Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) |
๓. เมฆิยสุตฺตวณฺณนา
3. Meghiyasuttavaṇṇanā
๓. ตติเย (อุทา. อฎฺฐ. ๓๑) เมฆิโยติ ตสฺส เถรสฺส นามํฯ อุปฎฺฐาโก โหตีติ ปริจารโก โหติฯ ภควโต หิ ปฐมโพธิยํ อุปฎฺฐากา อนิพทฺธา อเหสุํฯ เอกทา นาคสมโล, เอกทา นาคิโต, เอกทา อุปวาโณ, เอกทา สุนกฺขโตฺต, เอกทา จุโนฺท สมณุเทฺทโส , เอกทา สาคโต, เอกทา เมฆิโย, ตทาปิ เมฆิยเตฺถโรว อุปฎฺฐาโก โหติฯ เตนาห ‘‘เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา เมฆิโย ภควโต อุปฎฺฐาโก โหตี’’ติฯ
3. Tatiye (udā. aṭṭha. 31) meghiyoti tassa therassa nāmaṃ. Upaṭṭhāko hotīti paricārako hoti. Bhagavato hi paṭhamabodhiyaṃ upaṭṭhākā anibaddhā ahesuṃ. Ekadā nāgasamalo, ekadā nāgito, ekadā upavāṇo, ekadā sunakkhatto, ekadā cundo samaṇuddeso , ekadā sāgato, ekadā meghiyo, tadāpi meghiyattherova upaṭṭhāko hoti. Tenāha ‘‘tena kho pana samayena āyasmā meghiyo bhagavato upaṭṭhāko hotī’’ti.
กิมิกาฬายาติ กาฬกิมีนํ พหุลตาย ‘‘กิมิกาฬา’’ติ ลทฺธนามาย นทิยาฯ ชงฺฆาวิหารนฺติ จิรนิสชฺชาย ชงฺฆาสุ อุปฺปนฺนกิลมถวิโนทนตฺถํ วิจรณํฯ ปาสาทิกนฺติ อวิรฬรุกฺขตาย สินิทฺธปตฺตตาย จ ปสฺสนฺตานํ ปสาทํ อาวหตีติ ปาสาทิกํฯ สนฺทจฺฉายตาย มนุญฺญภูมิภาคตาย จ อโนฺต ปวิฎฺฐานํ ปีติโสมนสฺสชนนเฎฺฐน จิตฺตํ รเมตีติ รมณียํฯ อลนฺติ ปริยตฺตํ, ยุตฺตนฺติปิ อโตฺถฯ ปธานตฺถิกสฺสาติ ปธาเนน ภาวนานุโยเคน อตฺถิกสฺสฯ ยสฺมา โส ปธานกเมฺม ยุโตฺต ปธานกมฺมิโก นาม โหติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ปธานกมฺมิกสฺสา’’ติฯ อาคเจฺฉยฺยาหนฺติ อาคเจฺฉยฺยํ อหํฯ เถเรน กิร ปุเพฺพ ตํ ฐานํ อนุปฺปฎิปาฎิยา ปญฺจ ชาติสตานิ รญฺญา เอว สตา อนุภูตปุพฺพํ อุยฺยานํ อโหสิ, เตนสฺส ทิฎฺฐมเตฺตเยว ตตฺถ วิหริตุํ จิตฺตํ นมิฯ
Kimikāḷāyāti kāḷakimīnaṃ bahulatāya ‘‘kimikāḷā’’ti laddhanāmāya nadiyā. Jaṅghāvihāranti ciranisajjāya jaṅghāsu uppannakilamathavinodanatthaṃ vicaraṇaṃ. Pāsādikanti aviraḷarukkhatāya siniddhapattatāya ca passantānaṃ pasādaṃ āvahatīti pāsādikaṃ. Sandacchāyatāya manuññabhūmibhāgatāya ca anto paviṭṭhānaṃ pītisomanassajananaṭṭhena cittaṃ rametīti ramaṇīyaṃ. Alanti pariyattaṃ, yuttantipi attho. Padhānatthikassāti padhānena bhāvanānuyogena atthikassa. Yasmā so padhānakamme yutto padhānakammiko nāma hoti, tasmā vuttaṃ ‘‘padhānakammikassā’’ti. Āgaccheyyāhanti āgaccheyyaṃ ahaṃ. Therena kira pubbe taṃ ṭhānaṃ anuppaṭipāṭiyā pañca jātisatāni raññā eva satā anubhūtapubbaṃ uyyānaṃ ahosi, tenassa diṭṭhamatteyeva tattha viharituṃ cittaṃ nami.
ยาว อโญฺญปิ โกจิ ภิกฺขุ อาคจฺฉตีติ อโญฺญ โกจิปิ ภิกฺขุ มม สนฺติกํ ยาว อาคจฺฉติ, ตาว อาคเมหีติ อโตฺถฯ ‘‘โกจิ ภิกฺขุ ทิสฺสตี’’ติปิ ปาโฐ, ‘‘อาคจฺฉตู’’ติปิ ปฐนฺติ, ตถา ‘‘ทิสฺสตู’’ติปิฯ นตฺถิ กิญฺจิ อุตฺตริ กรณียนฺติ จตูสุ สเจฺจสุ จตูหิ มเคฺคหิ ปริญฺญาทีนํ โสฬสนฺนํ กิจฺจานํ กตตฺตา อภิสโมฺพธิยา วา อธิคตตฺตา ตโต อญฺญํ อุตฺตริ กรณียํ นาม นตฺถิฯ จตูสุ สเจฺจสุ จตุนฺนํ กิจฺจานํ กตตฺตาติ อิทํ ปน มคฺควเสน ลพฺภภานํ เภทํ อนุเปกฺขิตฺวา วุตฺตํฯ อตฺถิ กตสฺส ปฎิจโยติ มยฺหํ สนฺตาเน นิปฺผาทิตสฺส สีลาทิธมฺมสฺส อริยมคฺคสฺส อนธิคตตฺตา ตทตฺถํ ปุน วฑฺฒนสงฺขาโต ปฎิจโย อตฺถิ, อิจฺฉิตโพฺพติ อโตฺถฯ
Yāvaaññopi koci bhikkhu āgacchatīti añño kocipi bhikkhu mama santikaṃ yāva āgacchati, tāva āgamehīti attho. ‘‘Koci bhikkhu dissatī’’tipi pāṭho, ‘‘āgacchatū’’tipi paṭhanti, tathā ‘‘dissatū’’tipi. Natthi kiñci uttari karaṇīyanti catūsu saccesu catūhi maggehi pariññādīnaṃ soḷasannaṃ kiccānaṃ katattā abhisambodhiyā vā adhigatattā tato aññaṃ uttari karaṇīyaṃ nāma natthi. Catūsu saccesu catunnaṃ kiccānaṃ katattāti idaṃ pana maggavasena labbhabhānaṃ bhedaṃ anupekkhitvā vuttaṃ. Atthi katassa paṭicayoti mayhaṃ santāne nipphāditassa sīlādidhammassa ariyamaggassa anadhigatattā tadatthaṃ puna vaḍḍhanasaṅkhāto paṭicayo atthi, icchitabboti attho.
ติวิธนาฎกปริวาโรติ มหนฺติตฺถิโย มชฺฌิมิตฺถิโย อติตรุณิตฺถิโยติ เอวํ วธูกุมาริกกญฺญาวตฺถาหิ ติวิธาหิ นาฎกิตฺถีหิ ปริวุโตฯ อกุสลวิตเกฺกหีติ ยถาวุเตฺตหิ กามวิตกฺกาทีหิฯ อปเร ปน ‘‘ตสฺมิํ วนสเณฺฑ ปุปฺผผลปลฺลวาทีสุ โลภวเสน กามวิตโกฺก, ขรสฺสรานํ ปกฺขิอาทีนํ สทฺทสฺสวเนน พฺยาปาทวิตโกฺก, เลฑฺฑุอาทีหิ เตสํ วิเหฐนาธิปฺปาเยน วิหิํสาวิตโกฺกฯ ‘อิเธวาหํ วเสยฺย’นฺติ ตตฺถ สาเปกฺขตาวเสน วา กามวิตโกฺก, วนจรเก ตตฺถ ตตฺถ ทิสฺวา เตสุ จิตฺตทุพฺภเนน พฺยาปาทวิตโกฺก, เตสํ วิเหฐนาธิปฺปาเยน วิหิํสาวิตโกฺก ตสฺส อุปฺปชฺชตี’’ติ วทนฺติฯ ยถา ตถา วา ตสฺส มิจฺฉาวิตกฺกปฺปวตฺติเยว อจฺฉริยการณํฯ อจฺฉริยํ วต, โภติ ครหณจฺฉริยํ นาม กิเรตํ ฯ ยถา อายสฺมา อานโนฺท ภควโต วลิยคตฺตํ ทิสฺวา อโวจ ‘‘อจฺฉริยํ, ภเนฺต, อพฺภุตํ, ภเนฺต’’ติ (สํ. นิ. ๕.๕๑๑)ฯ สมฺปริวาริตาติ โวกิณฺณาฯ อตฺตนิ ครุมฺหิ จ เอกเตฺตปิ พหุวจนํ ทิสฺสติฯ ‘‘อนฺวาสโตฺต’’ติปิ ปาโฐฯ กสฺมา ปนสฺส ภควา ตตฺถ คมนํ อนุชานิ? ‘‘อนนุญฺญาโตปิ จายํ มํ โอหาย คจฺฉิสฺสเตว, ปริจารกามตาย มเญฺญ ภควา คนฺตุํ น เทตีติ จสฺส สิยา อญฺญถตฺตํ, ตทสฺส ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวเตฺตยฺยา’’ติ อนุชานิฯ
Tividhanāṭakaparivāroti mahantitthiyo majjhimitthiyo atitaruṇitthiyoti evaṃ vadhūkumārikakaññāvatthāhi tividhāhi nāṭakitthīhi parivuto. Akusalavitakkehīti yathāvuttehi kāmavitakkādīhi. Apare pana ‘‘tasmiṃ vanasaṇḍe pupphaphalapallavādīsu lobhavasena kāmavitakko, kharassarānaṃ pakkhiādīnaṃ saddassavanena byāpādavitakko, leḍḍuādīhi tesaṃ viheṭhanādhippāyena vihiṃsāvitakko. ‘Idhevāhaṃ vaseyya’nti tattha sāpekkhatāvasena vā kāmavitakko, vanacarake tattha tattha disvā tesu cittadubbhanena byāpādavitakko, tesaṃ viheṭhanādhippāyena vihiṃsāvitakko tassa uppajjatī’’ti vadanti. Yathā tathā vā tassa micchāvitakkappavattiyeva acchariyakāraṇaṃ. Acchariyaṃ vata, bhoti garahaṇacchariyaṃ nāma kiretaṃ . Yathā āyasmā ānando bhagavato valiyagattaṃ disvā avoca ‘‘acchariyaṃ, bhante, abbhutaṃ, bhante’’ti (saṃ. ni. 5.511). Samparivāritāti vokiṇṇā. Attani garumhi ca ekattepi bahuvacanaṃ dissati. ‘‘Anvāsatto’’tipi pāṭho. Kasmā panassa bhagavā tattha gamanaṃ anujāni? ‘‘Ananuññātopi cāyaṃ maṃ ohāya gacchissateva, paricārakāmatāya maññe bhagavā gantuṃ na detīti cassa siyā aññathattaṃ, tadassa dīgharattaṃ ahitāya dukkhāya saṃvatteyyā’’ti anujāni.
เอวํ ตสฺมิํ อตฺตโน ปวตฺติํ อาโรเจตฺวา นิสิเนฺน อถสฺส ภควา สปฺปายธมฺมํ เทเสโนฺต ‘‘อปริปกฺกาย, เมฆิย, เจโตวิมุตฺติยา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ‘‘อปริปกฺกายา’’ติ ปริปากํ อปฺปตฺตายฯ เจโตวิมุตฺติยาติ กิเลเสหิ เจตโส วิมุตฺติยาฯ ปุพฺพภาเค หิ ตทงฺควเสน เจว วิกฺขมฺภนวเสน จ เจตโส วิมุตฺติ โหติ, อปรภาเค สมุเจฺฉทวเสน เจว ปฎิปฺปสฺสทฺธิวเสน จฯ สายํ วิมุตฺติ เหฎฺฐา วิตฺถารโต กถิตาว, ตสฺมา ตตฺถ วุตฺตนเยน เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ วิมุตฺติปริปาจนีเยหิ ธเมฺมหิ อาสเย ปริปาจิเต โสธิเต วิปสฺสนาย มคฺคคพฺภํ คณฺหนฺติยา ปริปากํ คจฺฉนฺติยา เจโตวิมุตฺติ ปริปกฺกา นาม โหติ, ตทภาเว อปริปกฺกาฯ
Evaṃ tasmiṃ attano pavattiṃ ārocetvā nisinne athassa bhagavā sappāyadhammaṃ desento ‘‘aparipakkāya, meghiya, cetovimuttiyā’’tiādimāha. Tattha ‘‘aparipakkāyā’’ti paripākaṃ appattāya. Cetovimuttiyāti kilesehi cetaso vimuttiyā. Pubbabhāge hi tadaṅgavasena ceva vikkhambhanavasena ca cetaso vimutti hoti, aparabhāge samucchedavasena ceva paṭippassaddhivasena ca. Sāyaṃ vimutti heṭṭhā vitthārato kathitāva, tasmā tattha vuttanayena veditabbā. Tattha vimuttiparipācanīyehi dhammehi āsaye paripācite sodhite vipassanāya maggagabbhaṃ gaṇhantiyā paripākaṃ gacchantiyā cetovimutti paripakkā nāma hoti, tadabhāve aparipakkā.
กตเม ปน วิมุตฺติปริปาจนียา ธมฺมา? สทฺธินฺทฺริยาทีนํ วิสุทฺธิกรณวเสน ปนฺนรส ธมฺมา เวทิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Katame pana vimuttiparipācanīyā dhammā? Saddhindriyādīnaṃ visuddhikaraṇavasena pannarasa dhammā veditabbā. Vuttañhetaṃ –
‘‘อสฺสเทฺธ ปุคฺคเล ปริวชฺชยโต, สเทฺธ ปุคฺคเล เสวโต ภชโต ปยิรุปาสโต, ปสาทนีเย สุตฺตเนฺต ปจฺจเวกฺขโต อิเมหิ ตีหากาเรหิ สทฺธินฺทฺริยํ วิสุชฺฌติฯ
‘‘Assaddhe puggale parivajjayato, saddhe puggale sevato bhajato payirupāsato, pasādanīye suttante paccavekkhato imehi tīhākārehi saddhindriyaṃ visujjhati.
‘‘กุสีเต ปุคฺคเล ปริวชฺชยโต, อารทฺธวีริเย ปุคฺคเล เสวโต ภชโต ปยิรุปาสโต, สมฺมปฺปธาเน ปจฺจเวกฺขโต อิเมหิ ตีหากาเรหิ วีริยินฺทฺริยํ วิสุชฺฌติฯ
‘‘Kusīte puggale parivajjayato, āraddhavīriye puggale sevato bhajato payirupāsato, sammappadhāne paccavekkhato imehi tīhākārehi vīriyindriyaṃ visujjhati.
‘‘มุฎฺฐสฺสตี ปุคฺคเล ปริวชฺชยโต, อุปฎฺฐิตสฺสตี ปุคฺคเล เสวโต ภชโต ปยิรุปาสโต, สติปฎฺฐาเน ปจฺจเวกฺขโต อิเมหิ ตีหากาเรหิ สตินฺทฺริยํ วิสุชฺฌติฯ
‘‘Muṭṭhassatī puggale parivajjayato, upaṭṭhitassatī puggale sevato bhajato payirupāsato, satipaṭṭhāne paccavekkhato imehi tīhākārehi satindriyaṃ visujjhati.
‘‘อสมาหิเต ปุคฺคเล ปริวชฺชยโต, สมาหิเต ปุคฺคเล เสวโต ภชโต ปยิรุปาสโต, ฌานวิโมเกฺข ปจฺจเวกฺขโต อิเมหิ ตีหากาเรหิ สมาธินฺทฺริยํ วิสุชฺฌติฯ
‘‘Asamāhite puggale parivajjayato, samāhite puggale sevato bhajato payirupāsato, jhānavimokkhe paccavekkhato imehi tīhākārehi samādhindriyaṃ visujjhati.
‘‘ทุปฺปเญฺญ ปุคฺคเล ปริวชฺชยโต, ปญฺญวเนฺต ปุคฺคเล เสวโต ภชโต ปยิรุปาสโต, คมฺภีรญาณจริยํ ปจฺจเวกฺขโต อิเมหิ ตีหากาเรหิ ปญฺญินฺทฺริยํ วิสุชฺฌติฯ
‘‘Duppaññe puggale parivajjayato, paññavante puggale sevato bhajato payirupāsato, gambhīrañāṇacariyaṃ paccavekkhato imehi tīhākārehi paññindriyaṃ visujjhati.
‘‘อิติ อิเม ปญฺจ ปุคฺคเล ปริวชฺชยโต, ปญฺจ ปุคฺคเล เสวโต ภชโต ปยิรุปาสโต, ปญฺจ สุตฺตเนฺต ปจฺจเวกฺขโต อิเมหิ ปนฺนรสหิ อากาเรหิ อิมานิ ปญฺจินฺทฺริยานิ วิสุชฺฌนฺตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๘๕)ฯ
‘‘Iti ime pañca puggale parivajjayato, pañca puggale sevato bhajato payirupāsato, pañca suttante paccavekkhato imehi pannarasahi ākārehi imāni pañcindriyāni visujjhantī’’ti (paṭi. ma. 1.185).
อปเรหิปิ ปนฺนรสหิ อากาเรหิ อิมานิ ปญฺจินฺทฺริยานิ วิสุชฺฌนฺติฯ อปเรปิ ปนฺนรส ธมฺมา วิมุตฺติปริปาจนียาฯ สทฺธาปญฺจมานิ อินฺทฺริยานิ, อนิจฺจสญฺญา อนิเจฺจ, ทุกฺขสญฺญา ทุเกฺข, อนตฺตสญฺญา, ปหานสญฺญา, วิราคสญฺญาติ อิมา ปญฺจ นิเพฺพธภาคิยา สญฺญา, กลฺยาณมิตฺตตา, สีลสํวโร, อภิสเลฺลขตา, วีริยารโมฺภ, นิเพฺพธิกปญฺญาติฯ เตสุ เวเนยฺยทมนกุสโล สตฺถา เวเนยฺยสฺส เมฆิยเตฺถรสฺส อชฺฌาสยวเสน อิธ กลฺยาณมิตฺตตาทโย วิมุตฺติปริปาจนีเย ธเมฺม ทเสฺสโนฺต ‘‘ปญฺจ ธมฺมา ปริปกฺกาย สํวตฺตนฺตี’’ติ วตฺวา เต วิตฺถาเรโนฺต ‘‘อิธ, เมฆิย, ภิกฺขุ กลฺยาณมิโตฺต โหตี’’ติอาทิมาหฯ
Aparehipi pannarasahi ākārehi imāni pañcindriyāni visujjhanti. Aparepi pannarasa dhammā vimuttiparipācanīyā. Saddhāpañcamāni indriyāni, aniccasaññā anicce, dukkhasaññā dukkhe, anattasaññā, pahānasaññā, virāgasaññāti imā pañca nibbedhabhāgiyā saññā, kalyāṇamittatā, sīlasaṃvaro, abhisallekhatā, vīriyārambho, nibbedhikapaññāti. Tesu veneyyadamanakusalo satthā veneyyassa meghiyattherassa ajjhāsayavasena idha kalyāṇamittatādayo vimuttiparipācanīye dhamme dassento ‘‘pañca dhammā paripakkāya saṃvattantī’’ti vatvā te vitthārento ‘‘idha, meghiya, bhikkhu kalyāṇamitto hotī’’tiādimāha.
ตตฺถ กลฺยาณมิโตฺตติ กลฺยาโณ ภโทฺท สุนฺทโร มิโตฺต เอตสฺสาติ กลฺยาณมิโตฺตฯ ยสฺส สีลาทิคุณสมฺปโนฺน ‘‘อฆสฺส ตาตา หิตสฺส วิธาตา’’ติ เอวํ สพฺพากาเรน อุปกาโร มิโตฺต โหติ, โส ปุคฺคโล กลฺยาณมิโตฺตวฯ ยถาวุเตฺตหิ กลฺยาณปุคฺคเลเหว สพฺพิริยาปเถสุ สห อยติ ปวตฺตติ, น วินา เตหีติ กลฺยาณสหาโยฯ กลฺยาณปุคฺคเลสุ เอว จิเตฺตน เจว กาเยน จ นินฺนโปณปพฺภารภาเวน ปวตฺตตีติ กลฺยาณสมฺปวโงฺกฯ ปทตฺตเยน กลฺยาณมิตฺตสํสเคฺค อาทรํ อุปฺปาเทติฯ อยํ กลฺยาณมิตฺตตาสงฺขาโต พฺรหฺมจริยวาสสฺส อาทิภาวโต สเพฺพสญฺจ กุสลธมฺมานํ พหุการตาย ปธานภาวโต จ อิเมสุ ปญฺจสุ ธเมฺมสุ อาทิโต วุตฺตตฺตา ปฐโม อนวชฺชธโมฺม อวิสุทฺธานํ สทฺธาทีนํ วิสุทฺธิกรณวเสน เจโตวิมุตฺติยา ปริปกฺกาย สํวตฺตติฯ เอตฺถ จ กลฺยาณมิตฺตสฺส พหุการตา ปธานตา จ ‘‘อุปฑฺฒมิทํ, ภเนฺต, พฺรหฺมจริยสฺส ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา’’ติ วทนฺตํ ธมฺมภณฺฑาคาริกํ ‘‘มา เหวํ, อานนฺทา’’ติ ทฺวิกฺขตุํ ปฎิเสเธตฺวา ‘‘สกลเมว หิทํ, อานนฺท, พฺรหฺมจริยํ ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา กลฺยาณสหายตา’’ติ – อาทิสุตฺตปเทหิ (สํ. นิ. ๑.๑๒๙; ๕.๒) เวทิตพฺพาฯ
Tattha kalyāṇamittoti kalyāṇo bhaddo sundaro mitto etassāti kalyāṇamitto. Yassa sīlādiguṇasampanno ‘‘aghassa tātā hitassa vidhātā’’ti evaṃ sabbākārena upakāro mitto hoti, so puggalo kalyāṇamittova. Yathāvuttehi kalyāṇapuggaleheva sabbiriyāpathesu saha ayati pavattati, na vinā tehīti kalyāṇasahāyo. Kalyāṇapuggalesu eva cittena ceva kāyena ca ninnapoṇapabbhārabhāvena pavattatīti kalyāṇasampavaṅko. Padattayena kalyāṇamittasaṃsagge ādaraṃ uppādeti. Ayaṃ kalyāṇamittatāsaṅkhāto brahmacariyavāsassa ādibhāvato sabbesañca kusaladhammānaṃ bahukāratāya padhānabhāvato ca imesu pañcasu dhammesu ādito vuttattā paṭhamo anavajjadhammo avisuddhānaṃ saddhādīnaṃ visuddhikaraṇavasena cetovimuttiyā paripakkāya saṃvattati. Ettha ca kalyāṇamittassa bahukāratā padhānatā ca ‘‘upaḍḍhamidaṃ, bhante, brahmacariyassa yadidaṃ kalyāṇamittatā’’ti vadantaṃ dhammabhaṇḍāgārikaṃ ‘‘mā hevaṃ, ānandā’’ti dvikkhatuṃ paṭisedhetvā ‘‘sakalameva hidaṃ, ānanda, brahmacariyaṃ yadidaṃ kalyāṇamittatā kalyāṇasahāyatā’’ti – ādisuttapadehi (saṃ. ni. 1.129; 5.2) veditabbā.
ปุน จปรนฺติ ปุน จ อปรํ ธมฺมชาตํฯ สีลวาติ เอตฺถ เกนเฎฺฐน สีลํ? สีลนเฎฺฐน สีลํ ฯ กิมิทํ สีลนํ นาม? สมาธานํ, กายกมฺมาทีนํ สุสีลฺยวเสน อวิปฺปกิณฺณตาติ อโตฺถฯ อถ วา อุปธารณํ, ฌานาทิกุสลธมฺมานํ ปติฎฺฐานวเสน อาธารภาโวติ อโตฺถฯ ตสฺมา สีเลติ, สีลตีติ วา สีลํฯ อยํ ตาว สทฺทลกฺขณนเยน สีลโฎฺฐฯ อปเร ปน ‘‘สิรโฎฺฐ สีลโฎฺฐ, สีตลโฎฺฐ, สีลโฎฺฐ’’ติ นิรุตฺตินเยน อตฺถํ วเณฺณนฺติฯ ตยิทํ ปาริปูริโต อติสยโต วา สีลํ อสฺส อตฺถีติ สีลวา, สีลสมฺปโนฺนติ อโตฺถฯ
Puna caparanti puna ca aparaṃ dhammajātaṃ. Sīlavāti ettha kenaṭṭhena sīlaṃ? Sīlanaṭṭhena sīlaṃ . Kimidaṃ sīlanaṃ nāma? Samādhānaṃ, kāyakammādīnaṃ susīlyavasena avippakiṇṇatāti attho. Atha vā upadhāraṇaṃ, jhānādikusaladhammānaṃ patiṭṭhānavasena ādhārabhāvoti attho. Tasmā sīleti, sīlatīti vā sīlaṃ. Ayaṃ tāva saddalakkhaṇanayena sīlaṭṭho. Apare pana ‘‘siraṭṭho sīlaṭṭho, sītalaṭṭho, sīlaṭṭho’’ti niruttinayena atthaṃ vaṇṇenti. Tayidaṃ pāripūrito atisayato vā sīlaṃ assa atthīti sīlavā, sīlasampannoti attho.
ยถา จ สีลวา โหติ สีลสมฺปโนฺน, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ปาติโมกฺขนฺติ สิกฺขาปทสีลํฯ ตญฺหิ โย นํ ปาติ รกฺขติ, ตํ โมเกฺขติ โมเจติ อาปายิกาทีหิ ทุเกฺขหีติ ปาติโมกฺขํฯ สํวรณํ สํวโร, กายวาจาหิ อวีติกฺกโมฯ ปาติโมกฺขเมว สํวโร ปาติโมกฺขสํวโร, เตน สํวุโต ปิหิตกายวาโจติ ปาติโมกฺขสํวรสํวุโตฯ อิทมสฺส ตสฺมิํ สีเล ปติฎฺฐิตภาวปริทีปนํฯ วิหรตีติ ตทนุรูปวิหารสมงฺคิภาวปริทีปนํฯ อาจารโคจรสมฺปโนฺนติ เหฎฺฐา ปาติโมกฺขสํวรสฺส อุปริ วิเสสานํ โยคสฺส จ อุปการธมฺมปริทีปนํฯ อณุมเตฺตสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสาวีติ ปาติโมกฺขสีลโต อจวนธมฺมตาปริทีปนํฯ สมาทายาติ สิกฺขาปทานํ อนวเสสโต อาทานปริทีปนํฯ สิกฺขตีติ สิกฺขาย สมงฺคิภาวปริทีปนํฯ สิกฺขาปเทสูติ สิกฺขิตพฺพธมฺมปริทีปนํฯ
Yathā ca sīlavā hoti sīlasampanno, taṃ dassetuṃ ‘‘pātimokkhasaṃvarasaṃvuto’’tiādi vuttaṃ. Tattha pātimokkhanti sikkhāpadasīlaṃ. Tañhi yo naṃ pāti rakkhati, taṃ mokkheti moceti āpāyikādīhi dukkhehīti pātimokkhaṃ. Saṃvaraṇaṃ saṃvaro, kāyavācāhi avītikkamo. Pātimokkhameva saṃvaro pātimokkhasaṃvaro, tena saṃvuto pihitakāyavācoti pātimokkhasaṃvarasaṃvuto. Idamassa tasmiṃ sīle patiṭṭhitabhāvaparidīpanaṃ. Viharatīti tadanurūpavihārasamaṅgibhāvaparidīpanaṃ. Ācāragocarasampannoti heṭṭhā pātimokkhasaṃvarassa upari visesānaṃ yogassa ca upakāradhammaparidīpanaṃ. Aṇumattesu vajjesu bhayadassāvīti pātimokkhasīlato acavanadhammatāparidīpanaṃ. Samādāyāti sikkhāpadānaṃ anavasesato ādānaparidīpanaṃ. Sikkhatīti sikkhāya samaṅgibhāvaparidīpanaṃ. Sikkhāpadesūti sikkhitabbadhammaparidīpanaṃ.
อปโร นโย – กิเลสานํ พลวภาวโต ปาปกิริยาย สุกรภาวโต ปุญฺญกิริยาย จ ทุกฺกรภาวโต พหุกฺขตฺตุํ อปาเยสุ ปตนสีโลติ ปาตี, ปุถุชฺชโนฯ อนิจฺจตาย วา ภวาทีสุ กมฺมเวคุกฺขิโตฺต ฆฎิยนฺตํ วิย อนวฎฺฐาเนน ปริพฺภมนโต คมนสีโลติ ปาตีฯ มรณวเสน วา ตมฺหิ ตมฺหิ สตฺตนิกาเย อตฺตภาวสฺส ปตนสีโล วา ปาตี, สตฺตสนฺตาโน, จิตฺตเมว วาฯ ตํ ปาตินํ สํสารทุกฺขโต โมเกฺขตีติ ปาติโมกฺขํฯ จิตฺตสฺส หิ วิโมเกฺขน สโตฺต ‘‘วิมุโตฺต’’ติ วุจฺจติฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘จิตฺตโวทานา วิสุชฺฌนฺตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๑๐๐), ‘‘อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุตฺต’’นฺติ (มหาว. ๒๘) จฯ
Aparo nayo – kilesānaṃ balavabhāvato pāpakiriyāya sukarabhāvato puññakiriyāya ca dukkarabhāvato bahukkhattuṃ apāyesu patanasīloti pātī, puthujjano. Aniccatāya vā bhavādīsu kammavegukkhitto ghaṭiyantaṃ viya anavaṭṭhānena paribbhamanato gamanasīloti pātī. Maraṇavasena vā tamhi tamhi sattanikāye attabhāvassa patanasīlo vā pātī, sattasantāno, cittameva vā. Taṃ pātinaṃ saṃsāradukkhato mokkhetīti pātimokkhaṃ. Cittassa hi vimokkhena satto ‘‘vimutto’’ti vuccati. Vuttañhi ‘‘cittavodānā visujjhantī’’ti (saṃ. ni. 3.100), ‘‘anupādāya āsavehi cittaṃ vimutta’’nti (mahāva. 28) ca.
อถ วา อวิชฺชาทิเหตุนา สํสาเร ปตติ คจฺฉติ ปวตฺตตีติ ปาติฯ ‘‘อวิชฺชานีวรณานํ สตฺตานํ ตณฺหาสํโยชนานํ สนฺธาวตํ สํสรต’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๑๒๔) หิ วุตฺตํฯ ตสฺส ปาติโน สตฺตสฺส ตณฺหาทิสํกิเลสตฺตยโต โมโกฺข เอเตนาติ ปาติโมกฺขํฯ
Atha vā avijjādihetunā saṃsāre patati gacchati pavattatīti pāti. ‘‘Avijjānīvaraṇānaṃ sattānaṃ taṇhāsaṃyojanānaṃ sandhāvataṃ saṃsarata’’nti (saṃ. ni. 2.124) hi vuttaṃ. Tassa pātino sattassa taṇhādisaṃkilesattayato mokkho etenāti pātimokkhaṃ.
อถ วา ปาเตติ วินิปาเตติ ทุเกฺขติ ปาติ, จิตฺตํฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘จิเตฺตน นียตี โลโก, จิเตฺตน ปริกสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๖๒)ฯ ตสฺส ปาติโน โมโกฺข เอเตนาติ ปาติโมกฺขํฯ ปตติ วา เอเตน อปายทุเกฺข สํสารทุเกฺข จาติ ปาติ, ตณฺหาทิสํกิเลโสฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘ตณฺหา ชเนติ ปุริสํ (สํ. นิ. ๑.๕๕)ฯ ตณฺหาทุติโย ปุริโส’’ติ (อ. นิ. ๔.๙; อิติวุ. ๑๕, ๑๐๕) จ อาทิฯ ตโต ปาติโต โมโกฺขติ ปาติโมกฺขํฯ
Atha vā pāteti vinipāteti dukkheti pāti, cittaṃ. Vuttañhi ‘‘cittena nīyatī loko, cittena parikassatī’’ti (saṃ. ni. 1.62). Tassa pātino mokkho etenāti pātimokkhaṃ. Patati vā etena apāyadukkhe saṃsāradukkhe cāti pāti, taṇhādisaṃkileso. Vuttañhi ‘‘taṇhā janeti purisaṃ (saṃ. ni. 1.55). Taṇhādutiyo puriso’’ti (a. ni. 4.9; itivu. 15, 105) ca ādi. Tato pātito mokkhoti pātimokkhaṃ.
อถ วา ปตติ เอตฺถาติ ปาติ, ฉ อชฺฌตฺติกพาหิรานิ อายตนานิฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘ฉสุ โลโก สมุปฺปโนฺน, ฉสุ กุพฺพติ สนฺถว’’นฺติ (สุ. นิ. ๑๗๑)ฯ ตโต ฉอชฺฌตฺติกพาหิรายตนสงฺขาตโต ปาติโต โมโกฺขติ ปาติโมกฺขํฯ อถ วา ปาโต วินิปาโต อสฺส อตฺถีติ ปาตี, สํสาโรฯ ตโต โมโกฺขติ ปาติโมกฺขํฯ อถ วา สพฺพโลกาธิปติภาวโต ธมฺมิสฺสโร ภควา ปตีติ วุจฺจติ, มุจฺจติ เอเตนาติ โมโกฺข, ปติโน โมโกฺข เตน ปญฺญตฺตตฺตาติ ปติโมโกฺข, ปติโมโกฺข เอว ปาติโมกฺขํฯ สพฺพคุณานํ วา มูลภาวโต อุตฺตมเฎฺฐน ปติ จ โส ยถาวุเตฺตนเตฺถน โมโกฺข จาติ ปติโมโกฺข, ปติโมโกฺข เอว ปาติโมกฺขํฯ ตถา หิ วุตฺตํ ‘‘ปาติโมกฺขนฺติ อาทิเมตํ มุขเมตํ ปมุขเมต’’นฺติ (มหาว. ๑๓๕) วิตฺถาโรฯ
Atha vā patati etthāti pāti, cha ajjhattikabāhirāni āyatanāni. Vuttañhi ‘‘chasu loko samuppanno, chasu kubbati santhava’’nti (su. ni. 171). Tato chaajjhattikabāhirāyatanasaṅkhātato pātito mokkhoti pātimokkhaṃ. Atha vā pāto vinipāto assa atthīti pātī, saṃsāro. Tato mokkhoti pātimokkhaṃ. Atha vā sabbalokādhipatibhāvato dhammissaro bhagavā patīti vuccati, muccati etenāti mokkho, patino mokkho tena paññattattāti patimokkho, patimokkho eva pātimokkhaṃ. Sabbaguṇānaṃ vā mūlabhāvato uttamaṭṭhena pati ca so yathāvuttenatthena mokkho cāti patimokkho, patimokkho eva pātimokkhaṃ. Tathā hi vuttaṃ ‘‘pātimokkhanti ādimetaṃ mukhametaṃ pamukhameta’’nti (mahāva. 135) vitthāro.
อถ วา ป-อิติ ปกาเร, อตีติ อจฺจนฺตเตฺถ นิปาโต, ตสฺมา ปกาเรหิ อจฺจนฺตํ โมเกฺขตีติ ปาติโมกฺขํฯ อิทญฺหิ สีลํ สยํ ตทงฺควเสน, สมาธิสหิตํ ปญฺญาสหิตญฺจ วิกฺขมฺภนวเสน สมุเจฺฉทวเสน อจฺจนฺตํ โมเกฺขติ โมเจตีติ ปาติโมกฺขํฯ ปติ ปติ โมโกฺขติ วา ปติโมโกฺข, ตมฺหา ตมฺหา วีติกฺกมโทสโต ปเจฺจกํ โมโกฺขติ อโตฺถฯ ปติโมโกฺข เอว ปาติโมกฺขํฯ โมโกฺขติ วา นิพฺพานํ, ตสฺส โมกฺขสฺส ปฎิพิมฺพภูโตติ ปติโมโกฺขฯ สีลสํวโร หิ สูริยสฺส อรุณุคฺคมนํ วิย นิพฺพานสฺส อุทยภูโต ตปฺปฎิภาโคว ยถารหํ กิเลสนิพฺพาปนโตฯ ปติโมโกฺขเยว ปาติโมกฺขํฯ อถ วา โมกฺขํ ปติ วตฺตติ, โมกฺขาภิมุขนฺติ วา ปติโมกฺขํ, ปติโมกฺขเมว ปาติโมกฺขนฺติ เอวํ ตาว เอตฺถ ปาติโมกฺขสทฺทสฺส อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Atha vā pa-iti pakāre, atīti accantatthe nipāto, tasmā pakārehi accantaṃ mokkhetīti pātimokkhaṃ. Idañhi sīlaṃ sayaṃ tadaṅgavasena, samādhisahitaṃ paññāsahitañca vikkhambhanavasena samucchedavasena accantaṃ mokkheti mocetīti pātimokkhaṃ. Pati pati mokkhoti vā patimokkho, tamhā tamhā vītikkamadosato paccekaṃ mokkhoti attho. Patimokkho eva pātimokkhaṃ. Mokkhoti vā nibbānaṃ, tassa mokkhassa paṭibimbabhūtoti patimokkho. Sīlasaṃvaro hi sūriyassa aruṇuggamanaṃ viya nibbānassa udayabhūto tappaṭibhāgova yathārahaṃ kilesanibbāpanato. Patimokkhoyeva pātimokkhaṃ. Atha vā mokkhaṃ pati vattati, mokkhābhimukhanti vā patimokkhaṃ, patimokkhameva pātimokkhanti evaṃ tāva ettha pātimokkhasaddassa attho veditabbo.
สํวรติ ปิทหติ เอเตนาติ สํวโร, ปาติโมกฺขเมว สํวโรติ ปาติโมกฺขสํวโรฯ อตฺถโต ปน ตโต ตโต วีติกฺกมิตพฺพโต วิรติโย เจตนา จ, เตน ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต สมนฺนาคโต ปาติโมกฺขสํวรสํวุโตฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา – ‘‘อิมินา ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต โหติ สมุเปโต อุปคโต สมฺปโนฺน สมนฺนาคโต, เตน วุจฺจติ ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต’’ติ (วิภ. ๕๑๑)ฯ
Saṃvarati pidahati etenāti saṃvaro, pātimokkhameva saṃvaroti pātimokkhasaṃvaro. Atthato pana tato tato vītikkamitabbato viratiyo cetanā ca, tena pātimokkhasaṃvarena upeto samannāgato pātimokkhasaṃvarasaṃvuto. Vuttañhetaṃ bhagavatā – ‘‘iminā pātimokkhasaṃvarena upeto hoti samupeto upagato sampanno samannāgato, tena vuccati pātimokkhasaṃvarasaṃvuto’’ti (vibha. 511).
วิหรตีติ อิริยาปถวิหาเรน วิหรติ อิริยติ วตฺตติฯ อาจารโคจรสมฺปโนฺนติ เวฬุทานาทิมิจฺฉาชีวสฺส กายปาคพฺภิยาทีนญฺจ อกรเณน สพฺพโส อนาจารํ วเชฺชตฺวา กายิโก อวีติกฺกโม, วาจสิโก อวีติกฺกโม, กายิกวาจสิโก อวีติกฺกโมติ เอวํ วุตฺตภิกฺขุ สารุปฺปอาจารสมฺปตฺติยา เวสิยาทิอโคจรํ วเชฺชตฺวา ปิณฺฑปาตาทิอตฺถํ อุปสงฺกมิตุํ ยุตฺตฎฺฐานสงฺขาตโคจรจรเณน จ สมฺปนฺนตฺตา อาจารโคจรสมฺปโนฺนฯ
Viharatīti iriyāpathavihārena viharati iriyati vattati. Ācāragocarasampannoti veḷudānādimicchājīvassa kāyapāgabbhiyādīnañca akaraṇena sabbaso anācāraṃ vajjetvā kāyiko avītikkamo, vācasiko avītikkamo, kāyikavācasiko avītikkamoti evaṃ vuttabhikkhu sāruppaācārasampattiyā vesiyādiagocaraṃ vajjetvā piṇḍapātādiatthaṃ upasaṅkamituṃ yuttaṭṭhānasaṅkhātagocaracaraṇena ca sampannattā ācāragocarasampanno.
อปิจ โย ภิกฺขุ สตฺถริ สคารโว สปฺปติโสฺส สพฺรหฺมจารีสุ สคารโว สปฺปติโสฺส หิโรตฺตปฺปสมฺปโนฺน สุนิวโตฺถ สุปารุโต ปาสาทิเกน อภิกฺกเนฺตน ปฎิกฺกเนฺตน อาโลกิเตน วิโลกิเตน สมิญฺชิเตน ปสาริเตน อิริยาปถสมฺปโนฺน อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โภชเน มตฺตญฺญู ชาคริยํ อนุยุโตฺต สติสมฺปชเญฺญน สมนฺนาคโต อปฺปิโจฺฉ สนฺตุโฎฺฐ ปวิวิโตฺต อสํสโฎฺฐ อาภิสมาจาริเกสุ สกฺกจฺจการี ครุจิตฺตีการพหุโล วิหรติ, อยํ วุจฺจติ อาจารสมฺปโนฺนฯ
Apica yo bhikkhu satthari sagāravo sappatisso sabrahmacārīsu sagāravo sappatisso hirottappasampanno sunivattho supāruto pāsādikena abhikkantena paṭikkantena ālokitena vilokitena samiñjitena pasāritena iriyāpathasampanno indriyesu guttadvāro bhojane mattaññū jāgariyaṃ anuyutto satisampajaññena samannāgato appiccho santuṭṭho pavivitto asaṃsaṭṭho ābhisamācārikesu sakkaccakārī garucittīkārabahulo viharati, ayaṃ vuccati ācārasampanno.
โคจโร ปน อุปนิสฺสยโคจโร, อารกฺขโคจโร, อุปนิพนฺธโคจโรติ ติวิโธฯ ตตฺถ โย ทสกถาวตฺถุคุณสมนฺนาคโต วุตฺตลกฺขโณ กลฺยาณมิโตฺต, ยํ นิสฺสาย อสฺสุตํ สุณาติ, สุตํ ปริโยทาเปติ, กงฺขํ วิตรติ, ทิฎฺฐิํ อุชุํ กโรติ, จิตฺตํ ปสาเทติ, ยสฺส จ อนุสิกฺขโนฺต สทฺธาย วฑฺฒติ, สีเลน, สุเตน, จาเคน, ปญฺญาย วฑฺฒติ, อยํ วุจฺจติ อุปนิสฺสยโคจโรฯ
Gocaro pana upanissayagocaro, ārakkhagocaro, upanibandhagocaroti tividho. Tattha yo dasakathāvatthuguṇasamannāgato vuttalakkhaṇo kalyāṇamitto, yaṃ nissāya assutaṃ suṇāti, sutaṃ pariyodāpeti, kaṅkhaṃ vitarati, diṭṭhiṃ ujuṃ karoti, cittaṃ pasādeti, yassa ca anusikkhanto saddhāya vaḍḍhati, sīlena, sutena, cāgena, paññāya vaḍḍhati, ayaṃ vuccati upanissayagocaro.
โย ภิกฺขุ อนฺตรฆรํ ปวิโฎฺฐ วีถิํ ปฎิปโนฺน โอกฺขิตฺตจกฺขุ ยุคมตฺตทสฺสี สํวุโต คจฺฉติ, น หตฺถิํ โอโลเกโนฺต, น อสฺสํ, น รถํ , น ปตฺติํ, น อิตฺถิํ, น ปุริสํ โอโลเกโนฺต, น อุทฺธํ อุโลฺลเกโนฺต, น อโธ โอโลเกโนฺต, น ทิสาวิทิสํ เปกฺขมาโน คจฺฉติ, อยํ อารกฺขโคจโรฯ
Yo bhikkhu antaragharaṃ paviṭṭho vīthiṃ paṭipanno okkhittacakkhu yugamattadassī saṃvuto gacchati, na hatthiṃ olokento, na assaṃ, na rathaṃ , na pattiṃ, na itthiṃ, na purisaṃ olokento, na uddhaṃ ullokento, na adho olokento, na disāvidisaṃ pekkhamāno gacchati, ayaṃ ārakkhagocaro.
อุปนิพนฺธโคจโร ปน จตฺตาโร สติปฎฺฐานา, ยตฺถ ภิกฺขุ อตฺตโน จิตฺตํ อุปนิพนฺธติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา – ‘‘โก จ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน โคจโร สโก เปตฺติโก วิสโย, ยทิทํ จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๓๗๒)ฯ ตตฺถ อุปนิสฺสยโคจรสฺส ปุเพฺพ วุตฺตตฺตา อิตเรสํ วเสเนตฺถ โคจโร เวทิตโพฺพฯ อิติ ยถาวุตฺตาย อาจารสมฺปตฺติยา อิมาย จ โคจรสมฺปตฺติยา สมนฺนาคตตฺตา อาจารโคจรสมฺปโนฺนฯ
Upanibandhagocaro pana cattāro satipaṭṭhānā, yattha bhikkhu attano cittaṃ upanibandhati. Vuttañhetaṃ bhagavatā – ‘‘ko ca, bhikkhave, bhikkhuno gocaro sako pettiko visayo, yadidaṃ cattāro satipaṭṭhānā’’ti (saṃ. ni. 5.372). Tattha upanissayagocarassa pubbe vuttattā itaresaṃ vasenettha gocaro veditabbo. Iti yathāvuttāya ācārasampattiyā imāya ca gocarasampattiyā samannāgatattā ācāragocarasampanno.
อณุมเตฺตสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสาวีติ อปฺปมตฺตกตฺตา อณุปฺปมาเณสุ อสฺสติยา อสญฺจิจฺจ อาปนฺนเสขิยอกุสลจิตฺตุปฺปาทาทิเภเทสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสนสีโลฯ โย หิ ภิกฺขุ ปรมาณุมตฺตํ วชฺชํ อฎฺฐสฎฺฐิโยชนสตสหสฺสุเพฺพธสิเนรุปพฺพตราชสทิสํ กตฺวา ปสฺสติ, โยปิ สพฺพลหุกํ ทุพฺภาสิตมตฺตํ ปาราชิกสทิสํ กตฺวา ปสฺสติ, อยมฺปิ อณุมเตฺตสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสาวี นามฯ สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสูติ ยํกิญฺจิ สิกฺขาปเทสุ สิกฺขิตพฺพํ, ตํ สเพฺพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ อนวเสสํ สมาทิยิตฺวา สิกฺขติ, วตฺตติ ปูเรตีติ อโตฺถฯ
Aṇumattesu vajjesu bhayadassāvīti appamattakattā aṇuppamāṇesu assatiyā asañcicca āpannasekhiyaakusalacittuppādādibhedesu vajjesu bhayadassanasīlo. Yo hi bhikkhu paramāṇumattaṃ vajjaṃ aṭṭhasaṭṭhiyojanasatasahassubbedhasinerupabbatarājasadisaṃ katvā passati, yopi sabbalahukaṃ dubbhāsitamattaṃ pārājikasadisaṃ katvā passati, ayampi aṇumattesu vajjesu bhayadassāvī nāma. Samādāya sikkhati sikkhāpadesūti yaṃkiñci sikkhāpadesu sikkhitabbaṃ, taṃ sabbena sabbaṃ sabbathā sabbaṃ anavasesaṃ samādiyitvā sikkhati, vattati pūretīti attho.
อภิสเลฺลขิกาติ อติวิย กิเลสานํ สเลฺลขนียา, เตสํ ตนุภาวาย ปหานาย ยุตฺตรูปาฯ เจโตวิวรณสปฺปายาติ เจตโส ปฎิจฺฉาทกานํ นีวรณานํ ทูรีภาวกรเณน เจโตวิวรณสงฺขาตานํ สมถวิปสฺสนานํ สปฺปายา, สมถวิปสฺสนาจิตฺตเสฺสว วา วิวรณาย ปากฎีกรณาย วา สปฺปายา อุปการิกาติ เจโตวิวรณสปฺปายาฯ
Abhisallekhikāti ativiya kilesānaṃ sallekhanīyā, tesaṃ tanubhāvāya pahānāya yuttarūpā. Cetovivaraṇasappāyāti cetaso paṭicchādakānaṃ nīvaraṇānaṃ dūrībhāvakaraṇena cetovivaraṇasaṅkhātānaṃ samathavipassanānaṃ sappāyā, samathavipassanācittasseva vā vivaraṇāya pākaṭīkaraṇāya vā sappāyā upakārikāti cetovivaraṇasappāyā.
อิทานิ เยน นิพฺพิทาทิอาวหเณน อยํ กถา อภิสเลฺลขิกา เจโตวิวรณสปฺปายา จ นาม โหติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘เอกนฺตนิพฺพิทายา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ เอกนฺตนิพฺพิทายาติ เอกํเสเนว วฎฺฎทุกฺขโต นิพฺพินฺทนตฺถายฯ วิราคาย นิโรธายาติ ตเสฺสว วิรชฺชนตฺถาย จ นิรุชฺฌนตฺถาย จฯ อุปสมายาติ สพฺพกิเลสวูปสมายฯ อภิญฺญายาติ สพฺพสฺสปิ อภิเญฺญยฺยสฺส อภิชานนายฯ สโมฺพธายาติ จตุมคฺคสโมฺพธายฯ นิพฺพานายาติ อนุปาทิเสสนิพฺพานายฯ เอเตสุ หิ อาทิโต ตีหิ ปเทหิ วิปสฺสนา วุตฺตา, ทฺวีหิ นิพฺพานํ วุตฺตํฯ สมถวิปสฺสนา อาทิํ กตฺวา นิพฺพานปริโยสาโน อยํ สโพฺพ อุตฺตริมนุสฺสธโมฺม ทสกถาวตฺถุลาภิโน สิชฺฌตีติ ทเสฺสติฯ
Idāni yena nibbidādiāvahaṇena ayaṃ kathā abhisallekhikā cetovivaraṇasappāyā ca nāma hoti, taṃ dassetuṃ ‘‘ekantanibbidāyā’’tiādi vuttaṃ. Tattha ekantanibbidāyāti ekaṃseneva vaṭṭadukkhato nibbindanatthāya. Virāgāya nirodhāyāti tasseva virajjanatthāya ca nirujjhanatthāya ca. Upasamāyāti sabbakilesavūpasamāya. Abhiññāyāti sabbassapi abhiññeyyassa abhijānanāya. Sambodhāyāti catumaggasambodhāya. Nibbānāyāti anupādisesanibbānāya. Etesu hi ādito tīhi padehi vipassanā vuttā, dvīhi nibbānaṃ vuttaṃ. Samathavipassanā ādiṃ katvā nibbānapariyosāno ayaṃ sabbo uttarimanussadhammo dasakathāvatthulābhino sijjhatīti dasseti.
อิทานิ ตํ กถํ วิภชิตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘อปฺปิจฺฉกถา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อปฺปิโจฺฉติ นิอิโจฺฉ, ตสฺส กถา อปฺปิจฺฉกถา, อปฺปิจฺฉภาวปฺปฎิสํยุตฺตกถา วา อปฺปิจฺฉกถาฯ เอตฺถ จ อตฺริโจฺฉ, ปาปิโจฺฉ, มหิโจฺฉ, อปฺปิโจฺฉติ อิจฺฉาวเสน จตฺตาโร ปุคฺคลาฯ เตสุ อตฺตนา ยถาลเทฺธน ลาเภน อติโตฺต อุปรูปริ ลาภํ อิจฺฉโนฺต อตฺริโจฺฉ นามฯ ยํ สนฺธาย –
Idāni taṃ kathaṃ vibhajitvā dassento ‘‘appicchakathā’’tiādimāha. Tattha appicchoti niiccho, tassa kathā appicchakathā, appicchabhāvappaṭisaṃyuttakathā vā appicchakathā. Ettha ca atriccho, pāpiccho, mahiccho, appicchoti icchāvasena cattāro puggalā. Tesu attanā yathāladdhena lābhena atitto uparūpari lābhaṃ icchanto atriccho nāma. Yaṃ sandhāya –
‘‘จตุพฺภิ อฎฺฐชฺฌคมา, อฎฺฐาหิปิ จ โสฬส;
‘‘Catubbhi aṭṭhajjhagamā, aṭṭhāhipi ca soḷasa;
โสฬสาหิ จ พาตฺติํส, อตฺริจฺฉํ จกฺกมาสโท;
Soḷasāhi ca bāttiṃsa, atricchaṃ cakkamāsado;
อิจฺฉาหตสฺส โปสสฺส, จกฺกํ ภมติ มตฺถเก’’ติฯ (ชา. ๑.๕.๑๐๓) จ;
Icchāhatassa posassa, cakkaṃ bhamati matthake’’ti. (jā. 1.5.103) ca;
‘‘อตฺริจฺฉํ อติโลเภน, อติโลภมเทน จา’’ติฯ จ วุตฺตํ;
‘‘Atricchaṃ atilobhena, atilobhamadena cā’’ti. ca vuttaṃ;
ลาภสกฺการสิโลกนิกามยมานาย อสนฺตคุณสมฺภาวนาธิปฺปาโย ปาปิโจฺฉฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อิเธกโจฺจ อสฺสโทฺธ สมาโน ‘สโทฺธติ มํ ชโน ชานาตู’ติ อิจฺฉติ, ทุสฺสีโล สมาโน ‘สีลวาติ มํ ชโน ชานาตู’ติ อิจฺฉตี’’ติอาทิ (วิภ. ๘๕๑)ฯ
Lābhasakkārasilokanikāmayamānāya asantaguṇasambhāvanādhippāyo pāpiccho. Yaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘idhekacco assaddho samāno ‘saddhoti maṃ jano jānātū’ti icchati, dussīlo samāno ‘sīlavāti maṃ jano jānātū’ti icchatī’’tiādi (vibha. 851).
สนฺตคุณสมฺภาวนาธิปฺปาโย ปฎิคฺคหเณ อมตฺตญฺญู มหิโจฺฉ, ยํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อิเธกโจฺจ สโทฺธ สมาโน ‘สโทฺธติ มํ ชโน ชานาตู’ติ อิจฺฉติ, สีลวา สมาโน ‘สีลวาติ มํ ชโน ชานาตู’ติ อิจฺฉตี’’ติอาทิฯ ทุตฺตปฺปิยตาย หิสฺส วิชาตมาตาปิ จิตฺตํ คเหตุํ น สโกฺกติฯ เตเนตํ วุจฺจติ –
Santaguṇasambhāvanādhippāyo paṭiggahaṇe amattaññū mahiccho, yaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘idhekacco saddho samāno ‘saddhoti maṃ jano jānātū’ti icchati, sīlavā samāno ‘sīlavāti maṃ jano jānātū’ti icchatī’’tiādi. Duttappiyatāya hissa vijātamātāpi cittaṃ gahetuṃ na sakkoti. Tenetaṃ vuccati –
‘‘อคฺคิกฺขโนฺธ สมุโทฺท จ, มหิโจฺฉ จาปิ ปุคฺคโล;
‘‘Aggikkhandho samuddo ca, mahiccho cāpi puggalo;
สกเฎน ปจฺจเย เทนฺตุ, ตโยเปเต อตปฺปยา’’ติฯ
Sakaṭena paccaye dentu, tayopete atappayā’’ti.
เอเต ปน อตฺริจฺฉตาทโย โทเส อารกา วิวเชฺชตฺวา สนฺตคุณนิคุหนาธิปฺปาโย ปฎิคฺคหเณ จ มตฺตญฺญู อปฺปิโจฺฉฯ อตฺตนิ วิชฺชมานมฺปิ คุณํ ปฎิจฺฉาเทตุกามตาย สโทฺธ สมาโน ‘‘สโทฺธติ มํ ชโน ชานาตู’’ติ น อิจฺฉติ, สีลวา, พหุสฺสุโต, ปวิวิโตฺต, อารทฺธวีริโย, อุปฎฺฐิตสฺสติ, สมาหิโต, ปญฺญวา สมาโน ‘‘ปญฺญวาติ มํ ชโน ชานาตู’’ติ น อิจฺฉติฯ สฺวายํ ปจฺจยปฺปิโจฺฉ, ธุตงฺคปฺปิโจฺฉ, ปริยตฺติอปฺปิโจฺฉ อธิคมปฺปิโจฺฉติ จตุพฺพิโธฯ ตตฺถ จตูสุ ปจฺจเยสุ อปฺปิโจฺฉ ปจฺจยทายกํ เทยฺยธมฺมํ อตฺตโน ถามญฺจ โอโลเกตฺวา สเจปิ หิ เทยฺยธโมฺม พหุ โหติ, ทายโก อปฺปํ ทาตุกาโม, ทายกสฺส วเสน อปฺปเมว คณฺหาติฯ เทยฺยธโมฺม เจ อโปฺป, ทายโก พหุํ ทาตุกาโม, เทยฺยธมฺมสฺส วเสน อปฺปเมว คณฺหาติฯ เทยฺยธโมฺมปิ เจ พหุ, ทายโกปิ พหุํ ทาตุกาโม, อตฺตโน ถามํ ญตฺวา ปมาณยุตฺตเมว คณฺหาติฯ เอวรูโป หิ ภิกฺขุ อนุปฺปนฺนํ ลาภํ อุปฺปาเทติ, อุปฺปนฺนํ ลาภํ ถาวรํ กโรติ, ทายกานํ จิตฺตํ อาราเธติฯ ธุตงฺคสมาทานสฺส ปน อตฺตนิ อตฺถิภาวํ น ชานาเปตุกาโม ธุตงฺคปฺปิโจฺฉฯ โย อตฺตโน พหุสฺสุตภาวํ ชานาเปตุํ น อิจฺฉติ, อยํ ปริยตฺติอปฺปิโจฺฉ ฯ โย ปน โสตาปนฺนาทีสุ อญฺญตโร หุตฺวา สพฺรหฺมจารีนมฺปิ อตฺตโน โสตาปนฺนาทิภาวํ ชานาเปตุํ น อิจฺฉติ, อยํ อธิคมปฺปิโจฺฉฯ เอวเมเตสํ อปฺปิจฺฉานํ ยา อปฺปิจฺฉตา, ตสฺสา สทฺธิํ สนฺทสฺสนาทิวิธินา อเนกาการโวการานิสํสวิภาวนวเสน สปฺปฎิปกฺขสฺส อตฺริจฺฉตาทิเภทสฺส อิจฺฉาจารสฺส อาทีนววิภาวนวเสน จ ปวตฺตา กถา อปฺปิจฺฉกถาฯ
Ete pana atricchatādayo dose ārakā vivajjetvā santaguṇaniguhanādhippāyo paṭiggahaṇe ca mattaññū appiccho. Attani vijjamānampi guṇaṃ paṭicchādetukāmatāya saddho samāno ‘‘saddhoti maṃ jano jānātū’’ti na icchati, sīlavā, bahussuto, pavivitto, āraddhavīriyo, upaṭṭhitassati, samāhito, paññavā samāno ‘‘paññavāti maṃ jano jānātū’’ti na icchati. Svāyaṃ paccayappiccho, dhutaṅgappiccho, pariyattiappiccho adhigamappicchoti catubbidho. Tattha catūsu paccayesu appiccho paccayadāyakaṃ deyyadhammaṃ attano thāmañca oloketvā sacepi hi deyyadhammo bahu hoti, dāyako appaṃ dātukāmo, dāyakassa vasena appameva gaṇhāti. Deyyadhammo ce appo, dāyako bahuṃ dātukāmo, deyyadhammassa vasena appameva gaṇhāti. Deyyadhammopi ce bahu, dāyakopi bahuṃ dātukāmo, attano thāmaṃ ñatvā pamāṇayuttameva gaṇhāti. Evarūpo hi bhikkhu anuppannaṃ lābhaṃ uppādeti, uppannaṃ lābhaṃ thāvaraṃ karoti, dāyakānaṃ cittaṃ ārādheti. Dhutaṅgasamādānassa pana attani atthibhāvaṃ na jānāpetukāmo dhutaṅgappiccho. Yo attano bahussutabhāvaṃ jānāpetuṃ na icchati, ayaṃ pariyattiappiccho. Yo pana sotāpannādīsu aññataro hutvā sabrahmacārīnampi attano sotāpannādibhāvaṃ jānāpetuṃ na icchati, ayaṃ adhigamappiccho. Evametesaṃ appicchānaṃ yā appicchatā, tassā saddhiṃ sandassanādividhinā anekākāravokārānisaṃsavibhāvanavasena sappaṭipakkhassa atricchatādibhedassa icchācārassa ādīnavavibhāvanavasena ca pavattā kathā appicchakathā.
สนฺตุฎฺฐิกถาติ เอตฺถ สนฺตุฎฺฐีติ สเกน อตฺตนา ลเทฺธน ตุฎฺฐิ สนฺตุฎฺฐิฯ อถ วา วิสมํ ปจฺจยิจฺฉํ ปหาย สมํ ตุฎฺฐิ สนฺตุฎฺฐิ, สเนฺตน วา วิชฺชมาเนน ตุฎฺฐิ สนฺตุฎฺฐิฯ วุตฺตเญฺจตํ –
Santuṭṭhikathāti ettha santuṭṭhīti sakena attanā laddhena tuṭṭhi santuṭṭhi. Atha vā visamaṃ paccayicchaṃ pahāya samaṃ tuṭṭhi santuṭṭhi, santena vā vijjamānena tuṭṭhi santuṭṭhi. Vuttañcetaṃ –
‘‘อตีตํ นานุพโทฺธ โส, นปฺปชปฺปมนาคตํ;
‘‘Atītaṃ nānubaddho so, nappajappamanāgataṃ;
ปจฺจุปฺปเนฺนน ยาเปโนฺต, สนฺตุโฎฺฐติ ปวุจฺจตี’’ติฯ
Paccuppannena yāpento, santuṭṭhoti pavuccatī’’ti.
สมฺมา วา ญาเยน ภควตา อนุญฺญาตวิธินา ปจฺจเยหิ ตุฎฺฐิ สนฺตุฎฺฐิ, อตฺถโต อิตรีตรปจฺจยสโนฺตโส, โส ทฺวาทสวิโธ โหติฯ กถํ? จีวเร ยถาลาภสโนฺตโส, ยถาพลสโนฺตโส, ยถาสารุปฺปสโนฺตโสติ ติวิโธฯ เอวํ ปิณฺฑปาตาทีสุฯ
Sammā vā ñāyena bhagavatā anuññātavidhinā paccayehi tuṭṭhi santuṭṭhi, atthato itarītarapaccayasantoso, so dvādasavidho hoti. Kathaṃ? Cīvare yathālābhasantoso, yathābalasantoso, yathāsāruppasantosoti tividho. Evaṃ piṇḍapātādīsu.
ตตฺรายํ ปเภทวณฺณนา – อิธ ภิกฺขุ จีวรํ ลภติ สุนฺทรํ วา อสุนฺทรํ วา, โส เตเนว ยาเปติ, อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติ, อยมสฺส จีวเร ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ ปน ปกติทุพฺพโล วา โหติ อาพาธชราภิภูโต วา, ครุจีวรํ ปารุปโนฺต กิลมติ, โส สภาเคน ภิกฺขุนา สทฺธิํ ตํ ปริวเตฺตตฺวา ลหุเกน ยาเปโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส จีวเร ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร ปณีตปจฺจยลาภี โหติ, โส ปฎฺฎจีวราทีนํ อญฺญตรํ มหคฺฆจีวรํ พหูนิ วา ลภิตฺวา ‘‘อิทํ เถรานํ จิรปพฺพชิตานํ พหุสฺสุตานํ อนุรูปํ, อิทํ คิลานานํ ทุพฺพลานํ อปฺปลาภีนํ โหตู’’ติ เตสํ ทตฺวา อตฺตนา สงฺการกูฎาทิโต วา นนฺตกานิ อุจฺจินิตฺวา สงฺฆาฎิํ กตฺวา เตสํ วา ปุราณจีวรานิ คเหตฺวา ธาเรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส จีวเร ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Tatrāyaṃ pabhedavaṇṇanā – idha bhikkhu cīvaraṃ labhati sundaraṃ vā asundaraṃ vā, so teneva yāpeti, aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhāti, ayamassa cīvare yathālābhasantoso. Atha pana pakatidubbalo vā hoti ābādhajarābhibhūto vā, garucīvaraṃ pārupanto kilamati, so sabhāgena bhikkhunā saddhiṃ taṃ parivattetvā lahukena yāpentopi santuṭṭhova hoti, ayamassa cīvare yathābalasantoso. Aparo paṇītapaccayalābhī hoti, so paṭṭacīvarādīnaṃ aññataraṃ mahagghacīvaraṃ bahūni vā labhitvā ‘‘idaṃ therānaṃ cirapabbajitānaṃ bahussutānaṃ anurūpaṃ, idaṃ gilānānaṃ dubbalānaṃ appalābhīnaṃ hotū’’ti tesaṃ datvā attanā saṅkārakūṭādito vā nantakāni uccinitvā saṅghāṭiṃ katvā tesaṃ vā purāṇacīvarāni gahetvā dhārentopi santuṭṭhova hoti, ayamassa cīvare yathāsāruppasantoso.
อิธ ปน ภิกฺขุ ปิณฺฑปาตํ ลภติ ลูขํ วา ปณีตํ วา, โส เตเนว ยาเปติ, อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติ, อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ ปน อาพาธิโก โหติ, ลูขํ ปณีตํ ปกติวิรุทฺธํ พฺยาธิวิรุทฺธํ วา ปิณฺฑปาตํ ภุญฺชิตฺวา คาฬฺหํ วา โรคาพาธํ ปาปุณาติ, โส สภาคสฺส ภิกฺขุโน ทตฺวา ตสฺส หตฺถโต สปฺปายโภชนํ ภุญฺชิตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร พหุํ ปณีตํ ปิณฺฑปาตํ ลภติ, โส ‘‘อยํ ปิณฺฑปาโต จิรปพฺพชิตานํ อนุรูโป’’ติ จีวรํ วิย เตสํ ทตฺวา เตสํ วา เสสกํ อตฺตนา ปิณฺฑาย จริตฺวา มิสฺสกาหารํ วา ภุญฺชโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Idha pana bhikkhu piṇḍapātaṃ labhati lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā, so teneva yāpeti, aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhāti, ayamassa piṇḍapāte yathālābhasantoso. Atha pana ābādhiko hoti, lūkhaṃ paṇītaṃ pakativiruddhaṃ byādhiviruddhaṃ vā piṇḍapātaṃ bhuñjitvā gāḷhaṃ vā rogābādhaṃ pāpuṇāti, so sabhāgassa bhikkhuno datvā tassa hatthato sappāyabhojanaṃ bhuñjitvā samaṇadhammaṃ karontopi santuṭṭhova hoti, ayamassa piṇḍapāte yathābalasantoso. Aparo bahuṃ paṇītaṃ piṇḍapātaṃ labhati, so ‘‘ayaṃ piṇḍapāto cirapabbajitānaṃ anurūpo’’ti cīvaraṃ viya tesaṃ datvā tesaṃ vā sesakaṃ attanā piṇḍāya caritvā missakāhāraṃ vā bhuñjantopi santuṭṭhova hoti, ayamassa piṇḍapāte yathāsāruppasantoso.
อิธ ปน ภิกฺขุโน เสนาสนํ ปาปุณาติ มนาปํ วา อามนาปํ วา อนฺตมโส ติณสนฺถารกมฺปิ, โส เตเนว สนฺตุสฺสติ, ปุน อญฺญํ สุนฺทรตรํ ปาปุณาติ, ตํ น คณฺหาติ, อยมสฺส เสนาสเน ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ ปน อาพาธิโก โหติ ทุพฺพโล วา, ปกติวิรุทฺธํ วา โส พฺยาธิวิรุทฺธํ วา เสนาสนํ ลภติ, ยตฺถสฺส วสโต อผาสุ โหติ, โส ตํ สภาคสฺส ภิกฺขุโน ทตฺวา ตสฺส สนฺตเก สปฺปายเสนาสเน วสิตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส เสนาสเน ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร สุนฺทรํ เสนาสนํ ปตฺตมฺปิ น สมฺปฎิจฺฉติ ‘‘ปณีตเสนาสนํ นาม ปมาทฎฺฐาน’’นฺติ, มหาปุญฺญตาย วา เลณมณฺฑปกูฎาคาราทีนิ พหูนิ ปณีตเสนาสนานิ ลภติ, โส ตานิ จีวราทีนิ วิย จิรปพฺพชิตาทีนํ ทตฺวา ยตฺถ กตฺถจิ วสโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส เสนาสเน ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Idha pana bhikkhuno senāsanaṃ pāpuṇāti manāpaṃ vā āmanāpaṃ vā antamaso tiṇasanthārakampi, so teneva santussati, puna aññaṃ sundarataraṃ pāpuṇāti, taṃ na gaṇhāti, ayamassa senāsane yathālābhasantoso. Atha pana ābādhiko hoti dubbalo vā, pakativiruddhaṃ vā so byādhiviruddhaṃ vā senāsanaṃ labhati, yatthassa vasato aphāsu hoti, so taṃ sabhāgassa bhikkhuno datvā tassa santake sappāyasenāsane vasitvā samaṇadhammaṃ karontopi santuṭṭhova hoti, ayamassa senāsane yathābalasantoso. Aparo sundaraṃ senāsanaṃ pattampi na sampaṭicchati ‘‘paṇītasenāsanaṃ nāma pamādaṭṭhāna’’nti, mahāpuññatāya vā leṇamaṇḍapakūṭāgārādīni bahūni paṇītasenāsanāni labhati, so tāni cīvarādīni viya cirapabbajitādīnaṃ datvā yattha katthaci vasantopi santuṭṭhova hoti, ayamassa senāsane yathāsāruppasantoso.
อิธ ปน ภิกฺขุ เภสชฺชํ ลภติ ลูขํ วา ปณีตํ วา, โส เตเนว ตุสฺสติ, อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติ, อยํ คิลานปจฺจเย ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ ปน เตเลน อตฺถิโก ผาณิตํ ลภติ, โส ยํ ลภติ, โส ตํ สภาคสฺส ภิกฺขุโน ทตฺวา ตสฺส หตฺถโต เตเลน เภสชฺชํ กตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร มหาปุโญฺญ พหุํ เตลมธุผาณิตาทิปณีตเภสชฺชํ ลภติ, โส ตํ จีวราทีนิ วิย จิรปพฺพชิตาทีนํ ทตฺวา เตสํ อาภตเกน เยน เกนจิ เภสชฺชํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ โย ปน เอกสฺมิํ ภาชเน มุตฺตหรีตกํ, เอกสฺมิํ จตุมธุรํ ฐเปตฺวา ‘‘คณฺหถ, ภเนฺต, ยทิจฺฉสี’’ติ วุจฺจมาโน ‘‘สจสฺส เตสุ อญฺญตเรนปิ โรโค วูปสมฺมติ, อิทํ มุตฺตหรีตกํ นาม พุทฺธาทีหิ วณฺณิต’’นฺติ, ‘‘ปูติมุตฺตเภสชฺชํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา, ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย’’ติ (มหาว. ๑๒๘) วจนํ อนุสฺสรโนฺต จตุมธุรํ ปฎิกฺขิปิตฺวา มุตฺตหรีตเกน เภสชฺชํ กโรโนฺต ปรมสนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Idha pana bhikkhu bhesajjaṃ labhati lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā, so teneva tussati, aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhāti, ayaṃ gilānapaccaye yathālābhasantoso. Atha pana telena atthiko phāṇitaṃ labhati, so yaṃ labhati, so taṃ sabhāgassa bhikkhuno datvā tassa hatthato telena bhesajjaṃ katvā samaṇadhammaṃ karontopi santuṭṭhova hoti, ayamassa gilānapaccaye yathābalasantoso. Aparo mahāpuñño bahuṃ telamadhuphāṇitādipaṇītabhesajjaṃ labhati, so taṃ cīvarādīni viya cirapabbajitādīnaṃ datvā tesaṃ ābhatakena yena kenaci bhesajjaṃ karontopi santuṭṭhova hoti. Yo pana ekasmiṃ bhājane muttaharītakaṃ, ekasmiṃ catumadhuraṃ ṭhapetvā ‘‘gaṇhatha, bhante, yadicchasī’’ti vuccamāno ‘‘sacassa tesu aññatarenapi rogo vūpasammati, idaṃ muttaharītakaṃ nāma buddhādīhi vaṇṇita’’nti, ‘‘pūtimuttabhesajjaṃ nissāya pabbajjā, tattha te yāvajīvaṃ ussāho karaṇīyo’’ti (mahāva. 128) vacanaṃ anussaranto catumadhuraṃ paṭikkhipitvā muttaharītakena bhesajjaṃ karonto paramasantuṭṭhova hoti, ayamassa gilānapaccaye yathāsāruppasantoso.
โส เอวํปเภโท สโพฺพปิ สโนฺตโส สนฺตุฎฺฐีติ ปวุจฺจติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อตฺถโต อิตรีตรปจฺจยสโนฺตโส’’ติฯ ตสฺสา สนฺตุฎฺฐิยา สทฺธิํ สนฺทสฺสนาทิวิธินา อานิสํสวิภาวนวเสน ตปฺปฎิปกฺขสฺส อตฺริจฺฉตาทิเภทสฺส อิจฺฉาจารสฺส อาทีนววิภาวนวเสน จ ปวตฺตา กถา สนฺตุฎฺฐิกถาฯ อิโต ปราสุปิ กถาสุ เอเสว นโยฯ วิเสสมตฺตเมว วกฺขามฯ
So evaṃpabhedo sabbopi santoso santuṭṭhīti pavuccati. Tena vuttaṃ ‘‘atthato itarītarapaccayasantoso’’ti. Tassā santuṭṭhiyā saddhiṃ sandassanādividhinā ānisaṃsavibhāvanavasena tappaṭipakkhassa atricchatādibhedassa icchācārassa ādīnavavibhāvanavasena ca pavattā kathā santuṭṭhikathā. Ito parāsupi kathāsu eseva nayo. Visesamattameva vakkhāma.
ปวิเวกกถาติ เอตฺถ กายวิเวโก, จิตฺตวิเวโก, อุปธิวิเวโกติ ตโย วิเวกาฯ เตสุ เอโก คจฺฉติ, เอโก ติฎฺฐติ, เอโก นิสีทติ , เอโก เสยฺยํ กเปฺปติ, เอโก คามํ ปิณฺฑาย ปวิสติ, เอโก ปฎิกฺกมติ, เอโก อภิกฺกมติ, เอโก จงฺกมํ อธิฎฺฐาติ, เอโก จรติ, เอโก วิหรติ, เอวํ สพฺพิริยาปเถสุ สพฺพกิเจฺจสุ คณสงฺคณิกํ ปหาย วิวิตฺตวาโส กายวิเวโก นามฯ อฎฺฐ สมาปตฺติโย ปน จิตฺตวิเวโก นามฯ นิพฺพานํ อุปธิวิเวโก นามฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘กายวิเวโก จ วิเวกฎฺฐกายานํ เนกฺขมฺมาภิรตานํ, จิตฺตวิเวโก จ ปริสุทฺธจิตฺตานํ ปรมโวทานปฺปตฺตานํ, อุปธิวิเวโก จ นิรุปธีนํ ปุคฺคลานํ วิสงฺขารคตาน’’นฺติ (มหานิ. ๕๗)ฯ วิเวโกเยว ปวิเวโก, ปวิเวเก ปฎิสํยุตฺตา กถา ปวิเวกกถาฯ
Pavivekakathāti ettha kāyaviveko, cittaviveko, upadhivivekoti tayo vivekā. Tesu eko gacchati, eko tiṭṭhati, eko nisīdati , eko seyyaṃ kappeti, eko gāmaṃ piṇḍāya pavisati, eko paṭikkamati, eko abhikkamati, eko caṅkamaṃ adhiṭṭhāti, eko carati, eko viharati, evaṃ sabbiriyāpathesu sabbakiccesu gaṇasaṅgaṇikaṃ pahāya vivittavāso kāyaviveko nāma. Aṭṭha samāpattiyo pana cittaviveko nāma. Nibbānaṃ upadhiviveko nāma. Vuttañhetaṃ ‘‘kāyaviveko ca vivekaṭṭhakāyānaṃ nekkhammābhiratānaṃ, cittaviveko ca parisuddhacittānaṃ paramavodānappattānaṃ, upadhiviveko ca nirupadhīnaṃ puggalānaṃ visaṅkhāragatāna’’nti (mahāni. 57). Vivekoyeva paviveko, paviveke paṭisaṃyuttā kathā pavivekakathā.
อสํสคฺคกถาติ เอตฺถ สวนสํสโคฺค, ทสฺสนสํสโคฺค, สมุลฺลปนสํสโคฺค, สโมฺภคสํสโคฺค, กายสํสโคฺคติ ปญฺจ สํสคฺคาฯ เตสุ อิเธกโจฺจ ภิกฺขุ สุณาติ ‘‘อมุกสฺมิํ ฐาเน คาเม วา นิคเม วา อิตฺถี อภิรูปา ทสฺสนียา ปาสาทิกา ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคตา’’ติ, โส ตํ สุตฺวา สํสีทติ วิสีทติ, น สโกฺกติ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ, สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺตติ, เอวํ วิสภาคารมฺมณสฺสวเนน อุปฺปนฺนกิเลสสนฺถโว สวนสํสโคฺค นามฯ น เหว โข ภิกฺขุ สุณาติ, อปิจ โข สามํ ปสฺสติ อิตฺถิํ อภิรูปํ ทสฺสนียํ ปาสาทิกํ ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคตํ, โส ตํ ทิสฺวา สํสีทติ วิสีทติ, น สโกฺกติ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ, สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺตติ, เอวํ วิสภาคารมฺมณทสฺสเนน อุปฺปนฺนกิเลสสนฺถโว ทสฺสนสํสโคฺค นามฯ ทิสฺวา ปน อญฺญมญฺญํ อาลาปสลฺลาปวเสน อุปฺปโนฺน กิเลสสนฺถโว สมุลฺลปนสํสโคฺค นามฯ สญฺชคฺฆนาทิปิ เอเตเนว สงฺคยฺหติฯ อตฺตโน ปน สนฺตกํ ยํ กิญฺจิ มาตุคามสฺส ทตฺวา อทตฺวา วา เตน ทินฺนสฺส วนภงฺคินิยาทิโน ปริโภควเสน อุปฺปโนฺน กิเลสสนฺถโว สโมฺภคสํสโคฺค นามฯ มาตุคามสฺส หตฺถคฺคาหาทิวเสน อุปฺปนฺนกิเลสสนฺถโว กายสํสโคฺค นามฯ
Asaṃsaggakathāti ettha savanasaṃsaggo, dassanasaṃsaggo, samullapanasaṃsaggo, sambhogasaṃsaggo, kāyasaṃsaggoti pañca saṃsaggā. Tesu idhekacco bhikkhu suṇāti ‘‘amukasmiṃ ṭhāne gāme vā nigame vā itthī abhirūpā dassanīyā pāsādikā paramāya vaṇṇapokkharatāya samannāgatā’’ti, so taṃ sutvā saṃsīdati visīdati, na sakkoti brahmacariyaṃ sandhāretuṃ, sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattati, evaṃ visabhāgārammaṇassavanena uppannakilesasanthavo savanasaṃsaggo nāma. Na heva kho bhikkhu suṇāti, apica kho sāmaṃ passati itthiṃ abhirūpaṃ dassanīyaṃ pāsādikaṃ paramāya vaṇṇapokkharatāya samannāgataṃ, so taṃ disvā saṃsīdati visīdati, na sakkoti brahmacariyaṃ sandhāretuṃ, sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattati, evaṃ visabhāgārammaṇadassanena uppannakilesasanthavo dassanasaṃsaggo nāma. Disvā pana aññamaññaṃ ālāpasallāpavasena uppanno kilesasanthavo samullapanasaṃsaggo nāma. Sañjagghanādipi eteneva saṅgayhati. Attano pana santakaṃ yaṃ kiñci mātugāmassa datvā adatvā vā tena dinnassa vanabhaṅginiyādino paribhogavasena uppanno kilesasanthavo sambhogasaṃsaggo nāma. Mātugāmassa hatthaggāhādivasena uppannakilesasanthavo kāyasaṃsaggo nāma.
โยปิ เจส ‘‘คิหีหิ สํสโฎฺฐ วิหรติ อนนุโลมิเกน สํสเคฺคน สหโสกี สหนนฺที สุขิเตสุ สุขิโต ทุกฺขิเตสุ ทุกฺขิโต อุปฺปเนฺนสุ กิจฺจกรณีเยสุ อตฺตนา โว โยคํ อาปชฺชตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๓; มหานิ. ๑๖๔) เอวํ วุโตฺต อนนุโลมิโก คิหิสํสโคฺค นาม, โย จ สพฺรหฺมจารีหิปิ กิเลสุปฺปตฺติเหตุภูโต สํสโคฺค, ตํ สพฺพํ ปหาย ยฺวายํ สํสาเร ถิรตรํ สํเวคสงฺขาเรสุ ติพฺพํ ภยสญฺญํ สรีเร ปฎิกฺกูลสญฺญํ สพฺพากุสเลสุ ชิคุจฺฉาปุพฺพงฺคมํ หิโรตฺตปฺปํ สพฺพกิริยาสุ สติสมฺปชญฺญนฺติ สพฺพํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา กมลทเล ชลพินฺทุ วิย สพฺพตฺถ อลคฺคภาโว, อยํ สพฺพสํสคฺคปฺปฎิปกฺขตาย อสํสโคฺค, ตปฺปฎิสํยุตฺตา กถา อสํสคฺคกถาฯ
Yopi cesa ‘‘gihīhi saṃsaṭṭho viharati ananulomikena saṃsaggena sahasokī sahanandī sukhitesu sukhito dukkhitesu dukkhito uppannesu kiccakaraṇīyesu attanā vo yogaṃ āpajjatī’’ti (saṃ. ni. 3.3; mahāni. 164) evaṃ vutto ananulomiko gihisaṃsaggo nāma, yo ca sabrahmacārīhipi kilesuppattihetubhūto saṃsaggo, taṃ sabbaṃ pahāya yvāyaṃ saṃsāre thirataraṃ saṃvegasaṅkhāresu tibbaṃ bhayasaññaṃ sarīre paṭikkūlasaññaṃ sabbākusalesu jigucchāpubbaṅgamaṃ hirottappaṃ sabbakiriyāsu satisampajaññanti sabbaṃ paccupaṭṭhapetvā kamaladale jalabindu viya sabbattha alaggabhāvo, ayaṃ sabbasaṃsaggappaṭipakkhatāya asaṃsaggo, tappaṭisaṃyuttā kathā asaṃsaggakathā.
วีริยารมฺภกถาติ เอตฺถ วีรสฺส ภาโว, กมฺมนฺติ วา วีริยํ, วิธินา อีเรตพฺพํ ปวเตฺตตพฺพนฺติ วา วีริยํ, วีริยญฺจ ตํ อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานาย, กุสลานํ ธมฺมานํ อุปสมฺปทาย อารภนํ วีริยารโมฺภฯ สฺวายํ กายิโก, เจตสิโก จาติ ทุวิโธ, อารมฺภธาตุ, นิกฺกมธาตุ, ปรกฺกมธาตุ, จาติ ติวิโธ, สมฺมปฺปธานวเสน จตุพฺพิโธฯ โส สโพฺพปิ โย ภิกฺขุ คมเน อุปฺปนฺนกิเลสํ ฐานํ ปาปุณิตุํ น เทติ, ฐาเน อุปฺปนฺนํ นิสชฺชํ, นิสชฺชาย อุปฺปนฺนํ สยนํ ปาปุณิตุํ น เทติ, ตตฺถ ตเตฺถว อชปเทน ทเณฺฑน กณฺหสปฺปํ อุปฺปีเฬตฺวา คณฺหโนฺต วิย ติขิเณน อสินา อมิตฺตํ คีวาย ปหรโนฺต วิย สีสํ อุกฺขิปิตุํ อทตฺวา วีริยพเลน นิคฺคณฺหาติ, ตเสฺสวํ วีริยารโมฺภ อารทฺธวีริยสฺส วเสน เวทิตโพฺพ, ตปฺปฎิสํยุตฺตา กถา วีริยารมฺภกถาฯ
Vīriyārambhakathāti ettha vīrassa bhāvo, kammanti vā vīriyaṃ, vidhinā īretabbaṃ pavattetabbanti vā vīriyaṃ, vīriyañca taṃ akusalānaṃ dhammānaṃ pahānāya, kusalānaṃ dhammānaṃ upasampadāya ārabhanaṃ vīriyārambho. Svāyaṃ kāyiko, cetasiko cāti duvidho, ārambhadhātu, nikkamadhātu, parakkamadhātu, cāti tividho, sammappadhānavasena catubbidho. So sabbopi yo bhikkhu gamane uppannakilesaṃ ṭhānaṃ pāpuṇituṃ na deti, ṭhāne uppannaṃ nisajjaṃ, nisajjāya uppannaṃ sayanaṃ pāpuṇituṃ na deti, tattha tattheva ajapadena daṇḍena kaṇhasappaṃ uppīḷetvā gaṇhanto viya tikhiṇena asinā amittaṃ gīvāya paharanto viya sīsaṃ ukkhipituṃ adatvā vīriyabalena niggaṇhāti, tassevaṃ vīriyārambho āraddhavīriyassa vasena veditabbo, tappaṭisaṃyuttā kathā vīriyārambhakathā.
สีลกถาติอาทีสุ ทุวิธํ สีลํ โลกิยํ โลกุตฺตรญฺจฯ ตตฺถ โลกิยํ ปาติโมกฺขสํวราทิ จตุปาริสุทฺธิสีลํฯ โลกุตฺตรํ มคฺคสีลํ ผลสีลญฺจฯ ตถา สมาธิปิฯ วิปสฺสนาย ปาทกภูตา สห อุปจาเรน อฎฺฐ สมาปตฺติโย โลกิโย สมาธิ, มคฺคสมฺปยุโตฺต ปเนตฺถ โลกุตฺตโร สมาธิ นามฯ ตถา ปญฺญาปิฯ โลกิยา สุตมยา, จินฺตามยา, ฌานสมฺปยุตฺตา, วิปสฺสนาญาณญฺจฯ วิเสสโต ปเนตฺถ วิปสฺสนาปญฺญา คเหตพฺพาฯ โลกุตฺตรา มคฺคปญฺญา ผลปญฺญา จฯ วิมุตฺติ อริยผลวิมุตฺติ นิพฺพานญฺจฯ อปเร ปน ตทงฺควิกฺขมฺภนสมุเจฺฉทวิมุตฺตีนมฺปิ วเสเนตฺถ อตฺถํ สํวเณฺณนฺติฯ วิมุตฺติญาณทสฺสนมฺปิ เอกูนวีสติวิธํ ปจฺจเวกฺขณญาณํฯ อิติ อิเมสํ สีลาทีนํ สทฺธิํ สนฺทสฺสนาทิวิธินา อเนกาการโวการอานิสํสวิภาวนวเสน เจว ตปฺปฎิปกฺขานํ ทุสฺสีลฺยาทีนํ อาทีนววิภาวนวเสน จ ปวตฺตา กถา, ตปฺปฎิสํยุตฺตา กถา วา สีลาทิกถา นามฯ
Sīlakathātiādīsu duvidhaṃ sīlaṃ lokiyaṃ lokuttarañca. Tattha lokiyaṃ pātimokkhasaṃvarādi catupārisuddhisīlaṃ. Lokuttaraṃ maggasīlaṃ phalasīlañca. Tathā samādhipi. Vipassanāya pādakabhūtā saha upacārena aṭṭha samāpattiyo lokiyo samādhi, maggasampayutto panettha lokuttaro samādhi nāma. Tathā paññāpi. Lokiyā sutamayā, cintāmayā, jhānasampayuttā, vipassanāñāṇañca. Visesato panettha vipassanāpaññā gahetabbā. Lokuttarā maggapaññā phalapaññā ca. Vimutti ariyaphalavimutti nibbānañca. Apare pana tadaṅgavikkhambhanasamucchedavimuttīnampi vasenettha atthaṃ saṃvaṇṇenti. Vimuttiñāṇadassanampi ekūnavīsatividhaṃ paccavekkhaṇañāṇaṃ. Iti imesaṃ sīlādīnaṃ saddhiṃ sandassanādividhinā anekākāravokāraānisaṃsavibhāvanavasena ceva tappaṭipakkhānaṃ dussīlyādīnaṃ ādīnavavibhāvanavasena ca pavattā kathā, tappaṭisaṃyuttā kathā vā sīlādikathā nāma.
เอตฺถ จ ‘‘อตฺตนา จ อปฺปิโจฺฉ โหติ, อปฺปิจฺฉ กถญฺจ ปเรสํ กตฺตา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๕๒; อ. นิ. ๑๐.๗๐) ‘‘สนฺตุโฎฺฐ โหติ อิตรีตเรน จีวเรน, อิตรีตรจีวรสนฺตุฎฺฐิยา จ วณฺณวาที’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๔๔; จูฬนิ. ขคฺควิสาณปุจฺฉานิเทฺทโส ๑๒๘) จ อาทิวจนโต สยญฺจ อปฺปิจฺฉตาทิคุณสมนฺนาคเตน ปเรสมฺปิ ตทตฺถาย หิตชฺฌาสเยน ปวเตฺตตพฺพา ตถารูปี กถาฯ ยา อิธ อภิสเลฺลขิกาทิภาเวน วิเสเสตฺวา วุตฺตา อปฺปิจฺฉกถาทีติ เวทิตพฺพาฯ การกเสฺสว หิ กถา วิเสสโต อธิเปฺปตตฺถสาธินีฯ ตถา หิ วกฺขติ – ‘‘กลฺยาณมิตฺตเสฺสตํ, เมฆิย, ภิกฺขุโน ปาฎิกงฺขํ…เป.… อกสิรลาภี’’ติ (อ. นิ. ๙.๓)ฯ
Ettha ca ‘‘attanā ca appiccho hoti, appiccha kathañca paresaṃ kattā’’ti (ma. ni. 1.252; a. ni. 10.70) ‘‘santuṭṭho hoti itarītarena cīvarena, itarītaracīvarasantuṭṭhiyā ca vaṇṇavādī’’ti (saṃ. ni. 2.144; cūḷani. khaggavisāṇapucchāniddeso 128) ca ādivacanato sayañca appicchatādiguṇasamannāgatena paresampi tadatthāya hitajjhāsayena pavattetabbā tathārūpī kathā. Yā idha abhisallekhikādibhāvena visesetvā vuttā appicchakathādīti veditabbā. Kārakasseva hi kathā visesato adhippetatthasādhinī. Tathā hi vakkhati – ‘‘kalyāṇamittassetaṃ, meghiya, bhikkhuno pāṭikaṅkhaṃ…pe… akasiralābhī’’ti (a. ni. 9.3).
เอวรูปิยาติ อีทิสาย ยถาวุตฺตายฯ นิกามลาภีติ ยถิจฺฉิตลาภี ยถารุจิลาภี, สพฺพกาลํ อิมํ กถํ โสตุํ วิจาเรตุญฺจ ยถาสุขํ ลภโนฺตฯ อกิจฺฉลาภีติ นิทุกฺขลาภีฯ อกสิรลาภีติ วิปุลลาภีฯ
Evarūpiyāti īdisāya yathāvuttāya. Nikāmalābhīti yathicchitalābhī yathārucilābhī, sabbakālaṃ imaṃ kathaṃ sotuṃ vicāretuñca yathāsukhaṃ labhanto. Akicchalābhīti nidukkhalābhī. Akasiralābhīti vipulalābhī.
อารทฺธวีริโยติ ปคฺคหิตวีริโยฯ อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานายาติ อโกสลฺลสมฺภูตเฎฺฐน อกุสลานํ ปาปธมฺมานํ ปชหนตฺถายฯ กุสลานํ ธมฺมานนฺติ กุจฺฉิตานํ สลนาทิอเตฺถน อนวชฺชเฎฺฐน จ กุสลานํ สหวิปสฺสนานํ มคฺคผลธมฺมานํฯ อุปสมฺปทายาติ สมฺปาทนาย อตฺตโน สนฺตาเน อุปฺปาทนายฯ ถามวาติ อุโสฺสฬฺหิสงฺขาเตน วีริยถาเมน สมนฺนาคโตฯ ทฬฺหปรกฺกโมติ ถิรปรกฺกโม อสิถิลวีริโยฯ อนิกฺขิตฺตธุโรติ อโนโรหิตธุโร อโนสกฺกวีริโยฯ
Āraddhavīriyoti paggahitavīriyo. Akusalānaṃ dhammānaṃ pahānāyāti akosallasambhūtaṭṭhena akusalānaṃ pāpadhammānaṃ pajahanatthāya. Kusalānaṃ dhammānanti kucchitānaṃ salanādiatthena anavajjaṭṭhena ca kusalānaṃ sahavipassanānaṃ maggaphaladhammānaṃ. Upasampadāyāti sampādanāya attano santāne uppādanāya. Thāmavāti ussoḷhisaṅkhātena vīriyathāmena samannāgato. Daḷhaparakkamoti thiraparakkamo asithilavīriyo. Anikkhittadhuroti anorohitadhuro anosakkavīriyo.
ปญฺญวาติ วิปสฺสนาปญฺญาย ปญฺญวาฯ อุทยตฺถคามินิยาติ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ อุทยญฺจ วยญฺจ ปฎิวิชฺฌนฺติยาฯ อริยายาติ วิกฺขมฺภนวเสน กิเลเสหิ อารกา ทูเร ฐิตาย นิโทฺทสายฯ นิเพฺพธิกายาติ นิเพฺพธภาคิยายฯ สมฺมา ทุกฺขกฺขยคามินิยาติ วฎฺฎทุกฺขสฺส เขปนโต ‘‘ทุกฺขกฺขโย’’ติ ลทฺธนามํ อริยมคฺคํ สมฺมา เหตุนา นเยน คจฺฉนฺติยาฯ อิเมสุ จ ปน ปญฺจสุ ธเมฺมสุ สีลํ วีริยํ ปญฺญา จ โยคิโน อชฺฌตฺติกํ องฺคํ, อิตรทฺวยํ พาหิรํ องฺคํฯ ตตฺถาปิ กลฺยาณมิตฺตสนฺนิสฺสเยเนว เสสํ จตุพฺพิธํ อิชฺฌติ, กลฺยาณมิตฺตเสฺสเวตฺถ พหุการตํ ทเสฺสโนฺต สตฺถา ‘‘กลฺยาณมิตฺตเสฺสตํ, เมฆิย, ภิกฺขุโน ปาฎิกงฺข’’นฺติอาทินา เทสนํ วเฑฺฒสิฯ ตตฺถ ปาฎิกงฺขนฺติ เอกํเสน อิจฺฉิตพฺพํ, อวสฺสํภาวีติ อโตฺถฯ ยนฺติ กิริยาปรามสนํ ฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘สีลวา ภวิสฺสตี’’ติ เอตฺถ ยเทตํ กลฺยาณมิตฺตสฺส ภิกฺขุโน สีลวนฺตตาย ภวนํ สีลสมฺปนฺนตฺตํ, ตสฺส ภิกฺขุโน สีลสมฺปนฺนตฺตา เอตํ ตสฺส ปาฎิกงฺขํ, อวสฺสํภาวี เอกํเสเนว ตสฺส ตตฺถ นิโยชนโตติ อธิปฺปาโยฯ ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต วิหรตีติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
Paññavāti vipassanāpaññāya paññavā. Udayatthagāminiyāti pañcannaṃ khandhānaṃ udayañca vayañca paṭivijjhantiyā. Ariyāyāti vikkhambhanavasena kilesehi ārakā dūre ṭhitāya niddosāya. Nibbedhikāyāti nibbedhabhāgiyāya. Sammā dukkhakkhayagāminiyāti vaṭṭadukkhassa khepanato ‘‘dukkhakkhayo’’ti laddhanāmaṃ ariyamaggaṃ sammā hetunā nayena gacchantiyā. Imesu ca pana pañcasu dhammesu sīlaṃ vīriyaṃ paññā ca yogino ajjhattikaṃ aṅgaṃ, itaradvayaṃ bāhiraṃ aṅgaṃ. Tatthāpi kalyāṇamittasannissayeneva sesaṃ catubbidhaṃ ijjhati, kalyāṇamittassevettha bahukārataṃ dassento satthā ‘‘kalyāṇamittassetaṃ, meghiya, bhikkhuno pāṭikaṅkha’’ntiādinā desanaṃ vaḍḍhesi. Tattha pāṭikaṅkhanti ekaṃsena icchitabbaṃ, avassaṃbhāvīti attho. Yanti kiriyāparāmasanaṃ . Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘sīlavā bhavissatī’’ti ettha yadetaṃ kalyāṇamittassa bhikkhuno sīlavantatāya bhavanaṃ sīlasampannattaṃ, tassa bhikkhuno sīlasampannattā etaṃ tassa pāṭikaṅkhaṃ, avassaṃbhāvī ekaṃseneva tassa tattha niyojanatoti adhippāyo. Pātimokkhasaṃvarasaṃvuto viharatītiādīsupi eseva nayo.
เอวํ ภควา สเทวเก โลเก อุตฺตมกลฺยาณมิตฺตสงฺขาตสฺส อตฺตโน วจนํ อนาทิยิตฺวา ตํ วนสณฺฑํ ปวิสิตฺวา ตาทิสํ วิปฺปการํ ปตฺตสฺส อายสฺมโต เมฆิยสฺส กลฺยาณมิตฺตตาทินา สกลํ สาสนสมฺปทํ ทเสฺสตฺวา อิทานิสฺส ตตฺถ อาทรชาตสฺส ปุเพฺพ เยหิ กามวิตกฺกาทีหิ อุปทฺทุตตฺตา กมฺมฎฺฐานํ น สมฺปชฺชติ, ตสฺส เตสํ อุชุวิปจฺจนีกภูตตฺตา จ ภาวนานยํ ปกาเสตฺวา ตโต ปรํ อรหตฺตสฺส กมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขโนฺต ‘‘เตน จ ปน, เมฆิย, ภิกฺขุนา อิเมสุ ปญฺจสุ ธเมฺมสุ ปติฎฺฐาย จตฺตาโร ธมฺมา อุตฺตริ ภาเวตพฺพา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เตนาติ เอวํ กลฺยาณมิตฺตสนฺนิสฺสเยน ยถาวุตฺตสีลาทิคุณสมนฺนาคเตนฯ เตเนวาห ‘‘อิเมสุ ปญฺจสุ ธเมฺมสุ ปติฎฺฐายา’’ติฯ อุตฺตรีติ อารทฺธตรุณวิปสฺสนสฺส ราคาทิปริสฺสยา เจ อุปฺปเชฺชยฺยุํ, เตสํ วิโสธนตฺถํ ตโต อุทฺธํ จตฺตาโร ธมฺมา ภาเวตพฺพา อุปฺปาเทตพฺพา วเฑฺฒตพฺพา จฯ
Evaṃ bhagavā sadevake loke uttamakalyāṇamittasaṅkhātassa attano vacanaṃ anādiyitvā taṃ vanasaṇḍaṃ pavisitvā tādisaṃ vippakāraṃ pattassa āyasmato meghiyassa kalyāṇamittatādinā sakalaṃ sāsanasampadaṃ dassetvā idānissa tattha ādarajātassa pubbe yehi kāmavitakkādīhi upaddutattā kammaṭṭhānaṃ na sampajjati, tassa tesaṃ ujuvipaccanīkabhūtattā ca bhāvanānayaṃ pakāsetvā tato paraṃ arahattassa kammaṭṭhānaṃ ācikkhanto ‘‘tena ca pana, meghiya, bhikkhunā imesu pañcasu dhammesu patiṭṭhāya cattāro dhammā uttari bhāvetabbā’’tiādimāha. Tattha tenāti evaṃ kalyāṇamittasannissayena yathāvuttasīlādiguṇasamannāgatena. Tenevāha ‘‘imesu pañcasu dhammesu patiṭṭhāyā’’ti. Uttarīti āraddhataruṇavipassanassa rāgādiparissayā ce uppajjeyyuṃ, tesaṃ visodhanatthaṃ tato uddhaṃ cattāro dhammā bhāvetabbā uppādetabbā vaḍḍhetabbā ca.
อสุภาติ เอกาทสสุ อสุภกมฺมฎฺฐาเนสุ ยถารหํ ยตฺถ กตฺถจิ อสุภภาวนาฯ ราคสฺส ปหานายาติ กามราคสฺส ปชหนตฺถายฯ อยมโตฺถ สาลิลาวโกปมาย วิภาเวตโพฺพฯ เอวํภูตํ ภาวนาวิธิํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘อสุภา ภาเวตพฺพา ราคสฺส ปหานายา’’ติฯ เมตฺตาติ เมตฺตากมฺมฎฺฐานํฯ พฺยาปาทสฺส ปหานายาติ วุตฺตนเยเนว อุปฺปนฺนสฺส โกปสฺส ปชหนตฺถายฯ อานาปานสฺสตีติ โสฬสวตฺถุกา อานาปานสฺสติฯ วิตกฺกุปเจฺฉทายาติ วุตฺตนเยเนว อุปฺปนฺนานํ วิตกฺกานํ ปเจฺฉทนตฺถายฯ อสฺมิมานสมุคฺฆาตายาติ ‘‘อสฺมี’’ติ อุปฺปชฺชนกสฺส นววิธสฺส มานสฺส สมุเจฺฉทนตฺถายฯ
Asubhāti ekādasasu asubhakammaṭṭhānesu yathārahaṃ yattha katthaci asubhabhāvanā. Rāgassa pahānāyāti kāmarāgassa pajahanatthāya. Ayamattho sālilāvakopamāya vibhāvetabbo. Evaṃbhūtaṃ bhāvanāvidhiṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘asubhā bhāvetabbā rāgassa pahānāyā’’ti. Mettāti mettākammaṭṭhānaṃ. Byāpādassa pahānāyāti vuttanayeneva uppannassa kopassa pajahanatthāya. Ānāpānassatīti soḷasavatthukā ānāpānassati. Vitakkupacchedāyāti vuttanayeneva uppannānaṃ vitakkānaṃ pacchedanatthāya. Asmimānasamugghātāyāti ‘‘asmī’’ti uppajjanakassa navavidhassa mānassa samucchedanatthāya.
อนิจฺจสญฺญิโนติ หุตฺวา อภาวโต อุทยพฺพยวนฺตโต ปภงฺคุโต ตาวกาลิกโต นิจฺจปฺปฎิเกฺขปโต จ ‘‘สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจา’’ติ (ธ. ป. ๒๗๗; จูฬนิ. เหมกมาณวปุจฺฉานิเทฺทโส ๕๖) ปวตฺตอนิจฺจานุปสฺสนาวเสน อนิจฺจสญฺญิโนฯ อนตฺตสญฺญา สณฺฐาตีติ อสารกโต อวสวตฺตนโต ปรโต ริตฺตโต ตุจฺฉโต สุญฺญโต จ ‘‘สเพฺพ ธมฺมา อนตฺตา’’ติ (ธ. ป. ๒๗๙; จูฬนิ. เหมกมาณวปุจฺฉานิเทฺทโส ๕๖) เอวํ ปวตฺตอนตฺตานุปสฺสนาสงฺขาตา อนตฺตสญฺญา จิเตฺต สณฺฐหติ อติทฬฺหํ ปติฎฺฐหติฯ อนิจฺจลกฺขเณ หิ ทิเฎฺฐ อนตฺตลกฺขณํ ทิฎฺฐเมว โหติฯ ตีสุ ลกฺขเณสุ หิ เอกสฺมิํ ทิเฎฺฐ อิตรทฺวยํ ทิฎฺฐเมว โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อนิจฺจสญฺญิโน, เมฆิย, อนตฺตสญฺญา สณฺฐาตี’’ติฯ อนตฺตลกฺขเณ สุทิเฎฺฐ ‘‘อสฺมี’’ติ อุปฺปชฺชนกมาโน สุปฺปชโหว โหตีติ อาห ‘‘อนตฺตสญฺญี อสฺมิมานสมุคฺฆาตํ ปาปุณาตี’’ติฯ ทิเฎฺฐว ธเมฺม นิพฺพานนฺติ ทิเฎฺฐว ธเมฺม อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเว อปจฺจยปรินิพฺพานํ ปาปุณาติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารโต ปน อสุภาทิภาวนานโย วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตนเยน เวทิตโพฺพฯ
Aniccasaññinoti hutvā abhāvato udayabbayavantato pabhaṅguto tāvakālikato niccappaṭikkhepato ca ‘‘sabbe saṅkhārā aniccā’’ti (dha. pa. 277; cūḷani. hemakamāṇavapucchāniddeso 56) pavattaaniccānupassanāvasena aniccasaññino. Anattasaññā saṇṭhātīti asārakato avasavattanato parato rittato tucchato suññato ca ‘‘sabbe dhammā anattā’’ti (dha. pa. 279; cūḷani. hemakamāṇavapucchāniddeso 56) evaṃ pavattaanattānupassanāsaṅkhātā anattasaññā citte saṇṭhahati atidaḷhaṃ patiṭṭhahati. Aniccalakkhaṇe hi diṭṭhe anattalakkhaṇaṃ diṭṭhameva hoti. Tīsu lakkhaṇesu hi ekasmiṃ diṭṭhe itaradvayaṃ diṭṭhameva hoti. Tena vuttaṃ ‘‘aniccasaññino, meghiya, anattasaññā saṇṭhātī’’ti. Anattalakkhaṇe sudiṭṭhe ‘‘asmī’’ti uppajjanakamāno suppajahova hotīti āha ‘‘anattasaññī asmimānasamugghātaṃ pāpuṇātī’’ti. Diṭṭheva dhamme nibbānanti diṭṭheva dhamme imasmiṃyeva attabhāve apaccayaparinibbānaṃ pāpuṇāti. Ayamettha saṅkhepo, vitthārato pana asubhādibhāvanānayo visuddhimagge vuttanayena veditabbo.
เมฆิยสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Meghiyasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๓. เมฆิยสุตฺตํ • 3. Meghiyasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๓. เมฆิยสุตฺตวณฺณนา • 3. Meghiyasuttavaṇṇanā