Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๓๙๐] ๕. มยฺหกชาตกวณฺณนา

    [390] 5. Mayhakajātakavaṇṇanā

    สกุโณ มยฺหโก นามาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อาคนฺตุกเสฎฺฐิํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถิยญฺหิ อาคนฺตุกเสฎฺฐิ นาม อโฑฺฒ อโหสิ มหทฺธโนฯ โส เนว อตฺตนา โภเค ภุญฺชิ, น ปเรสํ อทาสิ, นานคฺครเส ปณีเต โภชเน อุปนีเต ตํ น ภุญฺชติ, พิลงฺคทุติยํ กณาชกํ เอว ภุญฺชติ, ธูปิตวาสิเตสุ กาสิกวเตฺถสุ อุปนีเตสุ ตานิ หาเรตฺวา ถูลถูลสาฎเก นิวาเสติ, อาชานียยุเตฺต มณิกนกวิจิเตฺต รเถ อุปนีเต ตมฺปิ หราเปตฺวา กตฺตรรถเกน คจฺฉติ, สุวณฺณจฺฉเตฺต ธาริยมาเน ตํ อปเนตฺวา ปณฺณจฺฉเตฺตน ธาริยมาเนนฯ โส ยาวชีวํ ทานาทีสุ ปุเญฺญสุ เอกมฺปิ อกตฺวา กาลํ กตฺวา โรรุวนิรเย นิพฺพตฺติฯ ตสฺส อปุตฺตกํ สาปเตยฺยํ ราชพลํ สตฺตหิ รตฺติทิวเสหิ ราชกุลํ ปเวเสสิฯ ตสฺมิํ ปเวสิเต ราชา ภุตฺตปาตราโส เชตวนํ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา นิสิโนฺน ‘‘กิํ, มหาราช, พุทฺธุปฎฺฐานํ น กโรสี’’ติ วุเตฺต ‘‘ภเนฺต, สาวตฺถิยํ อาคนฺตุกเสฎฺฐิโน นาม กาลกตสฺส อสฺสามิกธเน อมฺหากํ ฆเร อาหริยมาเนเยว สตฺต รตฺติทิวสา คตา, โส ปน เอตํ ธนํ ลภิตฺวาปิ เนว อตฺตนา ปริภุญฺชิ, น ปเรสํ อทาสิ, รกฺขสปริคฺคหิตโปกฺขรณี วิยสฺส ธนํ อโหสิ, โส เอกทิวสมฺปิ ปณีตโภชนาทีนํ รสํ อนนุภวิตฺวาว มรณมุขํ ปวิโฎฺฐ, เอวํ มจฺฉรี อปุญฺญสโตฺต กิํ กตฺวา เอตฺตกํ ธนํ ลภิ, เกน จสฺส โภเคสุ จิตฺตํ น รมี’’ติ สตฺถารํ ปุจฺฉิฯ สตฺถา ‘‘มหาราช, ธนลาโภ จ, ธนํ ลทฺธา อปริภุญฺชนการณญฺจ เตเนว กต’’นฺติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Sakuṇomayhako nāmāti idaṃ satthā jetavane viharanto āgantukaseṭṭhiṃ ārabbha kathesi. Sāvatthiyañhi āgantukaseṭṭhi nāma aḍḍho ahosi mahaddhano. So neva attanā bhoge bhuñji, na paresaṃ adāsi, nānaggarase paṇīte bhojane upanīte taṃ na bhuñjati, bilaṅgadutiyaṃ kaṇājakaṃ eva bhuñjati, dhūpitavāsitesu kāsikavatthesu upanītesu tāni hāretvā thūlathūlasāṭake nivāseti, ājānīyayutte maṇikanakavicitte rathe upanīte tampi harāpetvā kattararathakena gacchati, suvaṇṇacchatte dhāriyamāne taṃ apanetvā paṇṇacchattena dhāriyamānena. So yāvajīvaṃ dānādīsu puññesu ekampi akatvā kālaṃ katvā roruvaniraye nibbatti. Tassa aputtakaṃ sāpateyyaṃ rājabalaṃ sattahi rattidivasehi rājakulaṃ pavesesi. Tasmiṃ pavesite rājā bhuttapātarāso jetavanaṃ gantvā satthāraṃ vanditvā nisinno ‘‘kiṃ, mahārāja, buddhupaṭṭhānaṃ na karosī’’ti vutte ‘‘bhante, sāvatthiyaṃ āgantukaseṭṭhino nāma kālakatassa assāmikadhane amhākaṃ ghare āhariyamāneyeva satta rattidivasā gatā, so pana etaṃ dhanaṃ labhitvāpi neva attanā paribhuñji, na paresaṃ adāsi, rakkhasapariggahitapokkharaṇī viyassa dhanaṃ ahosi, so ekadivasampi paṇītabhojanādīnaṃ rasaṃ ananubhavitvāva maraṇamukhaṃ paviṭṭho, evaṃ maccharī apuññasatto kiṃ katvā ettakaṃ dhanaṃ labhi, kena cassa bhogesu cittaṃ na ramī’’ti satthāraṃ pucchi. Satthā ‘‘mahārāja, dhanalābho ca, dhanaṃ laddhā aparibhuñjanakāraṇañca teneva kata’’nti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต พาราณสิเสฎฺฐิ อสฺสโทฺธ อโหสิ มจฺฉรี, น กสฺสจิ กิญฺจิ เทติ, น กญฺจิ สงฺคณฺหาติฯ โส เอกทิวสํ ราชุปฎฺฐานํ คจฺฉโนฺต ตครสิขิํ นาม ปเจฺจกพุทฺธํ ปิณฺฑาย จรนฺตํ ทิสฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘ลทฺธา, ภเนฺต, ภิกฺขา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘นนุ จราม มหาเสฎฺฐี’’ติ วุเตฺต ปุริสํ อาณาเปสิ ‘‘คจฺฉ, อิมํ อมฺหากํ ฆรํ อาเนตฺวา มม ปลฺลเงฺก นิสีทาเปตฺวา อมฺหากํ ปฎิยตฺตภตฺตสฺส ปตฺตํ ปูเรตฺวา ทาเปหี’’ติฯ โส ปเจฺจกพุทฺธํ ฆรํ เนตฺวา นิสีทาเปตฺวา เสฎฺฐิภริยาย อาจิกฺขิฯ สา นานคฺครสภตฺตสฺส ปตฺตํ ปูเรตฺวา ตสฺส อทาสิฯ โส ภตฺตํ คเหตฺวา เสฎฺฐินิเวสนา นิกฺขมิตฺวา อนฺตรวีถิยํ ปฎิปชฺชิฯ เสฎฺฐิ ราชกุลโต ปจฺจาคจฺฉโนฺต ตํ ทิสฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘ลทฺธํ, ภเนฺต, ภตฺต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ลทฺธํ มหาเสฎฺฐี’’ติฯ โส ปตฺตํ โอโลเกตฺวา จิตฺตํ ปสาเทตุํ นาสกฺขิ , ‘‘อิมํ เม ภตฺตํ ทาสา วา กมฺมกรา วา ภุญฺชิตฺวา ทุกฺกรมฺปิ กมฺมํ กเรยฺยุํ, อโห วต เม ชานี’’ติ อปรเจตนํ ปริปุณฺณํ กาตุํ นาสกฺขิฯ ทานญฺหิ นาม ติโสฺส เจตนา ปริปุณฺณํ กาตุํ สโกฺกนฺตเสฺสว มหปฺผลํ โหติฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bārāṇasiseṭṭhi assaddho ahosi maccharī, na kassaci kiñci deti, na kañci saṅgaṇhāti. So ekadivasaṃ rājupaṭṭhānaṃ gacchanto tagarasikhiṃ nāma paccekabuddhaṃ piṇḍāya carantaṃ disvā vanditvā ‘‘laddhā, bhante, bhikkhā’’ti pucchitvā ‘‘nanu carāma mahāseṭṭhī’’ti vutte purisaṃ āṇāpesi ‘‘gaccha, imaṃ amhākaṃ gharaṃ ānetvā mama pallaṅke nisīdāpetvā amhākaṃ paṭiyattabhattassa pattaṃ pūretvā dāpehī’’ti. So paccekabuddhaṃ gharaṃ netvā nisīdāpetvā seṭṭhibhariyāya ācikkhi. Sā nānaggarasabhattassa pattaṃ pūretvā tassa adāsi. So bhattaṃ gahetvā seṭṭhinivesanā nikkhamitvā antaravīthiyaṃ paṭipajji. Seṭṭhi rājakulato paccāgacchanto taṃ disvā vanditvā ‘‘laddhaṃ, bhante, bhatta’’nti pucchi. ‘‘Laddhaṃ mahāseṭṭhī’’ti. So pattaṃ oloketvā cittaṃ pasādetuṃ nāsakkhi , ‘‘imaṃ me bhattaṃ dāsā vā kammakarā vā bhuñjitvā dukkarampi kammaṃ kareyyuṃ, aho vata me jānī’’ti aparacetanaṃ paripuṇṇaṃ kātuṃ nāsakkhi. Dānañhi nāma tisso cetanā paripuṇṇaṃ kātuṃ sakkontasseva mahapphalaṃ hoti.

    ‘‘ปุเพฺพว ทานา สุมนา ภวาม, ททมฺปิ เว อตฺตมนา ภวาม;

    ‘‘Pubbeva dānā sumanā bhavāma, dadampi ve attamanā bhavāma;

    ทตฺวาปิ เว นานุตปฺปาม ปจฺฉา, ตสฺมา หิ อมฺหํ ทหรา นมิยฺยเรฯ (ชา. ๑.๑๐.๙๕);

    Datvāpi ve nānutappāma pacchā, tasmā hi amhaṃ daharā namiyyare. (jā. 1.10.95);

    ‘‘ปุเพฺพว ทานา สุมโน, ททํ จิตฺตํ ปสาทเย;

    ‘‘Pubbeva dānā sumano, dadaṃ cittaṃ pasādaye;

    ทตฺวา อตฺตมโน โหติ, เอสา ยญฺญสฺส สมฺปทา’’ฯ (อ. นิ. ๖.๓๗; เป. ว. ๓๐๕);

    Datvā attamano hoti, esā yaññassa sampadā’’. (a. ni. 6.37; pe. va. 305);

    อิติ, มหาราช, อาคนฺตุกเสฎฺฐิ ตครสิขิปเจฺจกพุทฺธสฺส ทินฺนปจฺจเยน พหุํ ธนํ ลภิ, ทตฺวา อปรเจตนํ ปณีตํ กาตุํ อสมตฺถตาย โภเค ภุญฺชิตุํ นาสกฺขีติฯ ‘‘ปุตฺตํ ปน กสฺมา น ลภิ, ภเนฺต’’ติ? สตฺถา ‘‘ปุตฺตสฺส อลภนการณมฺปิ เตเนว กตํ, มหาราชา’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Iti, mahārāja, āgantukaseṭṭhi tagarasikhipaccekabuddhassa dinnapaccayena bahuṃ dhanaṃ labhi, datvā aparacetanaṃ paṇītaṃ kātuṃ asamatthatāya bhoge bhuñjituṃ nāsakkhīti. ‘‘Puttaṃ pana kasmā na labhi, bhante’’ti? Satthā ‘‘puttassa alabhanakāraṇampi teneva kataṃ, mahārājā’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต อสีติโกฎิวิภเว เสฎฺฐิกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต มาตาปิตูนํ อจฺจเยน กนิฎฺฐํ สงฺคณฺหิตฺวา กุฎุมฺพํ วิจาเรโนฺต ฆรทฺวาเร ทานสาลํ กาเรตฺวา มหาทานํ ปวเตฺตโนฺต อคารํ อชฺฌาวสิฯ อถสฺส เอโก ปุโตฺต ชายิฯ โส ตสฺส ปทสา คมนกาเล กาเมสุ อาทีนวํ เนกฺขเมฺม จานิสํสํ ทิสฺวา สทฺธิํ ปุตฺตทาเรน สพฺพํ ฆรวิภวํ กนิฎฺฐสฺส นิยฺยาเตตฺวา ‘‘อปฺปมโตฺต ทานํ ปวเตฺตหี’’ติ โอวาทํ ทตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา หิมวนฺตปเทเส วิหาสิฯ กนิโฎฺฐปิสฺส เอกํ ปุตฺตํ ปฎิลภิฯ โส ตํ วฑฺฒนฺตํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘มม ภาตุ ปุเตฺต ชีวเนฺต กุฎุมฺพํ ภินฺทิตฺวา ทฺวิธา ภวิสฺสติ, ภาตุ ปุตฺตํ มาเรสฺสามี’’ติฯ อถ นํ เอกทิวสํ นทิยํ โอปิลาเปตฺวา มาเรสิฯ ตเมนํ นฺหตฺวา อาคตํ ภาตุ ชายา ‘‘กุหิํ มม ปุโตฺต’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘นทิยํ อุทกํ กีฬิ, อถ นํ อุทเก วิจินโนฺต นาทฺทส’’นฺติฯ สา โรทิตฺวา กนฺทิตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto asītikoṭivibhave seṭṭhikule nibbattitvā vayappatto mātāpitūnaṃ accayena kaniṭṭhaṃ saṅgaṇhitvā kuṭumbaṃ vicārento gharadvāre dānasālaṃ kāretvā mahādānaṃ pavattento agāraṃ ajjhāvasi. Athassa eko putto jāyi. So tassa padasā gamanakāle kāmesu ādīnavaṃ nekkhamme cānisaṃsaṃ disvā saddhiṃ puttadārena sabbaṃ gharavibhavaṃ kaniṭṭhassa niyyātetvā ‘‘appamatto dānaṃ pavattehī’’ti ovādaṃ datvā isipabbajjaṃ pabbajitvā abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā himavantapadese vihāsi. Kaniṭṭhopissa ekaṃ puttaṃ paṭilabhi. So taṃ vaḍḍhantaṃ disvā cintesi ‘‘mama bhātu putte jīvante kuṭumbaṃ bhinditvā dvidhā bhavissati, bhātu puttaṃ māressāmī’’ti. Atha naṃ ekadivasaṃ nadiyaṃ opilāpetvā māresi. Tamenaṃ nhatvā āgataṃ bhātu jāyā ‘‘kuhiṃ mama putto’’ti pucchi. ‘‘Nadiyaṃ udakaṃ kīḷi, atha naṃ udake vicinanto nāddasa’’nti. Sā roditvā kanditvā tuṇhī ahosi.

    โพธิสโตฺต ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา ‘‘อิทํ กิจฺจํ ปากฎํ กริสฺสามี’’ติ อากาเสนาคนฺตฺวา พาราณสิยํ โอตริตฺวา สุนิวโตฺถ สุปารุโต ตสฺส ฆรทฺวาเร ฐตฺวา ทานสาลํ อทิสฺวา ‘‘ทานสาลาปิ อิมินา อสปฺปุริเสน นาสิตา’’ติ จิเนฺตสิฯ กนิโฎฺฐ ตสฺส อาคตภาวํ ญตฺวา อาคนฺตฺวา มหาสตฺตํ วนฺทิตฺวา ปาสาทํ อาโรเปตฺวา สุโภชนํ โภเชสิฯ โส ภตฺตกิจฺจาวสาเน สุขกถาย นิสิโนฺน ‘‘ทารโก น ปญฺญายติ, กหํ นุ โข’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มโต, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘เกน การเณนา’’ติ? ‘‘อุทกกีฬนฎฺฐาเน อสุกการเณนาติ น ชานามี’’ติฯ ‘‘กิํ ตฺวํ อสปฺปุริส น ชานิสฺสสิ, ตยา กตกิจฺจํ มยฺหํ ปากฎํ, นนุ ตฺวํ อิมินา นาม การเณน ตํ มาเรสิ, กิํ นุ ตฺวํ ราชาทีนํ วเสน นสฺสมานํ ธนํ รกฺขิตุํ สกฺกุเณยฺยาสิ, มยฺหกสกุณสฺส จ ตุยฺหญฺจ กิํ นานากรณ’’นฺติ? อถสฺส มหาสโตฺต พุทฺธลีฬาย ธมฺมํ เทเสโนฺต อิมา คาถา อภาสิ –

    Bodhisatto taṃ pavattiṃ ñatvā ‘‘idaṃ kiccaṃ pākaṭaṃ karissāmī’’ti ākāsenāgantvā bārāṇasiyaṃ otaritvā sunivattho supāruto tassa gharadvāre ṭhatvā dānasālaṃ adisvā ‘‘dānasālāpi iminā asappurisena nāsitā’’ti cintesi. Kaniṭṭho tassa āgatabhāvaṃ ñatvā āgantvā mahāsattaṃ vanditvā pāsādaṃ āropetvā subhojanaṃ bhojesi. So bhattakiccāvasāne sukhakathāya nisinno ‘‘dārako na paññāyati, kahaṃ nu kho’’ti pucchi. ‘‘Mato, bhante’’ti. ‘‘Kena kāraṇenā’’ti? ‘‘Udakakīḷanaṭṭhāne asukakāraṇenāti na jānāmī’’ti. ‘‘Kiṃ tvaṃ asappurisa na jānissasi, tayā katakiccaṃ mayhaṃ pākaṭaṃ, nanu tvaṃ iminā nāma kāraṇena taṃ māresi, kiṃ nu tvaṃ rājādīnaṃ vasena nassamānaṃ dhanaṃ rakkhituṃ sakkuṇeyyāsi, mayhakasakuṇassa ca tuyhañca kiṃ nānākaraṇa’’nti? Athassa mahāsatto buddhalīḷāya dhammaṃ desento imā gāthā abhāsi –

    ๑๐๒.

    102.

    ‘‘สกุโณ มยฺหโก นาม, คิริสานุทรีจโร;

    ‘‘Sakuṇo mayhako nāma, girisānudarīcaro;

    ปกฺกํ ปิปฺผลิมารุยฺห, ‘มยฺหํ มยฺห’นฺติ กนฺทติฯ

    Pakkaṃ pipphalimāruyha, ‘mayhaṃ mayha’nti kandati.

    ๑๐๓.

    103.

    ‘‘ตเสฺสวํ วิลปนฺตสฺส, ทิชสงฺฆา สมาคตา;

    ‘‘Tassevaṃ vilapantassa, dijasaṅghā samāgatā;

    ภุตฺวาน ปิปฺผลิํ ยนฺติ, วิลปเตฺวว โส ทิโชฯ

    Bhutvāna pipphaliṃ yanti, vilapatveva so dijo.

    ๑๐๔.

    104.

    ‘‘เอวเมว อิเธกโจฺจ, สงฺฆริตฺวา พหุํ ธนํ;

    ‘‘Evameva idhekacco, saṅgharitvā bahuṃ dhanaṃ;

    เนวตฺตโน น ญาตีนํ, ยโถธิํ ปฎิปชฺชติฯ

    Nevattano na ñātīnaṃ, yathodhiṃ paṭipajjati.

    ๑๐๕.

    105.

    ‘‘น โส อจฺฉาทนํ ภตฺตํ, น มาลํ น วิเลปนํ;

    ‘‘Na so acchādanaṃ bhattaṃ, na mālaṃ na vilepanaṃ;

    อนุโภติ สกิํ กิญฺจิ, น สงฺคณฺหาติ ญาตเกฯ

    Anubhoti sakiṃ kiñci, na saṅgaṇhāti ñātake.

    ๑๐๖.

    106.

    ‘‘ตเสฺสวํ วิลปนฺตสฺส, มยฺหํ มยฺหนฺติ รกฺขโต;

    ‘‘Tassevaṃ vilapantassa, mayhaṃ mayhanti rakkhato;

    ราชาโน อถ วา โจรา, ทายาทา เยว อปฺปิยา;

    Rājāno atha vā corā, dāyādā yeva appiyā;

    ธนมาทาย คจฺฉนฺติ, วิลปเตฺวว โส นโรฯ

    Dhanamādāya gacchanti, vilapatveva so naro.

    ๑๐๗.

    107.

    ‘‘ธีโร โภเค อธิคมฺม, สงฺคณฺหาติ จ ญาตเก;

    ‘‘Dhīro bhoge adhigamma, saṅgaṇhāti ca ñātake;

    เตน โส กิตฺติํ ปโปฺปติ, เปจฺจ สเคฺค ปโมทตี’’ติฯ

    Tena so kittiṃ pappoti, pecca sagge pamodatī’’ti.

    ตตฺถ มยฺหโกติ ‘‘มยฺหํ มยฺห’’นฺติ วิรวนวเสน เอวํลทฺธนาโมฯ คิริสานุทรีสุ จรตีติ คิริสานุทรีจโรฯ ปกฺกํ ปิปฺผลินฺติ หิมวนฺตปเทเส เอกํ ผลภริตํ ปิปฺผลิรุกฺขํฯ กนฺทตีติ ทิชคเณ ตํ รุกฺขํ ปริวาเรตฺวา ปกฺกานิ ขาทเนฺต วาเรตุํ ‘‘มยฺหํ มยฺห’’นฺติ ปริเทวโนฺต วิจรติฯ ตเสฺสวํ วิลปนฺตสฺสาติ ตสฺส วิลปนฺตเสฺสวฯ ภุตฺวาน วิปฺผลิํ ยนฺตีติ ตํ ปิปฺผลิรุกฺขํ ปริภุญฺชิตฺวา อญฺญํ ผลสมฺปนฺนํ รุกฺขํ คจฺฉนฺติฯ วิลปเตฺววาติ โส ปน ทิโช วิลปติเยวฯ ยโถธินฺติ ยถาโกฎฺฐาสํ, มาตาปิตาภาตุภคินีปุตฺตธีตาทีนํ อุปโภคปริโภควเสน โย โย โกฎฺฐาโส ทาตโพฺพ, ตํ ตํ น เทตีติ อโตฺถฯ

    Tattha mayhakoti ‘‘mayhaṃ mayha’’nti viravanavasena evaṃladdhanāmo. Girisānudarīsu caratīti girisānudarīcaro. Pakkaṃ pipphalinti himavantapadese ekaṃ phalabharitaṃ pipphalirukkhaṃ. Kandatīti dijagaṇe taṃ rukkhaṃ parivāretvā pakkāni khādante vāretuṃ ‘‘mayhaṃ mayha’’nti paridevanto vicarati. Tassevaṃ vilapantassāti tassa vilapantasseva. Bhutvāna vipphaliṃ yantīti taṃ pipphalirukkhaṃ paribhuñjitvā aññaṃ phalasampannaṃ rukkhaṃ gacchanti. Vilapatvevāti so pana dijo vilapatiyeva. Yathodhinti yathākoṭṭhāsaṃ, mātāpitābhātubhaginīputtadhītādīnaṃ upabhogaparibhogavasena yo yo koṭṭhāso dātabbo, taṃ taṃ na detīti attho.

    สกินฺติ เอกวารมฺปิ นานุโภติฯ ‘‘สก’’นฺติปิ ปาโฐ, อตฺตโน สนฺตกมฺปีติ อโตฺถฯ น สงฺคณฺหาตีติ ภตฺตจฺฉาทนพีชนงฺคลาทิทานวเสน น สงฺคณฺหาติฯ วิลปเตฺวว โส นโรติ เอเตสุ ราชาทีสุ ธนํ คเหตฺวา คจฺฉเนฺตสุ เกวลํ โส ปุริโส วิลปติเยวฯ ธีโรติ ปณฺฑิโตฯ สงฺคณฺหาตีติ อตฺตโน สนฺติกํ อาคเต ทุพฺพลญาตเก ภตฺตจฺฉาทนพีชนงฺคลาทิทาเนน สงฺคณฺหาติฯ เตนาติ โส ปุริโส เตน ญาติสงฺคเหน จตุปริสมเชฺฌ กิตฺติญฺจ อตฺตโน วณฺณภณนญฺจ ปาปุณาติ, เปจฺจ สเคฺค เทวนคเร ปโมทติฯ

    Sakinti ekavārampi nānubhoti. ‘‘Saka’’ntipi pāṭho, attano santakampīti attho. Na saṅgaṇhātīti bhattacchādanabījanaṅgalādidānavasena na saṅgaṇhāti. Vilapatveva so naroti etesu rājādīsu dhanaṃ gahetvā gacchantesu kevalaṃ so puriso vilapatiyeva. Dhīroti paṇḍito. Saṅgaṇhātīti attano santikaṃ āgate dubbalañātake bhattacchādanabījanaṅgalādidānena saṅgaṇhāti. Tenāti so puriso tena ñātisaṅgahena catuparisamajjhe kittiñca attano vaṇṇabhaṇanañca pāpuṇāti, pecca sagge devanagare pamodati.

    เอวํ มหาสโตฺต ตสฺส ธมฺมํ เทเสตฺวา ทานํ ปากติกํ กาเรตฺวา หิมวนฺตเมว คนฺตฺวา อปริหีนชฺฌาโน พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ

    Evaṃ mahāsatto tassa dhammaṃ desetvā dānaṃ pākatikaṃ kāretvā himavantameva gantvā aparihīnajjhāno brahmalokūpago ahosi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘อิติ โข, มหาราช, อาคนฺตุกเสฎฺฐิ ภาตุ ปุตฺตสฺส มาริตตฺตา เอตฺตกํ กาลํ เนว ปุตฺตํ, น ธีตรํ อลภี’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา กนิโฎฺฐ อาคนฺตุกเสฎฺฐิ อโหสิ, เชฎฺฐโก ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘iti kho, mahārāja, āgantukaseṭṭhi bhātu puttassa māritattā ettakaṃ kālaṃ neva puttaṃ, na dhītaraṃ alabhī’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā kaniṭṭho āgantukaseṭṭhi ahosi, jeṭṭhako pana ahameva ahosi’’nti.

    มยฺหกชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ

    Mayhakajātakavaṇṇanā pañcamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๙๐. มยฺหกชาตกํ • 390. Mayhakajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact