Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā |
๔. เมฆิยวโคฺค
4. Meghiyavaggo
๑. เมฆิยสุตฺตวณฺณนา
1. Meghiyasuttavaṇṇanā
๓๑. เมฆิยวคฺคสฺส ปฐเม จาลิกายนฺติ เอวํ นามเก นคเรฯ ตสฺส กิร นครสฺส ทฺวารฎฺฐานํ มุญฺจิตฺวา สมนฺตโต จลปงฺกํ โหติ, ตํ จลปงฺกํ นิสฺสาย ฐิตตฺตา โอโลเกนฺตานํ จลมานํ วิย อุปฎฺฐาติ, ตสฺมา ‘‘จาลิกา’’ติ วุจฺจติฯ จาลิเก ปพฺพเตติ ตสฺส นครสฺส อวิทูเร เอโก ปพฺพโต, โสปิ สพฺพเสตตฺตา กาลปกฺขอุโปสเถ โอโลเกนฺตานํ จลมาโน วิย อุปฎฺฐาติ, ตสฺมา ‘‘จาลิกปพฺพโต’’ติ สงฺขํ คโตฯ ตตฺถ ภควโต มหนฺตํ วิหารํ การยิํสุ, ภควา ตทา ตํ นครํ โคจรคามํ กตฺวา ตสฺมิํ จาลิกปพฺพตมหาวิหาเร วิหรติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘จาลิกายํ วิหรติ จาลิเก ปพฺพเต’’ติฯ เมฆิโยติ ตสฺส เถรสฺส นามํฯ อุปฎฺฐาโก โหตีติ ปริจารโก โหติฯ ภควโต หิ ปฐมโพธิยํ อุปฎฺฐากา อนิพทฺธา อเหสุํ, เอกทา นาคสมาโล, เอกทา นาคิโต, เอกทา อุปวาโน, เอกทา สุนกฺขโตฺต, ตทาปิ เมฆิยเตฺถโรว อุปฎฺฐาโกฯ เตนาห – ‘‘เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา เมฆิโย ภควโต อุปฎฺฐาโก โหตี’’ติฯ
31. Meghiyavaggassa paṭhame cālikāyanti evaṃ nāmake nagare. Tassa kira nagarassa dvāraṭṭhānaṃ muñcitvā samantato calapaṅkaṃ hoti, taṃ calapaṅkaṃ nissāya ṭhitattā olokentānaṃ calamānaṃ viya upaṭṭhāti, tasmā ‘‘cālikā’’ti vuccati. Cālike pabbateti tassa nagarassa avidūre eko pabbato, sopi sabbasetattā kālapakkhauposathe olokentānaṃ calamāno viya upaṭṭhāti, tasmā ‘‘cālikapabbato’’ti saṅkhaṃ gato. Tattha bhagavato mahantaṃ vihāraṃ kārayiṃsu, bhagavā tadā taṃ nagaraṃ gocaragāmaṃ katvā tasmiṃ cālikapabbatamahāvihāre viharati. Tena vuttaṃ – ‘‘cālikāyaṃ viharati cālike pabbate’’ti. Meghiyoti tassa therassa nāmaṃ. Upaṭṭhāko hotīti paricārako hoti. Bhagavato hi paṭhamabodhiyaṃ upaṭṭhākā anibaddhā ahesuṃ, ekadā nāgasamālo, ekadā nāgito, ekadā upavāno, ekadā sunakkhatto, tadāpi meghiyattherova upaṭṭhāko. Tenāha – ‘‘tena kho pana samayena āyasmā meghiyo bhagavato upaṭṭhāko hotī’’ti.
ชนฺตุคามนฺติ เอวํ นามกํ ตเสฺสว วิหารสฺส อปรํ โคจรคามํฯ ‘‘ชตฺตุคาม’’นฺติปิ ปาโฐฯ กิมิกาฬายาติ กาฬกิมีนํ พหุลตาย ‘‘กิมิกาฬา’’ติ ลทฺธนามาย นทิยาฯ ชงฺฆวิหารนฺติ จิรนิสชฺชาย ชงฺฆาสุ อุปฺปนฺนกิลมถวิโนทนตฺถํ วิจรณํฯ ปาสาทิกนฺติ อวิรฬรุกฺขตาย สินิทฺธปตฺตตาย จ ปสฺสนฺตานํ ปสาทมาวหตีติ ปาสาทิกํฯ สนฺทจฺฉายตาย มนุญฺญภูมิภาคตาย จ มนุญฺญํฯ อโนฺต ปวิฎฺฐานํ ปีติโสมนสฺสชนนเฎฺฐน จิตฺตํ รเมตีติ รมณียํฯ อลนฺติ ปริยตฺตํ, ยุตฺตนฺติปิ อโตฺถฯ ปธานตฺถิกสฺสาติ โยเคน ภาวนาย อตฺถิกสฺสฯ ปธานายาติ สมณธมฺมกรณายฯ อาคเจฺฉยฺยาหนฺติ อาคเจฺฉยฺยํ อหํฯ เถเรน กิร ปุเพฺพ ตํ ฐานํ อนุปฎิปาฎิยา ปญฺจ ชาติสตานิ รญฺญา เอว สตา อนุภูตํ อุยฺยานํ อโหสิ, เตนสฺส ทิฎฺฐมเตฺตเยว ตตฺถ วิหริตุํ จิตฺตํ นมิฯ อาคเมหิ ตาวาติ สตฺถา เถรสฺส วจนํ สุตฺวา อุปธาเรโนฺต ‘‘น ตาวสฺส ญาณํ ปริปากํ คต’’นฺติ ญตฺวา ปฎิกฺขิปโนฺต เอวมาห ฯ เอกกมฺหิ ตาวาติ อิทํ ปนสฺส ‘‘เอวมยํ คนฺตฺวาปิ กเมฺม อนิปฺผชฺชมาเน นิราสโงฺก หุตฺวา เปมวเสน ปุน อาคจฺฉิสฺสตี’’ติ จิตฺตมทฺทวชนนตฺถํ อาหฯ ยาว อโญฺญปิ โกจิ ภิกฺขุ อาคจฺฉตีติ อโญฺญ โกจิ ภิกฺขุ มม สนฺติกํ ยาว อาคจฺฉติ, ตาว อาคเมหีติ อโตฺถฯ ‘‘โกจิ ภิกฺขุ ทิสฺสตี’’ติปิ ปาโฐฯ ‘‘อาคจฺฉตู’’ติปิ ปฐนฺติ, ตถา ‘‘ทิสฺสตู’’ติฯ
Jantugāmanti evaṃ nāmakaṃ tasseva vihārassa aparaṃ gocaragāmaṃ. ‘‘Jattugāma’’ntipi pāṭho. Kimikāḷāyāti kāḷakimīnaṃ bahulatāya ‘‘kimikāḷā’’ti laddhanāmāya nadiyā. Jaṅghavihāranti ciranisajjāya jaṅghāsu uppannakilamathavinodanatthaṃ vicaraṇaṃ. Pāsādikanti aviraḷarukkhatāya siniddhapattatāya ca passantānaṃ pasādamāvahatīti pāsādikaṃ. Sandacchāyatāya manuññabhūmibhāgatāya ca manuññaṃ. Anto paviṭṭhānaṃ pītisomanassajananaṭṭhena cittaṃ rametīti ramaṇīyaṃ. Alanti pariyattaṃ, yuttantipi attho. Padhānatthikassāti yogena bhāvanāya atthikassa. Padhānāyāti samaṇadhammakaraṇāya. Āgaccheyyāhanti āgaccheyyaṃ ahaṃ. Therena kira pubbe taṃ ṭhānaṃ anupaṭipāṭiyā pañca jātisatāni raññā eva satā anubhūtaṃ uyyānaṃ ahosi, tenassa diṭṭhamatteyeva tattha viharituṃ cittaṃ nami. Āgamehi tāvāti satthā therassa vacanaṃ sutvā upadhārento ‘‘na tāvassa ñāṇaṃ paripākaṃ gata’’nti ñatvā paṭikkhipanto evamāha . Ekakamhi tāvāti idaṃ panassa ‘‘evamayaṃ gantvāpi kamme anipphajjamāne nirāsaṅko hutvā pemavasena puna āgacchissatī’’ti cittamaddavajananatthaṃ āha. Yāva aññopi koci bhikkhu āgacchatīti añño koci bhikkhu mama santikaṃ yāva āgacchati, tāva āgamehīti attho. ‘‘Koci bhikkhu dissatī’’tipi pāṭho. ‘‘Āgacchatū’’tipi paṭhanti, tathā ‘‘dissatū’’ti.
นตฺถิ กิญฺจิ อุตฺตริ กรณียนฺติ จตูสุ สเจฺจสุ จตูหิ มเคฺคหิ ปริญฺญาทีนํ โสฬสนฺนํ กิจฺจานํ กตตฺตา, อภิสโมฺพธิยา วา อธิคตตฺตา ตโต อญฺญํ อุตฺตริ กรณียํ นาม นตฺถิฯ นตฺถิ กตสฺส วา ปติจโยติ กตสฺส วา ปุน ปติจโยปิ นตฺถิฯ น หิ ภาวิตมโคฺค ปุน ภาวียติ, ปหีนกิเลสานํ วา ปุน ปหาเนน กิจฺจํ อตฺถิฯ อตฺถิ กตสฺส ปติจโยติ มยฺหํ สนฺตาเน นิปฺผาทิตสฺส สีลาทิธมฺมสฺส อริยมคฺคสฺส อนธิคตตฺตา ตทตฺถํ ปุน วฑฺฒนสงฺขาโต ปติจโย อตฺถิ, อิจฺฉิตโพฺพติ อโตฺถฯ ปธานนฺติ โข เมฆิย วทมานํ กินฺติ วเทยฺยามาติ ‘‘สมณธมฺมํ กโรมี’’ติ ตํ วทมานํ มยํ อญฺญํ กิํ นาม วเทยฺยาม?
Natthi kiñci uttari karaṇīyanti catūsu saccesu catūhi maggehi pariññādīnaṃ soḷasannaṃ kiccānaṃ katattā, abhisambodhiyā vā adhigatattā tato aññaṃ uttari karaṇīyaṃ nāma natthi. Natthi katassa vā paticayoti katassa vā puna paticayopi natthi. Na hi bhāvitamaggo puna bhāvīyati, pahīnakilesānaṃ vā puna pahānena kiccaṃ atthi. Atthi katassa paticayoti mayhaṃ santāne nipphāditassa sīlādidhammassa ariyamaggassa anadhigatattā tadatthaṃ puna vaḍḍhanasaṅkhāto paticayo atthi, icchitabboti attho. Padhānanti kho meghiya vadamānaṃ kinti vadeyyāmāti ‘‘samaṇadhammaṃ karomī’’ti taṃ vadamānaṃ mayaṃ aññaṃ kiṃ nāma vadeyyāma?
ทิวาวิหารํ นิสีทีติ ทิวาวิหารตฺถาย นิสีทิฯ นิสิโนฺน จ ยสฺมิํ มงฺคลสิลาปเฎฺฎ ปุเพฺพ อนุปฎิปาฎิยา ปญฺจ ชาติสตานิ ราชา หุตฺวา อุยฺยานกีฬํ กีฬโนฺต วิวิธนาฎกปริวาโร นิสินฺนปุโพฺพ, ตสฺมิํเยว ฐาเน นิสีทิฯ อถสฺส นิสินฺนกาลโต ปฎฺฐาย สมณภาโว วิคโต วิย อโหสิ, ราชเวสํ คเหตฺวา นาฎกปริวารปริวุโต เสตจฺฉตฺตสฺส เหฎฺฐา มหารเห ปลฺลเงฺก นิสิโนฺน วิย ชาโตฯ อถสฺส ตํ สมฺปตฺติํ อสฺสาทยโต กามวิตโกฺก อุทปาทิฯ โส ตสฺมิํเยว ขเณ สโหฑฺฒํ คหิเต เทฺว โจเร อาเนตฺวา ปุรโต ฐปิเต วิย อทฺทสฯ เตสุ เอกสฺส วธํ อาณาปนวเสน พฺยาปาทวิตโกฺก อุปฺปชฺชิ, เอกสฺส พนฺธนํ อาณาปนวเสน วิหิํสาวิตโกฺก, เอวํ โส ลตาชาเลน รุโกฺข วิย มธุมกฺขิกาหิ มธุฆาตโก วิย จ อกุสลวิตเกฺกหิ ปริกฺขิโตฺต สมฺปริกิโณฺณ อโหสิฯ ตํ สนฺธาย ‘‘อถ โข อายสฺมโต เมฆิยสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Divāvihāraṃnisīdīti divāvihāratthāya nisīdi. Nisinno ca yasmiṃ maṅgalasilāpaṭṭe pubbe anupaṭipāṭiyā pañca jātisatāni rājā hutvā uyyānakīḷaṃ kīḷanto vividhanāṭakaparivāro nisinnapubbo, tasmiṃyeva ṭhāne nisīdi. Athassa nisinnakālato paṭṭhāya samaṇabhāvo vigato viya ahosi, rājavesaṃ gahetvā nāṭakaparivāraparivuto setacchattassa heṭṭhā mahārahe pallaṅke nisinno viya jāto. Athassa taṃ sampattiṃ assādayato kāmavitakko udapādi. So tasmiṃyeva khaṇe sahoḍḍhaṃ gahite dve core ānetvā purato ṭhapite viya addasa. Tesu ekassa vadhaṃ āṇāpanavasena byāpādavitakko uppajji, ekassa bandhanaṃ āṇāpanavasena vihiṃsāvitakko, evaṃ so latājālena rukkho viya madhumakkhikāhi madhughātako viya ca akusalavitakkehi parikkhitto samparikiṇṇo ahosi. Taṃ sandhāya ‘‘atha kho āyasmato meghiyassā’’tiādi vuttaṃ.
อจฺฉริยํ วต โภติ ครหณจฺฉริยํ นาม กิเรตํ ยถา อายสฺมา อานโนฺท ภควโต วลิยคตฺตํ ทิสฺวา อโวจ ‘‘อจฺฉริยํ, ภเนฺต, อพฺภุตํ, ภเนฺต’’ติ (สํ. นิ. ๕.๕๑๑)ฯ อปเร ปน ‘‘ตสฺมิํ สมเย ปุปฺผผลปลฺลวาทีสุ โลภวเสน กามวิตโกฺก, ขรสฺสรานํ ปกฺขิอาทีนํ สทฺทสฺสวเนน พฺยาปาทวิตโกฺก, เลฑฺฑุอาทีหิ เตสํ ปฎิพาหนาธิปฺปาเยน วิหิํสาวิตโกฺก, ‘อิเธวาหํ วเสยฺย’นฺติ ตตฺถ สาเปกฺขตาวเสน กามวิตโกฺก, วนจรเก ตตฺถ ตตฺถ ทิสฺวา เตสุ จิตฺตทุพฺภเนน พฺยาปาทวิตโกฺก, เตสํ วิเหฐนาธิปฺปาเยน วิหิํสาวิตโกฺก ตสฺส อุปฺปชฺชี’’ติปิ วทนฺติฯ ยถา วา ตถา วา ตสฺส มิจฺฉาวิตกฺกุปฺปตฺติเยว อจฺฉริยการณํฯ อนฺวาสตฺตาติ อนุลคฺคา โวกิณฺณาฯ อตฺตนิ ครุมฺหิ จ เอกเตฺตปิ พหุวจนํ ทิสฺสติฯ ‘‘อนุสโนฺต’’ติปิ ปาโฐฯ
Acchariyaṃvata bhoti garahaṇacchariyaṃ nāma kiretaṃ yathā āyasmā ānando bhagavato valiyagattaṃ disvā avoca ‘‘acchariyaṃ, bhante, abbhutaṃ, bhante’’ti (saṃ. ni. 5.511). Apare pana ‘‘tasmiṃ samaye pupphaphalapallavādīsu lobhavasena kāmavitakko, kharassarānaṃ pakkhiādīnaṃ saddassavanena byāpādavitakko, leḍḍuādīhi tesaṃ paṭibāhanādhippāyena vihiṃsāvitakko, ‘idhevāhaṃ vaseyya’nti tattha sāpekkhatāvasena kāmavitakko, vanacarake tattha tattha disvā tesu cittadubbhanena byāpādavitakko, tesaṃ viheṭhanādhippāyena vihiṃsāvitakko tassa uppajjī’’tipi vadanti. Yathā vā tathā vā tassa micchāvitakkuppattiyeva acchariyakāraṇaṃ. Anvāsattāti anulaggā vokiṇṇā. Attani garumhi ca ekattepi bahuvacanaṃ dissati. ‘‘Anusanto’’tipi pāṭho.
เยน ภควา เตนุปสงฺกมีติ เอวํ มิจฺฉาวิตเกฺกหิ สมฺปริกิโณฺณ กมฺมฎฺฐานสปฺปายํ กาตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘อิทํ วต ทิสฺวา ทีฆทสฺสี ภควา ปฎิเสเธสี’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา ‘‘อิมํ การณํ ทสพลสฺส อาโรเจสฺสามี’’ติ นิสินฺนาสนโต วุฎฺฐาย เยน ภควา เตนุปสงฺกมิฯ อุปสงฺกมิตฺวา จ ‘‘อิธ มยฺหํ, ภเนฺต’’ติอาทินา อตฺตโน ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ
Yena bhagavā tenupasaṅkamīti evaṃ micchāvitakkehi samparikiṇṇo kammaṭṭhānasappāyaṃ kātuṃ asakkonto ‘‘idaṃ vata disvā dīghadassī bhagavā paṭisedhesī’’ti sallakkhetvā ‘‘imaṃ kāraṇaṃ dasabalassa ārocessāmī’’ti nisinnāsanato vuṭṭhāya yena bhagavā tenupasaṅkami. Upasaṅkamitvā ca ‘‘idha mayhaṃ, bhante’’tiādinā attano pavattiṃ ārocesi.
ตตฺถ เยภุเยฺยนาติ พหุลํ อภิกฺขณํฯ ปาปกาติ ลามกาฯ อกุสลาติ อโกสลฺลสมฺภูตาฯ ทุคฺคติสมฺปาปนเฎฺฐน วา ปาปกา, กุสลปฎิปกฺขตาย อกุสลาฯ วิตเกฺกติ อูหติ อารมฺมณํ จิตฺตํ อภินิโรเปตีติ วิตโกฺก, กามสหคโต วิตโกฺก กามวิตโกฺก, กิเลสกามสมฺปยุโตฺต วตฺถุกามารมฺมโณ วิตโกฺกติ อโตฺถฯ พฺยาปาทสหคโต วิตโกฺก พฺยาปาทวิตโกฺกฯ วิหิํสาสหคโต วิตโกฺก วิหิํสาวิตโกฺกฯ เตสุ กามานํ อภินนฺทนวเสน ปวโตฺต เนกฺขมฺมปฎิปโกฺข กามวิตโกฺก, ‘‘อิเม สตฺตา หญฺญนฺตุ วา วินสฺสนฺตุ วา มา วา อเหสุ’’นฺติ สเตฺตสุ สมฺปทุสฺสนวเสน ปวโตฺต เมตฺตาปฎิปโกฺข พฺยาปาทวิตโกฺก, ปาณิเลฑฺฑุทณฺฑาทีหิ สตฺตานํ วิเหเฐตุกามตาวเสน ปวโตฺต กรุณาปฎิปโกฺข วิหิํสาวิตโกฺกฯ
Tattha yebhuyyenāti bahulaṃ abhikkhaṇaṃ. Pāpakāti lāmakā. Akusalāti akosallasambhūtā. Duggatisampāpanaṭṭhena vā pāpakā, kusalapaṭipakkhatāya akusalā. Vitakketi ūhati ārammaṇaṃ cittaṃ abhiniropetīti vitakko, kāmasahagato vitakko kāmavitakko, kilesakāmasampayutto vatthukāmārammaṇo vitakkoti attho. Byāpādasahagato vitakko byāpādavitakko. Vihiṃsāsahagato vitakko vihiṃsāvitakko. Tesu kāmānaṃ abhinandanavasena pavatto nekkhammapaṭipakkho kāmavitakko, ‘‘ime sattā haññantu vā vinassantu vā mā vā ahesu’’nti sattesu sampadussanavasena pavatto mettāpaṭipakkho byāpādavitakko, pāṇileḍḍudaṇḍādīhi sattānaṃ viheṭhetukāmatāvasena pavatto karuṇāpaṭipakkho vihiṃsāvitakko.
กสฺมา ปนสฺส ภควา ตตฺถ คมนํ อนุชานิ? ‘‘อนนุญฺญาโตปิ จายํ มํ โอหาย คจฺฉิสฺสเตว, ‘ปริจารกามตาย มเญฺญ ภควา คนฺตุํ น เทตี’ติ จสฺส สิยา อญฺญถตฺตํฯ ตทสฺส ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวเตฺตยฺยา’’ติ อนุชานิฯ
Kasmā panassa bhagavā tattha gamanaṃ anujāni? ‘‘Ananuññātopi cāyaṃ maṃ ohāya gacchissateva, ‘paricārakāmatāya maññe bhagavā gantuṃ na detī’ti cassa siyā aññathattaṃ. Tadassa dīgharattaṃ ahitāya dukkhāya saṃvatteyyā’’ti anujāni.
เอวํ ตสฺมิํ อตฺตโน ปวตฺติํ อาโรเจตฺวา นิสิเนฺน อถสฺส ภควา สปฺปายํ ธมฺมํ เทเสโนฺต ‘‘อปริปกฺกาย, เมฆิย, เจโตวิมุตฺติยา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อปริปกฺกายาติ ปริปากํ อปฺปตฺตายฯ เจโตวิมุตฺติยาติ กิเลเสหิ เจตโส วิมุตฺติยาฯ ปุพฺพภาเค หิ ตทงฺควเสน เจว วิกฺขมฺภนวเสน จ กิเลเสหิ เจตโส วิมุตฺติ โหติ, อปรภาเค สมุเจฺฉทวเสน เจว ปฎิปสฺสทฺธิวเสน จฯ สายํ วิมุตฺติ เหฎฺฐา วิตฺถารโต กถิตาว, ตสฺมา ตตฺถ วุตฺตนเยน เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ วิมุตฺติปริปาจนีเยหิ ธเมฺมหิ อาสเย ปริปาจิเต ปโพธิเต วิปสฺสนาย มคฺคคพฺภํ คณฺหนฺติยา ปริปากํ คจฺฉนฺติยา เจโตวิมุตฺติ ปริปกฺกา นาม โหติ, ตทภาเว อปริปกฺกาฯ
Evaṃ tasmiṃ attano pavattiṃ ārocetvā nisinne athassa bhagavā sappāyaṃ dhammaṃ desento ‘‘aparipakkāya, meghiya, cetovimuttiyā’’tiādimāha. Tattha aparipakkāyāti paripākaṃ appattāya. Cetovimuttiyāti kilesehi cetaso vimuttiyā. Pubbabhāge hi tadaṅgavasena ceva vikkhambhanavasena ca kilesehi cetaso vimutti hoti, aparabhāge samucchedavasena ceva paṭipassaddhivasena ca. Sāyaṃ vimutti heṭṭhā vitthārato kathitāva, tasmā tattha vuttanayena veditabbā. Tattha vimuttiparipācanīyehi dhammehi āsaye paripācite pabodhite vipassanāya maggagabbhaṃ gaṇhantiyā paripākaṃ gacchantiyā cetovimutti paripakkā nāma hoti, tadabhāve aparipakkā.
กตเม ปน วิมุตฺติปริปาจนียา ธมฺมา? สทฺธินฺทฺริยาทีนํ วิสุทฺธิกรณวเสน ปนฺนรส ธมฺมา เวทิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Katame pana vimuttiparipācanīyā dhammā? Saddhindriyādīnaṃ visuddhikaraṇavasena pannarasa dhammā veditabbā. Vuttañhetaṃ –
‘‘อสฺสเทฺธ ปุคฺคเล ปริวชฺชยโต, สเทฺธ ปุคฺคเล เสวโต ภชโต ปยิรุปาสโต, ปสาทนีเย สุตฺตเนฺต ปจฺจเวกฺขโต – อิเมหิ ตีหากาเรหิ สทฺธินฺทฺริยํ วิสุชฺฌติฯ
‘‘Assaddhe puggale parivajjayato, saddhe puggale sevato bhajato payirupāsato, pasādanīye suttante paccavekkhato – imehi tīhākārehi saddhindriyaṃ visujjhati.
‘‘กุสีเต ปุคฺคเล ปริวชฺชยโต, อารทฺธวีริเย ปุคฺคเล เสวโต ภชโต ปยิรุปาสโต, สมฺมปฺปธาเน ปจฺจเวกฺขโต – อิเมหิ ตีหากาเรหิ วีริยินฺทฺริยํ วิสุชฺฌติฯ
‘‘Kusīte puggale parivajjayato, āraddhavīriye puggale sevato bhajato payirupāsato, sammappadhāne paccavekkhato – imehi tīhākārehi vīriyindriyaṃ visujjhati.
‘‘มุฎฺฐสฺสตี ปุคฺคเล ปริวชฺชยโต, อุปฎฺฐิตสฺสตี ปุคฺคเล เสวโต ภชโต ปยิรุปาสโต, สติปฎฺฐาเน ปจฺจเวกฺขโต – อิเมหิ ตีหากาเรหิ สตินฺทฺริยํ วิสุชฺฌติฯ
‘‘Muṭṭhassatī puggale parivajjayato, upaṭṭhitassatī puggale sevato bhajato payirupāsato, satipaṭṭhāne paccavekkhato – imehi tīhākārehi satindriyaṃ visujjhati.
‘‘อสมาหิเต ปุคฺคเล ปริวชฺชยโต, สมาหิเต ปุคฺคเล เสวโต ภชโต ปยิรุปาสโต, ฌานวิโมเกฺข ปจฺจเวกฺขโต – อิเมหิ ตีหากาเรหิ สมาธินฺทฺริยํ วิสุชฺฌติฯ
‘‘Asamāhite puggale parivajjayato, samāhite puggale sevato bhajato payirupāsato, jhānavimokkhe paccavekkhato – imehi tīhākārehi samādhindriyaṃ visujjhati.
‘‘ทุปฺปเญฺญ ปุคฺคเล ปริวชฺชยโต, ปญฺญวเนฺต ปุคฺคเล เสวโต ภชโต ปยิรุปาสโต, คมฺภีรญาณจริยํ ปจฺจเวกฺขโต – อิเมหิ ตีหากาเรหิ ปญฺญินฺทฺริยํ วิสุชฺฌติฯ
‘‘Duppaññe puggale parivajjayato, paññavante puggale sevato bhajato payirupāsato, gambhīrañāṇacariyaṃ paccavekkhato – imehi tīhākārehi paññindriyaṃ visujjhati.
‘‘อิติ อิเม ปญฺจ ปุคฺคเล ปริวชฺชยโต, ปญฺจ ปุคฺคเล เสวโต ภชโต ปยิรุปาสโต, ปญฺจ สุตฺตเนฺต ปจฺจเวกฺขโต – อิเมหิ ปนฺนรสหิ อากาเรหิ, อิมานิ ปญฺจินฺทฺริยานิ วิสุชฺฌนฺตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๘๕)ฯ
‘‘Iti ime pañca puggale parivajjayato, pañca puggale sevato bhajato payirupāsato, pañca suttante paccavekkhato – imehi pannarasahi ākārehi, imāni pañcindriyāni visujjhantī’’ti (paṭi. ma. 1.185).
อปเรปิ ปนฺนรส ธมฺมา วิมุตฺติปริปาจนียา – สทฺธาปญฺจมานิ อินฺทฺริยานิ, อนิจฺจสญฺญา ทุกฺขสญฺญา อนตฺตสญฺญา ปหานสญฺญา วิราคสญฺญาติ อิมา ปญฺจ นิเพฺพธภาคิยา สญฺญา, กลฺยาณมิตฺตตา สีลสํวโร อภิสเลฺลขตา วีริยารโมฺภ นิเพฺพธิกปญฺญาติฯ เตสุ วิเนยฺยทมนกุสโล สตฺถา วิเนยฺยสฺส เมฆิยเตฺถรสฺส อชฺฌาสยวเสน อิธ กลฺยาณมิตฺตตาทโย วิมุตฺติปริปาจนีเย ธเมฺม ทเสฺสโนฺต ‘‘ปญฺจ ธมฺมา ปริปากาย สํวตฺตนฺตี’’ติ วตฺวา เต วิตฺถาเรโนฺต ‘‘อิธ, เมฆิย, ภิกฺขุ กลฺยาณมิโตฺต โหตี’’ติอาทิมาหฯ
Aparepi pannarasa dhammā vimuttiparipācanīyā – saddhāpañcamāni indriyāni, aniccasaññā dukkhasaññā anattasaññā pahānasaññā virāgasaññāti imā pañca nibbedhabhāgiyā saññā, kalyāṇamittatā sīlasaṃvaro abhisallekhatā vīriyārambho nibbedhikapaññāti. Tesu vineyyadamanakusalo satthā vineyyassa meghiyattherassa ajjhāsayavasena idha kalyāṇamittatādayo vimuttiparipācanīye dhamme dassento ‘‘pañca dhammā paripākāya saṃvattantī’’ti vatvā te vitthārento ‘‘idha, meghiya, bhikkhu kalyāṇamitto hotī’’tiādimāha.
ตตฺถ กลฺยาณมิโตฺตติ กลฺยาโณ ภโทฺท สุนฺทโร มิโตฺต เอตสฺสาติ กลฺยาณมิโตฺตฯ ยสฺส สีลาทิคุณสมฺปโนฺน ‘‘อฆสฺส ฆาตา, หิตสฺส วิธาตา’’ติ เอวํ สพฺพากาเรน อุปกาโร มิโตฺต โหติ, โส ปุคฺคโล กลฺยาณมิโตฺตวฯ ยถาวุเตฺตหิ กลฺยาณปุคฺคเลเหว สพฺพิริยาปเถสุ สห อยติ ปวตฺตติ, น วินา เตหีติ กลฺยาณสหาโยฯกลฺยาณปุคฺคเลสุ เอว จิเตฺตน เจว กาเยน จ นินฺนโปณปพฺภารภาเวน ปวตฺตตีติ กลฺยาณสมฺปวโงฺกฯ ปทตฺตเยน กลฺยาณมิตฺตสํสเคฺค อาทรํ อุปฺปาเทติฯ
Tattha kalyāṇamittoti kalyāṇo bhaddo sundaro mitto etassāti kalyāṇamitto. Yassa sīlādiguṇasampanno ‘‘aghassa ghātā, hitassa vidhātā’’ti evaṃ sabbākārena upakāro mitto hoti, so puggalo kalyāṇamittova. Yathāvuttehi kalyāṇapuggaleheva sabbiriyāpathesu saha ayati pavattati, na vinā tehīti kalyāṇasahāyo.Kalyāṇapuggalesu eva cittena ceva kāyena ca ninnapoṇapabbhārabhāvena pavattatīti kalyāṇasampavaṅko. Padattayena kalyāṇamittasaṃsagge ādaraṃ uppādeti.
ตตฺริทํ กลฺยาณมิตฺตลกฺขณํ – อิธ กลฺยาณมิโตฺต สทฺธาสมฺปโนฺน โหติ สีลสมฺปโนฺน สุตสมฺปโนฺน จาคสมฺปโนฺน วีริยสมฺปโนฺน สติสมฺปโนฺน สมาธิสมฺปโนฺน ปญฺญาสมฺปโนฺนฯ ตตฺถ สทฺธาสมฺปตฺติยา สทฺทหติ ตถาคตสฺส โพธิํ กมฺมผลญฺจ, เตน สมฺมาสโมฺพธิเหตุภูตํ สเตฺตสุ หิเตสิตํ น ปริจฺจชติฯ สีลสมฺปตฺติยา สพฺรหฺมจารีนํ ปิโย โหติ มนาโป ครุ ภาวนีโย โจทโก ปาปครหี วตฺตา วจนกฺขโม, สุตสมฺปตฺติยา สจฺจปฎิจฺจสมุปฺปาทาทิปฎิสํยุตฺตานํ คมฺภีรานํ กถานํ กตฺตา โหติ, จาคสมฺปตฺติยา อปฺปิโจฺฉ โหติ สนฺตุโฎฺฐ ปวิวิโตฺต อสํสโฎฺฐ, วีริยสมฺปตฺติยา อารทฺธวีริโย โหติ สตฺตานํ หิตปฺปฎิปตฺติยา, สติสมฺปตฺติยา อุปฎฺฐิตสฺสติ โหติ, สมาธิสมฺปตฺติยา อวิกฺขิโตฺต โหติ สมาหิตจิโตฺต, ปญฺญาสมฺปตฺติยา อวิปรีตํ ชานาติฯ โส สติยา กุสลานํ ธมฺมานํ คติโย สมเนฺวสมาโน ปญฺญาย สตฺตานํ หิตาหิตํ ยถาภูตํ ชานิตฺวา, สมาธินา ตตฺถ เอกคฺคจิโตฺต หุตฺวา, วีริเยน สเตฺต อหิตา นิเสเธตฺวา หิเต นิโยเชติฯ เตนาห –
Tatridaṃ kalyāṇamittalakkhaṇaṃ – idha kalyāṇamitto saddhāsampanno hoti sīlasampanno sutasampanno cāgasampanno vīriyasampanno satisampanno samādhisampanno paññāsampanno. Tattha saddhāsampattiyā saddahati tathāgatassa bodhiṃ kammaphalañca, tena sammāsambodhihetubhūtaṃ sattesu hitesitaṃ na pariccajati. Sīlasampattiyā sabrahmacārīnaṃ piyo hoti manāpo garu bhāvanīyo codako pāpagarahī vattā vacanakkhamo, sutasampattiyā saccapaṭiccasamuppādādipaṭisaṃyuttānaṃ gambhīrānaṃ kathānaṃ kattā hoti, cāgasampattiyā appiccho hoti santuṭṭho pavivitto asaṃsaṭṭho, vīriyasampattiyā āraddhavīriyo hoti sattānaṃ hitappaṭipattiyā, satisampattiyā upaṭṭhitassati hoti, samādhisampattiyā avikkhitto hoti samāhitacitto, paññāsampattiyā aviparītaṃ jānāti. So satiyā kusalānaṃ dhammānaṃ gatiyo samanvesamāno paññāya sattānaṃ hitāhitaṃ yathābhūtaṃ jānitvā, samādhinā tattha ekaggacitto hutvā, vīriyena satte ahitā nisedhetvā hite niyojeti. Tenāha –
‘‘ปิโย ครุ ภาวนีโย, วตฺตา จ วจนกฺขโม;
‘‘Piyo garu bhāvanīyo, vattā ca vacanakkhamo;
คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา, โน จฎฺฐาเน นิโยชเย’’ติฯ (อ. นิ. ๗.๓๗);
Gambhīrañca kathaṃ kattā, no caṭṭhāne niyojaye’’ti. (a. ni. 7.37);
อยํ ปฐโม ธโมฺม ปริปากาย สํวตฺตตีติ, อยํ กลฺยาณมิตฺตตาสงฺขาโต พฺรหฺมจริยวาสสฺส อาทิภาวโต, สเพฺพสญฺจ กุสลานํ ธมฺมานํ พหุการตาย ปธานภาวโต จ อิเมสุ ปญฺจสุ ธเมฺมสุ อาทิโต วุตฺตตฺตา ปฐโม อนวชฺชธโมฺม อวิสุทฺธานํ สทฺธาทีนํ วิสุทฺธิกรณวเสน เจโตวิมุตฺติยา ปริปากาย สํวตฺตติฯ เอตฺถ จ กลฺยาณมิตฺตสฺส พหุการตา ปธานตา จ ‘‘อุปฑฺฒมิทํ, ภเนฺต, พฺรหฺมจริยสฺส ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา’’ติ วทนฺตํ ธมฺมภณฺฑาคาริกํ, ‘‘มา เหวํ, อานนฺทา’’ติ ทฺวิกฺขตฺตุํ ปฎิเสเธตฺวา, ‘‘สกลเมว หิทํ, อานนฺท, พฺรหฺมจริยํ, ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา’’ติอาทิสุตฺตปเทหิ (สํ. นิ. ๑.๑๒๙; ๕.๒) เวทิตพฺพาฯ
Ayaṃ paṭhamo dhammo paripākāya saṃvattatīti, ayaṃ kalyāṇamittatāsaṅkhāto brahmacariyavāsassa ādibhāvato, sabbesañca kusalānaṃ dhammānaṃ bahukāratāya padhānabhāvato ca imesu pañcasu dhammesu ādito vuttattā paṭhamo anavajjadhammo avisuddhānaṃ saddhādīnaṃ visuddhikaraṇavasena cetovimuttiyā paripākāya saṃvattati. Ettha ca kalyāṇamittassa bahukāratā padhānatā ca ‘‘upaḍḍhamidaṃ, bhante, brahmacariyassa yadidaṃ kalyāṇamittatā’’ti vadantaṃ dhammabhaṇḍāgārikaṃ, ‘‘mā hevaṃ, ānandā’’ti dvikkhattuṃ paṭisedhetvā, ‘‘sakalameva hidaṃ, ānanda, brahmacariyaṃ, yadidaṃ kalyāṇamittatā kalyāṇasahāyatā’’tiādisuttapadehi (saṃ. ni. 1.129; 5.2) veditabbā.
ปุน จปรนฺติ ปุน จ อปรํ ธมฺมชาตํฯ สีลวาติ เอตฺถ เกนเฎฺฐน สีลํ? สีลนเฎฺฐน สีลํฯ กิมิทํ สีลนํ นาม? สมาธานํ, กายกมฺมาทีนํ สุสีลฺยวเสน อวิปฺปกิณฺณตาติ อโตฺถฯ อถ วา อุปธารณํ, ฌานาทิกุสลานํ ธมฺมานํ ปติฎฺฐานวเสน อาธารภาโวติ อโตฺถฯ ตสฺมา สีเลติ สีลตีติ วา สีลํฯ อยํ ตาว สทฺทลกฺขณนเยน สีลโตฺถฯ อปเร ปน ‘‘สิรโฎฺฐ สีตลโฎฺฐ สีลโฎฺฐ สํวรโฎฺฐ’’ติ นิรุตฺตินเยน อตฺถํ วเณฺณนฺติฯ ตยิทํ ปาริปูริโต อติสยโต วา สีลํ อสฺส อตฺถีติ สีลวา, สีลสมฺปโนฺนติ อโตฺถฯ
Puna caparanti puna ca aparaṃ dhammajātaṃ. Sīlavāti ettha kenaṭṭhena sīlaṃ? Sīlanaṭṭhena sīlaṃ. Kimidaṃ sīlanaṃ nāma? Samādhānaṃ, kāyakammādīnaṃ susīlyavasena avippakiṇṇatāti attho. Atha vā upadhāraṇaṃ, jhānādikusalānaṃ dhammānaṃ patiṭṭhānavasena ādhārabhāvoti attho. Tasmā sīleti sīlatīti vā sīlaṃ. Ayaṃ tāva saddalakkhaṇanayena sīlattho. Apare pana ‘‘siraṭṭho sītalaṭṭho sīlaṭṭho saṃvaraṭṭho’’ti niruttinayena atthaṃ vaṇṇenti. Tayidaṃ pāripūrito atisayato vā sīlaṃ assa atthīti sīlavā, sīlasampannoti attho.
ยถา จ สีลวา โหติ สีลสมฺปโนฺน, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปาติโมกฺขนฺติ สิกฺขาปทสีลํฯ ตญฺหิ โย นํ ปาติ รกฺขติ, ตํ โมเกฺขติ โมเจติ อาปายิกาทีหิ ทุเกฺขหีติ ปาติโมกฺขํฯ สํวรณํ สํวโร, กายวาจาหิ อวีติกฺกโมฯ ปาติโมกฺขเมว สํวโร ปาติโมกฺขสํวโร, เตน สํวุโต ปิหิตกายวาโจติ ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต, อิทมสฺส ตสฺมิํ สีเล ปติฎฺฐิตภาวปริทีปนํฯ วิหรตีติ ตทนุรูปวิหารสมงฺคิภาวปริทีปนํฯ อาจารโคจรสมฺปโนฺนติ เหฎฺฐา ปาติโมกฺขสํวรสฺส, อุปริ วิเสสานํ โยคสฺส จ อุปการกธมฺมปริทีปนํฯ อณุมเตฺตสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสาวีติ ปาติโมกฺขสีลโต อจวนธมฺมตาปริทีปนํฯ สมาทายาติ สิกฺขาปทานํ อนวเสสโต อาทานปริทีปนํฯ สิกฺขตีติ สิกฺขาย สมงฺคิภาวปริทีปนํฯ สิกฺขาปเทสูติ สิกฺขิตพฺพธมฺมปริทีปนํฯ
Yathā ca sīlavā hoti sīlasampanno, taṃ dassetuṃ ‘‘pātimokkhasaṃvarasaṃvuto’’tiādimāha. Tattha pātimokkhanti sikkhāpadasīlaṃ. Tañhi yo naṃ pāti rakkhati, taṃ mokkheti moceti āpāyikādīhi dukkhehīti pātimokkhaṃ. Saṃvaraṇaṃ saṃvaro, kāyavācāhi avītikkamo. Pātimokkhameva saṃvaro pātimokkhasaṃvaro, tena saṃvuto pihitakāyavācoti pātimokkhasaṃvarasaṃvuto, idamassa tasmiṃ sīle patiṭṭhitabhāvaparidīpanaṃ. Viharatīti tadanurūpavihārasamaṅgibhāvaparidīpanaṃ. Ācāragocarasampannoti heṭṭhā pātimokkhasaṃvarassa, upari visesānaṃ yogassa ca upakārakadhammaparidīpanaṃ. Aṇumattesu vajjesu bhayadassāvīti pātimokkhasīlato acavanadhammatāparidīpanaṃ. Samādāyāti sikkhāpadānaṃ anavasesato ādānaparidīpanaṃ. Sikkhatīti sikkhāya samaṅgibhāvaparidīpanaṃ. Sikkhāpadesūti sikkhitabbadhammaparidīpanaṃ.
อปโร นโย – กิเลสานํ พลวภาวโต, ปาปกิริยาย สุกรภาวโต, ปุญฺญกิริยาย จ ทุกฺกรภาวโต พหุกฺขตฺตุํ อปาเยสุ ปตนสีโลติ ปาตี, ปุถุชฺชโนฯ อนิจฺจตาย วา ภวาทีสุ กมฺมเวคกฺขิโตฺต ฆฎียนฺตํ วิย อนวฎฺฐาเนน ปริพฺภมนโต คมนสีโลติ ปาตี, มรณวเสน วา ตมฺหิ ตมฺหิ สตฺตนิกาเย อตฺตภาวสฺส ปตนสีโลติ วา ปาตี, สตฺตสนฺตาโน จิตฺตเมว วาฯ ตํ ปาตินํ สํสารทุกฺขโต โมเกฺขตีติ ปาติโมกฺขํฯ จิตฺตสฺส หิ วิโมเกฺขน สโตฺต ‘‘วิมุโตฺต’’ติ วุจฺจติฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘จิตฺตโวทานา สตฺตา วิสุชฺฌนฺตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๑๐๐), ‘‘อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุตฺต’’นฺติ (มหาว. ๒๘) จฯ
Aparo nayo – kilesānaṃ balavabhāvato, pāpakiriyāya sukarabhāvato, puññakiriyāya ca dukkarabhāvato bahukkhattuṃ apāyesu patanasīloti pātī, puthujjano. Aniccatāya vā bhavādīsu kammavegakkhitto ghaṭīyantaṃ viya anavaṭṭhānena paribbhamanato gamanasīloti pātī, maraṇavasena vā tamhi tamhi sattanikāye attabhāvassa patanasīloti vā pātī, sattasantāno cittameva vā. Taṃ pātinaṃ saṃsāradukkhato mokkhetīti pātimokkhaṃ. Cittassa hi vimokkhena satto ‘‘vimutto’’ti vuccati. Vuttañhi ‘‘cittavodānā sattā visujjhantī’’ti (saṃ. ni. 3.100), ‘‘anupādāya āsavehi cittaṃ vimutta’’nti (mahāva. 28) ca.
อถ วา อวิชฺชาทิเหตุนา สํสาเร ปตติ คจฺฉติ ปวตฺตตีติ ปาติ, ‘‘อวิชฺชานีวรณานํ สตฺตานํ ตณฺหาสํโยชนานํ สนฺธาวตํ สํสรต’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๑๒๔) หิ วุตฺตํฯ ตสฺส ปาติโน สตฺตสฺส ตณฺหาทิสํกิเลสตฺตยโต โมโกฺข เอเตนาติ ปาติโมโกฺข, ‘‘กเณฺฐกาโล’’ติอาทีนํ วิย สมาสสิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ
Atha vā avijjādihetunā saṃsāre patati gacchati pavattatīti pāti, ‘‘avijjānīvaraṇānaṃ sattānaṃ taṇhāsaṃyojanānaṃ sandhāvataṃ saṃsarata’’nti (saṃ. ni. 2.124) hi vuttaṃ. Tassa pātino sattassa taṇhādisaṃkilesattayato mokkho etenāti pātimokkho, ‘‘kaṇṭhekālo’’tiādīnaṃ viya samāsasiddhi veditabbā.
อถ วา ปาเตติ วินิปาเตติ ทุเกฺขหีติ ปาติ, จิตฺตํฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘จิเตฺตน นิยฺยตี โลโก, จิเตฺตน ปริกสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๖๒)ฯ ตสฺส ปาติโน โมโกฺข เอเตนาติ ปาติโมโกฺขฯ ปตติ วา เอเตน อปายทุเกฺข สํสารทุเกฺข จาติ ปาติ, ตณฺหาทิสํกิเลสาฯ วุตฺตญฺหิ – ‘‘ตณฺหา ชเนติ ปุริสํ (สํ. นิ. ๑.๕๕-๕๗), ตณฺหาทุติโย ปุริโส’’ติ (อิติวุ. ๑๕, ๑๐๕) จาทิฯ ตโต ปาติโต โมโกฺขติ ปาติโมโกฺขฯ
Atha vā pāteti vinipāteti dukkhehīti pāti, cittaṃ. Vuttañhi ‘‘cittena niyyatī loko, cittena parikassatī’’ti (saṃ. ni. 1.62). Tassa pātino mokkho etenāti pātimokkho. Patati vā etena apāyadukkhe saṃsāradukkhe cāti pāti, taṇhādisaṃkilesā. Vuttañhi – ‘‘taṇhā janeti purisaṃ (saṃ. ni. 1.55-57), taṇhādutiyo puriso’’ti (itivu. 15, 105) cādi. Tato pātito mokkhoti pātimokkho.
อถ วา ปตติ เอตฺถาติ ปาติ, ฉ อชฺฌตฺติกพาหิรานิ อายตนานิฯ วุตฺตญฺหิ – ‘‘ฉสุ โลโก สมุปฺปโนฺน, ฉสุ กุพฺพติ สนฺถว’’นฺติ (สุ. นิ. ๑๗๑)ฯ ตโต ฉ อชฺฌตฺติกพาหิรายตนสงฺขาตปาติโต โมโกฺขติ ปาติโมโกฺขฯ อถ วา ปาโต วินิปาโต อสฺส อตฺถีติ ปาตี, สํสาโรฯ ตโต โมโกฺขติ ปาติโมโกฺขฯ
Atha vā patati etthāti pāti, cha ajjhattikabāhirāni āyatanāni. Vuttañhi – ‘‘chasu loko samuppanno, chasu kubbati santhava’’nti (su. ni. 171). Tato cha ajjhattikabāhirāyatanasaṅkhātapātito mokkhoti pātimokkho. Atha vā pāto vinipāto assa atthīti pātī, saṃsāro. Tato mokkhoti pātimokkho.
อถ วา สพฺพโลกาธิปติภาวโต ธมฺมิสฺสโร ภควา ปตีติ วุจฺจติ, มุจฺจติ เอเตนาติ โมโกฺขฯ ปติโน โมโกฺข เตน ปญฺญตฺตตฺตาติ ปติโมโกฺข, ปติโมโกฺข เอว ปาติโมโกฺขฯ สพฺพคุณานํ วา ตมฺมูลภาวโต อุตฺตมเฎฺฐน ปติ จ, โส ยถาวุตฺตเฎฺฐน โมโกฺข จาติ ปติโมโกฺข, ปติโมโกฺข เอว ปาติโมโกฺขฯ ตถา หิ วุตฺตํ ‘‘ปาติโมกฺขนฺติอาทิเมตํ มุขเมต’’นฺติ วิตฺถาโรฯ
Atha vā sabbalokādhipatibhāvato dhammissaro bhagavā patīti vuccati, muccati etenāti mokkho. Patino mokkho tena paññattattāti patimokkho, patimokkho eva pātimokkho. Sabbaguṇānaṃ vā tammūlabhāvato uttamaṭṭhena pati ca, so yathāvuttaṭṭhena mokkho cāti patimokkho, patimokkho eva pātimokkho. Tathā hi vuttaṃ ‘‘pātimokkhantiādimetaṃ mukhameta’’nti vitthāro.
อถ วา ปอิติ ปกาเร, อตีติ อจฺจนฺตเตฺถ นิปาโต, ตสฺมา ปกาเรหิ อจฺจนฺตํ โมเกฺขตีติ ปาติโมกฺขํฯ อิทญฺหิ สีลํ สยํ ตทงฺควเสน, สมาธิสหิตํ ปญฺญาสหิตญฺจ วิกฺขมฺภนวเสน สมุเจฺฉทวเสน จ อจฺจนฺตํ โมเกฺขติ โมเจตีติ ปาติโมกฺขํฯ ปติ โมโกฺขติ วา ปติโมโกฺข, ตมฺหา ตมฺหา วีติกฺกมโทสโต ปเจฺจกํ โมโกฺขติ อโตฺถฯ ปติโมโกฺข เอว ปาติโมโกฺขฯ โมโกฺขติ วา นิพฺพานํ, ตสฺส โมกฺขสฺส ปฎิพิมฺพภูโตติ ปติโมโกฺขฯ สีลสํวโร หิ สูริยสฺส อรุณุคฺคมนํ วิย นิพฺพานสฺส อุทยภูโต ตปฺปฎิภาโค จ ยถารหํ สํกิเลสนิพฺพาปนโตฯ ปติโมโกฺข เอว ปาติโมโกฺขฯ ปติวตฺตติ โมเกฺขติ ทุกฺขนฺติ วา ปติโมกฺขํ, ปติโมกฺขเมว ปาติโมกฺขนฺติ เอวํ ตาเวตฺถ ปาติโมกฺขสทฺทสฺส อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Atha vā paiti pakāre, atīti accantatthe nipāto, tasmā pakārehi accantaṃ mokkhetīti pātimokkhaṃ. Idañhi sīlaṃ sayaṃ tadaṅgavasena, samādhisahitaṃ paññāsahitañca vikkhambhanavasena samucchedavasena ca accantaṃ mokkheti mocetīti pātimokkhaṃ. Pati mokkhoti vā patimokkho, tamhā tamhā vītikkamadosato paccekaṃ mokkhoti attho. Patimokkho eva pātimokkho. Mokkhoti vā nibbānaṃ, tassa mokkhassa paṭibimbabhūtoti patimokkho. Sīlasaṃvaro hi sūriyassa aruṇuggamanaṃ viya nibbānassa udayabhūto tappaṭibhāgo ca yathārahaṃ saṃkilesanibbāpanato. Patimokkho eva pātimokkho. Pativattati mokkheti dukkhanti vā patimokkhaṃ, patimokkhameva pātimokkhanti evaṃ tāvettha pātimokkhasaddassa attho veditabbo.
สํวรติ ปิทหติ เอเตนาติ สํวโร, ปาติโมกฺขเมว สํวโร ปาติโมกฺขสํวโรฯ อตฺถโต ปน ตโต ตโต วีติกฺกมิตพฺพโต วิรติโย เจตนา จฯ เตน ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต สมนฺนาคโต ปาติโมกฺขสํวรสํวุโตติ วุโตฺตฯ วุตฺตเญฺหตํ วิภเงฺค –
Saṃvarati pidahati etenāti saṃvaro, pātimokkhameva saṃvaro pātimokkhasaṃvaro. Atthato pana tato tato vītikkamitabbato viratiyo cetanā ca. Tena pātimokkhasaṃvarena upeto samannāgato pātimokkhasaṃvarasaṃvutoti vutto. Vuttañhetaṃ vibhaṅge –
‘‘อิมินา ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต โหติ สมุเปโต อุปาคโต สมุปาคโต อุปปโนฺน สมุปปโนฺน สมนฺนาคโต, เตน วุจฺจติ ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต’’ติ (วิภ. ๕๑๑)ฯ
‘‘Iminā pātimokkhasaṃvarena upeto hoti samupeto upāgato samupāgato upapanno samupapanno samannāgato, tena vuccati pātimokkhasaṃvarasaṃvuto’’ti (vibha. 511).
วิหรตีติ อิริยาปถวิหาเรน วิหรติ อิรียติ วตฺตติฯ
Viharatīti iriyāpathavihārena viharati irīyati vattati.
อาจารโคจรสมฺปโนฺนติ เวฬุทานาทิมิจฺฉาชีวสฺส กายปาคพฺภิยาทีนญฺจ อกรเณน สพฺพโส อนาจารํ วเชฺชตฺวา ‘‘กายิโก อวีติกฺกโม วาจสิโก อวีติกฺกโม กายิกวาจสิโก อวีติกฺกโม’’ติ เอวํ วุตฺตภิกฺขุสารุปฺปอาจารสมฺปตฺติยา, เวสิยาทิอโคจรํ วเชฺชตฺวา ปิณฺฑปาตาทิอตฺถํ อุปสงฺกมิตุํ ยุตฺตฎฺฐานสงฺขาเตน โคจเรน จ สมฺปนฺนตฺตา อาจารโคจรสมฺปโนฺนฯ
Ācāragocarasampannoti veḷudānādimicchājīvassa kāyapāgabbhiyādīnañca akaraṇena sabbaso anācāraṃ vajjetvā ‘‘kāyiko avītikkamo vācasiko avītikkamo kāyikavācasiko avītikkamo’’ti evaṃ vuttabhikkhusāruppaācārasampattiyā, vesiyādiagocaraṃ vajjetvā piṇḍapātādiatthaṃ upasaṅkamituṃ yuttaṭṭhānasaṅkhātena gocarena ca sampannattā ācāragocarasampanno.
อปิจ โย ภิกฺขุ สตฺถริ สคารโว สปฺปติโสฺส สพฺรหฺมจารีสุ สคารโว สปฺปติโสฺส หิโรตฺตปฺปสมฺปโนฺน สุนิวโตฺถ สุปารุโต ปาสาทิเกน อภิกฺกเนฺตน ปฎิกฺกเนฺตน อาโลกิเตน วิโลกิเตน สมิญฺชิเตน ปสาริเตน อิริยาปถสมฺปโนฺน อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โภชเน มตฺตญฺญู ชาคริยมนุยุโตฺต สติสมฺปชเญฺญน สมนฺนาคโต อปฺปิโจฺฉ สนฺตุโฎฺฐ ปวิวิโตฺต อสํสโฎฺฐ อาภิสมาจาริเกสุ สกฺกจฺจการี ครุจิตฺตีการพหุโล วิหรติ, อยํ วุจฺจติ อาจารสมฺปโนฺนฯ
Apica yo bhikkhu satthari sagāravo sappatisso sabrahmacārīsu sagāravo sappatisso hirottappasampanno sunivattho supāruto pāsādikena abhikkantena paṭikkantena ālokitena vilokitena samiñjitena pasāritena iriyāpathasampanno indriyesu guttadvāro bhojane mattaññū jāgariyamanuyutto satisampajaññena samannāgato appiccho santuṭṭho pavivitto asaṃsaṭṭho ābhisamācārikesu sakkaccakārī garucittīkārabahulo viharati, ayaṃ vuccati ācārasampanno.
โคจโร ปน อุปนิสฺสยโคจโร อารกฺขโคจโร อุปนิพนฺธโคจโรติ ติวิโธฯ ตตฺถ โย ทสกถาวตฺถุคุณสมนฺนาคโต วุตฺตลกฺขโณ กลฺยาณมิโตฺต, ยํ นิสฺสาย อสุตํ สุณาติ, สุตํ ปริโยทาเปติ, กงฺขํ วิตรติ, ทิฎฺฐิํ อุชุํ กโรติ, จิตฺตํ ปสาเทติ, ยญฺจ อนุสิกฺขโนฺต สทฺธาย วฑฺฒติ , สีเลน, สุเตน, จาเคน, ปญฺญาย วฑฺฒติ, อยํ วุจฺจติ อุปนิสฺสยโคจโรฯ
Gocaro pana upanissayagocaro ārakkhagocaro upanibandhagocaroti tividho. Tattha yo dasakathāvatthuguṇasamannāgato vuttalakkhaṇo kalyāṇamitto, yaṃ nissāya asutaṃ suṇāti, sutaṃ pariyodāpeti, kaṅkhaṃ vitarati, diṭṭhiṃ ujuṃ karoti, cittaṃ pasādeti, yañca anusikkhanto saddhāya vaḍḍhati , sīlena, sutena, cāgena, paññāya vaḍḍhati, ayaṃ vuccati upanissayagocaro.
โย ภิกฺขุ อนฺตรฆรํ ปวิโฎฺฐ วีถิํ ปฎิปโนฺน โอกฺขิตฺตจกฺขุ ยุคมตฺตทสฺสาวี จกฺขุนฺทฺริยสํวุโตว คจฺฉติ, น หตฺถิํ โอโลเกโนฺต, น อสฺสํ, น รถํ, น ปตฺติํ, น อิตฺถิํ, น ปุริสํ โอโลเกโนฺต, น อุทฺธํ โอโลเกโนฺต, น อโธ โอโลเกโนฺต, น ทิสาวิทิสํ เปกฺขมาโน คจฺฉติ, อยํ อารกฺขโคจโรฯ
Yo bhikkhu antaragharaṃ paviṭṭho vīthiṃ paṭipanno okkhittacakkhu yugamattadassāvī cakkhundriyasaṃvutova gacchati, na hatthiṃ olokento, na assaṃ, na rathaṃ, na pattiṃ, na itthiṃ, na purisaṃ olokento, na uddhaṃ olokento, na adho olokento, na disāvidisaṃ pekkhamāno gacchati, ayaṃ ārakkhagocaro.
อุปนิพนฺธโคจโร ปน จตฺตาโร สติปฎฺฐานา, ยตฺถ ภิกฺขุ อตฺตโน จิตฺตํ อุปนิพนฺธติ, วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
Upanibandhagocaro pana cattāro satipaṭṭhānā, yattha bhikkhu attano cittaṃ upanibandhati, vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘‘โก จ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน โคจโร สโก เปตฺติโก วิสโย, ยทิทํ จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๓๗๒)ฯ
‘‘Ko ca, bhikkhave, bhikkhuno gocaro sako pettiko visayo, yadidaṃ cattāro satipaṭṭhānā’’ti (saṃ. ni. 5.372).
ตตฺถ อุปนิสฺสยโคจรสฺส ปุเพฺพ วุตฺตตฺตา อิตเรสํ วเสเนตฺถ โคจโร เวทิตโพฺพฯ อิติ ยถาวุตฺตาย อาจารสมฺปตฺติยา, อิมาย จ โคจรสมฺปตฺติยา สมนฺนาคตตฺตา อาจารโคจรสมฺปโนฺนฯ
Tattha upanissayagocarassa pubbe vuttattā itaresaṃ vasenettha gocaro veditabbo. Iti yathāvuttāya ācārasampattiyā, imāya ca gocarasampattiyā samannāgatattā ācāragocarasampanno.
อณุมเตฺตสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสาวีติ อปฺปมตฺตกตฺตา อณุปฺปมาเณสุ อสฺสติยา อสญฺจิจฺจ อาปนฺนเสขิยอกุสลจิตฺตุปฺปาทาทิเภเทสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสนสีโลฯ โย หิ ภิกฺขุ ปรมาณุมตฺตํ วชฺชํ อฎฺฐสฎฺฐิโยชนปมาณาธิกโยชนสตสหสฺสุเพฺพธสิเนรุปพฺพตราชสทิสํ กตฺวา ปสฺสติ, โยปิ สพฺพลหุกํ ทุพฺภาสิตมตฺตํ ปาราชิกสทิสํ กตฺวา ปสฺสติ, อยมฺปิ อณุมเตฺตสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสาวี นามฯ สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสูติ ยํกิญฺจิ สิกฺขาปเทสุ สิกฺขิตพฺพํ, ตํ สเพฺพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ อนวเสสํ สมฺมา อาทิยิตฺวา สิกฺขติ, ปวตฺตติ ปริปูเรตีติ อโตฺถฯ
Aṇumattesu vajjesu bhayadassāvīti appamattakattā aṇuppamāṇesu assatiyā asañcicca āpannasekhiyaakusalacittuppādādibhedesu vajjesu bhayadassanasīlo. Yo hi bhikkhu paramāṇumattaṃ vajjaṃ aṭṭhasaṭṭhiyojanapamāṇādhikayojanasatasahassubbedhasinerupabbatarājasadisaṃ katvā passati, yopi sabbalahukaṃ dubbhāsitamattaṃ pārājikasadisaṃ katvā passati, ayampi aṇumattesu vajjesu bhayadassāvī nāma. Samādāya sikkhati sikkhāpadesūti yaṃkiñci sikkhāpadesu sikkhitabbaṃ, taṃ sabbena sabbaṃ sabbathā sabbaṃ anavasesaṃ sammā ādiyitvā sikkhati, pavattati paripūretīti attho.
อภิสเลฺลขิกาติ อติวิย กิเลสานํ สเลฺลขนี, เตสํ ตนุภาวาย ปหานาย ยุตฺตรูปาฯ เจโตวิวรณสปฺปายาติ เจตโส ปฎิจฺฉาทกานํ นีวรณานํ ทูรีภาวกรเณน เจโตวิวรณสงฺขาตานํ สมถวิปสฺสนานํ สปฺปายา, สมถวิปสฺสนาจิตฺตเสฺสว วา วิวรณาย ปากฎีกรณาย วา สปฺปายา อุปการิกาติ เจโตวิวรณสปฺปายาฯ
Abhisallekhikāti ativiya kilesānaṃ sallekhanī, tesaṃ tanubhāvāya pahānāya yuttarūpā. Cetovivaraṇasappāyāti cetaso paṭicchādakānaṃ nīvaraṇānaṃ dūrībhāvakaraṇena cetovivaraṇasaṅkhātānaṃ samathavipassanānaṃ sappāyā, samathavipassanācittasseva vā vivaraṇāya pākaṭīkaraṇāya vā sappāyā upakārikāti cetovivaraṇasappāyā.
อิทานิ เยน นิพฺพิทาทิอาวหเนน อยํ กถา อภิสเลฺลขิกา เจโตวิวรณสปฺปายา จ นาม โหติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘เอกนฺตนิพฺพิทายา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ เอกนฺตนิพฺพิทายาติ เอกํเสเนว วฎฺฎทุกฺขโต นิพฺพินฺทนตฺถายฯ วิราคาย นิโรธายาติ ตเสฺสว วิรชฺชนตฺถาย จ นิรุชฺฌนตฺถาย จฯ อุปสมายาติ สพฺพกิเลสูปสมายฯ อภิญฺญายาติ สพฺพสฺสาปิ อภิเญฺญยฺยสฺส อภิชานนายฯ สโมฺพธายาติ จตุมคฺคสโมฺพธายฯ นิพฺพานายาติ อนุปาทิเสสนิพฺพานายฯ เอเตสุ หิ อาทิโต ตีหิ ปเทหิ วิปสฺสนา วุตฺตา, ทฺวีหิ มโคฺค, ทฺวีหิ นิพฺพานํ วุตฺตํฯ สมถวิปสฺสนา อาทิํ กตฺวา นิพฺพานปริโยสาโน อยํ สโพฺพ อุตฺตริมนุสฺสธโมฺม ทสกถาวตฺถุลาภิโน สิชฺฌตีติ ทเสฺสติฯ
Idāni yena nibbidādiāvahanena ayaṃ kathā abhisallekhikā cetovivaraṇasappāyā ca nāma hoti, taṃ dassetuṃ ‘‘ekantanibbidāyā’’tiādi vuttaṃ. Tattha ekantanibbidāyāti ekaṃseneva vaṭṭadukkhato nibbindanatthāya. Virāgāya nirodhāyāti tasseva virajjanatthāya ca nirujjhanatthāya ca. Upasamāyāti sabbakilesūpasamāya. Abhiññāyāti sabbassāpi abhiññeyyassa abhijānanāya. Sambodhāyāti catumaggasambodhāya. Nibbānāyāti anupādisesanibbānāya. Etesu hi ādito tīhi padehi vipassanā vuttā, dvīhi maggo, dvīhi nibbānaṃ vuttaṃ. Samathavipassanā ādiṃ katvā nibbānapariyosāno ayaṃ sabbo uttarimanussadhammo dasakathāvatthulābhino sijjhatīti dasseti.
อิทานิ ตํ กถํ วิภชิตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘อปฺปิจฺฉกถา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อปฺปิโจฺฉติ น อิโจฺฉ, ตสฺส กถา อปฺปิจฺฉกถา, อปฺปิจฺฉภาวปฺปฎิสํยุตฺตา กถา วา อปฺปิจฺฉกถาฯ เอตฺถ จ อตฺริโจฺฉ ปาปิโจฺฉ มหิโจฺฉ อปฺปิโจฺฉติ อิจฺฉาวเสน จตฺตาโร ปุคฺคลาฯ เตสุ อตฺตนา ยถาลเทฺธน ลาเภน อติโตฺต อุปรูปริ ลาภํ อิจฺฉโนฺต อตฺริโจฺฉ นามฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –
Idāni taṃ kathaṃ vibhajitvā dassento ‘‘appicchakathā’’tiādimāha. Tattha appicchoti na iccho, tassa kathā appicchakathā, appicchabhāvappaṭisaṃyuttā kathā vā appicchakathā. Ettha ca atriccho pāpiccho mahiccho appicchoti icchāvasena cattāro puggalā. Tesu attanā yathāladdhena lābhena atitto uparūpari lābhaṃ icchanto atriccho nāma. Yaṃ sandhāya vuttaṃ –
‘‘จตุพฺภิ อฎฺฐชฺฌคมา, อฎฺฐภิ จาปิ โสฬส;
‘‘Catubbhi aṭṭhajjhagamā, aṭṭhabhi cāpi soḷasa;
โสฬสภิ จ ทฺวตฺติํส, อตฺริจฺฉํ จกฺกมาสโท;
Soḷasabhi ca dvattiṃsa, atricchaṃ cakkamāsado;
อิจฺฉาหตสฺส โปสสฺส, จกฺกํ ภมติ มตฺถเก’’ติฯ (ชา. ๑.๕.๑๐๓);
Icchāhatassa posassa, cakkaṃ bhamati matthake’’ti. (jā. 1.5.103);
‘‘อตฺริจฺฉา อติโลเภน, อติโลภมเทน จา’’ติ จฯ (ชา. ๑.๒.๑๖๘);
‘‘Atricchā atilobhena, atilobhamadena cā’’ti ca. (jā. 1.2.168);
ลาภสกฺการสิโลกนิกามยตาย อสนฺตคุณสมฺภาวนาธิปฺปาโย ปาปิโจฺฉฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –
Lābhasakkārasilokanikāmayatāya asantaguṇasambhāvanādhippāyo pāpiccho. Yaṃ sandhāya vuttaṃ –
‘‘ตตฺถ กตมา กุหนา? ลาภสกฺการสิโลกสนฺนิสฺสิตสฺส ปาปิจฺฉสฺส อิจฺฉาปกตสฺส ปจฺจยปฺปฎิเสวนสงฺขาเตน วา สามนฺตชปฺปิเตน วา อิริยาปถสฺส วา อฐปนา’’ติอาทิ (วิภ. ๘๖๑)ฯ
‘‘Tattha katamā kuhanā? Lābhasakkārasilokasannissitassa pāpicchassa icchāpakatassa paccayappaṭisevanasaṅkhātena vā sāmantajappitena vā iriyāpathassa vā aṭhapanā’’tiādi (vibha. 861).
สนฺตคุณสมฺภาวนาธิปฺปาโย ปฎิคฺคหเณ อมตฺตญฺญู มหิโจฺฉฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –
Santaguṇasambhāvanādhippāyo paṭiggahaṇe amattaññū mahiccho. Yaṃ sandhāya vuttaṃ –
‘‘อิเธกโจฺจ สโทฺธ สมาโน ‘สโทฺธติ มํ ชโน ชานาตู’ติ อิจฺฉติ, สีลวา สมาโน ‘สีลวาติ มํ ชโน ชานาตู’ติ อิจฺฉตี’’ติอาทิ (วิภ. ๘๕๑)ฯ
‘‘Idhekacco saddho samāno ‘saddhoti maṃ jano jānātū’ti icchati, sīlavā samāno ‘sīlavāti maṃ jano jānātū’ti icchatī’’tiādi (vibha. 851).
ทุตฺตปฺปิยตาย หิสฺส วิชาตมาตาปิ จิตฺตํ คเหตุํ น สโกฺกติฯ เตเนตํ วุจฺจติ –
Duttappiyatāya hissa vijātamātāpi cittaṃ gahetuṃ na sakkoti. Tenetaṃ vuccati –
‘‘อคฺคิกฺขโนฺธ สมุโทฺท จ, มหิโจฺฉ จาปิ ปุคฺคโล;
‘‘Aggikkhandho samuddo ca, mahiccho cāpi puggalo;
สกเฎหิ ปจฺจเย เทนฺตุ, ตโยเปเต อตปฺปิยา’’ติฯ
Sakaṭehi paccaye dentu, tayopete atappiyā’’ti.
เอเต ปน อตฺริจฺฉตาทโย โทเส อารกา ปริวเชฺชตฺวา สนฺตคุณนิคูหนาธิปฺปาโย ปฎิคฺคหเณ จ มตฺตญฺญู อปฺปิโจฺฉฯ โส อตฺตนิ วิชฺชมานมฺปิ คุณํ ปฎิจฺฉาเทตุกามตาย สโทฺธ สมาโน ‘‘สโทฺธติ มํ ชโน ชานาตู’’ติ น อิจฺฉติ, สีลวา, พหุสฺสุโต, ปวิวิโตฺต, อารทฺธวีริโย, อุปฎฺฐิตสฺสติ, สมาหิโต, ปญฺญวา สมาโน ‘‘ปญฺญวาติ มํ ชโน ชานาตู’’ติ น อิจฺฉติฯ
Ete pana atricchatādayo dose ārakā parivajjetvā santaguṇanigūhanādhippāyo paṭiggahaṇe ca mattaññū appiccho. So attani vijjamānampi guṇaṃ paṭicchādetukāmatāya saddho samāno ‘‘saddhoti maṃ jano jānātū’’ti na icchati, sīlavā, bahussuto, pavivitto, āraddhavīriyo, upaṭṭhitassati, samāhito, paññavā samāno ‘‘paññavāti maṃ jano jānātū’’ti na icchati.
สฺวายํ ปจฺจยปฺปิโจฺฉ ธุตงฺคปฺปิโจฺฉ ปริยตฺติอปฺปิโจฺฉ อธิคมปฺปิโจฺฉติ จตุพฺพิโธฯ ตตฺถ จตูสุ ปจฺจเยสุ อปฺปิโจฺฉ ปจฺจยทายกํ เทยฺยธมฺมํ อตฺตโน ถามญฺจ โอโลเกตฺวา สเจปิ หิ เทยฺยธโมฺม พหุ โหติ, ทายโก อปฺปํ ทาตุกาโม, ทายกสฺส วเสน อปฺปเมว คณฺหาติฯ เทยฺยธโมฺม เจ อโปฺป, ทายโก พหุํ ทาตุกาโม, เทยฺยธมฺมสฺส วเสน อปฺปเมว คณฺหาติฯ เทยฺยธโมฺมปิ เจ พหุ, ทายโกปิ พหุํ ทาตุกาโม, อตฺตโน ถามํ ญตฺวา ปมาณยุตฺตเมว คณฺหาติฯ เอวรูโป หิ ภิกฺขุ อนุปฺปนฺนํ ลาภํ อุปฺปาเทติ, อุปฺปนฺนํ ลาภํ ถาวรํ กโรติ, ทายกานํ จิตฺตํ อาราเธติฯ ธุตงฺคสมาทานสฺส ปน อตฺตนิ อตฺถิภาวํ น ชานาเปตุกาโม ธุตงฺคปฺปิโจฺฉฯ โย อตฺตโน พหุสฺสุตภาวํ ชานาเปตุํ น อิจฺฉติ, อยํ ปริยตฺติอปฺปิโจฺฉฯ โย ปน โสตาปนฺนาทีสุ อญฺญตโร หุตฺวา สพฺรหฺมจารีนมฺปิ อตฺตโน โสตาปนฺนาทิภาวํ ชานาเปตุํ น อิจฺฉติ, อยํ อธิคมปฺปิโจฺฉฯ เอวเมเตสํ อปฺปิจฺฉานํ ยา อปฺปิจฺฉตา, ตสฺสา สทฺธิํ สนฺทสฺสนาทิวิธินา อเนกาการโวการอานิสํสวิภาวนวเสน, ตปฺปฎิปกฺขสฺส อตฺริจฺฉาทิเภทสฺส อิจฺฉาจารสฺส อาทีนววิภาวนวเสน จ ปวตฺตา กถา อปฺปิจฺฉกถาฯ
Svāyaṃ paccayappiccho dhutaṅgappiccho pariyattiappiccho adhigamappicchoti catubbidho. Tattha catūsu paccayesu appiccho paccayadāyakaṃ deyyadhammaṃ attano thāmañca oloketvā sacepi hi deyyadhammo bahu hoti, dāyako appaṃ dātukāmo, dāyakassa vasena appameva gaṇhāti. Deyyadhammo ce appo, dāyako bahuṃ dātukāmo, deyyadhammassa vasena appameva gaṇhāti. Deyyadhammopi ce bahu, dāyakopi bahuṃ dātukāmo, attano thāmaṃ ñatvā pamāṇayuttameva gaṇhāti. Evarūpo hi bhikkhu anuppannaṃ lābhaṃ uppādeti, uppannaṃ lābhaṃ thāvaraṃ karoti, dāyakānaṃ cittaṃ ārādheti. Dhutaṅgasamādānassa pana attani atthibhāvaṃ na jānāpetukāmo dhutaṅgappiccho. Yo attano bahussutabhāvaṃ jānāpetuṃ na icchati, ayaṃ pariyattiappiccho. Yo pana sotāpannādīsu aññataro hutvā sabrahmacārīnampi attano sotāpannādibhāvaṃ jānāpetuṃ na icchati, ayaṃ adhigamappiccho. Evametesaṃ appicchānaṃ yā appicchatā, tassā saddhiṃ sandassanādividhinā anekākāravokāraānisaṃsavibhāvanavasena, tappaṭipakkhassa atricchādibhedassa icchācārassa ādīnavavibhāvanavasena ca pavattā kathā appicchakathā.
สนฺตุฎฺฐิกถาติ เอตฺถ สนฺตุฎฺฐีติ สเกน อตฺตนา ลเทฺธน ตุฎฺฐิ สนฺตุฎฺฐิฯ อถ วา วิสมํ ปจฺจยิจฺฉํ ปหาย สมํ ตุฎฺฐิ, สนฺตุฎฺฐิฯ สเนฺตน วา วิชฺชมาเนน ตุฎฺฐิ สนฺตุฎฺฐิฯ วุตฺตเญฺจตํ –
Santuṭṭhikathāti ettha santuṭṭhīti sakena attanā laddhena tuṭṭhi santuṭṭhi. Atha vā visamaṃ paccayicchaṃ pahāya samaṃ tuṭṭhi, santuṭṭhi. Santena vā vijjamānena tuṭṭhi santuṭṭhi. Vuttañcetaṃ –
‘‘อตีตํ นานุโสจโนฺต, นปฺปชปฺปมนาคตํ;
‘‘Atītaṃ nānusocanto, nappajappamanāgataṃ;
ปจฺจุปฺปเนฺนน ยาเปโนฺต, สนฺตุโฎฺฐติ ปวุจฺจตี’’ติฯ
Paccuppannena yāpento, santuṭṭhoti pavuccatī’’ti.
สมฺมา วา ญาเยน ภควตา อนุญฺญาตวิธินา ปจฺจเยหิ ตุฎฺฐิ สนฺตุฎฺฐิฯ อตฺถโต อิตรีตรปจฺจยสโนฺตโส , โส ทฺวาทสวิโธ โหติฯ กถํ ? จีวเร ยถาลาภสโนฺตโส, ยถาพลสโนฺตโส, ยถาสารุปฺปสโนฺตโสติ ติวิโธ, เอวํ ปิณฺฑปาตาทีสุฯ
Sammā vā ñāyena bhagavatā anuññātavidhinā paccayehi tuṭṭhi santuṭṭhi. Atthato itarītarapaccayasantoso , so dvādasavidho hoti. Kathaṃ ? Cīvare yathālābhasantoso, yathābalasantoso, yathāsāruppasantosoti tividho, evaṃ piṇḍapātādīsu.
ตตฺรายํ ปเภทวณฺณนา – อิธ ภิกฺขุ จีวรํ ลภติ สุนฺทรํ วา อสุนฺทรํ วา, โส เตเนว ยาเปติ, อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติ, อยมสฺส จีวเร ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ ปน ปกติทุพฺพโล วา โหติ อาพาธชราภิภูโต วา, ครุํ จีวรํ ปารุปโนฺต กิลมติ, โส สภาเคน ภิกฺขุนา สทฺธิํ ตํ ปริวเตฺตตฺวา ลหุเกน ยาเปโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส จีวเร ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร ปฎฺฎจีวราทีนํ อญฺญตรํ มหคฺฆจีวรํ ลภิตฺวา ‘‘อิทํ เถรานํ จิรปพฺพชิตานํ, อิทํ พหุสฺสุตานํ อนุรูปํ, อิทํ คิลานานํ ทุพฺพลานํ, อิทํ อปฺปลาภีนํ วา โหตู’’ติ เตสํ ทตฺวา อตฺตนา สงฺการกูฎาทิโต นนฺตกานิ อุจฺจินิตฺวา สงฺฆาฎิํ กตฺวา เตสํ วา ปุราณจีวรานิ คเหตฺวา ธาเรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส จีวเร ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Tatrāyaṃ pabhedavaṇṇanā – idha bhikkhu cīvaraṃ labhati sundaraṃ vā asundaraṃ vā, so teneva yāpeti, aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhāti, ayamassa cīvare yathālābhasantoso. Atha pana pakatidubbalo vā hoti ābādhajarābhibhūto vā, garuṃ cīvaraṃ pārupanto kilamati, so sabhāgena bhikkhunā saddhiṃ taṃ parivattetvā lahukena yāpentopi santuṭṭhova hoti, ayamassa cīvare yathābalasantoso. Aparo paṭṭacīvarādīnaṃ aññataraṃ mahagghacīvaraṃ labhitvā ‘‘idaṃ therānaṃ cirapabbajitānaṃ, idaṃ bahussutānaṃ anurūpaṃ, idaṃ gilānānaṃ dubbalānaṃ, idaṃ appalābhīnaṃ vā hotū’’ti tesaṃ datvā attanā saṅkārakūṭādito nantakāni uccinitvā saṅghāṭiṃ katvā tesaṃ vā purāṇacīvarāni gahetvā dhārentopi santuṭṭhova hoti, ayamassa cīvare yathāsāruppasantoso.
อิธ ปน ภิกฺขุ ปิณฺฑปาตํ ลภติ ลูขํ วา ปณีตํ วา, โส เตเนว ยาเปติ, อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติ, อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ ปน อาพาธิโก โหติ, ลูขํ ปกติวิรุทฺธํ วา พฺยาธิวิรุทฺธํ วา ปิณฺฑปาตํ ภุญฺชิตฺวา คาฬฺหํ โรคาตงฺกํ ปาปุณาติ, โส สภาคสฺส ภิกฺขุโน ทตฺวา ตสฺส หตฺถโต สปฺปายโภชนํ ภุญฺชิตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาพลสโนฺตโส ฯ อปโร ภิกฺขุ ปณีตํ ปิณฺฑปาตํ ลภติ, โส ‘‘อยํ ปิณฺฑปาโต จิรปพฺพชิตาทีนํ อนุรูโป’’ติ จีวรํ วิย เตสํ ทตฺวา, เตสํ วา สนฺตกํ คเหตฺวา, อตฺตนา ปิณฺฑาย จริตฺวา, มิสฺสกาหารํ วา ปริภุญฺชโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Idha pana bhikkhu piṇḍapātaṃ labhati lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā, so teneva yāpeti, aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhāti, ayamassa piṇḍapāte yathālābhasantoso. Atha pana ābādhiko hoti, lūkhaṃ pakativiruddhaṃ vā byādhiviruddhaṃ vā piṇḍapātaṃ bhuñjitvā gāḷhaṃ rogātaṅkaṃ pāpuṇāti, so sabhāgassa bhikkhuno datvā tassa hatthato sappāyabhojanaṃ bhuñjitvā samaṇadhammaṃ karontopi santuṭṭhova hoti, ayamassa piṇḍapāte yathābalasantoso. Aparo bhikkhu paṇītaṃ piṇḍapātaṃ labhati, so ‘‘ayaṃ piṇḍapāto cirapabbajitādīnaṃ anurūpo’’ti cīvaraṃ viya tesaṃ datvā, tesaṃ vā santakaṃ gahetvā, attanā piṇḍāya caritvā, missakāhāraṃ vā paribhuñjantopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa piṇḍapāte yathāsāruppasantoso.
อิธ ปน ภิกฺขุโน เสนาสนํ ปาปุณาติ มนาปํ วา อมนาปํ วา อนฺตมโส ติณกุฎิกาปิ ติณสนฺถารกมฺปิ, โส เตเนว สนฺตุสฺสติ, ปุน อญฺญํ สุนฺทรตรํ วา ปาปุณาติ, ตํ น คณฺหาติ, อยมสฺส เสนาสเน ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ ปน อาพาธิโก โหติ ทุพฺพโล วา, โส พฺยาธิวิรุทฺธํ วา ปกติวิรุทฺธํ วา เสนาสนํ ลภติ, ยตฺถสฺส วสโต อผาสุ โหติ, โส ตํ สภาคสฺส ภิกฺขุโน ทตฺวา ตสฺส สนฺตเก สปฺปายเสนาสเน วสิตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส เสนาสเน ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร สุนฺทรํ เสนาสนํ ปตฺตมฺปิ น สมฺปฎิจฺฉติ ‘‘ปณีตเสนาสนํ ปมาทฎฺฐาน’’นฺติ, มหาปุญฺญตาย วา เลณมณฺฑปกูฎาคาราทีนิ ปณีตเสนาสนานิ ลภติ, โส ตานิ จีวราทีนิ วิย จิรปพฺพชิตาทีนํ ทตฺวา ยตฺถ กตฺถจิ วสโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส เสนาสเน ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Idha pana bhikkhuno senāsanaṃ pāpuṇāti manāpaṃ vā amanāpaṃ vā antamaso tiṇakuṭikāpi tiṇasanthārakampi, so teneva santussati, puna aññaṃ sundarataraṃ vā pāpuṇāti, taṃ na gaṇhāti, ayamassa senāsane yathālābhasantoso. Atha pana ābādhiko hoti dubbalo vā, so byādhiviruddhaṃ vā pakativiruddhaṃ vā senāsanaṃ labhati, yatthassa vasato aphāsu hoti, so taṃ sabhāgassa bhikkhuno datvā tassa santake sappāyasenāsane vasitvā samaṇadhammaṃ karontopi santuṭṭhova hoti, ayamassa senāsane yathābalasantoso. Aparo sundaraṃ senāsanaṃ pattampi na sampaṭicchati ‘‘paṇītasenāsanaṃ pamādaṭṭhāna’’nti, mahāpuññatāya vā leṇamaṇḍapakūṭāgārādīni paṇītasenāsanāni labhati, so tāni cīvarādīni viya cirapabbajitādīnaṃ datvā yattha katthaci vasantopi santuṭṭhova hoti, ayamassa senāsane yathāsāruppasantoso.
อิธ ปน ภิกฺขุ เภสชฺชํ ลภติ ลูขํ วา ปณีตํ วา, โส เตเนว ตุสฺสติ, อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติ, อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ ปน เตเลน อตฺถิโก ผาณิตํ ลภติ, โส ตํ สภาคสฺส ภิกฺขุโน ทตฺวา, ตสฺส หตฺถโต เตลํ คเหตฺวา, เภสชฺชํ กตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร มหาปุโญฺญ พหุํ เตลมธุผาณิตาทิปณีตเภสชฺชํ ลภติ, โส ตํ จีวราทีนิ วิย จิรปพฺพชิตาทีนํ ทตฺวา เตสํ อาภเตน เยน เกนจิ เภสชฺชํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ โย ปน เอกสฺมิํ ภาชเน มุตฺตหรีตกํ, เอกสฺมิํ จตุมธุรํ ฐเปตฺวา ‘‘คณฺหถ, ภเนฺต, ยทิจฺฉสี’’ติ วุจฺจมาโน สจสฺส เตสุ อญฺญตเรนปิ โรโค วูปสมฺมติ , ‘‘มุตฺตหรีตกํ นาม พุทฺธาทีหิ วณฺณิตํ, ปูติมุตฺตเภสชฺชํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา, ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย’’ติ (มหาว. ๑๒๘) วจนมนุสฺสรโนฺต จตุมธุรํ ปฎิกฺขิปิตฺวา มุตฺตหรีตเกน เภสชฺชํ กโรโนฺต ปรมสนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Idha pana bhikkhu bhesajjaṃ labhati lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā, so teneva tussati, aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhāti, ayamassa gilānapaccaye yathālābhasantoso. Atha pana telena atthiko phāṇitaṃ labhati, so taṃ sabhāgassa bhikkhuno datvā, tassa hatthato telaṃ gahetvā, bhesajjaṃ katvā samaṇadhammaṃ karontopi santuṭṭhova hoti, ayamassa gilānapaccaye yathābalasantoso. Aparo mahāpuñño bahuṃ telamadhuphāṇitādipaṇītabhesajjaṃ labhati, so taṃ cīvarādīni viya cirapabbajitādīnaṃ datvā tesaṃ ābhatena yena kenaci bhesajjaṃ karontopi santuṭṭhova hoti. Yo pana ekasmiṃ bhājane muttaharītakaṃ, ekasmiṃ catumadhuraṃ ṭhapetvā ‘‘gaṇhatha, bhante, yadicchasī’’ti vuccamāno sacassa tesu aññatarenapi rogo vūpasammati , ‘‘muttaharītakaṃ nāma buddhādīhi vaṇṇitaṃ, pūtimuttabhesajjaṃ nissāya pabbajjā, tattha te yāvajīvaṃ ussāho karaṇīyo’’ti (mahāva. 128) vacanamanussaranto catumadhuraṃ paṭikkhipitvā muttaharītakena bhesajjaṃ karonto paramasantuṭṭhova hoti, ayamassa gilānapaccaye yathāsāruppasantoso.
โส เอวํปเภโท สโพฺพปิ สโนฺตโส สนฺตุฎฺฐีติ ปวุจฺจติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อตฺถโต อิตรีตรปจฺจยสโนฺตโส’’ติฯ อิตรีตรสนฺตุฎฺฐิยา สทฺธิํ สนฺทสฺสนาทิวิธินา อานิสํสวิภาวนวเสน, ตปฺปฎิปกฺขสฺส อตฺริจฺฉตาทิเภทสฺส อิจฺฉาปกตตฺตสฺส อาทีนววิภาวนวเสน จ ปวตฺตา กถา สนฺตุฎฺฐิกถาฯ อิโต ปราสุปิ กถาสุ เอเสว นโย, วิเสสมตฺตเมว วกฺขามฯ
So evaṃpabhedo sabbopi santoso santuṭṭhīti pavuccati. Tena vuttaṃ ‘‘atthato itarītarapaccayasantoso’’ti. Itarītarasantuṭṭhiyā saddhiṃ sandassanādividhinā ānisaṃsavibhāvanavasena, tappaṭipakkhassa atricchatādibhedassa icchāpakatattassa ādīnavavibhāvanavasena ca pavattā kathā santuṭṭhikathā. Ito parāsupi kathāsu eseva nayo, visesamattameva vakkhāma.
ปวิเวกกถาติ เอตฺถ กายวิเวโก จิตฺตวิเวโก อุปธิวิเวโกติ ตโย วิเวกาฯ เตสุ เอโก คจฺฉติ, เอโก ติฎฺฐติ, เอโก นิสีทติ, เอโก เสยฺยํ กเปฺปติ, เอโก คามํ ปิณฺฑาย ปวิสติ, เอโก ปฎิกฺกมติ, เอโก อภิกฺกมติ, เอโก จงฺกมํ อธิฎฺฐาติ, เอโก จรติ, เอโก วิหรตีติ เอวํ สพฺพิริยาปเถสุ สพฺพกิเจฺจสุ คณสงฺคณิกํ ปหาย วิวิตฺตวาโส กายวิเวโก นามฯ อฎฺฐ สมาปตฺติโย ปน จิตฺตวิเวโก นามฯ นิพฺพานํ อุปธิวิเวโก นามฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Pavivekakathāti ettha kāyaviveko cittaviveko upadhivivekoti tayo vivekā. Tesu eko gacchati, eko tiṭṭhati, eko nisīdati, eko seyyaṃ kappeti, eko gāmaṃ piṇḍāya pavisati, eko paṭikkamati, eko abhikkamati, eko caṅkamaṃ adhiṭṭhāti, eko carati, eko viharatīti evaṃ sabbiriyāpathesu sabbakiccesu gaṇasaṅgaṇikaṃ pahāya vivittavāso kāyaviveko nāma. Aṭṭha samāpattiyo pana cittaviveko nāma. Nibbānaṃ upadhiviveko nāma. Vuttañhetaṃ –
‘‘กายวิเวโก จ วิเวกฎฺฐกายานํ เนกฺขมฺมาภิรตานํ, จิตฺตวิเวโก จ ปริสุทฺธจิตฺตานํ ปรมโวทานปฺปตฺตานํ, อุปธิวิเวโก จ นิรุปธีนํ ปุคฺคลานํ วิสงฺขารคตาน’’นฺติ (มหานิ. ๕๗)ฯ
‘‘Kāyaviveko ca vivekaṭṭhakāyānaṃ nekkhammābhiratānaṃ, cittaviveko ca parisuddhacittānaṃ paramavodānappattānaṃ, upadhiviveko ca nirupadhīnaṃ puggalānaṃ visaṅkhāragatāna’’nti (mahāni. 57).
วิเวโกเยว ปวิเวโก, ปวิเวกปฺปฎิสํยุตฺตา กถา ปวิเวกกถาฯ
Vivekoyeva paviveko, pavivekappaṭisaṃyuttā kathā pavivekakathā.
อสํสคฺคกถาติ เอตฺถ สวนสํสโคฺค ทสฺสนสํสโคฺค สมุลฺลปนสํสโคฺค สโมฺภคสํสโคฺค กายสํสโคฺคติ ปญฺจ สํสคฺคาฯ เตสุ อิเธกโจฺจ ภิกฺขุ สุณาติ ‘‘อสุกสฺมิํ คาเม วา นิคเม วา อิตฺถี อภิรูปา ทสฺสนียา ปาสาทิกา ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคตา’’ติ, โส ตํ สุตฺวา สํสีทติ วิสีทติ, น สโกฺกติ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ, สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺตติ, เอวํ วิสภาคารมฺมณสวเนน อุปฺปนฺนกิเลสสนฺถโว สวนสํสโคฺค นามฯ น เหว โข ภิกฺขุ สุณาติ, อปิจ โข สามํ ปสฺสติ อิตฺถิํ อภิรูปํ ทสฺสนียํ ปาสาทิกํ ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคตํ, โส ตํ ทิสฺวา สํสีทติ วิสีทติ, น สโกฺกติ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ, สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺตติ, เอวํ วิสภาคารมฺมณทสฺสเนน อุปฺปนฺนกิเลสสนฺถโว ทสฺสนสํสโคฺค นามฯ ทิสฺวา ปน อญฺญมญฺญํ อาลาปสลฺลาปวเสน อุปฺปโนฺน กิเลสสนฺถโว สมุลฺลปนสํสโคฺค นามฯ สหชคฺฆนาทีนิปิ เอเตเนว สงฺคณฺหาติฯ อตฺตโน ปน สนฺตกํ ยํกิญฺจิ มาตุคามสฺส ทตฺวา วา อทตฺวา วา เตน ทินฺนสฺส วนภงฺคิยาทิโน ปริโภควเสน อุปฺปนฺนกิเลสสนฺถโว สโมฺภคสํสโคฺค นามฯ มาตุคามสฺส หตฺถคฺคาหาทิวเสน อุปฺปนฺนกิเลสสนฺถโว กายสํสโคฺค นามฯ โยปิ เจส –
Asaṃsaggakathāti ettha savanasaṃsaggo dassanasaṃsaggo samullapanasaṃsaggo sambhogasaṃsaggo kāyasaṃsaggoti pañca saṃsaggā. Tesu idhekacco bhikkhu suṇāti ‘‘asukasmiṃ gāme vā nigame vā itthī abhirūpā dassanīyā pāsādikā paramāya vaṇṇapokkharatāya samannāgatā’’ti, so taṃ sutvā saṃsīdati visīdati, na sakkoti brahmacariyaṃ sandhāretuṃ, sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattati, evaṃ visabhāgārammaṇasavanena uppannakilesasanthavo savanasaṃsaggo nāma. Na heva kho bhikkhu suṇāti, apica kho sāmaṃ passati itthiṃ abhirūpaṃ dassanīyaṃ pāsādikaṃ paramāya vaṇṇapokkharatāya samannāgataṃ, so taṃ disvā saṃsīdati visīdati, na sakkoti brahmacariyaṃ sandhāretuṃ, sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattati, evaṃ visabhāgārammaṇadassanena uppannakilesasanthavo dassanasaṃsaggo nāma. Disvā pana aññamaññaṃ ālāpasallāpavasena uppanno kilesasanthavo samullapanasaṃsaggo nāma. Sahajagghanādīnipi eteneva saṅgaṇhāti. Attano pana santakaṃ yaṃkiñci mātugāmassa datvā vā adatvā vā tena dinnassa vanabhaṅgiyādino paribhogavasena uppannakilesasanthavo sambhogasaṃsaggo nāma. Mātugāmassa hatthaggāhādivasena uppannakilesasanthavo kāyasaṃsaggo nāma. Yopi cesa –
‘‘คิหีหิ สํสโฎฺฐ วิหรติ อนนุโลมิเกน สํสเคฺคน สหโสกี สหนนฺที สุขิเตสุ สุขิโต, ทุกฺขิเตสุ ทุกฺขิโต , อุปฺปเนฺนสุ กิจฺจกรณีเยสุ อตฺตนา อุโยฺยคํ อาปชฺชตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๓; มหานิ. ๑๖๔) –
‘‘Gihīhi saṃsaṭṭho viharati ananulomikena saṃsaggena sahasokī sahanandī sukhitesu sukhito, dukkhitesu dukkhito , uppannesu kiccakaraṇīyesu attanā uyyogaṃ āpajjatī’’ti (saṃ. ni. 3.3; mahāni. 164) –
เอวํ วุโตฺต อนนุโลมิโก คิหิสํสโคฺค, โย จ สพฺรหฺมจารีหิปิ กิเลสุปฺปตฺติเหตุภูโต สํสโคฺค, ตํ สพฺพํ ปหาย ยฺวายํ สํสาเร ถิรตรํ สํเวคํ, สงฺขาเรสุ ติพฺพํ ภยสญฺญํ, สรีเร ปฎิกูลสญฺญํ, สพฺพากุสเลสุ ชิคุจฺฉาปุพฺพงฺคมํ หิโรตฺตปฺปํ, สพฺพกิริยาสุ สติสมฺปชญฺญนฺติ สพฺพํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา กมลทเล ชลพินฺทุ วิย สพฺพตฺถ อลคฺคภาโว, อยํ สพฺพสํสคฺคปฺปฎิปกฺขตาย อสํสโคฺคฯ ตปฺปฎิสํยุตฺตา กถา อสํสคฺคกถาฯ
Evaṃ vutto ananulomiko gihisaṃsaggo, yo ca sabrahmacārīhipi kilesuppattihetubhūto saṃsaggo, taṃ sabbaṃ pahāya yvāyaṃ saṃsāre thirataraṃ saṃvegaṃ, saṅkhāresu tibbaṃ bhayasaññaṃ, sarīre paṭikūlasaññaṃ, sabbākusalesu jigucchāpubbaṅgamaṃ hirottappaṃ, sabbakiriyāsu satisampajaññanti sabbaṃ paccupaṭṭhapetvā kamaladale jalabindu viya sabbattha alaggabhāvo, ayaṃ sabbasaṃsaggappaṭipakkhatāya asaṃsaggo. Tappaṭisaṃyuttā kathā asaṃsaggakathā.
วีริยารมฺภกถาติ เอตฺถ วีรสฺส ภาโว, กมฺมนฺติ วา วีริยํ, วิธินา อีรยิตพฺพํ ปวเตฺตตพฺพนฺติ วา วีริยํ, วีริยญฺจ ตํ อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานาย กุสลานํ ธมฺมานํ อุปสมฺปทาย อารมฺภนํ วีริยารโมฺภฯ สฺวายํ กายิโก เจตสิโก จาติ ทุวิโธ, อารมฺภธาตุ, นิกฺกมธาตุ, ปรกฺกมธาตุ จาติ ติวิโธ; สมฺมปฺปธานวเสน จตุพฺพิโธฯ โส สโพฺพปิ โย ภิกฺขุ คมเน อุปฺปนฺนํ กิเลสํ ฐานํ ปาปุณิตุํ น เทติ; ฐาเน อุปฺปนฺนํ นิสชฺชํ, นิสชฺชาย อุปฺปนฺนํ สยนํ ปาปุณิตุํ น เทติ, ตตฺถ ตเตฺถว อชปเทน ทเณฺฑน กณฺหสปฺปํ อุปฺปีเฬตฺวา คณฺหโนฺต วิย, ติขิเณน อสินา อมิตฺตํ คีวาย ปหรโนฺต วิย จ สีสํ อุกฺขิปิตุํ อทตฺวา วีริยพเลน นิคฺคณฺหาติ, ตเสฺสวํ อารทฺธวีริยสฺส วเสน เวทิตโพฺพฯ ตปฺปฎิสํยุตฺตา กถา วีริยารมฺภกถาฯ
Vīriyārambhakathāti ettha vīrassa bhāvo, kammanti vā vīriyaṃ, vidhinā īrayitabbaṃ pavattetabbanti vā vīriyaṃ, vīriyañca taṃ akusalānaṃ dhammānaṃ pahānāya kusalānaṃ dhammānaṃ upasampadāya ārambhanaṃ vīriyārambho. Svāyaṃ kāyiko cetasiko cāti duvidho, ārambhadhātu, nikkamadhātu, parakkamadhātu cāti tividho; sammappadhānavasena catubbidho. So sabbopi yo bhikkhu gamane uppannaṃ kilesaṃ ṭhānaṃ pāpuṇituṃ na deti; ṭhāne uppannaṃ nisajjaṃ, nisajjāya uppannaṃ sayanaṃ pāpuṇituṃ na deti, tattha tattheva ajapadena daṇḍena kaṇhasappaṃ uppīḷetvā gaṇhanto viya, tikhiṇena asinā amittaṃ gīvāya paharanto viya ca sīsaṃ ukkhipituṃ adatvā vīriyabalena niggaṇhāti, tassevaṃ āraddhavīriyassa vasena veditabbo. Tappaṭisaṃyuttā kathā vīriyārambhakathā.
สีลกถาทีสุ ทุวิธํ สีลํ โลกิยํ โลกุตฺตรญฺจฯ ตตฺถ โลกิยํ ปาติโมกฺขสํวราทิ จตุปาริสุทฺธิสีลํ, โลกุตฺตรํ มคฺคสีลํ ผลสีลญฺจฯ ตถา วิปสฺสนาย ปาทกภูตา สห อุปจาเรน อฎฺฐ สมาปตฺติโย โลกิโย สมาธิ, มคฺคสมฺปยุโตฺต ปเนตฺถ โลกุตฺตโร สมาธิ นามฯ ตถา ปญฺญาปิ โลกิยา สุตมยา จินฺตามยา ฌานสมฺปยุตฺตา วิปสฺสนาญาณญฺจฯ วิเสสโต ปเนตฺถ วิปสฺสนาปญฺญา คเหตพฺพา, โลกุตฺตรา มคฺคปญฺญา ผลปญฺญา จฯ วิมุตฺตีปิ อริยผลวิมุตฺติ นิพฺพานญฺจฯ อปเร ปน ตทงฺควิกฺขมฺภนสมุเจฺฉทวิมุตฺตีนมฺปิ วเสเนตฺถ อตฺถํ วเณฺณนฺติฯ วิมุตฺติญาณทสฺสนมฺปิ เอกูนวีสติวิธํ ปจฺจเวกฺขณญาณํฯ อิติ อิเมสํ สีลาทีนํ สทฺธิํ สนฺทสฺสนาทิวิธินา อเนกาการโวการอานิสํสวิภาวนวเสน เจว ตปฺปฎิปกฺขานํ ทุสฺสีลฺยาทีนํ อาทีนววิภาวนวเสน จ ปวตฺตา กถา, ตปฺปฎิสํยุตฺตา กถา วา สีลาทิกถา นามฯ
Sīlakathādīsu duvidhaṃ sīlaṃ lokiyaṃ lokuttarañca. Tattha lokiyaṃ pātimokkhasaṃvarādi catupārisuddhisīlaṃ, lokuttaraṃ maggasīlaṃ phalasīlañca. Tathā vipassanāya pādakabhūtā saha upacārena aṭṭha samāpattiyo lokiyo samādhi, maggasampayutto panettha lokuttaro samādhi nāma. Tathā paññāpi lokiyā sutamayā cintāmayā jhānasampayuttā vipassanāñāṇañca. Visesato panettha vipassanāpaññā gahetabbā, lokuttarā maggapaññā phalapaññā ca. Vimuttīpi ariyaphalavimutti nibbānañca. Apare pana tadaṅgavikkhambhanasamucchedavimuttīnampi vasenettha atthaṃ vaṇṇenti. Vimuttiñāṇadassanampi ekūnavīsatividhaṃ paccavekkhaṇañāṇaṃ. Iti imesaṃ sīlādīnaṃ saddhiṃ sandassanādividhinā anekākāravokāraānisaṃsavibhāvanavasena ceva tappaṭipakkhānaṃ dussīlyādīnaṃ ādīnavavibhāvanavasena ca pavattā kathā, tappaṭisaṃyuttā kathā vā sīlādikathā nāma.
เอตฺถ จ ‘‘อตฺตนา จ อปฺปิโจฺฉ โหติ, อปฺปิจฺฉกถญฺจ ปเรสํ กตฺตา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๕๒; อ. นิ. ๑๐.๗๐) ‘‘สนฺตุโฎฺฐ โหติ อิตรีตเรน จีวเรน, อิตรีตรจีวรสนฺตุฎฺฐิยา จ วณฺณวาที’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๔๔; จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๒๘) จ อาทิวจนโต สยญฺจ อปฺปิจฺฉตาทิคุณสมนฺนาคเตน ปเรสมฺปิ ตทตฺถาย หิตชฺฌาสเยน ปวเตฺตตพฺพา ตถารูปี กถา, ยา อิธ อภิสเลฺลขิกาทิภาเวน วิเสเสตฺวา วุตฺตา อปฺปิจฺฉกถาทีติ เวทิตพฺพาฯ การกเสฺสว หิ กถา วิเสสโต อธิเปฺปตตฺถสาธินีฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘กลฺยาณมิตฺตเสฺสตํ, เมฆิย, ภิกฺขุโน ปาฎิกงฺขํ…เป. … อกสิรลาภี’’ติฯ
Ettha ca ‘‘attanā ca appiccho hoti, appicchakathañca paresaṃ kattā’’ti (ma. ni. 1.252; a. ni. 10.70) ‘‘santuṭṭho hoti itarītarena cīvarena, itarītaracīvarasantuṭṭhiyā ca vaṇṇavādī’’ti (saṃ. ni. 2.144; cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddesa 128) ca ādivacanato sayañca appicchatādiguṇasamannāgatena paresampi tadatthāya hitajjhāsayena pavattetabbā tathārūpī kathā, yā idha abhisallekhikādibhāvena visesetvā vuttā appicchakathādīti veditabbā. Kārakasseva hi kathā visesato adhippetatthasādhinī. Tathā hi vakkhati ‘‘kalyāṇamittassetaṃ, meghiya, bhikkhuno pāṭikaṅkhaṃ…pe. … akasiralābhī’’ti.
เอวรูปายาติ อีทิสาย, ยถาวุตฺตายฯ นิกามลาภีติ ยถิจฺฉิตลาภี ยถารุจิลาภี, สพฺพกาลํ อิมา กถา โสตุํ วิจาเรตุญฺจ ยถาสุขํ ลภโนฺตฯ อกิจฺฉลาภีติ นิทฺทุกฺขลาภีฯ อกสิรลาภีติ วิปุลลาภีฯ
Evarūpāyāti īdisāya, yathāvuttāya. Nikāmalābhīti yathicchitalābhī yathārucilābhī, sabbakālaṃ imā kathā sotuṃ vicāretuñca yathāsukhaṃ labhanto. Akicchalābhīti niddukkhalābhī. Akasiralābhīti vipulalābhī.
อารทฺธวีริโยติ ปคฺคหิตวีริโยฯ อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานายาติ อโกสลฺลสมฺภูตเฎฺฐน อกุสลานํ ปาปธมฺมานํ ปชหนตฺถายฯ กุสลานํ ธมฺมานนฺติ กุจฺฉิตานํ สลนาทิอเตฺถน อนวชฺชเฎฺฐน จ กุสลานํ สหวิปสฺสนานํ มคฺคผลธมฺมานํฯ อุปสมฺปทายาติ สมฺปาทนาย, อตฺตโน สนฺตาเน อุปฺปาทนายฯ ถามวาติ อุโสฺสฬฺหิสงฺขาเตน วีริยถาเมน สมนฺนาคโตฯ ทฬฺหปรกฺกโมติ ถิรปรกฺกโม อสิถิลวีริโยฯ อนิกฺขิตฺตธุโรติ อโนโรหิตธุโร อโนสกฺกิตวีริโยฯ
Āraddhavīriyoti paggahitavīriyo. Akusalānaṃ dhammānaṃ pahānāyāti akosallasambhūtaṭṭhena akusalānaṃ pāpadhammānaṃ pajahanatthāya. Kusalānaṃ dhammānanti kucchitānaṃ salanādiatthena anavajjaṭṭhena ca kusalānaṃ sahavipassanānaṃ maggaphaladhammānaṃ. Upasampadāyāti sampādanāya, attano santāne uppādanāya. Thāmavāti ussoḷhisaṅkhātena vīriyathāmena samannāgato. Daḷhaparakkamoti thiraparakkamo asithilavīriyo. Anikkhittadhuroti anorohitadhuro anosakkitavīriyo.
ปญฺญวาติ วิปสฺสนาปญฺญาย ปญฺญวาฯ อุทยตฺถคามินิยาติ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ อุทยญฺจ วยญฺจ ปฎิวิชฺฌนฺติยาฯ อริยายาติ วิกฺขมฺภนวเสน กิเลเสหิ อารกา ทูเร ฐิตาย นิโทฺทสายฯ นิเพฺพธิกายาติ นิเพฺพธภาคิยายฯ สมฺมา ทุกฺขกฺขยคามินิยาติ วฎฺฎทุกฺขสฺส เขปนโต ‘‘ทุกฺขกฺขโย’’ติ ลทฺธนามํ อริยมคฺคํ สมฺมา เหตุนา ญาเยน คจฺฉนฺติยาฯ
Paññavāti vipassanāpaññāya paññavā. Udayatthagāminiyāti pañcannaṃ khandhānaṃ udayañca vayañca paṭivijjhantiyā. Ariyāyāti vikkhambhanavasena kilesehi ārakā dūre ṭhitāya niddosāya. Nibbedhikāyāti nibbedhabhāgiyāya. Sammā dukkhakkhayagāminiyāti vaṭṭadukkhassa khepanato ‘‘dukkhakkhayo’’ti laddhanāmaṃ ariyamaggaṃ sammā hetunā ñāyena gacchantiyā.
อิเมสุ จ ปน ปญฺจสุ ธเมฺมสุ สีลํ วีริยํ ปญฺญา จ โยคิโน อชฺฌตฺติกํ องฺคํ, อิตรทฺวยํ พาหิรํ องฺคํฯ ตถาปิ กลฺยาณมิตฺตสนฺนิสฺสเยเนว เสสํ จตุพฺพิธํ อิชฺฌติ, กลฺยาณมิตฺตเสฺสเวตฺถ พหูปการตํ ทเสฺสโนฺต สตฺถา ‘‘กลฺยาณมิตฺตเสฺสตํ, เมฆิย, ภิกฺขุโน ปาฎิกงฺข’’นฺติอาทินา เทสนํ วเฑฺฒติฯ ตตฺถ ปาฎิกงฺขนฺติ เอกํเสน อิจฺฉิตพฺพํ, อวสฺสํภาวีติ อโตฺถฯ ยนฺติ กิริยาปรามสนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘สีลวา ภวิสฺสตี’’ติ เอตฺถ ยเทตํ กลฺยาณมิตฺตสฺส ภิกฺขุโน สีลวนฺตตาย ภวนํ สีลสมฺปนฺนตฺตํ, ตสฺส ภิกฺขุโน สีลสมฺปนฺนตฺตา เอตํ ตสฺส ปาฎิกงฺขํ, อวสฺสํภาวี เอกํเสเนว ตสฺส ตตฺถ นิโยชนโตติ อธิปฺปาโยฯ ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต วิหริสฺสตีติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
Imesu ca pana pañcasu dhammesu sīlaṃ vīriyaṃ paññā ca yogino ajjhattikaṃ aṅgaṃ, itaradvayaṃ bāhiraṃ aṅgaṃ. Tathāpi kalyāṇamittasannissayeneva sesaṃ catubbidhaṃ ijjhati, kalyāṇamittassevettha bahūpakārataṃ dassento satthā ‘‘kalyāṇamittassetaṃ, meghiya, bhikkhuno pāṭikaṅkha’’ntiādinā desanaṃ vaḍḍheti. Tattha pāṭikaṅkhanti ekaṃsena icchitabbaṃ, avassaṃbhāvīti attho. Yanti kiriyāparāmasanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘sīlavā bhavissatī’’ti ettha yadetaṃ kalyāṇamittassa bhikkhuno sīlavantatāya bhavanaṃ sīlasampannattaṃ, tassa bhikkhuno sīlasampannattā etaṃ tassa pāṭikaṅkhaṃ, avassaṃbhāvī ekaṃseneva tassa tattha niyojanatoti adhippāyo. Pātimokkhasaṃvarasaṃvuto viharissatītiādīsupi eseva nayo.
เอวํ ภควา สเทวเก โลเก อุตฺตมกลฺยาณมิตฺตสงฺขาตสฺส อตฺตโน วจนํ อนาทิยิตฺวา ตํ วนสณฺฑํ ปวิสิตฺวา ตาทิสํ วิปฺปการํ ปตฺตสฺส อายสฺมโต เมฆิยสฺส กลฺยาณมิตฺตตาทินา สกลํ สาสนสมฺปตฺติํ ทเสฺสตฺวา, อิทานิสฺส ตตฺถ อาทรชาตสฺส ปุเพฺพ เยหิ กามวิตกฺกาทีหิ อุปทฺทุตตฺตา กมฺมฎฺฐานํ น สมฺปชฺชิ, ตสฺส เตสํ อุชุวิปจฺจนีกภูตตฺตา จ ภาวนานยํ ปกาเสตฺวา, ตโต ปรํ อรหตฺตสฺส กมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขโนฺต, ‘‘เตน จ ปน, เมฆิย, ภิกฺขุนา อิเมสุ ปญฺจสุ ธเมฺมสุ ปติฎฺฐาย จตฺตาโร ธมฺมา อุตฺตริ ภาเวตพฺพา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เตนาติ เอวํ กลฺยาณมิตฺตสนฺนิสฺสเยน ยถาวุตฺตสีลาทิคุณสมนฺนาคเตนฯ เตเนวาห ‘‘อิเมสุ ปญฺจสุ ธเมฺมสุ ปติฎฺฐายา’’ติฯ อุตฺตรีติ อารทฺธตรุณวิปสฺสนสฺส ราคาทิปริสฺสยา เจ อุปฺปเชฺชยฺยุํ, เตสํ วิโสธนตฺถํ ตโต อุทฺธํ จตฺตาโร ธมฺมา ภาเวตพฺพา อุปฺปาเทตพฺพา วเฑฺฒตพฺพา จฯ
Evaṃ bhagavā sadevake loke uttamakalyāṇamittasaṅkhātassa attano vacanaṃ anādiyitvā taṃ vanasaṇḍaṃ pavisitvā tādisaṃ vippakāraṃ pattassa āyasmato meghiyassa kalyāṇamittatādinā sakalaṃ sāsanasampattiṃ dassetvā, idānissa tattha ādarajātassa pubbe yehi kāmavitakkādīhi upaddutattā kammaṭṭhānaṃ na sampajji, tassa tesaṃ ujuvipaccanīkabhūtattā ca bhāvanānayaṃ pakāsetvā, tato paraṃ arahattassa kammaṭṭhānaṃ ācikkhanto, ‘‘tena ca pana, meghiya, bhikkhunā imesu pañcasu dhammesu patiṭṭhāya cattāro dhammā uttari bhāvetabbā’’tiādimāha. Tattha tenāti evaṃ kalyāṇamittasannissayena yathāvuttasīlādiguṇasamannāgatena. Tenevāha ‘‘imesu pañcasu dhammesu patiṭṭhāyā’’ti. Uttarīti āraddhataruṇavipassanassa rāgādiparissayā ce uppajjeyyuṃ, tesaṃ visodhanatthaṃ tato uddhaṃ cattāro dhammā bhāvetabbā uppādetabbā vaḍḍhetabbā ca.
อสุภาติ เอกาทสสุ อสุภกมฺมฎฺฐาเนสุ ยถารหํ ยตฺถ กตฺถจิ อสุภภาวนาฯ ราคสฺส ปหานายาติ กามราคสฺส ปชหนตฺถายฯ อยมโตฺถ สาลิลายโกปมาย วิภาเวตโพฺพ – เอโก หิ ปุริโส อสิตํ คเหตฺวา โกฎิโต ปฎฺฐาย สาลิเขเตฺต สาลิโย ลายติ, อถสฺส วติํ ภินฺทิตฺวา คาโว ปวิสิํสุฯ โส อสิตํ ฐเปตฺวา, ยฎฺฐิํ อาทาย, เตเนว มเคฺคน คาโว นีหริตฺวา, วติํ ปากติกํ กตฺวา, ปุน อสิตํ คเหตฺวา สาลิโย ลายิฯ ตตฺถ สาลิเขตฺตํ วิย พุทฺธสาสนํ ทฎฺฐพฺพํ, สาลิลายโก วิย โยคาวจโร, อสิตํ วิย ปญฺญา, ลายนกาโล วิย วิปสฺสนาย กมฺมกรณกาโล, ยฎฺฐิ วิย อสุภกมฺมฎฺฐานํ, วติ วิย สํวโร , วติํ ภินฺทิตฺวา คาวีนํ ปวิสนํ วิย สหสา อปฺปฎิสงฺขาย ปมาทํ อาคมฺม ราคสฺส อุปฺปชฺชนํ, อสิตํ ฐเปตฺวา, ยฎฺฐิํ อาทาย, ปวิฎฺฐมเคฺคเนว คาโว นีหริตฺวา, วติํ ปฎิปากติกํ กตฺวา, ปุน ฐิตฎฺฐานโต ปฎฺฐาย สาลิลายนํ วิย อสุภกมฺมฎฺฐาเนน ราคํ วิกฺขเมฺภตฺวา, ปุน วิปสฺสนาย กมฺมกรณกาโลติ อิทเมตฺถ อุปมาสํสนฺทนํฯ เอวํภูตํ ภาวนาวิธิํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อสุภา ภาเวตพฺพา ราคสฺส ปหานายา’’ติฯ
Asubhāti ekādasasu asubhakammaṭṭhānesu yathārahaṃ yattha katthaci asubhabhāvanā. Rāgassa pahānāyāti kāmarāgassa pajahanatthāya. Ayamattho sālilāyakopamāya vibhāvetabbo – eko hi puriso asitaṃ gahetvā koṭito paṭṭhāya sālikhette sāliyo lāyati, athassa vatiṃ bhinditvā gāvo pavisiṃsu. So asitaṃ ṭhapetvā, yaṭṭhiṃ ādāya, teneva maggena gāvo nīharitvā, vatiṃ pākatikaṃ katvā, puna asitaṃ gahetvā sāliyo lāyi. Tattha sālikhettaṃ viya buddhasāsanaṃ daṭṭhabbaṃ, sālilāyako viya yogāvacaro, asitaṃ viya paññā, lāyanakālo viya vipassanāya kammakaraṇakālo, yaṭṭhi viya asubhakammaṭṭhānaṃ, vati viya saṃvaro , vatiṃ bhinditvā gāvīnaṃ pavisanaṃ viya sahasā appaṭisaṅkhāya pamādaṃ āgamma rāgassa uppajjanaṃ, asitaṃ ṭhapetvā, yaṭṭhiṃ ādāya, paviṭṭhamaggeneva gāvo nīharitvā, vatiṃ paṭipākatikaṃ katvā, puna ṭhitaṭṭhānato paṭṭhāya sālilāyanaṃ viya asubhakammaṭṭhānena rāgaṃ vikkhambhetvā, puna vipassanāya kammakaraṇakāloti idamettha upamāsaṃsandanaṃ. Evaṃbhūtaṃ bhāvanāvidhiṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘asubhā bhāvetabbā rāgassa pahānāyā’’ti.
เมตฺตาติ เมตฺตากมฺมฎฺฐานํฯ พฺยาปาทสฺส ปหานายาติ วุตฺตนเยเนว อุปฺปนฺนโกปสฺส ปชหนตฺถายฯ อานาปานสฺสตีติ โสฬสวตฺถุกา อานาปานสฺสติฯ วิตกฺกุปเจฺฉทายาติ วุตฺตนเยเนว อุปฺปนฺนานํ วิตกฺกานํ อุปเจฺฉทนตฺถายฯ อสฺมิมานสมุคฺฆาตายาติ อสฺมีติ อุปฺปชฺชนกสฺส นววิธสฺส มานสฺส สมุเจฺฉทนตฺถายฯ อนิจฺจสญฺญิโนติ หุตฺวา อภาวโต อุทยพฺพยวนฺตโต ปภงฺคุโต ตาวกาลิกโต นิจฺจปฺปฎิปกฺขโต จ ‘‘สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจา’’ติ (ธ. ป. ๒๗๗; จูฬนิ. เหมกมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๕๖) ปวตฺตอนิจฺจานุปสฺสนาวเสน อนิจฺจสญฺญิโนฯ อนตฺตสญฺญา สณฺฐาตีติ อสารกโต อวสวตฺตนโต ปรโต ริตฺตโต ตุจฺฉโต สุญฺญโต จ ‘‘สเพฺพ ธมฺมา อนตฺตา’’ติ (ธ. ป. ๒๗๙; จูฬนิ. เหมกมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๕๖) เอวํ ปวตฺตา อนตฺตานุปสฺสนาสงฺขาตา อนตฺตสญฺญา จิเตฺต สณฺฐหติ, อติทฬฺหํ ปติฎฺฐาติฯ อนิจฺจลกฺขเณ หิ ทิเฎฺฐ อนตฺตลกฺขณํ ทิฎฺฐเมว โหติฯ ตีสุ หิ ลกฺขเณสุ เอกสฺมิํ ทิเฎฺฐ อิตรทฺวยํ ทิฎฺฐเมว โหติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อนิจฺจสญฺญิโน หิ, เมฆิย, อนตฺตสญฺญา สณฺฐาตี’’ติฯ อนตฺตลกฺขเณ ทิเฎฺฐ อสฺมีติ อุปฺปชฺชนกมาโน สุปฺปชโหว โหตีติ อาห – ‘‘อนตฺตสญฺญี อสฺมิมานสมุคฺฆาตํ ปาปุณาตี’’ติ ทิเฎฺฐว ธเมฺม นิพฺพานนฺติ ทิเฎฺฐเยว ธเมฺม อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเว อปจฺจยปรินิพฺพานํ ปาปุณาติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารโต ปน อสุภาทิภาวนานโย วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๐๒) วุตฺตนเยน คเหตโพฺพฯ
Mettāti mettākammaṭṭhānaṃ. Byāpādassa pahānāyāti vuttanayeneva uppannakopassa pajahanatthāya. Ānāpānassatīti soḷasavatthukā ānāpānassati. Vitakkupacchedāyāti vuttanayeneva uppannānaṃ vitakkānaṃ upacchedanatthāya. Asmimānasamugghātāyāti asmīti uppajjanakassa navavidhassa mānassa samucchedanatthāya. Aniccasaññinoti hutvā abhāvato udayabbayavantato pabhaṅguto tāvakālikato niccappaṭipakkhato ca ‘‘sabbe saṅkhārā aniccā’’ti (dha. pa. 277; cūḷani. hemakamāṇavapucchāniddesa 56) pavattaaniccānupassanāvasena aniccasaññino. Anattasaññā saṇṭhātīti asārakato avasavattanato parato rittato tucchato suññato ca ‘‘sabbe dhammā anattā’’ti (dha. pa. 279; cūḷani. hemakamāṇavapucchāniddesa 56) evaṃ pavattā anattānupassanāsaṅkhātā anattasaññā citte saṇṭhahati, atidaḷhaṃ patiṭṭhāti. Aniccalakkhaṇe hi diṭṭhe anattalakkhaṇaṃ diṭṭhameva hoti. Tīsu hi lakkhaṇesu ekasmiṃ diṭṭhe itaradvayaṃ diṭṭhameva hoti. Tena vuttaṃ – ‘‘aniccasaññino hi, meghiya, anattasaññā saṇṭhātī’’ti. Anattalakkhaṇe diṭṭhe asmīti uppajjanakamāno suppajahova hotīti āha – ‘‘anattasaññī asmimānasamugghātaṃ pāpuṇātī’’ti diṭṭheva dhamme nibbānanti diṭṭheyeva dhamme imasmiṃyeva attabhāve apaccayaparinibbānaṃ pāpuṇāti. Ayamettha saṅkhepo, vitthārato pana asubhādibhāvanānayo visuddhimagge (visuddhi. 1.102) vuttanayena gahetabbo.
เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ เอตํ อายสฺมโต เมฆิยสฺส มิจฺฉาวิตกฺกโจเรหิ กุสลภณฺฑุปเจฺฉทสงฺขาตํ อตฺถํ ชานิตฺวาฯ อิมํ อุทานนฺติ อิมํ กามวิตกฺกาทีนํ อวิโนทเน วิโนทเน จ อาทีนวานิสํสทีปกํ อุทานํ อุทาเนสิฯ
Etamatthaṃviditvāti etaṃ āyasmato meghiyassa micchāvitakkacorehi kusalabhaṇḍupacchedasaṅkhātaṃ atthaṃ jānitvā. Imaṃ udānanti imaṃ kāmavitakkādīnaṃ avinodane vinodane ca ādīnavānisaṃsadīpakaṃ udānaṃ udānesi.
ตตฺถ ขุทฺทาติ หีนา ลามกาฯ วิตกฺกาติ กามวิตกฺกาทโย ตโย ปาปวิตกฺกาฯ เต หิ สพฺพวิตเกฺกหิ ปติกิฎฺฐตาย อิธ ขุทฺทาติ วุตฺตา ‘‘น จ ขุทฺทมาจเร’’ติอาทีสุ (ขุ. ปา. ๙.๓; สุ. นิ. ๑๔๕) วิยฯ สุขุมาติ ญาติวิตกฺกาทโย อธิเปฺปตาฯ ญาติวิตโกฺก ชนปทวิตโกฺก อมราวิตโกฺก ปรานุทฺทยตาย ปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก ลาภสกฺการสิโลกปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก อนวญฺญตฺติปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺกติ เอเต หิ วิตกฺกา กามวิตกฺกาทโย วิย ทารุณา น โหนฺตีติ อโนฬาริกสภาวตาย สุขุมาติ วุตฺตาฯ อนุคตาติ จิเตฺตน อนุวตฺติตาฯ วิตเกฺก หิ อุปฺปชฺชมาเน จิตฺตํ ตทนุคตเมว โหติ ตสฺส อารมฺมณาภินิโรปนโตฯ ‘‘อนุคฺคตา’’ติปิ ปาฬิ, อนุอุฎฺฐิตาติ อโตฺถฯ มนโส อุปฺปิลาวาติ เจตโส อุปฺปิลาวิตตฺตกราฯ
Tattha khuddāti hīnā lāmakā. Vitakkāti kāmavitakkādayo tayo pāpavitakkā. Te hi sabbavitakkehi patikiṭṭhatāya idha khuddāti vuttā ‘‘na ca khuddamācare’’tiādīsu (khu. pā. 9.3; su. ni. 145) viya. Sukhumāti ñātivitakkādayo adhippetā. Ñātivitakko janapadavitakko amarāvitakko parānuddayatāya paṭisaṃyutto vitakko lābhasakkārasilokapaṭisaṃyutto vitakko anavaññattipaṭisaṃyutto vitakkoti ete hi vitakkā kāmavitakkādayo viya dāruṇā na hontīti anoḷārikasabhāvatāya sukhumāti vuttā. Anugatāti cittena anuvattitā. Vitakke hi uppajjamāne cittaṃ tadanugatameva hoti tassa ārammaṇābhiniropanato. ‘‘Anuggatā’’tipi pāḷi, anuuṭṭhitāti attho. Manaso uppilāvāti cetaso uppilāvitattakarā.
เอเต อวิทฺวา มนโส วิตเกฺกติ เอเต กามวิตกฺกาทิเก มโนวิตเกฺก อสฺสาทาทีนวนิสฺสรณโต ญาตตีรณปหานปริญฺญาหิ ยถาภูตํ อชานโนฺตฯ หุรา หุรํ ธาวติ ภนฺตจิโตฺตติ อปฺปหีนมิจฺฉาวิตกฺกตฺตา อนวฎฺฐิตจิโตฺต ‘‘กทาจิ รูเป, กทาจิ สเทฺท’’ติอาทินา ตสฺมิํ ตสฺมิํ อารมฺมเณ อสฺสาทาทิวเสน อปราปรํ ธาวติ ปริพฺภมติฯ อถ วา หุรา หุรํ ธาวติ ภนฺตจิโตฺตติ อปริญฺญาตวิตกฺกตฺตา ตนฺนิมิตฺตานํ อวิชฺชาตณฺหานํ วเสน ปริพฺภมนมานโส อิธโลกโต ปรโลกํ อาทานนิเกฺขเปหิ อปราปรํ ธาวติ สํสรตีติ อโตฺถฯ
Ete avidvā manaso vitakketi ete kāmavitakkādike manovitakke assādādīnavanissaraṇato ñātatīraṇapahānapariññāhi yathābhūtaṃ ajānanto. Hurā huraṃ dhāvati bhantacittoti appahīnamicchāvitakkattā anavaṭṭhitacitto ‘‘kadāci rūpe, kadāci sadde’’tiādinā tasmiṃ tasmiṃ ārammaṇe assādādivasena aparāparaṃ dhāvati paribbhamati. Atha vā hurā huraṃ dhāvati bhantacittoti apariññātavitakkattā tannimittānaṃ avijjātaṇhānaṃ vasena paribbhamanamānaso idhalokato paralokaṃ ādānanikkhepehi aparāparaṃ dhāvati saṃsaratīti attho.
เอเต จ วิทฺวา มนโส วิตเกฺกติ เอเต ยถาวุตฺตปฺปเภเท กามวิตกฺกาทิเก มโนวิตเกฺก อสฺสาทาทิโต ยถาภูตํ ชานโนฺตฯ อาตาปิโยติ วีริยวาฯ สํวรตีติ ปิทหติฯ สติมาติ สติสมฺปโนฺนฯ อนุคฺคเตติ ทุลฺลภวเสน อนุปฺปเนฺนฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – เอเต วุตฺตปฺปกาเร กามวิตกฺกาทิเก มโนวิตเกฺก จิตฺตสฺส อุปฺปิลาวิตเหตุตาย มนโส อุปฺปิลาเว วิทฺวา วิปสฺสนาปญฺญาสหิตาย มคฺคปญฺญาย สมฺมเทว ชานโนฺต, ตสฺส สหายภูตานํ สมฺมาวายามสตีนํ อตฺถิตาย อาตาปิโย สติมา เต อริยมคฺคภาวนาย อายติํ อุปฺปตฺติรเห อนุคฺคเต อนุปฺปเนฺน เอว มคฺคกฺขเณ สํวรติ, ญาณสํวรวเสน ปิทหติ, อาคมนปถํ ปจฺฉินฺทติ, เอวํภูโต จ จตุสจฺจปฺปโพเธน พุโทฺธ อริยสาวโก อรหตฺตาธิคเมน อเสสํ, อนวเสสํ เอเต กามวิตกฺกาทิเก ปชหาสิ สมุจฺฉินฺทีติฯ เอตฺถาปิ ‘‘อนุคเต’’ติปิ ปฐนฺติฯ ตสฺสโตฺถ เหฎฺฐา วุโตฺตเยวฯ
Ete ca vidvā manaso vitakketi ete yathāvuttappabhede kāmavitakkādike manovitakke assādādito yathābhūtaṃ jānanto. Ātāpiyoti vīriyavā. Saṃvaratīti pidahati. Satimāti satisampanno. Anuggateti dullabhavasena anuppanne. Idaṃ vuttaṃ hoti – ete vuttappakāre kāmavitakkādike manovitakke cittassa uppilāvitahetutāya manaso uppilāve vidvā vipassanāpaññāsahitāya maggapaññāya sammadeva jānanto, tassa sahāyabhūtānaṃ sammāvāyāmasatīnaṃ atthitāya ātāpiyo satimā te ariyamaggabhāvanāya āyatiṃ uppattirahe anuggate anuppanne eva maggakkhaṇe saṃvarati, ñāṇasaṃvaravasena pidahati, āgamanapathaṃ pacchindati, evaṃbhūto ca catusaccappabodhena buddho ariyasāvako arahattādhigamena asesaṃ, anavasesaṃ ete kāmavitakkādike pajahāsi samucchindīti. Etthāpi ‘‘anugate’’tipi paṭhanti. Tassattho heṭṭhā vuttoyeva.
ปฐมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๑. เมฆิยสุตฺตํ • 1. Meghiyasuttaṃ