Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā |
๒. หตฺถินาควโคฺค
2. Hatthināgavaggo
๑. มาตุโปสกจริยาวณฺณนา
1. Mātuposakacariyāvaṇṇanā
๑. ทุติยวคฺคสฺส ปฐเม กุญฺชโรติ หตฺถีฯ มาตุโปสโกติ อนฺธาย ชราชิณฺณาย มาตุยา ปฎิชคฺคนโกฯ มหิยาติ ภูมิยํฯ คุเณนาติ สีลคุเณน, ตทา มม สทิโส นตฺถิฯ
1. Dutiyavaggassa paṭhame kuñjaroti hatthī. Mātuposakoti andhāya jarājiṇṇāya mātuyā paṭijagganako. Mahiyāti bhūmiyaṃ. Guṇenāti sīlaguṇena, tadā mama sadiso natthi.
โพธิสโตฺต หิ ตทา หิมวนฺตปฺปเทเส หตฺถิโยนิยํ นิพฺพตฺติฯ โส สพฺพเสโต อภิรูโป ลกฺขณสมฺปโนฺน มหาหตฺถี อเนกหตฺถิสตสหสฺสปริวาโร อโหสิฯ มาตา ปนสฺส อนฺธาฯ โส มธุรผลาผลานิ หตฺถีนํ หเตฺถสุ ทตฺวา มาตุ เปเสติฯ หตฺถิโน ตสฺสา อทตฺวา สยํ ขาทนฺติฯ โส ปริคฺคณฺหโนฺต ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา ‘‘ยูถํ ปหาย มาตรเมว โปเสสฺสามี’’ติ รตฺติภาเค อเญฺญสํ หตฺถีนํ อชานนฺตานํ มาตรํ คเหตฺวา จโณฺฑรณปพฺพตปาทํ คนฺตฺวา เอกํ นฬินิํ อุปนิสฺสาย ฐิตาย ปพฺพตคุหาย มาตรํ ฐเปตฺวา โปเสสิฯ
Bodhisatto hi tadā himavantappadese hatthiyoniyaṃ nibbatti. So sabbaseto abhirūpo lakkhaṇasampanno mahāhatthī anekahatthisatasahassaparivāro ahosi. Mātā panassa andhā. So madhuraphalāphalāni hatthīnaṃ hatthesu datvā mātu peseti. Hatthino tassā adatvā sayaṃ khādanti. So pariggaṇhanto taṃ pavattiṃ ñatvā ‘‘yūthaṃ pahāya mātarameva posessāmī’’ti rattibhāge aññesaṃ hatthīnaṃ ajānantānaṃ mātaraṃ gahetvā caṇḍoraṇapabbatapādaṃ gantvā ekaṃ naḷiniṃ upanissāya ṭhitāya pabbataguhāya mātaraṃ ṭhapetvā posesi.
๒-๓. ปวเน ทิสฺวา วนจโรติ เอโก วนจรโก ปุริโส ตสฺมิํ มหาวเน วิจรโนฺต มํ ทิสฺวาฯ รโญฺญ มํ ปฎิเวทยีติ พาราณสิรโญฺญ มํ อาโรเจสิฯ
2-3.Pavane disvā vanacaroti eko vanacarako puriso tasmiṃ mahāvane vicaranto maṃ disvā. Rañño maṃ paṭivedayīti bārāṇasirañño maṃ ārocesi.
โส หิ มคฺคมูโฬฺห ทิสํ ววตฺถเปตุํ อสโกฺกโนฺต มหเนฺตน สเทฺทน ปริเทวิฯ โพธิสโตฺตปิ ตสฺส สทฺทํ สุตฺวา ‘‘อยํ ปุริโส อนาโถ, น โข ปเนตํ ปติรูปํ, ยํ เอส มยิ ฐิเต อิธ วินเสฺสยฺยา’’ติ ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตํ ภเยน ปลายนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อโมฺภ ปุริส, นตฺถิ เต มํ นิสฺสาย ภยํ, มา ปลายิ, กสฺมา ตฺวํ ปริเทวโนฺต วิจรสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สามิ, อหํ มคฺคมูโฬฺห อชฺช เม สตฺตโม ทิวโส’’ติ วุเตฺต ‘‘โภ ปุริส, มา ภายิ, อหํ ตํ มนุสฺสปเถ ฐเปสฺสามี’’ติ ตํ อตฺตโน ปิฎฺฐิยํ นิสีทาเปตฺวา อรญฺญโต นีหริตฺวา นิวตฺติฯ โสปิ ปาโป ‘‘นครํ คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสฺสามี’’ติ รุกฺขสญฺญํ ปพฺพตสญฺญญฺจ กโรโนฺตว นิกฺขมิตฺวา พาราณสิํ อคมาสิฯ ตสฺมิํ กาเล รโญฺญ มงฺคลหตฺถี มโต ฯ โส ปุริโส ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา มหาปุริสสฺส อตฺตโน ทิฎฺฐภาวํ อาโรเจสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ตวานุจฺฉโว, มหาราช, คโช วสติ กานเน’’ติอาทิฯ
So hi maggamūḷho disaṃ vavatthapetuṃ asakkonto mahantena saddena paridevi. Bodhisattopi tassa saddaṃ sutvā ‘‘ayaṃ puriso anātho, na kho panetaṃ patirūpaṃ, yaṃ esa mayi ṭhite idha vinasseyyā’’ti tassa santikaṃ gantvā taṃ bhayena palāyantaṃ disvā ‘‘ambho purisa, natthi te maṃ nissāya bhayaṃ, mā palāyi, kasmā tvaṃ paridevanto vicarasī’’ti pucchitvā ‘‘sāmi, ahaṃ maggamūḷho ajja me sattamo divaso’’ti vutte ‘‘bho purisa, mā bhāyi, ahaṃ taṃ manussapathe ṭhapessāmī’’ti taṃ attano piṭṭhiyaṃ nisīdāpetvā araññato nīharitvā nivatti. Sopi pāpo ‘‘nagaraṃ gantvā rañño ārocessāmī’’ti rukkhasaññaṃ pabbatasaññañca karontova nikkhamitvā bārāṇasiṃ agamāsi. Tasmiṃ kāle rañño maṅgalahatthī mato . So puriso rājānaṃ upasaṅkamitvā mahāpurisassa attano diṭṭhabhāvaṃ ārocesi. Tena vuttaṃ ‘‘tavānucchavo, mahārāja, gajo vasati kānane’’tiādi.
ตตฺถ ตวานุจฺฉโวติ ตว โอปวยฺหํ กาตุํ อนุจฺฉวิโก ยุโตฺตฯ น ตสฺส ปริกฺขายโตฺถติ ตสฺส คหเณ คมนุปเจฺฉทนตฺถํ สมนฺตโต ขณิตพฺพปริกฺขาย วา กเรณุยา กณฺณปุเฎน อตฺตานํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ขิตฺตปาสรชฺชุยา พนฺธิตพฺพอาฬกสงฺขาตอาลาเนน วา ยตฺถ ปวิโฎฺฐ กตฺถจิ คนฺตุํ น สโกฺกติ, ตาทิสวญฺจนกาสุยา วา อโตฺถ ปโยชนํ นตฺถิฯ สหคหิเตติ คหณสมกาลํ เอวฯ เอหิตีติ อาคมิสฺสติฯ
Tattha tavānucchavoti tava opavayhaṃ kātuṃ anucchaviko yutto. Na tassa parikkhāyatthoti tassa gahaṇe gamanupacchedanatthaṃ samantato khaṇitabbaparikkhāya vā kareṇuyā kaṇṇapuṭena attānaṃ paṭicchādetvā khittapāsarajjuyā bandhitabbaāḷakasaṅkhātaālānena vā yattha paviṭṭho katthaci gantuṃ na sakkoti, tādisavañcanakāsuyā vā attho payojanaṃ natthi. Sahagahiteti gahaṇasamakālaṃ eva. Ehitīti āgamissati.
ราชา อิมํ มคฺคเทสกํ กตฺวา อรญฺญํ คนฺตฺวา ‘‘อิมินา วุตฺตํ หตฺถินาคํ อาเนหี’’ติ หตฺถาจริยํ สห ปริวาเรน เปเสสิฯ โส เตน สทฺธิํ คนฺตฺวา โพธิสตฺตํ นฬินิํ ปวิสิตฺวา โคจรํ คณฺหนฺตํ ปสฺสิฯ เตน วุตฺตํ –
Rājā imaṃ maggadesakaṃ katvā araññaṃ gantvā ‘‘iminā vuttaṃ hatthināgaṃ ānehī’’ti hatthācariyaṃ saha parivārena pesesi. So tena saddhiṃ gantvā bodhisattaṃ naḷiniṃ pavisitvā gocaraṃ gaṇhantaṃ passi. Tena vuttaṃ –
๔.
4.
‘‘ตสฺส ตํ วจนํ สุตฺวา, ราชาปิ ตุฎฺฐมานโส;
‘‘Tassa taṃ vacanaṃ sutvā, rājāpi tuṭṭhamānaso;
เปเสสิ หตฺถิทมกํ, เฉกาจริยํ สุสิกฺขิตํฯ
Pesesi hatthidamakaṃ, chekācariyaṃ susikkhitaṃ.
๕.
5.
‘‘คนฺตฺวา โส หตฺถิทมโก, อทฺทส ปทุมสฺสเร;
‘‘Gantvā so hatthidamako, addasa padumassare;
ภิสมุฬาลํ อุทฺธรนฺตํ, ยาปนตฺถาย มาตุยา’’ติฯ
Bhisamuḷālaṃ uddharantaṃ, yāpanatthāya mātuyā’’ti.
ตตฺถ เฉกาจริยนฺติ หตฺถิพนฺธนาทิวิธิมฺหิ กุสลํ หตฺถาจริยํฯ สุสิกฺขิตนฺติ หตฺถีนํ สิกฺขาปนวิชฺชาย นิฎฺฐงฺคมเนน สุฎฺฐุ สิกฺขิตํฯ
Tattha chekācariyanti hatthibandhanādividhimhi kusalaṃ hatthācariyaṃ. Susikkhitanti hatthīnaṃ sikkhāpanavijjāya niṭṭhaṅgamanena suṭṭhu sikkhitaṃ.
๖. วิญฺญาย เม สีลคุณนฺติ ‘‘ภโทฺท อยํ หตฺถาชานีโย น มโนฺท, น จโณฺฑ, น โวมิสฺสสีโล วา’’ติ มม สีลคุณํ ชานิตฺวาฯ กถํ? ลกฺขณํ อุปธารยีติ สุสิกฺขิตหตฺถิสิปฺปตฺตา มม ลกฺขณํ สมนฺตโต อุปธาเรสิฯ เตน โส เอหิ ปุตฺตาติ วตฺวาน, มม โสณฺฑาย อคฺคหิฯ
6.Viññāya me sīlaguṇanti ‘‘bhaddo ayaṃ hatthājānīyo na mando, na caṇḍo, na vomissasīlo vā’’ti mama sīlaguṇaṃ jānitvā. Kathaṃ? Lakkhaṇaṃupadhārayīti susikkhitahatthisippattā mama lakkhaṇaṃ samantato upadhāresi. Tena so ehi puttāti vatvāna, mama soṇḍāya aggahi.
๗. โพธิสโตฺต หตฺถาจริยํ ทิสฺวา – ‘‘อิทํ ภยํ มยฺหํ เอตสฺส ปุริสสฺส สนฺติกา อุปฺปนฺนํ, อหํ โข ปน มหาพโล หตฺถิสหสฺสมฺปิ วิทฺธํเสตุํ สมโตฺถ, ปโหมิ กุชฺฌิตฺวา สรฎฺฐกํ เสนาวาหนํ นาเสตุํ, สเจ ปน กุชฺฌิสฺสามิ, สีลํ เม ภิชฺชิสฺสติ, ตสฺมา สตฺตีหิ โกฎฺฎิยมาโนปิ น กุชฺฌิสฺสามี’’ติ จิตฺตํ อธิฎฺฐาย สีสํ โอนาเมตฺวา นิจฺจโลว อฎฺฐาสิฯ เตนาห ภควา ‘‘ยํ เม ตทา ปากติกํ, สรีรานุคตํ พล’’นฺติอาทิฯ
7. Bodhisatto hatthācariyaṃ disvā – ‘‘idaṃ bhayaṃ mayhaṃ etassa purisassa santikā uppannaṃ, ahaṃ kho pana mahābalo hatthisahassampi viddhaṃsetuṃ samattho, pahomi kujjhitvā saraṭṭhakaṃ senāvāhanaṃ nāsetuṃ, sace pana kujjhissāmi, sīlaṃ me bhijjissati, tasmā sattīhi koṭṭiyamānopi na kujjhissāmī’’ti cittaṃ adhiṭṭhāya sīsaṃ onāmetvā niccalova aṭṭhāsi. Tenāha bhagavā ‘‘yaṃ me tadā pākatikaṃ, sarīrānugataṃ bala’’ntiādi.
ตตฺถ ปากติกนฺติ สภาวสิทฺธํฯ สรีรานุคตนฺติ สรีรเมว อนุคตํ กายพลํ, น อุปายกุสลตาสงฺขาตญาณานุคตนฺติ อธิปฺปาโยฯ อชฺช นาคสหสฺสานนฺติ อชฺชกาเล อเนเกสํ หตฺถิสหสฺสานํ สมุทิตานํฯ พเลน สมสาทิสนฺติ เตสํ สรีรพเลน สมสมเมว หุตฺวา สทิสํ, น อุปมามเตฺตนฯ มงฺคลหตฺถิกุเล หิ ตทา โพธิสโตฺต อุปฺปโนฺนติฯ
Tattha pākatikanti sabhāvasiddhaṃ. Sarīrānugatanti sarīrameva anugataṃ kāyabalaṃ, na upāyakusalatāsaṅkhātañāṇānugatanti adhippāyo. Ajja nāgasahassānanti ajjakāle anekesaṃ hatthisahassānaṃ samuditānaṃ. Balena samasādisanti tesaṃ sarīrabalena samasamameva hutvā sadisaṃ, na upamāmattena. Maṅgalahatthikule hi tadā bodhisatto uppannoti.
๘. ยทิหํ เตสํ ปกุเปฺปยฺยนฺติ มํ คหณาย อุปคตานํ เตสํ อหํ ยทิ กุเชฺฌยฺยํ, เตสํ ชีวิตมทฺทเน ปฎิพโล ภเวยฺยํฯ น เกวลํ เตสเญฺญว, อถ โข ยาว รชฺชมฺปิ มานุสนฺติ ยโต รชฺชโต เตสํ อาคตานํ มนุสฺสานํ สพฺพมฺปิ รชฺชํ โปเถตฺวา จุณฺณวิจุณฺณํ กเรยฺยํฯ
8.Yadihaṃ tesaṃ pakuppeyyanti maṃ gahaṇāya upagatānaṃ tesaṃ ahaṃ yadi kujjheyyaṃ, tesaṃ jīvitamaddane paṭibalo bhaveyyaṃ. Na kevalaṃ tesaññeva, atha kho yāva rajjampi mānusanti yato rajjato tesaṃ āgatānaṃ manussānaṃ sabbampi rajjaṃ pothetvā cuṇṇavicuṇṇaṃ kareyyaṃ.
๙. อปิ จาหํ สีลรกฺขายาติ เอวํ สมโตฺถปิ จ อหํ อตฺตนิ ปติฎฺฐิตาย สีลรกฺขาย สีลคุตฺติยา คุโตฺต พโนฺธ วิยฯ น กโรมิ จิเตฺต อญฺญถตฺตนฺติ ตสฺส สีลสฺส อญฺญถตฺตภูตํ เตสํ สตฺตานํ โปถนาทิวิธิํ มยฺหํ จิเตฺต น กโรมิ, ตตฺถ จิตฺตมฺปิ น อุปฺปาเทมิฯ ปกฺขิปนฺตํ มมาฬเกติ อาลานตฺถเมฺภ ปกฺขิปนฺตํ, ‘‘ทิสฺวาปี’’ติ วจนเสโสฯ กสฺมาติ เจ, สีลปารมิปูริยา อีทิเสสุ ฐาเนสุ สีลํ อขเณฺฑนฺตสฺส เม นจิรเสฺสว สีลปารมี ปริปูเรสฺสตีติ สีลปารมิปริปูรณตฺถํ ตสฺส อญฺญถตฺตํ จิเตฺต น กโรมีติ โยชนาฯ
9.Api cāhaṃ sīlarakkhāyāti evaṃ samatthopi ca ahaṃ attani patiṭṭhitāya sīlarakkhāya sīlaguttiyā gutto bandho viya. Na karomi citte aññathattanti tassa sīlassa aññathattabhūtaṃ tesaṃ sattānaṃ pothanādividhiṃ mayhaṃ citte na karomi, tattha cittampi na uppādemi. Pakkhipantaṃ mamāḷaketi ālānatthambhe pakkhipantaṃ, ‘‘disvāpī’’ti vacanaseso. Kasmāti ce, sīlapāramipūriyā īdisesu ṭhānesu sīlaṃ akhaṇḍentassa me nacirasseva sīlapāramī paripūressatīti sīlapāramiparipūraṇatthaṃ tassa aññathattaṃ citte na karomīti yojanā.
๑๐. ‘‘ยทิ เต ม’’นฺติ คาถายปิ สีลรกฺขาย ทฬฺหํ กตฺวา สีลสฺส อธิฎฺฐิตภาวเมว ทเสฺสติฯ ตตฺถ โกเฎฺฎยฺยุนฺติ ภิเนฺทยฺยุํฯ สีลขณฺฑภยา มมาติ มม สีลสฺส ขณฺฑนภเยนฯ
10.‘‘Yadi te ma’’nti gāthāyapi sīlarakkhāya daḷhaṃ katvā sīlassa adhiṭṭhitabhāvameva dasseti. Tattha koṭṭeyyunti bhindeyyuṃ. Sīlakhaṇḍabhayā mamāti mama sīlassa khaṇḍanabhayena.
เอวํ ปน จิเนฺตตฺวา โพธิสเตฺต นิจฺจเล ฐิเต หตฺถาจริโย ปทุมสรํ โอตริตฺวา ตสฺส ลกฺขณสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘เอหิ ปุตฺตา’’ติ รชตทามสทิสาย โสณฺฑาย คเหตฺวา สตฺตเม ทิวเส พาราณสิํ ปาปุณิฯ โส อนฺตรามเคฺค วตฺตมาโนว รโญฺญ สาสนํ เปเสสิฯ ราชา นครํ อลงฺการาเปสิฯ หตฺถาจริโย โพธิสตฺตํ กตคนฺธปริภณฺฑํ อลงฺกตปฎิยตฺตํ หตฺถิสาลํ เนตฺวา วิจิตฺรสาณิยา ปริกฺขิปาเปตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา นานคฺครสโภชนํ อาทาย คนฺตฺวา โพธิสตฺตสฺส ทาเปสิฯ โส ‘‘มาตรํ วินา โคจรํ น คณฺหิสฺสามี’’ติ ปิณฺฑํ น คณฺหิฯ ยาจิโตปิ อคฺคเหตฺวา –
Evaṃ pana cintetvā bodhisatte niccale ṭhite hatthācariyo padumasaraṃ otaritvā tassa lakkhaṇasampattiṃ disvā ‘‘ehi puttā’’ti rajatadāmasadisāya soṇḍāya gahetvā sattame divase bārāṇasiṃ pāpuṇi. So antarāmagge vattamānova rañño sāsanaṃ pesesi. Rājā nagaraṃ alaṅkārāpesi. Hatthācariyo bodhisattaṃ katagandhaparibhaṇḍaṃ alaṅkatapaṭiyattaṃ hatthisālaṃ netvā vicitrasāṇiyā parikkhipāpetvā rañño ārocesi. Rājā nānaggarasabhojanaṃ ādāya gantvā bodhisattassa dāpesi. So ‘‘mātaraṃ vinā gocaraṃ na gaṇhissāmī’’ti piṇḍaṃ na gaṇhi. Yācitopi aggahetvā –
‘‘สา นูนสา กปณิกา, อนฺธา อปริณายิกา;
‘‘Sā nūnasā kapaṇikā, andhā apariṇāyikā;
ขาณุํ ปาเทน ฆเฎฺฎติ, คิริํ จโณฺฑรณํ ปตี’’ติฯ –
Khāṇuṃ pādena ghaṭṭeti, giriṃ caṇḍoraṇaṃ patī’’ti. –
อาหฯ ตํ สุตฺวา ราชา –
Āha. Taṃ sutvā rājā –
‘‘กา นุ เต สา มหานาค, อนฺธา อปริณายิกา;
‘‘Kā nu te sā mahānāga, andhā apariṇāyikā;
ขาณุํ ปาเทน ฆเฎฺฎติ, คิริํ จโณฺฑรณํ ปตี’’ติฯ – ปุจฺฉิตฺวา –
Khāṇuṃ pādena ghaṭṭeti, giriṃ caṇḍoraṇaṃ patī’’ti. – pucchitvā –
‘‘มาตา เม สา มหาราช, อนฺธา อปริณายิกา;
‘‘Mātā me sā mahārāja, andhā apariṇāyikā;
ขาณุํ ปาเทน ฆเฎฺฎติ, คิริํ จโณฺฑรณํ ปตี’’ติฯ –
Khāṇuṃ pādena ghaṭṭeti, giriṃ caṇḍoraṇaṃ patī’’ti. –
วุเตฺต อชฺช สตฺตโม ทิวโส ‘‘มาตา เม โคจรํ น ลภิตฺถา’’ติ วทโต อิมสฺส โคจรํ อคณฺหนฺตสฺสฯ ตสฺมา –
Vutte ajja sattamo divaso ‘‘mātā me gocaraṃ na labhitthā’’ti vadato imassa gocaraṃ agaṇhantassa. Tasmā –
‘‘มุญฺจเถตํ มหานาคํ, โยยํ ภรติ มาตรํ;
‘‘Muñcathetaṃ mahānāgaṃ, yoyaṃ bharati mātaraṃ;
สเมตุ มาตรา นาโค, สห สเพฺพหิ ญาติภี’’ติฯ – วตฺวา มุญฺจาเปสิ –
Sametu mātarā nāgo, saha sabbehi ñātibhī’’ti. – vatvā muñcāpesi –
‘‘มุโตฺต จ พนฺธนา นาโค, มุตฺตทามาย กุญฺชโร;
‘‘Mutto ca bandhanā nāgo, muttadāmāya kuñjaro;
มุหุตฺตํ อสฺสาสยิตฺวา, อคมา เยน ปพฺพโต’’ติฯ
Muhuttaṃ assāsayitvā, agamā yena pabbato’’ti.
ตตฺถ กปณิกาติ วรากาฯ ขาณุํ ปาเทน ฆเฎฺฎตีติ อนฺธตาย ปุตฺตวิโยคทุเกฺขน จ ปริเทวมานา ตตฺถ ตตฺถ รุกฺขกฬิงฺคเร ปาเทน ฆเฎฺฎติฯ จโณฺฑรณํ ปตีติ จโณฺฑรณปพฺพตาภิมุขี, ตสฺมิํ ปพฺพตปาเท ปริพฺภมมานาติ อโตฺถฯ อคมา เยน ปพฺพโตติ โส หตฺถินาโค พนฺธนา มุโตฺต โถกํ วิสฺสมิตฺวา รโญฺญ ทสราชธมฺมคาถาหิ ธมฺมํ เทเสตฺวา ‘‘อปฺปมโตฺต โหหิ, มหาราชา’’ติ โอวาทํ ทตฺวา มหาชเนน คนฺธมาลาทีหิ ปูชิยมาโน นครา นิกฺขมิตฺวา ตทเหว มาตรา สมาคนฺตฺวา สพฺพํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิฯ สา ตุฎฺฐมานสา –
Tattha kapaṇikāti varākā. Khāṇuṃ pādena ghaṭṭetīti andhatāya puttaviyogadukkhena ca paridevamānā tattha tattha rukkhakaḷiṅgare pādena ghaṭṭeti. Caṇḍoraṇaṃ patīti caṇḍoraṇapabbatābhimukhī, tasmiṃ pabbatapāde paribbhamamānāti attho. Agamā yena pabbatoti so hatthināgo bandhanā mutto thokaṃ vissamitvā rañño dasarājadhammagāthāhi dhammaṃ desetvā ‘‘appamatto hohi, mahārājā’’ti ovādaṃ datvā mahājanena gandhamālādīhi pūjiyamāno nagarā nikkhamitvā tadaheva mātarā samāgantvā sabbaṃ pavattiṃ ācikkhi. Sā tuṭṭhamānasā –
‘‘จิรํ ชีวตุ โส ราชา, กาสีนํ รฎฺฐวฑฺฒโน;
‘‘Ciraṃ jīvatu so rājā, kāsīnaṃ raṭṭhavaḍḍhano;
โย เม ปุตฺตํ ปโมเจสิ, สทา วุทฺธาปจายิก’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๑.๑๒) –
Yo me puttaṃ pamocesi, sadā vuddhāpacāyika’’nti. (jā. 1.11.12) –
รโญฺญ อนุโมทนํ อกาสิฯ ราชา โพธิสตฺตสฺส คุเณ ปสีทิตฺวา นฬินิยา อวิทูเร คามํ มาเปตฺวา โพธิสตฺตสฺส มาตุ จสฺส นิพทฺธํ วตฺตํ ปฎฺฐเปสิ ฯ อปรภาเค โพธิสโตฺต มาตริ มตาย ตสฺสา สรีรปริหารํ กตฺวา กุรณฺฑกอสฺสมปทํ นาม คโตฯ ตสฺมิํ ปน ฐาเน หิมวนฺตโต โอตริตฺวา ปญฺจสตา อิสโย วสิํสุฯ ตํ วตฺตํ เตสํ ทตฺวา ราชา โพธิสตฺตสฺส สมานรูปํ สิลาปฎิมํ กาเรตฺวา มหาสกฺการํ ปวเตฺตสิฯ ชมฺพุทีปวาสิโน อนุสํวจฺฉรํ สนฺนิปติตฺวา หตฺถิมหํ นาม กริํสุฯ
Rañño anumodanaṃ akāsi. Rājā bodhisattassa guṇe pasīditvā naḷiniyā avidūre gāmaṃ māpetvā bodhisattassa mātu cassa nibaddhaṃ vattaṃ paṭṭhapesi . Aparabhāge bodhisatto mātari matāya tassā sarīraparihāraṃ katvā kuraṇḍakaassamapadaṃ nāma gato. Tasmiṃ pana ṭhāne himavantato otaritvā pañcasatā isayo vasiṃsu. Taṃ vattaṃ tesaṃ datvā rājā bodhisattassa samānarūpaṃ silāpaṭimaṃ kāretvā mahāsakkāraṃ pavattesi. Jambudīpavāsino anusaṃvaccharaṃ sannipatitvā hatthimahaṃ nāma kariṃsu.
ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, หตฺถินี มหามายา, วนจรโก เทวทโตฺต, มาตุโปสกหตฺถินาโค โลกนาโถฯ
Tadā rājā ānando ahosi, hatthinī mahāmāyā, vanacarako devadatto, mātuposakahatthināgo lokanātho.
อิธาปิ ทานปารมิอาทโย ยถารหํ นิทฺธาเรตพฺพาฯ สีลปารมี ปน อติสยวตีติ สา เอว เทสนํ อาสฺนฺฬหาฯ ตถา ติรจฺฉานโยนิยํ อุปฺปโนฺนปิ พฺรหฺมปุพฺพเทวปุพฺพาจริยอาหุเนยฺยาทิภาเวน สพฺพญฺญุพุเทฺธนปิ ปสตฺถภาวานุรูปํ มาตุยา ครุจิตฺตํ อุปฎฺฐเปตฺวา ‘‘มาตา นาเมสา ปุตฺตสฺส พหูปการา, ตสฺมา มาตุปฎฺฐานํ นาม ปณฺฑิเตน ปญฺญตฺต’’นฺติ มนสิ กตฺวา อเนเกสํ หตฺถิสหสฺสานํ อิสฺสราธิปติ มหานุภาโว ยูถปติ หุตฺวา เตหิ อนุวตฺติยมาโน เอกกวิหาเร อนฺตรายํ อคเณตฺวา ยูถํ ปหาย เอกโก หุตฺวา อุปการิเขตฺตํ ปูเชสฺสามีติ มาตุโปสนํ, มคฺคมูฬฺหปุริสํ ทิสฺวา อนุกมฺปาย ตํ คเหตฺวา มนุสฺสโคจรสมฺปาปนํ, เตน จ กตาปราธสหนํ , หตฺถาจริยปฺปมุขานํ อตฺตานํ พนฺธิตุํ อาคตปุริสานํ สมโตฺถปิ สมาโน สนฺตาสนมเตฺตนปิ เตสํ ปีฬนา ภวิสฺสติ, มยฺหญฺจ สีลสฺส ขณฺฑาทิภาโวติ ตถา อกตฺวา สุทเนฺตน โอปวโยฺห วิย สุเขเนว คหณูปคมนํ, มาตรํ วินา น กญฺจิ อโชฺฌหริสฺสามีติ สตฺตาหมฺปิ อนาหารตา, อิมินาปาหํ พนฺธาปิโตติ จิตฺตํ อนุปฺปาเทตฺวา ราชานํ เมตฺตาย ผรณํ, ตสฺส จ นานานเยหิ ธมฺมเทสนาติ เอวมาทโย อิธ มหาปุริสสฺส คุณานุภาวา วิภาเวตพฺพาฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เอวํ อจฺฉริยา เอเต, อพฺภุตา จ มเหสิโน…เป.… ธมฺมสฺส อนุธมฺมโต’’ติฯ
Idhāpi dānapāramiādayo yathārahaṃ niddhāretabbā. Sīlapāramī pana atisayavatīti sā eva desanaṃ āsnḷahā. Tathā tiracchānayoniyaṃ uppannopi brahmapubbadevapubbācariyaāhuneyyādibhāvena sabbaññubuddhenapi pasatthabhāvānurūpaṃ mātuyā garucittaṃ upaṭṭhapetvā ‘‘mātā nāmesā puttassa bahūpakārā, tasmā mātupaṭṭhānaṃ nāma paṇḍitena paññatta’’nti manasi katvā anekesaṃ hatthisahassānaṃ issarādhipati mahānubhāvo yūthapati hutvā tehi anuvattiyamāno ekakavihāre antarāyaṃ agaṇetvā yūthaṃ pahāya ekako hutvā upakārikhettaṃ pūjessāmīti mātuposanaṃ, maggamūḷhapurisaṃ disvā anukampāya taṃ gahetvā manussagocarasampāpanaṃ, tena ca katāparādhasahanaṃ , hatthācariyappamukhānaṃ attānaṃ bandhituṃ āgatapurisānaṃ samatthopi samāno santāsanamattenapi tesaṃ pīḷanā bhavissati, mayhañca sīlassa khaṇḍādibhāvoti tathā akatvā sudantena opavayho viya sukheneva gahaṇūpagamanaṃ, mātaraṃ vinā na kañci ajjhoharissāmīti sattāhampi anāhāratā, imināpāhaṃ bandhāpitoti cittaṃ anuppādetvā rājānaṃ mettāya pharaṇaṃ, tassa ca nānānayehi dhammadesanāti evamādayo idha mahāpurisassa guṇānubhāvā vibhāvetabbā. Tena vuttaṃ – ‘‘evaṃ acchariyā ete, abbhutā ca mahesino…pe… dhammassa anudhammato’’ti.
มาตุโปสกจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Mātuposakacariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๑. มาตุโปสกจริยา • 1. Mātuposakacariyā