิทฺธํสนรสํ, สมฺปตฺติอเตฺถน รเสน อนวชฺชรสนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Tasmā idaṃ sīlaṃ nāma kiccaṭṭhena rasena dussīlyaviddhaṃsanarasaṃ, sampattiatthena rasena anavajjarasanti veditabbaṃ.

    โสเจยฺยปจฺจุปฎฺฐานํ , ตยิทํ ตสฺส วิญฺญุหิ;

    Soceyyapaccupaṭṭhānaṃ, tayidaṃ tassa viññuhi;

    โอตฺตปฺปญฺจ หิรี เจว, ปทฎฺฐานนฺติ วณฺณิตํฯ –

    Ottappañca hirī ceva, padaṭṭhānanti vaṇṇitaṃ. –

    ตยิทํ สีลํ ‘‘กายโสเจยฺยํ วจีโสเจยฺยํ มโนโสเจยฺย’’นฺติ (อิติวุ. ๖๖) เอวํ วุตฺตโสเจยฺยปจฺจุปฎฺฐานํ, สุจิภาเวน ปจฺจุปฎฺฐาติ คหณภาวํ คจฺฉติฯ หิโรตฺตปฺปญฺจ ปน ตสฺส วิญฺญูหิ ปทฎฺฐานนฺติ วณฺณิตํ, อาสนฺนการณนฺติ อโตฺถฯ หิโรตฺตเปฺป หิ สติ สีลํ อุปฺปชฺชติ เจว ติฎฺฐติ จ, อสติ เนว อุปฺปชฺชติ น ติฎฺฐตีติ เอวํวิเธน สีเลน สหคตํ ตํสมฺปยุตฺตํ ญาณํ สีลมเย ญาณํฯ อถ วา สีลเมว ปกตํ สีลมยํ, ตสฺมิํ สีลมเย ตํสมฺปยุตฺตํ ญาณํฯ อสํวเร อาทีนวปจฺจเวกฺขณา จ, สํวเร อานิสํสปจฺจเวกฺขณา จ, สํวรปาริสุทฺธิปจฺจเวกฺขณา จ, สํวรสํกิเลสโวทานปจฺจเวกฺขณา จ สีลมยญาเณเนว สงฺคหิตาฯ

    Tayidaṃ sīlaṃ ‘‘kāyasoceyyaṃ vacīsoceyyaṃ manosoceyya’’nti (itivu. 66) evaṃ vuttasoceyyapaccupaṭṭhānaṃ, sucibhāvena paccupaṭṭhāti gahaṇabhāvaṃ gacchati. Hirottappañca pana tassa viññūhi padaṭṭhānanti vaṇṇitaṃ, āsannakāraṇanti attho. Hirottappe hi sati sīlaṃ uppajjati ceva tiṭṭhati ca, asati neva uppajjati na tiṭṭhatīti evaṃvidhena sīlena sahagataṃ taṃsampayuttaṃ ñāṇaṃ sīlamaye ñāṇaṃ. Atha vā sīlameva pakataṃ sīlamayaṃ, tasmiṃ sīlamaye taṃsampayuttaṃ ñāṇaṃ. Asaṃvare ādīnavapaccavekkhaṇā ca, saṃvare ānisaṃsapaccavekkhaṇā ca, saṃvarapārisuddhipaccavekkhaṇā ca, saṃvarasaṃkilesavodānapaccavekkhaṇā ca sīlamayañāṇeneva saṅgahitā.

    . สํวริตฺวา สมาทหเน ปญฺญาติ สีลมยญาเณ วุตฺตสีลสํวเรน สํวริตฺวา สํวรํ กตฺวา สีเล ปติฎฺฐาย สมาทหนฺตสฺส อุปจารปฺปนาวเสน จิเตฺตกคฺคตํ กโรนฺตสฺส ตสฺมิํ สมาทหเน ปวตฺตา ตํสมฺปยุตฺตา ปญฺญาฯ สมํ สมฺมา จ อาทหนํ ฐปนนฺติ จ สมาทหนํ, สมาธิเสฺสเวตํ ปริยายวจนํฯ

    3.Saṃvaritvā samādahane paññāti sīlamayañāṇe vuttasīlasaṃvarena saṃvaritvā saṃvaraṃ katvā sīle patiṭṭhāya samādahantassa upacārappanāvasena cittekaggataṃ karontassa tasmiṃ samādahane pavattā taṃsampayuttā paññā. Samaṃ sammā ca ādahanaṃ ṭhapananti ca samādahanaṃ, samādhissevetaṃ pariyāyavacanaṃ.

    สมาธิภาวนามเย ญาณนฺติ เอตฺถ กุสลจิเตฺตกคฺคตา สมาธิฯ เกนเฎฺฐน สมาธิ? สมาธานเฎฺฐน สมาธิฯ กิมิทํ สมาธานํ นาม? เอการมฺมเณ จิตฺตเจตสิกานํ สมํ สมฺมา จ อาธานํ, ฐปนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺมา ยสฺส ธมฺมสฺสานุภาเวน เอการมฺมเณ จิตฺตเจตสิกา สมํ สมฺมา จ อวิกฺขิปมานา อวิปฺปกิณฺณา จ หุตฺวา ติฎฺฐนฺติ, อิทํ สมาธานนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตสฺส โข ปน สมาธิสฺส –

    Samādhibhāvanāmaye ñāṇanti ettha kusalacittekaggatā samādhi. Kenaṭṭhena samādhi? Samādhānaṭṭhena samādhi. Kimidaṃ samādhānaṃ nāma? Ekārammaṇe cittacetasikānaṃ samaṃ sammā ca ādhānaṃ, ṭhapananti vuttaṃ hoti. Tasmā yassa dhammassānubhāvena ekārammaṇe cittacetasikā samaṃ sammā ca avikkhipamānā avippakiṇṇā ca hutvā tiṭṭhanti, idaṃ samādhānanti veditabbaṃ. Tassa kho pana samādhissa –

    ลกฺขณํ ตุ อวิเกฺขโป, วิเกฺขปวิทฺธํสนํ รโส;

    Lakkhaṇaṃ tu avikkhepo, vikkhepaviddhaṃsanaṃ raso;

    อกมฺปนมุปฎฺฐานํ, ปทฎฺฐานํ สุขํ ปนฯ

    Akampanamupaṭṭhānaṃ, padaṭṭhānaṃ sukhaṃ pana.

    ภาวียติ วฑฺฒียตีติ ภาวนา, สมาธิ เอว ภาวนา สมาธิภาวนา, สมาธิสฺส วา ภาวนา วฑฺฒนา สมาธิภาวนาฯ สมาธิภาวนาวจเนน อญฺญํ ภาวนํ ปฎิกฺขิปติฯ ปุเพฺพ วิย อุปจารปฺปนาวเสน สมาธิภาวนามเย ญาณํฯ

    Bhāvīyati vaḍḍhīyatīti bhāvanā, samādhi eva bhāvanā samādhibhāvanā, samādhissa vā bhāvanā vaḍḍhanā samādhibhāvanā. Samādhibhāvanāvacanena aññaṃ bhāvanaṃ paṭikkhipati. Pubbe viya upacārappanāvasena samādhibhāvanāmaye ñāṇaṃ.

    . ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺญาติ เอตฺถ ปฎิจฺจ ผลเมตีติ ปจฺจโยฯ ปฎิจฺจาติ น วินา เตน, อปจฺจกฺขิตฺวาติ อโตฺถฯ เอตีติ อุปฺปชฺชติ เจว ปวตฺตติ จาติ อโตฺถฯ อปิจ อุปการกโตฺถ ปจฺจยโตฺถ, ตสฺส ปจฺจยสฺส พหุวิธตฺตา ปจฺจยานํ ปริคฺคเห ววตฺถาปเน จ ปญฺญา ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺญาฯ

    4.Paccayapariggahepaññāti ettha paṭicca phalametīti paccayo. Paṭiccāti na vinā tena, apaccakkhitvāti attho. Etīti uppajjati ceva pavattati cāti attho. Apica upakārakattho paccayattho, tassa paccayassa bahuvidhattā paccayānaṃ pariggahe vavatthāpane ca paññā paccayapariggahe paññā.

    ธมฺมฎฺฐิติญาณนฺติ เอตฺถ ธมฺมสโทฺท ตาว สภาวปญฺญาปุญฺญปญฺญตฺติอาปตฺติปริยตฺตินิสฺสตฺตตาวิการคุณปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนาทีสุ ทิสฺสติฯ อยญฺหิ ‘‘กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ติกมาติกา ๑) สภาเว ทิสฺสติฯ

    Dhammaṭṭhitiñāṇanti ettha dhammasaddo tāva sabhāvapaññāpuññapaññattiāpattipariyattinissattatāvikāraguṇapaccayapaccayuppannādīsu dissati. Ayañhi ‘‘kusalā dhammā akusalā dhammā abyākatā dhammā’’tiādīsu (dha. sa. tikamātikā 1) sabhāve dissati.

    ‘‘ยเสฺสเต จตุโร ธมฺมา, สทฺธสฺส ฆรเมสิโน;

    ‘‘Yassete caturo dhammā, saddhassa gharamesino;

    สจฺจํ ธโมฺม ธิติ จาโค, ส เว เปจฺจ น โสจตี’’ติฯ (สุ. นิ. ๑๙๐) –

    Saccaṃ dhammo dhiti cāgo, sa ve pecca na socatī’’ti. (su. ni. 190) –

    อาทีสุ ปญฺญายํฯ

    Ādīsu paññāyaṃ.

    ‘‘น หิ ธโมฺม อธโมฺม จ, อุโภ สมวิปากิโน;

    ‘‘Na hi dhammo adhammo ca, ubho samavipākino;

    อธโมฺม นิรยํ เนติ, ธโมฺม ปาเปติ สุคฺคติ’’นฺติฯ (เถรคา. ๓๐๔) –

    Adhammo nirayaṃ neti, dhammo pāpeti suggati’’nti. (theragā. 304) –

    อาทีสุ ปุเญฺญฯ ‘‘ปญฺญตฺติธมฺมา นิรุตฺติธมฺมา อธิวจนธมฺมา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ทุกมาติกา ๑๐๖-๑๐๘) ปญฺญตฺติยํฯ ‘‘ปาราชิกา ธมฺมา สงฺฆาทิเสสา ธมฺมา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๒๓๓-๒๓๔) อาปตฺติยํฯ ‘‘อิธ ภิกฺขุ ธมฺมํ ชานาติ สุตฺตํ เคยฺยํ เวยฺยากรณ’’นฺติอาทีสุ (อ. นิ. ๕.๗๓) ปริยตฺติยํฯ ‘‘ตสฺมิํ โข ปน สมเย ธมฺมา โหนฺติ (ธ. ส. ๑๒๑)ฯ ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๗๓; ม. นิ. ๑.๑๑๕) นิสฺสตฺตตายํฯ ‘‘ชาติธมฺมา ชราธมฺมา มรณธมฺมา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๑๐.๑๐๗) วิกาเรฯ ‘‘ฉนฺนํ พุทฺธธมฺมาน’’นฺติอาทีสุ (มหานิ. ๕๐) คุเณฯ ‘‘เหตุมฺหิ ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทา’’ติอาทีสุ (วิภ. ๗๒๐) ปจฺจเยฯ ‘‘ฐิตาว สา ธาตุ ธมฺมฎฺฐิตตา ธมฺมนิยามตา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๒๐; อ. นิ. ๓.๑๓๗) ปจฺจยุปฺปเนฺนฯ สฺวายมิธาปิ ปจฺจยุปฺปเนฺน ทฎฺฐโพฺพฯ อตฺถโต ปน อตฺตโน สภาวํ ธาเรนฺตีติ วา, ปจฺจเยหิ ธารียนฺตีติ วา, อตฺตโน ผลํ ธาเรนฺตีติ วา, อตฺตโน ปริปูรกํ อปาเยสุ อปตมานํ ธาเรนฺตีติ วา, สกสกลกฺขเณ ธาเรนฺตีติ วา, จิเตฺตน อวธารียนฺตีติ วา ยถาโยคํ ธมฺมาติ วุจฺจนฺติฯ อิธ ปน อตฺตโน ปจฺจเยหิ ธารียนฺตีติ ธมฺมา, ปจฺจยสมุปฺปนฺนา ธมฺมา ติฎฺฐนฺติ อุปฺปชฺชนฺติ เจว ปวตฺตนฺติ จ เอตายาติ ธมฺมฎฺฐิติ, ปจฺจยธมฺมานเมตํ อธิวจนํ ฯ ตสฺสํ ธมฺมฎฺฐิติยํ ญาณํ ธมฺมฎฺฐิติญาณํฯ อิทญฺหิ สมาธิภาวนามยญาเณ วุตฺตสมาธินา สมาหิเตน จิเตฺตน ยถาภูตญาณทสฺสนตฺถาย โยคมารภิตฺวา ววตฺถาปิตนามรูปสฺส เตสํ นามรูปานํ ปจฺจยปริคฺคหปริยายํ ธมฺมฎฺฐิติญาณํ อุปฺปชฺชติฯ ‘‘นามรูปววตฺถาเน ญาณ’’นฺติ อวตฺวา เอว กสฺมา ‘‘ธมฺมฎฺฐิติญาณ’’นฺติ วุตฺตนฺติ เจ? ปจฺจยปริคฺคเหเนว ปจฺจยสมุปฺปนฺนปริคฺคหสฺส สิทฺธตฺตาฯ ปจฺจยสมุปฺปเนฺน หิ อปริคฺคหิเต ปจฺจยปริคฺคโห น สกฺกา โหติ กาตุํฯ ตสฺมา ธมฺมฎฺฐิติญาณคหเณเนว ตสฺส เหตุภูตํ ปุเพฺพ สิทฺธํ นามรูปววตฺถานญาณํ วุตฺตเมว โหตีติ เวทิตพฺพํฯ กสฺมา ทุติยตติยญาณํ วิย ‘‘สมาทหิตฺวา ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺญา’’ติ น วุตฺตนฺติ เจ? สมถวิปสฺสนานํ ยุคนทฺธตฺตาฯ

    Ādīsu puññe. ‘‘Paññattidhammā niruttidhammā adhivacanadhammā’’tiādīsu (dha. sa. dukamātikā 106-108) paññattiyaṃ. ‘‘Pārājikā dhammā saṅghādisesā dhammā’’tiādīsu (pārā. 233-234) āpattiyaṃ. ‘‘Idha bhikkhu dhammaṃ jānāti suttaṃ geyyaṃ veyyākaraṇa’’ntiādīsu (a. ni. 5.73) pariyattiyaṃ. ‘‘Tasmiṃ kho pana samaye dhammā honti (dha. sa. 121). Dhammesu dhammānupassī viharatī’’tiādīsu (dī. ni. 2.373; ma. ni. 1.115) nissattatāyaṃ. ‘‘Jātidhammā jarādhammā maraṇadhammā’’tiādīsu (a. ni. 10.107) vikāre. ‘‘Channaṃ buddhadhammāna’’ntiādīsu (mahāni. 50) guṇe. ‘‘Hetumhi ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā’’tiādīsu (vibha. 720) paccaye. ‘‘Ṭhitāva sā dhātu dhammaṭṭhitatā dhammaniyāmatā’’tiādīsu (saṃ. ni. 2.20; a. ni. 3.137) paccayuppanne. Svāyamidhāpi paccayuppanne daṭṭhabbo. Atthato pana attano sabhāvaṃ dhārentīti vā, paccayehi dhārīyantīti vā, attano phalaṃ dhārentīti vā, attano paripūrakaṃ apāyesu apatamānaṃ dhārentīti vā, sakasakalakkhaṇe dhārentīti vā, cittena avadhārīyantīti vā yathāyogaṃ dhammāti vuccanti. Idha pana attano paccayehi dhārīyantīti dhammā, paccayasamuppannā dhammā tiṭṭhanti uppajjanti ceva pavattanti ca etāyāti dhammaṭṭhiti, paccayadhammānametaṃ adhivacanaṃ . Tassaṃ dhammaṭṭhitiyaṃ ñāṇaṃ dhammaṭṭhitiñāṇaṃ. Idañhi samādhibhāvanāmayañāṇe vuttasamādhinā samāhitena cittena yathābhūtañāṇadassanatthāya yogamārabhitvā vavatthāpitanāmarūpassa tesaṃ nāmarūpānaṃ paccayapariggahapariyāyaṃ dhammaṭṭhitiñāṇaṃ uppajjati. ‘‘Nāmarūpavavatthāne ñāṇa’’nti avatvā eva kasmā ‘‘dhammaṭṭhitiñāṇa’’nti vuttanti ce? Paccayapariggaheneva paccayasamuppannapariggahassa siddhattā. Paccayasamuppanne hi apariggahite paccayapariggaho na sakkā hoti kātuṃ. Tasmā dhammaṭṭhitiñāṇagahaṇeneva tassa hetubhūtaṃ pubbe siddhaṃ nāmarūpavavatthānañāṇaṃ vuttameva hotīti veditabbaṃ. Kasmā dutiyatatiyañāṇaṃ viya ‘‘samādahitvā paccayapariggahe paññā’’ti na vuttanti ce? Samathavipassanānaṃ yuganaddhattā.

    ‘‘สมาทหิตฺวา ยถา เจ วิปสฺสติ, วิปสฺสมาโน ตถา เจ สมาทเห;

    ‘‘Samādahitvā yathā ce vipassati, vipassamāno tathā ce samādahe;

    วิปสฺสนา จ สมโถ ตทา อหุ, สมานภาคา ยุคนทฺธา วตฺตเร’’ติฯ –

    Vipassanā ca samatho tadā ahu, samānabhāgā yuganaddhā vattare’’ti. –

    หิ วุตฺตํฯ ตสฺมา สมาธิํ อวิสฺสเชฺชตฺวา สมาธิญฺจ ญาณญฺจ ยุคนทฺธํ กตฺวา ยาว อริยมโคฺค, ตาว อุสฺสุกฺกาเปตพฺพนฺติ ญาปนตฺถํ ‘‘ปจฺจยปริคฺคเห ปญฺญา ธมฺมฎฺฐิติญาณ’’มิเจฺจว วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Hi vuttaṃ. Tasmā samādhiṃ avissajjetvā samādhiñca ñāṇañca yuganaddhaṃ katvā yāva ariyamaggo, tāva ussukkāpetabbanti ñāpanatthaṃ ‘‘paccayapariggahe paññā dhammaṭṭhitiñāṇa’’micceva vuttanti veditabbaṃ.

    . อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนานํ ธมฺมานํ สงฺขิปิตฺวา ววตฺถาเน ปญฺญาติ เอตฺถ อตฺตโน สภาวํ, อุปฺปาทาทิกฺขณํ วา ปตฺวา อติ อิตา อติกฺกนฺตาติ อตีตา, ตทุภยมฺปิ น อาคตา น สมฺปตฺตาติ อนาคตา, ตํ ตํ การณํ ปฎิจฺจ อุปฺปาทาทิอุทฺธํ ปนฺนา คตา ปวตฺตาติ ปจฺจุปฺปนฺนาฯ อทฺธา สนฺตติขณปจฺจุปฺปเนฺนสุ สนฺตติปจฺจุปฺปนฺนํ อิธาธิเปฺปตํฯ เตสํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนานํ ปญฺจกฺขนฺธธมฺมานํ เอเกกกฺขนฺธลกฺขเณ สงฺขิปิตฺวา กลาปวเสน ราสิํ กตฺวา ววตฺถาเน นิจฺฉยเน สนฺนิฎฺฐาปเน ปญฺญาฯ

    5. Atītānāgatapaccuppannānaṃ dhammānaṃ saṅkhipitvā vavatthāne paññāti ettha attano sabhāvaṃ, uppādādikkhaṇaṃ vā patvā ati itā atikkantāti atītā, tadubhayampi na āgatā na sampattāti anāgatā, taṃ taṃ kāraṇaṃ paṭicca uppādādiuddhaṃ pannā gatā pavattāti paccuppannā. Addhā santatikhaṇapaccuppannesu santatipaccuppannaṃ idhādhippetaṃ. Tesaṃ atītānāgatapaccuppannānaṃ pañcakkhandhadhammānaṃ ekekakkhandhalakkhaṇe saṅkhipitvā kalāpavasena rāsiṃ katvā vavatthāne nicchayane sanniṭṭhāpane paññā.

    สมฺมสเน ญาณนฺติ สมฺมา อามสเน อนุมชฺชเน เปกฺขเณ ญาณํ, กลาปสมฺมสนญาณนฺติ อโตฺถฯ อิทญฺหิ นามรูปววตฺถานญาณานนฺตรํ นามรูปปจฺจยปริคฺคเห ธมฺมฎฺฐิติญาเณ ฐิตสฺส ‘‘ยํกิญฺจิ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา โอฬาริกํ วา สุขุมํ วา หีนํ วา ปณีตํ วา ยํ ทูเร สนฺติเก วา, สพฺพํ ตํ รูปํ อนิจฺจโต ววตฺถเปติ, เอกํ สมฺมสนํ, ทุกฺขโต ววตฺถเปติ, เอกํ สมฺมสนํ, อนตฺตโต ววตฺถเปติ, เอกํ สมฺมสน’’นฺติอาทินา (ปฎิ. ม. ๑.๔๘) นเยน วุตฺตสมฺมสนวเสน ปุเพฺพ ววตฺถาปิเต เอเกกสฺมิํ ขเนฺธ ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา อนิจฺจโต ทุกฺขโต อนตฺตโต วิปสฺสนฺตสฺส กลาปสมฺมสนญาณํ อุปฺปชฺชติฯ

    Sammasaneñāṇanti sammā āmasane anumajjane pekkhaṇe ñāṇaṃ, kalāpasammasanañāṇanti attho. Idañhi nāmarūpavavatthānañāṇānantaraṃ nāmarūpapaccayapariggahe dhammaṭṭhitiñāṇe ṭhitassa ‘‘yaṃkiñci rūpaṃ atītānāgatapaccuppannaṃ ajjhattaṃ vā bahiddhā vā oḷārikaṃ vā sukhumaṃ vā hīnaṃ vā paṇītaṃ vā yaṃ dūre santike vā, sabbaṃ taṃ rūpaṃ aniccato vavatthapeti, ekaṃ sammasanaṃ, dukkhato vavatthapeti, ekaṃ sammasanaṃ, anattato vavatthapeti, ekaṃ sammasana’’ntiādinā (paṭi. ma. 1.48) nayena vuttasammasanavasena pubbe vavatthāpite ekekasmiṃ khandhe tilakkhaṇaṃ āropetvā aniccato dukkhato anattato vipassantassa kalāpasammasanañāṇaṃ uppajjati.

    . ปจฺจุปฺปนฺนานํ ธมฺมานํ วิปริณามานุปสฺสเน ปญฺญาติ สนฺตติวเสน ปจฺจุปฺปนฺนานํ อชฺฌตฺตํ ปญฺจกฺขนฺธธมฺมานํ วิปริณามทสฺสเน ภงฺคทสฺสเน ปญฺญาฯ ยสฺมา ‘‘อิเม ธมฺมา อุปฺปชฺชิตฺวา ภิชฺชนฺตี’’ติ อุทยํ คเหตฺวาปิ เภเทเยว จิตฺตํ ฐเปติ, ตสฺมา อวุโตฺตปิ อุทโย วุโตฺตเยว โหตีติ เวทิตโพฺพฯ ปจฺจุปฺปนฺนานํ ธมฺมานํ ทสฺสเนน วา อุทยทสฺสนสฺส สิทฺธตฺตา อุทโย วุโตฺตเยว โหติฯ น หิ อุทยํ วินา ธมฺมานํ อุปฺปนฺนตฺตํ สิชฺฌติ, ตสฺมา ‘‘ปจฺจุปฺปนฺนานํ ธมฺมานํ อุปฺปาทวิปริณามานุปสฺสเน ปญฺญา’’ติ อวุเตฺตปิ วุตฺตเมว โหตีติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘อุทยพฺพยานุปสฺสเน ญาณ’’นฺติ นิยมิตตฺตา จ อุทยทสฺสนํ สิทฺธเมว โหตีติ อนนฺตรํ วุตฺตสฺส สมฺมสนญาณสฺส ปารํ คนฺตฺวา ตํสมฺมสเนเยว ปากฎีภูเต อุทยพฺพเย ปริคฺคณฺหิตฺวา สงฺขารานํ ปริเจฺฉทกรณตฺถํ อุทยพฺพยานุปสฺสนํ อารภนฺตสฺส อุปฺปชฺชติ อุทยพฺพยานุปสฺสนาญาณํฯ ตญฺหิ อุทยพฺพเย อนุปสฺสนโต อุทยพฺพยานุปสฺสนาติ วุจฺจติฯ

    6.Paccuppannānaṃ dhammānaṃ vipariṇāmānupassane paññāti santativasena paccuppannānaṃ ajjhattaṃ pañcakkhandhadhammānaṃ vipariṇāmadassane bhaṅgadassane paññā. Yasmā ‘‘ime dhammā uppajjitvā bhijjantī’’ti udayaṃ gahetvāpi bhedeyeva cittaṃ ṭhapeti, tasmā avuttopi udayo vuttoyeva hotīti veditabbo. Paccuppannānaṃ dhammānaṃ dassanena vā udayadassanassa siddhattā udayo vuttoyeva hoti. Na hi udayaṃ vinā dhammānaṃ uppannattaṃ sijjhati, tasmā ‘‘paccuppannānaṃ dhammānaṃ uppādavipariṇāmānupassane paññā’’ti avuttepi vuttameva hotīti veditabbaṃ. ‘‘Udayabbayānupassane ñāṇa’’nti niyamitattā ca udayadassanaṃ siddhameva hotīti anantaraṃ vuttassa sammasanañāṇassa pāraṃ gantvā taṃsammasaneyeva pākaṭībhūte udayabbaye pariggaṇhitvā saṅkhārānaṃ paricchedakaraṇatthaṃ udayabbayānupassanaṃ ārabhantassa uppajjati udayabbayānupassanāñāṇaṃ. Tañhi udayabbaye anupassanato udayabbayānupassanāti vuccati.

    . อารมฺมณํ ปฎิสงฺขาติ รูปกฺขนฺธาทิอารมฺมณํ ภงฺคโต ปฎิสงฺขาย ชานิตฺวา ปสฺสิตฺวาฯ ภงฺคานุปสฺสเน ปญฺญา วิปสฺสเน ญาณนฺติ ตสฺส อารมฺมณํ ภงฺคโต ปฎิสงฺขาย อุปฺปนฺนสฺส ญาณสฺส ภงฺคํ อนุปสฺสเน ยา ปญฺญา, ตํ ‘‘วิปสฺสเน ญาณ’’นฺติ วุตฺตํ โหติฯ วิปสฺสนาติ จ วิวิธา ปสฺสนา วิปสฺสนาฯ อารมฺมณปฎิสงฺขาติปิ ปาโฐฯ ตสฺสโตฺถ – อารมฺมณสฺส ปฎิสงฺขา ชานนา ปสฺสนาติ วุตฺตนเยเนว อารมฺมณปฎิสงฺขา ‘‘ภงฺคานุปสฺสเน ปญฺญา วิปสฺสเน ญาณ’’นฺติ วุตฺตํ โหติฯ ยสฺมา ปน ภงฺคานุปสฺสนาย เอว วิปสฺสนา สิขํ ปาปุณาติ, ตสฺมา วิเสเสตฺวา อิทเมว ‘‘วิปสฺสเน ญาณ’’นฺติ วุตฺตํฯ ยสฺมา อุทยพฺพยานุปสฺสนาย ฐิตสฺส มคฺคามคฺคญาณทสฺสนํ อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา ตสฺสา สิทฺธาย ตํ สิทฺธเมว โหตีติ ตํ อวตฺวาว ภงฺคานุปสฺสนาย เอว วิปสฺสนาสิขํ ญาณํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อุทยพฺพยานุปสฺสนาย สุปริทิฎฺฐอุทยพฺพยสฺส สุปริจฺฉิเนฺนสุ สงฺขาเรสุ ลหุํ ลหุํ อุปฎฺฐหเนฺตสุ ญาเณ ติเกฺข วหเนฺต อุทยํ ปหาย ภเงฺค เอว สติ สนฺติฎฺฐติ, ตสฺส ‘‘เอวํ อุปฺปชฺชิตฺวา เอวํ นาม สงฺขารา ภิชฺชนฺตี’’ติ ปสฺสโต เอตสฺมิํ ฐาเน ภงฺคานุปสฺสนาญาณํ อุปฺปชฺชติฯ

    7.Ārammaṇaṃ paṭisaṅkhāti rūpakkhandhādiārammaṇaṃ bhaṅgato paṭisaṅkhāya jānitvā passitvā. Bhaṅgānupassane paññā vipassane ñāṇanti tassa ārammaṇaṃ bhaṅgato paṭisaṅkhāya uppannassa ñāṇassa bhaṅgaṃ anupassane yā paññā, taṃ ‘‘vipassane ñāṇa’’nti vuttaṃ hoti. Vipassanāti ca vividhā passanā vipassanā. Ārammaṇapaṭisaṅkhātipi pāṭho. Tassattho – ārammaṇassa paṭisaṅkhā jānanā passanāti vuttanayeneva ārammaṇapaṭisaṅkhā ‘‘bhaṅgānupassane paññā vipassane ñāṇa’’nti vuttaṃ hoti. Yasmā pana bhaṅgānupassanāya eva vipassanā sikhaṃ pāpuṇāti, tasmā visesetvā idameva ‘‘vipassane ñāṇa’’nti vuttaṃ. Yasmā udayabbayānupassanāya ṭhitassa maggāmaggañāṇadassanaṃ uppajjati, tasmā tassā siddhāya taṃ siddhameva hotīti taṃ avatvāva bhaṅgānupassanāya eva vipassanāsikhaṃ ñāṇaṃ vuttanti veditabbaṃ. Udayabbayānupassanāya suparidiṭṭhaudayabbayassa suparicchinnesu saṅkhāresu lahuṃ lahuṃ upaṭṭhahantesu ñāṇe tikkhe vahante udayaṃ pahāya bhaṅge eva sati santiṭṭhati, tassa ‘‘evaṃ uppajjitvā evaṃ nāma saṅkhārā bhijjantī’’ti passato etasmiṃ ṭhāne bhaṅgānupassanāñāṇaṃ uppajjati.

    . ภยตุปฎฺฐาเน ปญฺญาติ อุปฺปาทปวตฺตนิมิตฺตอายูหนาปฎิสนฺธีนํ ภยโต อุปฎฺฐาเน ปีฬาโยคโต สปฺปฎิภยวเสน คหณูปคมเน ปญฺญาติ อโตฺถฯ ภยโต อุปฎฺฐาตีติ ภยตุปฎฺฐานํ อารมฺมณํ , ตสฺมิํ ภยตุปฎฺฐาเนฯ อถ วา ภยโต อุปติฎฺฐตีติ ภยตุปฎฺฐานํ, ปญฺญา, ตํ ‘‘ภยตุปฎฺฐาน’’นฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    8.Bhayatupaṭṭhāne paññāti uppādapavattanimittaāyūhanāpaṭisandhīnaṃ bhayato upaṭṭhāne pīḷāyogato sappaṭibhayavasena gahaṇūpagamane paññāti attho. Bhayato upaṭṭhātīti bhayatupaṭṭhānaṃ ārammaṇaṃ , tasmiṃ bhayatupaṭṭhāne. Atha vā bhayato upatiṭṭhatīti bhayatupaṭṭhānaṃ, paññā, taṃ ‘‘bhayatupaṭṭhāna’’nti vuttaṃ hoti.

    อาทีนเว ญาณนฺติ ภุมฺมวจนเมวฯ ‘‘ยา จ ภยตุปฎฺฐาเน ปญฺญา, ยญฺจ อาทีนเว ญาณํ, ยา จ นิพฺพิทา, อิเม ธมฺมา เอกฎฺฐา, พฺยญฺชนเมว นาน’’นฺติ (ปฎิ. ม. ๑.๒๒๗) วุตฺตตฺตา เอกมิว วุจฺจมานมฺปิ อวตฺถาเภเทน มุญฺจิตุกมฺยตาทิ วิย ติวิธเมว โหติฯ ตสฺมา ภยตุปฎฺฐานอาทีนวานุปสฺสนาสุ สิทฺธาสุ นิพฺพิทานุปสฺสนา สิทฺธา โหตีติ กตฺวา อวุตฺตาปิ วุตฺตาว โหตีติ เวทิตพฺพาฯ

    Ādīnave ñāṇanti bhummavacanameva. ‘‘Yā ca bhayatupaṭṭhāne paññā, yañca ādīnave ñāṇaṃ, yā ca nibbidā, ime dhammā ekaṭṭhā, byañjanameva nāna’’nti (paṭi. ma. 1.227) vuttattā ekamiva vuccamānampi avatthābhedena muñcitukamyatādi viya tividhameva hoti. Tasmā bhayatupaṭṭhānaādīnavānupassanāsu siddhāsu nibbidānupassanā siddhā hotīti katvā avuttāpi vuttāva hotīti veditabbā.

    สพฺพสงฺขารานํ ภงฺคารมฺมณํ ภงฺคานุปสฺสนํ อาเสวนฺตสฺส ภาเวนฺตสฺส พหุลีกโรนฺตสฺส ติภวจตุโยนิปญฺจคติสตฺตวิญฺญาณฎฺฐิตินวสตฺตาวาเสสุ ปเภทกา สงฺขารา สุเขน ชีวิตุกามสฺส ภีรุกปุริสสฺส สีหพฺยคฺฆทีปิอจฺฉตรจฺฉยกฺขรกฺขสจณฺฑโคณจณฺฑกุกฺกุรปภินฺน- มทจณฺฑหตฺถิโฆรอาสิวิสอสนิวิจกฺกสุสานรณภูมิชลิตองฺคารกาสุอาทโย วิย มหาภยํ หุตฺวา อุปฎฺฐหนฺติ, ตสฺส ‘‘อตีตา สงฺขารา นิรุทฺธา, ปจฺจุปฺปนฺนา นิรุชฺฌนฺติ, อนาคตาปิ เอวเมว นิรุชฺฌิสฺสนฺตี’’ติ ปสฺสโต เอตสฺมิํ ฐาเน ภยตุปฎฺฐานํ ญาณํ อุปฺปชฺชติฯ ตสฺส ตํ ภยตุปฎฺฐานญาณํ อาเสวนฺตสฺส ภาเวนฺตสฺส พหุลีกโรนฺตสฺส สพฺพภวโยนิคติฐิติสตฺตาวาเสสุ เนว ตาณํ น เลณํ น คติ น ปฎิสรณํ ปญฺญายติ, สพฺพภวโยนิคติฐิตินิวาสคเตสุ สงฺขาเรสุ เอกสงฺขาเรปิ ปตฺถนา วา ปรามาโส วา น โหติ, ตโย ภวา วีตจฺจิตงฺคารปุณฺณา องฺคารกาสุโย วิย, จตฺตาโร มหาภูตา โฆรวิสา อาสิวิสา วิย, ปญฺจกฺขนฺธา อุกฺขิตฺตาสิกา วธกา วิย, ฉ อชฺฌตฺติกายตนานิ สุญฺญคาโม วิย, ฉ พาหิรายตนานิ คามฆาตกโจรา วิย, สตฺตวิญฺญาณฎฺฐิติโย นว จ สตฺตาวาสา เอกาทสหิ อคฺคีหิ อาทิตฺตา สมฺปชฺชลิตา สโชติภูตา วิย จ, สเพฺพ สงฺขารา คณฺฑภูตา โรคภูตา สลฺลภูตา อฆภูตา อาพาธภูตา วิย จ นิรสฺสาทา นิรสา มหาอาทีนวราสิภูตา หุตฺวา อุปฎฺฐหนฺติ, สุเขน ชีวิตุกามสฺส ภีรุกปุริสสฺส รมณียาการสณฺฐิตมฺปิ สวาฬกมิว วนคหนํ, สสทฺทูลา วิย คุหา, สคาหรกฺขสํ วิย อุทกํ, สมุสฺสิตขคฺคา วิย ปจฺจตฺถิกา, สวิสํ วิย โภชนํ, สโจโร วิย มโคฺค, อาทิตฺตมิว อคารํ, อุยฺยุตฺตเสนา วิย รณภูมิฯ ยถา หิ โส ปุริโส เอตานิ สวาฬกวนคหนาทีนิ อาคมฺม ภีโต สํวิโคฺค โลมหฎฺฐชาโต สมนฺตโต อาทีนวเมว ปสฺสติ, เอวเมว โส โยคาวจโร ภงฺคานุปสฺสนาวเสน สพฺพสงฺขาเรสุ ภยโต อุปฎฺฐิเตสุ สมนฺตโต นิรสํ นิรสฺสาทํ อาทีนวเมว ปสฺสติฯ ตเสฺสวํ ปสฺสโต อาทีนวานุปสฺสนาญาณํ อุปฺปชฺชติฯ

    Sabbasaṅkhārānaṃ bhaṅgārammaṇaṃ bhaṅgānupassanaṃ āsevantassa bhāventassa bahulīkarontassa tibhavacatuyonipañcagatisattaviññāṇaṭṭhitinavasattāvāsesu pabhedakā saṅkhārā sukhena jīvitukāmassa bhīrukapurisassa sīhabyagghadīpiacchataracchayakkharakkhasacaṇḍagoṇacaṇḍakukkurapabhinna- madacaṇḍahatthighoraāsivisaasanivicakkasusānaraṇabhūmijalitaaṅgārakāsuādayo viya mahābhayaṃ hutvā upaṭṭhahanti, tassa ‘‘atītā saṅkhārā niruddhā, paccuppannā nirujjhanti, anāgatāpi evameva nirujjhissantī’’ti passato etasmiṃ ṭhāne bhayatupaṭṭhānaṃ ñāṇaṃ uppajjati. Tassa taṃ bhayatupaṭṭhānañāṇaṃ āsevantassa bhāventassa bahulīkarontassa sabbabhavayonigatiṭhitisattāvāsesu neva tāṇaṃ na leṇaṃ na gati na paṭisaraṇaṃ paññāyati, sabbabhavayonigatiṭhitinivāsagatesu saṅkhāresu ekasaṅkhārepi patthanā vā parāmāso vā na hoti, tayo bhavā vītaccitaṅgārapuṇṇā aṅgārakāsuyo viya, cattāro mahābhūtā ghoravisā āsivisā viya, pañcakkhandhā ukkhittāsikā vadhakā viya, cha ajjhattikāyatanāni suññagāmo viya, cha bāhirāyatanāni gāmaghātakacorā viya, sattaviññāṇaṭṭhitiyo nava ca sattāvāsā ekādasahi aggīhi ādittā sampajjalitā sajotibhūtā viya ca, sabbe saṅkhārā gaṇḍabhūtā rogabhūtā sallabhūtā aghabhūtā ābādhabhūtā viya ca nirassādā nirasā mahāādīnavarāsibhūtā hutvā upaṭṭhahanti, sukhena jīvitukāmassa bhīrukapurisassa ramaṇīyākārasaṇṭhitampi savāḷakamiva vanagahanaṃ, sasaddūlā viya guhā, sagāharakkhasaṃ viya udakaṃ, samussitakhaggā viya paccatthikā, savisaṃ viya bhojanaṃ, sacoro viya maggo, ādittamiva agāraṃ, uyyuttasenā viya raṇabhūmi. Yathā hi so puriso etāni savāḷakavanagahanādīni āgamma bhīto saṃviggo lomahaṭṭhajāto samantato ādīnavameva passati, evameva so yogāvacaro bhaṅgānupassanāvasena sabbasaṅkhāresu bhayato upaṭṭhitesu samantato nirasaṃ nirassādaṃ ādīnavameva passati. Tassevaṃ passato ādīnavānupassanāñāṇaṃ uppajjati.

    โส เอวํ สพฺพสงฺขาเร อาทีนวโต สมฺปสฺสโนฺต สพฺพภวโยนิคติวิญฺญาณฎฺฐิติสตฺตาวาสคเต สเภทเก สงฺขารคเต นิพฺพินฺทติ อุกฺกณฺฐติ นาภิรมติฯ เสยฺยถาปิ นาม จิตฺตกูฎปพฺพตปาทาภิรโต สุวณฺณราชหํโส อสุจิมฺหิ จณฺฑาลคามทฺวารอาวาเฎ นาภิรมติ, สตฺตสุ มหาสเรสุเยว อภิรมติ, เอวเมว อยํ โยคีราชหํโส สุปริทิฎฺฐาทีนเว สเภทเก สงฺขารคเต นาภิรมติ, ภาวนารามตาย ปน ภาวนารติยา สมนฺนาคตตฺตา สตฺตสุ อนุปสฺสนาสุเยว อภิรมติฯ ยถา จ สุวณฺณปญฺชเรปิ ปกฺขิโตฺต สีโห มิคราชา นาภิรมติ, ติโยชนสหสฺสวิตฺถเต ปน หิมวเนฺตเยว รมติ, เอวมยมฺปิ โยคีสีโห ติวิเธ สุคติภเวปิ นาภิรมติ, ตีสุ อนุปสฺสนาสุเยว รมติฯ ยถา จ สพฺพเสโต สตฺตปฺปติโฎฺฐ อิทฺธิมา เวหาสงฺคโม ฉทฺทโนฺต นาคราชา นครมเชฺฌ นาภิรมติ, หิมวติ ฉทฺทนฺตรหเทเยว รมติ, เอวมยํ โยคีวรวารโณ สพฺพสฺมิมฺปิ สงฺขารคเต นาภิรมติ, ‘‘อนุปฺปาโท เขม’’นฺติอาทินา (ปฎิ. ม. ๑.๕๓) นเยน นิทฺทิเฎฺฐ สนฺติปเทเยว รมติ, ตนฺนินฺนตโปฺปณตปฺปพฺภารมานโส โหติฯ เอตฺตาวตา ตสฺส นิพฺพิทานุปสฺสนาญาณํ อุปฺปนฺนํ โหตีติฯ

    So evaṃ sabbasaṅkhāre ādīnavato sampassanto sabbabhavayonigativiññāṇaṭṭhitisattāvāsagate sabhedake saṅkhāragate nibbindati ukkaṇṭhati nābhiramati. Seyyathāpi nāma cittakūṭapabbatapādābhirato suvaṇṇarājahaṃso asucimhi caṇḍālagāmadvāraāvāṭe nābhiramati, sattasu mahāsaresuyeva abhiramati, evameva ayaṃ yogīrājahaṃso suparidiṭṭhādīnave sabhedake saṅkhāragate nābhiramati, bhāvanārāmatāya pana bhāvanāratiyā samannāgatattā sattasu anupassanāsuyeva abhiramati. Yathā ca suvaṇṇapañjarepi pakkhitto sīho migarājā nābhiramati, tiyojanasahassavitthate pana himavanteyeva ramati, evamayampi yogīsīho tividhe sugatibhavepi nābhiramati, tīsu anupassanāsuyeva ramati. Yathā ca sabbaseto sattappatiṭṭho iddhimā vehāsaṅgamo chaddanto nāgarājā nagaramajjhe nābhiramati, himavati chaddantarahadeyeva ramati, evamayaṃ yogīvaravāraṇo sabbasmimpi saṅkhāragate nābhiramati, ‘‘anuppādo khema’’ntiādinā (paṭi. ma. 1.53) nayena niddiṭṭhe santipadeyeva ramati, tanninnatappoṇatappabbhāramānaso hoti. Ettāvatā tassa nibbidānupassanāñāṇaṃ uppannaṃ hotīti.

    . มุญฺจิตุกมฺยตาปฎิสงฺขาสนฺติฎฺฐนา ปญฺญา สงฺขารุเปกฺขาสุ ญาณนฺติ มุญฺจิตุํ จชิตุํ กาเมติ อิจฺฉตีติ มุญฺจิตุกาโม, มุญฺจิตุกามสฺส ภาโว มุญฺจิตุกมฺยตาฯ ปฎิสงฺขาติ อุปปริกฺขตีติ ปฎิสงฺขา, ปฎิสงฺขานํ วา ปฎิสงฺขาฯ สนฺติฎฺฐติ อชฺฌุเปกฺขตีติ สนฺติฎฺฐนา, สนฺติฎฺฐนํ วา สนฺติฎฺฐนาฯ มุญฺจิตุกมฺยตา จ สา ปฎิสงฺขา จ สนฺติฎฺฐนา จาติ มุญฺจิตุกมฺยตาปฎิสงฺขาสนฺติฎฺฐนาฯ อิติ ปุพฺพภาเค นิพฺพิทาญาเณน นิพฺพินฺนสฺส อุปฺปาทาทีนิ ปริจฺจชิตุกามตา มุญฺจิตุกมฺยตาฯ มุญฺจนสฺส อุปายกรณตฺถํ มเชฺฌ ปฎิสงฺขานํ ปฎิสงฺขาฯ มุญฺจิตฺวา อวสาเน อชฺฌุเปกฺขนํ สนฺติฎฺฐนาฯ เอวํ อวตฺถาเภเทน ติปฺปการา ปญฺญา สงฺขารานํ อชฺฌุเปกฺขนาสุ ญาณํ, มุญฺจิตุกมฺยตาปฎิสงฺขาสนฺติฎฺฐนาสงฺขาตานํ อวตฺถาเภเทน ภินฺนานํ ติสฺสนฺนมฺปิ ปญฺญานํ สงฺขารุเปกฺขตํ อิจฺฉเนฺตน ปน ‘‘ปญฺญา’’ติ จ ‘‘สงฺขารุเปกฺขาสู’’ติ จ พหุวจนํ กตํ, อวตฺถาเภเทน ภินฺนสฺสาปิ เอกตฺตา ‘‘ญาณ’’นฺติ เอกวจนํ กตนฺติ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตญฺจ – ‘‘ยา จ มุญฺจิตุกมฺยตา ยา จ ปฎิสงฺขานุปสฺสนา ยา จ สงฺขารุเปกฺขา, อิเม ธมฺมา เอกฎฺฐา, พฺยญฺชนเมว นาน’’นฺติ (ปฎิ. ม. ๑.๒๒๗)ฯ เกจิ ปน ‘‘สงฺขารุเปกฺขาสูติ พหุวจนํ สมถวิปสฺสนาวเสน สงฺขารุเปกฺขานํ พหุตฺตา’’ติปิ วทนฺติฯ สงฺขารุเปกฺขาสูติ จ กิริยาเปกฺขนฺติ เวทิตพฺพํฯ อวตฺถาเภเทน ปน เตน นิพฺพิทาญาเณน นิพฺพินฺทนฺตสฺส อุกฺกณฺฐนฺตสฺส สพฺพภวโยนิคติวิญฺญาณฎฺฐิติสตฺตาวาสคเตสุ สเภทเกสุ สงฺขาเรสุ จิตฺตํ น สชฺชติ น ลคฺคติ น พชฺฌติ, สพฺพสงฺขารคตํ มุญฺจิตุกามํ ฉเฑฺฑตุกามํ โหติฯ

    9.Muñcitukamyatāpaṭisaṅkhāsantiṭṭhanā paññā saṅkhārupekkhāsu ñāṇanti muñcituṃ cajituṃ kāmeti icchatīti muñcitukāmo, muñcitukāmassa bhāvo muñcitukamyatā. Paṭisaṅkhāti upaparikkhatīti paṭisaṅkhā, paṭisaṅkhānaṃ vā paṭisaṅkhā. Santiṭṭhati ajjhupekkhatīti santiṭṭhanā, santiṭṭhanaṃ vā santiṭṭhanā. Muñcitukamyatā ca sā paṭisaṅkhā ca santiṭṭhanā cāti muñcitukamyatāpaṭisaṅkhāsantiṭṭhanā. Iti pubbabhāge nibbidāñāṇena nibbinnassa uppādādīni pariccajitukāmatā muñcitukamyatā. Muñcanassa upāyakaraṇatthaṃ majjhe paṭisaṅkhānaṃ paṭisaṅkhā. Muñcitvā avasāne ajjhupekkhanaṃ santiṭṭhanā. Evaṃ avatthābhedena tippakārā paññā saṅkhārānaṃ ajjhupekkhanāsu ñāṇaṃ, muñcitukamyatāpaṭisaṅkhāsantiṭṭhanāsaṅkhātānaṃ avatthābhedena bhinnānaṃ tissannampi paññānaṃ saṅkhārupekkhataṃ icchantena pana ‘‘paññā’’ti ca ‘‘saṅkhārupekkhāsū’’ti ca bahuvacanaṃ kataṃ, avatthābhedena bhinnassāpi ekattā ‘‘ñāṇa’’nti ekavacanaṃ katanti veditabbaṃ. Vuttañca – ‘‘yā ca muñcitukamyatā yā ca paṭisaṅkhānupassanā yā ca saṅkhārupekkhā, ime dhammā ekaṭṭhā, byañjanameva nāna’’nti (paṭi. ma. 1.227). Keci pana ‘‘saṅkhārupekkhāsūti bahuvacanaṃ samathavipassanāvasena saṅkhārupekkhānaṃ bahuttā’’tipi vadanti. Saṅkhārupekkhāsūti ca kiriyāpekkhanti veditabbaṃ. Avatthābhedena pana tena nibbidāñāṇena nibbindantassa ukkaṇṭhantassa sabbabhavayonigativiññāṇaṭṭhitisattāvāsagatesu sabhedakesu saṅkhāresu cittaṃ na sajjati na laggati na bajjhati, sabbasaṅkhāragataṃ muñcitukāmaṃ chaḍḍetukāmaṃ hoti.

    อถ วา ยถา ชาลพฺภนฺตรคโต มโจฺฉ, สปฺปมุขคโต มณฺฑูโก, ปญฺชรปกฺขิโตฺต วนกุกฺกุโฎ, ทฬฺหปาสวสํคโต มิโค, อหิตุณฺฑิกหตฺถคโต สโปฺป, มหาปงฺกปกฺขโนฺท กุญฺชโร, สุปณฺณมุขคโต นาคราชา, ราหุมุขปวิโฎฺฐ จโนฺท, สปตฺตปริกฺขิโตฺต ปุริโสติเอวมาทโย ตโต ตโต มุจฺจิตุกามา นิสฺสริตุกามาว โหนฺติ, เอวํ ตสฺส โยคิโน จิตฺตํ สพฺพสฺมา สงฺขารคตา มุจฺจิตุกามํ นิสฺสริตุกามํ โหติฯ เอวญฺหิ วุจฺจมาเน ‘‘มุจฺจิตุกามสฺส มุจฺจิตุกมฺยตา’’ติ ปาโฐ ยุชฺชติฯ เอวญฺจ สติ ‘‘อุปฺปาทํ มุญฺจิตุกมฺยตา’’ติอาทีสุ ‘‘อุปฺปาทา มุจฺจิตุกมฺยตา’’ติอาทิ วตฺตพฺพํ โหติ, ตสฺมา ปุริโม เอว อโตฺถ สุนฺทรตโรฯ อถสฺส สพฺพสงฺขาเรสุ วิคตาลยสฺส สพฺพสงฺขารคตํ มุญฺจิตุกามสฺส มุญฺจิตุกมฺยตาญาณํ อุปฺปชฺชติฯ โส เอวํ สพฺพภวโยนิคติวิญฺญาณฎฺฐิติสตฺตาวาสคเต สเภทเก สงฺขาเร มุญฺจิตุกาโม มุญฺจนสฺส อุปายสมฺปาทนตฺถํ ปุน เต เอว สงฺขาเร ปฎิสงฺขานุปสฺสนาญาเณน ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา วิปสฺสติฯ เอวญฺหิ วิปสฺสโต จสฺส อนิจฺจวเสน นิมิตฺตํ ปฎิสงฺขาญาณํ อุปฺปชฺชติ, ทุกฺขวเสน ปวตฺตํ ปฎิสงฺขาญาณํ อุปฺปชฺชติ, อนตฺตวเสน นิมิตฺตญฺจ ปวตฺตญฺจ ปฎิสงฺขาญาณํ อุปฺปชฺชติฯ โส ปฎิสงฺขานุปสฺสนาญาเณน ‘‘สเพฺพ สงฺขารา สุญฺญา’’ติ ทิสฺวา ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา สงฺขาเร ปริคฺคณฺหโนฺต ภยญฺจ นนฺทิญฺจ วิปฺปหาย ภริยาย โทสํ ทิสฺวา วิสฺสฎฺฐภริโย วิย ปุริโส ตสฺสา ภริยาย สงฺขาเรสุ อุทาสีโน โหติ มชฺฌโตฺต, ‘‘อห’’นฺติ วา ‘‘มม’’นฺติ วา น คณฺหาติฯ ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต ตีสุ ภเวสุ จิตฺตํ ปติลียติ ปฎิกุฎติ ปฎิวตฺตติ น สมฺปสาริยติฯ เสยฺยถาปิ นาม ปทุมปลาเส อีสกํ โปเณ อุทกผุสิตานิ ปติลียนฺติ ปฎิกุฎนฺติ ปฎิวตฺตนฺติ น สมฺปสาริยนฺติฯ เสยฺยถาปิ วา ปน กุกฺกุฎปตฺตํ วา นฺหารุททฺทุลํ วา อคฺคิมฺหิ ปกฺขิตฺตํ ปติลียติ ปฎิกุฎติ ปฎิวตฺตติ น สมฺปสาริยติ, เอวํ ตสฺส ตีสุ ภเวสุ จิตฺตํ ปติลียติ ปฎิกุฎติ ปฎิวตฺตติ น สมฺปสาริยติ, อุเปกฺขา สณฺฐาติฯ เอวมสฺส สงฺขารุเปกฺขาญาณํ อุปฺปนฺนํ โหติฯ อิมินา สงฺขารุเปกฺขาญาเณน สทฺธิํ อุปริ โคตฺรภุญาณสฺส สาธกํ อนุโลมญาณํ ปุพฺพาปรญาเณหิ อวุตฺตมฺปิ วุตฺตเมว โหตีติ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตญฺหิ ภควตา –

    Atha vā yathā jālabbhantaragato maccho, sappamukhagato maṇḍūko, pañjarapakkhitto vanakukkuṭo, daḷhapāsavasaṃgato migo, ahituṇḍikahatthagato sappo, mahāpaṅkapakkhando kuñjaro, supaṇṇamukhagato nāgarājā, rāhumukhapaviṭṭho cando, sapattaparikkhitto purisotievamādayo tato tato muccitukāmā nissaritukāmāva honti, evaṃ tassa yogino cittaṃ sabbasmā saṅkhāragatā muccitukāmaṃ nissaritukāmaṃ hoti. Evañhi vuccamāne ‘‘muccitukāmassa muccitukamyatā’’ti pāṭho yujjati. Evañca sati ‘‘uppādaṃ muñcitukamyatā’’tiādīsu ‘‘uppādā muccitukamyatā’’tiādi vattabbaṃ hoti, tasmā purimo eva attho sundarataro. Athassa sabbasaṅkhāresu vigatālayassa sabbasaṅkhāragataṃ muñcitukāmassa muñcitukamyatāñāṇaṃ uppajjati. So evaṃ sabbabhavayonigativiññāṇaṭṭhitisattāvāsagate sabhedake saṅkhāre muñcitukāmo muñcanassa upāyasampādanatthaṃ puna te eva saṅkhāre paṭisaṅkhānupassanāñāṇena tilakkhaṇaṃ āropetvā vipassati. Evañhi vipassato cassa aniccavasena nimittaṃ paṭisaṅkhāñāṇaṃ uppajjati, dukkhavasena pavattaṃ paṭisaṅkhāñāṇaṃ uppajjati, anattavasena nimittañca pavattañca paṭisaṅkhāñāṇaṃ uppajjati. So paṭisaṅkhānupassanāñāṇena ‘‘sabbe saṅkhārā suññā’’ti disvā tilakkhaṇaṃ āropetvā saṅkhāre pariggaṇhanto bhayañca nandiñca vippahāya bhariyāya dosaṃ disvā vissaṭṭhabhariyo viya puriso tassā bhariyāya saṅkhāresu udāsīno hoti majjhatto, ‘‘aha’’nti vā ‘‘mama’’nti vā na gaṇhāti. Tassa evaṃ jānato evaṃ passato tīsu bhavesu cittaṃ patilīyati paṭikuṭati paṭivattati na sampasāriyati. Seyyathāpi nāma padumapalāse īsakaṃ poṇe udakaphusitāni patilīyanti paṭikuṭanti paṭivattanti na sampasāriyanti. Seyyathāpi vā pana kukkuṭapattaṃ vā nhārudaddulaṃ vā aggimhi pakkhittaṃ patilīyati paṭikuṭati paṭivattati na sampasāriyati, evaṃ tassa tīsu bhavesu cittaṃ patilīyati paṭikuṭati paṭivattati na sampasāriyati, upekkhā saṇṭhāti. Evamassa saṅkhārupekkhāñāṇaṃ uppannaṃ hoti. Iminā saṅkhārupekkhāñāṇena saddhiṃ upari gotrabhuñāṇassa sādhakaṃ anulomañāṇaṃ pubbāparañāṇehi avuttampi vuttameva hotīti veditabbaṃ. Vuttañhi bhagavatā –

    ‘‘โส วต, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ กญฺจิ สงฺขารํ นิจฺจโต สมนุปสฺสโนฺต อนุโลมิกาย ขนฺติยา สมนฺนาคโต ภวิสฺสตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติ, อนุโลมิกาย ขนฺติยา อสมนฺนาคโต สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมิสฺสตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติ, สมฺมตฺตนิยามํ อโนกฺกมมาโน โสตาปตฺติผลํ วา สกทาคามิผลํ วา อนาคามิผลํ วา อรหตฺตผลํ วา สจฺฉิกริสฺสตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๖.๙๘; ปฎิ. ม. ๓.๓๖)ฯ

    ‘‘So vata, bhikkhave, bhikkhu kañci saṅkhāraṃ niccato samanupassanto anulomikāya khantiyā samannāgato bhavissatīti netaṃ ṭhānaṃ vijjati, anulomikāya khantiyā asamannāgato sammattaniyāmaṃ okkamissatīti netaṃ ṭhānaṃ vijjati, sammattaniyāmaṃ anokkamamāno sotāpattiphalaṃ vā sakadāgāmiphalaṃ vā anāgāmiphalaṃ vā arahattaphalaṃ vā sacchikarissatīti netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’tiādi (a. ni. 6.98; paṭi. ma. 3.36).

    วุตฺตญฺจ ธมฺมเสนาปตินา –

    Vuttañca dhammasenāpatinā –

    ‘‘กติหากาเรหิ อนุโลมิกํ ขนฺติํ ปฎิลภติ? กติหากาเรหิ สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมติ? จตฺตาลีสาย อากาเรหิ อนุโลมิกํ ขนฺติํ ปฎิลภติ, จตฺตาลีสาย อากาเรหิ สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมตี’’ติอาทิ (ปฎิ. ม. ๓.๓๗)ฯ

    ‘‘Katihākārehi anulomikaṃ khantiṃ paṭilabhati? Katihākārehi sammattaniyāmaṃ okkamati? Cattālīsāya ākārehi anulomikaṃ khantiṃ paṭilabhati, cattālīsāya ākārehi sammattaniyāmaṃ okkamatī’’tiādi (paṭi. ma. 3.37).

    ปฎฺฐาเน เจตํ วุตฺตํ ภควตา –

    Paṭṭhāne cetaṃ vuttaṃ bhagavatā –

    ‘‘อนุโลมํ โคตฺรภุสฺส อนนฺตรปจฺจเยน ปจฺจโยฯ อนุโลมํ โวทานสฺส อนนฺตรปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติอาทิ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๔๑๗)ฯ

    ‘‘Anulomaṃ gotrabhussa anantarapaccayena paccayo. Anulomaṃ vodānassa anantarapaccayena paccayo’’tiādi (paṭṭhā. 1.1.417).

    ตสฺส หิ ตํ สงฺขารุเปกฺขาญาณํ อาเสวนฺตสฺส ภาเวนฺตสฺส พหุลีกโรนฺตสฺส อธิโมกฺขสทฺธา พลวตรา โหติ, วีริยํ สุปคฺคหิตํ, สติ สูปฎฺฐิตา, จิตฺตํ สุสมาหิตํ, สงฺขารุเปกฺขาญาณํ ติกฺขตรํ ปวตฺตติฯ ตสฺส อิทานิ มโคฺค อุปฺปชฺชิสฺสตีติ สงฺขารุเปกฺขาย สงฺขาเร ‘‘อนิจฺจา’’ติ วา ‘‘ทุกฺขา’’ติ วา ‘‘อนตฺตา’’ติ วา สมฺมสิตฺวา ภวงฺคํ โอตรติฯ ภวงฺคานนฺตรํ สงฺขารุเปกฺขาย กตนเยเนว สงฺขาเร ‘‘อนิจฺจา’’ติ วา ‘‘ทุกฺขา’’ติ วา ‘‘อนตฺตา’’ติ วา อารมฺมณํ กุรุมานํ อุปฺปชฺชติ มโนทฺวาราวชฺชนํฯ ตทนนฺตรํ ตเถว สงฺขาเร อารมฺมณํ กตฺวา เทฺว ตีณิ จตฺตาริ วา ชวนจิตฺตานิ อุปฺปชฺชนฺติฯ ตํสมฺปยุตฺตํ ญาณํ อนุโลมญาณํฯ ตญฺหิ ปุริมานญฺจ อฎฺฐนฺนํ วิปสฺสนาญาณานํ ตถกิจฺจตาย อนุโลเมติ, อุปริ จ ปตฺตพฺพานํ สตฺตติํสาย โพธิปกฺขิยธมฺมานํ อนุโลเมติฯ ยถา หิ ธมฺมิโก ราชา วินิจฺฉยฎฺฐาเน นิสิโนฺน อฎฺฐนฺนํ โวหาริกมหามตฺตานํ วินิจฺฉยํ สุตฺวา อคติคมนํ ปหาย มชฺฌโตฺต หุตฺวา ‘‘เอวํ โหตู’’ติ อนุโมทมาโน เตสญฺจ วินิจฺฉยสฺส อนุโลเมติ, โปราณสฺส จ ราชธมฺมสฺสฯ ตตฺถ ราชา วิย อนุโลมญาณํ, อฎฺฐ โวหาริกมหามตฺตา วิย อฎฺฐ วิปสฺสนาญาณานิ, โปราณราชธโมฺม วิย สตฺตติํส โพธิปกฺขิยธมฺมา, ยถา ราชา ‘‘เอวํ โหตู’’ติ อนุโมทมาโน โวหาริกานญฺจ วินิจฺฉยสฺส ราชธมฺมสฺส จ อนุโลเมติ, เอวมิทํ อนิจฺจาทิวเสน สงฺขาเร อารพฺภ อุปฺปชฺชมานานํ อฎฺฐนฺนญฺจ วิปสฺสนาญาณานํ ตถกิจฺจตาย อนุโลเมติ, อุปริ จ ปตฺตพฺพานํ สตฺตติํสาย โพธิปกฺขิยธมฺมานํฯ ตสฺมา อนุโลมญาณนฺติ วุจฺจติฯ

    Tassa hi taṃ saṅkhārupekkhāñāṇaṃ āsevantassa bhāventassa bahulīkarontassa adhimokkhasaddhā balavatarā hoti, vīriyaṃ supaggahitaṃ, sati sūpaṭṭhitā, cittaṃ susamāhitaṃ, saṅkhārupekkhāñāṇaṃ tikkhataraṃ pavattati. Tassa idāni maggo uppajjissatīti saṅkhārupekkhāya saṅkhāre ‘‘aniccā’’ti vā ‘‘dukkhā’’ti vā ‘‘anattā’’ti vā sammasitvā bhavaṅgaṃ otarati. Bhavaṅgānantaraṃ saṅkhārupekkhāya katanayeneva saṅkhāre ‘‘aniccā’’ti vā ‘‘dukkhā’’ti vā ‘‘anattā’’ti vā ārammaṇaṃ kurumānaṃ uppajjati manodvārāvajjanaṃ. Tadanantaraṃ tatheva saṅkhāre ārammaṇaṃ katvā dve tīṇi cattāri vā javanacittāni uppajjanti. Taṃsampayuttaṃ ñāṇaṃ anulomañāṇaṃ. Tañhi purimānañca aṭṭhannaṃ vipassanāñāṇānaṃ tathakiccatāya anulometi, upari ca pattabbānaṃ sattatiṃsāya bodhipakkhiyadhammānaṃ anulometi. Yathā hi dhammiko rājā vinicchayaṭṭhāne nisinno aṭṭhannaṃ vohārikamahāmattānaṃ vinicchayaṃ sutvā agatigamanaṃ pahāya majjhatto hutvā ‘‘evaṃ hotū’’ti anumodamāno tesañca vinicchayassa anulometi, porāṇassa ca rājadhammassa. Tattha rājā viya anulomañāṇaṃ, aṭṭha vohārikamahāmattā viya aṭṭha vipassanāñāṇāni, porāṇarājadhammo viya sattatiṃsa bodhipakkhiyadhammā, yathā rājā ‘‘evaṃ hotū’’ti anumodamāno vohārikānañca vinicchayassa rājadhammassa ca anulometi, evamidaṃ aniccādivasena saṅkhāre ārabbha uppajjamānānaṃ aṭṭhannañca vipassanāñāṇānaṃ tathakiccatāya anulometi, upari ca pattabbānaṃ sattatiṃsāya bodhipakkhiyadhammānaṃ. Tasmā anulomañāṇanti vuccati.

    ๑๐. พหิทฺธา วุฎฺฐานวิวฎฺฎเน ปญฺญา โคตฺรภุญาณนฺติ เอตฺถ พหิทฺธาติ สงฺขารนิมิตฺตํฯ ตญฺหิ อชฺฌตฺตจิตฺตสนฺตาเน อกุสลกฺขเนฺธ อุปาทาย พหิทฺธาติ วุตฺตํฯ ตสฺมา พหิทฺธา สงฺขารนิมิตฺตมฺหา วุฎฺฐาติ วิคตํ หุตฺวา อุทฺธํ ติฎฺฐตีติ วุฎฺฐานํ, วิวฎฺฎติ ปราวฎฺฎติ ปรมฺมุขํ โหตีติ วิวฎฺฎนํ, วุฎฺฐานญฺจ ตํ วิวฎฺฎนญฺจาติ วุฎฺฐานวิวฎฺฎนํฯ เตเนวาห –

    10.Bahiddhāvuṭṭhānavivaṭṭane paññā gotrabhuñāṇanti ettha bahiddhāti saṅkhāranimittaṃ. Tañhi ajjhattacittasantāne akusalakkhandhe upādāya bahiddhāti vuttaṃ. Tasmā bahiddhā saṅkhāranimittamhā vuṭṭhāti vigataṃ hutvā uddhaṃ tiṭṭhatīti vuṭṭhānaṃ, vivaṭṭati parāvaṭṭati parammukhaṃ hotīti vivaṭṭanaṃ, vuṭṭhānañca taṃ vivaṭṭanañcāti vuṭṭhānavivaṭṭanaṃ. Tenevāha –

    ‘‘โคตฺรภุญาณํ สมุทยสฺส อสมุจฺฉินฺทนโต ปวตฺตา น วุฎฺฐาติ, นิพฺพานารมฺมณโต ปน นิมิตฺตา วุฎฺฐาตีติ เอกโต วุฎฺฐานํ โหตี’’ติ (วิสุทฺธิ. ๒.๘๒๗)ฯ

    ‘‘Gotrabhuñāṇaṃ samudayassa asamucchindanato pavattā na vuṭṭhāti, nibbānārammaṇato pana nimittā vuṭṭhātīti ekato vuṭṭhānaṃ hotī’’ti (visuddhi. 2.827).

    ปุถุชฺชนโคตฺตาภิภวนโต อริยโคตฺตภาวนโต โคตฺรภุฯ อิทญฺหิ อนุโลมญาเณหิ ปทุมปลาสโต อุทกมิว สพฺพสงฺขารโต ปติลียมานจิตฺตสฺส อนุโลมญาณสฺส อาเสวนเนฺต อนิมิตฺตํ นิพฺพานํ อารมฺมณํ กุรุมานํ ปุถุชฺชนโคตฺตํ ปุถุชฺชนสงฺขํ ปุถุชฺชนภูมิํ อติกฺกมมานํ อริยโคตฺตํ อริยสงฺขํ อริยภูมิํ โอกฺกมมานํ นิพฺพานารมฺมเณ ปฐมาวตฺตนปฐมาโภคปฐมสมนฺนาหารภูตํ มคฺคสฺส อนนฺตรสมนนฺตราเสวนอุปนิสฺสยนตฺถิวิคตวเสน ฉหิ อากาเรหิ ปจฺจยภาวํ สาธยมานํ สิขาปฺปตฺตํ วิปสฺสนาย มุทฺธภูตํ อปุนราวตฺตกํ อุปฺปชฺชติฯ

    Puthujjanagottābhibhavanato ariyagottabhāvanato gotrabhu. Idañhi anulomañāṇehi padumapalāsato udakamiva sabbasaṅkhārato patilīyamānacittassa anulomañāṇassa āsevanante animittaṃ nibbānaṃ ārammaṇaṃ kurumānaṃ puthujjanagottaṃ puthujjanasaṅkhaṃ puthujjanabhūmiṃ atikkamamānaṃ ariyagottaṃ ariyasaṅkhaṃ ariyabhūmiṃ okkamamānaṃ nibbānārammaṇe paṭhamāvattanapaṭhamābhogapaṭhamasamannāhārabhūtaṃ maggassa anantarasamanantarāsevanaupanissayanatthivigatavasena chahi ākārehi paccayabhāvaṃ sādhayamānaṃ sikhāppattaṃ vipassanāya muddhabhūtaṃ apunarāvattakaṃ uppajjati.

    ๑๑. ทุภโต วุฎฺฐานวิวฎฺฎเน ปญฺญา มเคฺค ญาณนฺติ เอตฺถ ทุภโตติ อุภโต, ทฺวยโตติ วา วุตฺตํ โหติฯ กิเลสานํ สมุจฺฉินฺทนโต กิเลเสหิ จ ตทนุวตฺตกกฺขเนฺธหิ จ นิพฺพานารมฺมณกรณโต พหิทฺธา สพฺพสงฺขารนิมิเตฺตหิ จ วุฎฺฐาติ วิวฎฺฎตีติ ทุภโต วุฎฺฐานวิวฎฺฎเน ปญฺญาฯ เตเนวาห –

    11.Dubhato vuṭṭhānavivaṭṭane paññā magge ñāṇanti ettha dubhatoti ubhato, dvayatoti vā vuttaṃ hoti. Kilesānaṃ samucchindanato kilesehi ca tadanuvattakakkhandhehi ca nibbānārammaṇakaraṇato bahiddhā sabbasaṅkhāranimittehi ca vuṭṭhāti vivaṭṭatīti dubhato vuṭṭhānavivaṭṭane paññā. Tenevāha –

    ‘‘จตฺตาริปิ มคฺคญาณานิ อนิมิตฺตารมฺมณตฺตา นิมิตฺตโต วุฎฺฐหนฺติ, สมุทยสฺส สมุจฺฉินฺทนโต ปวตฺตา วุฎฺฐหนฺตีติ ทุภโต วุฎฺฐานานิ โหนฺตี’’ติ (วิสุทฺธิ. ๒.๘๒๗)ฯ

    ‘‘Cattāripi maggañāṇāni animittārammaṇattā nimittato vuṭṭhahanti, samudayassa samucchindanato pavattā vuṭṭhahantīti dubhato vuṭṭhānāni hontī’’ti (visuddhi. 2.827).

    มเคฺค ญาณนฺติ นิพฺพานํ มคฺคติ เปกฺขติ, นิพฺพานตฺถิเกหิ วา มคฺคียติ อเนฺวสียติ, กิเลเส วา มาเรโนฺต คจฺฉติ ปวตฺตตีติ มโคฺค, ตสฺมิํ มเคฺค ญาณํฯ ชาติคฺคหเณน เอกวจนํ กตํฯ ตญฺหิ โคตฺรภุญาณสฺส อนนฺตรํ นิพฺพานํ อารมฺมณํ กุรุมานํ สยํวเชฺฌ กิเลเส นิรวเสสํ สมุจฺฉินฺทมานํ อนมตคฺคสํสารวฎฺฎทุกฺขสมุทฺทํ โสสยมานํ สพฺพาปายทฺวารานิ ปิทหมานํ สตฺตอริยธนสมฺมุขีภาวํ กุรุมานํ อฎฺฐงฺคิกํ มิจฺฉามคฺคํ ปชหมานํ สพฺพเวรภยานิ วูปสมยมานํ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส โอรสปุตฺตภาวมุปนยมานํ อญฺญานิ จ อเนกานิ อานิสํสสตานิ ปฎิลาภยมานํ มคฺคญาณํ อุปฺปชฺชติฯ

    Magge ñāṇanti nibbānaṃ maggati pekkhati, nibbānatthikehi vā maggīyati anvesīyati, kilese vā mārento gacchati pavattatīti maggo, tasmiṃ magge ñāṇaṃ. Jātiggahaṇena ekavacanaṃ kataṃ. Tañhi gotrabhuñāṇassa anantaraṃ nibbānaṃ ārammaṇaṃ kurumānaṃ sayaṃvajjhe kilese niravasesaṃ samucchindamānaṃ anamataggasaṃsāravaṭṭadukkhasamuddaṃ sosayamānaṃ sabbāpāyadvārāni pidahamānaṃ sattaariyadhanasammukhībhāvaṃ kurumānaṃ aṭṭhaṅgikaṃ micchāmaggaṃ pajahamānaṃ sabbaverabhayāni vūpasamayamānaṃ sammāsambuddhassa orasaputtabhāvamupanayamānaṃ aññāni ca anekāni ānisaṃsasatāni paṭilābhayamānaṃ maggañāṇaṃ uppajjati.

    ฐาตุํ อิจฺฉํ ปุริโส, ลงฺฆิตฺวา มาติกาย ปรตีเร;

    Ṭhātuṃ icchaṃ puriso, laṅghitvā mātikāya paratīre;

    เวเคนาคมฺม ยถา, คณฺหิตฺวา โอริมติรตรุพทฺธํฯ

    Vegenāgamma yathā, gaṇhitvā orimatiratarubaddhaṃ.

    รชฺชุํ วา ทณฺฑํ วา, อุลฺลงฺฆิตฺวาน ปารนินฺนตนุ;

    Rajjuṃ vā daṇḍaṃ vā, ullaṅghitvāna pāraninnatanu;

    ปาราปโนฺน ปน ตํ, มุญฺจิย เวธํ ปติฎฺฐหติ ปาเรฯ

    Pārāpanno pana taṃ, muñciya vedhaṃ patiṭṭhahati pāre.

    เอวํ โยคาวจโร, สกฺกายมยมฺหิ โอริเม ตีเร;

    Evaṃ yogāvacaro, sakkāyamayamhi orime tīre;

    ทิฎฺฐภโย อภเย ปน, ฐาตุํ อิจฺฉํ อมตปาเรฯ

    Diṭṭhabhayo abhaye pana, ṭhātuṃ icchaṃ amatapāre.

    อุทยพฺพยานุปสฺส , ปภุติกเวเคน อาคโต รชฺชุํ;

    Udayabbayānupassa , pabhutikavegena āgato rajjuṃ;

    รูปาวฺหํ ทณฺฑํ วา, ตทิตรขนฺธาวฺหยํ สมฺมาฯ

    Rūpāvhaṃ daṇḍaṃ vā, taditarakhandhāvhayaṃ sammā.

    คณฺหิตฺวา อาวชฺชน, จิเตฺตน หิ ปุพฺพวุตฺตนยโตว;

    Gaṇhitvā āvajjana, cittena hi pubbavuttanayatova;

    อนุโลเมหุลฺลงฺฆิย, นิพฺพุตินิโนฺน ตทาสโนปคโตฯ

    Anulomehullaṅghiya, nibbutininno tadāsanopagato.

    ตํ มุญฺจิย โคตฺรภุนา, อลทฺธอาเสวเนน ตุ ปเวธํ;

    Taṃ muñciya gotrabhunā, aladdhaāsevanena tu pavedhaṃ;

    ปติโต สงฺขตปาเร, ตโต ปติฎฺฐาติ มคฺคญาเณนฯ

    Patito saṅkhatapāre, tato patiṭṭhāti maggañāṇena.

    ปสฺสิตุกาโม จนฺทํ, จเนฺท ฉนฺนมฺหิ อพฺภปฎเลหิ;

    Passitukāmo candaṃ, cande channamhi abbhapaṭalehi;

    ถุลกสุขุมสุขุเมสุ, อเพฺภสุ หเฎสุ วายุนา กมโตฯ

    Thulakasukhumasukhumesu, abbhesu haṭesu vāyunā kamato.

    จนฺทํ ปเสฺสยฺย นโร, ยถา ตเถวานุโลมญาเณหิ กมา;

    Candaṃ passeyya naro, yathā tathevānulomañāṇehi kamā;

    สจฺจจฺฉาทกโมเห, วินาสิเต เปกฺขเต หิ โคตฺรภุ อมตํฯ

    Saccacchādakamohe, vināsite pekkhate hi gotrabhu amataṃ.

    วาตา วิย เต จนฺทํ, อมตํ น หิ เปกฺขเรนุโลมานิ;

    Vātā viya te candaṃ, amataṃ na hi pekkharenulomāni;

    ปุริโส อพฺภานิ ยถา, โคตฺรภุ น ตมํ วิโนเทติฯ

    Puriso abbhāni yathā, gotrabhu na tamaṃ vinodeti.

    ภมิตมฺหิ จกฺกยเนฺต, ฐิโต นโร อญฺญทินฺนสญฺญาย;

    Bhamitamhi cakkayante, ṭhito naro aññadinnasaññāya;

    อุสุปาเต ผลกสตํ, อเปกฺขมาโน ยถา วิเชฺฌฯ

    Usupāte phalakasataṃ, apekkhamāno yathā vijjhe.

    เอวมิธ มคฺคญาณํ, โคตฺรภุนา ทินฺนสญฺญมวิหาย;

    Evamidha maggañāṇaṃ, gotrabhunā dinnasaññamavihāya;

    นิพฺพาเน วตฺตนฺตํ, โลภกฺขนฺธาทิเก ปทาเลติฯ

    Nibbāne vattantaṃ, lobhakkhandhādike padāleti.

    สํสารทุกฺขชลธิํ , โสสยติ ปิทหติ ทุคฺคติทฺวารํ;

    Saṃsāradukkhajaladhiṃ , sosayati pidahati duggatidvāraṃ;

    กุรุเต จ อริยธนินํ, มิจฺฉามคฺคญฺจ ปชหาติฯ

    Kurute ca ariyadhaninaṃ, micchāmaggañca pajahāti.

    เวรภยานิ สมยเต, กโรติ นาถสฺส โอรสสุตตฺตํ;

    Verabhayāni samayate, karoti nāthassa orasasutattaṃ;

    อเญฺญ จ อเนกสเต, อานีสํเส ททาติ ญาณมิทนฺติฯ

    Aññe ca anekasate, ānīsaṃse dadāti ñāṇamidanti.

    ๑๒. ปโยคปฺปฎิปฺปสฺสทฺธิปญฺญา ผเล ญาณนฺติ เอตฺถ ปโยโคติ ภุโส โยโค, ผลสจฺฉิกิริยาย มคฺคภาวนาย อุภโต วุฎฺฐานปโยโค, ตสฺส ปโยคสฺส ปฎิปฺปสฺสมฺภนํ นิฎฺฐานํ ปโยคปฎิปฺปสฺสทฺธิฯ กิํ ตํ? จตุมคฺคกิจฺจปริโยสานํฯ ตสฺสา ปโยคปฎิปฺปสฺสทฺธิยา เหตุภูตาย ปวตฺตา ผเล ปญฺญา ปโยคปฺปฎิปฺปสฺสทฺธิปญฺญาฯ ผลติ วิปจฺจตีติ ผลํ, ตสฺมิํ ผเล ตํสมฺปยุตฺตํ ญาณํฯ เอเกกสฺส หิ มคฺคญาณสฺส อนนฺตรา ตสฺส ตเสฺสว วิปากภูตานิ นิพฺพานารมฺมณานิ ตีณิ วา เทฺว วา เอกํ วา ผลจิตฺตานิ อุปฺปชฺชนฺติฯ อนนฺตรวิปากตฺตาเยว โลกุตฺตรกุสลานํ ‘‘สมาธิมานนฺตริกญฺญมาหู’’ติ (ขุ. ปา. ๖.๕; สุ. นิ. ๒๒๘) จ, ‘‘ทนฺธํ อานนฺตริกํ ปาปุณาติ อาสวานํ ขยายา’’ติ (อ. นิ. ๔.๑๖๒) จ อาทิ วุตฺตํฯ ยสฺส เทฺว อนุโลมานิ, ตสฺส ตติยํ โคตฺรภุ, จตุตฺถํ มคฺคจิตฺตํ, ตีณิ ผลจิตฺตานิ โหนฺติฯ ยสฺส ตีณิ อนุโลมานิ, ตสฺส จตุตฺถํ โคตฺรภุ, ปญฺจมํ มคฺคจิตฺตํ, เทฺว ผลจิตฺตานิ โหนฺติฯ ยสฺส จตฺตาริ อนุโลมานิ, ตสฺส ปญฺจมํ โคตฺรภุ, ฉฎฺฐํ มคฺคจิตฺตํ, เอกํ ผลจิตฺตํ โหติฯ อิทํ มคฺควีถิยํ ผลํฯ กาลนฺตรผลํ ปน สมาปตฺติวเสน อุปฺปชฺชมานํ นิโรธา วุฎฺฐหนฺตสฺส อุปฺปชฺชมานญฺจ เอเตเนว สงฺคหิตํฯ

    12.Payogappaṭippassaddhipaññā phale ñāṇanti ettha payogoti bhuso yogo, phalasacchikiriyāya maggabhāvanāya ubhato vuṭṭhānapayogo, tassa payogassa paṭippassambhanaṃ niṭṭhānaṃ payogapaṭippassaddhi. Kiṃ taṃ? Catumaggakiccapariyosānaṃ. Tassā payogapaṭippassaddhiyā hetubhūtāya pavattā phale paññā payogappaṭippassaddhipaññā. Phalati vipaccatīti phalaṃ, tasmiṃ phale taṃsampayuttaṃ ñāṇaṃ. Ekekassa hi maggañāṇassa anantarā tassa tasseva vipākabhūtāni nibbānārammaṇāni tīṇi vā dve vā ekaṃ vā phalacittāni uppajjanti. Anantaravipākattāyeva lokuttarakusalānaṃ ‘‘samādhimānantarikaññamāhū’’ti (khu. pā. 6.5; su. ni. 228) ca, ‘‘dandhaṃ ānantarikaṃ pāpuṇāti āsavānaṃ khayāyā’’ti (a. ni. 4.162) ca ādi vuttaṃ. Yassa dve anulomāni, tassa tatiyaṃ gotrabhu, catutthaṃ maggacittaṃ, tīṇi phalacittāni honti. Yassa tīṇi anulomāni, tassa catutthaṃ gotrabhu, pañcamaṃ maggacittaṃ, dve phalacittāni honti. Yassa cattāri anulomāni, tassa pañcamaṃ gotrabhu, chaṭṭhaṃ maggacittaṃ, ekaṃ phalacittaṃ hoti. Idaṃ maggavīthiyaṃ phalaṃ. Kālantaraphalaṃ pana samāpattivasena uppajjamānaṃ nirodhā vuṭṭhahantassa uppajjamānañca eteneva saṅgahitaṃ.

    ๑๓. ฉินฺนวฎุมานุปสฺสเน ปญฺญาติ เตน เตน อริยมเคฺคน สมุจฺฉินฺนํ ตํ ตํ อุปกฺกิเลสํ ปจฺฉา ปสฺสเน ปญฺญาฯ วิมุตฺติญาณนฺติ วิมุตฺติยา ญาณํฯ วิมุตฺตีติ จ อุปกฺกิเลเสหิ วิมุตฺตํ ปริสุทฺธํ จิตฺตํ, วิมุตฺตภาโว วาฯ ตสฺสา วิมุตฺติยา ชานนํ ญาณํ วิมุตฺติญาณํฯ กิเลเสหิ วิมุตฺตํ จิตฺตสนฺตติมฺปิ กิเลเสหิ วิมุตฺตภาวมฺปิ ปจฺจเวกฺขโนฺต กิเลเสหิ น วินา ปจฺจเวกฺขตีติ เอเตน ปหีนกิเลสปจฺจเวกฺขณํ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘วิมุตฺตสฺมิํ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหตี’’ติ (มหาว. ๒๓; ที. นิ. ๑.๒๔๘) หิ อิทเมว สนฺธาย วุตฺตํฯ อวสิฎฺฐกิเลสปจฺจเวกฺขณํ ปน อวุตฺตมฺปิ อิมินาว วุตฺตํ โหตีติ คเหตพฺพํฯ วุตฺตญฺจ –

    13.Chinnavaṭumānupassane paññāti tena tena ariyamaggena samucchinnaṃ taṃ taṃ upakkilesaṃ pacchā passane paññā. Vimuttiñāṇanti vimuttiyā ñāṇaṃ. Vimuttīti ca upakkilesehi vimuttaṃ parisuddhaṃ cittaṃ, vimuttabhāvo vā. Tassā vimuttiyā jānanaṃ ñāṇaṃ vimuttiñāṇaṃ. Kilesehi vimuttaṃ cittasantatimpi kilesehi vimuttabhāvampi paccavekkhanto kilesehi na vinā paccavekkhatīti etena pahīnakilesapaccavekkhaṇaṃ vuttaṃ hoti. ‘‘Vimuttasmiṃ vimuttamiti ñāṇaṃ hotī’’ti (mahāva. 23; dī. ni. 1.248) hi idameva sandhāya vuttaṃ. Avasiṭṭhakilesapaccavekkhaṇaṃ pana avuttampi imināva vuttaṃ hotīti gahetabbaṃ. Vuttañca –

    ‘‘วุตฺตมฺหิ เอกธเมฺม, เย ธมฺมา เอกลกฺขณา เตน;

    ‘‘Vuttamhi ekadhamme, ye dhammā ekalakkhaṇā tena;

    วุตฺตา ภวนฺติ สเพฺพ, อิติ วุโตฺต ลกฺขโณ หาโร’’ติฯ (เนตฺติ. ๔.๕ นิเทฺทสวาร);

    Vuttā bhavanti sabbe, iti vutto lakkhaṇo hāro’’ti. (netti. 4.5 niddesavāra);

    อถ วา อรหโต อวสิฎฺฐกิเลสปจฺจเวกฺขณาภาวา จตุนฺนํ อริยานํ ลพฺภมานํ ปหีนกิเลสปจฺจเวกฺขณเมว วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Atha vā arahato avasiṭṭhakilesapaccavekkhaṇābhāvā catunnaṃ ariyānaṃ labbhamānaṃ pahīnakilesapaccavekkhaṇameva vuttanti veditabbaṃ.

    ๑๔. ตทา สมุทาคเต ธเมฺม ปสฺสเน ปญฺญาติ ตทา มคฺคกฺขเณ ผลกฺขเณ จ สมุทาคเต ปฎิลาภวเสน จ ปฎิเวธวเสน จ สมาคเต สมฺปเตฺต สมงฺคิภูเต มคฺคผลธเมฺม จตุสจฺจธเมฺม จ ปสฺสนา เปกฺขณา ปชานนา ปญฺญาฯ ปจฺจเวกฺขเณ ญาณนฺติ นิวตฺติตฺวา ภุสํ ปสฺสนํ ชานนํ ญาณํฯ อิมินา จ ญาณทฺวเยน ปจฺจเวกฺขณญาณานิ วุตฺตานิ โหนฺติฯ โสตาปนฺนสฺส หิ มคฺควีถิยํ โสตาปตฺติผลปริโยสาเน จิตฺตํ ภวงฺคํ โอตรติ, ตโต ภวงฺคํ อุปจฺฉินฺทิตฺวา มคฺคปจฺจเวกฺขณตฺถาย มโนทฺวาราวชฺชนํ อุปฺปชฺชติ, ตสฺมิํ นิรุเทฺธ ปฎิปาฎิยา สตฺต มคฺคปจฺจเวกฺขณชวนานีติฯ ปุน ภวงฺคํ โอตริตฺวา เตเนว นเยน ผลาทีนํ ปจฺจเวกฺขณตฺถาย อาวชฺชนาทีนิ อุปฺปชฺชนฺติฯ เยสํ อุปฺปตฺติยา เอส มคฺคํ ปจฺจเวกฺขติ, ผลํ ปจฺจเวกฺขติ, ปหีนกิเลเส ปจฺจเวกฺขติ, อวสิฎฺฐกิเลเส ปจฺจเวกฺขติ, นิพฺพานํ ปจฺจเวกฺขติฯ โส หิ ‘‘อิมินา วตาหํ มเคฺคน อาคโต’’ติ มคฺคํ ปจฺจเวกฺขติ, ตโต ‘‘อยํ เม อานิสํโส ลโทฺธ’’ติ ผลํ ปจฺจเวกฺขติ, ตโต ‘‘อิเม นาม เม กิเลสา ปหีนา’’ติ ปหีนกิเลเส ปจฺจเวกฺขติ, ตโต ‘‘อิเม นาม เม กิเลสา อวสิฎฺฐา’’ติ อุปริมคฺควเชฺฌ กิเลเส ปจฺจเวกฺขติ, อวสาเน ‘‘อยํ เม ธโมฺม อารมฺมณโต ปฎิลโทฺธ’’ติ อมตํ นิพฺพานํ ปจฺจเวกฺขติฯ อิติ โสตาปนฺนสฺส อริยสาวกสฺส ปญฺจ ปจฺจเวกฺขณานิ โหนฺติฯ ยถา จ โสตาปนฺนสฺส, เอวํ สกทาคามิอนาคามีนมฺปิฯ อรหโต ปน อวสิฎฺฐกิเลสปจฺจเวกฺขณํ นาม นตฺถีติ จตฺตาริเยว ปจฺจเวกฺขณานิฯ เอวํ สพฺพานิ เอกูนวีสติ ปจฺจเวกฺขณญาณานิฯ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉโทเยว เจโสฯ ปหีนาวสิฎฺฐกิเลสปจฺจเวกฺขณํ เสกฺขานํ โหติ วา น วาฯ ตสฺส หิ อภาวโตเยว มหานาโม สโกฺก ภควนฺตํ ปุจฺฉิ ‘‘โกสุ นาม เม ธโมฺม อชฺฌตฺตํ อปฺปหีโน, เยน เม เอกทา โลภธมฺมาปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐนฺตี’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๑๗๕)ฯ

    14.Tadā samudāgate dhamme passane paññāti tadā maggakkhaṇe phalakkhaṇe ca samudāgate paṭilābhavasena ca paṭivedhavasena ca samāgate sampatte samaṅgibhūte maggaphaladhamme catusaccadhamme ca passanā pekkhaṇā pajānanā paññā. Paccavekkhaṇe ñāṇanti nivattitvā bhusaṃ passanaṃ jānanaṃ ñāṇaṃ. Iminā ca ñāṇadvayena paccavekkhaṇañāṇāni vuttāni honti. Sotāpannassa hi maggavīthiyaṃ sotāpattiphalapariyosāne cittaṃ bhavaṅgaṃ otarati, tato bhavaṅgaṃ upacchinditvā maggapaccavekkhaṇatthāya manodvārāvajjanaṃ uppajjati, tasmiṃ niruddhe paṭipāṭiyā satta maggapaccavekkhaṇajavanānīti. Puna bhavaṅgaṃ otaritvā teneva nayena phalādīnaṃ paccavekkhaṇatthāya āvajjanādīni uppajjanti. Yesaṃ uppattiyā esa maggaṃ paccavekkhati, phalaṃ paccavekkhati, pahīnakilese paccavekkhati, avasiṭṭhakilese paccavekkhati, nibbānaṃ paccavekkhati. So hi ‘‘iminā vatāhaṃ maggena āgato’’ti maggaṃ paccavekkhati, tato ‘‘ayaṃ me ānisaṃso laddho’’ti phalaṃ paccavekkhati, tato ‘‘ime nāma me kilesā pahīnā’’ti pahīnakilese paccavekkhati, tato ‘‘ime nāma me kilesā avasiṭṭhā’’ti uparimaggavajjhe kilese paccavekkhati, avasāne ‘‘ayaṃ me dhammo ārammaṇato paṭiladdho’’ti amataṃ nibbānaṃ paccavekkhati. Iti sotāpannassa ariyasāvakassa pañca paccavekkhaṇāni honti. Yathā ca sotāpannassa, evaṃ sakadāgāmianāgāmīnampi. Arahato pana avasiṭṭhakilesapaccavekkhaṇaṃ nāma natthīti cattāriyeva paccavekkhaṇāni. Evaṃ sabbāni ekūnavīsati paccavekkhaṇañāṇāni. Ukkaṭṭhaparicchedoyeva ceso. Pahīnāvasiṭṭhakilesapaccavekkhaṇaṃ sekkhānaṃ hoti vā na vā. Tassa hi abhāvatoyeva mahānāmo sakko bhagavantaṃ pucchi ‘‘kosu nāma me dhammo ajjhattaṃ appahīno, yena me ekadā lobhadhammāpi cittaṃ pariyādāya tiṭṭhantī’’tiādi (ma. ni. 1.175).

    เอตฺถ ธมฺมฎฺฐิติญาณาทีนํ เอกาทสนฺนํ ญาณานํ วิภาวนตฺถาย อยํ อุปมา เวทิตพฺพา – ยถา ปุริโส ‘‘มเจฺฉ คเหสฺสามี’’ติ มจฺฉขิปฺปํ คเหตฺวา ตทนุรูเป อุทเก โอสาเรตฺวา ขิปฺปมุเขน หตฺถํ โอตาเรตฺวา อโนฺตอุทเก กณฺหสปฺปํ มจฺฉสญฺญาย คีวาย ทฬฺหํ คเหตฺวา ‘‘มหา วต มยา มโจฺฉ ลโทฺธ’’ติ ตุโฎฺฐ อุกฺขิปิตฺวา ปสฺสโนฺต โสวตฺถิกตฺตยทสฺสเนน ‘‘สโปฺป’’ติ สญฺชานิตฺวา ภีโต อาทีนวํ ทิสฺวา คหเณ นิพฺพิโนฺน มุญฺจิตุกาโม หุตฺวา มุญฺจนสฺส อุปายํ กโรโนฺต อคฺคนงฺคุฎฺฐโต ปฎฺฐาย หตฺถํ นิเพฺพเฐตฺวา พาหํ อุกฺขิปิตฺวา อุปริสีเส เทฺว ตโย วาเร ปริพฺภเมตฺวา สปฺปํ ทุพฺพลํ กตฺวา ‘‘คจฺฉ เร ทุฎฺฐสปฺปา’’ติ นิสฺสชฺชิตฺวา เวเคน ถลํ อารุยฺห ฐิโตว ‘‘มหนฺตสฺส วต โภ สปฺปสฺส มุขโต มุโตฺตมฺหี’’ติ หโฎฺฐ อาคตมคฺคํ โอโลเกยฺยฯ

    Ettha dhammaṭṭhitiñāṇādīnaṃ ekādasannaṃ ñāṇānaṃ vibhāvanatthāya ayaṃ upamā veditabbā – yathā puriso ‘‘macche gahessāmī’’ti macchakhippaṃ gahetvā tadanurūpe udake osāretvā khippamukhena hatthaṃ otāretvā antoudake kaṇhasappaṃ macchasaññāya gīvāya daḷhaṃ gahetvā ‘‘mahā vata mayā maccho laddho’’ti tuṭṭho ukkhipitvā passanto sovatthikattayadassanena ‘‘sappo’’ti sañjānitvā bhīto ādīnavaṃ disvā gahaṇe nibbinno muñcitukāmo hutvā muñcanassa upāyaṃ karonto agganaṅguṭṭhato paṭṭhāya hatthaṃ nibbeṭhetvā bāhaṃ ukkhipitvā uparisīse dve tayo vāre paribbhametvā sappaṃ dubbalaṃ katvā ‘‘gaccha re duṭṭhasappā’’ti nissajjitvā vegena thalaṃ āruyha ṭhitova ‘‘mahantassa vata bho sappassa mukhato muttomhī’’ti haṭṭho āgatamaggaṃ olokeyya.

    ตตฺถ ตสฺส ปุริสสฺส มจฺฉสญฺญาย กณฺหสปฺปํ ทฬฺหํ คเหตฺวา ตุสฺสนํ วิย อิมสฺส โยคิโน อาทิโต พาลปุถุชฺชนสฺส อนิจฺจตาทิวเสน ภยานกํ ขนฺธปญฺจกํ นิจฺจาทิสญฺญาย ‘‘อหํ มมา’’ติ ทิฎฺฐิตณฺหาหิ ทฬฺหํ คเหตฺวา ตุสฺสนํ, ตสฺส ขิปฺปมุขโต สปฺปํ นีหริตฺวา โสวตฺถิกตฺตยํ ทิสฺวา ‘‘สโปฺป’’ติ สญฺชานนํ วิย สปฺปจฺจยนามรูปปริคฺคเหน ฆนวินิโพฺภคํ กตฺวา กลาปสมฺมสนาทีหิ ญาเณหิ ขนฺธปญฺจกสฺส อนิจฺจตาทิลกฺขณตฺตยํ ทิสฺวา ‘‘อนิจฺจํ ทุกฺขมนตฺตา’’ติ ตสฺส ววตฺถาปนํ , ตสฺส ภายนํ วิย อิมสฺส ภยตุปฎฺฐานญาณํ, สเปฺป อาทีนวทสฺสนํ วิย อาทีนวานุปสฺสนาญาณํ, สปฺปคหเณ นิพฺพินฺทนํ วิย นิพฺพิทานุปสฺสนาญาณํ, สปฺปํ มุญฺจิตุกามตา วิย มุญฺจิตุกมฺยตาญาณํ, มุญฺจนสฺส อุปายกรณํ วิย ปฎิสงฺขานุปสฺสนาญาณํ, สปฺปํ ปริพฺภเมตฺวา ทุพฺพลํ กตฺวา นิวตฺติตฺวา ฑํสิตุํ อสมตฺถภาวปาปนํ วิย ติลกฺขณาโรปเนน สงฺขารุเปกฺขานุโลมญาเณหิ สงฺขาเร ปริพฺภเมตฺวา ทุพฺพลํ กตฺวา ปุน นิจฺจสุขตฺตากาเรน อุปฎฺฐาตุํ อสมตฺถตาปาปนํ, สปฺปวิสฺสชฺชนํ วิย โคตฺรภุญาณํ, สปฺปํ วิสฺสเชฺชตฺวา ถลํ อารุยฺห ฐานํ วิย นิพฺพานถลํ อารุยฺห ฐิตํ มคฺคผลญาณํ, หฎฺฐสฺส อาคตมโคฺคโลกนํ วิย มคฺคาทิปจฺจเวกฺขณญาณนฺติฯ

    Tattha tassa purisassa macchasaññāya kaṇhasappaṃ daḷhaṃ gahetvā tussanaṃ viya imassa yogino ādito bālaputhujjanassa aniccatādivasena bhayānakaṃ khandhapañcakaṃ niccādisaññāya ‘‘ahaṃ mamā’’ti diṭṭhitaṇhāhi daḷhaṃ gahetvā tussanaṃ, tassa khippamukhato sappaṃ nīharitvā sovatthikattayaṃ disvā ‘‘sappo’’ti sañjānanaṃ viya sappaccayanāmarūpapariggahena ghanavinibbhogaṃ katvā kalāpasammasanādīhi ñāṇehi khandhapañcakassa aniccatādilakkhaṇattayaṃ disvā ‘‘aniccaṃ dukkhamanattā’’ti tassa vavatthāpanaṃ , tassa bhāyanaṃ viya imassa bhayatupaṭṭhānañāṇaṃ, sappe ādīnavadassanaṃ viya ādīnavānupassanāñāṇaṃ, sappagahaṇe nibbindanaṃ viya nibbidānupassanāñāṇaṃ, sappaṃ muñcitukāmatā viya muñcitukamyatāñāṇaṃ, muñcanassa upāyakaraṇaṃ viya paṭisaṅkhānupassanāñāṇaṃ, sappaṃ paribbhametvā dubbalaṃ katvā nivattitvā ḍaṃsituṃ asamatthabhāvapāpanaṃ viya tilakkhaṇāropanena saṅkhārupekkhānulomañāṇehi saṅkhāre paribbhametvā dubbalaṃ katvā puna niccasukhattākārena upaṭṭhātuṃ asamatthatāpāpanaṃ, sappavissajjanaṃ viya gotrabhuñāṇaṃ, sappaṃ vissajjetvā thalaṃ āruyha ṭhānaṃ viya nibbānathalaṃ āruyha ṭhitaṃ maggaphalañāṇaṃ, haṭṭhassa āgatamaggolokanaṃ viya maggādipaccavekkhaṇañāṇanti.

    อิเมสญฺจ สุตมยญาณาทีนํ จุทฺทสนฺนํ ญาณานํ อุปฺปตฺติกฺกเมน ปฎิปตฺติกฺกเมน จ เทสนกฺกมสฺส กตตฺตา ปจฺจเวกฺขเณสุ ปฐมํ กิเลสปจฺจเวกฺขณํ โหติ, ตโต มคฺคผลนิพฺพานปจฺจเวกฺขณานีติ เวทิตพฺพํฯ

    Imesañca sutamayañāṇādīnaṃ cuddasannaṃ ñāṇānaṃ uppattikkamena paṭipattikkamena ca desanakkamassa katattā paccavekkhaṇesu paṭhamaṃ kilesapaccavekkhaṇaṃ hoti, tato maggaphalanibbānapaccavekkhaṇānīti veditabbaṃ.

    ‘‘โลกุตฺตรํ ฌานํ ภาเวติ นิยฺยานิกํ อปจยคามิํ ทิฎฺฐิคตานํ ปหานาย, กามราคพฺยาปาทานํ ตนุภาวาย, กามราคพฺยาปาทานํ อนวเสสปฺปหานาย, รูปราคอรูปราคมานอุทฺธจฺจอวิชฺชานํ อนวเสสปฺปหานายา’’ติ (ธ. ส. ๒๗๗, ๓๖๑-๓๖๓) จ กิเลสปฺปหานํเยว อธิกํ กตฺวา มคฺคปฎิปตฺติยา วุตฺตตฺตา ปฎิปตฺตานุรูเปเนว กิเลสปจฺจเวกฺขณสฺส อาทิภาโว ยุชฺชติ, อฎฺฐกถายํ วุตฺตกฺกโม ปน ทสฺสิโตเยวฯ โส ปน กโม ปญฺจวิโธ อุปฺปตฺติกฺกโม ปหานกฺกโม ปฎิปตฺติกฺกโม ภูมิกฺกโม เทสนกฺกโมติฯ

    ‘‘Lokuttaraṃ jhānaṃ bhāveti niyyānikaṃ apacayagāmiṃ diṭṭhigatānaṃ pahānāya, kāmarāgabyāpādānaṃ tanubhāvāya, kāmarāgabyāpādānaṃ anavasesappahānāya, rūparāgaarūparāgamānauddhaccaavijjānaṃ anavasesappahānāyā’’ti (dha. sa. 277, 361-363) ca kilesappahānaṃyeva adhikaṃ katvā maggapaṭipattiyā vuttattā paṭipattānurūpeneva kilesapaccavekkhaṇassa ādibhāvo yujjati, aṭṭhakathāyaṃ vuttakkamo pana dassitoyeva. So pana kamo pañcavidho uppattikkamo pahānakkamo paṭipattikkamo bhūmikkamo desanakkamoti.

    ‘‘ปฐมํ กลลํ โหติ, กลลา โหติ อพฺพุทํ;

    ‘‘Paṭhamaṃ kalalaṃ hoti, kalalā hoti abbudaṃ;

    อพฺพุทา ชายเต เปสิ, เปสิ นิพฺพตฺตตี ฆโน’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๓๕) –

    Abbudā jāyate pesi, pesi nibbattatī ghano’’ti. (saṃ. ni. 1.235) –

    เอวมาทิ อุปฺปตฺติกฺกโมฯ ‘‘ทสฺสเนน ปหาตพฺพา ธมฺมา, ภาวนาย ปหาตพฺพา ธมฺมา’’ติ (ธ. ส. ติกมาติกา ๘) เอวมาทิ ปหานกฺกโมฯ ‘‘สีลวิสุทฺธิ จิตฺตวิสุทฺธิ ทิฎฺฐิวิสุทฺธิ กงฺขาวิตรณวิสุทฺธิ มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ญาณทสฺสนวิสุทฺธี’’ติ เอวมาทิ ปฎิปตฺติกฺกโมฯ ‘‘กามาวจรา ธมฺมา, รูปาวจรา ธมฺมา, อรูปาวจรา ธมฺมา’’ติ (ธ. ส. ทุกมาติกา ๙๓-๙๕) เอวมาทิ ภูมิกฺกโมฯ ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานา จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา จตฺตาโร อิทฺธิปาทา ปญฺจินฺทฺริยานิ ปญฺจ พลานิ สตฺต โพชฺฌงฺคา อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค’’ติ (ม. นิ. ๓.๔๓; มหานิ. ๑๙๑; จูฬนิ. เมตฺตคูมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๒๒) วา, ‘‘อนุปุพฺพิกถํ กเถสิฯ เสยฺยถิทํ – ทานกถํ สีลกถํ สคฺคกถํ กามานํ อาทีนวํ โอการํ สํกิเลสํ เนกฺขเมฺม อานิสํสํ ปกาเสสี’’ติ (มหาว. ๓๑; ที. นิ. ๑.๒๙๘; ๒.๘๓) วา เอวมาทิ เทสนกฺกโมฯ อิธ ปน จุทฺทสนฺนํ ญาณานํ อุปฺปตฺติกฺกโม ปฎิปตฺติกฺกโม จ ตทุภยวเสน ปฎิปาฎิยา เทสิตตฺตา เทสนกฺกโม จาติ ตโย กมา เวทิตพฺพาฯ

    Evamādi uppattikkamo. ‘‘Dassanena pahātabbā dhammā, bhāvanāya pahātabbā dhammā’’ti (dha. sa. tikamātikā 8) evamādi pahānakkamo. ‘‘Sīlavisuddhi cittavisuddhi diṭṭhivisuddhi kaṅkhāvitaraṇavisuddhi maggāmaggañāṇadassanavisuddhi paṭipadāñāṇadassanavisuddhi ñāṇadassanavisuddhī’’ti evamādi paṭipattikkamo. ‘‘Kāmāvacarā dhammā, rūpāvacarā dhammā, arūpāvacarā dhammā’’ti (dha. sa. dukamātikā 93-95) evamādi bhūmikkamo. ‘‘Cattāro satipaṭṭhānā cattāro sammappadhānā cattāro iddhipādā pañcindriyāni pañca balāni satta bojjhaṅgā ariyo aṭṭhaṅgiko maggo’’ti (ma. ni. 3.43; mahāni. 191; cūḷani. mettagūmāṇavapucchāniddesa 22) vā, ‘‘anupubbikathaṃ kathesi. Seyyathidaṃ – dānakathaṃ sīlakathaṃ saggakathaṃ kāmānaṃ ādīnavaṃ okāraṃ saṃkilesaṃ nekkhamme ānisaṃsaṃ pakāsesī’’ti (mahāva. 31; dī. ni. 1.298; 2.83) vā evamādi desanakkamo. Idha pana cuddasannaṃ ñāṇānaṃ uppattikkamo paṭipattikkamo ca tadubhayavasena paṭipāṭiyā desitattā desanakkamo cāti tayo kamā veditabbā.

    ๑๕. อิทานิ ยสฺมา เหฎฺฐา สรูเปน นามรูปววตฺถานญาณํ น วุตฺตํ, ตสฺมา ปญฺจธา นามรูปปฺปเภทํ ทเสฺสตุํ อชฺฌตฺตววตฺถาเน ปญฺญา วตฺถุนานเตฺต ญาณนฺติอาทีนิ ปญฺจ ญาณานิ อุทฺทิฎฺฐานิฯ สกเล หิ นามรูเป วุเตฺต ยํ ปริคฺคเหตุํ สกฺกา, ยญฺจ ปริคฺคเหตพฺพํ, ตํ ปริคฺคเหสฺสติฯ โลกุตฺตรนามญฺหิ ปริคฺคเหตุญฺจ น สกฺกา อนธิคตตฺตา, น จ ปริคฺคเหตพฺพํ อวิปสฺสนูปคตฺตาฯ ตตฺถ อชฺฌตฺตววตฺถาเนติ ‘‘เอวํ ปวตฺตมานา มยํ อตฺตาติ คหณํ คมิสฺสามา’’ติ อิมินา วิย อธิปฺปาเยน อตฺตานํ อธิการํ กตฺวา ปวตฺตาติ อชฺฌตฺตาฯ อชฺฌตฺตสโทฺท ปนายํ โคจรชฺฌเตฺต นิยกชฺฌเตฺต อชฺฌตฺตชฺฌเตฺต วิสยชฺฌเตฺตติ จตูสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติ ฯ ‘‘เตน, อานนฺท, ภิกฺขุนา ตสฺมิํเยว ปุริมสฺมิํ สมาธินิมิเตฺต อชฺฌตฺตเมว จิตฺตํ สณฺฐเปตพฺพํ, อชฺฌตฺตรโต สมาหิโต’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๓๖๒) หิ อยํ โคจรชฺฌเตฺต ทิสฺสติฯ ‘‘อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ (ที. นิ. ๑.๒๒๘; ธ. ส. ๑๖๑), อชฺฌตฺตํ วา ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๗๓) นิยกชฺฌเตฺตฯ ‘‘ฉ อชฺฌตฺติกานิ อายตนานิ, อชฺฌตฺติกา ธมฺมา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ติกมาติกา ๒๐) อชฺฌตฺตชฺฌเตฺตฯ ‘‘อยํ โข, ปนานนฺท, วิหาโร ตถาคเตน อภิสมฺพุโทฺธ ยทิทํ สพฺพนิมิตฺตานํ อมนสิการา อชฺฌตฺตํ สุญฺญตํ อุปสมฺปชฺช วิหรตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๑๘๗) วิสยชฺฌเตฺต, อิสฺสริยฎฺฐาเนติ อโตฺถฯ ผลสมาปตฺติ หิ พุทฺธานํ อิสฺสริยฎฺฐานํ นามฯ อิธ ปน อชฺฌตฺตชฺฌเตฺต ทฎฺฐโพฺพฯ เตสํ อชฺฌตฺตานํ ววตฺถาเน อชฺฌตฺตววตฺถาเนฯ วตฺถุนานเตฺตติ วตฺถูนํ นานาภาเว, นานาวตฺถูสูติ อโตฺถฯ เอตฺถ ชวนมโนวิญฺญาณสฺส ปจฺจยภูโต ภวงฺคมโนปิ จกฺขาทิปญฺจกํ วิย อุปฺปตฺติฎฺฐานตฺตา วตฺถูติ วุโตฺตฯ อาวชฺชนมฺปิ ตนฺนิสฺสิตเมว กาตพฺพํฯ

    15. Idāni yasmā heṭṭhā sarūpena nāmarūpavavatthānañāṇaṃ na vuttaṃ, tasmā pañcadhā nāmarūpappabhedaṃ dassetuṃ ajjhattavavatthāne paññā vatthunānatte ñāṇantiādīni pañca ñāṇāni uddiṭṭhāni. Sakale hi nāmarūpe vutte yaṃ pariggahetuṃ sakkā, yañca pariggahetabbaṃ, taṃ pariggahessati. Lokuttaranāmañhi pariggahetuñca na sakkā anadhigatattā, na ca pariggahetabbaṃ avipassanūpagattā. Tattha ajjhattavavatthāneti ‘‘evaṃ pavattamānā mayaṃ attāti gahaṇaṃ gamissāmā’’ti iminā viya adhippāyena attānaṃ adhikāraṃ katvā pavattāti ajjhattā. Ajjhattasaddo panāyaṃ gocarajjhatte niyakajjhatte ajjhattajjhatte visayajjhatteti catūsu atthesu dissati . ‘‘Tena, ānanda, bhikkhunā tasmiṃyeva purimasmiṃ samādhinimitte ajjhattameva cittaṃ saṇṭhapetabbaṃ, ajjhattarato samāhito’’tiādīsu (dha. pa. 362) hi ayaṃ gocarajjhatte dissati. ‘‘Ajjhattaṃ sampasādanaṃ (dī. ni. 1.228; dha. sa. 161), ajjhattaṃ vā dhammesu dhammānupassī viharatī’’tiādīsu (dī. ni. 2.373) niyakajjhatte. ‘‘Cha ajjhattikāni āyatanāni, ajjhattikā dhammā’’tiādīsu (dha. sa. tikamātikā 20) ajjhattajjhatte. ‘‘Ayaṃ kho, panānanda, vihāro tathāgatena abhisambuddho yadidaṃ sabbanimittānaṃ amanasikārā ajjhattaṃ suññataṃ upasampajja viharatī’’tiādīsu (ma. ni. 3.187) visayajjhatte, issariyaṭṭhāneti attho. Phalasamāpatti hi buddhānaṃ issariyaṭṭhānaṃ nāma. Idha pana ajjhattajjhatte daṭṭhabbo. Tesaṃ ajjhattānaṃ vavatthāne ajjhattavavatthāne. Vatthunānatteti vatthūnaṃ nānābhāve, nānāvatthūsūti attho. Ettha javanamanoviññāṇassa paccayabhūto bhavaṅgamanopi cakkhādipañcakaṃ viya uppattiṭṭhānattā vatthūti vutto. Āvajjanampi tannissitameva kātabbaṃ.

    ๑๖.

    16.

    พหิทฺธาติ ฉหิ อชฺฌตฺตชฺฌเตฺตหิ พหิภูเตสุ เตสํ วิสเยสุฯ โคจรนานเตฺตติ วิสยนานเตฺตฯ

    Bahiddhāti chahi ajjhattajjhattehi bahibhūtesu tesaṃ visayesu. Gocaranānatteti visayanānatte.

    ๑๗. จริยาววตฺถาเนติ วิญฺญาณจริยาอญฺญาณจริยาญาณจริยาวเสน จริยานํ ววตฺถาเนฯ ‘‘จริยววตฺถาเน’’ติ รสฺสํ กตฺวาปิ ปฐนฺติฯ

    17.Cariyāvavatthāneti viññāṇacariyāaññāṇacariyāñāṇacariyāvasena cariyānaṃ vavatthāne. ‘‘Cariyavavatthāne’’ti rassaṃ katvāpi paṭhanti.

    ๑๘. จตุธมฺมววตฺถาเนติ กามาวจรภูมิอาทีนํ จุทฺทสนฺนํ จตุกฺกานํ วเสน จตุนฺนํ จตุนฺนํ ธมฺมานํ ววตฺถาเนฯ ภูมีติ จ ‘‘ภูมิคตญฺจ เวหาสฎฺฐญฺจา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๓๖) ปถวิยํ วตฺตติฯ ‘‘อภูมิํ ตาต, มา เสวา’’ติอาทีสุ (ชา. ๑.๖.๓๔) วิสเยฯ ‘‘สุขภูมิยํ กามาวจเร’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๙๘๘) อุปฺปชฺชนฎฺฐาเนฯ อิธ ปน โกฎฺฐาเส วตฺตติฯ ปริเจฺฉเทติปิ วทนฺติฯ

    18.Catudhammavavatthāneti kāmāvacarabhūmiādīnaṃ cuddasannaṃ catukkānaṃ vasena catunnaṃ catunnaṃ dhammānaṃ vavatthāne. Bhūmīti ca ‘‘bhūmigatañca vehāsaṭṭhañcā’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.136) pathaviyaṃ vattati. ‘‘Abhūmiṃ tāta, mā sevā’’tiādīsu (jā. 1.6.34) visaye. ‘‘Sukhabhūmiyaṃ kāmāvacare’’tiādīsu (dha. sa. 988) uppajjanaṭṭhāne. Idha pana koṭṭhāse vattati. Paricchedetipi vadanti.

    ๑๙. นวธมฺมววตฺถาเนติ กามาวจรกุสลาทิวเสน ปาโมชฺชมูลกวเสน โยนิโส มนสิการมูลกวเสน จ นวนฺนํ นวนฺนํ ธมฺมานํ ววตฺถาเนฯ อิเมสุ จ ปญฺจสุ ญาเณสุ ปฐมํ อชฺฌตฺตธมฺมา ววตฺถาเปตพฺพาติ วตฺถุนานเตฺต ญาณํ ปฐมํ วุตฺตํ, ตโต เตสํ วิสยา ววตฺถาเปตพฺพาติ ตทนนฺตรํ โคจรนานเตฺต ญาณํ วุตฺตํ, ตโต ปรานิ ตีณิ ญาณานิ ติณฺณํ จตุนฺนํ นวนฺนํ วเสน คณนานุโลเมน วุตฺตานิฯ

    19.Navadhammavavatthāneti kāmāvacarakusalādivasena pāmojjamūlakavasena yoniso manasikāramūlakavasena ca navannaṃ navannaṃ dhammānaṃ vavatthāne. Imesu ca pañcasu ñāṇesu paṭhamaṃ ajjhattadhammā vavatthāpetabbāti vatthunānatte ñāṇaṃ paṭhamaṃ vuttaṃ, tato tesaṃ visayā vavatthāpetabbāti tadanantaraṃ gocaranānatte ñāṇaṃ vuttaṃ, tato parāni tīṇi ñāṇāni tiṇṇaṃ catunnaṃ navannaṃ vasena gaṇanānulomena vuttāni.

    ๒๐. อิทานิ ยสฺมา นามรูปเสฺสว ปเภทโต ววตฺถาปนญาณํ ญาตปริญฺญา, ตทนนฺตรํ ตีรณปริญฺญา, ตทนนฺตรํ ปหานปริญฺญาติ ติโสฺส ปริญฺญาฯ ตํสมฺพนฺธา จ ภาวนาสจฺฉิกิริยา โหนฺติ, ตสฺมา ธมฺมนานตฺตญาณานนฺตรํ ญาตเฎฺฐ ญาณาทีนิ ปญฺจ ญาณานิ อุทฺทิฎฺฐานิฯ ติโสฺส หิ ปริญฺญา ญาตปริญฺญา ตีรณปริญฺญา ปหานปริญฺญา จฯ ตตฺถ ‘‘รุปฺปนลกฺขณํ รูปํ, เวทยิตลกฺขณา เวทนา’’ติ เอวํ เตสํ เตสํ ธมฺมานํ ปจฺจตฺตลกฺขณสลฺลกฺขณวเสน ปวตฺตา ปญฺญา ญาตปริญฺญา นามฯ ‘‘รูปํ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา, เวทนา อนิจฺจา ทุกฺขา อนตฺตา’’ติอาทินา นเยน เตสํ เตสํ ธมฺมานํ สามญฺญลกฺขณํ อาโรเปตฺวา ปวตฺตา ลกฺขณารมฺมณิกวิปสฺสนาปญฺญา ตีรณปริญฺญา นามฯ เตสุเยว ปน ธเมฺมสุ นิจฺจสญฺญาทิปชหนวเสน ปวตฺตา ลกฺขณารมฺมณิกวิปสฺสนาว ปหานปริญฺญา นามฯ

    20. Idāni yasmā nāmarūpasseva pabhedato vavatthāpanañāṇaṃ ñātapariññā, tadanantaraṃ tīraṇapariññā, tadanantaraṃ pahānapariññāti tisso pariññā. Taṃsambandhā ca bhāvanāsacchikiriyā honti, tasmā dhammanānattañāṇānantaraṃ ñātaṭṭhe ñāṇādīni pañca ñāṇāni uddiṭṭhāni. Tisso hi pariññā ñātapariññā tīraṇapariññā pahānapariññā ca. Tattha ‘‘ruppanalakkhaṇaṃ rūpaṃ, vedayitalakkhaṇā vedanā’’ti evaṃ tesaṃ tesaṃ dhammānaṃ paccattalakkhaṇasallakkhaṇavasena pavattā paññā ñātapariññā nāma. ‘‘Rūpaṃ aniccaṃ dukkhaṃ anattā, vedanā aniccā dukkhā anattā’’tiādinā nayena tesaṃ tesaṃ dhammānaṃ sāmaññalakkhaṇaṃ āropetvā pavattā lakkhaṇārammaṇikavipassanāpaññā tīraṇapariññā nāma. Tesuyeva pana dhammesu niccasaññādipajahanavasena pavattā lakkhaṇārammaṇikavipassanāva pahānapariññā nāma.

    ตตฺถ สงฺขารปริเจฺฉทโต ปฎฺฐาย ยาว ปจฺจยปริคฺคหา ญาตปริญฺญาย ภูมิฯ เอตสฺมิญฺหิ อนฺตเร ธมฺมานํ ปจฺจตฺตลกฺขณปฎิเวธเสฺสว อาธิปจฺจํ โหติฯ กลาปสมฺมสนโต ปฎฺฐาย ยาว อุทยพฺพยานุปสฺสนา ตีรณปริญฺญาย ภูมิฯ เอตสฺมิญฺหิ อนฺตเร สามญฺญลกฺขณปฎิเวธเสฺสว อาธิปจฺจํ โหติฯ ภงฺคานุปสฺสนํ อาทิํ กตฺวา อุปริ ปหานปริญฺญาย ภูมิฯ ตโต ปฎฺฐาย หิ ‘‘อนิจฺจโต อนุปสฺสโนฺต นิจฺจสญฺญํ ปชหติ, ทุกฺขโต อนุปสฺสโนฺต สุขสญฺญํ ปชหติ, อนตฺตโต อนุปสฺสโนฺต อตฺตสญฺญํ ปชหติ, นิพฺพินฺทโนฺต นนฺทิํ ปชหติ, วิรชฺชโนฺต ราคํ ปชหติ, นิโรเธโนฺต สมุทยํ ปชหติ, ปฎินิสฺสชฺชโนฺต อาทานํ ปชหตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๕๒) เอวํ นิจฺจสญฺญาทิปหานสาธิกานํ สตฺตนฺนํ อนุปสฺสนานํ อาธิปจฺจํ โหติฯ

    Tattha saṅkhāraparicchedato paṭṭhāya yāva paccayapariggahā ñātapariññāya bhūmi. Etasmiñhi antare dhammānaṃ paccattalakkhaṇapaṭivedhasseva ādhipaccaṃ hoti. Kalāpasammasanato paṭṭhāya yāva udayabbayānupassanā tīraṇapariññāya bhūmi. Etasmiñhi antare sāmaññalakkhaṇapaṭivedhasseva ādhipaccaṃ hoti. Bhaṅgānupassanaṃ ādiṃ katvā upari pahānapariññāya bhūmi. Tato paṭṭhāya hi ‘‘aniccato anupassanto niccasaññaṃ pajahati, dukkhato anupassanto sukhasaññaṃ pajahati, anattato anupassanto attasaññaṃ pajahati, nibbindanto nandiṃ pajahati, virajjanto rāgaṃ pajahati, nirodhento samudayaṃ pajahati, paṭinissajjanto ādānaṃ pajahatī’’ti (paṭi. ma. 1.52) evaṃ niccasaññādipahānasādhikānaṃ sattannaṃ anupassanānaṃ ādhipaccaṃ hoti.

    ตตฺถ อภิญฺญาปญฺญาติ ธมฺมานํ รุปฺปนาทิสภาเวน ชานนปญฺญาฯ สา หิ โสภนเฎฺฐน อภิสเทฺทน ‘‘เตสํ เตสํ ธมฺมานํ สภาวชานนวเสน โสภนํ ชานน’’นฺติ กตฺวา อภิญฺญาติ วุจฺจติฯ ญาตเฎฺฐ ญาณนฺติ ชานนสภาวํ ญาณํฯ

    Tattha abhiññāpaññāti dhammānaṃ ruppanādisabhāvena jānanapaññā. Sā hi sobhanaṭṭhena abhisaddena ‘‘tesaṃ tesaṃ dhammānaṃ sabhāvajānanavasena sobhanaṃ jānana’’nti katvā abhiññāti vuccati. Ñātaṭṭhe ñāṇanti jānanasabhāvaṃ ñāṇaṃ.

    ๒๑. ปริญฺญาปญฺญาติ ชานนปญฺญาฯ สา หิ พฺยาปนเฎฺฐน ปริสเทฺทน ‘‘อนิจฺจาทิสามญฺญลกฺขณวเสน สกิจฺจสมาปนวเสน วา พฺยาปิตํ ชานน’’นฺติ กตฺวา ปริญฺญาติ วุจฺจติฯ ตีรณเฎฺฐ ญาณนฺติ อุปปริกฺขณสภาวํ, สมฺมสนสภาวํ วา ญาณํฯ

    21.Pariññāpaññāti jānanapaññā. Sā hi byāpanaṭṭhena parisaddena ‘‘aniccādisāmaññalakkhaṇavasena sakiccasamāpanavasena vā byāpitaṃ jānana’’nti katvā pariññāti vuccati. Tīraṇaṭṭhe ñāṇanti upaparikkhaṇasabhāvaṃ, sammasanasabhāvaṃ vā ñāṇaṃ.

    ๒๒. ปหาเน ปญฺญาติ นิจฺจสญฺญาทีนํ ปชหนา ปญฺญา, ปชหตีติ วา, ปชหนฺติ เอเตนาติ วา ปหานํฯ ปริจฺจาคเฎฺฐ ญาณนฺติ ปริจฺจชนสภาวํ ญาณํฯ

    22.Pahānepaññāti niccasaññādīnaṃ pajahanā paññā, pajahatīti vā, pajahanti etenāti vā pahānaṃ. Pariccāgaṭṭheñāṇanti pariccajanasabhāvaṃ ñāṇaṃ.

    ๒๓. ภาวนาปญฺญาติ วฑฺฒนปญฺญาฯ เอกรสเฎฺฐ ญาณนฺติ เอกกิจฺจสภาวํ ญาณํ, วิมุตฺติรเสน วา เอกรสสภาวํ ญาณํฯ

    23.Bhāvanāpaññāti vaḍḍhanapaññā. Ekarasaṭṭhe ñāṇanti ekakiccasabhāvaṃ ñāṇaṃ, vimuttirasena vā ekarasasabhāvaṃ ñāṇaṃ.

    ๒๔. สจฺฉิกิริยาปญฺญาติ ปฎิเวธวเสน ปฎิลาภวเสน วา ปจฺจกฺขกรณปญฺญาฯ ผสฺสนเฎฺฐ ญาณนฺติ ตทุภยวเสเนว วินฺทนสภาวํ ญาณํฯ

    24.Sacchikiriyāpaññāti paṭivedhavasena paṭilābhavasena vā paccakkhakaraṇapaññā. Phassanaṭṭhe ñāṇanti tadubhayavaseneva vindanasabhāvaṃ ñāṇaṃ.

    ๒๕-๒๘. อิทานิ ยสฺมา ปหานภาวนาสจฺฉิกิริยญาณานิ อริยมคฺคผลสมฺปยุตฺตานิปิ โหนฺติ, ตสฺมา ตทนนฺตรํ อริยปุคฺคลานํเยว ลพฺภมานานิ จตฺตาริ ปฎิสมฺภิทาญาณานิ อุทฺทิฎฺฐานิฯ ตตฺถาปิ ปจฺจยุปฺปโนฺน อโตฺถ ทุกฺขสจฺจํ วิย ปากโฎ สุวิเญฺญโยฺย จาติ ปฐมํ อตฺถปฎิสมฺภิทาญาณํ อุทฺทิฎฺฐํ, ตสฺส อตฺถสฺส เหตุธมฺมวิสยตฺตา ตทนนฺตรํ ธมฺมปฎิสมฺภิทาญาณํ, ตทุภยสฺส นิรุตฺติวิสยตฺตา ตทนนฺตรํ นิรุตฺติปฎิสมฺภิทาญาณํ, เตสุ ตีสุปิ ญาเณสุ ปวตฺตนโต ตทนนฺตรํ ปฎิภานปฎิสมฺภิทาญาณํฯ ป-การํ ทีฆํ กตฺวา จ ปฐนฺติฯ

    25-28. Idāni yasmā pahānabhāvanāsacchikiriyañāṇāni ariyamaggaphalasampayuttānipi honti, tasmā tadanantaraṃ ariyapuggalānaṃyeva labbhamānāni cattāri paṭisambhidāñāṇāni uddiṭṭhāni. Tatthāpi paccayuppanno attho dukkhasaccaṃ viya pākaṭo suviññeyyo cāti paṭhamaṃ atthapaṭisambhidāñāṇaṃ uddiṭṭhaṃ, tassa atthassa hetudhammavisayattā tadanantaraṃ dhammapaṭisambhidāñāṇaṃ, tadubhayassa niruttivisayattā tadanantaraṃ niruttipaṭisambhidāñāṇaṃ, tesu tīsupi ñāṇesu pavattanato tadanantaraṃ paṭibhānapaṭisambhidāñāṇaṃ. Pa-kāraṃ dīghaṃ katvā ca paṭhanti.

    ๒๙-๓๑. อิโต ปรานิ วิหารเฎฺฐ ญาณาทีนิ ตีณิ ญาณานิ อริยานํเยว สมฺภวโต ปฎิสมฺภิทาปเภทโต จ ปฎิสมฺภิทาญาณานนฺตรํ อุทฺทิฎฺฐานิฯ วิหารเฎฺฐ ญาณญฺหิ ธมฺมปฎิสมฺภิทา โหติ, สมาปตฺตเฎฺฐ ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทาฯ ธมฺมสภาเว ญาณญฺหิ ปฎิสมฺภิทากถายํ (ปฎิ. ม. ๒.๓๐) ธมฺมปฎิสมฺภิทาติ วุตฺตํฯ นิพฺพาเน ญาณํ ปน อตฺถปฎิสมฺภิทา เอวฯ ตตฺถ วิหารนานเตฺตติ อนิจฺจานุปสฺสนาทิวเสน นานาวิปสฺสนาวิหาเรฯ วิหารเฎฺฐติ วิปสฺสนาวิหารสภาเวฯ วิหาโรติ จ สสมฺปยุตฺตา วิปสฺสนา เอวฯ สมาปตฺตินานเตฺตติ อนิมิตฺตาทิวเสน นานาผลสมาปตฺติยํฯ สมาปตฺตีติ จ โลกุตฺตรผลภูตา จิตฺตเจตสิกธมฺมาฯ วิหารสมาปตฺตินานเตฺตติ อุภยวเสน วุตฺตํฯ

    29-31. Ito parāni vihāraṭṭhe ñāṇādīni tīṇi ñāṇāni ariyānaṃyeva sambhavato paṭisambhidāpabhedato ca paṭisambhidāñāṇānantaraṃ uddiṭṭhāni. Vihāraṭṭhe ñāṇañhi dhammapaṭisambhidā hoti, samāpattaṭṭhe ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā. Dhammasabhāve ñāṇañhi paṭisambhidākathāyaṃ (paṭi. ma. 2.30) dhammapaṭisambhidāti vuttaṃ. Nibbāne ñāṇaṃ pana atthapaṭisambhidā eva. Tattha vihāranānatteti aniccānupassanādivasena nānāvipassanāvihāre. Vihāraṭṭheti vipassanāvihārasabhāve. Vihāroti ca sasampayuttā vipassanā eva. Samāpattinānatteti animittādivasena nānāphalasamāpattiyaṃ. Samāpattīti ca lokuttaraphalabhūtā cittacetasikadhammā. Vihārasamāpattinānatteti ubhayavasena vuttaṃ.

    ๓๒. ตโต วิหารสมาปตฺติญาณสาธกสฺส ‘‘ทุภโต วุฎฺฐานวิวฎฺฎเน ปญฺญา’’ติ ปุเพฺพ วุตฺตสฺสาปิ มคฺคญาณสฺส อาสวสมุเจฺฉทสมตฺถตํ อนนฺตรผลทายกตฺตญฺจ การเณน วิเสเสตฺวา อปเรนากาเรน วตฺตุกาเมน ตเทว ‘‘อานนฺตริกสมาธิมฺหิ ญาณ’’นฺติ อุทฺทิฎฺฐํฯ ตตฺถ อวิเกฺขปปริสุทฺธตฺตาติ วิกฺขิปติ เตน จิตฺตนฺติ วิเกฺขโป, อุทฺธจฺจเสฺสตํ นามํฯ น วิเกฺขโป อวิเกฺขโป, อุทฺธจฺจปฎิปกฺขสฺส สมาธิเสฺสตํ นามํฯ ปริสุทฺธสฺส ภาโว ปริสุทฺธตฺตํ, อวิเกฺขปสฺส ปริสุทฺธตฺตํ อวิเกฺขปปริสุทฺธตฺตํ, ตสฺมา อวิเกฺขปปริสุทฺธตฺตา สมาธิสฺส ปริสุทฺธภาเวนาติ อโตฺถฯ อิทญฺหิ อาสวสมุเจฺฉทสฺส อนนฺตรผลทายกตฺตสฺส จ การณวจนํฯ อาสวสมุเจฺฉเทติ เอตฺถ อาสวนฺตีติ อาสวา, จกฺขุโตปิ…เป.… มนโตปิ สนฺทนฺติ ปวตฺตนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ธมฺมโต ยาว โคตฺรภุํ, โอกาสโต ยาว ภวคฺคํ สวนฺตีติ วา อาสวา, เอตํ ธมฺมํ เอตญฺจ โอกาสํ อโนฺตกริตฺวา ปวตฺตนฺตีติ อโตฺถฯ อโนฺตกรณโตฺถ หิ อยํ อา-กาโรฯ จิรปาริวาสิกเฎฺฐน มทิราทโย อาสวา วิยาติปิ อาสวาฯ โลกสฺมิญฺหิ จิรปาริวาสิกา มทิราทโย อาสวาติ วุจฺจนฺติฯ ยทิ จ จิรปาริวาสิกเฎฺฐน อาสวา, เอเตเยว ภวิตุมรหนฺติฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    32. Tato vihārasamāpattiñāṇasādhakassa ‘‘dubhato vuṭṭhānavivaṭṭane paññā’’ti pubbe vuttassāpi maggañāṇassa āsavasamucchedasamatthataṃ anantaraphaladāyakattañca kāraṇena visesetvā aparenākārena vattukāmena tadeva ‘‘ānantarikasamādhimhi ñāṇa’’nti uddiṭṭhaṃ. Tattha avikkhepaparisuddhattāti vikkhipati tena cittanti vikkhepo, uddhaccassetaṃ nāmaṃ. Na vikkhepo avikkhepo, uddhaccapaṭipakkhassa samādhissetaṃ nāmaṃ. Parisuddhassa bhāvo parisuddhattaṃ, avikkhepassa parisuddhattaṃ avikkhepaparisuddhattaṃ, tasmā avikkhepaparisuddhattā samādhissa parisuddhabhāvenāti attho. Idañhi āsavasamucchedassa anantaraphaladāyakattassa ca kāraṇavacanaṃ. Āsavasamucchedeti ettha āsavantīti āsavā, cakkhutopi…pe… manatopi sandanti pavattantīti vuttaṃ hoti. Dhammato yāva gotrabhuṃ, okāsato yāva bhavaggaṃ savantīti vā āsavā, etaṃ dhammaṃ etañca okāsaṃ antokaritvā pavattantīti attho. Antokaraṇattho hi ayaṃ ā-kāro. Cirapārivāsikaṭṭhena madirādayo āsavā viyātipi āsavā. Lokasmiñhi cirapārivāsikā madirādayo āsavāti vuccanti. Yadi ca cirapārivāsikaṭṭhena āsavā, eteyeva bhavitumarahanti. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘ปุริมา, ภิกฺขเว, โกฎิ น ปญฺญายติ อวิชฺชาย, อิโต ปุเพฺพ อวิชฺชา นาโหสิ, อถ ปจฺฉา สมภวี’’ติอาทิฯ

    ‘‘Purimā, bhikkhave, koṭi na paññāyati avijjāya, ito pubbe avijjā nāhosi, atha pacchā samabhavī’’tiādi.

    อายตํ วา สํสารทุกฺขํ สวนฺติ ปสวนฺตีติปิ อาสวา, สมุจฺฉิชฺชติ เอเตนาติ สมุเจฺฉโทฯ ปญฺญาติ กามาสวาทีนํ จตุนฺนํ อาสวานํ สมุเจฺฉเท ปญฺญาฯ

    Āyataṃ vā saṃsāradukkhaṃ savanti pasavantītipi āsavā, samucchijjati etenāti samucchedo. Paññāti kāmāsavādīnaṃ catunnaṃ āsavānaṃ samucchede paññā.

    อานนฺตริกสมาธิมฺหิ ญาณนฺติ อตฺตโน ปวตฺติสมนนฺตรํ นิยเมเนว ผลปฺปทานโต อานนฺตริโกติ ลทฺธนาโม มคฺคสมาธิฯ น หิ มคฺคสมาธิมฺหิ อุปฺปเนฺน ตสฺส ผลุปฺปตฺตินิเสธโก โกจิ อนฺตราโย อตฺถิฯ ยถาห –

    Ānantarikasamādhimhiñāṇanti attano pavattisamanantaraṃ niyameneva phalappadānato ānantarikoti laddhanāmo maggasamādhi. Na hi maggasamādhimhi uppanne tassa phaluppattinisedhako koci antarāyo atthi. Yathāha –

    ‘‘อยญฺจ ปุคฺคโล โสตาปตฺติผลสจฺฉิกิริยาย ปฎิปโนฺน อสฺส, กปฺปสฺส จ อุฑฺฑยฺหนเวลา อสฺส, เนว ตาว กโปฺป อุฑฺฑเยฺหยฺย, ยาวายํ ปุคฺคโล น โสตาปตฺติผลํ สจฺฉิกโรติ, อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล ฐิตกปฺปีฯ สเพฺพปิ มคฺคสมงฺคิโน ปุคฺคลา ฐิตกปฺปิโน’’ติ (ปุ. ป. ๑๗)ฯ

    ‘‘Ayañca puggalo sotāpattiphalasacchikiriyāya paṭipanno assa, kappassa ca uḍḍayhanavelā assa, neva tāva kappo uḍḍayheyya, yāvāyaṃ puggalo na sotāpattiphalaṃ sacchikaroti, ayaṃ vuccati puggalo ṭhitakappī. Sabbepi maggasamaṅgino puggalā ṭhitakappino’’ti (pu. pa. 17).

    อิทํ เตน อานนฺตริกสมาธินา สมฺปยุตฺตํ ญาณํฯ

    Idaṃ tena ānantarikasamādhinā sampayuttaṃ ñāṇaṃ.

    ๓๓. อิมินา มคฺคญาเณน ผลปฺปตฺตานํ อริยานํเยว สมฺภวโต อิมสฺส ญาณสฺส อนนฺตรํ อรณวิหารญาณาทีนิ จตฺตาริ ญาณานิ อุทฺทิฎฺฐานิฯ ตตฺราปิ จ อรหโตเยว สตตเมว จ สมฺภวโต อรณวิหาเร ญาณํ ปฐมํ อุทฺทิฎฺฐํ, ตทนนฺตรํ นิโรธสฺส อนาคามิอรหนฺตานํ สมฺภเวปิ พหุสมฺภารตฺตา วิเสเสน จ นิโรธสฺส นิพฺพานสมฺมตตฺตา จ นิโรธสมาปตฺติยา ญาณํ อุทฺทิฎฺฐํ, ตทนนฺตรํ ปรินิพฺพานสฺส กาลนฺตเร ปรินิพฺพานกาลํ อาหจฺจ ฐิตตฺตา ทีฆกาลิกนฺติ ปรินิพฺพาเน ญาณํ อุทฺทิฎฺฐํ, ตทนนฺตรํ สมสีสฎฺฐสฺส สพฺพกิเลสขยานนฺตรํ ปรินิพฺพานกาลํ อาหจฺจ ฐิตตฺตา รสฺสกาลิกนฺติ สมสีสเฎฺฐ ญาณํ อุทฺทิฎฺฐํฯ ตตฺถ สโนฺต จาติ -กาโร ทสฺสนาธิปเตยฺยญฺจ สโนฺต วิหาราธิคโม จ ปณีตาธิมุตฺตตา จาติ ตีหิปิ ปเทหิ สมฺพนฺธิตโพฺพฯ ทสฺสนนฺติ วิปสฺสนาญาณํ, อธิปติเยว อาธิปเตยฺยํ, อธิปติโต วา อาคตตฺตา อาธิปเตยฺยํ, ทสฺสนญฺจ ตํ อาธิปเตยฺยญฺจาติ ทสฺสนาธิปเตยฺยํฯ วิหรตีติ วิหาโร, วิหรนฺติ เตน วาติ วิหาโร, อธิคมฺมติ ปาปุณียตีติ อธิคโม, วิหาโร เอว อธิคโม วิหาราธิคโมฯ โส จ กิเลสปริฬาหวิรหิตตฺตา นิพฺพุโตติ สโนฺตฯ โส จ อรหตฺตผลสมาปตฺติปญฺญาฯ อุตฺตมเฎฺฐน อตปฺปกเฎฺฐน จ ปณีโต, ปธานภาวํ นีโตติ วา ปณีโต, ปณีเต อธิมุโตฺต วิสฎฺฐจิโตฺต ตปฺปรโม ปณีตาธิมุโตฺต, ตสฺส ภาโว ปณีตาธิมุตฺตตาฯ สา จ ผลสมาปตฺตาธิมุตฺตา ปุพฺพภาคปญฺญา เอวฯ

    33. Iminā maggañāṇena phalappattānaṃ ariyānaṃyeva sambhavato imassa ñāṇassa anantaraṃ araṇavihārañāṇādīni cattāri ñāṇāni uddiṭṭhāni. Tatrāpi ca arahatoyeva satatameva ca sambhavato araṇavihāre ñāṇaṃ paṭhamaṃ uddiṭṭhaṃ, tadanantaraṃ nirodhassa anāgāmiarahantānaṃ sambhavepi bahusambhārattā visesena ca nirodhassa nibbānasammatattā ca nirodhasamāpattiyā ñāṇaṃ uddiṭṭhaṃ, tadanantaraṃ parinibbānassa kālantare parinibbānakālaṃ āhacca ṭhitattā dīghakālikanti parinibbāne ñāṇaṃ uddiṭṭhaṃ, tadanantaraṃ samasīsaṭṭhassa sabbakilesakhayānantaraṃ parinibbānakālaṃ āhacca ṭhitattā rassakālikanti samasīsaṭṭhe ñāṇaṃ uddiṭṭhaṃ. Tattha santo cāti ca-kāro dassanādhipateyyañca santo vihārādhigamo ca paṇītādhimuttatā cāti tīhipi padehi sambandhitabbo. Dassananti vipassanāñāṇaṃ, adhipatiyeva ādhipateyyaṃ, adhipatito vā āgatattā ādhipateyyaṃ, dassanañca taṃ ādhipateyyañcāti dassanādhipateyyaṃ. Viharatīti vihāro, viharanti tena vāti vihāro, adhigammati pāpuṇīyatīti adhigamo, vihāro eva adhigamo vihārādhigamo. So ca kilesapariḷāhavirahitattā nibbutoti santo. So ca arahattaphalasamāpattipaññā. Uttamaṭṭhena atappakaṭṭhena ca paṇīto, padhānabhāvaṃ nītoti vā paṇīto, paṇīte adhimutto visaṭṭhacitto tapparamo paṇītādhimutto, tassa bhāvo paṇītādhimuttatā. Sā ca phalasamāpattādhimuttā pubbabhāgapaññā eva.

    อรณวิหาเรติ นิกฺกิเลสวิหาเรฯ ราคาทโย หิ รณนฺติ สเตฺต จุเณฺณนฺติ ปีเฬนฺตีติ รณา, รณนฺติ เอเตหิ สตฺตา กนฺทนฺติ ปริเทวนฺตีติ วา รณาฯ วุโตฺต ติวิโธปิ วิหาโรฯ นตฺถิ เอตสฺส รณาติ อรโณฯ วิวิเธ ปจฺจนีกธเมฺม หรนฺติ เอเตนาติ วิหาโรฯ ตสฺมิํ อรเณ วิหาเรฯ นิเทฺทสวาเร (ปฎิ. ม. ๑.๘๒) วุตฺตปฐมชฺฌานาทีนิ จ ปณีตาธิมุตฺตตาย เอว สงฺคหิตานิฯ ผลสมาปตฺติํ สมาปชฺชิตุกามตาย หิ ปฐมชฺฌานาทิํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ฌานสมฺปยุตฺตธเมฺม วิปสฺสติ, ยา จ อรณวิภงฺคสุตฺตเนฺต (ม. นิ. ๓.๓๒๓ อาทโย) ภควตา เทสิตา อรณปฎิปทา, สาปิ อิมินาว สงฺคหิตาติ เวทิตพฺพา ฯ วุตฺตญฺหิ ตตฺถ ภควตา –

    Araṇavihāreti nikkilesavihāre. Rāgādayo hi raṇanti satte cuṇṇenti pīḷentīti raṇā, raṇanti etehi sattā kandanti paridevantīti vā raṇā. Vutto tividhopi vihāro. Natthi etassa raṇāti araṇo. Vividhe paccanīkadhamme haranti etenāti vihāro. Tasmiṃ araṇe vihāre. Niddesavāre (paṭi. ma. 1.82) vuttapaṭhamajjhānādīni ca paṇītādhimuttatāya eva saṅgahitāni. Phalasamāpattiṃ samāpajjitukāmatāya hi paṭhamajjhānādiṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya jhānasampayuttadhamme vipassati, yā ca araṇavibhaṅgasuttante (ma. ni. 3.323 ādayo) bhagavatā desitā araṇapaṭipadā, sāpi imināva saṅgahitāti veditabbā . Vuttañhi tattha bhagavatā –

    ‘‘อรณวิภงฺคํ โว, ภิกฺขเว, เทเสสฺสามิ…เป.… น กามสุขํ อนุยุเญฺชยฺย หีนํ คมฺมํ โปถุชฺชนิกํ อนริยํ อนตฺถสํหิตํ, น จ อตฺตกิลมถานุโยคํ อนุยุเญฺชยฺย ทุกฺขํ อนริยํ อนตฺถสํหิตํฯ เอเต โข, ภิกฺขเว, อุโภ อเนฺต อนุปคมฺม มชฺฌิมา ปฎิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา จกฺขุกรณี ญาณกรณี อุปสมาย อภิญฺญาย สโมฺพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติฯ อุสฺสาทนญฺจ ชญฺญา, อปสาทนญฺจ ชญฺญา, อุสฺสาทนญฺจ ญตฺวา อปสาทนญฺจ ญตฺวา เนวุสฺสาเทยฺย น อปสาเทยฺย, ธมฺมเมว เทเสยฺยฯ สุขวินิจฺฉยํ ชญฺญา, สุขวินิจฺฉยํ ญตฺวา อชฺฌตฺตํ สุขมนุยุเญฺชยฺย, รโหวาทํ น ภาเสยฺย, สมฺมุขา น ขีณํ ภเณ, อตรมาโนว ภาเสยฺย โน ตรมาโน, ชนปทนิรุตฺติํ นาภินิเวเสยฺย, สมญฺญํ นาติธาเวยฺยาติฯ อยมุเทฺทโส อรณวิภงฺคสฺส …เป.… ตตฺร, ภิกฺขเว, โย กามปฎิสนฺธิสุขิโน โสมนสฺสานุโยคํ อนนุโยโค หีนํ…เป.… อนตฺถสํหิตํ, อทุโกฺข เอโส ธโมฺม อวิฆาโต อนุปายาโส อปริฬาโห สมฺมาปฎิปทาฯ ตสฺมา เอโส ธโมฺม อรโณ…เป.… ตตฺร, ภิกฺขเว, โย อตฺตกิลมถานุโยคํ อนนุโยโค ทุกฺขํ อนริยํ อนตฺถสํหิตํฯ อทุโกฺข เอโส ธโมฺม …เป.… ตสฺมา เอโส ธโมฺม อรโณฯ ตตฺร, ภิกฺขเว, ยายํ มชฺฌิมา ปฎิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา…เป.… อทุโกฺข เอโส ธโมฺม…เป.… ตสฺมา เอโส ธโมฺม อรโณ…เป.… ตตฺร, ภิกฺขเว, ยายํ เนวุสฺสาทนา น อปสาทนา ธมฺมเทสนา จ, อทุโกฺข เอโส ธโมฺม…เป.… ตสฺมา เอโส ธโมฺม อรโณ…เป.… ตตฺร, ภิกฺขเว, ยทิทํ เนกฺขมฺมสุขํ ปวิเวกสุขํ อุปสมสุขํ สโมฺพธิสุขํ, อทุโกฺข เอโส ธโมฺม…เป.… ตสฺมา เอโส ธโมฺม อรโณ…เป.… ตตฺร, ภิกฺขเว, ยฺวายํ รโหวาโท ภูโต ตโจฺฉ อตฺถสํหิโต, อทุโกฺข เอโส ธโมฺม…เป.… ตสฺมา เอโส ธโมฺม อรโณ …เป.… ตตฺร, ภิกฺขเว, ยฺวายํ สมฺมุขา ขีณวาโท ภูโต ตโจฺฉ อตฺถสํหิโต, อทุโกฺข เอโส ธโมฺม…เป.… ตสฺมา เอโส ธโมฺม อรโณ…เป.… ตตฺร, ภิกฺขเว, ยทิทํ อตรมานสฺส ภาสิตํ, อทุโกฺข เอโส ธโมฺม…เป.… ตสฺมา เอโส ธโมฺม อรโณ…เป.… ตตฺร, ภิกฺขเว, ยฺวายํ ชนปทนิรุตฺติยา จ อนภินิเวโส สมญฺญาย จ อนติสาโร, อทุโกฺข เอโส ธโมฺม…เป.… ตสฺมา เอโส ธโมฺม อรโณติฯ ตสฺมาติห, ภิกฺขเว, สรณญฺจ ธมฺมํ ชานิสฺสาม, อรณญฺจ ธมฺมํ ชานิสฺสามฯ สรณญฺจ ธมฺมํ ญตฺวา อรณญฺจ ธมฺมํ ญตฺวา อรณํ ปฎิปทํ ปฎิปชฺชิสฺสามาติ เอวญฺหิ โว, ภิกฺขเว, สิกฺขิตพฺพํฯ สุภูติ จ ปน, ภิกฺขเว, กุลปุโตฺต อรณปฎิปทํ ปฎิปโนฺน’’ติฯ

    ‘‘Araṇavibhaṅgaṃ vo, bhikkhave, desessāmi…pe… na kāmasukhaṃ anuyuñjeyya hīnaṃ gammaṃ pothujjanikaṃ anariyaṃ anatthasaṃhitaṃ, na ca attakilamathānuyogaṃ anuyuñjeyya dukkhaṃ anariyaṃ anatthasaṃhitaṃ. Ete kho, bhikkhave, ubho ante anupagamma majjhimā paṭipadā tathāgatena abhisambuddhā cakkhukaraṇī ñāṇakaraṇī upasamāya abhiññāya sambodhāya nibbānāya saṃvattati. Ussādanañca jaññā, apasādanañca jaññā, ussādanañca ñatvā apasādanañca ñatvā nevussādeyya na apasādeyya, dhammameva deseyya. Sukhavinicchayaṃ jaññā, sukhavinicchayaṃ ñatvā ajjhattaṃ sukhamanuyuñjeyya, rahovādaṃ na bhāseyya, sammukhā na khīṇaṃ bhaṇe, ataramānova bhāseyya no taramāno, janapadaniruttiṃ nābhiniveseyya, samaññaṃ nātidhāveyyāti. Ayamuddeso araṇavibhaṅgassa …pe… tatra, bhikkhave, yo kāmapaṭisandhisukhino somanassānuyogaṃ ananuyogo hīnaṃ…pe… anatthasaṃhitaṃ, adukkho eso dhammo avighāto anupāyāso apariḷāho sammāpaṭipadā. Tasmā eso dhammo araṇo…pe… tatra, bhikkhave, yo attakilamathānuyogaṃ ananuyogo dukkhaṃ anariyaṃ anatthasaṃhitaṃ. Adukkho eso dhammo …pe… tasmā eso dhammo araṇo. Tatra, bhikkhave, yāyaṃ majjhimā paṭipadā tathāgatena abhisambuddhā…pe… adukkho eso dhammo…pe… tasmā eso dhammo araṇo…pe… tatra, bhikkhave, yāyaṃ nevussādanā na apasādanā dhammadesanā ca, adukkho eso dhammo…pe… tasmā eso dhammo araṇo…pe… tatra, bhikkhave, yadidaṃ nekkhammasukhaṃ pavivekasukhaṃ upasamasukhaṃ sambodhisukhaṃ, adukkho eso dhammo…pe… tasmā eso dhammo araṇo…pe… tatra, bhikkhave, yvāyaṃ rahovādo bhūto taccho atthasaṃhito, adukkho eso dhammo…pe… tasmā eso dhammo araṇo …pe… tatra, bhikkhave, yvāyaṃ sammukhā khīṇavādo bhūto taccho atthasaṃhito, adukkho eso dhammo…pe… tasmā eso dhammo araṇo…pe… tatra, bhikkhave, yadidaṃ ataramānassa bhāsitaṃ, adukkho eso dhammo…pe… tasmā eso dhammo araṇo…pe… tatra, bhikkhave, yvāyaṃ janapadaniruttiyā ca anabhiniveso samaññāya ca anatisāro, adukkho eso dhammo…pe… tasmā eso dhammo araṇoti. Tasmātiha, bhikkhave, saraṇañca dhammaṃ jānissāma, araṇañca dhammaṃ jānissāma. Saraṇañca dhammaṃ ñatvā araṇañca dhammaṃ ñatvā araṇaṃ paṭipadaṃ paṭipajjissāmāti evañhi vo, bhikkhave, sikkhitabbaṃ. Subhūti ca pana, bhikkhave, kulaputto araṇapaṭipadaṃ paṭipanno’’ti.

    ตตฺถ มชฺฌิมา ปฎิปทา ทสฺสนาธิปเตเยฺยน จ สเนฺตน วิหาราธิคเมน จ สงฺคหิตาฯ กามสุขํ อตฺตกิลมถํ อนนุโยโค มชฺฌิมา ปฎิปทา เอวฯ อรหโต หิ วิปสฺสนาปุพฺพภาคมชฺฌิมา ปฎิปทา โหติ, อรหตฺตผลสมาปตฺติ อฎฺฐงฺคมคฺควเสน มชฺฌิมา ปฎิปทา จฯ เสสา ปน ปณีตาธิมุตฺตตาย เอว สงฺคหิตาติ เวทิตพฺพาฯ กิญฺจาปิ สเพฺพปิ อรหโนฺต อรณวิหาริโน, อเญฺญ อรหโนฺต ธมฺมํ เทเสนฺตา ‘‘สมฺมาปฎิปเนฺน สมฺมาปฎิปนฺนา’’ติ ‘‘มิจฺฉาปฎิปเนฺน มิจฺฉาปฎิปนฺนา’’ติ ปุคฺคลวเสนาปิ อุสฺสาทนาปสาทนานิ กตฺวา ธมฺมํ เทเสนฺติฯ สุภูติเตฺถโร ปน ‘‘อยํ มิจฺฉาปฎิปทา, อยํ สมฺมาปฎิปทา’’ติ ธมฺมวเสเนว ธมฺมํ เทเสสิฯ เตเนว ภควา ตํเยว อรณปฎิปทํ ปฎิปโนฺนติ จ วเณฺณสิ, ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ อรณวิหารีนํ ยทิทํ สุภูตี’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๙๘, ๒๐๑) จ อรณวิหารีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Tattha majjhimā paṭipadā dassanādhipateyyena ca santena vihārādhigamena ca saṅgahitā. Kāmasukhaṃ attakilamathaṃ ananuyogo majjhimā paṭipadā eva. Arahato hi vipassanāpubbabhāgamajjhimā paṭipadā hoti, arahattaphalasamāpatti aṭṭhaṅgamaggavasena majjhimā paṭipadā ca. Sesā pana paṇītādhimuttatāya eva saṅgahitāti veditabbā. Kiñcāpi sabbepi arahanto araṇavihārino, aññe arahanto dhammaṃ desentā ‘‘sammāpaṭipanne sammāpaṭipannā’’ti ‘‘micchāpaṭipanne micchāpaṭipannā’’ti puggalavasenāpi ussādanāpasādanāni katvā dhammaṃ desenti. Subhūtitthero pana ‘‘ayaṃ micchāpaṭipadā, ayaṃ sammāpaṭipadā’’ti dhammavaseneva dhammaṃ desesi. Teneva bhagavā taṃyeva araṇapaṭipadaṃ paṭipannoti ca vaṇṇesi, ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ araṇavihārīnaṃ yadidaṃ subhūtī’’ti (a. ni. 1.198, 201) ca araṇavihārīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    ๓๔. ทฺวีหิ พเลหีติ สมถพลวิปสฺสนาพเลหิฯ สมนฺนาคตตฺตาติ ยุตฺตตฺตา ปริปุณฺณตฺตา วาฯ ตโย จาติ วิภตฺติวิปลฺลาโส, ติณฺณญฺจาติ วุตฺตํ โหติฯ สงฺขารานนฺติ วจีสงฺขารกายสงฺขารจิตฺตสงฺขารานํฯ ปฎิปฺปสฺสทฺธิยาติ ปฎิปฺปสฺสทฺธตฺถํ นิโรธตฺถํ, อปฺปวตฺตตฺถนฺติ วุตฺตํ โหติฯ โสฬสหีติ อนิจฺจานุปสฺสนาทีนิ อฎฺฐ, มคฺคผลานิ อฎฺฐาติ โสฬสหิฯ ญาณจริยาหีติ ญาณปฺปวตฺตีหิฯ นวหีติ รูปารูปาวจรสมาธิ ตทุปจาโร จาติ นวหิฯ วสิภาวตา ปญฺญาติ ลหุตา, ยถาสุขวตฺตนํ อิสฺสริยํ วโส, โส อสฺส อตฺถีติ วสี, วสิโน ภาโว วสิภาโว, วสิภาโว เอว วสิภาวตา, ยถา ปาฎิกุลฺยเมว ปาฎิกุลฺยตาฯ เอวํวิธา ปญฺญา วสิภาวตาย ปญฺญาติ วา อโตฺถฯ สิ-การํ ทีฆํ กตฺวา จ ปฐนฺติฯ สมนฺนาคตตฺตา จ ปฎิปฺปสฺสทฺธิยา จ ญาณจริยาหิ จ สมาธิจริยาหิ จาติ จ-กาโร สมฺพนฺธิตโพฺพฯ

    34.Dvīhi balehīti samathabalavipassanābalehi. Samannāgatattāti yuttattā paripuṇṇattā vā. Tayo cāti vibhattivipallāso, tiṇṇañcāti vuttaṃ hoti. Saṅkhārānanti vacīsaṅkhārakāyasaṅkhāracittasaṅkhārānaṃ. Paṭippassaddhiyāti paṭippassaddhatthaṃ nirodhatthaṃ, appavattatthanti vuttaṃ hoti. Soḷasahīti aniccānupassanādīni aṭṭha, maggaphalāni aṭṭhāti soḷasahi. Ñāṇacariyāhīti ñāṇappavattīhi. Navahīti rūpārūpāvacarasamādhi tadupacāro cāti navahi. Vasibhāvatā paññāti lahutā, yathāsukhavattanaṃ issariyaṃ vaso, so assa atthīti vasī, vasino bhāvo vasibhāvo, vasibhāvo eva vasibhāvatā, yathā pāṭikulyameva pāṭikulyatā. Evaṃvidhā paññā vasibhāvatāya paññāti vā attho. Si-kāraṃ dīghaṃ katvā ca paṭhanti. Samannāgatattā ca paṭippassaddhiyā ca ñāṇacariyāhi ca samādhicariyāhi cāti ca-kāro sambandhitabbo.

    นิโรธสมาปตฺติยา ญาณนฺติ อนาคามิอรหนฺตานํ นิโรธสมาปตฺตินิมิตฺตํ ญาณํ, ยถา อชินมฺหิ หญฺญเต ทีปีติฯ นิโรธสมาปตฺตีติ จ เนวสญฺญานาสญฺญายตนสฺส อภาวมตฺตํ, น โกจิ ธโมฺม, ปญฺญตฺติมตฺตํ อภาวมตฺตตฺตา นิโรโธติ จฯ สมาปชฺชเนฺตน สมาปชฺชียติ นามาติ สมาปตฺตีติ จ วุจฺจติฯ

    Nirodhasamāpattiyā ñāṇanti anāgāmiarahantānaṃ nirodhasamāpattinimittaṃ ñāṇaṃ, yathā ajinamhi haññate dīpīti. Nirodhasamāpattīti ca nevasaññānāsaññāyatanassa abhāvamattaṃ, na koci dhammo, paññattimattaṃ abhāvamattattā nirodhoti ca. Samāpajjantena samāpajjīyati nāmāti samāpattīti ca vuccati.

    ๓๕. สมฺปชานสฺสาติ สมฺมา ปกาเรหิ ชานาตีติ สมฺปชาโนฯ ตสฺส สมฺปชานสฺสฯ ปวตฺตปริยาทาเนติ ปวตฺตนํ ปวตฺตํ, สมุทาจาโรติ อโตฺถฯ กิเลสปวตฺตํ ขนฺธปวตฺตญฺจฯ ตสฺส ปวตฺตสฺส ปริยาทานํ ปริกฺขโย อปฺปวตฺติ ปวตฺตปริยาทานํฯ ตสฺมิํ ปวตฺตปริยาทาเนฯ ปรินิพฺพาเน ญาณนฺติ อรหโต กามจฺฉนฺทาทีนํ ปรินิพฺพานํ อปฺปวตฺตํ อนุปาทิเสสปรินิพฺพานญฺจ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส ตสฺมิํ กิเลสปรินิพฺพาเน ขนฺธปรินิพฺพาเน จ ปวตฺตํ ญาณํฯ

    35.Sampajānassāti sammā pakārehi jānātīti sampajāno. Tassa sampajānassa. Pavattapariyādāneti pavattanaṃ pavattaṃ, samudācāroti attho. Kilesapavattaṃ khandhapavattañca. Tassa pavattassa pariyādānaṃ parikkhayo appavatti pavattapariyādānaṃ. Tasmiṃ pavattapariyādāne. Parinibbāne ñāṇanti arahato kāmacchandādīnaṃ parinibbānaṃ appavattaṃ anupādisesaparinibbānañca paccavekkhantassa tasmiṃ kilesaparinibbāne khandhaparinibbāne ca pavattaṃ ñāṇaṃ.

    ๓๖. สพฺพธมฺมานนฺติ สเพฺพสํ เตภูมกธมฺมานํฯ สมฺมา สมุเจฺฉเทติ สนฺตติสมุเจฺฉทวเสน สุฎฺฐุ นิโรเธฯ นิโรเธ จ อนุปฎฺฐานตาติ นิโรเธ คเต ปุน น อุปฎฺฐานตาย, ปุน อนุปฺปตฺติยนฺติ อโตฺถฯ สมฺมาสมุเจฺฉเท จ นิโรเธ จ อนุปฎฺฐานตา จาติ จ-กาโร สมฺพนฺธิตโพฺพฯ

    36.Sabbadhammānanti sabbesaṃ tebhūmakadhammānaṃ. Sammā samucchedeti santatisamucchedavasena suṭṭhu nirodhe. Nirodhe ca anupaṭṭhānatāti nirodhe gate puna na upaṭṭhānatāya, puna anuppattiyanti attho. Sammāsamucchede ca nirodhe ca anupaṭṭhānatā cāti ca-kāro sambandhitabbo.

    สมสีสเฎฺฐ ญาณนฺติ เนกฺขมฺมาทีนิ สตฺตติํส สมานิ, ตณฺหาทีนิ เตรส สีสานิฯ ปจฺจนีกธมฺมานํ สมิตตฺตา สมานิ, ยถาโยคํ ปธานตฺตา จ โกฎิตฺตา จ สีสานิฯ เอกสฺมิํ อิริยาปเถ วา เอกสฺมิํ โรเค วา สภาคสนฺตติวเสน เอกสฺมิํ ชีวิตินฺทฺริเย วา เนกฺขมฺมาทีนิ สมานิ จ สทฺธาทีนิ สีสานิ จ อสฺส สนฺตีติ สมสีสี, สมสีสิสฺส อโตฺถ สมสีสโฎฺฐฯ ตสฺมิํ สมสีสเฎฺฐ, สมสีสิภาเวติ อโตฺถฯ เอกสฺมิํ อิริยาปเถ โรเค วา สภาคสนฺตติวเสน ชีวิเต วา วิปสฺสนํ อารภิตฺวา ตสฺมิํเยว อิริยาปเถ โรเค สภาคชีวิเต วา จตฺตาริ มคฺคผลานิ ปตฺวา, ตสฺมิํเยว ปรินิพฺพายนฺตสฺส อรหโตเยว สมสีสิภาโว โหตีติ ตสฺมิํ สมสีสิภาเว ญาณนฺติ วุตฺตํ โหติฯ วุตฺตญฺจ ปุคฺคลปญฺญตฺติยํ (ปุ. ป. ๑๖), ตสฺสา จ อฎฺฐกถายํ (ปุ. ป. อฎฺฐ. ๑๖) –

    Samasīsaṭṭhe ñāṇanti nekkhammādīni sattatiṃsa samāni, taṇhādīni terasa sīsāni. Paccanīkadhammānaṃ samitattā samāni, yathāyogaṃ padhānattā ca koṭittā ca sīsāni. Ekasmiṃ iriyāpathe vā ekasmiṃ roge vā sabhāgasantativasena ekasmiṃ jīvitindriye vā nekkhammādīni samāni ca saddhādīni sīsāni ca assa santīti samasīsī, samasīsissa attho samasīsaṭṭho. Tasmiṃ samasīsaṭṭhe, samasīsibhāveti attho. Ekasmiṃ iriyāpathe roge vā sabhāgasantativasena jīvite vā vipassanaṃ ārabhitvā tasmiṃyeva iriyāpathe roge sabhāgajīvite vā cattāri maggaphalāni patvā, tasmiṃyeva parinibbāyantassa arahatoyeva samasīsibhāvo hotīti tasmiṃ samasīsibhāve ñāṇanti vuttaṃ hoti. Vuttañca puggalapaññattiyaṃ (pu. pa. 16), tassā ca aṭṭhakathāyaṃ (pu. pa. aṭṭha. 16) –

    ‘‘กตโม จ ปุคฺคโล สมสีสี? ยสฺส ปุคฺคลสฺส อปุพฺพํ อจริมํ อาสวปริยาทานญฺจ โหติ ชีวิตปริยาทานญฺจฯ อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล สมสีสี’’ติ (ปุ. ป. ๑๖)ฯ

    ‘‘Katamo ca puggalo samasīsī? Yassa puggalassa apubbaṃ acarimaṃ āsavapariyādānañca hoti jīvitapariyādānañca. Ayaṃ vuccati puggalo samasīsī’’ti (pu. pa. 16).

    ‘‘สมสีสินิเทฺทเส อปุพฺพํ อจริมนฺติ อปุเร อปจฺฉา, สนฺตติปจฺจุปฺปนฺนวเสน เอกวารํเยว, เอกกาลํเยวาติ อโตฺถฯ ปริยาทานนฺติ ปริกฺขโยฯ อยนฺติ อยํ ปุคฺคโล สมสีสี นาม วุจฺจติฯ โส ปเนส ติวิโธ โหติ อิริยาปถสมสีสี โรคสมสีสี ชีวิตสมสีสีติฯ ตตฺถ โย จงฺกมโนฺตว วิปสฺสนํ อารภิตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา จงฺกมโนฺตว ปรินิพฺพาติ, โย ฐิตโกว วิปสฺสนํ อารภิตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา ฐิตโกว ปรินิพฺพาติ, โย นิสิโนฺนว วิปสฺสนํ อารภิตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา นิสิโนฺนว ปรินิพฺพาติ, โย นิปโนฺนว วิปสฺสนํ อารภิตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา นิปโนฺนว ปรินิพฺพาติ, อยํ อิริยาปถสมสีสี นามฯ โย ปน เอกํ โรคํ ปตฺวา อโนฺตโรเคเยว วิปสฺสนํ อารภิตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา เตเนว โรเคน ปรินิพฺพาติ, อยํ โรคสมสีสี นามฯ กตโร ชีวิตสมสีสี? เตรส สีสานิฯ ตตฺถ กิเลสสีสํ อวิชฺชํ อรหตฺตมโคฺค ปริยาทิยติ, ปวตฺตสีสํ ชีวิตินฺทฺริยํ จุติจิตฺตํ ปริยาทิยติ, อวิชฺชาปริยาทายกํ จิตฺตํ ชีวิตินฺทฺริยํ ปริยาทาตุํ น สโกฺกติ, ชีวิตินฺทฺริยปริยาทายกํ จิตฺตํ อวิชฺชํ ปริยาทาตุํ น สโกฺกติฯ อวิชฺชาปริยาทายกํ จิตฺตํ อญฺญํ, ชีวิตินฺทฺริยปริยาทายกํ จิตฺตํ อญฺญํฯ ยสฺส เจตํ สีสทฺวยํ สมํ ปริยาทานํ คจฺฉติ, โส ชีวิตสมสีสี นามฯ กถมิทํ สมํ โหตีติ? วารสมตายฯ ยสฺมิญฺหิ วาเร มคฺควุฎฺฐานํ โหติฯ โสตาปตฺติมเคฺค ปญฺจ ปจฺจเวกฺขณานิ, สกทาคามิมเคฺค ปญฺจ, อนาคามิมเคฺค ปญฺจ, อรหตฺตมเคฺค จตฺตารีติ เอกูนวีสติเม ปจฺจเวกฺขณญาเณ ปติฎฺฐาย ภวงฺคํ โอตริตฺวา ปรินิพฺพายติฯ อิมาย วารสมตาย เอว อุภยสีสปริยาทานมฺปิ สมํ โหติ นามฯ เตนายํ ปุคฺคโล ‘ชีวิตสมสีสี’ติ วุจฺจติฯ อยเมว จ อิธ อธิเปฺปโต’’ติฯ

    ‘‘Samasīsiniddese apubbaṃ acarimanti apure apacchā, santatipaccuppannavasena ekavāraṃyeva, ekakālaṃyevāti attho. Pariyādānanti parikkhayo. Ayanti ayaṃ puggalo samasīsī nāma vuccati. So panesa tividho hoti iriyāpathasamasīsī rogasamasīsī jīvitasamasīsīti. Tattha yo caṅkamantova vipassanaṃ ārabhitvā arahattaṃ patvā caṅkamantova parinibbāti, yo ṭhitakova vipassanaṃ ārabhitvā arahattaṃ patvā ṭhitakova parinibbāti, yo nisinnova vipassanaṃ ārabhitvā arahattaṃ patvā nisinnova parinibbāti, yo nipannova vipassanaṃ ārabhitvā arahattaṃ patvā nipannova parinibbāti, ayaṃ iriyāpathasamasīsī nāma. Yo pana ekaṃ rogaṃ patvā antorogeyeva vipassanaṃ ārabhitvā arahattaṃ patvā teneva rogena parinibbāti, ayaṃ rogasamasīsī nāma. Kataro jīvitasamasīsī? Terasa sīsāni. Tattha kilesasīsaṃ avijjaṃ arahattamaggo pariyādiyati, pavattasīsaṃ jīvitindriyaṃ cuticittaṃ pariyādiyati, avijjāpariyādāyakaṃ cittaṃ jīvitindriyaṃ pariyādātuṃ na sakkoti, jīvitindriyapariyādāyakaṃ cittaṃ avijjaṃ pariyādātuṃ na sakkoti. Avijjāpariyādāyakaṃ cittaṃ aññaṃ, jīvitindriyapariyādāyakaṃ cittaṃ aññaṃ. Yassa cetaṃ sīsadvayaṃ samaṃ pariyādānaṃ gacchati, so jīvitasamasīsī nāma. Kathamidaṃ samaṃ hotīti? Vārasamatāya. Yasmiñhi vāre maggavuṭṭhānaṃ hoti. Sotāpattimagge pañca paccavekkhaṇāni, sakadāgāmimagge pañca, anāgāmimagge pañca, arahattamagge cattārīti ekūnavīsatime paccavekkhaṇañāṇe patiṭṭhāya bhavaṅgaṃ otaritvā parinibbāyati. Imāya vārasamatāya eva ubhayasīsapariyādānampi samaṃ hoti nāma. Tenāyaṃ puggalo ‘jīvitasamasīsī’ti vuccati. Ayameva ca idha adhippeto’’ti.

    ๓๗. อิทานิ ยสฺมา สุตมยสีลมยภาวนามยญาณานิ วฎฺฎปาทกานิ สเลฺลขา นาม น โหนฺติ, โลกุตฺตรปาทกาเนว เอตานิ จ อญฺญานิ จ ญาณานิ สเลฺลขาติ วุจฺจนฺติ, ตสฺมา ปจฺจนีกสเลฺลขนากาเรน ปวตฺตานิ ญาณานิ ทเสฺสตุํ สมสีสเฎฺฐ ญาณานนฺตรํ สเลฺลขเฎฺฐ ญาณํ อุทฺทิฎฺฐํฯ ตตฺถ ปุถุนานตฺตเตชปริยาทาเน ปญฺญาติ โลกุตฺตเรหิ อสมฺมิสฺสเฎฺฐน ปุถูนํ ราคาทีนญฺจ นานตฺตานํ นานาสภาวานํ กามจฺฉนฺทาทีนญฺจ สนฺตาปนเฎฺฐน ‘‘เตชา’’ติ ลทฺธนามานํ ทุสฺสีลฺยาทีนญฺจ ปริยาทาเน เขปเน ปญฺญา, เนกฺขมฺมาทิมฺหิ สตฺตติํสเภเท ธเมฺม ปญฺญาติ วุตฺตํ โหติฯ อถ วา ปุถุภูตา นานตฺตภูตา จ เตชา เอว เตสํ ปุถุภูตานํ นานตฺตภูตานํ ทุสฺสีลฺยาทีนํ ปญฺจนฺนํ เตชานํ ปริยาทาเน ปญฺญาติ อโตฺถฯ เตเชหิเยว ปุถูนํ นานตฺตานญฺจ สงฺคหํ นิเทฺทสวาเร ปกาสยิสฺสามฯ

    37. Idāni yasmā sutamayasīlamayabhāvanāmayañāṇāni vaṭṭapādakāni sallekhā nāma na honti, lokuttarapādakāneva etāni ca aññāni ca ñāṇāni sallekhāti vuccanti, tasmā paccanīkasallekhanākārena pavattāni ñāṇāni dassetuṃ samasīsaṭṭhe ñāṇānantaraṃ sallekhaṭṭhe ñāṇaṃ uddiṭṭhaṃ. Tattha puthunānattatejapariyādāne paññāti lokuttarehi asammissaṭṭhena puthūnaṃ rāgādīnañca nānattānaṃ nānāsabhāvānaṃ kāmacchandādīnañca santāpanaṭṭhena ‘‘tejā’’ti laddhanāmānaṃ dussīlyādīnañca pariyādāne khepane paññā, nekkhammādimhi sattatiṃsabhede dhamme paññāti vuttaṃ hoti. Atha vā puthubhūtā nānattabhūtā ca tejā eva tesaṃ puthubhūtānaṃ nānattabhūtānaṃ dussīlyādīnaṃ pañcannaṃ tejānaṃ pariyādāne paññāti attho. Tejehiyeva puthūnaṃ nānattānañca saṅgahaṃ niddesavāre pakāsayissāma.

    สเลฺลขเฎฺฐ ญาณนฺติ ปจฺจนีกธเมฺม สเลฺลขติ สมุจฺฉินฺทตีติ สเลฺลโข, ตสฺมิํ เนกฺขมฺมาทิเก สตฺตติํสปฺปเภเท สเลฺลขสภาเว ญาณํฯ ‘‘ปเร วิหิํสกา ภวิสฺสนฺติ, มยเมตฺถ อวิหิํสกา ภวิสฺสามาติ สเลฺลโข กรณีโย’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๘๓) นเยน ภควตา สเลฺลขสุตฺตเนฺต วุโตฺต จตุจตฺตาลีสเภโทปิ สเลฺลโข อิมินา สงฺคหิโตเยวาติ เวทิตโพฺพฯ

    Sallekhaṭṭhe ñāṇanti paccanīkadhamme sallekhati samucchindatīti sallekho, tasmiṃ nekkhammādike sattatiṃsappabhede sallekhasabhāve ñāṇaṃ. ‘‘Pare vihiṃsakā bhavissanti, mayamettha avihiṃsakā bhavissāmāti sallekho karaṇīyo’’tiādinā (ma. ni. 1.83) nayena bhagavatā sallekhasuttante vutto catucattālīsabhedopi sallekho iminā saṅgahitoyevāti veditabbo.

    ๓๘. อิทานิ สเลฺลเข ฐิเตน กตฺตพฺพํ สมฺมปฺปธานวีริยํ ทเสฺสตุํ ตทนนฺตรํ วีริยารเมฺภ ญาณํ อุทฺทิฎฺฐํฯ ตตฺถ อสลฺลีนตฺตปหิตตฺตปคฺคหเฎฺฐติ โกสชฺชวเสน อสลฺลีโน อสงฺกุจิโต อตฺตา อสฺสาติ อสลฺลีนโตฺตฯ อตฺตาติ จิตฺตํฯ ยถาห –

    38. Idāni sallekhe ṭhitena kattabbaṃ sammappadhānavīriyaṃ dassetuṃ tadanantaraṃ vīriyārambhe ñāṇaṃ uddiṭṭhaṃ. Tattha asallīnattapahitattapaggahaṭṭheti kosajjavasena asallīno asaṅkucito attā assāti asallīnatto. Attāti cittaṃ. Yathāha –

    ‘‘อุทกญฺหิ นยนฺติ เนตฺติกา, อุสุการา นมยนฺติ เตชนํ;

    ‘‘Udakañhi nayanti nettikā, usukārā namayanti tejanaṃ;

    ทารุํ นมยนฺติ ตจฺฉกา, อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา’’ติฯ อาทิ (ธ. ป. ๘๐-๘๒) –

    Dāruṃ namayanti tacchakā, attānaṃ damayanti paṇḍitā’’ti. ādi (dha. pa. 80-82) –

    กาเย จ ชีวิเต จ อนเปกฺขตาย ปหิโต เปสิโต วิสฺสโฎฺฐ อตฺตา เอเตนาติ ปหิตโตฺตฯ อตฺตาติ อตฺตภาโวฯ ยถาห – ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี อตฺตานํ วธิตฺวา วธิตฺวา โรเทยฺยา’’ติอาทิ (ปาจิ. ๘๘๐) ฯ อสลฺลีนโตฺต จ โส ปหิตโตฺต จาติ อสลฺลีนตฺตปหิตโตฺตฯ สหชาตธเมฺม ปคฺคณฺหาติ อุปตฺถเมฺภตีติ ปคฺคโห, ปคฺคโห เอว อโตฺถ ปคฺคหโฎฺฐ, ปคฺคหสภาโวติ อโตฺถฯ อสลฺลีนตฺตปหิตตฺตสฺส ปคฺคหโฎฺฐ อสลฺลีนตฺตปหิตตฺตปคฺคหโฎฺฐฯ ตสฺมิํ อสลฺลีนตฺตปหิตตฺตปคฺคหเฎฺฐฯ ‘‘ตสฺมาติห, ภิกฺขเว, ตุเมฺหปิ อปฺปฎิวานํ ปทเหยฺยาถฯ กามํ ตโจ จ นฺหารุ จ อฎฺฐิ จ อวสิสฺสตุ, อุปสุสฺสตุ สรีเร มํสโลหิตํฯ ยํ ตํ ปุริสถาเมน ปุริสวีริเยน ปุริสปรกฺกเมน ปตฺตพฺพํ, น ตํ อปาปุณิตฺวา วีริยสฺส สณฺฐานํ ภวิสฺสตี’’ติ (อ. นิ. ๒.๕) วุตฺตตฺตา อสลฺลีนตฺตปหิตตฺตวจเนน ปธานสฺมิํ อปฺปฎิวานิตา อนิวตฺตนตา วุตฺตาฯ ปคฺคหฎฺฐวจเนน ปน โกสชฺชุทฺธจฺจวิมุตฺตํ สมปฺปวตฺตํ วีริยํ วุตฺตํฯ

    Kāye ca jīvite ca anapekkhatāya pahito pesito vissaṭṭho attā etenāti pahitatto. Attāti attabhāvo. Yathāha – ‘‘yā pana bhikkhunī attānaṃ vadhitvā vadhitvā rodeyyā’’tiādi (pāci. 880) . Asallīnatto ca so pahitatto cāti asallīnattapahitatto. Sahajātadhamme paggaṇhāti upatthambhetīti paggaho, paggaho eva attho paggahaṭṭho, paggahasabhāvoti attho. Asallīnattapahitattassa paggahaṭṭho asallīnattapahitattapaggahaṭṭho. Tasmiṃ asallīnattapahitattapaggahaṭṭhe. ‘‘Tasmātiha, bhikkhave, tumhepi appaṭivānaṃ padaheyyātha. Kāmaṃ taco ca nhāru ca aṭṭhi ca avasissatu, upasussatu sarīre maṃsalohitaṃ. Yaṃ taṃ purisathāmena purisavīriyena purisaparakkamena pattabbaṃ, na taṃ apāpuṇitvā vīriyassa saṇṭhānaṃ bhavissatī’’ti (a. ni. 2.5) vuttattā asallīnattapahitattavacanena padhānasmiṃ appaṭivānitā anivattanatā vuttā. Paggahaṭṭhavacanena pana kosajjuddhaccavimuttaṃ samappavattaṃ vīriyaṃ vuttaṃ.

    วีริยารเมฺภ ญาณนฺติ วีรภาโว วีริยํ, วีรานํ วา กมฺมํ, วิธินา วา นเยน อุปาเยน อีรยิตพฺพํ ปวตฺตยิตพฺพนฺติ วีริยํฯ ตเทตํ อุสฺสาหลกฺขณํ, สหชาตานํ ธมฺมานํ อุปตฺถมฺภนรสํ, อสํสีทนภาวปจฺจุปฎฺฐานํ, ‘‘สํวิโคฺค โยนิโส ปทหตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๑๑๓) วจนโต สํเวคปทฎฺฐานํ, วีริยารมฺภวตฺถุปทฎฺฐานํ วาฯ สมฺมา อารทฺธํ สพฺพสมฺปตฺตีนํ มูลํ โหตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ วีริยสงฺขาโต อารโมฺภ วีริยารโมฺภฯ อิมินา เสสารเมฺภ ปฎิกฺขิปติฯ อยญฺหิ อารมฺภสโทฺท กเมฺม อาปตฺติยํ กิริยายํ วีริเย หิํสายํ วิโกปเนติ อเนเกสุ อเตฺถสุ อาคโตฯ

    Vīriyārambhe ñāṇanti vīrabhāvo vīriyaṃ, vīrānaṃ vā kammaṃ, vidhinā vā nayena upāyena īrayitabbaṃ pavattayitabbanti vīriyaṃ. Tadetaṃ ussāhalakkhaṇaṃ, sahajātānaṃ dhammānaṃ upatthambhanarasaṃ, asaṃsīdanabhāvapaccupaṭṭhānaṃ, ‘‘saṃviggo yoniso padahatī’’ti (a. ni. 4.113) vacanato saṃvegapadaṭṭhānaṃ, vīriyārambhavatthupadaṭṭhānaṃ vā. Sammā āraddhaṃ sabbasampattīnaṃ mūlaṃ hotīti daṭṭhabbaṃ. Vīriyasaṅkhāto ārambho vīriyārambho. Iminā sesārambhe paṭikkhipati. Ayañhi ārambhasaddo kamme āpattiyaṃ kiriyāyaṃ vīriye hiṃsāyaṃ vikopaneti anekesu atthesu āgato.

    ‘‘ยํกิญฺจิ ทุกฺขํ สโมฺภติ, สพฺพํ อารมฺภปจฺจยา;

    ‘‘Yaṃkiñci dukkhaṃ sambhoti, sabbaṃ ārambhapaccayā;

    อารมฺภานํ นิโรเธน, นตฺถิ ทุกฺขสฺส สมฺภโว’’ติฯ (สุ. นิ. ๗๔๙) –

    Ārambhānaṃ nirodhena, natthi dukkhassa sambhavo’’ti. (su. ni. 749) –

    เอตฺถ หิ กมฺมํ อารโมฺภติ อาคตํฯ ‘‘อารมฺภติ จ วิปฺปฎิสารี จ โหตี’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๔๒; ปุ. ป. ๑๙๑) เอตฺถ อาปตฺติฯ ‘‘มหายญฺญา มหารมฺภา, น เต โหนฺติ มหปฺผลา’’ติ (อ. นิ. ๔.๓๙; สํ. นิ. ๑.๑๒๐) เอตฺถ ยูปุสฺสาปนาทิกิริยาฯ ‘‘อารมฺภถ นิกฺกมถ, ยุญฺชถ พุทฺธสาสเน’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๘๕) เอตฺถ วีริยํฯ ‘‘สมณํ โคตมํ อุทฺทิสฺส ปาณํ อารมฺภนฺตี’’ติ (ม. นิ. ๒.๕๑-๕๒) เอตฺถ หิํสาฯ ‘‘พีชคามภูตคามสมารมฺภา ปฎิวิรโต โหตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๐; ม. นิ. ๑.๒๙๓) เอตฺถ เฉทนภญฺชนาทิกํ วิโกปนํฯ อิธ ปน วีริยเมว อธิเปฺปตํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘วีริยสงฺขาโต อารโมฺภ วีริยารโมฺภ’’ติฯ วีริยญฺหิ อารภนกวเสน อารโมฺภติ วุจฺจติฯ ตสฺมิํ วีริยารเมฺภ ญาณํฯ อสลฺลีนตฺตา ปหิตตฺตาติปิ ปฐนฺติ, อสลฺลีนภาเวน ปหิตภาเวนาติ อโตฺถฯ ปุริมปาโฐเยว สุนฺทโรฯ เกจิ ปน ‘‘สติธมฺมวิจยวีริยปีติสโมฺพชฺฌงฺคานํ สมตา อสลฺลีนตฺตตา, สติสมาธิปสฺสทฺธิอุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคานํ สมตา ปหิตตฺตตา, สตฺตนฺนํ สโมฺพชฺฌงฺคานํ สมตา ปคฺคหโฎฺฐ’’ติ วณฺณยนฺติฯ

    Ettha hi kammaṃ ārambhoti āgataṃ. ‘‘Ārambhati ca vippaṭisārī ca hotī’’ti (a. ni. 5.142; pu. pa. 191) ettha āpatti. ‘‘Mahāyaññā mahārambhā, na te honti mahapphalā’’ti (a. ni. 4.39; saṃ. ni. 1.120) ettha yūpussāpanādikiriyā. ‘‘Ārambhatha nikkamatha, yuñjatha buddhasāsane’’ti (saṃ. ni. 1.185) ettha vīriyaṃ. ‘‘Samaṇaṃ gotamaṃ uddissa pāṇaṃ ārambhantī’’ti (ma. ni. 2.51-52) ettha hiṃsā. ‘‘Bījagāmabhūtagāmasamārambhā paṭivirato hotī’’ti (dī. ni. 1.10; ma. ni. 1.293) ettha chedanabhañjanādikaṃ vikopanaṃ. Idha pana vīriyameva adhippetaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘vīriyasaṅkhāto ārambho vīriyārambho’’ti. Vīriyañhi ārabhanakavasena ārambhoti vuccati. Tasmiṃ vīriyārambhe ñāṇaṃ. Asallīnattā pahitattātipi paṭhanti, asallīnabhāvena pahitabhāvenāti attho. Purimapāṭhoyeva sundaro. Keci pana ‘‘satidhammavicayavīriyapītisambojjhaṅgānaṃ samatā asallīnattatā, satisamādhipassaddhiupekkhāsambojjhaṅgānaṃ samatā pahitattatā, sattannaṃ sambojjhaṅgānaṃ samatā paggahaṭṭho’’ti vaṇṇayanti.

    ๓๙. อิทานิ สมฺมาวายามสิทฺธํ มคฺคผลํ ปเตฺตน โลกหิตตฺถํ ธมฺมเทสนา กาตพฺพาติ ทเสฺสตุํ ตทนนฺตรํ อตฺถสนฺทสฺสเน ญาณํ อุทฺทิฎฺฐํฯ ตตฺถ นานาธมฺมปฺปกาสนตาติ สพฺพสงฺขตาสงฺขตวเสน นานาธมฺมานํ ปกาสนตา ทีปนตา เทสนตาฯ ปกาสนตาติ จ ปกาสนา เอวฯ อตฺถสนฺทสฺสเนติ นานาอตฺถานํ ปเรสํ สนฺทสฺสเนฯ ธมฺมา จ อตฺถา จ เต เอวฯ

    39. Idāni sammāvāyāmasiddhaṃ maggaphalaṃ pattena lokahitatthaṃ dhammadesanā kātabbāti dassetuṃ tadanantaraṃ atthasandassane ñāṇaṃ uddiṭṭhaṃ. Tattha nānādhammappakāsanatāti sabbasaṅkhatāsaṅkhatavasena nānādhammānaṃ pakāsanatā dīpanatā desanatā. Pakāsanatāti ca pakāsanā eva. Atthasandassaneti nānāatthānaṃ paresaṃ sandassane. Dhammā ca atthā ca te eva.

    ๔๐. อิทานิ ปเรสํ ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสนฺตสฺส ตสฺส อริยปุคฺคลสฺส ยถาสภาวธมฺมเทสนาการณํ ทสฺสนวิสุทฺธิํ ทเสฺสตุํ ตทนนฺตรํ ทสฺสนวิสุทฺธิญาณํ อุทฺทิฎฺฐํฯ ตตฺถ สพฺพธมฺมานํ เอกสงฺคหตา นานเตฺตกตฺตปฎิเวเธติ สเพฺพสํ สงฺขตาสงฺขตธมฺมานํ เอกสงฺคหตาย จ กามจฺฉนฺทาทีนํ นานตฺตสฺส จ เนกฺขมฺมาทีนํ เอกตฺตสฺส จ ปฎิเวโธ, อภิสมโยติ อโตฺถฯ โส ปน มคฺคปญฺญา ผลปญฺญา จฯ มคฺคปญฺญา สจฺจาภิสมยกฺขเณ สจฺจาภิสมยวเสน ปฎิวิชฺฌตีติ ปฎิเวโธ, ผลปญฺญา ปฎิวิทฺธตฺตา ปฎิเวโธฯ เอกสงฺคหตาติ เอตฺถ ชาติสงฺคโห, สญฺชาติสงฺคโห, กิริยาสงฺคโห, คณนสงฺคโหติ จตุพฺพิโธ สงฺคโหฯ ตตฺถ ‘‘สเพฺพ ขตฺติยา อาคจฺฉนฺตุ, สเพฺพ พฺราหฺมณา, สเพฺพ เวสฺสา, สเพฺพ สุทฺทา อาคจฺฉนฺตุ’’, ‘‘ยา, จาวุโส วิสาข, สมฺมาวาจา, โย จ สมฺมากมฺมโนฺต, โย จ สมฺมาอาชีโว, อิเม ธมฺมา สีลกฺขเนฺธ สงฺคหิตา’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๖๒) อยํ ชาติสงฺคโห นามฯ ‘‘เอกชาติกา อาคจฺฉนฺตู’’ติ วุตฺตฎฺฐาเน วิย หิ อิธ สเพฺพ ชาติยา เอกสงฺคหิตาฯ ‘‘สเพฺพ โกสลกา อาคจฺฉนฺตุ, สเพฺพ มาคธิกา, สเพฺพ ภารุกจฺฉกา อาคจฺฉนฺตุ’’, ‘‘โย, จาวุโส วิสาข, สมฺมาวายาโม, ยา จ สมฺมาสติ, โย จ สมฺมาสมาธิ, อิเม ธมฺมา สมาธิกฺขเนฺธ สงฺคหิตา’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๖๒) อยํ สญฺชาติสงฺคโห นามฯ ‘‘เอกฎฺฐาเน ชาตา สํวฑฺฒา อาคจฺฉนฺตู’’ติ วุตฺตฎฺฐาเน วิย หิ อิธ สเพฺพ ชาติฎฺฐาเนน นิวุโตฺถกาเสน เอกสงฺคหิตาฯ ‘‘สเพฺพ หตฺถาโรหา อาคจฺฉนฺตุ, สเพฺพ อสฺสาโรหา อาคจฺฉนฺตุ, สเพฺพ รถิกา อาคจฺฉนฺตุ’’, ‘‘ยา, จาวุโส วิสาข, สมฺมาทิฎฺฐิ, โย จ สมฺมาสงฺกโปฺป, อิเม ธมฺมา ปญฺญากฺขเนฺธ สงฺคหิตา’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๖๒) อยํ กิริยาสงฺคโห นามฯ สเพฺพว หิ เต อตฺตโน กิริยากรเณน เอกสงฺคหิตาฯ ‘‘จกฺขายตนํ กตมํ ขนฺธคณนํ คจฺฉติ, จกฺขายตนํ รูปกฺขนฺธคณนํ คจฺฉติฯ หญฺจิ จกฺขายตนํ รูปกฺขนฺธคณนํ คจฺฉติ, เตน วต เร วตฺตเพฺพ จกฺขายตนํ รูปกฺขเนฺธน สงฺคหิต’’นฺติ (กถา. ๔๗๑) อยํ คณนสงฺคโห นามฯ อยมิธ อธิเปฺปโตฯ ตถฎฺฐาทีสุ ทฺวาทสสุ อากาเรสุ วิสุํ วิสุํ เอเกน สงฺคโห คณนปริเจฺฉโท เอเตสนฺติ เอกสงฺคหา, เอกสงฺคหานํ ภาโว เอกสงฺคหตาฯ

    40. Idāni paresaṃ dhammiyā kathāya sandassentassa tassa ariyapuggalassa yathāsabhāvadhammadesanākāraṇaṃ dassanavisuddhiṃ dassetuṃ tadanantaraṃ dassanavisuddhiñāṇaṃ uddiṭṭhaṃ. Tattha sabbadhammānaṃ ekasaṅgahatā nānattekattapaṭivedheti sabbesaṃ saṅkhatāsaṅkhatadhammānaṃ ekasaṅgahatāya ca kāmacchandādīnaṃ nānattassa ca nekkhammādīnaṃ ekattassa ca paṭivedho, abhisamayoti attho. So pana maggapaññā phalapaññā ca. Maggapaññā saccābhisamayakkhaṇe saccābhisamayavasena paṭivijjhatīti paṭivedho, phalapaññā paṭividdhattā paṭivedho. Ekasaṅgahatāti ettha jātisaṅgaho, sañjātisaṅgaho, kiriyāsaṅgaho, gaṇanasaṅgahoti catubbidho saṅgaho. Tattha ‘‘sabbe khattiyā āgacchantu, sabbe brāhmaṇā, sabbe vessā, sabbe suddā āgacchantu’’, ‘‘yā, cāvuso visākha, sammāvācā, yo ca sammākammanto, yo ca sammāājīvo, ime dhammā sīlakkhandhe saṅgahitā’’ti (ma. ni. 1.462) ayaṃ jātisaṅgaho nāma. ‘‘Ekajātikā āgacchantū’’ti vuttaṭṭhāne viya hi idha sabbe jātiyā ekasaṅgahitā. ‘‘Sabbe kosalakā āgacchantu, sabbe māgadhikā, sabbe bhārukacchakā āgacchantu’’, ‘‘yo, cāvuso visākha, sammāvāyāmo, yā ca sammāsati, yo ca sammāsamādhi, ime dhammā samādhikkhandhe saṅgahitā’’ti (ma. ni. 1.462) ayaṃ sañjātisaṅgaho nāma. ‘‘Ekaṭṭhāne jātā saṃvaḍḍhā āgacchantū’’ti vuttaṭṭhāne viya hi idha sabbe jātiṭṭhānena nivutthokāsena ekasaṅgahitā. ‘‘Sabbe hatthārohā āgacchantu, sabbe assārohā āgacchantu, sabbe rathikā āgacchantu’’, ‘‘yā, cāvuso visākha, sammādiṭṭhi, yo ca sammāsaṅkappo, ime dhammā paññākkhandhe saṅgahitā’’ti (ma. ni. 1.462) ayaṃ kiriyāsaṅgaho nāma. Sabbeva hi te attano kiriyākaraṇena ekasaṅgahitā. ‘‘Cakkhāyatanaṃ katamaṃ khandhagaṇanaṃ gacchati, cakkhāyatanaṃ rūpakkhandhagaṇanaṃ gacchati. Hañci cakkhāyatanaṃ rūpakkhandhagaṇanaṃ gacchati, tena vata re vattabbe cakkhāyatanaṃ rūpakkhandhena saṅgahita’’nti (kathā. 471) ayaṃ gaṇanasaṅgaho nāma. Ayamidha adhippeto. Tathaṭṭhādīsu dvādasasu ākāresu visuṃ visuṃ ekena saṅgaho gaṇanaparicchedo etesanti ekasaṅgahā, ekasaṅgahānaṃ bhāvo ekasaṅgahatā.

    ทสฺสนวิสุทฺธิญาณนฺติ มคฺคผลญาณํ ทสฺสนํฯ ทสฺสนเมว วิสุทฺธิ ทสฺสนวิสุทฺธิ, ทสฺสนวิสุทฺธิ เอว ญาณํ ทสฺสนวิสุทฺธิญาณํฯ มคฺคญาณํ วิสุชฺฌตีติ ทสฺสนวิสุทฺธิ, ผลญาณํ วิสุทฺธตฺตา ทสฺสนวิสุทฺธิฯ

    Dassanavisuddhiñāṇanti maggaphalañāṇaṃ dassanaṃ. Dassanameva visuddhi dassanavisuddhi, dassanavisuddhi eva ñāṇaṃ dassanavisuddhiñāṇaṃ. Maggañāṇaṃ visujjhatīti dassanavisuddhi, phalañāṇaṃ visuddhattā dassanavisuddhi.

    ๔๑. อิทานิ ทสฺสนวิสุทฺธิสาธกานิ วิปสฺสนาญาณานิ ทฺวิธา ทเสฺสตุํ ตทนนฺตรํ ขนฺติญาณปริโยคาหณญาณานิ อุทฺทิฎฺฐานิฯ ตตฺถ วิทิตตฺตา ปญฺญาติ รูปกฺขนฺธาทีนํ อนิจฺจาทิโต วิทิตตฺตา ปวตฺตา ปญฺญาฯ ขนฺติญาณนฺติ วิทิตเมว ขมตีติ ขนฺติ, ขนฺติ เอว ญาณํ ขนฺติญาณํฯ เอเตน อธิวาสนขนฺติํ ปฎิกฺขิปติฯ เอตํ กลาปสมฺมสนาทิวเสน ปวตฺตํ ตรุณวิปสฺสนาญาณํฯ

    41. Idāni dassanavisuddhisādhakāni vipassanāñāṇāni dvidhā dassetuṃ tadanantaraṃ khantiñāṇapariyogāhaṇañāṇāni uddiṭṭhāni. Tattha viditattā paññāti rūpakkhandhādīnaṃ aniccādito viditattā pavattā paññā. Khantiñāṇanti viditameva khamatīti khanti, khanti eva ñāṇaṃ khantiñāṇaṃ. Etena adhivāsanakhantiṃ paṭikkhipati. Etaṃ kalāpasammasanādivasena pavattaṃ taruṇavipassanāñāṇaṃ.

    ๔๒. ผุฎฺฐตฺตา ปญฺญาติ รูปกฺขนฺธาทีนํ อนิจฺจาทิวเสน ญาณผเสฺสน ผุฎฺฐตฺตา ปวตฺตา ปญฺญาฯ ปริโยคาหเณ ญาณนฺติ ผุฎฺฐเมว ปริโยคาหติ ปวิสตีติ ปริโยคาหณํ ญาณํฯ คา-การํ รสฺสํ กตฺวาปิ ปฐนฺติฯ เอตํ ภงฺคานุปสฺสนาทิวเสน ปวตฺตํ ติกฺขวิปสฺสนาญาณํฯ เกจิ ปน ‘‘วิปสฺสนาญาณเมว สทฺธาวาหิสฺส ขนฺติญาณํ, ปญฺญาวาหิสฺส ปริโยคาหณญาณ’’นฺติ วทนฺติฯ เอวํ สเนฺต เอตานิ เทฺว ญาณานิ เอกสฺส น สมฺภวนฺติ , ตทสมฺภเว เอกสฺส สาวกสฺส สตฺตสฎฺฐิ สาวกสาธารณญาณานิ น สมฺภวนฺติ, ตสฺมา ตํ น ยุชฺชติฯ

    42.Phuṭṭhattā paññāti rūpakkhandhādīnaṃ aniccādivasena ñāṇaphassena phuṭṭhattā pavattā paññā. Pariyogāhaṇe ñāṇanti phuṭṭhameva pariyogāhati pavisatīti pariyogāhaṇaṃ ñāṇaṃ. Gā-kāraṃ rassaṃ katvāpi paṭhanti. Etaṃ bhaṅgānupassanādivasena pavattaṃ tikkhavipassanāñāṇaṃ. Keci pana ‘‘vipassanāñāṇameva saddhāvāhissa khantiñāṇaṃ, paññāvāhissa pariyogāhaṇañāṇa’’nti vadanti. Evaṃ sante etāni dve ñāṇāni ekassa na sambhavanti , tadasambhave ekassa sāvakassa sattasaṭṭhi sāvakasādhāraṇañāṇāni na sambhavanti, tasmā taṃ na yujjati.

    ๔๓. อิทานิ ยสฺมา ปุถุชฺชนา เสกฺขา จ วิปสฺสนูปเค ขนฺธาทโย ธเมฺม สกเล เอว สมฺมสนฺติ, น เตสํ เอกเทสํ, ตสฺมา เตสํ ปเทสวิหาโร น ลพฺภติ, อรหโตเยว ยถารุจิ ปเทสวิหาโร ลพฺภตีติ ทสฺสนวิสุทฺธิสาธกานิ ญาณานิ วตฺวา ตทนนฺตรํ อรหโต ทสฺสนวิสุทฺธิสิทฺธํ ปเทสวิหารญาณํ อุทฺทิฎฺฐํฯ ตตฺถ สโมทหเน ปญฺญาติ ขนฺธาทีนํ เอกเทสสฺส เวทนาธมฺมสฺส สโมทหนปญฺญา, สมฺปิณฺฑนปญฺญา ราสิกรณปญฺญาฯ สโมธาเน ปญฺญาติปิ ปาโฐ, โสเยว อโตฺถฯ

    43. Idāni yasmā puthujjanā sekkhā ca vipassanūpage khandhādayo dhamme sakale eva sammasanti, na tesaṃ ekadesaṃ, tasmā tesaṃ padesavihāro na labbhati, arahatoyeva yathāruci padesavihāro labbhatīti dassanavisuddhisādhakāni ñāṇāni vatvā tadanantaraṃ arahato dassanavisuddhisiddhaṃ padesavihārañāṇaṃ uddiṭṭhaṃ. Tattha samodahane paññāti khandhādīnaṃ ekadesassa vedanādhammassa samodahanapaññā, sampiṇḍanapaññā rāsikaraṇapaññā. Samodhāne paññātipi pāṭho, soyeva attho.

    ปเทสวิหาเร ญาณนฺติ ขนฺธาทีนํ ปเทเสน เอกเทเสน อวยเวน วิหาโร ปเทสวิหาโร, ตสฺมิํ ปเทสวิหาเร ญาณํฯ ตตฺถ ปเทโส นาม ขนฺธปเทโส อายตนธาตุสจฺจอินฺทฺริยปจฺจยาการสติปฎฺฐานฌานนามรูปธมฺมปเทโสติ นานาวิโธฯ เอวํ นานาวิโธ เจส เวทนา เอวฯ กถํ? ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ เวทนากฺขนฺธวเสน ขเนฺธกเทโส, ทฺวาทสนฺนํ อายตนานํ เวทนาวเสน ธมฺมายตเนกเทโส, อฎฺฐารสนฺนํ ธาตูนํ เวทนาวเสน ธมฺมธาเตกเทโส, จตุนฺนํ สจฺจานํ เวทนาวเสน ทุกฺขสเจฺจกเทโส, พาวีสติยา อินฺทฺริยานํ ปญฺจเวทนินฺทฺริยวเสน อินฺทฺริเยกเทโส, ทฺวาทสนฺนํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทงฺคานํ ผสฺสปจฺจยา เวทนาวเสน ปจฺจยากาเรกเทโส, จตุนฺนํ สติปฎฺฐานานํ เวทนานุปสฺสนาวเสน สติปฎฺฐาเนกเทโส, จตุนฺนํ ฌานานํ สุขอุเปกฺขาวเสน ฌาเนกเทโส, นามรูปานํ เวทนาวเสน นามรูเปกเทโส, กุสลาทีนํ สพฺพธมฺมานํ เวทนาวเสน ธเมฺมกเทโสติ เอวํ เวทนา เอว ขนฺธาทีนํ ปเทโส, ตสฺสา เวทนาย เอว ปจฺจเวกฺขณวเสน ปเทสวิหาโรฯ

    Padesavihāre ñāṇanti khandhādīnaṃ padesena ekadesena avayavena vihāro padesavihāro, tasmiṃ padesavihāre ñāṇaṃ. Tattha padeso nāma khandhapadeso āyatanadhātusaccaindriyapaccayākārasatipaṭṭhānajhānanāmarūpadhammapadesoti nānāvidho. Evaṃ nānāvidho cesa vedanā eva. Kathaṃ? Pañcannaṃ khandhānaṃ vedanākkhandhavasena khandhekadeso, dvādasannaṃ āyatanānaṃ vedanāvasena dhammāyatanekadeso, aṭṭhārasannaṃ dhātūnaṃ vedanāvasena dhammadhātekadeso, catunnaṃ saccānaṃ vedanāvasena dukkhasaccekadeso, bāvīsatiyā indriyānaṃ pañcavedanindriyavasena indriyekadeso, dvādasannaṃ paṭiccasamuppādaṅgānaṃ phassapaccayā vedanāvasena paccayākārekadeso, catunnaṃ satipaṭṭhānānaṃ vedanānupassanāvasena satipaṭṭhānekadeso, catunnaṃ jhānānaṃ sukhaupekkhāvasena jhānekadeso, nāmarūpānaṃ vedanāvasena nāmarūpekadeso, kusalādīnaṃ sabbadhammānaṃ vedanāvasena dhammekadesoti evaṃ vedanā eva khandhādīnaṃ padeso, tassā vedanāya eva paccavekkhaṇavasena padesavihāro.

    ๔๔. อิทานิ ยสฺมา สมาธิภาวนามยญาณาทีนิ ภาเวนฺตา ปุถุชฺชนา เสกฺขา จ เต เต ภาเวตพฺพภาวนาธเมฺม อธิปตี เชฎฺฐเก กตฺวา เตน เตน ปหาตเพฺพ ตปฺปจฺจนีเก นานาสภาเว ธเมฺม อเนกาทีนเว อาทีนวโต ปจฺจเวกฺขิตฺวา ตสฺส ตสฺส ภาวนาธมฺมสฺส วเสน จิตฺตํ ปติฎฺฐเปตฺวา เต เต ปจฺจนีกธเมฺม ปชหนฺติฯ ปชหนฺตา วิปสฺสนากาเล สพฺพสงฺขาเร สุญฺญโต ทิสฺวา ปจฺฉา สมุเจฺฉเทน ปชหนฺติ, ตถา ปชหนฺตา จ เอกาภิสมยวเสน สจฺจานิ ปฎิวิชฺฌนฺตา ปชหนฺติฯ ยถาวุเตฺตเหว อากาเรหิ สเพฺพปิ อริยา ยถาโยคํ ปฎิปชฺชนฺติ, ตสฺมา ปเทสวิหารญาณานนฺตรํ สญฺญาวิวฎฺฎญาณาทีนิ ฉ ญาณานิ ยถากฺกเมน อุทฺทิฎฺฐานิฯ ตตฺถ อธิปตตฺตา ปญฺญาติ เนกฺขมฺมาทีนํ อธิปติภาเวน เนกฺขมฺมาทีนิ อธิกานิ กตฺวา ตทธิกภาเวน ปวตฺตา ปญฺญาติ อโตฺถฯ สญฺญาวิวเฎฺฎ ญาณนฺติ สญฺญาย วิวฎฺฎนํ ปราวฎฺฎนํ ปรมฺมุขภาโวติ สญฺญาวิวโฎฺฎ, ยาย สญฺญาย เต เต ภาวนาธเมฺม อธิปติํ กโรติ, ตาย สญฺญาย เหตุภูตาย, กรณภูตาย วา ตโต ตโต กามจฺฉนฺทาทิโต วิวฎฺฎเน ญาณนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เอโตฺต วิวโฎฺฎติ อวุเตฺตปิ ยโต วิวฎฺฎติ, ตโต เอว วิวโฎฺฎติ คยฺหติ ยถา วิวฎฺฎนานุปสฺสนายฯ สา ปน สญฺญา สญฺชานนลกฺขณา, ตเทเวตนฺติ ปุน สญฺชานนปจฺจยนิมิตฺตกรณรสา ทารุอาทีสุ ตจฺฉกาทโย วิย, ยถาคหิตนิมิตฺตวเสน อภินิเวสกรณปจฺจุปฎฺฐานา หตฺถิทสฺสกอนฺธา วิย, อารมฺมเณ อโนคาฬฺหวุตฺติตาย อจิรฎฺฐานปจฺจุปฎฺฐานา วา วิชฺชุ วิย, ยถาอุปฎฺฐิตวิสยปทฎฺฐานา ติณปุริสเกสุ มิคโปตกานํ ปุริสาติ อุปฺปนฺนสญฺญา วิยฯ

    44. Idāni yasmā samādhibhāvanāmayañāṇādīni bhāventā puthujjanā sekkhā ca te te bhāvetabbabhāvanādhamme adhipatī jeṭṭhake katvā tena tena pahātabbe tappaccanīke nānāsabhāve dhamme anekādīnave ādīnavato paccavekkhitvā tassa tassa bhāvanādhammassa vasena cittaṃ patiṭṭhapetvā te te paccanīkadhamme pajahanti. Pajahantā vipassanākāle sabbasaṅkhāre suññato disvā pacchā samucchedena pajahanti, tathā pajahantā ca ekābhisamayavasena saccāni paṭivijjhantā pajahanti. Yathāvutteheva ākārehi sabbepi ariyā yathāyogaṃ paṭipajjanti, tasmā padesavihārañāṇānantaraṃ saññāvivaṭṭañāṇādīni cha ñāṇāni yathākkamena uddiṭṭhāni. Tattha adhipatattā paññāti nekkhammādīnaṃ adhipatibhāvena nekkhammādīni adhikāni katvā tadadhikabhāvena pavattā paññāti attho. Saññāvivaṭṭe ñāṇanti saññāya vivaṭṭanaṃ parāvaṭṭanaṃ parammukhabhāvoti saññāvivaṭṭo, yāya saññāya te te bhāvanādhamme adhipatiṃ karoti, tāya saññāya hetubhūtāya, karaṇabhūtāya vā tato tato kāmacchandādito vivaṭṭane ñāṇanti vuttaṃ hoti. Etto vivaṭṭoti avuttepi yato vivaṭṭati, tato eva vivaṭṭoti gayhati yathā vivaṭṭanānupassanāya. Sā pana saññā sañjānanalakkhaṇā, tadevetanti puna sañjānanapaccayanimittakaraṇarasā dāruādīsu tacchakādayo viya, yathāgahitanimittavasena abhinivesakaraṇapaccupaṭṭhānā hatthidassakaandhā viya, ārammaṇe anogāḷhavuttitāya aciraṭṭhānapaccupaṭṭhānā vā vijju viya, yathāupaṭṭhitavisayapadaṭṭhānā tiṇapurisakesu migapotakānaṃ purisāti uppannasaññā viya.

    ๔๕. นานเตฺต ปญฺญาติ นานาสภาเว ภาเวตพฺพโต อญฺญสภาเว กามจฺฉนฺทาทิเก อาทีนวทสฺสเนน ปวตฺตา ปญฺญาฯ นานเตฺตติ จ นิมิตฺตเตฺถ ภุมฺมวจนํฯ นานตฺตปฺปหานํ วา นานตฺตํ, นานตฺตปฺปหานนิมิตฺตํ นานตฺตปฺปหานเหตุ เนกฺขมฺมาทีสุ ปญฺญาติ อธิปฺปาโยฯ เจโตวิวเฎฺฎ ญาณนฺติ เจตโส กามจฺฉนฺทาทิโต วิวฎฺฎนํ เนกฺขมฺมาทีสุ ญาณํฯ เจโตติ เจตฺถ เจตนา อธิเปฺปตาฯ สา เจตนาภาวลกฺขณา, อภิสนฺทหนลกฺขณา วา, อายูหนรสา, สํวิทหนปจฺจุปฎฺฐานา สกิจฺจปรกิจฺจสาธกา เชฎฺฐสิสฺสมหาวฑฺฒกิอาทโย วิยฯ อจฺจายิกกมฺมานุสฺสรณาทีสุ จ ปนายํ สมฺปยุตฺตานํ อุสฺสาหนภาเวน ปากฎา โหติฯ

    45.Nānatte paññāti nānāsabhāve bhāvetabbato aññasabhāve kāmacchandādike ādīnavadassanena pavattā paññā. Nānatteti ca nimittatthe bhummavacanaṃ. Nānattappahānaṃ vā nānattaṃ, nānattappahānanimittaṃ nānattappahānahetu nekkhammādīsu paññāti adhippāyo. Cetovivaṭṭe ñāṇanti cetaso kāmacchandādito vivaṭṭanaṃ nekkhammādīsu ñāṇaṃ. Cetoti cettha cetanā adhippetā. Sā cetanābhāvalakkhaṇā, abhisandahanalakkhaṇā vā, āyūhanarasā, saṃvidahanapaccupaṭṭhānā sakiccaparakiccasādhakā jeṭṭhasissamahāvaḍḍhakiādayo viya. Accāyikakammānussaraṇādīsu ca panāyaṃ sampayuttānaṃ ussāhanabhāvena pākaṭā hoti.

    ๔๖. อธิฎฺฐาเน ปญฺญาติ เนกฺขมฺมาทิวเสน จิตฺตสฺส ปติฎฺฐาปเน ปญฺญาฯ จิตฺตวิวเฎฺฎ ญาณนฺติ กามจฺฉนฺทาทิปหานวเสน จิตฺตสฺส วิวฎฺฎเน ญาณํ ฯ จิตฺตเญฺจตฺถ วิชานนลกฺขณํ, ปุพฺพงฺคมรสํ, สนฺธานปจฺจุปฎฺฐานํ, นามรูปปทฎฺฐานํฯ

    46.Adhiṭṭhānepaññāti nekkhammādivasena cittassa patiṭṭhāpane paññā. Cittavivaṭṭe ñāṇanti kāmacchandādipahānavasena cittassa vivaṭṭane ñāṇaṃ . Cittañcettha vijānanalakkhaṇaṃ, pubbaṅgamarasaṃ, sandhānapaccupaṭṭhānaṃ, nāmarūpapadaṭṭhānaṃ.

    ๔๗. สุญฺญเต ปญฺญาติ อตฺตตฺตนิยสุญฺญตาย อนตฺตานตฺตนิเย ปวตฺตา อนตฺตานุปสฺสนา ปญฺญาฯ ญาณวิวเฎฺฎ ญาณนฺติ ญาณเมว อภินิเวสโต วิวฎฺฎตีติ วิวโฎฺฎ, ตํ ญาณวิวฎฺฎภูตํ ญาณํฯ

    47.Suññate paññāti attattaniyasuññatāya anattānattaniye pavattā anattānupassanā paññā. Ñāṇavivaṭṭe ñāṇanti ñāṇameva abhinivesato vivaṭṭatīti vivaṭṭo, taṃ ñāṇavivaṭṭabhūtaṃ ñāṇaṃ.

    ๔๘. โวสเคฺค ปญฺญาติ เอตฺถ โวสชฺชตีติ โวสโคฺค, กามจฺฉนฺทาทีนํ โวสโคฺค เนกฺขมฺมาทิมฺหิ ปญฺญาฯ วิโมกฺขวิวเฎฺฎ ญาณนฺติ กามจฺฉนฺทาทิเกหิ วิมุจฺจตีติ วิโมโกฺข, วิโมโกฺข เอว วิวโฎฺฎ วิโมกฺขวิวโฎฺฎ, โส เอว ญาณํฯ

    48.Vosagge paññāti ettha vosajjatīti vosaggo, kāmacchandādīnaṃ vosaggo nekkhammādimhi paññā. Vimokkhavivaṭṭe ñāṇanti kāmacchandādikehi vimuccatīti vimokkho, vimokkho eva vivaṭṭo vimokkhavivaṭṭo, so eva ñāṇaṃ.

    ๔๙. ตถเฎฺฐ ปญฺญาติ เอเกกสฺส สจฺจสฺส จตุพฺพิเธ จตุพฺพิเธ อวิปรีตสภาเว กิจฺจวเสน อสโมฺมหโต ปวตฺตา ปญฺญาฯ สจฺจวิวเฎฺฎ ญาณนฺติ จตูสุ สเจฺจสุ ทุภโต วุฎฺฐานวเสน วิวฎฺฎตีติ สจฺจวิวโฎฺฎ, โส เอว ญาณํฯ เอกเมว ญาณํ อธิปติกตธมฺมวเสน สญฺญาวิวโฎฺฎติ, ปหาตพฺพธมฺมวเสน เจโตวิวโฎฺฎติ, จิตฺตปติฎฺฐาปนวเสน จิตฺตวิวโฎฺฎติ, ปจฺจนีกปหานวเสน วิโมกฺขวิวโฎฺฎติ เอวํ จตุธา วุตฺตํฯ อนตฺตานุปสฺสนาว สุญฺญตาการวเสน ‘‘ญาณวิวเฎฺฎ ญาณ’’นฺติ วุตฺตาฯ มคฺคญาณเมว เหฎฺฐา ‘‘มเคฺค ญาณ’’นฺติ จ, ‘‘อานนฺตริกสมาธิมฺหิ ญาณ’’นฺติ จ ทฺวิธา วุตฺตํ, วิวฎฺฎนาการวเสน ‘‘สจฺจวิวเฎฺฎ ญาณ’’นฺติ วุตฺตํฯ

    49.Tathaṭṭhe paññāti ekekassa saccassa catubbidhe catubbidhe aviparītasabhāve kiccavasena asammohato pavattā paññā. Saccavivaṭṭe ñāṇanti catūsu saccesu dubhato vuṭṭhānavasena vivaṭṭatīti saccavivaṭṭo, so eva ñāṇaṃ. Ekameva ñāṇaṃ adhipatikatadhammavasena saññāvivaṭṭoti, pahātabbadhammavasena cetovivaṭṭoti, cittapatiṭṭhāpanavasena cittavivaṭṭoti, paccanīkapahānavasena vimokkhavivaṭṭoti evaṃ catudhā vuttaṃ. Anattānupassanāva suññatākāravasena ‘‘ñāṇavivaṭṭe ñāṇa’’nti vuttā. Maggañāṇameva heṭṭhā ‘‘magge ñāṇa’’nti ca, ‘‘ānantarikasamādhimhi ñāṇa’’nti ca dvidhā vuttaṃ, vivaṭṭanākāravasena ‘‘saccavivaṭṭe ñāṇa’’nti vuttaṃ.

    ๕๐. อิทานิ ตสฺส สจฺจวิวฎฺฎญาณวเสน ปวตฺตสฺส อาสวานํ ขเย ญาณสฺส วเสน ปวตฺตานิ กมโต ฉ อภิญฺญาญาณานิ อุทฺทิฎฺฐานิฯ ตตฺถาปิ โลกปากฎานุภาวตฺตา อติวิมฺหาปนนฺติ ปฐมํ อิทฺธิวิธญาณํ อุทฺทิฎฺฐํ, เจโตปริยญาณสฺส วิสยโต ทิพฺพโสตญาณํ โอฬาริกวิสยนฺติ ทุติยํ ทิพฺพโสตญาณํ อุทฺทิฎฺฐํ, สุขุมวิสยตฺตา ตติยํ เจโตปริยญาณํ อุทฺทิฎฺฐํฯ ตีสุ วิชฺชาสุ ปุเพฺพนิวาสจฺฉาทกาตีตตมวิโนทกตฺตา ปฐมํ ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณํ อุทฺทิฎฺฐํ, ปจฺจุปฺปนฺนานาคตตมวิโนทกตฺตา ทุติยํ ทิพฺพจกฺขุญาณํ อุทฺทิฎฺฐํ, สพฺพตมสมุเจฺฉทกตฺตา ตติยํ อาสวานํ ขเย ญาณํ อุทฺทิฎฺฐํฯ ตตฺถ กายมฺปีติ รูปกายมฺปิฯ จิตฺตมฺปีติ ปาทกชฺฌานจิตฺตมฺปิฯ เอกววตฺถานตาติ ปริกมฺมจิเตฺตน เอกโต ฐปนตาย จ ทิสฺสมานกาเยน, อทิสฺสมานกาเยน วา คนฺตุกามกาเล ยถาโยคํ กายสฺสปิ จิตฺตสฺสปิ มิสฺสีกรณตาย จาติ วุตฺตํ โหติฯ กาโยติ เจตฺถ สรีรํฯ สรีรญฺหิ อสุจิสญฺจยโต กุจฺฉิตานํ เกสาทีนเญฺจว จกฺขุโรคาทีนํ โรคสตานญฺจ อายภูตโต กาโยติ วุจฺจติฯ สุขสญฺญญฺจ ลหุสญฺญญฺจาติ เอตฺถ จตุตฺถชฺฌานสมฺปยุตฺตํ เอกํเยว สญฺญํ อาการนานตฺตโต ทฺวิธา กตฺวา สมุจฺจยโตฺถ จ-สโทฺท ปยุโตฺตฯ จตุตฺถชฺฌานสฺมิญฺหิ อุเปกฺขา สนฺตตฺตา สุขนฺติ วุตฺตา, ตํสมฺปยุตฺตา สญฺญา สุขสญฺญาฯ สาเยว นีวรเณหิ เจว วิตกฺกาทิปจฺจนีเกหิ จ วิมุตฺตตฺตา ลหุสญฺญาฯ อธิฎฺฐานวเสนาติ อธิกํ กตฺวา ฐานวเสน, ปวิสนวเสนาติ อธิปฺปาโยฯ อธิฎฺฐานวเสน จาติ จ-สโทฺท สมฺพนฺธิตโพฺพฯ เอตฺตาวตา สพฺพปฺปการสฺส อิทฺธิวิธสฺส ยถาโยคํ การณํ วุตฺตํฯ

    50. Idāni tassa saccavivaṭṭañāṇavasena pavattassa āsavānaṃ khaye ñāṇassa vasena pavattāni kamato cha abhiññāñāṇāni uddiṭṭhāni. Tatthāpi lokapākaṭānubhāvattā ativimhāpananti paṭhamaṃ iddhividhañāṇaṃ uddiṭṭhaṃ, cetopariyañāṇassa visayato dibbasotañāṇaṃ oḷārikavisayanti dutiyaṃ dibbasotañāṇaṃ uddiṭṭhaṃ, sukhumavisayattā tatiyaṃ cetopariyañāṇaṃ uddiṭṭhaṃ. Tīsu vijjāsu pubbenivāsacchādakātītatamavinodakattā paṭhamaṃ pubbenivāsānussatiñāṇaṃ uddiṭṭhaṃ, paccuppannānāgatatamavinodakattā dutiyaṃ dibbacakkhuñāṇaṃ uddiṭṭhaṃ, sabbatamasamucchedakattā tatiyaṃ āsavānaṃ khaye ñāṇaṃ uddiṭṭhaṃ. Tattha kāyampīti rūpakāyampi. Cittampīti pādakajjhānacittampi. Ekavavatthānatāti parikammacittena ekato ṭhapanatāya ca dissamānakāyena, adissamānakāyena vā gantukāmakāle yathāyogaṃ kāyassapi cittassapi missīkaraṇatāya cāti vuttaṃ hoti. Kāyoti cettha sarīraṃ. Sarīrañhi asucisañcayato kucchitānaṃ kesādīnañceva cakkhurogādīnaṃ rogasatānañca āyabhūtato kāyoti vuccati. Sukhasaññañca lahusaññañcāti ettha catutthajjhānasampayuttaṃ ekaṃyeva saññaṃ ākāranānattato dvidhā katvā samuccayattho ca-saddo payutto. Catutthajjhānasmiñhi upekkhā santattā sukhanti vuttā, taṃsampayuttā saññā sukhasaññā. Sāyeva nīvaraṇehi ceva vitakkādipaccanīkehi ca vimuttattā lahusaññā. Adhiṭṭhānavasenāti adhikaṃ katvā ṭhānavasena, pavisanavasenāti adhippāyo. Adhiṭṭhānavasena cāti ca-saddo sambandhitabbo. Ettāvatā sabbappakārassa iddhividhassa yathāyogaṃ kāraṇaṃ vuttaṃ.

    อิชฺฌนเฎฺฐ ปญฺญาติ อิชฺฌนสภาเว ปญฺญาฯ อิทฺธิวิเธ ญาณนฺติ อิชฺฌนเฎฺฐน อิทฺธิ, นิปฺผตฺติอเตฺถน ปฎิลาภเฎฺฐน จาติ วุตฺตํ โหติฯ ยญฺหิ นิปฺผชฺชติ ปฎิลพฺภติ จ, ตํ อิชฺฌตีติ วุจฺจติฯ ยถาห – ‘‘กามํ กามยมานสฺส, ตสฺส เจตํ สมิชฺฌตี’’ติ (สุ. นิ. ๗๗๒)ฯ ตถา ‘‘เนกฺขมฺมํ อิชฺฌตีติ อิทฺธิ, ปฎิหรตีติ ปาฎิหาริยํ, อรหตฺตมโคฺค อิชฺฌตีติ อิทฺธิ, ปฎิหรตีติ ปาฎิหาริย’’นฺติ (ปฎิ. ม. ๓.๓๒)ฯ อปโร นโย – อิชฺฌนเฎฺฐน อิทฺธิ, อุปายสมฺปทาเยตํ อธิวจนํฯ อุปายสมฺปทา หิ อิชฺฌติ อธิเปฺปตผลปฺปสวนโตฯ ยถาห – ‘‘อยํ โข จิโตฺต คหปติ สีลวา กลฺยาณธโมฺม, สเจ ปณิทหิสฺสติ, อนาคตมทฺธานํ ราชา อสฺสํ จกฺกวตฺตีติฯ อิชฺฌิสฺสติ หิ สีลวโต เจโตปณิธิ วิสุทฺธตฺตา’’ติ (สํ. นิ. ๔.๓๕๒)ฯ อปโร นโย – เอตาย สตฺตา อิชฺฌนฺตีติ อิทฺธิ, อิชฺฌนฺตีติ อิทฺธา วุทฺธา อุกฺกํสคตา โหนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ อิทฺธิ เอว วิธํ อิทฺธิวิธํ, อิทฺธิโกฎฺฐาโส อิทฺธิวิกโปฺปติ อโตฺถฯ ตํ อิทฺธิวิธํ ญาณนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    Ijjhanaṭṭhe paññāti ijjhanasabhāve paññā. Iddhividhe ñāṇanti ijjhanaṭṭhena iddhi, nipphattiatthena paṭilābhaṭṭhena cāti vuttaṃ hoti. Yañhi nipphajjati paṭilabbhati ca, taṃ ijjhatīti vuccati. Yathāha – ‘‘kāmaṃ kāmayamānassa, tassa cetaṃ samijjhatī’’ti (su. ni. 772). Tathā ‘‘nekkhammaṃ ijjhatīti iddhi, paṭiharatīti pāṭihāriyaṃ, arahattamaggo ijjhatīti iddhi, paṭiharatīti pāṭihāriya’’nti (paṭi. ma. 3.32). Aparo nayo – ijjhanaṭṭhena iddhi, upāyasampadāyetaṃ adhivacanaṃ. Upāyasampadā hi ijjhati adhippetaphalappasavanato. Yathāha – ‘‘ayaṃ kho citto gahapati sīlavā kalyāṇadhammo, sace paṇidahissati, anāgatamaddhānaṃ rājā assaṃ cakkavattīti. Ijjhissati hi sīlavato cetopaṇidhi visuddhattā’’ti (saṃ. ni. 4.352). Aparo nayo – etāya sattā ijjhantīti iddhi, ijjhantīti iddhā vuddhā ukkaṃsagatā hontīti vuttaṃ hoti. Iddhi eva vidhaṃ iddhividhaṃ, iddhikoṭṭhāso iddhivikappoti attho. Taṃ iddhividhaṃ ñāṇanti vuttaṃ hoti.

    ๕๑. วิตกฺกวิปฺผารวเสนาติ ทิพฺพโสตธาตุอุปฺปาทนตฺถํ ปริกมฺมกรณกาเล สทฺทนิมิเตฺตสุ อตฺตโน วิตกฺกวิปฺผารวเสน วิตกฺกเวควเสนฯ วิตโกฺกติ เจตฺถ วิตเกฺกตีติ วิตโกฺก, วิตกฺกนํ วา วิตโกฺก, อูหนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ สฺวายํ อารมฺมเณ จิตฺตสฺส อภินิโรปนลกฺขโณ, อาหนนปริยาหนนรโส ฯ ตถา หิ เตน โยคาวจโร อารมฺมณํ วิตกฺกาหตํ วิตกฺกปริยาหตํ กโรตีติ วุจฺจติฯ อารมฺมเณ จิตฺตสฺส อานยนปจฺจุปฎฺฐาโน, ตชฺชาสมนฺนาหาเรน ปน อินฺทฺริเยน จ ปริกฺขิเตฺต วิสเย อนนฺตราเยน อุปฺปชฺชนโต อาปาถคตวิสยปทฎฺฐาโนติ วุจฺจติฯ นานเตฺตกตฺตสทฺทนิมิตฺตานนฺติ นานาสภาวานํ เอกสภาวานญฺจ สทฺทนิมิตฺตานํฯ สทฺทา เอว เจตฺถ วิตกฺกุปฺปตฺติการณตฺตา สงฺขารนิมิตฺตตฺตา จ นิมิตฺตานิฯ เภริสทฺทาทิวเสน เอกคฺฆนีภูตา, อเนกา วา สทฺทา, นานาทิสาสุ วา สทฺทา, นานาสตฺตานํ วา สทฺทา นานตฺตสทฺทา, เอกทิสาย สทฺทา, เอกสตฺตสฺส วา สทฺทา, เภริสทฺทาทิวเสน เอเกกสทฺทา วา เอกตฺตสทฺทาฯ สโทฺทติ เจตฺถ สปฺปตีติ สโทฺท, กถียตีติ อโตฺถฯ ปริโยคาหเณ ปญฺญาติ ปวิสนปญฺญา, ปชานนปญฺญาติ อโตฺถฯ โสตธาตุวิสุทฺธิญาณนฺติ สวนเฎฺฐน จ นิชฺชีวเฎฺฐน จ โสตธาตุ, โสตธาตุกิจฺจกรณวเสน จ โสตธาตุ วิยาติปิ โสตธาตุ, ปริสุทฺธตฺตา นิรุปกฺกิเลสตฺตา วิสุทฺธิ, โสตธาตุ เอว วิสุทฺธิ โสตธาตุวิสุทฺธิ, โสตธาตุวิสุทฺธิ เอว ญาณํ โสตธาตุวิสุทฺธิญาณํฯ

    51.Vitakkavipphāravasenāti dibbasotadhātuuppādanatthaṃ parikammakaraṇakāle saddanimittesu attano vitakkavipphāravasena vitakkavegavasena. Vitakkoti cettha vitakketīti vitakko, vitakkanaṃ vā vitakko, ūhananti vuttaṃ hoti. Svāyaṃ ārammaṇe cittassa abhiniropanalakkhaṇo, āhananapariyāhananaraso . Tathā hi tena yogāvacaro ārammaṇaṃ vitakkāhataṃ vitakkapariyāhataṃ karotīti vuccati. Ārammaṇe cittassa ānayanapaccupaṭṭhāno, tajjāsamannāhārena pana indriyena ca parikkhitte visaye anantarāyena uppajjanato āpāthagatavisayapadaṭṭhānoti vuccati. Nānattekattasaddanimittānanti nānāsabhāvānaṃ ekasabhāvānañca saddanimittānaṃ. Saddā eva cettha vitakkuppattikāraṇattā saṅkhāranimittattā ca nimittāni. Bherisaddādivasena ekagghanībhūtā, anekā vā saddā, nānādisāsu vā saddā, nānāsattānaṃ vā saddā nānattasaddā, ekadisāya saddā, ekasattassa vā saddā, bherisaddādivasena ekekasaddā vā ekattasaddā. Saddoti cettha sappatīti saddo, kathīyatīti attho. Pariyogāhaṇe paññāti pavisanapaññā, pajānanapaññāti attho. Sotadhātuvisuddhiñāṇanti savanaṭṭhena ca nijjīvaṭṭhena ca sotadhātu, sotadhātukiccakaraṇavasena ca sotadhātu viyātipi sotadhātu, parisuddhattā nirupakkilesattā visuddhi, sotadhātu eva visuddhi sotadhātuvisuddhi, sotadhātuvisuddhi eva ñāṇaṃ sotadhātuvisuddhiñāṇaṃ.

    ๕๒. ติณฺณนฺนํ จิตฺตานนฺติ โสมนสฺสสหคตโทมนสฺสสหคตอุเปกฺขาสหคตวเสน ติณฺณนฺนํ จิตฺตานํฯ วิปฺผารตฺตาติ วิปฺผารภาเวน เวเคนาติ อโตฺถฯ เหตุอเตฺถ นิสฺสกฺกวจนํ, เจโตปริยญาณุปฺปาทนตฺถํ ปริกมฺมกรณกาเล ปเรสํ ติณฺณนฺนํ จิตฺตานํ วิปฺผารเหตุนาฯ อินฺทฺริยานํ ปสาทวเสนาติ จกฺขาทีนํ ฉนฺนํ อินฺทฺริยานํ ปสาทวเสน, อินฺทฺริยานํ ปติฎฺฐิโตกาสา เจตฺถ ผลูปจาเรน อินฺทฺริยานนฺติ วุตฺตา ยถา ‘‘วิปฺปสนฺนานิ โข เต, อาวุโส, อินฺทฺริยานิ ปริสุโทฺธ ฉวิวโณฺณ ปริโยทาโต’’ติ (มหาว. ๖๐)ฯ อินฺทฺริยปติฎฺฐิโตกาเสสุปิ หทยวตฺถุ เอว อิธาธิเปฺปตํฯ ปสาทวเสนาติ จ อนาวิลภาววเสนฯ ‘‘ปสาทปฺปสาทวเสนา’’ติ วตฺตเพฺพ อปฺปสาทสทฺทสฺส โลโป กโตติ เวทิตพฺพํฯ อถ วา อิทมปฺปสนฺนนฺติ คหณสฺส ปสาทมเปกฺขิตฺวา เอว สมฺภวโต ‘‘ปสาทวเสนา’’ติ วจเนเนว อปฺปสาโทปิ วุโตฺตว โหตีติ เวทิตพฺพํฯ นานเตฺตกตฺตวิญฺญาณจริยา ปริโยคาหเณ ปญฺญาติ ยถาสมฺภวํ นานาสภาวเอกสภาวเอกูนนวุติวิญฺญาณปวตฺติวิชานนปญฺญาฯ เอตฺถ อสมาหิตสฺส วิญฺญาณจริยา นานตฺตา, สมาหิตสฺส วิญฺญาณจริยา เอกตฺตาฯ สราคาทิจิตฺตํ วา นานตฺตํ, วีตราคาทิจิตฺตํ เอกตฺตํฯ เจโตปริยญาณนฺติ เอตฺถ ปริยาตีติ ปริยํ, ปริจฺฉินฺทตีติ อโตฺถฯ เจตโส ปริยํ เจโตปริยํ, เจโตปริยญฺจ ตํ ญาณญฺจาติ เจโตปริยญาณํฯ วิปฺผารตาติปิ ปาโฐ, วิปฺผารตายาติ อโตฺถฯ

    52.Tiṇṇannaṃ cittānanti somanassasahagatadomanassasahagataupekkhāsahagatavasena tiṇṇannaṃ cittānaṃ. Vipphārattāti vipphārabhāvena vegenāti attho. Hetuatthe nissakkavacanaṃ, cetopariyañāṇuppādanatthaṃ parikammakaraṇakāle paresaṃ tiṇṇannaṃ cittānaṃ vipphārahetunā. Indriyānaṃ pasādavasenāti cakkhādīnaṃ channaṃ indriyānaṃ pasādavasena, indriyānaṃ patiṭṭhitokāsā cettha phalūpacārena indriyānanti vuttā yathā ‘‘vippasannāni kho te, āvuso, indriyāni parisuddho chavivaṇṇo pariyodāto’’ti (mahāva. 60). Indriyapatiṭṭhitokāsesupi hadayavatthu eva idhādhippetaṃ. Pasādavasenāti ca anāvilabhāvavasena. ‘‘Pasādappasādavasenā’’ti vattabbe appasādasaddassa lopo katoti veditabbaṃ. Atha vā idamappasannanti gahaṇassa pasādamapekkhitvā eva sambhavato ‘‘pasādavasenā’’ti vacaneneva appasādopi vuttova hotīti veditabbaṃ. Nānattekattaviññāṇacariyā pariyogāhaṇe paññāti yathāsambhavaṃ nānāsabhāvaekasabhāvaekūnanavutiviññāṇapavattivijānanapaññā. Ettha asamāhitassa viññāṇacariyā nānattā, samāhitassa viññāṇacariyā ekattā. Sarāgādicittaṃ vā nānattaṃ, vītarāgādicittaṃ ekattaṃ. Cetopariyañāṇanti ettha pariyātīti pariyaṃ, paricchindatīti attho. Cetaso pariyaṃ cetopariyaṃ, cetopariyañca taṃ ñāṇañcāti cetopariyañāṇaṃ. Vipphāratātipi pāṭho, vipphāratāyāti attho.

    ๕๓. ปจฺจยปฺปวตฺตานํ ธมฺมานนฺติ ปฎิจฺจสมุปฺปาทวเสน ปจฺจยโต ปวตฺตานํ ปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมานํฯ นานเตฺตกตฺตกมฺมวิปฺผารวเสนาติ เอตฺถ อกุสลํ กมฺมํ นานตฺตํ, กุสลํ กมฺมํ เอกตฺตํฯ กามาวจรํ วา กมฺมํ นานตฺตํ, รูปาวจรารูปาวจรํ กมฺมํ เอกตฺตํฯ นานเตฺตกตฺตกมฺมวิปฺผารวเสน ปจฺจยปวตฺตานํ ธมฺมานํ ปริโยคาหเณ ปญฺญาติ สมฺพโนฺธฯ ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณนฺติ ปุเพฺพ อตีตชาตีสุ นิวุตฺถขนฺธา ปุเพฺพนิวาโสฯ นิวุตฺถาติ อชฺฌาวุตฺถา อนุภูตา อตฺตโน สนฺตาเน อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุทฺธาฯ ปุเพฺพ อตีตชาตีสุ นิวุตฺถธมฺมา วา ปุเพฺพนิวาโสฯ นิวุตฺถาติ โคจรนิวาเสน นิวุตฺถา อตฺตโน วิญฺญาเณน วิญฺญาตา ปริจฺฉินฺนา, ปรวิญฺญาเณน วิญฺญาตาปิ วาฯ ฉินฺนวฎุมกานุสฺสรณาทีสุ เต พุทฺธานํเยว ลพฺภนฺติ ฯ ปุเพฺพนิวาสานุสฺสตีติ ยาย สติยา ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติ, สา ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติ, ญาณนฺติ ตาย สติยา สมฺปยุตฺตํ ญาณํฯ

    53.Paccayappavattānaṃ dhammānanti paṭiccasamuppādavasena paccayato pavattānaṃ paccayuppannadhammānaṃ. Nānattekattakammavipphāravasenāti ettha akusalaṃ kammaṃ nānattaṃ, kusalaṃ kammaṃ ekattaṃ. Kāmāvacaraṃ vā kammaṃ nānattaṃ, rūpāvacarārūpāvacaraṃ kammaṃ ekattaṃ. Nānattekattakammavipphāravasena paccayapavattānaṃ dhammānaṃ pariyogāhaṇe paññāti sambandho. Pubbenivāsānussatiñāṇanti pubbe atītajātīsu nivutthakhandhā pubbenivāso. Nivutthāti ajjhāvutthā anubhūtā attano santāne uppajjitvā niruddhā. Pubbe atītajātīsu nivutthadhammā vā pubbenivāso. Nivutthāti gocaranivāsena nivutthā attano viññāṇena viññātā paricchinnā, paraviññāṇena viññātāpi vā. Chinnavaṭumakānussaraṇādīsu te buddhānaṃyeva labbhanti . Pubbenivāsānussatīti yāya satiyā pubbenivāsaṃ anussarati, sā pubbenivāsānussati, ñāṇanti tāya satiyā sampayuttaṃ ñāṇaṃ.

    ๕๔. โอภาสวเสนาติ ทิเพฺพน จกฺขุนา รูปทสฺสนตฺถํ ปสาริตสฺส เตโชกสิณโอทาตกสิณอาโลกกสิณานํ อญฺญตรสฺส จตุตฺถชฺฌานารมฺมณสฺส กสิโณภาสสฺส วเสนฯ นานเตฺตกตฺตรูปนิมิตฺตานนฺติ นานาสตฺตานํ รูปานิ, นานตฺตกายํ อุปปนฺนานํ วา สตฺตานํ รูปานิ, นานาทิสาสุ วา รูปานิ, อสมฺมิสฺสานิ วา รูปานิ นานตฺตรูปานิ, เอกสตฺตสฺส รูปานิ, เอกตฺตกายํ อุปปนฺนสฺส วา รูปานิ, เอกทิสาย วา รูปานิ, นานาทิสาทีนํ สมฺมิสฺสีภูตานิ วา รูปานิ เอกตฺตรูปานิฯ รูปนฺติ เจตฺถ วณฺณายตนเมวฯ ตญฺหิ รูปยตีติ รูปํ, วณฺณวิการํ อาปชฺชมานํ หทยงฺคตภาวํ ปกาเสตีติ อโตฺถฯ รูปเมว รูปนิมิตฺตํฯ เตสํ นานเตฺตกตฺตรูปนิมิตฺตานํฯ ทสฺสนเฎฺฐ ปญฺญาติ ทสฺสนสภาเว ปญฺญาฯ

    54.Obhāsavasenāti dibbena cakkhunā rūpadassanatthaṃ pasāritassa tejokasiṇaodātakasiṇaālokakasiṇānaṃ aññatarassa catutthajjhānārammaṇassa kasiṇobhāsassa vasena. Nānattekattarūpanimittānanti nānāsattānaṃ rūpāni, nānattakāyaṃ upapannānaṃ vā sattānaṃ rūpāni, nānādisāsu vā rūpāni, asammissāni vā rūpāni nānattarūpāni, ekasattassa rūpāni, ekattakāyaṃ upapannassa vā rūpāni, ekadisāya vā rūpāni, nānādisādīnaṃ sammissībhūtāni vā rūpāni ekattarūpāni. Rūpanti cettha vaṇṇāyatanameva. Tañhi rūpayatīti rūpaṃ, vaṇṇavikāraṃ āpajjamānaṃ hadayaṅgatabhāvaṃ pakāsetīti attho. Rūpameva rūpanimittaṃ. Tesaṃ nānattekattarūpanimittānaṃ. Dassanaṭṭhe paññāti dassanasabhāve paññā.

    ทิพฺพจกฺขุญาณนฺติ ทิพฺพสทิสตฺตา ทิพฺพํฯ เทวานญฺหิ สุจริตกมฺมนิพฺพตฺตํ ปิตฺตเสมฺหรุหิราทีหิ อปลิพุทฺธํ อุปกฺกิเลสวิมุตฺตตาย ทูเรปิ อารมฺมณสมฺปฎิจฺฉนสมตฺถํ ทิพฺพํ ปสาทจกฺขุ โหติฯ อิทญฺจาปิ วีริยภาวนาพลนิพฺพตฺตํ ญาณจกฺขุ ตาทิสเมวาติ ทิพฺพสทิสตฺตา ทิพฺพํ, ทิพฺพวิหารวเสน ปฎิลทฺธตฺตา อตฺตนา ทิพฺพวิหารสนฺนิสฺสิตตฺตาปิ ทิพฺพํ, อาโลกปริคฺคเหน มหาชุติกตฺตาปิ ทิพฺพํ, ติโรกุฎฺฎาทิคตรูปทสฺสเนน มหาคติกตฺตาปิ ทิพฺพํฯ ตํ สพฺพํ สทฺทสตฺถานุสาเรน เวทิตพฺพํฯ ทสฺสนเฎฺฐน จกฺขุ, จกฺขุกิจฺจกรเณน จกฺขุมิวาติปิ จกฺขุ, ทิพฺพญฺจ ตํ จกฺขุ จาติ ทิพฺพจกฺขุ, ทิพฺพจกฺขุ จ ตํ ญาณญฺจาติ ทิพฺพจกฺขุญาณํฯ

    Dibbacakkhuñāṇanti dibbasadisattā dibbaṃ. Devānañhi sucaritakammanibbattaṃ pittasemharuhirādīhi apalibuddhaṃ upakkilesavimuttatāya dūrepi ārammaṇasampaṭicchanasamatthaṃ dibbaṃ pasādacakkhu hoti. Idañcāpi vīriyabhāvanābalanibbattaṃ ñāṇacakkhu tādisamevāti dibbasadisattā dibbaṃ, dibbavihāravasena paṭiladdhattā attanā dibbavihārasannissitattāpi dibbaṃ, ālokapariggahena mahājutikattāpi dibbaṃ, tirokuṭṭādigatarūpadassanena mahāgatikattāpi dibbaṃ. Taṃ sabbaṃ saddasatthānusārena veditabbaṃ. Dassanaṭṭhena cakkhu, cakkhukiccakaraṇena cakkhumivātipi cakkhu, dibbañca taṃ cakkhu cāti dibbacakkhu, dibbacakkhu ca taṃ ñāṇañcāti dibbacakkhuñāṇaṃ.

    ๕๕. จตุสฎฺฐิยา อากาเรหีติ อฎฺฐสุ มคฺคผเลสุ เอเกกสฺมิํ อฎฺฐนฺนํ อฎฺฐนฺนํ อินฺทฺริยานํ วเสน จตุสฎฺฐิยา อากาเรหิฯ ติณฺณนฺนํ อินฺทฺริยานนฺติ อนญฺญาตญฺญสฺสามีตินฺทฺริยํ อญฺญินฺทฺริยํ อญฺญาตาวินฺทฺริยนฺติ, อิเมสํ ติณฺณนฺนํ อินฺทฺริยานํฯ วสิภาวตา ปญฺญาติ วสิภาวตาย ปวตฺตา ปญฺญา, อรหตฺตผเล อฎฺฐนฺนํ อินฺทฺริยานํ วเสน อฎฺฐหิ อากาเรหิ อญฺญาตาวินฺทฺริยเสฺสว วสิภาวตาย อรหตฺตมคฺคกฺขเณ อภาเวปิ การณสิทฺธิวเสน ตทตฺถสาธนตาย วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อาสวานํ ขเย ญาณนฺติ อตฺตนา วชฺฌานํ อาสวานํ ขยกรํ อรหตฺตมคฺคญาณํฯ

    55.Catusaṭṭhiyā ākārehīti aṭṭhasu maggaphalesu ekekasmiṃ aṭṭhannaṃ aṭṭhannaṃ indriyānaṃ vasena catusaṭṭhiyā ākārehi. Tiṇṇannaṃ indriyānanti anaññātaññassāmītindriyaṃ aññindriyaṃ aññātāvindriyanti, imesaṃ tiṇṇannaṃ indriyānaṃ. Vasibhāvatā paññāti vasibhāvatāya pavattā paññā, arahattaphale aṭṭhannaṃ indriyānaṃ vasena aṭṭhahi ākārehi aññātāvindriyasseva vasibhāvatāya arahattamaggakkhaṇe abhāvepi kāraṇasiddhivasena tadatthasādhanatāya vuttanti veditabbaṃ. Āsavānaṃ khaye ñāṇanti attanā vajjhānaṃ āsavānaṃ khayakaraṃ arahattamaggañāṇaṃ.

    ๕๖-๕๙. อิทานิ อาสวานํ ขยญาณสงฺขาตอรหตฺตมคฺคญาณสมฺพเนฺธ จตุนฺนมฺปิ มคฺคญาณานํ เอเกกสฺส มคฺคญาณสฺส เอกาภิสมยตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปริญฺญเฎฺฐ ปญฺญา’’ติอาทีนิ จตฺตาริ ญาณานิ อุทฺทิฎฺฐานิฯ ตตฺถาปิ โอฬาริกตฺตา สพฺพสตฺตสาธารณตฺตา จ สุวิเญฺญยฺยนฺติ ทุกฺขสจฺจํ ปฐมํ วุตฺตํ, ตเสฺสว เหตุทสฺสนตฺถํ ตทนนฺตรํ สมุทยสจฺจํ, เหตุนิโรธา ผลนิโรโธติ ญาปนตฺถํ ตทนนฺตรํ นิโรธสจฺจํ, ตทธิคมูปายทสฺสนตฺถํ อเนฺต มคฺคสจฺจํฯ ภวสุขสฺสาทคธิตานํ วา สตฺตานํ สํเวคชนนตฺถํ ปฐมํ ทุกฺขมาห, ตํ เนว อกตํ อาคจฺฉติ, น อิสฺสรนิมฺมานาทิโต โหติ, อิโต ปน โหตีติ ญาปนตฺถํ ตทนนฺตรํ สมุทยสจฺจํ, ตโต สเหตุเกน ทุเกฺขน อภิภูตตฺตา สํวิคฺคมานสานํ ทุกฺขนิสฺสรณคเวสีนํ นิสฺสรณทสฺสเนน อสฺสาสชนนตฺถํ นิโรธํ, ตโต นิโรธาธิคมตฺถํ นิโรธสมฺปาปกํ มคฺคนฺติฯ อิทานิ ตพฺพิสยานิ ญาณานิ เตเนว กเมน อุทฺทิฎฺฐานิฯ ตตฺถ ปริญฺญเฎฺฐติ ทุกฺขสฺส ปีฬนฎฺฐาทิเก จตุพฺพิเธ ปริชานิตพฺพสภาเวฯ ปหานเฎฺฐติ สมุทยสฺส อายูหนฎฺฐาทิเก จตุพฺพิเธ ปหาตพฺพสภาเวฯ สจฺฉิกิริยเฎฺฐติ นิโรธสฺส นิสฺสรณฎฺฐาทิเก จตุพฺพิเธ สจฺฉิกาตพฺพสภาเวฯ ภาวนเฎฺฐติ มคฺคสฺส นิยฺยานฎฺฐาทิเก จตุพฺพิเธ ภาเวตพฺพสภาเวฯ

    56-59. Idāni āsavānaṃ khayañāṇasaṅkhātaarahattamaggañāṇasambandhe catunnampi maggañāṇānaṃ ekekassa maggañāṇassa ekābhisamayataṃ dassetuṃ ‘‘pariññaṭṭhe paññā’’tiādīni cattāri ñāṇāni uddiṭṭhāni. Tatthāpi oḷārikattā sabbasattasādhāraṇattā ca suviññeyyanti dukkhasaccaṃ paṭhamaṃ vuttaṃ, tasseva hetudassanatthaṃ tadanantaraṃ samudayasaccaṃ, hetunirodhā phalanirodhoti ñāpanatthaṃ tadanantaraṃ nirodhasaccaṃ, tadadhigamūpāyadassanatthaṃ ante maggasaccaṃ. Bhavasukhassādagadhitānaṃ vā sattānaṃ saṃvegajananatthaṃ paṭhamaṃ dukkhamāha, taṃ neva akataṃ āgacchati, na issaranimmānādito hoti, ito pana hotīti ñāpanatthaṃ tadanantaraṃ samudayasaccaṃ, tato sahetukena dukkhena abhibhūtattā saṃviggamānasānaṃ dukkhanissaraṇagavesīnaṃ nissaraṇadassanena assāsajananatthaṃ nirodhaṃ, tato nirodhādhigamatthaṃ nirodhasampāpakaṃ magganti. Idāni tabbisayāni ñāṇāni teneva kamena uddiṭṭhāni. Tattha pariññaṭṭheti dukkhassa pīḷanaṭṭhādike catubbidhe parijānitabbasabhāve. Pahānaṭṭheti samudayassa āyūhanaṭṭhādike catubbidhe pahātabbasabhāve. Sacchikiriyaṭṭheti nirodhassa nissaraṇaṭṭhādike catubbidhe sacchikātabbasabhāve. Bhāvanaṭṭheti maggassa niyyānaṭṭhādike catubbidhe bhāvetabbasabhāve.

    ๖๐-๖๓. อิทานิ ภาวิตมคฺคสฺส ปจฺจเวกฺขณวเสน วา อภาวิตมคฺคสฺส อนุสฺสววเสน วา วิสุํ วิสุํ สจฺจญาณานิ ทเสฺสตุํ ทุเกฺข ญาณาทีนิ จตฺตาริ ญาณานิ อุทฺทิฎฺฐานิฯ ตตฺถ ทุเกฺขติ เอตฺถ ทุ-อิติ อยํ สโทฺท กุจฺฉิเต ทิสฺสติฯ กุจฺฉิตญฺหิ ปุตฺตํ ทุปุโตฺตติ วทนฺติฯ ขํ-สโทฺท ปน ตุเจฺฉฯ ตุจฺฉญฺหิ อากาสํ ‘ข’นฺติ วุจฺจติฯ อิทญฺจ ปฐมสจฺจํ กุจฺฉิตํ อเนกุปทฺทวาธิฎฺฐานโต, ตุจฺฉํ พาลชนปริกปฺปิตธุวสุภสุขตฺตภาววิรหิตโตฯ ตสฺมา กุจฺฉิตตฺตา ตุจฺฉตฺตา จ ‘‘ทุกฺข’’นฺติ วุจฺจติฯ

    60-63. Idāni bhāvitamaggassa paccavekkhaṇavasena vā abhāvitamaggassa anussavavasena vā visuṃ visuṃ saccañāṇāni dassetuṃ dukkhe ñāṇādīni cattāri ñāṇāni uddiṭṭhāni. Tattha dukkheti ettha du-iti ayaṃ saddo kucchite dissati. Kucchitañhi puttaṃ duputtoti vadanti. Khaṃ-saddo pana tucche. Tucchañhi ākāsaṃ ‘kha’nti vuccati. Idañca paṭhamasaccaṃ kucchitaṃ anekupaddavādhiṭṭhānato, tucchaṃ bālajanaparikappitadhuvasubhasukhattabhāvavirahitato. Tasmā kucchitattā tucchattā ca ‘‘dukkha’’nti vuccati.

    ทุกฺขสมุทเยติ เอตฺถ สํ-อิติ อยํ สโทฺท ‘‘สมาคโม สเมต’’นฺติอาทีสุ (วิภ. ๑๙๙; ที. นิ. ๒.๓๙๖) วิย สํโยคํ ทีเปติฯ อุ-อิติ อยํ สโทฺท ‘‘อุปฺปนฺนํ อุทิต’’นฺติอาทีสุ (ปารา. ๑๗๒; จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๔๑) วิย อุปฺปตฺติํฯ อย-สโทฺท ปน การณํ ทีเปติฯ อิทญฺจาปิ ทุติยสจฺจํ อวเสสปจฺจยสมาโยเค สติ ทุกฺขสฺส อุปฺปตฺติการณํฯ อิติ ทุกฺขสฺส สํโยเค อุปฺปตฺติการณตฺตา ‘‘ทุกฺขสมุทย’’นฺติ วุจฺจติฯ

    Dukkhasamudayeti ettha saṃ-iti ayaṃ saddo ‘‘samāgamo sameta’’ntiādīsu (vibha. 199; dī. ni. 2.396) viya saṃyogaṃ dīpeti. U-iti ayaṃ saddo ‘‘uppannaṃ udita’’ntiādīsu (pārā. 172; cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddesa 141) viya uppattiṃ. Aya-saddo pana kāraṇaṃ dīpeti. Idañcāpi dutiyasaccaṃ avasesapaccayasamāyoge sati dukkhassa uppattikāraṇaṃ. Iti dukkhassa saṃyoge uppattikāraṇattā ‘‘dukkhasamudaya’’nti vuccati.

    ทุกฺขนิโรเธติ เอตฺถ นิ-สโทฺท อภาวํ, โรธ-สโทฺท จ จารกํ ทีเปติฯ ตสฺมา อภาโว เอตฺถ สํสารจารกสงฺขาตสฺส ทุกฺขโรธสฺส สพฺพคติสุญฺญตฺตา, สมธิคเต วา ตสฺมิํ สํสารจารกสฺส ทุกฺขโรธสฺส อภาโว โหติ ตปฺปฎิปกฺขตฺตาติปิ ‘‘ทุกฺขนิโรธ’’นฺติ วุจฺจติฯ ทุกฺขสฺส วา อนุปฺปตฺตินิโรธปจฺจยตฺตา ทุกฺขนิโรธนฺติ วุจฺจติฯ

    Dukkhanirodheti ettha ni-saddo abhāvaṃ, rodha-saddo ca cārakaṃ dīpeti. Tasmā abhāvo ettha saṃsāracārakasaṅkhātassa dukkharodhassa sabbagatisuññattā, samadhigate vā tasmiṃ saṃsāracārakassa dukkharodhassa abhāvo hoti tappaṭipakkhattātipi ‘‘dukkhanirodha’’nti vuccati. Dukkhassa vā anuppattinirodhapaccayattā dukkhanirodhanti vuccati.

    ทุกฺขนิโรธคามินิยา ปฎิปทายาติ เอตฺถ ยสฺมา อยํ เอตํ ทุกฺขนิโรธํ คจฺฉติ อารมฺมณกรณวเสน ตทภิมุขีภูตตฺตา, ปฎิปทา จ โหติ ทุกฺขนิโรธปฺปตฺติยา, ตสฺมา ทุกฺขนิโรธคามินิปฎิปทาติ วุจฺจติฯ จตฺตาริ มคฺคญาณาเนว เหฎฺฐา วุฎฺฐานาการทีปนวเสน ‘‘มเคฺค ญาณ’’นฺติ วุตฺตานิ, อนนฺตรผลทายกตฺตสฺส การณปริทีปนวเสน ‘‘อานนฺตริกสมาธิมฺหิ ญาณ’’นฺติ วุตฺตานิ, วิวฎฺฎนาการทีปนวเสน ‘‘สจฺจวิวเฎฺฎ ญาณ’’นฺติ วุตฺตานิ, มคฺคปฎิปาฎิกฺกเมเนว อรหตฺตมคฺคญาณุปฺปตฺติํ, ตสฺส จ ญาณสฺส อภิญฺญาภาวํ ทีเปตุํ อรหตฺตมคฺคญาณเมว ‘‘อาสวานํ ขเย ญาณ’’นฺติ วุตฺตํฯ ปุน จตุนฺนมฺปิ มคฺคญาณานํ เอกาภิสมยตํ ทีเปตุํ ‘‘ปริญฺญเฎฺฐ ปญฺญา ทุเกฺข ญาณ’’นฺติอาทีนิ จตฺตาริ ญาณานิ วุตฺตานิฯ ปุน เอเกกสฺมิํ สเจฺจ วิสุํ วิสุํ อุปฺปตฺติทีปนวเสน ‘‘ทุเกฺข ญาณ’’นฺติอาทีนิ จตฺตาริ ญาณานิ อุทฺทิฎฺฐานีติ เอวํ ปุพฺพาปรวิเสโส เวทิตโพฺพติฯ

    Dukkhanirodhagāminiyāpaṭipadāyāti ettha yasmā ayaṃ etaṃ dukkhanirodhaṃ gacchati ārammaṇakaraṇavasena tadabhimukhībhūtattā, paṭipadā ca hoti dukkhanirodhappattiyā, tasmā dukkhanirodhagāminipaṭipadāti vuccati. Cattāri maggañāṇāneva heṭṭhā vuṭṭhānākāradīpanavasena ‘‘magge ñāṇa’’nti vuttāni, anantaraphaladāyakattassa kāraṇaparidīpanavasena ‘‘ānantarikasamādhimhi ñāṇa’’nti vuttāni, vivaṭṭanākāradīpanavasena ‘‘saccavivaṭṭe ñāṇa’’nti vuttāni, maggapaṭipāṭikkameneva arahattamaggañāṇuppattiṃ, tassa ca ñāṇassa abhiññābhāvaṃ dīpetuṃ arahattamaggañāṇameva ‘‘āsavānaṃ khaye ñāṇa’’nti vuttaṃ. Puna catunnampi maggañāṇānaṃ ekābhisamayataṃ dīpetuṃ ‘‘pariññaṭṭhe paññā dukkhe ñāṇa’’ntiādīni cattāri ñāṇāni vuttāni. Puna ekekasmiṃ sacce visuṃ visuṃ uppattidīpanavasena ‘‘dukkhe ñāṇa’’ntiādīni cattāri ñāṇāni uddiṭṭhānīti evaṃ pubbāparaviseso veditabboti.

    ๖๔-๖๗. อิทานิ สเพฺพสํ อริยปุคฺคลานํ อริยมคฺคานุภาเวเนว ปฎิสมฺภิทาญาณานิ สิทฺธานีติ ทเสฺสตุํ อตฺถปฎิสมฺภิเท ญาณนฺติอาทีนิ ปุน จตฺตาริ ปฎิสมฺภิทาญาณานิ อุทฺทิฎฺฐานิฯ อิมานิ หิ ปฎิสมฺภิทาปเภทาภาเวปิ สพฺพอริยปุคฺคลสาธารณานิ สุทฺธิกปฎิสมฺภิทาญาณานิ, เหฎฺฐา อุทฺทิฎฺฐานิ ปน ปภินฺนปฎิสมฺภิทานํ ปเภทปฺปตฺตานิ ปฎิสมฺภิทาญาณานีติ เวทิตพฺพานีติ อยเมเตสํ อุภยตฺถวจเน วิเสโสฯ ยสฺมา วา อนนฺตรํ อุทฺทิฎฺฐํ ทุกฺขารมฺมณํ นิโรธารมฺมณญฺจ ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทา โหติ, สมุทยารมฺมณํ มคฺคารมฺมณญฺจ ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทา, ตทภิลาเป ญาณํ นิรุตฺติปฎิสมฺภิทา, เตสุ ญาเณสุ ญาณํ ปฎิภานปฎิสมฺภิทา, ตสฺมา ตมฺปิ อตฺถวิเสสํ ทเสฺสตุํ สุทฺธิกปฎิสมฺภิทาญาณานิ อุทฺทิฎฺฐานีติ เวทิตพฺพานิฯ ตสฺมาเยว จ เหฎฺฐา นานตฺตสเทฺทน วิเสเสตฺวา วุตฺตานิฯ อิธ ตถา อวิเสเสตฺวา วุตฺตานีติฯ

    64-67. Idāni sabbesaṃ ariyapuggalānaṃ ariyamaggānubhāveneva paṭisambhidāñāṇāni siddhānīti dassetuṃ atthapaṭisambhide ñāṇantiādīni puna cattāri paṭisambhidāñāṇāni uddiṭṭhāni. Imāni hi paṭisambhidāpabhedābhāvepi sabbaariyapuggalasādhāraṇāni suddhikapaṭisambhidāñāṇāni, heṭṭhā uddiṭṭhāni pana pabhinnapaṭisambhidānaṃ pabhedappattāni paṭisambhidāñāṇānīti veditabbānīti ayametesaṃ ubhayatthavacane viseso. Yasmā vā anantaraṃ uddiṭṭhaṃ dukkhārammaṇaṃ nirodhārammaṇañca ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā hoti, samudayārammaṇaṃ maggārammaṇañca ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā, tadabhilāpe ñāṇaṃ niruttipaṭisambhidā, tesu ñāṇesu ñāṇaṃ paṭibhānapaṭisambhidā, tasmā tampi atthavisesaṃ dassetuṃ suddhikapaṭisambhidāñāṇāni uddiṭṭhānīti veditabbāni. Tasmāyeva ca heṭṭhā nānattasaddena visesetvā vuttāni. Idha tathā avisesetvā vuttānīti.

    ๖๘. เอวํ ปฎิปาฎิยา สตฺตสฎฺฐิ สาวกสาธารณญาณานิ อุทฺทิสิตฺวา อิทานิ สาวเกหิ อสาธารณานิ ตถาคตานํเยว อาเวณิกานิ ญาณานิ ทเสฺสตุํ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณาทีนิ ฉ อสาธารณญาณานิ อุทฺทิฎฺฐานิฯ ตตฺถปิ ยสฺมา ตถาคตา สตฺตานํ ธมฺมเทสนาย ภาชนาภาชนตฺตํ โอโลเกนฺตา พุทฺธจกฺขุนา โอโลเกนฺติฯ พุทฺธจกฺขุ นาม อินฺทฺริยปโรปริยตฺตาสยานุสยญาณทฺวยเมวฯ ยถาห –

    68. Evaṃ paṭipāṭiyā sattasaṭṭhi sāvakasādhāraṇañāṇāni uddisitvā idāni sāvakehi asādhāraṇāni tathāgatānaṃyeva āveṇikāni ñāṇāni dassetuṃ indriyaparopariyattañāṇādīni cha asādhāraṇañāṇāni uddiṭṭhāni. Tatthapi yasmā tathāgatā sattānaṃ dhammadesanāya bhājanābhājanattaṃ olokentā buddhacakkhunā olokenti. Buddhacakkhu nāma indriyaparopariyattāsayānusayañāṇadvayameva. Yathāha –

    ‘‘อทฺทสา โข ภควา พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต สเตฺต อปฺปรชเกฺข มหารชเกฺข ติกฺขินฺทฺริเย มุทินฺทฺริเย’’ติอาทิ (มหาว. ๙; ม. นิ. ๑.๒๘๓; ๒.๓๓๙)ฯ

    ‘‘Addasā kho bhagavā buddhacakkhunā lokaṃ volokento satte apparajakkhe mahārajakkhe tikkhindriye mudindriye’’tiādi (mahāva. 9; ma. ni. 1.283; 2.339).

    สตฺตสนฺตาเน จ โอโลเกนฺตา ปฐมํ อินฺทฺริยปริปากาปริปากํ โอโลเกนฺติ, อินฺทฺริยปริปากญฺจ ญตฺวา อาสยาทีนํ อนุรูเปน ธมฺมเทสนตฺถํ ตโต อาสยานุสยจริตานิ โอโลเกนฺติ, ตสฺมาปิ ปฐมํ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณํ อุทฺทิฎฺฐํ, ตทนนฺตรํ อาสยานุสยญาณํฯ ธมฺมํ เทเสนฺตา จ ยสฺมา ปาฎิหาริเยน วิเนตพฺพานํ ปาฎิหาริยํ กโรนฺติ, ตสฺมา อาสยานุสยญาณานนฺตรํ ยมกปาฎิหาริเย ญาณํ อุทฺทิฎฺฐํฯ อิเมสํ ติณฺณํ ญาณานํ เหตุปริทีปนตฺถํ ตทนนฺตรํ มหากรุณาญาณํ อุทฺทิฎฺฐํฯ มหากรุณาญาณสฺส ปริสุทฺธภาวปริทีปนตฺถํ ตทนนฺตรํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อุทฺทิฎฺฐํฯ สพฺพญฺญุสฺสาปิ สพฺพธมฺมานํ อาวชฺชนปฎิพทฺธภาวปริทีปนตฺถํ สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส อนาวริยภาวปริทีปนตฺถญฺจ ตทนนฺตรํ อนาวรณญาณํ อุทฺทิฎฺฐนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Sattasantāne ca olokentā paṭhamaṃ indriyaparipākāparipākaṃ olokenti, indriyaparipākañca ñatvā āsayādīnaṃ anurūpena dhammadesanatthaṃ tato āsayānusayacaritāni olokenti, tasmāpi paṭhamaṃ indriyaparopariyattañāṇaṃ uddiṭṭhaṃ, tadanantaraṃ āsayānusayañāṇaṃ. Dhammaṃ desentā ca yasmā pāṭihāriyena vinetabbānaṃ pāṭihāriyaṃ karonti, tasmā āsayānusayañāṇānantaraṃ yamakapāṭihāriye ñāṇaṃ uddiṭṭhaṃ. Imesaṃ tiṇṇaṃ ñāṇānaṃ hetuparidīpanatthaṃ tadanantaraṃ mahākaruṇāñāṇaṃ uddiṭṭhaṃ. Mahākaruṇāñāṇassa parisuddhabhāvaparidīpanatthaṃ tadanantaraṃ sabbaññutaññāṇaṃ uddiṭṭhaṃ. Sabbaññussāpi sabbadhammānaṃ āvajjanapaṭibaddhabhāvaparidīpanatthaṃ sabbaññutaññāṇassa anāvariyabhāvaparidīpanatthañca tadanantaraṃ anāvaraṇañāṇaṃ uddiṭṭhanti veditabbaṃ.

    อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณนฺติ เอตฺถ อุปริ ‘‘สตฺตาน’’นฺติ ปทํ อิเธว อาหริตฺวา ‘‘สตฺตานํ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณ’’นฺติ โยเชตพฺพํฯ ปรานิ จ อปรานิ จ ปราปรานีติ วตฺตเพฺพ สนฺธิวเสน โร-การํ กตฺวา ปโรปรานีติ วุจฺจติฯ ปโรปรานํ ภาโว ปโรปริยํ, ปโรปริยเมว ปโรปริยตฺตํ, เวเนยฺยสตฺตานํ สทฺธาทีนํ ปญฺจนฺนํ อินฺทฺริยานํ ปโรปริยตฺตํ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตํ, อินฺทฺริยปโรปริยตฺตสฺส ญาณํ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณํ, อินฺทฺริยานํ อุตฺตมานุตฺตมภาวญาณนฺติ อโตฺถฯ ‘‘อินฺทฺริยวโรวริยตฺตญาณ’’นฺติปิ ปาโฐฯ วรานิ จ อวริยานิ จ วโรวริยานิ, วโรวริยานํ ภาโว วโรวริยตฺตนฺติ โยเชตพฺพํฯ อวริยานีติ จ น อุตฺตมานีติ อโตฺถฯ อถ วา ปรานิ จ โอปรานิ จ ปโรปรานิ, เตสํ ภาโว ปโรปริยตฺตนฺติ โยเชตพฺพํฯ โอปรานีติ จ โอรานีติ วุตฺตํ โหติ, ลามกานีติ อโตฺถ, ‘‘ปโรปรา ยสฺส สเมจฺจ ธมฺมา’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๔๗๙) วิยฯ ‘‘อินฺทฺริยปโรปริยเตฺต ญาณ’’นฺติ ภุมฺมวจเนนาปิ ปาโฐฯ

    Indriyaparopariyattañāṇanti ettha upari ‘‘sattāna’’nti padaṃ idheva āharitvā ‘‘sattānaṃ indriyaparopariyattañāṇa’’nti yojetabbaṃ. Parāni ca aparāni ca parāparānīti vattabbe sandhivasena ro-kāraṃ katvā paroparānīti vuccati. Paroparānaṃ bhāvo paropariyaṃ, paropariyameva paropariyattaṃ, veneyyasattānaṃ saddhādīnaṃ pañcannaṃ indriyānaṃ paropariyattaṃ indriyaparopariyattaṃ, indriyaparopariyattassa ñāṇaṃ indriyaparopariyattañāṇaṃ, indriyānaṃ uttamānuttamabhāvañāṇanti attho. ‘‘Indriyavarovariyattañāṇa’’ntipi pāṭho. Varāni ca avariyāni ca varovariyāni, varovariyānaṃ bhāvo varovariyattanti yojetabbaṃ. Avariyānīti ca na uttamānīti attho. Atha vā parāni ca oparāni ca paroparāni, tesaṃ bhāvo paropariyattanti yojetabbaṃ. Oparānīti ca orānīti vuttaṃ hoti, lāmakānīti attho, ‘‘paroparā yassa samecca dhammā’’tiādīsu (su. ni. 479) viya. ‘‘Indriyaparopariyatte ñāṇa’’nti bhummavacanenāpi pāṭho.

    ๖๙. สตฺตานํ อาสยานุสเย ญาณนฺติ เอตฺถ รูปาทีสุ ขเนฺธสุ ฉนฺทราเคน สตฺตา วิสตฺตาติ สตฺตาฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –

    69.Sattānaṃ āsayānusaye ñāṇanti ettha rūpādīsu khandhesu chandarāgena sattā visattāti sattā. Vuttañhetaṃ bhagavatā –

    ‘‘รูเป โข, ราธ, โย ฉโนฺท โย ราโค ยา นนฺที ยา ตณฺหา, ตตฺร สโตฺต ตตฺร วิสโตฺต, ตสฺมา ‘สโตฺต’ติ วุจฺจติฯ เวทนาย สญฺญาย สงฺขาเรสุ วิญฺญาเณ โย ฉโนฺท โย ราโค ยา นนฺที ยา ตณฺหา, ตตฺร สโตฺต ตตฺร วิสโตฺต, ตสฺมา ‘สโตฺต’ติ วุจฺจตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๑๖๑)ฯ

    ‘‘Rūpe kho, rādha, yo chando yo rāgo yā nandī yā taṇhā, tatra satto tatra visatto, tasmā ‘satto’ti vuccati. Vedanāya saññāya saṅkhāresu viññāṇe yo chando yo rāgo yā nandī yā taṇhā, tatra satto tatra visatto, tasmā ‘satto’ti vuccatī’’ti (saṃ. ni. 3.161).

    อกฺขรจินฺตกา ปน อตฺถํ อวิจาเรตฺวา ‘‘นามมตฺตเมต’’นฺติ อิจฺฉนฺติฯ เยปิ อตฺถํ วิจาเรนฺติ, เต สตฺวโยเคน สตฺตาติ อิจฺฉนฺติ, เตสํ สตฺตานํฯ อาสยนฺติ นิสฺสยนฺติ เอตํ อิติ อาสโย, มิจฺฉาทิฎฺฐิยา, สมฺมาทิฎฺฐิยา วา กามาทีหิ, เนกฺขมฺมาทีหิ วา ปริภาวิตสฺส สนฺตานเสฺสตํ อธิวจนํฯ สตฺตสนฺตาเน อนุเสนฺติ อนุปวตฺตนฺตีติ อนุสยา, ถามคตานํ กามราคาทีนํ เอตํ อธิวจนํฯ อาสโย จ อนุสโย จ อาสยานุสโยฯ ชาติคฺคหเณน จ ทฺวนฺทสมาสวเสน จ เอกวจนํ เวทิตพฺพํฯ ยสฺมา จริตาธิมุตฺติโย อาสยานุสยสงฺคหิตา, ตสฺมา อุเทฺทเส จริตาธิมุตฺตีสุ ญาณานิ อาสยานุสยญาเณเนว สงฺคเหตฺวา ‘‘อาสยานุสเย ญาณ’’นฺติ วุตฺตํฯ เยเนว หิ อธิปฺปาเยน อุเทฺทโส กโต, เตเนว อธิปฺปาเยน นิเทฺทโส กโตติฯ

    Akkharacintakā pana atthaṃ avicāretvā ‘‘nāmamattameta’’nti icchanti. Yepi atthaṃ vicārenti, te satvayogena sattāti icchanti, tesaṃ sattānaṃ. Āsayanti nissayanti etaṃ iti āsayo, micchādiṭṭhiyā, sammādiṭṭhiyā vā kāmādīhi, nekkhammādīhi vā paribhāvitassa santānassetaṃ adhivacanaṃ. Sattasantāne anusenti anupavattantīti anusayā, thāmagatānaṃ kāmarāgādīnaṃ etaṃ adhivacanaṃ. Āsayo ca anusayo ca āsayānusayo. Jātiggahaṇena ca dvandasamāsavasena ca ekavacanaṃ veditabbaṃ. Yasmā caritādhimuttiyo āsayānusayasaṅgahitā, tasmā uddese caritādhimuttīsu ñāṇāni āsayānusayañāṇeneva saṅgahetvā ‘‘āsayānusaye ñāṇa’’nti vuttaṃ. Yeneva hi adhippāyena uddeso kato, teneva adhippāyena niddeso katoti.

    ๗๐. ยมกปาฎิหีเร ญาณนฺติ เอตฺถ อคฺคิกฺขนฺธอุทกธาราทีนํ อปุพฺพํ อจริมํ สกิํเยว ปวตฺติโต ยมกํ, อสฺสทฺธิยาทีนํ ปฎิปกฺขธมฺมานํ หรณโต ปาฎิหีรํ, ยมกญฺจ ตํ ปาฎิหีรญฺจาติ ยมกปาฎิหีรํฯ

    70.Yamakapāṭihīre ñāṇanti ettha aggikkhandhaudakadhārādīnaṃ apubbaṃ acarimaṃ sakiṃyeva pavattito yamakaṃ, assaddhiyādīnaṃ paṭipakkhadhammānaṃ haraṇato pāṭihīraṃ, yamakañca taṃ pāṭihīrañcāti yamakapāṭihīraṃ.

    ๗๑. มหากรุณาสมาปตฺติยา ญาณนฺติ เอตฺถ ปรทุเกฺข สติ สาธูนํ หทยกมฺปนํ กโรตีติ กรุณา, กินาติ วา ปรทุกฺขํ หิํสติ วินาเสตีติ กรุณา, กิรียติ วา ทุกฺขิเตสุ ผรณวเสน ปสารียตีติ กรุณา, ผรณกมฺมวเสน กมฺมคุณวเสน จ มหตี กรุณา มหากรุณา, สมาปชฺชนฺติ เอตํ มหาการุณิกาติ สมาปตฺติ, มหากรุณา จ สา สมาปตฺติ จาติ มหากรุณาสมาปตฺติฯ ตสฺสํ มหากรุณาสมาปตฺติยํ, ตํสมฺปยุตฺตํ ญาณํฯ

    71.Mahākaruṇāsamāpattiyā ñāṇanti ettha paradukkhe sati sādhūnaṃ hadayakampanaṃ karotīti karuṇā, kināti vā paradukkhaṃ hiṃsati vināsetīti karuṇā, kirīyati vā dukkhitesu pharaṇavasena pasārīyatīti karuṇā, pharaṇakammavasena kammaguṇavasena ca mahatī karuṇā mahākaruṇā, samāpajjanti etaṃ mahākāruṇikāti samāpatti, mahākaruṇā ca sā samāpatti cāti mahākaruṇāsamāpatti. Tassaṃ mahākaruṇāsamāpattiyaṃ, taṃsampayuttaṃ ñāṇaṃ.

    ๗๒-๗๓. สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อนาวรณญาณนฺติ เอตฺถ ปญฺจเนยฺยปถปฺปเภทํ สพฺพํ อญฺญาสีติ สพฺพญฺญู, สพฺพญฺญุสฺส ภาโว สพฺพญฺญุตา, สา เอว ญาณํ ‘‘สพฺพญฺญุตาญาณ’’นฺติ วตฺตเพฺพ ‘‘สพฺพญฺญุตญฺญาณ’’นฺติ วุตฺตํฯ สงฺขตาสงฺขตาทิเภทา สพฺพธมฺมา หิ สงฺขาโร วิกาโร ลกฺขณํ นิพฺพานํ ปญฺญตฺตีติ ปเญฺจว เนยฺยปถา โหนฺติฯ สพฺพญฺญูติ จ กมสพฺพญฺญู, สกิํสพฺพญฺญู, สตตสพฺพญฺญู, สตฺติสพฺพญฺญู, ญาตสพฺพญฺญูติ ปญฺจวิธา สพฺพญฺญุโน สิยุํฯ กเมน สพฺพชานนกาลาสมฺภวโต กมสพฺพญฺญุตา น โหติ, สกิํ สพฺพารมฺมณคหณาภาวโต สกิํสพฺพญฺญุตา น โหติ, จกฺขุวิญฺญาณาทีนํ ยถารมฺมณจิตฺตสมฺภวโต ภวงฺคจิตฺตวิโรธโต ยุตฺติอภาวโต จ สตตสพฺพญฺญุตา น โหติ, ปริเสสโต สพฺพชานนสมตฺถตฺตา สตฺติสพฺพญฺญุตา วา สิยา, วิทิตสพฺพธมฺมตฺตา ญาตสพฺพญฺญุตา วา สิยาฯ สตฺติสพฺพญฺญุโน สพฺพชานนตฺตํ นตฺถีติ ตมฺปิ น ยุชฺชติฯ

    72-73.Sabbaññutaññāṇaṃ anāvaraṇañāṇanti ettha pañcaneyyapathappabhedaṃ sabbaṃ aññāsīti sabbaññū, sabbaññussa bhāvo sabbaññutā, sā eva ñāṇaṃ ‘‘sabbaññutāñāṇa’’nti vattabbe ‘‘sabbaññutaññāṇa’’nti vuttaṃ. Saṅkhatāsaṅkhatādibhedā sabbadhammā hi saṅkhāro vikāro lakkhaṇaṃ nibbānaṃ paññattīti pañceva neyyapathā honti. Sabbaññūti ca kamasabbaññū, sakiṃsabbaññū, satatasabbaññū, sattisabbaññū, ñātasabbaññūti pañcavidhā sabbaññuno siyuṃ. Kamena sabbajānanakālāsambhavato kamasabbaññutā na hoti, sakiṃ sabbārammaṇagahaṇābhāvato sakiṃsabbaññutā na hoti, cakkhuviññāṇādīnaṃ yathārammaṇacittasambhavato bhavaṅgacittavirodhato yuttiabhāvato ca satatasabbaññutā na hoti, parisesato sabbajānanasamatthattā sattisabbaññutā vā siyā, viditasabbadhammattā ñātasabbaññutā vā siyā. Sattisabbaññuno sabbajānanattaṃ natthīti tampi na yujjati.

    ‘‘น ตสฺส อทฺทิฎฺฐมิธตฺถิ กิญฺจิ, อโถ อวิญฺญาตมชานิตพฺพํ;

    ‘‘Na tassa addiṭṭhamidhatthi kiñci, atho aviññātamajānitabbaṃ;

    สพฺพํ อภิญฺญาสิ ยทตฺถิ เนยฺยํ, ตถาคโต เตน สมนฺตจกฺขู’’ติฯ (มหานิ. ๑๕๖; จูฬนิ. โมฆราชมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๘๕; ปฎิ. ม. ๑.๒๐๘) –

    Sabbaṃ abhiññāsi yadatthi neyyaṃ, tathāgato tena samantacakkhū’’ti. (mahāni. 156; cūḷani. mogharājamāṇavapucchāniddesa 85; paṭi. ma. 1.208) –

    วุตฺตตฺตา ญาตสพฺพญฺญุตฺตเมว ยุชฺชติฯ เอวญฺหิ สติ กิจฺจโต อสโมฺมหโต การณสิทฺธิโต อาวชฺชนปฎิพทฺธโต สพฺพญฺญุตฺตเมว โหตีติฯ อาวชฺชนปฎิพทฺธตฺตา เอว หิ นตฺถิ เอตสฺส อาวรณนฺติ อนาวรณํ, ตเทว อนาวรณญาณนฺติ วุจฺจตีติฯ

    Vuttattā ñātasabbaññuttameva yujjati. Evañhi sati kiccato asammohato kāraṇasiddhito āvajjanapaṭibaddhato sabbaññuttameva hotīti. Āvajjanapaṭibaddhattā eva hi natthi etassa āvaraṇanti anāvaraṇaṃ, tadeva anāvaraṇañāṇanti vuccatīti.

    อิมานิ เตสตฺตติ ญาณานีติ สาวเกหิ สาธารณาสาธารณวเสน อุทฺทิฎฺฐานิ อิมานิ เตสตฺตติ ญาณานิฯ อิเมสํ เตสตฺตติยา ญาณานนฺติ อาทิโต ปฎฺฐาย วุตฺตานํ อิเมสํ เตสตฺตติญาณานํฯ อุพฺพาหนเตฺถ เจตํ สามิวจนํฯ เตสตฺตตีนนฺติปิ ปาโฐฯ ‘‘เตสตฺตติยา’’ติ วตฺตเพฺพ เอกสฺมิํ พหุวจนํ เวทิตพฺพํฯ สตฺตสฎฺฐิ ญาณานีติอาทิโต ปฎฺฐาย สตฺตสฎฺฐิ ญาณานิฯ สาวกสาธารณานีติ สวนเนฺต อริยาย ชาติยา ชาตตฺตา สาวกา, สมานํ ธารณเมเตสนฺติ สาธารณานิ, ตถาคตานํ สาวเกหิ สาธารณานิ สาวกสาธารณานิฯ ฉ ญาณานีติ อเนฺต อุทฺทิฎฺฐานิ ฉ ญาณานิฯ อสาธารณานิ สาวเกหีติ สาวเกหิ อสาธารณานิ ตถาคตานํเยว ญาณานีติฯ

    Imāni tesattati ñāṇānīti sāvakehi sādhāraṇāsādhāraṇavasena uddiṭṭhāni imāni tesattati ñāṇāni. Imesaṃ tesattatiyā ñāṇānanti ādito paṭṭhāya vuttānaṃ imesaṃ tesattatiñāṇānaṃ. Ubbāhanatthe cetaṃ sāmivacanaṃ. Tesattatīnantipi pāṭho. ‘‘Tesattatiyā’’ti vattabbe ekasmiṃ bahuvacanaṃ veditabbaṃ. Sattasaṭṭhi ñāṇānītiādito paṭṭhāya sattasaṭṭhi ñāṇāni. Sāvakasādhāraṇānīti savanante ariyāya jātiyā jātattā sāvakā, samānaṃ dhāraṇametesanti sādhāraṇāni, tathāgatānaṃ sāvakehi sādhāraṇāni sāvakasādhāraṇāni. Cha ñāṇānīti ante uddiṭṭhāni cha ñāṇāni. Asādhāraṇāni sāvakehīti sāvakehi asādhāraṇāni tathāgatānaṃyeva ñāṇānīti.

    สทฺธมฺมปฺปกาสินิยา ปฎิสมฺภิทามคฺค-อฎฺฐกถาย

    Saddhammappakāsiniyā paṭisambhidāmagga-aṭṭhakathāya

    ญาณกถามาติกุเทฺทสวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ñāṇakathāmātikuddesavāravaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ปฎิสมฺภิทามคฺคปาฬิ • Paṭisambhidāmaggapāḷi / มาติกา • Mātikā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact