Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    ๑๑. เอกาทสกนิปาโต

    11. Ekādasakanipāto

    [๔๕๕] ๑. มาตุโปสกชาตกวณฺณนา

    [455] 1. Mātuposakajātakavaṇṇanā

    ตสฺส นาคสฺส วิปฺปวาเสนาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต มาตุโปสกภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุ สามชาตกวตฺถุสทิสเมวฯ สตฺถา ปน ภิกฺขู อามเนฺตตฺวา ‘‘มา ภิกฺขเว, เอตํ ภิกฺขุํ อุชฺฌายิตฺถ, โปราณกปณฺฑิตา ติรจฺฉานโยนิยํ นิพฺพตฺตาปิ มาตรา วิยุตฺตา สตฺตาหํ นิราหารตาย สุสฺสมานา ราชารหํ โภชนํ ลภิตฺวาปิ ‘มาตรา วินา น ภุญฺชิสฺสามา’ติ มาตรํ ทิสฺวาว โคจรํ คณฺหิํสู’’ติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตมาหริฯ

    Tassanāgassa vippavāsenāti idaṃ satthā jetavane viharanto mātuposakabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Paccuppannavatthu sāmajātakavatthusadisameva. Satthā pana bhikkhū āmantetvā ‘‘mā bhikkhave, etaṃ bhikkhuṃ ujjhāyittha, porāṇakapaṇḍitā tiracchānayoniyaṃ nibbattāpi mātarā viyuttā sattāhaṃ nirāhāratāya sussamānā rājārahaṃ bhojanaṃ labhitvāpi ‘mātarā vinā na bhuñjissāmā’ti mātaraṃ disvāva gocaraṃ gaṇhiṃsū’’ti vatvā tehi yācito atītamāhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต หิมวนฺตปเทเส หตฺถิโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา สพฺพเสโต อโหสิ อภิรูโป ทสฺสนีโย ปาสาทิโก ลกฺขณสมฺปโนฺน อสีติหตฺถิสหสฺสปริวาโรฯ โส ชราชิณฺณํ มาตรํ โปเสสิ, มาตา ปนสฺส อนฺธาฯ โส มธุรมธุรานิ ผลาผลานิ หตฺถีนํ ทตฺวา มาตุ สนฺติกํ เปเสสิฯ หตฺถี ตสฺสา อทตฺวา อตฺตนาว ขาทนฺติฯ โส ปริคฺคณฺหโนฺต ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา ‘‘ยูถํ ฉเฑฺฑตฺวา มาตรเมว โปเสสฺสามี’’ติ รตฺติภาเค อเญฺญสํ หตฺถีนํ อชานนฺตานํ มาตรํ คเหตฺวา จโณฺฑรณปพฺพตปาทํ คนฺตฺวา เอกํ นฬินิํ อุปนิสฺสาย ฐิตาย ปพฺพตคุหายํ มาตรํ ฐเปตฺวา โปเสสิฯ อเถโก พาราณสิวาสี วนจรโก มคฺคมูโฬฺห ทิสํ ววตฺถเปตุํ อสโกฺกโนฺต มหเนฺตน สเทฺทน ปริเทวิฯ โพธิสโตฺต ตสฺส สทฺทํ สุตฺวา ‘‘อยํ ปุริโส อนาโถ, น โข ปน เมตํ ปติรูปํ, ยํ เอส มยิ ฐิเต อิธ วินเสฺสยฺยา’’ติ ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตํ ภเยน ปลายนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อโมฺภ ปุริส, นตฺถิ เต มํ นิสฺสาย ภยํ, มา ปลายิ, กสฺมา ตฺวํ ปริเทวโนฺต วิจรสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สามิ, อหํ มคฺคมูโฬฺห, อชฺช เม สตฺตโม ทิวโส’’ติ วุเตฺต ‘‘โภ ปุริส, มา ภายิ, อหํ ตํ มนุสฺสปเถ ฐเปสฺสามี’’ติ ตํ อตฺตโน ปิฎฺฐิยํ นิสีทาเปตฺวา อรญฺญา นีหริตฺวา นิวตฺติฯ โสปิ ปาโป ‘‘นครํ คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสฺสามี’’ติ รุกฺขสญฺญํ ปพฺพตสญฺญํ กโรโนฺตว นิกฺขมิตฺวา พาราณสิํ อคมาสิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto himavantapadese hatthiyoniyaṃ nibbattitvā sabbaseto ahosi abhirūpo dassanīyo pāsādiko lakkhaṇasampanno asītihatthisahassaparivāro. So jarājiṇṇaṃ mātaraṃ posesi, mātā panassa andhā. So madhuramadhurāni phalāphalāni hatthīnaṃ datvā mātu santikaṃ pesesi. Hatthī tassā adatvā attanāva khādanti. So pariggaṇhanto taṃ pavattiṃ ñatvā ‘‘yūthaṃ chaḍḍetvā mātarameva posessāmī’’ti rattibhāge aññesaṃ hatthīnaṃ ajānantānaṃ mātaraṃ gahetvā caṇḍoraṇapabbatapādaṃ gantvā ekaṃ naḷiniṃ upanissāya ṭhitāya pabbataguhāyaṃ mātaraṃ ṭhapetvā posesi. Atheko bārāṇasivāsī vanacarako maggamūḷho disaṃ vavatthapetuṃ asakkonto mahantena saddena paridevi. Bodhisatto tassa saddaṃ sutvā ‘‘ayaṃ puriso anātho, na kho pana metaṃ patirūpaṃ, yaṃ esa mayi ṭhite idha vinasseyyā’’ti tassa santikaṃ gantvā taṃ bhayena palāyantaṃ disvā ‘‘ambho purisa, natthi te maṃ nissāya bhayaṃ, mā palāyi, kasmā tvaṃ paridevanto vicarasī’’ti pucchitvā ‘‘sāmi, ahaṃ maggamūḷho, ajja me sattamo divaso’’ti vutte ‘‘bho purisa, mā bhāyi, ahaṃ taṃ manussapathe ṭhapessāmī’’ti taṃ attano piṭṭhiyaṃ nisīdāpetvā araññā nīharitvā nivatti. Sopi pāpo ‘‘nagaraṃ gantvā rañño ārocessāmī’’ti rukkhasaññaṃ pabbatasaññaṃ karontova nikkhamitvā bārāṇasiṃ agamāsi.

    ตสฺมิํ กาเล รโญฺญ มงฺคลหตฺถี กาลมกาสิฯ ราชา ‘‘สเจ เกนจิ กตฺถจิ โอปวยฺหํ กาตุํ ยุตฺตรูโป หตฺถี ทิโฎฺฐ อตฺถิ, โส อาจิกฺขตู’’ติ เภริํ จราเปสิฯ โส ปุริโส ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘มยา, เทว, ตุมฺหากํ โอปวโยฺห ภวิตุํ ยุตฺตรูโป สพฺพเสโต สีลวา หตฺถิราชา ทิโฎฺฐ, อหํ มคฺคํ ทเสฺสสฺสามิ, มยา สทฺธิํ หตฺถาจริเย เปเสตฺวา ตํ คณฺหาเปถา’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ ‘‘อิมํ มคฺคเทสกํ กตฺวา อรญฺญํ คนฺตฺวา อิมินา วุตฺตํ หตฺถินาคํ อาเนถา’’ติ เตน สทฺธิํ มหเนฺตน ปริวาเรน หตฺถาจริยํ เปเสสิฯ โส เตน สทฺธิํ คนฺตฺวา โพธิสตฺตํ นฬินิํ ปวิสิตฺวา โคจรํ คณฺหนฺตํ ปสฺสิฯ โพธิสโตฺตปิ หตฺถาจริยํ ทิสฺวา ‘‘อิทํ ภยํ น อญฺญโต อุปฺปนฺนํ, ตสฺส ปุริสสฺส สนฺติกา อุปฺปนฺนํ ภวิสฺสติ, อหํ โข ปน มหาพโล หตฺถิสหสฺสมฺปิ วิทฺธํเสตุํ สมโตฺถ โหมิ, กุชฺฌิตฺวา สรฎฺฐกํ เสนาวาหนํ นาเสตุํ, สเจ ปน กุชฺฌิสฺสามิ, สีลํ เม ภิชฺชิสฺสติ, ตสฺมา อชฺช สตฺตีหิ โกฎฺฎิยมาโนปิ น กุชฺฌิสฺสามี’’ติ อธิฎฺฐาย สีสํ นาเมตฺวา นิจฺจโลว อฎฺฐาสิฯ หตฺถาจริโย ปทุมสรํ โอตริตฺวา ตสฺส ลกฺขณสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘เอหิ ปุตฺตา’’ติ รชตทามสทิสาย โสณฺฑาย คเหตฺวา สตฺตเม ทิวเส พาราณสิํ ปาปุณิฯ โพธิสตฺตมาตา ปน ปุเตฺต อนาคจฺฉเนฺต ‘‘ปุโตฺต เม ราชราชมหามตฺตาทีหิ นีโต ภวิสฺสติ, อิทานิ ตสฺส วิปฺปวาเสน อยํ วนสโณฺฑ วฑฺฒิสฺสตี’’ติ ปริเทวมานา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Tasmiṃ kāle rañño maṅgalahatthī kālamakāsi. Rājā ‘‘sace kenaci katthaci opavayhaṃ kātuṃ yuttarūpo hatthī diṭṭho atthi, so ācikkhatū’’ti bheriṃ carāpesi. So puriso rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘mayā, deva, tumhākaṃ opavayho bhavituṃ yuttarūpo sabbaseto sīlavā hatthirājā diṭṭho, ahaṃ maggaṃ dassessāmi, mayā saddhiṃ hatthācariye pesetvā taṃ gaṇhāpethā’’ti āha. Rājā ‘‘sādhū’’ti ‘‘imaṃ maggadesakaṃ katvā araññaṃ gantvā iminā vuttaṃ hatthināgaṃ ānethā’’ti tena saddhiṃ mahantena parivārena hatthācariyaṃ pesesi. So tena saddhiṃ gantvā bodhisattaṃ naḷiniṃ pavisitvā gocaraṃ gaṇhantaṃ passi. Bodhisattopi hatthācariyaṃ disvā ‘‘idaṃ bhayaṃ na aññato uppannaṃ, tassa purisassa santikā uppannaṃ bhavissati, ahaṃ kho pana mahābalo hatthisahassampi viddhaṃsetuṃ samattho homi, kujjhitvā saraṭṭhakaṃ senāvāhanaṃ nāsetuṃ, sace pana kujjhissāmi, sīlaṃ me bhijjissati, tasmā ajja sattīhi koṭṭiyamānopi na kujjhissāmī’’ti adhiṭṭhāya sīsaṃ nāmetvā niccalova aṭṭhāsi. Hatthācariyo padumasaraṃ otaritvā tassa lakkhaṇasampattiṃ disvā ‘‘ehi puttā’’ti rajatadāmasadisāya soṇḍāya gahetvā sattame divase bārāṇasiṃ pāpuṇi. Bodhisattamātā pana putte anāgacchante ‘‘putto me rājarājamahāmattādīhi nīto bhavissati, idāni tassa vippavāsena ayaṃ vanasaṇḍo vaḍḍhissatī’’ti paridevamānā dve gāthā abhāsi –

    .

    1.

    ‘‘ตสฺส นาคสฺส วิปฺปวาเสน, วิรูโฬฺห สลฺลกี จ กุฎชา จ;

    ‘‘Tassa nāgassa vippavāsena, virūḷho sallakī ca kuṭajā ca;

    กุรุวินฺทกรวีรา ภิสสามา จ, นิวาเต ปุปฺผิตา จ กณิการาฯ

    Kuruvindakaravīrā bhisasāmā ca, nivāte pupphitā ca kaṇikārā.

    .

    2.

    ‘‘โกจิเทว สุวณฺณกายุรา, นาคราชํ ภรนฺติ ปิเณฺฑน;

    ‘‘Kocideva suvaṇṇakāyurā, nāgarājaṃ bharanti piṇḍena;

    ยตฺถ ราชา ราชกุมาโร วา, กวจมภิเหสฺสติ อฉมฺภิโต’’ติฯ

    Yattha rājā rājakumāro vā, kavacamabhihessati achambhito’’ti.

    ตตฺถ วิรูฬฺหาติ วฑฺฒิตา นาม, นเตฺถตฺถ สํสโยติ อสํสยวเสเนวมาหฯ สลฺลกี จ กุฎชา จาติ อินฺทสาลรุกฺขา จ กุฎชรุกฺขา จฯ กุรุวินฺทกรวีรา ภิสสามา จาติ กุรุวินฺทรุกฺขา จ กรวีรนามกานิ มหาติณานิ จ ภิสานิ จ สามากานิ จาติ อโตฺถฯ เอเต จ สเพฺพ อิทานิ วฑฺฒิสฺสนฺตีติ ปริเทวติฯ นิวาเตติ ปพฺพตปาเทฯ ปุปฺผิตาติ มม ปุเตฺตน สาขํ ภญฺชิตฺวา อขาทิยมานา กณิการาปิ ปุปฺผิตา ภวิสฺสนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ โกจิเทวาติ กตฺถจิเทว คาเม วา นคเร วาฯ สุวณฺณกายุราติ สุวณฺณาภรณา ราชราชมหามตฺตาฯ ภรนฺติ ปิเณฺฑนาติ อชฺช มาตุโปสกํ นาคราชํ ราชารหสฺส โภชนสฺส สุวฑฺฒิเตน ปิเณฺฑน โปเสนฺติฯ ยตฺถาติ ยสฺมิํ นาคราเช ราชา นิสีทิตฺวาฯ กวจมภิเหสฺสตีติ สงฺคามํ ปวิสิตฺวา ปจฺจามิตฺตานํ กวจํ อภิหนิสฺสติ ภินฺทิสฺสติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘ยตฺถ มม ปุเตฺต นิสิโนฺน ราชา วา ราชกุมาโร วา อฉมฺภิโต หุตฺวา สปตฺตานํ กวจํ หนิสฺสติ, ตํ เม ปุตฺตํ นาคราชานํ สุวณฺณาภรณา อชฺช ปิเณฺฑน ภรนฺตี’’ติฯ

    Tattha virūḷhāti vaḍḍhitā nāma, natthettha saṃsayoti asaṃsayavasenevamāha. Sallakī ca kuṭajā cāti indasālarukkhā ca kuṭajarukkhā ca. Kuruvindakaravīrā bhisasāmā cāti kuruvindarukkhā ca karavīranāmakāni mahātiṇāni ca bhisāni ca sāmākāni cāti attho. Ete ca sabbe idāni vaḍḍhissantīti paridevati. Nivāteti pabbatapāde. Pupphitāti mama puttena sākhaṃ bhañjitvā akhādiyamānā kaṇikārāpi pupphitā bhavissantīti vuttaṃ hoti. Kocidevāti katthacideva gāme vā nagare vā. Suvaṇṇakāyurāti suvaṇṇābharaṇā rājarājamahāmattā. Bharanti piṇḍenāti ajja mātuposakaṃ nāgarājaṃ rājārahassa bhojanassa suvaḍḍhitena piṇḍena posenti. Yatthāti yasmiṃ nāgarāje rājā nisīditvā. Kavacamabhihessatīti saṅgāmaṃ pavisitvā paccāmittānaṃ kavacaṃ abhihanissati bhindissati. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘yattha mama putte nisinno rājā vā rājakumāro vā achambhito hutvā sapattānaṃ kavacaṃ hanissati, taṃ me puttaṃ nāgarājānaṃ suvaṇṇābharaṇā ajja piṇḍena bharantī’’ti.

    หตฺถาจริโยปิ อนฺตรามเคฺคว รโญฺญ สาสนํ เปเสสิฯ ตํ สุตฺวา ราชา นครํ อลงฺการาเปสิฯ หตฺถาจริโย โพธิสตฺตํ กตคนฺธปริภณฺฑํ อลงฺกตปฎิยตฺตํ หตฺถิสาลํ เนตฺวา วิจิตฺรสาณิยา ปริกฺขิปาเปตฺวา รโญฺญ อาโรจาเปสิฯ ราชา นานคฺครสโภชนํ อาทาย คนฺตฺวา โพธิสตฺตสฺส ทาเปสิฯ โส ‘‘มาตรํ วินา โคจรํ น คณฺหิสฺสามี’’ติ ปิณฺฑํ น คณฺหิฯ อถ นํ ยาจโนฺต ราชา ตติยํ คาถมาห –

    Hatthācariyopi antarāmaggeva rañño sāsanaṃ pesesi. Taṃ sutvā rājā nagaraṃ alaṅkārāpesi. Hatthācariyo bodhisattaṃ katagandhaparibhaṇḍaṃ alaṅkatapaṭiyattaṃ hatthisālaṃ netvā vicitrasāṇiyā parikkhipāpetvā rañño ārocāpesi. Rājā nānaggarasabhojanaṃ ādāya gantvā bodhisattassa dāpesi. So ‘‘mātaraṃ vinā gocaraṃ na gaṇhissāmī’’ti piṇḍaṃ na gaṇhi. Atha naṃ yācanto rājā tatiyaṃ gāthamāha –

    .

    3.

    ‘‘คณฺหาหิ นาค กพฬํ, มา นาค กิสโก ภว;

    ‘‘Gaṇhāhi nāga kabaḷaṃ, mā nāga kisako bhava;

    พหูนิ ราชกิจฺจานิ, ตานิ นาค กริสฺสสี’’ติฯ

    Bahūni rājakiccāni, tāni nāga karissasī’’ti.

    ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต จตุตฺถํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā bodhisatto catutthaṃ gāthamāha –

    .

    4.

    ‘‘สา นูนสา กปณิกา, อนฺธา อปริณายิกา;

    ‘‘Sā nūnasā kapaṇikā, andhā apariṇāyikā;

    ขาณุํ ปาเทน ฆเฎฺฎติ, คิริํ จโณฺฑรณํ ปตี’’ติฯ

    Khāṇuṃ pādena ghaṭṭeti, giriṃ caṇḍoraṇaṃ patī’’ti.

    ตตฺถ สา นูนสาติ มหาราช, นูน สา เอสาฯ กปณิกาติ ปุตฺตวิโยเคน กปณาฯ ขาณุนฺติ ตตฺถ ตตฺถ ปติตํ รุกฺขกลิงฺครํฯ ฆเฎฺฎตีติ ปริเทวมานา ตตฺถ ตตฺถ ปาเทน โปเถนฺตี นูน ปาเทน หนติ ฯ คิริํ จโณฺฑรณํ ปตีติ จโณฺฑรณปพฺพตาภิมุขี, ปพฺพตปาเท ปริปฺผนฺทมานาติ อโตฺถฯ

    Tattha sā nūnasāti mahārāja, nūna sā esā. Kapaṇikāti puttaviyogena kapaṇā. Khāṇunti tattha tattha patitaṃ rukkhakaliṅgaraṃ. Ghaṭṭetīti paridevamānā tattha tattha pādena pothentī nūna pādena hanati . Giriṃ caṇḍoraṇaṃ patīti caṇḍoraṇapabbatābhimukhī, pabbatapāde paripphandamānāti attho.

    อถ นํ ปุจฺฉโนฺต ราชา ปญฺจมํ คาถมาห –

    Atha naṃ pucchanto rājā pañcamaṃ gāthamāha –

    .

    5.

    ‘‘กา นุ เต สา มหานาค, อนฺธา อปริณายิกา;

    ‘‘Kā nu te sā mahānāga, andhā apariṇāyikā;

    ขาณุํ ปาเทน ฆเฎฺฎติ, คิริํ จโณฺฑรณํ ปตี’’ติฯ

    Khāṇuṃ pādena ghaṭṭeti, giriṃ caṇḍoraṇaṃ patī’’ti.

    โพธิสโตฺต ฉฎฺฐํ คาถมาห –

    Bodhisatto chaṭṭhaṃ gāthamāha –

    .

    6.

    ‘‘มาตา เม สา มหาราช, อนฺธา อปริณายิกา;

    ‘‘Mātā me sā mahārāja, andhā apariṇāyikā;

    ขาณุํ ปาเทน ฆเฎฺฎติ, คิริํ จโณฺฑรณํ ปตี’’ติฯ

    Khāṇuṃ pādena ghaṭṭeti, giriṃ caṇḍoraṇaṃ patī’’ti.

    ราชา ฉฎฺฐคาถาย ตมตฺถํ สุตฺวา มุญฺจาเปโนฺต สตฺตมํ คาถมาห –

    Rājā chaṭṭhagāthāya tamatthaṃ sutvā muñcāpento sattamaṃ gāthamāha –

    .

    7.

    ‘‘มุญฺจเถตํ มหานาคํ, โยยํ ภรติ มาตรํ;

    ‘‘Muñcathetaṃ mahānāgaṃ, yoyaṃ bharati mātaraṃ;

    สเมตุ มาตรา นาโค, สห สเพฺพหิ ญาติภี’’ติฯ

    Sametu mātarā nāgo, saha sabbehi ñātibhī’’ti.

    ตตฺถ โยยํ ภรตีติ อยํ นาโค ‘‘อหํ, มหาราช, อนฺธํ มาตรํ โปเสมิ, มยา วินา มยฺหํ มาตา ชีวิตกฺขยํ ปาปุณิสฺสติ, ตาย วินา มยฺหํ อิสฺสริเยน อโตฺถ นตฺถิ, อชฺช เม มาตุ โคจรํ อลภนฺติยา สตฺตโม ทิวโส’’ติ วทติ, ตสฺมา โย อยํ มาตรํ ภรติ, เอตํ มหานาคํ ขิปฺปํ มุญฺจถฯ สเพฺพหิ ญาติภีติ สทฺธิํ เอส มาตรา สเมตุ สมาคจฺฉตูติฯ

    Tattha yoyaṃ bharatīti ayaṃ nāgo ‘‘ahaṃ, mahārāja, andhaṃ mātaraṃ posemi, mayā vinā mayhaṃ mātā jīvitakkhayaṃ pāpuṇissati, tāya vinā mayhaṃ issariyena attho natthi, ajja me mātu gocaraṃ alabhantiyā sattamo divaso’’ti vadati, tasmā yo ayaṃ mātaraṃ bharati, etaṃ mahānāgaṃ khippaṃ muñcatha. Sabbehi ñātibhīti saddhiṃ esa mātarā sametu samāgacchatūti.

    อฎฺฐมนวมา อภิสมฺพุทฺธคาถา โหนฺติ –

    Aṭṭhamanavamā abhisambuddhagāthā honti –

    .

    8.

    ‘‘มุโตฺต จ พนฺธนา นาโค, มุตฺตมาทาย กุญฺชโร;

    ‘‘Mutto ca bandhanā nāgo, muttamādāya kuñjaro;

    มุหุตฺตํ อสฺสาสยิตฺวา, อคมา เยน ปพฺพโตฯ

    Muhuttaṃ assāsayitvā, agamā yena pabbato.

    .

    9.

    ‘‘ตโต โส นฬินิํ คนฺตฺวา, สีตํ กุญฺชรเสวิตํ;

    ‘‘Tato so naḷiniṃ gantvā, sītaṃ kuñjarasevitaṃ;

    โสณฺฑายูทกมาหตฺวา, มาตรํ อภิสิญฺจถา’’ติฯ

    Soṇḍāyūdakamāhatvā, mātaraṃ abhisiñcathā’’ti.

    โส กิร นาโค พนฺธนา มุโตฺต โถกํ วิสฺสมิตฺวา รโญฺญ ทสราชธมฺมคาถาย ธมฺมํ เทเสตฺวา ‘‘อปฺปมโตฺต โหหิ, มหาราชา’’ติ โอวาทํ ทตฺวา มหาชเนน คนฺธมาลาทีหิ ปูชิยมาโน นครา นิกฺขมิตฺวา ตทเหว ตํ ปทุมสรํ ปตฺวา ‘‘มม มาตรํ โคจรํ คาหาเปตฺวาว สยํ คณฺหิสฺสามี’’ติ พหุํ ภิสมุฬาลํ อาทาย โสณฺฑปูรํ อุทกํ คเหตฺวา คุหาเลณโต นิกฺขมิตฺวา คุหาทฺวาเร นิสินฺนาย มาตุยา สนฺติกํ คนฺตฺวา สตฺตาหํ นิราหารตาย มาตุ สรีรสฺส ผสฺสปฎิลาภตฺถํ อุปริ อุทกํ สิญฺจิ, ตมตฺถํ อาวิกโรโนฺต สตฺถา เทฺว คาถา อภาสิฯ โพธิสตฺตสฺส มาตาปิ ‘‘เทโว วสฺสตี’’ติ สญฺญาย ตํ อโกฺกสนฺตี ทสมํ คาถมาห –

    So kira nāgo bandhanā mutto thokaṃ vissamitvā rañño dasarājadhammagāthāya dhammaṃ desetvā ‘‘appamatto hohi, mahārājā’’ti ovādaṃ datvā mahājanena gandhamālādīhi pūjiyamāno nagarā nikkhamitvā tadaheva taṃ padumasaraṃ patvā ‘‘mama mātaraṃ gocaraṃ gāhāpetvāva sayaṃ gaṇhissāmī’’ti bahuṃ bhisamuḷālaṃ ādāya soṇḍapūraṃ udakaṃ gahetvā guhāleṇato nikkhamitvā guhādvāre nisinnāya mātuyā santikaṃ gantvā sattāhaṃ nirāhāratāya mātu sarīrassa phassapaṭilābhatthaṃ upari udakaṃ siñci, tamatthaṃ āvikaronto satthā dve gāthā abhāsi. Bodhisattassa mātāpi ‘‘devo vassatī’’ti saññāya taṃ akkosantī dasamaṃ gāthamāha –

    ๑๐.

    10.

    ‘‘โกยํ อนริโย เทโว, อกาเลนปิ วสฺสติ;

    ‘‘Koyaṃ anariyo devo, akālenapi vassati;

    คโต เม อตฺรโช ปุโตฺต, โย มยฺหํ ปริจารโก’’ติฯ

    Gato me atrajo putto, yo mayhaṃ paricārako’’ti.

    ตตฺถ อตฺรโชติ อตฺตโต ชาโตฯ

    Tattha atrajoti attato jāto.

    อถ นํ สมสฺสาเสโนฺต โพธิสโตฺต เอกาทสมํ คาถมาห –

    Atha naṃ samassāsento bodhisatto ekādasamaṃ gāthamāha –

    ๑๑.

    11.

    ‘‘อุเฎฺฐหิ อมฺม กิํ เสสิ, อาคโต ตฺยาหมตฺรโช;

    ‘‘Uṭṭhehi amma kiṃ sesi, āgato tyāhamatrajo;

    มุโตฺตมฺหิ กาสิราเชน, เวเทเหน ยสสฺสินา’’ติฯ

    Muttomhi kāsirājena, vedehena yasassinā’’ti.

    ตตฺถ อาคโต ตฺยาหนฺติ อาคโต เต อหํฯ เวเทเหนาติ ญาณสมฺปเนฺนนฯ ยสสฺสินาติ มหาปริวาเรน เตน รญฺญา มงฺคลหตฺถิภาวาย คหิโตปิ อหํ มุโตฺต, อิทานิ ตว สนฺติกํ อาคโต อุเฎฺฐหิ โคจรํ คณฺหาหีติฯ

    Tattha āgato tyāhanti āgato te ahaṃ. Vedehenāti ñāṇasampannena. Yasassināti mahāparivārena tena raññā maṅgalahatthibhāvāya gahitopi ahaṃ mutto, idāni tava santikaṃ āgato uṭṭhehi gocaraṃ gaṇhāhīti.

    สา ตุฎฺฐมานสา รโญฺญ อนุโมทนํ กโรนฺตี โอสานคาถมาห –

    Sā tuṭṭhamānasā rañño anumodanaṃ karontī osānagāthamāha –

    ๑๒.

    12.

    ‘‘จิรํ ชีวตุ โส ราชา, กาสีนํ รฎฺฐวฑฺฒโน;

    ‘‘Ciraṃ jīvatu so rājā, kāsīnaṃ raṭṭhavaḍḍhano;

    โย เม ปุตฺตํ ปโมเจสิ, สทา วุทฺธาปจายิก’’นฺติฯ

    Yo me puttaṃ pamocesi, sadā vuddhāpacāyika’’nti.

    ตทา ราชา โพธิสตฺตสฺส คุเณ ปสีทิตฺวา นฬินิยา อวิทูเร คามํ มาเปตฺวา โพธิสตฺตสฺส จ มาตุ จสฺส นิพทฺธํ วตฺตํ ปฎฺฐเปสิฯ อปรภาเค โพธิสโตฺต มาตริ กาลกตาย ตสฺสา สรีรปริหารํ กตฺวา การณฺฑกอสฺสมปทํ นาม คโตฯ ตสฺมิํ ปน ฐาเน หิมวนฺตโต โอตริตฺวา ปญฺจสตา อิสโย วสิํสุ, ตํ วตฺตํ เตสํ อทาสิฯ ราชา โพธิสตฺตสฺส สมานรูปํ สิลาปฎิมํ กาเรตฺวา มหาสกฺการํ ปวเตฺตสิ ฯ สกลชมฺพุทีปวาสิโน อนุสํวจฺฉรํ สนฺนิปติตฺวา หตฺถิมหํ นาม กริํสุฯ

    Tadā rājā bodhisattassa guṇe pasīditvā naḷiniyā avidūre gāmaṃ māpetvā bodhisattassa ca mātu cassa nibaddhaṃ vattaṃ paṭṭhapesi. Aparabhāge bodhisatto mātari kālakatāya tassā sarīraparihāraṃ katvā kāraṇḍakaassamapadaṃ nāma gato. Tasmiṃ pana ṭhāne himavantato otaritvā pañcasatā isayo vasiṃsu, taṃ vattaṃ tesaṃ adāsi. Rājā bodhisattassa samānarūpaṃ silāpaṭimaṃ kāretvā mahāsakkāraṃ pavattesi . Sakalajambudīpavāsino anusaṃvaccharaṃ sannipatitvā hatthimahaṃ nāma kariṃsu.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน มาตุโปสกภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, ปาปปุริโส เทวทโตฺต, หตฺถาจริโย สาริปุโตฺต, มาตา หตฺถินี มหามายา, มาตุโปสกนาโค ปน อหเมว อโหสินฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne mātuposakabhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tadā rājā ānando ahosi, pāpapuriso devadatto, hatthācariyo sāriputto, mātā hatthinī mahāmāyā, mātuposakanāgo pana ahameva ahosinti.

    มาตุโปสกชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ

    Mātuposakajātakavaṇṇanā paṭhamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๕๕. มาตุโปสกชาตกํ • 455. Mātuposakajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact