Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๔๙] ๑๑. มฎฺฐกุณฺฑลีชาตกวณฺณนา
[449] 11. Maṭṭhakuṇḍalījātakavaṇṇanā
อลงฺกโต มฎฺฐกุณฺฑลีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ มตปุตฺตํ กุฎุมฺพิกํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถิยํ กิเรกสฺส พุทฺธุปฎฺฐากสฺส กุฎุมฺพิกสฺส ปิยปุโตฺต กาลมกาสิฯ โส ปุตฺตโสกสมปฺปิโต น นฺหายติ น ภุญฺชติ น กมฺมเนฺต วิจาเรติ, น พุทฺธุปฎฺฐานํ คจฺฉติ, เกวลํ ‘‘ปิยปุตฺตก, มํ โอหาย ปฐมตรํ คโตสี’’ติอาทีนิ วตฺวา วิปฺปลปติฯ สตฺถา ปจฺจูสสมเย โลกํ โอโลเกโนฺต ตสฺส โสตาปตฺติผลูปนิสฺสยํ ทิสฺวา ปุนทิวเส ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ ภิกฺขู อุโยฺยเชตฺวา อานนฺทเตฺถเรน ปจฺฉาสมเณน ตสฺส ฆรทฺวารํ อคมาสิฯ สตฺถุ อาคตภาวํ กุฎุมฺพิกสฺส อาโรเจสุํฯ อถสฺส เคหชโน อาสนํ ปญฺญเปตฺวา สตฺถารํ นิสีทาเปตฺวา กุฎุมฺพิกํ ปริคฺคเหตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ อาเนสิฯ ตํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสินฺนํ สตฺถา กรุณาสีตเลน วจเนน อามเนฺตตฺวา ‘‘กิํ, อุปาสก, ปุตฺตกํ อนุโสจสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘อุปาสก, โปราณกปณฺฑิตา ปุเตฺต กาลกเต โสกสมปฺปิตา วิจรนฺตาปิ ปณฺฑิตานํ กถํ สุตฺวา ‘อลพฺภนียฎฺฐาน’นฺติ ตถโต ญตฺวา อปฺปมตฺตกมฺปิ โสกํ น กริํสู’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Alaṅkato maṭṭhakuṇḍalīti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ mataputtaṃ kuṭumbikaṃ ārabbha kathesi. Sāvatthiyaṃ kirekassa buddhupaṭṭhākassa kuṭumbikassa piyaputto kālamakāsi. So puttasokasamappito na nhāyati na bhuñjati na kammante vicāreti, na buddhupaṭṭhānaṃ gacchati, kevalaṃ ‘‘piyaputtaka, maṃ ohāya paṭhamataraṃ gatosī’’tiādīni vatvā vippalapati. Satthā paccūsasamaye lokaṃ olokento tassa sotāpattiphalūpanissayaṃ disvā punadivase bhikkhusaṅghaparivuto sāvatthiyaṃ piṇḍāya caritvā katabhattakicco bhikkhū uyyojetvā ānandattherena pacchāsamaṇena tassa gharadvāraṃ agamāsi. Satthu āgatabhāvaṃ kuṭumbikassa ārocesuṃ. Athassa gehajano āsanaṃ paññapetvā satthāraṃ nisīdāpetvā kuṭumbikaṃ pariggahetvā satthu santikaṃ ānesi. Taṃ vanditvā ekamantaṃ nisinnaṃ satthā karuṇāsītalena vacanena āmantetvā ‘‘kiṃ, upāsaka, puttakaṃ anusocasī’’ti pucchitvā ‘‘āma, bhante’’ti vutte ‘‘upāsaka, porāṇakapaṇḍitā putte kālakate sokasamappitā vicarantāpi paṇḍitānaṃ kathaṃ sutvā ‘alabbhanīyaṭṭhāna’nti tathato ñatvā appamattakampi sokaṃ na kariṃsū’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต เอกสฺส มหาวิภวสฺส พฺราหฺมณสฺส ปุโตฺต ปญฺจทสโสฬสวสฺสกาเล เอเกน พฺยาธินา ผุโฎฺฐ กาลํ กตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติฯ พฺราหฺมโณ ตสฺส กาลกิริยโต ปฎฺฐาย สุสานํ คนฺตฺวา ฉาริกปุญฺชํ อาวิชฺฌโนฺต ปริเทวติ, สพฺพกมฺมเนฺต ปริจฺจชิตฺวา โสกสมปฺปิโต วิจรติฯ ตทา เทวปุโตฺต อนุวิจรโนฺต ตํ ทิสฺวา ‘‘เอกํ อุปมํ กตฺวา โสกํ หริสฺสามี’’ติ ตสฺส สุสานํ คนฺตฺวา ปริเทวนกาเล ตเสฺสว ปุตฺตวณฺณี หุตฺวา สพฺพาภรณปฎิมณฺฑิโต เอกสฺมิํ ปเทเส ฐตฺวา อุโภ หเตฺถ สีเส ฐเปตฺวา มหาสเทฺทน ปริเทวิฯ พฺราหฺมโณ สทฺทํ สุตฺวา ตํ โอโลเกตฺวา ปุตฺตเปมํ ปฎิลภิตฺวา ตสฺส สนฺติเก ฐตฺวา ‘‘ตาต มาณว, อิมสฺมิํ สุสานมเชฺฌ กสฺมา ปริเทวสี’’ติ ปุจฺฉโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente ekassa mahāvibhavassa brāhmaṇassa putto pañcadasasoḷasavassakāle ekena byādhinā phuṭṭho kālaṃ katvā devaloke nibbatti. Brāhmaṇo tassa kālakiriyato paṭṭhāya susānaṃ gantvā chārikapuñjaṃ āvijjhanto paridevati, sabbakammante pariccajitvā sokasamappito vicarati. Tadā devaputto anuvicaranto taṃ disvā ‘‘ekaṃ upamaṃ katvā sokaṃ harissāmī’’ti tassa susānaṃ gantvā paridevanakāle tasseva puttavaṇṇī hutvā sabbābharaṇapaṭimaṇḍito ekasmiṃ padese ṭhatvā ubho hatthe sīse ṭhapetvā mahāsaddena paridevi. Brāhmaṇo saddaṃ sutvā taṃ oloketvā puttapemaṃ paṭilabhitvā tassa santike ṭhatvā ‘‘tāta māṇava, imasmiṃ susānamajjhe kasmā paridevasī’’ti pucchanto paṭhamaṃ gāthamāha –
๑๑๕.
115.
‘‘อลงฺกโต มฎฺฐกุณฺฑลี, มาลธารี หริจนฺทนุสฺสโท;
‘‘Alaṅkato maṭṭhakuṇḍalī, māladhārī haricandanussado;
พาหา ปคฺคยฺห กนฺทสิ, วนมเชฺฌ กิํ ทุกฺขิโต ตุว’’นฺติฯ
Bāhā paggayha kandasi, vanamajjhe kiṃ dukkhito tuva’’nti.
ตตฺถ อลงฺกโตติ นานาภรณวิภูสิโตฯ มฎฺฐกุณฺฑลีติ กรณปรินิฎฺฐิเตหิ มเฎฺฐหิ กุณฺฑเลหิ สมนฺนาคโตฯ มาลธารีติ วิจิตฺรกุสุมมาลธโรฯ หริจนฺทนุสฺสโทติ สุวณฺณวเณฺณน จนฺทเนน อนุลิโตฺตฯ วนมเชฺฌติ สุสานมเชฺฌฯ กิํ ทุกฺขิโต ตุวนฺติ กิํการณา ทุกฺขิโต ตฺวํ, อาจิกฺข, อหํ เต ยํ อิจฺฉสิ, ตํ ทสฺสามีติ อาหฯ
Tattha alaṅkatoti nānābharaṇavibhūsito. Maṭṭhakuṇḍalīti karaṇapariniṭṭhitehi maṭṭhehi kuṇḍalehi samannāgato. Māladhārīti vicitrakusumamāladharo. Haricandanussadoti suvaṇṇavaṇṇena candanena anulitto. Vanamajjheti susānamajjhe. Kiṃ dukkhito tuvanti kiṃkāraṇā dukkhito tvaṃ, ācikkha, ahaṃ te yaṃ icchasi, taṃ dassāmīti āha.
อถสฺส กเถโนฺต มาณโว ทุติยํ คาถมาห –
Athassa kathento māṇavo dutiyaṃ gāthamāha –
๑๑๖.
116.
‘‘โสวณฺณมโย ปภสฺสโร, อุปฺปโนฺน รถปญฺชโร มม;
‘‘Sovaṇṇamayo pabhassaro, uppanno rathapañjaro mama;
ตสฺส จกฺกยุคํ น วินฺทามิ, เตน ทุเกฺขน ชหามิ ชีวิต’’นฺติฯ
Tassa cakkayugaṃ na vindāmi, tena dukkhena jahāmi jīvita’’nti.
พฺราหฺมโณ สมฺปฎิจฺฉโนฺต ตติยํ คาถมาห –
Brāhmaṇo sampaṭicchanto tatiyaṃ gāthamāha –
๑๑๗.
117.
‘‘โสวณฺณมยํ มณีมยํ, โลหมยํ อถ รูปิยามยํ;
‘‘Sovaṇṇamayaṃ maṇīmayaṃ, lohamayaṃ atha rūpiyāmayaṃ;
ปาวท รถํ กริสฺสามิ เต, จกฺกยุคํ ปฎิปาทยามิ ต’’นฺติฯ
Pāvada rathaṃ karissāmi te, cakkayugaṃ paṭipādayāmi ta’’nti.
ตตฺถ ปาวทาติ ยาทิเสน เต อโตฺถ ยาทิสํ โรเจสิ, ตาทิสํ วท, อหํ เต รถ กริสฺสามิฯ ปฎิปาทยามิ ตนฺติ ตํ ปญฺชรานุรูปํ จกฺกยุคํ อธิคจฺฉาเปมิฯ
Tattha pāvadāti yādisena te attho yādisaṃ rocesi, tādisaṃ vada, ahaṃ te ratha karissāmi. Paṭipādayāmi tanti taṃ pañjarānurūpaṃ cakkayugaṃ adhigacchāpemi.
ตํ สุตฺวา มาณเวน กถิตาย คาถาย ปฐมปาทํ สตฺถา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา กเถสิ, เสสํ มาณโวฯ
Taṃ sutvā māṇavena kathitāya gāthāya paṭhamapādaṃ satthā abhisambuddho hutvā kathesi, sesaṃ māṇavo.
๑๑๘.
118.
‘‘โส มาณโว ตสฺส ปาวทิ, จนฺทสูริยา อุภเยตฺถ ภาตโร;
‘‘So māṇavo tassa pāvadi, candasūriyā ubhayettha bhātaro;
โสวณฺณมโย รโถ มม, เตน จกฺกยุเคน โสภตี’’ติฯ
Sovaṇṇamayo ratho mama, tena cakkayugena sobhatī’’ti.
พฺราหฺมโณ ตทนนฺตรํ อาห –
Brāhmaṇo tadanantaraṃ āha –
๑๑๙.
119.
‘‘พาโล โข ตฺวํสิ มาณว, โย ตฺวํ ปตฺถยสิ อปตฺถิยํ;
‘‘Bālo kho tvaṃsi māṇava, yo tvaṃ patthayasi apatthiyaṃ;
มญฺญามิ ตุวํ มริสฺสสิ, น หิ ตฺวํ ลจฺฉสิ จนฺทสูริเย’’ติฯ –
Maññāmi tuvaṃ marissasi, na hi tvaṃ lacchasi candasūriye’’ti. –
พฺราหฺมเณน วุตฺตคาถาย อปตฺถิยนฺติ อปเตฺถตพฺพํฯ
Brāhmaṇena vuttagāthāya apatthiyanti apatthetabbaṃ.
ตโต มาณโว อาห –
Tato māṇavo āha –
๑๒๐.
120.
‘‘คมนาคมนมฺปิ ทิสฺสติ, วณฺณธาตุ อุภเยตฺถ วีถิโย;
‘‘Gamanāgamanampi dissati, vaṇṇadhātu ubhayettha vīthiyo;
เปโต ปน เนว ทิสฺสติ, โก นุ โข กนฺทตํ พาลฺยตโร’’ติฯ
Peto pana neva dissati, ko nu kho kandataṃ bālyataro’’ti.
มาณเวน วุตฺตคาถาย คมนาคมนนฺติ อุคฺคมนญฺจ อตฺถคมนญฺจฯ วโณฺณเยว วณฺณธาตุฯ อุภเยตฺถ วีถิโยติ เอตฺถ อากาเส ‘‘อยํ จนฺทสฺส วีถิ, อยํ สูริยสฺส วีถี’’ติ เอวํ อุภยคมนาคมนภูมิโยปิ ปญฺญายนฺติฯ เปโต ปนาติ ปรโลกํ คตสโตฺต ปน น ทิสฺสเตวฯ โก นุ โขติ เอวํ สเนฺต อมฺหากํ ทฺวินฺนํ กนฺทนฺตานํ โก นุ โข พาลฺยตโรติฯ
Māṇavena vuttagāthāya gamanāgamananti uggamanañca atthagamanañca. Vaṇṇoyeva vaṇṇadhātu. Ubhayettha vīthiyoti ettha ākāse ‘‘ayaṃ candassa vīthi, ayaṃ sūriyassa vīthī’’ti evaṃ ubhayagamanāgamanabhūmiyopi paññāyanti. Peto panāti paralokaṃ gatasatto pana na dissateva. Ko nu khoti evaṃ sante amhākaṃ dvinnaṃ kandantānaṃ ko nu kho bālyataroti.
เอวํ มาณเว กเถเนฺต พฺราหฺมโณ สลฺลเกฺขตฺวา คาถมาห –
Evaṃ māṇave kathente brāhmaṇo sallakkhetvā gāthamāha –
๑๒๑.
121.
‘‘สจฺจํ โข วเทสิ มาณว, อหเมว กนฺทตํ พาลฺยตโร;
‘‘Saccaṃ kho vadesi māṇava, ahameva kandataṃ bālyataro;
จนฺทํ วิย ทารโก รุทํ, เปตํ กาลกตาภิปตฺถเย’’ติฯ
Candaṃ viya dārako rudaṃ, petaṃ kālakatābhipatthaye’’ti.
ตตฺถ จนฺทํ วิย ทารโกติ ยถา ทหโร คามทารโก ‘‘จนฺทํ เทถา’’ติ จนฺทสฺสตฺถาย โรเทยฺย, เอวํ อหมฺปิ เปตํ กาลกตํ อภิปเตฺถมีติฯ
Tattha candaṃ viya dārakoti yathā daharo gāmadārako ‘‘candaṃ dethā’’ti candassatthāya rodeyya, evaṃ ahampi petaṃ kālakataṃ abhipatthemīti.
อิติ พฺราหฺมโณ มาณวสฺส กถาย นิโสฺสโก หุตฺวา ตสฺส ถุติํ กโรโนฺต เสสคาถา อภาสิ –
Iti brāhmaṇo māṇavassa kathāya nissoko hutvā tassa thutiṃ karonto sesagāthā abhāsi –
๑๒๒.
122.
‘‘อาทิตฺตํ วต มํ สนฺตํ, ฆตสิตฺตํว ปาวกํ;
‘‘Ādittaṃ vata maṃ santaṃ, ghatasittaṃva pāvakaṃ;
วารินา วิย โอสิญฺจํ, สพฺพํ นิพฺพาปเย ทรํฯ
Vārinā viya osiñcaṃ, sabbaṃ nibbāpaye daraṃ.
๑๒๓.
123.
‘‘อพฺพหี วต เม สลฺลํ, ยมาสิ หทยสฺสิตํ;
‘‘Abbahī vata me sallaṃ, yamāsi hadayassitaṃ;
โย เม โสกปเรตสฺส, ปุตฺตโสกํ อปานุทิฯ
Yo me sokaparetassa, puttasokaṃ apānudi.
๑๒๔.
124.
‘‘โสหํ อพฺพูฬฺหสโลฺลสฺมิ, วีตโสโก อนาวิโล;
‘‘Sohaṃ abbūḷhasallosmi, vītasoko anāvilo;
น โสจามิ น โรทามิ, ตว สุตฺวาน มาณวา’’ติฯ
Na socāmi na rodāmi, tava sutvāna māṇavā’’ti.
อถ นํ มาณโว ‘‘พฺราหฺมณ, ยสฺสตฺถาย ตฺวํ โรทสิ, อหํ เต ปุโตฺต, อหํ เทวโลเก นิพฺพโตฺต, อิโต ปฎฺฐาย มา มํ อนุโสจิ, ทานํ เทหิ, สีลํ รกฺขาหิ, อุโปสถํ กโรหี’’ติ โอวทิตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ พฺราหฺมโณปิ ตโสฺสวาเท ฐตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา กาลกโต เทวโลเก นิพฺพตฺติฯ
Atha naṃ māṇavo ‘‘brāhmaṇa, yassatthāya tvaṃ rodasi, ahaṃ te putto, ahaṃ devaloke nibbatto, ito paṭṭhāya mā maṃ anusoci, dānaṃ dehi, sīlaṃ rakkhāhi, uposathaṃ karohī’’ti ovaditvā sakaṭṭhānameva gato. Brāhmaṇopi tassovāde ṭhatvā dānādīni puññāni katvā kālakato devaloke nibbatti.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนหิ, สจฺจปริโยสาเน กุฎุมฺพิโก โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯตทา ธมฺมเทสกเทวปุโตฺต อหเมว อโหสินฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānehi, saccapariyosāne kuṭumbiko sotāpattiphale patiṭṭhahi.Tadā dhammadesakadevaputto ahameva ahosinti.
มฎฺฐกุณฺฑลีชาตกวณฺณนา เอกาทสมาฯ
Maṭṭhakuṇḍalījātakavaṇṇanā ekādasamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๔๙. มฎฺฐกุณฺฑลีชาตกํ • 449. Maṭṭhakuṇḍalījātakaṃ