Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ขุทฺทกปาฐ-อฎฺฐกถา • Khuddakapāṭha-aṭṭhakathā

    ๙. เมตฺตสุตฺตวณฺณนา

    9. Mettasuttavaṇṇanā

    นิเกฺขปปฺปโยชนํ

    Nikkhepappayojanaṃ

    อิทานิ นิธิกณฺฑานนฺตรํ นิกฺขิตฺตสฺส เมตฺตสุตฺตสฺส วณฺณนากฺกโม อนุปฺปโตฺตฯ ตสฺส อิธ นิเกฺขปปฺปโยชนํ วตฺวา ตโต ปรํ –

    Idāni nidhikaṇḍānantaraṃ nikkhittassa mettasuttassa vaṇṇanākkamo anuppatto. Tassa idha nikkhepappayojanaṃ vatvā tato paraṃ –

    ‘‘เยน วุตฺตํ ยทา ยตฺถ, ยสฺมา เจเตส ทีปนา;

    ‘‘Yena vuttaṃ yadā yattha, yasmā cetesa dīpanā;

    นิทานํ โสธยิตฺวาสฺส, กริสฺสามตฺถวณฺณนํ’’ฯ

    Nidānaṃ sodhayitvāssa, karissāmatthavaṇṇanaṃ’’.

    ตตฺถ ยสฺมา นิธิกเณฺฑน ทานสีลาทิปุญฺญสมฺปทา วุตฺตา, สา จ สเตฺตสุ เมตฺตาย กตาย มหปฺผลา โหติ ยาว พุทฺธภูมิํ ปาเปตุํ สมตฺถา, ตสฺมา ตสฺสา ปุญฺญสมฺปทาย อุปการทสฺสนตฺถํ, ยสฺมา วา สรเณหิ สาสเน โอตริตฺวา สิกฺขาปเทหิ สีเล ปติฎฺฐิตานํ ทฺวตฺติํสากาเรน ราคปฺปหานสมตฺถํ, กุมารปเญฺหน โมหปฺปหานสมตฺถญฺจ กมฺมฎฺฐานํ ทเสฺสตฺวา, มงฺคลสุเตฺตน ตสฺส ปวตฺติยา มงฺคลภาโว อตฺตรกฺขา จ, รตนสุเตฺตน ตสฺสานุรูปา ปรรกฺขา, ติโรกุเฎฺฎน รตฺตนสุเตฺต วุตฺตภูเตสุ เอกจฺจภูตทสฺสนํ วุตฺตปฺปการาย ปุญฺญสมฺปตฺติยา ปมชฺชนฺตานํ วิปตฺติ จ, นิธิกเณฺฑน ติโรกุเฎฺฎ วุตฺตวิปตฺติปฎิปกฺขภูตา สมฺปตฺติ จ ทสฺสิตา, โทสปฺปหานสมตฺถํ ปน กมฺมฎฺฐานํ อทสฺสิตเมว, ตสฺมา ตํ โทสปฺปหานสมตฺถํ กมฺมฎฺฐานํ ทเสฺสตุํ อิทํ เมตฺตสุตฺตํ อิธ นิกฺขิตฺตํฯ เอวญฺหิ สุปริปูโร โหติ ขุทฺทกปาโฐติ อิทมสฺส อิธ นิเกฺขปปฺปโยชนํฯ

    Tattha yasmā nidhikaṇḍena dānasīlādipuññasampadā vuttā, sā ca sattesu mettāya katāya mahapphalā hoti yāva buddhabhūmiṃ pāpetuṃ samatthā, tasmā tassā puññasampadāya upakāradassanatthaṃ, yasmā vā saraṇehi sāsane otaritvā sikkhāpadehi sīle patiṭṭhitānaṃ dvattiṃsākārena rāgappahānasamatthaṃ, kumārapañhena mohappahānasamatthañca kammaṭṭhānaṃ dassetvā, maṅgalasuttena tassa pavattiyā maṅgalabhāvo attarakkhā ca, ratanasuttena tassānurūpā pararakkhā, tirokuṭṭena rattanasutte vuttabhūtesu ekaccabhūtadassanaṃ vuttappakārāya puññasampattiyā pamajjantānaṃ vipatti ca, nidhikaṇḍena tirokuṭṭe vuttavipattipaṭipakkhabhūtā sampatti ca dassitā, dosappahānasamatthaṃ pana kammaṭṭhānaṃ adassitameva, tasmā taṃ dosappahānasamatthaṃ kammaṭṭhānaṃ dassetuṃ idaṃ mettasuttaṃ idha nikkhittaṃ. Evañhi suparipūro hoti khuddakapāṭhoti idamassa idha nikkhepappayojanaṃ.

    นิทานโสธนํ

    Nidānasodhanaṃ

    อิทานิ ยายํ –

    Idāni yāyaṃ –

    ‘‘เยน วุตฺตํ ยทา ยตฺถ, ยสฺมา เจเตส ทีปนา;

    ‘‘Yena vuttaṃ yadā yattha, yasmā cetesa dīpanā;

    นิทานํ โสธยิตฺวาสฺส, กริสฺสามตฺถวณฺณน’’นฺติฯ –

    Nidānaṃ sodhayitvāssa, karissāmatthavaṇṇana’’nti. –

    มาติกา นิกฺขิตฺตา, ตตฺถ อิทํ เมตฺตสุตฺตํ ภควตาว วุตฺตํ, น สาวกาทีหิ, ตญฺจ ปน ยทา หิมวนฺตปสฺสโต เทวตาหิ อุพฺพาฬฺหา ภิกฺขู ภควโต สนฺติกํ อาคตา, ตทา สาวตฺถิยํ เตสํ ภิกฺขูนํ ปริตฺตตฺถาย กมฺมฎฺฐานตฺถาย จ วุตฺตนฺติ เอวํ ตาว สเงฺขปโต เอเตสํ ปทานํ ทีปนา นิทานโสธนา เวทิตพฺพาฯ

    Mātikā nikkhittā, tattha idaṃ mettasuttaṃ bhagavatāva vuttaṃ, na sāvakādīhi, tañca pana yadā himavantapassato devatāhi ubbāḷhā bhikkhū bhagavato santikaṃ āgatā, tadā sāvatthiyaṃ tesaṃ bhikkhūnaṃ parittatthāya kammaṭṭhānatthāya ca vuttanti evaṃ tāva saṅkhepato etesaṃ padānaṃ dīpanā nidānasodhanā veditabbā.

    วิตฺถารโต ปน เอวํ เวทิตพฺพา – เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ อุปกฎฺฐาย วสฺสูปนายิกาย, เตน โข ปน สมเยน สมฺพหุลา นานาเวรชฺชกา ภิกฺขู ภควโต สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา ตตฺถ ตตฺถ วสฺสํ อุปคนฺตุกามา ภควนฺตํ อุปสงฺกมนฺติฯ ตตฺร สุทํ ภควา ราคจริตานํ สวิญฺญาณกอวิญฺญาณกวเสน เอกาทสวิธํ อสุภกมฺมฎฺฐานํ, โทสจริตานํ จตุพฺพิธํ เมตฺตาทิกมฺมฎฺฐานํ, โมหจริตานํ มรณสฺสติกมฺมฎฺฐานาทีนิ, วิตกฺกจริตานํ อานาปานสฺสติปถวีกสิณาทีนิ, สทฺธาจริตานํ พุทฺธานุสฺสติกมฺมฎฺฐานาทีนิ, พุทฺธิจริตานํ จตุธาตุววตฺถานาทีนีติ อิมินา นเยน จตุราสีติสหสฺสปฺปเภทจริตานุกูลานิ กมฺมฎฺฐานานิ กเถติฯ

    Vitthārato pana evaṃ veditabbā – ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati upakaṭṭhāya vassūpanāyikāya, tena kho pana samayena sambahulā nānāverajjakā bhikkhū bhagavato santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā tattha tattha vassaṃ upagantukāmā bhagavantaṃ upasaṅkamanti. Tatra sudaṃ bhagavā rāgacaritānaṃ saviññāṇakaaviññāṇakavasena ekādasavidhaṃ asubhakammaṭṭhānaṃ, dosacaritānaṃ catubbidhaṃ mettādikammaṭṭhānaṃ, mohacaritānaṃ maraṇassatikammaṭṭhānādīni, vitakkacaritānaṃ ānāpānassatipathavīkasiṇādīni, saddhācaritānaṃ buddhānussatikammaṭṭhānādīni, buddhicaritānaṃ catudhātuvavatthānādīnīti iminā nayena caturāsītisahassappabhedacaritānukūlāni kammaṭṭhānāni katheti.

    อถ โข ปญฺจมตฺตานิ ภิกฺขุสตานิ ภควโต สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ อุคฺคเหตฺวา สปฺปายเสนาสนญฺจ โคจรคามญฺจ ปริเยสมานานิ อนุปุเพฺพน คนฺตฺวา ปจฺจเนฺต หิมวเนฺตน สทฺธิํ เอกาพทฺธํ นีลกาจมณิสนฺนิภสิลาตลํ สีตลฆนจฺฉายนีลวนสณฺฑมณฺฑิตํ มุตฺตาชาลรชตปฎฺฎสทิสวาลุกากิณฺณภูมิภาคํ สุจิสาตสีตลชลาสยปริวาริตํ ปพฺพตมทฺทสํสุฯ อถ เต ภิกฺขู ตเตฺถกรตฺติํ วสิตฺวา ปภาตาย รตฺติยา สรีรปริกมฺมํ กตฺวา ตสฺส อวิทูเร อญฺญตรํ คามํ ปิณฺฑาย ปวิสิํสุฯ คาโม ฆนนิเวสนสนฺนิวิฎฺฐกุลสหสฺสยุโตฺต, มนุสฺสา เจตฺถ สทฺธา ปสนฺนา เต ปจฺจเนฺต ปพฺพชิตทสฺสนสฺส ทุลฺลภตาย ภิกฺขู ทิสฺวา เอว ปีติโสมนสฺสชาตา หุตฺวา เต ภิกฺขู โภเชตฺวา ‘‘อิเธว, ภเนฺต, เตมาสํ วสถา’’ติ ยาจิตฺวา ปญฺจ ปธานกุฎิสตานิ กาเรตฺวา ตตฺถ มญฺจปีฐปานียปริโภชนียฆฎาทีนิ สพฺพูปกรณานิ ปฎิยาเทสุํฯ

    Atha kho pañcamattāni bhikkhusatāni bhagavato santike kammaṭṭhānaṃ uggahetvā sappāyasenāsanañca gocaragāmañca pariyesamānāni anupubbena gantvā paccante himavantena saddhiṃ ekābaddhaṃ nīlakācamaṇisannibhasilātalaṃ sītalaghanacchāyanīlavanasaṇḍamaṇḍitaṃ muttājālarajatapaṭṭasadisavālukākiṇṇabhūmibhāgaṃ sucisātasītalajalāsayaparivāritaṃ pabbatamaddasaṃsu. Atha te bhikkhū tatthekarattiṃ vasitvā pabhātāya rattiyā sarīraparikammaṃ katvā tassa avidūre aññataraṃ gāmaṃ piṇḍāya pavisiṃsu. Gāmo ghananivesanasanniviṭṭhakulasahassayutto, manussā cettha saddhā pasannā te paccante pabbajitadassanassa dullabhatāya bhikkhū disvā eva pītisomanassajātā hutvā te bhikkhū bhojetvā ‘‘idheva, bhante, temāsaṃ vasathā’’ti yācitvā pañca padhānakuṭisatāni kāretvā tattha mañcapīṭhapānīyaparibhojanīyaghaṭādīni sabbūpakaraṇāni paṭiyādesuṃ.

    ภิกฺขู ทุติยทิวเส อญฺญํ คามํ ปิณฺฑาย ปวิสิํสุฯ ตตฺถปิ มนุสฺสา ตเถว อุปฎฺฐหิตฺวา วสฺสาวาสํ ยาจิํสุฯ ภิกฺขู ‘‘อสติ อนฺตราเย’’ติ อธิวาเสตฺวา ตํ วนสณฺฑํ ปวิสิตฺวา สพฺพรตฺตินฺทิวํ อารทฺธวีริยา ยามฆณฺฑิกํ โกเฎฺฎตฺวา โยนิโสมนสิการพหุลา วิหรนฺตา รุกฺขมูลานิ อุปคนฺตฺวา นิสีทิํสุฯ สีลวนฺตานํ ภิกฺขูนํ เตเชน วิหตเตชา รุกฺขเทวตา อตฺตโน อตฺตโน วิมานา โอรุยฺห ทารเก คเหตฺวา อิโต จิโต วิจรนฺติฯ เสยฺยถาปิ นาม ราชูหิ วา ราชมหามเตฺตหิ วา คามกาวาสํ คเตหิ คามวาสีนํ ฆเรสุ โอกาเส คหิเต ฆรมนุสฺสกา ฆรา นิกฺขมิตฺวา อญฺญตฺร วสนฺตา ‘‘กทา นุ คมิสฺสนฺตี’’ติ ทูรโตว โอโลเกนฺติ, เอวเมว เทวตา อตฺตโน อตฺตโน วิมานานิ ฉเฑฺฑตฺวา อิโต จิโต จ วิจรนฺติโย ทูรโตว โอโลเกนฺติ ‘‘กทา นุ ภทนฺตา คมิสฺสนฺตี’’ติฯ ตโต เอวํ สมจิเนฺตสุํ ‘‘ปฐมวสฺสูปคตา ภิกฺขู อวสฺสํ เตมาสํ วสิสฺสนฺติ, มยํ ปน ตาว จิรํ ทารเก คเหตฺวา โอกฺกมฺม วสิตุํ น สโกฺกม, หนฺท มยํ ภิกฺขูนํ ภยานกํ อารมฺมณํ ทเสฺสมา’’ติฯ ตา รตฺติํ ภิกฺขูนํ สมณธมฺมกรณเวลาย ภิํสนกานิ ยกฺขรูปานิ นิมฺมินิตฺวา ปุรโต ปุรโต ติฎฺฐนฺติ, เภรวสทฺทญฺจ กโรนฺติฯ ภิกฺขูนํ ตานิ รูปานิ ทิสฺวา ตญฺจ สทฺทํ สุตฺวา หทยํ ผนฺทิ, ทุพฺพณฺณา จ อเหสุํ อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาตาฯ เตน เต ภิกฺขู จิตฺตํ เอกคฺคํ กาตุํ นาสกฺขิํสุ, เตสํ อเนกคฺคจิตฺตานํ ภเยน จ ปุนปฺปุนํ สํวิคฺคานํ สติ สมฺมุสฺสิ, ตโต เตสํ มุฎฺฐสตีนํ ทุคฺคนฺธานิ อารมฺมณานิ ปโยเชสุํ, เตสํ เตน ทุคฺคเนฺธน นิมฺมถิยมานมิว มตฺถลุงฺคํ อโหสิ, คาฬฺหา สีสเวทนา อุปฺปชฺชิํสุ, น จ ตํ ปวตฺติํ อญฺญมญฺญสฺส อาโรเจสุํฯ

    Bhikkhū dutiyadivase aññaṃ gāmaṃ piṇḍāya pavisiṃsu. Tatthapi manussā tatheva upaṭṭhahitvā vassāvāsaṃ yāciṃsu. Bhikkhū ‘‘asati antarāye’’ti adhivāsetvā taṃ vanasaṇḍaṃ pavisitvā sabbarattindivaṃ āraddhavīriyā yāmaghaṇḍikaṃ koṭṭetvā yonisomanasikārabahulā viharantā rukkhamūlāni upagantvā nisīdiṃsu. Sīlavantānaṃ bhikkhūnaṃ tejena vihatatejā rukkhadevatā attano attano vimānā oruyha dārake gahetvā ito cito vicaranti. Seyyathāpi nāma rājūhi vā rājamahāmattehi vā gāmakāvāsaṃ gatehi gāmavāsīnaṃ gharesu okāse gahite gharamanussakā gharā nikkhamitvā aññatra vasantā ‘‘kadā nu gamissantī’’ti dūratova olokenti, evameva devatā attano attano vimānāni chaḍḍetvā ito cito ca vicarantiyo dūratova olokenti ‘‘kadā nu bhadantā gamissantī’’ti. Tato evaṃ samacintesuṃ ‘‘paṭhamavassūpagatā bhikkhū avassaṃ temāsaṃ vasissanti, mayaṃ pana tāva ciraṃ dārake gahetvā okkamma vasituṃ na sakkoma, handa mayaṃ bhikkhūnaṃ bhayānakaṃ ārammaṇaṃ dassemā’’ti. Tā rattiṃ bhikkhūnaṃ samaṇadhammakaraṇavelāya bhiṃsanakāni yakkharūpāni nimminitvā purato purato tiṭṭhanti, bheravasaddañca karonti. Bhikkhūnaṃ tāni rūpāni disvā tañca saddaṃ sutvā hadayaṃ phandi, dubbaṇṇā ca ahesuṃ uppaṇḍuppaṇḍukajātā. Tena te bhikkhū cittaṃ ekaggaṃ kātuṃ nāsakkhiṃsu, tesaṃ anekaggacittānaṃ bhayena ca punappunaṃ saṃviggānaṃ sati sammussi, tato tesaṃ muṭṭhasatīnaṃ duggandhāni ārammaṇāni payojesuṃ, tesaṃ tena duggandhena nimmathiyamānamiva matthaluṅgaṃ ahosi, gāḷhā sīsavedanā uppajjiṃsu, na ca taṃ pavattiṃ aññamaññassa ārocesuṃ.

    อเถกทิวสํ สงฺฆเตฺถรสฺส อุปฎฺฐานกาเล สเพฺพสุ สนฺนิปติเตสุ สงฺฆเตฺถโร ปุจฺฉิ ‘‘ตุมฺหากํ, อาวุโส, อิมํ วนสณฺฑํ ปวิฎฺฐานํ กติปาหํ อติวิย ปริสุโทฺธ ฉวิวโณฺณ อโหสิ ปริโยทาโต, วิปฺปสนฺนานิ จ อินฺทฺริยานิ, เอตรหิ ปนตฺถ กิสา ทุพฺพณฺณา อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาตา, กิํ โว อิธ อสปฺปาย’’นฺติฯ ตโต เอโก ภิกฺขุ อาห – ‘‘อหํ, ภเนฺต, รตฺติํ อีทิสญฺจ อีทิสญฺจ เภรวารมฺมณํ ปสฺสามิ จ สุณามิ จ, อีทิสญฺจ คนฺธํ ฆายามิ, เตน เม จิตฺตํ น สมาธิยตี’’ติ, เอเตเนว อุปาเยน สเพฺพว เต ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสุํฯ สงฺฆเตฺถโร อาห – ‘‘ภควตา, อาวุโส, เทฺว วสฺสูปนายิกา ปญฺญตฺตา, อมฺหากญฺจ อิทํ เสนาสนํ อสปฺปายํ, อายามาวุโส, ภควโต สนฺติกํ คนฺตฺวา อญฺญํ สปฺปายเสนาสนํ ปุจฺฉามา’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ เต ภิกฺขู เถรสฺส ปฎิสฺสุณิตฺวา สเพฺพว เสนาสนํ สํสาเมตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อนุปลิตฺตตฺตา กุเลสุ กญฺจิ อนามเนฺตตฺวา เอว เยน สาวตฺถิ เตน จาริกํ ปกฺกมิํสุฯ อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ คนฺตฺวา ภควโต สนฺติกํ อาคมิํสุฯ

    Athekadivasaṃ saṅghattherassa upaṭṭhānakāle sabbesu sannipatitesu saṅghatthero pucchi ‘‘tumhākaṃ, āvuso, imaṃ vanasaṇḍaṃ paviṭṭhānaṃ katipāhaṃ ativiya parisuddho chavivaṇṇo ahosi pariyodāto, vippasannāni ca indriyāni, etarahi panattha kisā dubbaṇṇā uppaṇḍuppaṇḍukajātā, kiṃ vo idha asappāya’’nti. Tato eko bhikkhu āha – ‘‘ahaṃ, bhante, rattiṃ īdisañca īdisañca bheravārammaṇaṃ passāmi ca suṇāmi ca, īdisañca gandhaṃ ghāyāmi, tena me cittaṃ na samādhiyatī’’ti, eteneva upāyena sabbeva te taṃ pavattiṃ ārocesuṃ. Saṅghatthero āha – ‘‘bhagavatā, āvuso, dve vassūpanāyikā paññattā, amhākañca idaṃ senāsanaṃ asappāyaṃ, āyāmāvuso, bhagavato santikaṃ gantvā aññaṃ sappāyasenāsanaṃ pucchāmā’’ti. ‘‘Sādhu, bhante’’ti te bhikkhū therassa paṭissuṇitvā sabbeva senāsanaṃ saṃsāmetvā pattacīvaramādāya anupalittattā kulesu kañci anāmantetvā eva yena sāvatthi tena cārikaṃ pakkamiṃsu. Anupubbena sāvatthiṃ gantvā bhagavato santikaṃ āgamiṃsu.

    ภควา เต ภิกฺขู ทิสฺวา เอตทโวจ – ‘‘น, ภิกฺขเว, อโนฺตวสฺสํ จาริกา จริตพฺพาติ มยา สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, กิสฺส ตุเมฺห จาริกํ จรถา’’ติฯ เต ภควโต สพฺพมาโรเจสุํฯ ภควา อาวเชฺชโนฺต สกลชมฺพุทีเป อนฺตมโส จตุปาทปีฐกฎฺฐานมตฺตมฺปิ เตสํ สปฺปายเสนาสนํ นาทฺทสฯ อถ เต ภิกฺขู อาห – ‘‘น, ภิกฺขเว, ตุมฺหากํ อญฺญํ สปฺปายเสนาสนํ อตฺถิ, ตเตฺถว ตุเมฺห วิหรนฺตา อาสวกฺขยํ ปาปุณิสฺสถ, คจฺฉถ, ภิกฺขเว, ตเมว เสนาสนํ อุปนิสฺสาย วิหรถ, สเจ ปน เทวตาหิ อภยํ อิจฺฉถ, อิมํ ปริตฺตํ อุคฺคณฺหถฯ เอตญฺหิ โว ปริตฺตญฺจ กมฺมฎฺฐานญฺจ ภวิสฺสตี’’ติ อิทํ สุตฺตมภาสิฯ

    Bhagavā te bhikkhū disvā etadavoca – ‘‘na, bhikkhave, antovassaṃ cārikā caritabbāti mayā sikkhāpadaṃ paññattaṃ, kissa tumhe cārikaṃ carathā’’ti. Te bhagavato sabbamārocesuṃ. Bhagavā āvajjento sakalajambudīpe antamaso catupādapīṭhakaṭṭhānamattampi tesaṃ sappāyasenāsanaṃ nāddasa. Atha te bhikkhū āha – ‘‘na, bhikkhave, tumhākaṃ aññaṃ sappāyasenāsanaṃ atthi, tattheva tumhe viharantā āsavakkhayaṃ pāpuṇissatha, gacchatha, bhikkhave, tameva senāsanaṃ upanissāya viharatha, sace pana devatāhi abhayaṃ icchatha, imaṃ parittaṃ uggaṇhatha. Etañhi vo parittañca kammaṭṭhānañca bhavissatī’’ti idaṃ suttamabhāsi.

    อปเร ปนาหุ – ‘‘คจฺฉถ, ภิกฺขเว, ตเมว เสนาสนํ อุปนิสฺสาย วิหรถา’’ติ อิทญฺจ วตฺวา ภควา อาห – ‘‘อปิจ โข อารญฺญเกน ปริหรณํ ญาตพฺพํฯ เสยฺยถิทํ – สายํ ปาตํ กรณวเสน เทฺว เมตฺตา เทฺว ปริตฺตา เทฺว อสุภา เทฺว มรณสฺสตี อฎฺฐมหาสํเวควตฺถุสมาวชฺชนญฺจ, อฎฺฐ มหาสํเวควตฺถูนิ นาม ชาติชราพฺยาธิมรณํ จตฺตาริ อปายทุกฺขานีติ, อถ วา ชาติชราพฺยาธิมรณานิ จตฺตาริ, อปายทุกฺขํ ปญฺจมํ, อตีเต วฎฺฎมูลกํ ทุกฺขํ, อนาคเต วฎฺฎมูลกํ ทุกฺขํ, ปจฺจุปฺปเนฺน อาหารปริเยฎฺฐิมูลกํ ทุกฺข’’นฺติฯ เอวํ ภควา ปริหรณํ อาจิกฺขิตฺวา เตสํ ภิกฺขูนํ เมตฺตตฺถญฺจ ปริตฺตตฺถญฺจ วิปสฺสนาปาทกชฺฌานตฺถญฺจ อิทํ สุตฺตมภาสีติฯ เอวํ วิตฺถารโตปิ ‘‘เยน วุตฺตํ ยทา ยตฺถ, ยสฺมา เจ’’ติ เอเตสํ ปทานํ ทีปนา นิทานโสธนา เวทิตพฺพาฯ

    Apare panāhu – ‘‘gacchatha, bhikkhave, tameva senāsanaṃ upanissāya viharathā’’ti idañca vatvā bhagavā āha – ‘‘apica kho āraññakena pariharaṇaṃ ñātabbaṃ. Seyyathidaṃ – sāyaṃ pātaṃ karaṇavasena dve mettā dve parittā dve asubhā dve maraṇassatī aṭṭhamahāsaṃvegavatthusamāvajjanañca, aṭṭha mahāsaṃvegavatthūni nāma jātijarābyādhimaraṇaṃ cattāri apāyadukkhānīti, atha vā jātijarābyādhimaraṇāni cattāri, apāyadukkhaṃ pañcamaṃ, atīte vaṭṭamūlakaṃ dukkhaṃ, anāgate vaṭṭamūlakaṃ dukkhaṃ, paccuppanne āhārapariyeṭṭhimūlakaṃ dukkha’’nti. Evaṃ bhagavā pariharaṇaṃ ācikkhitvā tesaṃ bhikkhūnaṃ mettatthañca parittatthañca vipassanāpādakajjhānatthañca idaṃ suttamabhāsīti. Evaṃ vitthāratopi ‘‘yena vuttaṃ yadā yattha, yasmā ce’’ti etesaṃ padānaṃ dīpanā nidānasodhanā veditabbā.

    เอตฺตาวตา จ ยา สา ‘‘เยน วุตฺตํ ยทา ยตฺถ, ยสฺมา เจเตส ทีปนาฯ นิทานํ โสธยิตฺวา’’ติ มาติกา ฐปิตา, สา สพฺพากาเรน วิตฺถาริตา โหติฯ

    Ettāvatā ca yā sā ‘‘yena vuttaṃ yadā yattha, yasmā cetesa dīpanā. Nidānaṃ sodhayitvā’’ti mātikā ṭhapitā, sā sabbākārena vitthāritā hoti.

    ปฐมคาถาวณฺณนา

    Paṭhamagāthāvaṇṇanā

    . อิทานิ ‘‘อสฺส กริสฺสามตฺถวณฺณน’’นฺติ วุตฺตตฺตา เอวํ กตนิทานโสธนสฺส อสฺส สุตฺตสฺส อตฺถวณฺณนา อารพฺภเตฯ ตตฺถ กรณียมตฺถกุสเลนาติ อิมิสฺสา ปฐมคาถาย ตาว อยํ ปทวณฺณนา – กรณียนฺติ กาตพฺพํ, กรณารหนฺติ อโตฺถฯ อโตฺถติ ปฎิปทา, ยํ วา กิญฺจิ อตฺตโน หิตํ, ตํ สพฺพํ อรณียโต อโตฺถติ วุจฺจติ, อรณียโต นาม อุปคนฺตพฺพโตฯ อเตฺถ กุสเลน อตฺถกุสเลน อตฺถเฉเกนาติ วุตฺตํ โหติฯ นฺติ อนิยมิตปจฺจตฺตํฯ นฺติ นิยมิตอุปโยคํ, อุภยมฺปิ วา ยํ ตนฺติ ปจฺจตฺตวจนํฯ สนฺตํ ปทนฺติ อุปโยควจนํ, ตตฺถ ลกฺขณโต สนฺตํ, ปตฺตพฺพโต ปทํ, นิพฺพานเสฺสตํ อธิวจนํฯ อภิสเมจฺจาติ อภิสมาคนฺตฺวาฯ สโกฺกตีติ สโกฺก, สมโตฺถ ปฎิพโลติ วุตฺตํ โหติฯ อุชูติ อชฺชวยุโตฺตฯ สุฎฺฐุ อุชูติ สุหุชุฯ สุขํ วโจ ตสฺมินฺติ สุวโจอสฺสาติ ภเวยฺยฯ มุทูติ มทฺทวยุโตฺตฯ น อติมานีติ อนติมานิ

    1. Idāni ‘‘assa karissāmatthavaṇṇana’’nti vuttattā evaṃ katanidānasodhanassa assa suttassa atthavaṇṇanā ārabbhate. Tattha karaṇīyamatthakusalenāti imissā paṭhamagāthāya tāva ayaṃ padavaṇṇanā – karaṇīyanti kātabbaṃ, karaṇārahanti attho. Atthoti paṭipadā, yaṃ vā kiñci attano hitaṃ, taṃ sabbaṃ araṇīyato atthoti vuccati, araṇīyato nāma upagantabbato. Atthe kusalena atthakusalena atthachekenāti vuttaṃ hoti. Yanti aniyamitapaccattaṃ. Nti niyamitaupayogaṃ, ubhayampi vā yaṃ tanti paccattavacanaṃ. Santaṃ padanti upayogavacanaṃ, tattha lakkhaṇato santaṃ, pattabbato padaṃ, nibbānassetaṃ adhivacanaṃ. Abhisameccāti abhisamāgantvā. Sakkotīti sakko, samattho paṭibaloti vuttaṃ hoti. Ujūti ajjavayutto. Suṭṭhu ujūti suhuju. Sukhaṃ vaco tasminti suvaco. Assāti bhaveyya. Mudūti maddavayutto. Na atimānīti anatimāni.

    อยํ ปเนตฺถ อตฺถวณฺณนา – กรณียมตฺถกุสเลน, ยนฺตํ สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจาติ เอตฺถ ตาว อตฺถิ กรณียํ, อตฺถิ อกรณียํฯ ตตฺถ สเงฺขปโต สิกฺขตฺตยํ กรณียํฯ สีลวิปตฺติ, ทิฎฺฐิวิปตฺติ, อาจารวิปตฺติ, อาชีววิปตฺตีติ เอวมาทิ อกรณียํฯ ตถา อตฺถิ อตฺถกุสโล, อตฺถิ อนตฺถกุสโลฯ ตตฺถ โย อิมสฺมิํ สาสเน ปพฺพชิตฺวา น อตฺตานํ สมฺมา ปโยเชติ, ขณฺฑสีโล โหติ, เอกวีสติวิธํ อเนสนํ นิสฺสาย ชีวิกํ กเปฺปติฯ เสยฺยถิทํ – เวฬุทานํ ปตฺตทานํ ปุปฺผทานํ ผลทานํ ทนฺตกฎฺฐทานํ มุโขทกทานํ สินานทานํ จุณฺณทานํ มตฺติกาทานํ จาฎุกมฺยตํ มุคฺคสูปฺยตํ ปาริภฎยตํ ชงฺฆเปสนิกํ เวชฺชกมฺมํ ทูตกมฺมํ ปหิณคมนํ ปิณฺฑปฎิปิณฺฑํ ทานานุปฺปทานํ วตฺถุวิชฺชํ นกฺขตฺตวิชฺชํ องฺควิชฺชนฺติฯ ฉพฺพิเธ จ อโคจเร จรติฯ เสยฺยถิทํ – เวสิยาโคจเร วิธวถุลฺลกุมาริกปณฺฑกภิกฺขุนีปานาคารโคจเรติฯ สํสโฎฺฐ จ วิหรติ ราชูหิ ราชมหามเตฺตหิ ติตฺถิเยหิ ติตฺถิยสาวเกหิ อนนุโลมิเกน คิหิสํสเคฺคน, ยานิ วา ปน ตานิ กุลานิ อสฺสทฺธานิ อปฺปสนฺนานิ อโนปานภูตานิ อโกฺกสกปริภาสกานิ อนตฺถกามานิ อหิตอผาสุกโยคเกฺขมกามานิ ภิกฺขูนํ…เป.… อุปาสิกานํ, ตถารูปานิ กุลานิ เสวติ ภชติ ปยิรุปาสติฯ อยํ อนตฺถกุสโล

    Ayaṃ panettha atthavaṇṇanā – karaṇīyamatthakusalena, yantaṃ santaṃ padaṃ abhisameccāti ettha tāva atthi karaṇīyaṃ, atthi akaraṇīyaṃ. Tattha saṅkhepato sikkhattayaṃ karaṇīyaṃ. Sīlavipatti, diṭṭhivipatti, ācāravipatti, ājīvavipattīti evamādi akaraṇīyaṃ. Tathā atthi atthakusalo, atthi anatthakusalo. Tattha yo imasmiṃ sāsane pabbajitvā na attānaṃ sammā payojeti, khaṇḍasīlo hoti, ekavīsatividhaṃ anesanaṃ nissāya jīvikaṃ kappeti. Seyyathidaṃ – veḷudānaṃ pattadānaṃ pupphadānaṃ phaladānaṃ dantakaṭṭhadānaṃ mukhodakadānaṃ sinānadānaṃ cuṇṇadānaṃ mattikādānaṃ cāṭukamyataṃ muggasūpyataṃ pāribhaṭayataṃ jaṅghapesanikaṃ vejjakammaṃ dūtakammaṃ pahiṇagamanaṃ piṇḍapaṭipiṇḍaṃ dānānuppadānaṃ vatthuvijjaṃ nakkhattavijjaṃ aṅgavijjanti. Chabbidhe ca agocare carati. Seyyathidaṃ – vesiyāgocare vidhavathullakumārikapaṇḍakabhikkhunīpānāgāragocareti. Saṃsaṭṭho ca viharati rājūhi rājamahāmattehi titthiyehi titthiyasāvakehi ananulomikena gihisaṃsaggena, yāni vā pana tāni kulāni assaddhāni appasannāni anopānabhūtāni akkosakaparibhāsakāni anatthakāmāni ahitaaphāsukayogakkhemakāmāni bhikkhūnaṃ…pe… upāsikānaṃ, tathārūpāni kulāni sevati bhajati payirupāsati. Ayaṃ anatthakusalo.

    โย ปน อิมสฺมิํ สาสเน ปพฺพชิตฺวา อตฺตานํ สมฺมา ปโยเชติ, อเนสนํ ปหาย จตุปาริสุทฺธิสีเล ปติฎฺฐาตุกาโม สทฺธาสีเสน ปาติโมกฺขสํวรํ สติสีเสน อินฺทฺริยสํวรํ วีริยสีเสน อาชีวปาริสุทฺธิํ, ปญฺญาสีเสน ปจฺจยปฎิเสวนํ ปูเรติฯ อยํ อตฺถกุสโล

    Yo pana imasmiṃ sāsane pabbajitvā attānaṃ sammā payojeti, anesanaṃ pahāya catupārisuddhisīle patiṭṭhātukāmo saddhāsīsena pātimokkhasaṃvaraṃ satisīsena indriyasaṃvaraṃ vīriyasīsena ājīvapārisuddhiṃ, paññāsīsena paccayapaṭisevanaṃ pūreti. Ayaṃ atthakusalo.

    โย วา สตฺตาปตฺติกฺขนฺธโสธนวเสน ปาติโมกฺขสํวรํ, ฉทฺวาเร ฆฎฺฎิตารมฺมเณสุ อภิชฺฌาทีนํ อนุปฺปตฺติวเสน อินฺทฺริสํวรํ, อเนสนปริวชฺชนวเสน วิญฺญุปฺปสตฺถพุทฺธพุทฺธสาวกวณฺณิตปจฺจยปฎิเสวเนน จ อาชีวปาริสุทฺธิํ, ยถาวุตฺตปจฺจเวกฺขณวเสน ปจฺจยปฎิเสวนํ, จตุอิริยาปถปริวตฺตเน สาตฺถกตาทิปจฺจเวกฺขณวเสน สมฺปชญฺญญฺจ โสเธติฯ อยมฺปิ อตฺถกุสโล

    Yo vā sattāpattikkhandhasodhanavasena pātimokkhasaṃvaraṃ, chadvāre ghaṭṭitārammaṇesu abhijjhādīnaṃ anuppattivasena indrisaṃvaraṃ, anesanaparivajjanavasena viññuppasatthabuddhabuddhasāvakavaṇṇitapaccayapaṭisevanena ca ājīvapārisuddhiṃ, yathāvuttapaccavekkhaṇavasena paccayapaṭisevanaṃ, catuiriyāpathaparivattane sātthakatādipaccavekkhaṇavasena sampajaññañca sodheti. Ayampi atthakusalo.

    โย วา ยถา อูโสทกํ ปฎิจฺจ สํกิลิฎฺฐํ วตฺถํ ปริโยทาปยติ, ฉาริกํ ปฎิจฺจ อาทาโส, อุกฺกามุขํ ปฎิจฺจ ชาตรูปํ, ตถา ญาณํ ปฎิจฺจ สีลํ โวทายตีติ ญตฺวา ญาโณทเกน โธวโนฺต สีลํ ปริโยทาเปติฯ ยถา จ กิกี สกุณิกา อณฺฑํ, จมรี มิโค วาลธิํ, เอกปุตฺติกา นารี ปิยํ เอกปุตฺตกํ, เอกนยโน ปุริโส ตํ เอกนยนญฺจ รกฺขติ, ตถา อติวิย อปฺปมโตฺต อตฺตโน สีลกฺขนฺธํ รกฺขติ, สายํ ปาตํ ปจฺจเวกฺขมาโน อณุมตฺตมฺปิ วชฺชํ น ปสฺสติฯ อยมฺปิ อตฺถกุสโล

    Yo vā yathā ūsodakaṃ paṭicca saṃkiliṭṭhaṃ vatthaṃ pariyodāpayati, chārikaṃ paṭicca ādāso, ukkāmukhaṃ paṭicca jātarūpaṃ, tathā ñāṇaṃ paṭicca sīlaṃ vodāyatīti ñatvā ñāṇodakena dhovanto sīlaṃ pariyodāpeti. Yathā ca kikī sakuṇikā aṇḍaṃ, camarī migo vāladhiṃ, ekaputtikā nārī piyaṃ ekaputtakaṃ, ekanayano puriso taṃ ekanayanañca rakkhati, tathā ativiya appamatto attano sīlakkhandhaṃ rakkhati, sāyaṃ pātaṃ paccavekkhamāno aṇumattampi vajjaṃ na passati. Ayampi atthakusalo.

    โย วา ปน อวิปฺปฎิสารกเร สีเล ปติฎฺฐาย กิเลสวิกฺขมฺภนปฎิปทํ ปคฺคณฺหาติ, ตํ ปคฺคณฺหิตฺวา กสิณปริกมฺมํ กโรติ, กสิณปริกมฺมํ กตฺวา สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตติฯ อยมฺปิ อตฺถกุสโล

    Yo vā pana avippaṭisārakare sīle patiṭṭhāya kilesavikkhambhanapaṭipadaṃ paggaṇhāti, taṃ paggaṇhitvā kasiṇaparikammaṃ karoti, kasiṇaparikammaṃ katvā samāpattiyo nibbatteti. Ayampi atthakusalo.

    โย วา ปน สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย สงฺขาเร สมฺมสิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ, อยํ อตฺถกุสลานํ อโคฺคฯ ตตฺถ เย อิเม ยาว อวิปฺปฎิสารกเร สีเล ปติฎฺฐาเนน ยาว วา กิเลสวิกฺขมฺภนปฎิปทายปคฺคหเณน วณฺณิตา อตฺถกุสลา, เต อิมสฺมิํ อเตฺถ อตฺถกุสลาติ อธิเปฺปตาฯ ตถา วิธา จ เต ภิกฺขูฯ เตน ภควา เต ภิกฺขู สนฺธาย เอกปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เทสนาย ‘‘กรณียมตฺถกุสเลนา’’ติ อาหฯ

    Yo vā pana samāpattito vuṭṭhāya saṅkhāre sammasitvā arahattaṃ pāpuṇāti, ayaṃ atthakusalānaṃ aggo. Tattha ye ime yāva avippaṭisārakare sīle patiṭṭhānena yāva vā kilesavikkhambhanapaṭipadāyapaggahaṇena vaṇṇitā atthakusalā, te imasmiṃ atthe atthakusalāti adhippetā. Tathā vidhā ca te bhikkhū. Tena bhagavā te bhikkhū sandhāya ekapuggalādhiṭṭhānāya desanāya ‘‘karaṇīyamatthakusalenā’’ti āha.

    ตโต ‘‘กิํ กรณีย’’นฺติ เตสํ สญฺชาตกงฺขานํ อาห ‘‘ยนฺตํ สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจา’’ติฯ อยเมตฺถ อธิปฺปาโย – ตํ พุทฺธานุพุเทฺธหิ วณฺณิตํ สนฺตํ นิพฺพานปทํ ปฎิเวธวเสน อภิสเมจฺจ วิหริตุกาเมน ยํ กรณียนฺติฯ เอตฺถ จ นฺติ อิมสฺส คาถาปทสฺส อาทิโต วุตฺตเมว กรณียนฺติ อธิการโต อนุวตฺตติ, ตํ สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจาติฯ อยํ ปน ยสฺมา สาวเสสปาโฐ อโตฺถ, ตสฺมา วิหริตุกาเมนาติ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Tato ‘‘kiṃ karaṇīya’’nti tesaṃ sañjātakaṅkhānaṃ āha ‘‘yantaṃ santaṃ padaṃ abhisameccā’’ti. Ayamettha adhippāyo – taṃ buddhānubuddhehi vaṇṇitaṃ santaṃ nibbānapadaṃ paṭivedhavasena abhisamecca viharitukāmena yaṃ karaṇīyanti. Ettha ca yanti imassa gāthāpadassa ādito vuttameva karaṇīyanti adhikārato anuvattati, taṃ santaṃ padaṃ abhisameccāti. Ayaṃ pana yasmā sāvasesapāṭho attho, tasmā viharitukāmenāti vuttanti veditabbaṃ.

    อถ วา สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจาติ อนุสฺสวาทิวเสน โลกิยปญฺญาย นิพฺพานปทํ ‘‘สนฺต’’นฺติ ญตฺวา ตํ อธิคนฺตุกาเมน ยนฺตํ กรณียนฺติ อธิการโต อนุวตฺตติ, ตํ กรณียมตฺถกุสเลนาติ เอวเมฺปตฺถ อธิปฺปาโย เวทิตโพฺพฯ อถ วา ‘‘กรณียมตฺถกุสเลนา’’ติ วุเตฺต ‘‘กิ’’นฺติ จิเนฺตนฺตานํ อาห ‘‘ยนฺตํ สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจา’’ติฯ ตเสฺสวํ อธิปฺปาโย เวทิตโพฺพ – โลกิยปญฺญาย สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจ ยํ กรณียํ กาตพฺพํ, ตํ กรณียํ, กรณารหเมว ตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    Atha vā santaṃ padaṃ abhisameccāti anussavādivasena lokiyapaññāya nibbānapadaṃ ‘‘santa’’nti ñatvā taṃ adhigantukāmena yantaṃ karaṇīyanti adhikārato anuvattati, taṃ karaṇīyamatthakusalenāti evampettha adhippāyo veditabbo. Atha vā ‘‘karaṇīyamatthakusalenā’’ti vutte ‘‘ki’’nti cintentānaṃ āha ‘‘yantaṃ santaṃ padaṃ abhisameccā’’ti. Tassevaṃ adhippāyo veditabbo – lokiyapaññāya santaṃ padaṃ abhisamecca yaṃ karaṇīyaṃ kātabbaṃ, taṃ karaṇīyaṃ, karaṇārahameva tanti vuttaṃ hoti.

    กิํ ปน ตนฺติ ? กิมญฺญํ สิยา อญฺญตฺร ตทธิคมุปายโต, กามเญฺจตํ กรณารหเฎฺฐน สิกฺขตฺตยทีปเกน อาทิปเทเนว วุตฺตํฯ ตถา หิ ตสฺส อตฺถวณฺณนายํ อโวจุมฺหา ‘‘อตฺถิ กรณียํ, อตฺถิ อกรณียํฯ ตตฺถ สเงฺขปโต สิกฺขตฺตยํ กรณีย’’นฺติฯ อติสเงฺขเปน เทสิตตฺตา ปน เตสํ ภิกฺขูนํ เกหิจิ วิญฺญาตํ, เกหิจิ น วิญฺญาตํฯ ตโต เยหิ น วิญฺญาตํ, เตสํ วิญฺญาปนตฺถํ ยํ วิเสสโต อารญฺญเกน ภิกฺขุนา กาตพฺพํ, ตํ วิตฺถาเรโนฺต ‘‘สโกฺก อุชู จ สุหุชู จ, สุวโจ จสฺส มุทุ อนติมานี’’ติ อิมํ ตาว อุปฑฺฒคาถมาหฯ

    Kiṃ pana tanti ? Kimaññaṃ siyā aññatra tadadhigamupāyato, kāmañcetaṃ karaṇārahaṭṭhena sikkhattayadīpakena ādipadeneva vuttaṃ. Tathā hi tassa atthavaṇṇanāyaṃ avocumhā ‘‘atthi karaṇīyaṃ, atthi akaraṇīyaṃ. Tattha saṅkhepato sikkhattayaṃ karaṇīya’’nti. Atisaṅkhepena desitattā pana tesaṃ bhikkhūnaṃ kehici viññātaṃ, kehici na viññātaṃ. Tato yehi na viññātaṃ, tesaṃ viññāpanatthaṃ yaṃ visesato āraññakena bhikkhunā kātabbaṃ, taṃ vitthārento ‘‘sakko ujū ca suhujū ca, suvaco cassa mudu anatimānī’’ti imaṃ tāva upaḍḍhagāthamāha.

    กิํ วุตฺตํ โหติ? สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจ วิหริตุกาโม, โลกิยปญฺญาย วา ตํ อภิสเมจฺจ ตทธิคมาย ปฎิปชฺชมาโน อารญฺญโก ภิกฺขุ ทุติยจตุตฺถปธานิยงฺคสมนฺนาคเมน กาเย จ ชีวิเต จ อนเปโกฺข หุตฺวา สจฺจปฺปฎิเวธาย ปฎิปชฺชิตุํ สโกฺก อสฺส, ตถา กสิณปริกมฺมวตฺตสมาทานาทีสุ อตฺตโน ปตฺตจีวรปฺปฎิสงฺขรณาทีสุ จ ยานิ ตานิ สพฺรหฺมจารีนํ อุจฺจาวจานิ กิํ กรณียานิ, เตสุ อเญฺญสุ จ เอวรูเปสุ สโกฺก อสฺส ทโกฺข อนลโส สมโตฺถฯ สโกฺก โหโนฺตปิ จ ตติยปธานิยงฺคสมนฺนาคเมน อุชุ อสฺสฯ อุชุ โหโนฺตปิ จ สกิํ อุชุภาเวน ทหรกาเล วา อุชุภาเวน สโนฺตสํ อนาปชฺชิตฺวา ยาวชีวํ ปุนปฺปุนํ อสิถิลกรเณน สุฎฺฐุตรํ อุชุ อสฺสฯ อสฐตาย วา อุชุ, อมายาวิตาย สุหุชุฯ กายวจีวงฺกปฺปหาเนน วา อุชุ, มโนวงฺกปฺปหาเนน สุหุชุฯ อสนฺตคุณสฺส วา อนาวิกรเณน อุชุ, อสนฺตคุเณน อุปฺปนฺนสฺส ลาภสฺส อนธิวาสเนน สุหุชุฯ เอวํ อารมฺมณลกฺขณูปนิชฺฌาเนหิ ปุริมทฺวยตติยสิกฺขาหิ ปโยคาสยสุทฺธีหิ จ อุชุ จ สุหุชุ จ อสฺสฯ

    Kiṃ vuttaṃ hoti? Santaṃ padaṃ abhisamecca viharitukāmo, lokiyapaññāya vā taṃ abhisamecca tadadhigamāya paṭipajjamāno āraññako bhikkhu dutiyacatutthapadhāniyaṅgasamannāgamena kāye ca jīvite ca anapekkho hutvā saccappaṭivedhāya paṭipajjituṃ sakko assa, tathā kasiṇaparikammavattasamādānādīsu attano pattacīvarappaṭisaṅkharaṇādīsu ca yāni tāni sabrahmacārīnaṃ uccāvacāni kiṃ karaṇīyāni, tesu aññesu ca evarūpesu sakko assa dakkho analaso samattho. Sakko hontopi ca tatiyapadhāniyaṅgasamannāgamena uju assa. Uju hontopi ca sakiṃ ujubhāvena daharakāle vā ujubhāvena santosaṃ anāpajjitvā yāvajīvaṃ punappunaṃ asithilakaraṇena suṭṭhutaraṃ uju assa. Asaṭhatāya vā uju, amāyāvitāya suhuju. Kāyavacīvaṅkappahānena vā uju, manovaṅkappahānena suhuju. Asantaguṇassa vā anāvikaraṇena uju, asantaguṇena uppannassa lābhassa anadhivāsanena suhuju. Evaṃ ārammaṇalakkhaṇūpanijjhānehi purimadvayatatiyasikkhāhi payogāsayasuddhīhi ca uju ca suhuju ca assa.

    น เกวลญฺจ อุชุ จ สุหุชุ จ, อปิจ ปน สุวโจ จ อสฺสฯ โย หิ ปุคฺคโล ‘‘อิทํ น กตฺตพฺพ’’นฺติ วุโตฺต ‘‘กิํ เต ทิฎฺฐํ, กิํ เต สุตํ, โก เม สุตฺวา วทสิ, กิํ อุปชฺฌาโย อาจริโย สนฺทิโฎฺฐ สมฺภโตฺต วา’’ติ วเทติ, ตุณฺหีภาเวน วา ตํ วิเหเสติ, สมฺปฎิจฺฉิตฺวา วา น ตถา กโรติ, โส วิเสสาธิคมสฺส ทูเร โหติฯ โย ปน โอวทิยมาโน ‘‘สาธุ, ภเนฺต สุฎฺฐุ วุตฺตํ, อตฺตโน วชฺชํ นาม ทุทฺทสํ โหติ, ปุนปิ มํ เอวรูปํ ทิสฺวา วเทยฺยาถ อนุกมฺปํ อุปาทาย, จิรสฺสํ เม ตุมฺหากํ สนฺติกา โอวาโท ลโทฺธ’’ติ วทติ, ยถานุสิฎฺฐญฺจ ปฎิปชฺชติ, โส วิเสสาธิคมสฺส อวิทูเร โหติฯ ตสฺมา เอวํ ปรสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา กโรโนฺต สุวโจ จ อสฺสฯ

    Na kevalañca uju ca suhuju ca, apica pana suvaco ca assa. Yo hi puggalo ‘‘idaṃ na kattabba’’nti vutto ‘‘kiṃ te diṭṭhaṃ, kiṃ te sutaṃ, ko me sutvā vadasi, kiṃ upajjhāyo ācariyo sandiṭṭho sambhatto vā’’ti vadeti, tuṇhībhāvena vā taṃ viheseti, sampaṭicchitvā vā na tathā karoti, so visesādhigamassa dūre hoti. Yo pana ovadiyamāno ‘‘sādhu, bhante suṭṭhu vuttaṃ, attano vajjaṃ nāma duddasaṃ hoti, punapi maṃ evarūpaṃ disvā vadeyyātha anukampaṃ upādāya, cirassaṃ me tumhākaṃ santikā ovādo laddho’’ti vadati, yathānusiṭṭhañca paṭipajjati, so visesādhigamassa avidūre hoti. Tasmā evaṃ parassa vacanaṃ sampaṭicchitvā karonto suvaco ca assa.

    ยถา จ สุวโจ, เอวํ มุทุ อสฺสฯ มุทูติ คหเฎฺฐหิ ทูตคมนปหิณคมนาทีสุ นิยุชฺชมาโน ตตฺถ มุทุภาวํ อกตฺวา ถโทฺธ หุตฺวา วตฺตปฎิปตฺติยํ สกลพฺรหฺมจริเย จ มุทุ อสฺส สุปริกมฺมกตสุวณฺณํ วิย ตตฺถ ตตฺถ วินิโยคกฺขโมฯ อถ วา มุทูติ อภากุฎิโก อุตฺตานมุโข สุขสมฺภาโส ปฎิสนฺถารวุตฺติ สุติตฺถํ วิย สุขาวคาโห อสฺสฯ น เกวลญฺจ มุทุ, อปิจ ปน อนติมานี อสฺส, ชาติโคตฺตาทีหิ อติมานวตฺถูหิ ปเร นาติมเญฺญยฺย, สาริปุตฺตเตฺถโร วิย จณฺฑาลกุมารกสเมน เจตสา วิหเรยฺยาติฯ

    Yathā ca suvaco, evaṃ mudu assa. Mudūti gahaṭṭhehi dūtagamanapahiṇagamanādīsu niyujjamāno tattha mudubhāvaṃ akatvā thaddho hutvā vattapaṭipattiyaṃ sakalabrahmacariye ca mudu assa suparikammakatasuvaṇṇaṃ viya tattha tattha viniyogakkhamo. Atha vā mudūti abhākuṭiko uttānamukho sukhasambhāso paṭisanthāravutti sutitthaṃ viya sukhāvagāho assa. Na kevalañca mudu, apica pana anatimānī assa, jātigottādīhi atimānavatthūhi pare nātimaññeyya, sāriputtatthero viya caṇḍālakumārakasamena cetasā vihareyyāti.

    ทุติยคาถาวณฺณนา

    Dutiyagāthāvaṇṇanā

    . เอวํ ภควา สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจ วิหริตุกามสฺส ตทธิคมาย วา ปฎิปชฺชมานสฺส วิเสสโต อารญฺญกสฺส ภิกฺขุโน เอกจฺจํ กรณียํ วตฺวา ปุน ตตุตฺตริปิ วตฺตุกาโม ‘‘สนฺตุสฺสโก จา’’ติ ทุติยคาถมาหฯ

    2. Evaṃ bhagavā santaṃ padaṃ abhisamecca viharitukāmassa tadadhigamāya vā paṭipajjamānassa visesato āraññakassa bhikkhuno ekaccaṃ karaṇīyaṃ vatvā puna tatuttaripi vattukāmo ‘‘santussako cā’’ti dutiyagāthamāha.

    ตตฺถ ‘‘สนฺตุฎฺฐี จ กตญฺญุตา’’ติ เอตฺถ วุตฺตปฺปเภเทน ทฺวาทสวิเธน สโนฺตเสน สนฺตุสฺสตีติ สนฺตุสฺสโกฯ อถ วา ตุสฺสตีติ ตุสฺสโก, สเกน ตุสฺสโก, สเนฺตน ตุสฺสโก, สเมน ตุสฺสโกติ สนฺตุสฺสโกฯ ตตฺถ สกํ นาม ‘‘ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ นิสฺสายา’’ติ เอวํ อุปสมฺปทมณฺฑเล อุทฺทิฎฺฐํ อตฺตนา จ สมฺปฎิจฺฉิตํ จตุปจฺจยชาตํ, เตน สุนฺทเรน วา อสุนฺทเรน วา สกฺกจฺจํ วา อสกฺกจฺจํ วา ทิเนฺนน ปฎิคฺคหณกาเล ปริโภคกาเล จ วิการํ อทเสฺสตฺวา ยาเปโนฺต ‘‘สเกน ตุสฺสโก’’ติ วุจฺจติฯ สนฺตํ นาม ยํ ลทฺธํ โหติ อตฺตโน ‘วิชฺชมานํ , เตน สเนฺตเนว ตุสฺสโนฺต ตโต ปรํ น ปเตฺถโนฺต อตฺริจฺฉตํ ปชหโนฺต ‘‘สเนฺตน ตุสฺสโก’’ติ วุจฺจติฯ สมํ นาม อิฎฺฐานิเฎฺฐสุ อนุนยปฎิฆปฺปหานํ, เตน สเมน สพฺพารมฺมเณสุ ตุสฺสโนฺต ‘‘สเมน ตุสฺสโก’’ติ วุจฺจติฯ

    Tattha ‘‘santuṭṭhī ca kataññutā’’ti ettha vuttappabhedena dvādasavidhena santosena santussatīti santussako. Atha vā tussatīti tussako, sakena tussako, santena tussako, samena tussakoti santussako. Tattha sakaṃ nāma ‘‘piṇḍiyālopabhojanaṃ nissāyā’’ti evaṃ upasampadamaṇḍale uddiṭṭhaṃ attanā ca sampaṭicchitaṃ catupaccayajātaṃ, tena sundarena vā asundarena vā sakkaccaṃ vā asakkaccaṃ vā dinnena paṭiggahaṇakāle paribhogakāle ca vikāraṃ adassetvā yāpento ‘‘sakena tussako’’ti vuccati. Santaṃ nāma yaṃ laddhaṃ hoti attano ‘vijjamānaṃ , tena santeneva tussanto tato paraṃ na patthento atricchataṃ pajahanto ‘‘santena tussako’’ti vuccati. Samaṃ nāma iṭṭhāniṭṭhesu anunayapaṭighappahānaṃ, tena samena sabbārammaṇesu tussanto ‘‘samena tussako’’ti vuccati.

    สุเขน ภรียตีติ สุภโร, สุโปโสติ วุตฺตํ โหติฯ โย หิ ภิกฺขุ มนุเสฺสหิ สาลิมํโสทนาทีนํ ปเตฺต ปูเรตฺวา ทิเนฺนปิ ทุมฺมุขภาวํ อนตฺตมนภาวเมว จ ทเสฺสติ, เตสํ วา สมฺมุขาว ตํ ปิณฺฑปาตํ ‘‘กิํ ตุเมฺหหิ ทินฺน’’นฺติ อปสาเทโนฺต สามเณรคหฎฺฐาทีนํ เทติ, เอส ทุพฺภโรฯ เอตํ ทิสฺวา มนุสฺสา ทูรโตว ปริวเชฺชนฺติ ‘‘ทุพฺภโร ภิกฺขุ น สกฺกา โปเสตุ’’นฺติ ฯ โย ปน ยํ กิญฺจิ ลูขํ วา ปณีตํ วา อปฺปํ วา พหุํ วา ลภิตฺวา อตฺตมโน วิปฺปสนฺนมุโข หุตฺวา ยาเปติ, เอส สุภโรฯ เอตํ ทิสฺวา มนุสฺสา อติวิย วิสฺสตฺถา โหนฺติ, ‘‘อมฺหากํ ภทโนฺต สุภโร, โถกโถเกนาปิ ตุสฺสติ, มยเมว นํ โปเสสฺสามา’’ติ ปฎิญฺญํ กตฺวา โปเสนฺติฯ เอวรูโป อิธ สุภโรติ อธิเปฺปโตฯ

    Sukhena bharīyatīti subharo, suposoti vuttaṃ hoti. Yo hi bhikkhu manussehi sālimaṃsodanādīnaṃ patte pūretvā dinnepi dummukhabhāvaṃ anattamanabhāvameva ca dasseti, tesaṃ vā sammukhāva taṃ piṇḍapātaṃ ‘‘kiṃ tumhehi dinna’’nti apasādento sāmaṇeragahaṭṭhādīnaṃ deti, esa dubbharo. Etaṃ disvā manussā dūratova parivajjenti ‘‘dubbharo bhikkhu na sakkā posetu’’nti . Yo pana yaṃ kiñci lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā appaṃ vā bahuṃ vā labhitvā attamano vippasannamukho hutvā yāpeti, esa subharo. Etaṃ disvā manussā ativiya vissatthā honti, ‘‘amhākaṃ bhadanto subharo, thokathokenāpi tussati, mayameva naṃ posessāmā’’ti paṭiññaṃ katvā posenti. Evarūpo idha subharoti adhippeto.

    อปฺปํ กิจฺจมสฺสาติ อปฺปกิโจฺจ, น กมฺมารามตาภสฺสารามตาสงฺคณิการามตาทิอเนกกิจฺจพฺยาวโฎ, อถ วา สกลวิหาเร นวกมฺมสงฺฆปริโภคสามเณรอารามิกโวสาสนาทิกิจฺจวิรหิโต, อตฺตโน เกสนขเจฺฉทนปตฺตจีวรกมฺมาทิํ กตฺวา สมณธมฺมกิจฺจปโร โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    Appaṃ kiccamassāti appakicco, na kammārāmatābhassārāmatāsaṅgaṇikārāmatādianekakiccabyāvaṭo, atha vā sakalavihāre navakammasaṅghaparibhogasāmaṇeraārāmikavosāsanādikiccavirahito, attano kesanakhacchedanapattacīvarakammādiṃ katvā samaṇadhammakiccaparo hotīti vuttaṃ hoti.

    สลฺลหุกา วุตฺติ อสฺสาติ สลฺลหุกวุตฺติฯ ยถา เอกโจฺจ พหุภโณฺฑ ภิกฺขุ ทิสาปกฺกมนกาเล พหุํ ปตฺตจีวรปจฺจตฺถรณเตลคุฬาทิํ มหาชเนน สีสภารกฎิภาราทีหิ อุพฺพหาเปตฺวา ปกฺกมติ, เอวํ อหุตฺวา โย อปฺปปริกฺขาโร โหติ, ปตฺตจีวราทิอฎฺฐสมณปริกฺขารมตฺตเมว ปริหรติ, ทิสาปกฺกมนกาเล ปกฺขี สกุโณ วิย สมาทาเยว ปกฺกมติ , เอวรูโป อิธ สลฺลหุกวุตฺตีติ อธิเปฺปโตฯ สนฺตานิ อินฺทฺริยานิ อสฺสาติ สนฺตินฺทฺริโย, อิฎฺฐารมฺมณาทีสุ ราคาทิวเสน อนุทฺธตินฺทฺริโยติ วุตฺตํ โหติฯ นิปโกติ วิญฺญู วิภาวี ปญฺญวา, สีลานุรกฺขณปญฺญาย จีวราทิวิจารณปญฺญาย อาวาสาทิสตฺตสปฺปายปริชานนปญฺญาย จ สมนฺนาคโตติ อธิปฺปาโยฯ

    Sallahukā vutti assāti sallahukavutti. Yathā ekacco bahubhaṇḍo bhikkhu disāpakkamanakāle bahuṃ pattacīvarapaccattharaṇatelaguḷādiṃ mahājanena sīsabhārakaṭibhārādīhi ubbahāpetvā pakkamati, evaṃ ahutvā yo appaparikkhāro hoti, pattacīvarādiaṭṭhasamaṇaparikkhāramattameva pariharati, disāpakkamanakāle pakkhī sakuṇo viya samādāyeva pakkamati , evarūpo idha sallahukavuttīti adhippeto. Santāni indriyāni assāti santindriyo, iṭṭhārammaṇādīsu rāgādivasena anuddhatindriyoti vuttaṃ hoti. Nipakoti viññū vibhāvī paññavā, sīlānurakkhaṇapaññāya cīvarādivicāraṇapaññāya āvāsādisattasappāyaparijānanapaññāya ca samannāgatoti adhippāyo.

    น ปคโพฺภติ อปฺปคโพฺภ, อฎฺฐฎฺฐาเนน กายปาคพฺภิเยน จตุฎฺฐาเนน วจีปาคพฺภิเยน อเนเกน ฐาเนน มโนปาคพฺภิเยน จ วิรหิโตติ อโตฺถฯ

    Na pagabbhoti appagabbho, aṭṭhaṭṭhānena kāyapāgabbhiyena catuṭṭhānena vacīpāgabbhiyena anekena ṭhānena manopāgabbhiyena ca virahitoti attho.

    อฎฺฐฎฺฐานํ กายปาคพฺภิยํ (มหานิ. ๘๗) นาม สงฺฆคณปุคฺคลโภชนสาลาชนฺตาฆรนฺหานติตฺถภิกฺขาจารมคฺคอนฺตรฆรปฺปเวสเนสุ กาเยน อปฺปติรูปกรณํฯ เสยฺยถิทํ – อิเธกโจฺจ สงฺฆมเชฺฌ ปลฺลตฺถิกาย วา นิสีทติ ปาเท ปาทโมทหิตฺวา วาติ เอวมาทิฯ ตถา คณมเชฺฌ จตุปริสสนฺนิปาเต, ตถา วุฑฺฒตเร ปุคฺคเลฯ โภชนสาลายํ ปน วุฑฺฒานํ อาสนํ น เทติ, นวานํ อาสนํ ปฎิพาหติฯ ตถา ชนฺตาฆเร, วุเฑฺฒ เจตฺถ อนาปุจฺฉา อคฺคิชาลนาทีนิ กโรติฯ นฺหานติเตฺถ จ ยทิทํ ‘‘ทหโร วุโฑฺฒติ ปมาณํ อกตฺวา อาคตปฎิปาฎิยา นฺหายิตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํ, ตมฺปิ อนาทิยโนฺต ปจฺฉา อาคนฺตฺวา อุทกํ โอตริตฺวา วุเฑฺฒ จ นเว จ พาเธติฯ ภิกฺขาจารมเคฺค ปน อคฺคาสนอโคฺคทกอคฺคปิณฺฑตฺถํ วุฑฺฒานํ ปุรโต ปุรโต ยาติ, พาหาย พาหํ ปหรโนฺตฯ อนฺตรฆรปฺปเวสเน วุฑฺฒานํ ปฐมตรํ ปวิสติ, ทหเรหิ กายกีฬนํ กโรตีติ เอวมาทิฯ

    Aṭṭhaṭṭhānaṃ kāyapāgabbhiyaṃ (mahāni. 87) nāma saṅghagaṇapuggalabhojanasālājantāgharanhānatitthabhikkhācāramaggaantaragharappavesanesu kāyena appatirūpakaraṇaṃ. Seyyathidaṃ – idhekacco saṅghamajjhe pallatthikāya vā nisīdati pāde pādamodahitvā vāti evamādi. Tathā gaṇamajjhe catuparisasannipāte, tathā vuḍḍhatare puggale. Bhojanasālāyaṃ pana vuḍḍhānaṃ āsanaṃ na deti, navānaṃ āsanaṃ paṭibāhati. Tathā jantāghare, vuḍḍhe cettha anāpucchā aggijālanādīni karoti. Nhānatitthe ca yadidaṃ ‘‘daharo vuḍḍhoti pamāṇaṃ akatvā āgatapaṭipāṭiyā nhāyitabba’’nti vuttaṃ, tampi anādiyanto pacchā āgantvā udakaṃ otaritvā vuḍḍhe ca nave ca bādheti. Bhikkhācāramagge pana aggāsanaaggodakaaggapiṇḍatthaṃ vuḍḍhānaṃ purato purato yāti, bāhāya bāhaṃ paharanto. Antaragharappavesane vuḍḍhānaṃ paṭhamataraṃ pavisati, daharehi kāyakīḷanaṃ karotīti evamādi.

    จตุฎฺฐานํ วจีปาคพฺภิยํ (มหานิ. ๘๗) นาม สงฺฆคณปุคฺคลอนฺตรฆเรสุ อปฺปติรูปวาจานิจฺฉารณํฯ เสยฺยถิทํ – อิเธกโจฺจ สงฺฆมเชฺฌ อนาปุจฺฉา ธมฺมํ ภาสติ, ตถา ปุเพฺพ วุตฺตปฺปกาเร คเณ วุฑฺฒตเร ปุคฺคเล จ, ตตฺถ มนุเสฺสหิ ปญฺหํ ปุโฎฺฐ วุฑฺฒตรํ อนาปุจฺฉา วิสฺสเชฺชติ, อนฺตรฆเร ปน ‘‘อิตฺถนฺนาเม กิํ อตฺถิ, กิํ ยาคุ อุทาหุ ขาทนียํ วา โภชนียํ วา, กิํ เม ทสฺสสิ, กิํ อชฺช ขาทิสฺสามิ, กิํ ภุญฺชิสฺสามิ, กิํ ปิวิสฺสามี’’ติ เอวมาทิํ ภาสติฯ

    Catuṭṭhānaṃ vacīpāgabbhiyaṃ (mahāni. 87) nāma saṅghagaṇapuggalaantaragharesu appatirūpavācānicchāraṇaṃ. Seyyathidaṃ – idhekacco saṅghamajjhe anāpucchā dhammaṃ bhāsati, tathā pubbe vuttappakāre gaṇe vuḍḍhatare puggale ca, tattha manussehi pañhaṃ puṭṭho vuḍḍhataraṃ anāpucchā vissajjeti, antaraghare pana ‘‘itthannāme kiṃ atthi, kiṃ yāgu udāhu khādanīyaṃ vā bhojanīyaṃ vā, kiṃ me dassasi, kiṃ ajja khādissāmi, kiṃ bhuñjissāmi, kiṃ pivissāmī’’ti evamādiṃ bhāsati.

    อเนกฎฺฐานํ มโนปาคพฺภิยํ (มหานิ. ๘๗) นาม เตสุ เตสุ ฐาเนสุ กายวาจาหิ อชฺฌาจารํ อนาปชฺชิตฺวาปิ มนสา เอว กามวิตกฺกาทินานปฺปการํ อปฺปติรูปวิตกฺกนํฯ

    Anekaṭṭhānaṃ manopāgabbhiyaṃ (mahāni. 87) nāma tesu tesu ṭhānesu kāyavācāhi ajjhācāraṃ anāpajjitvāpi manasā eva kāmavitakkādinānappakāraṃ appatirūpavitakkanaṃ.

    กุเลสฺวนนุคิโทฺธติ ยานิ ตานิ กุลานิ อุปสงฺกมติ, เตสุ ปจฺจยตณฺหาย วา อนนุโลมิกคิหิสํสคฺควเสน วา อนนุคิโทฺธ, น สหโสกี, น สหนนฺที, น สุขิเตสุ สุขิโต, น ทุกฺขิเตสุ ทุกฺขิโต, น อุปฺปเนฺนสุ กิจฺจกรณีเยสุ อตฺตนา วา อุโยฺยคมาปชฺชิตาติ วุตฺตํ โหติฯ อิมิสฺสาย จ คาถาย ยํ ‘‘สุวโจ จสฺสา’’ติ เอตฺถ วุตฺตํ อสฺสาติ วจนํ, ตํ สพฺพปเทหิ สทฺธิํ สนฺตุสฺสโก จ อสฺส, สุภโร จ อสฺสาติ เอวํ โยเชตพฺพํฯ

    Kulesvananugiddhoti yāni tāni kulāni upasaṅkamati, tesu paccayataṇhāya vā ananulomikagihisaṃsaggavasena vā ananugiddho, na sahasokī, na sahanandī, na sukhitesu sukhito, na dukkhitesu dukkhito, na uppannesu kiccakaraṇīyesu attanā vā uyyogamāpajjitāti vuttaṃ hoti. Imissāya ca gāthāya yaṃ ‘‘suvaco cassā’’ti ettha vuttaṃ assāti vacanaṃ, taṃ sabbapadehi saddhiṃ santussako ca assa, subharo ca assāti evaṃ yojetabbaṃ.

    ตติยคาถาวณฺณนา

    Tatiyagāthāvaṇṇanā

    . เอวํ ภควา สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจ วิหริตุกามสฺส ตทธิคมาย วา ปฎิปชฺชิตุกามสฺส วิเสสโต อารญฺญกสฺส ภิกฺขุโน ตทุตฺตริปิ กรณียํ อาจิกฺขิตฺวา อิทานิ อกรณียมฺปิ อาจิกฺขิตุกาโม ‘‘น จ ขุทฺทมาจเร กิญฺจิ, เยน วิญฺญู ปเร อุปวเทยฺยุ’’นฺติ อิมํ อุปฑฺฒคาถมาหฯ

    3. Evaṃ bhagavā santaṃ padaṃ abhisamecca viharitukāmassa tadadhigamāya vā paṭipajjitukāmassa visesato āraññakassa bhikkhuno taduttaripi karaṇīyaṃ ācikkhitvā idāni akaraṇīyampi ācikkhitukāmo ‘‘na ca khuddamācare kiñci, yena viññū pare upavadeyyu’’nti imaṃ upaḍḍhagāthamāha.

    ตสฺสโตฺถ – เอวมิมํ กรณียํ กโรโนฺต ยํ ตํ กายวจีมโนทุจฺจริตํ ขุทฺทํ ลามกนฺติ วุจฺจติ, ตํ น จ ขุทฺทํ สมาจเร, อสมาจรโนฺต จ น เกวลํ โอฬาริกํ, กินฺตุ กิญฺจิ น สมาจเร, อปฺปมตฺตกมฺปิ อณุมตฺตกมฺปิ น สมาจเรติ วุตฺตํ โหติฯ

    Tassattho – evamimaṃ karaṇīyaṃ karonto yaṃ taṃ kāyavacīmanoduccaritaṃ khuddaṃ lāmakanti vuccati, taṃ na ca khuddaṃ samācare, asamācaranto ca na kevalaṃ oḷārikaṃ, kintu kiñci na samācare, appamattakampi aṇumattakampi na samācareti vuttaṃ hoti.

    ตโต ตสฺส สมาจาเร สนฺทิฎฺฐิกเมวาทีนวํ ทเสฺสติ ‘‘เยน วิญฺญู ปเร อุปวเทยฺยุ’’นฺติฯ เอตฺถ จ ยสฺมา อวิญฺญู ปเร อปฺปมาณํฯ เต หิ อนวชฺชํ วา สาวชฺชํ กโรนฺติ, อปฺปสาวชฺชํ วา มหาสาวชฺชํฯ วิญฺญู เอว ปน ปมาณํฯ เต หิ อนุวิจฺจ ปริโยคาเหตฺวา อวณฺณารหสฺส อวณฺณํ ภาสนฺติ, วณฺณารหสฺส วณฺณํ ภาสนฺติฯ ตสฺมา ‘‘วิญฺญู ปเร’’ติ วุตฺตํฯ

    Tato tassa samācāre sandiṭṭhikamevādīnavaṃ dasseti ‘‘yena viññū pare upavadeyyu’’nti. Ettha ca yasmā aviññū pare appamāṇaṃ. Te hi anavajjaṃ vā sāvajjaṃ karonti, appasāvajjaṃ vā mahāsāvajjaṃ. Viññū eva pana pamāṇaṃ. Te hi anuvicca pariyogāhetvā avaṇṇārahassa avaṇṇaṃ bhāsanti, vaṇṇārahassa vaṇṇaṃ bhāsanti. Tasmā ‘‘viññū pare’’ti vuttaṃ.

    เอวํ ภควา อิมาหิ อฑฺฒเตยฺยาหิ คาถาหิ สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจ วิหริตุกามสฺส ตทธิคมาย วา ปฎิปชฺชิตุกามสฺส วิเสสโต อารญฺญกสฺส, อารญฺญกสีเสน จ สเพฺพสมฺปิ กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา วิหริตุกามานํ กรณียากรณียเภทํ กมฺมฎฺฐานูปจารํ วตฺวา อิทานิ เตสํ ภิกฺขูนํ ตสฺส เทวตาภยสฺส ปฎิฆาตาย ปริตฺตตฺถํ วิปสฺสนาปาทกชฺฌานวเสน กมฺมฎฺฐานตฺถญฺจ ‘‘สุขิโนว เขมิโน โหนฺตู’’ติอาทินา นเยน เมตฺตกถํ กเถตุมารโทฺธฯ

    Evaṃ bhagavā imāhi aḍḍhateyyāhi gāthāhi santaṃ padaṃ abhisamecca viharitukāmassa tadadhigamāya vā paṭipajjitukāmassa visesato āraññakassa, āraññakasīsena ca sabbesampi kammaṭṭhānaṃ gahetvā viharitukāmānaṃ karaṇīyākaraṇīyabhedaṃ kammaṭṭhānūpacāraṃ vatvā idāni tesaṃ bhikkhūnaṃ tassa devatābhayassa paṭighātāya parittatthaṃ vipassanāpādakajjhānavasena kammaṭṭhānatthañca ‘‘sukhinova khemino hontū’’tiādinā nayena mettakathaṃ kathetumāraddho.

    ตตฺถ สุขิโนติ สุขสมฺปนฺนาฯ เขมิโนติ เขมวโนฺต, อภยา นิรุปทฺทวาติ วุตฺตํ โหติฯ สเพฺพติ อนวเสสาฯ สตฺตาติ ปาณิโนฯ สุขิตตฺตาติ สุขิตจิตฺตาฯ เอตฺถ จ กายิเกน สุเขน สุขิโน, มานเสน สุขิตตฺตา, ตทุภเยนาปิ สพฺพภยุปทฺทววิคเมน วา เขมิโนติ เวทิตโพฺพฯ กสฺมา ปน เอวํ วุตฺตํ? เมตฺตาภาวนาการทสฺสนตฺถํฯ เอวญฺหิ เมตฺตา ภาเวตพฺพา ‘‘สเพฺพ สตฺตา สุขิโน โหนฺตู’’ติ วา, ‘‘เขมิโน โหนฺตู’’ติ วา, ‘‘สุขิตตฺตา โหนฺตู’’ติ วาฯ

    Tattha sukhinoti sukhasampannā. Kheminoti khemavanto, abhayā nirupaddavāti vuttaṃ hoti. Sabbeti anavasesā. Sattāti pāṇino. Sukhitattāti sukhitacittā. Ettha ca kāyikena sukhena sukhino, mānasena sukhitattā, tadubhayenāpi sabbabhayupaddavavigamena vā kheminoti veditabbo. Kasmā pana evaṃ vuttaṃ? Mettābhāvanākāradassanatthaṃ. Evañhi mettā bhāvetabbā ‘‘sabbe sattā sukhino hontū’’ti vā, ‘‘khemino hontū’’ti vā, ‘‘sukhitattā hontū’’ti vā.

    จตุตฺถคาถาวณฺณนา

    Catutthagāthāvaṇṇanā

    . เอวํ ยาว อุปจารโต อปฺปนาโกฎิ, ตาว สเงฺขเปน เมตฺตาภาวนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ วิตฺถารโตปิ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘เย เกจี’’ติ คาถาทฺวยมาหฯ อถ วา ยสฺมา ปุถุตฺตารมฺมเณ ปริจิตํ จิตฺตํ น อาทิเกเนว เอกเตฺต สณฺฐาติ อารมฺมณปฺปเภทํ ปน อนุคนฺตฺวา อนุคนฺตฺวา กเมน สณฺฐาติ, ตสฺมา ตสฺส ตสถาวราทิทุกติกปฺปเภเท อารมฺมเณ อนุคนฺตฺวา อนุคนฺตฺวา สณฺฐานตฺถมฺปิ ‘‘เย เกจี’’ติ คาถาทฺวยมาหฯ อถ วา ยสฺมา ยสฺส ยํ อารมฺมณํ วิภูตํ โหติ, ตสฺส ตตฺถ จิตฺตํ สุขํ ติฎฺฐติ, ตสฺมา เตสํ ภิกฺขูนํ ยสฺส ยํ วิภูตํ อารมฺมณํ, ตสฺส ตตฺถ จิตฺตํ สณฺฐาเปตุกาโม ตสถาวราทิทุกติการมฺมณเภททีปกํ ‘‘เย เกจี’’ติ อิมํ คาถาทฺวยมาหฯ

    4. Evaṃ yāva upacārato appanākoṭi, tāva saṅkhepena mettābhāvanaṃ dassetvā idāni vitthāratopi taṃ dassetuṃ ‘‘ye kecī’’ti gāthādvayamāha. Atha vā yasmā puthuttārammaṇe paricitaṃ cittaṃ na ādikeneva ekatte saṇṭhāti ārammaṇappabhedaṃ pana anugantvā anugantvā kamena saṇṭhāti, tasmā tassa tasathāvarādidukatikappabhede ārammaṇe anugantvā anugantvā saṇṭhānatthampi ‘‘ye kecī’’ti gāthādvayamāha. Atha vā yasmā yassa yaṃ ārammaṇaṃ vibhūtaṃ hoti, tassa tattha cittaṃ sukhaṃ tiṭṭhati, tasmā tesaṃ bhikkhūnaṃ yassa yaṃ vibhūtaṃ ārammaṇaṃ, tassa tattha cittaṃ saṇṭhāpetukāmo tasathāvarādidukatikārammaṇabhedadīpakaṃ ‘‘ye kecī’’ti imaṃ gāthādvayamāha.

    เอตฺถ หิ ตสถาวรทุกํ ทิฎฺฐาทิฎฺฐทุกํ ทูรสนฺติกทุกํ ภูตสมฺภเวสิทุกนฺติ จตฺตาโร ทุเก, ทีฆาทีหิ จ ฉหิ ปเทหิ มชฺฌิมปทสฺส ตีสุ อณุกปทสฺส จ ทฺวีสุ ติเกสุ อตฺถสมฺภวโต ทีฆรสฺสมชฺฌิมติกํ มหนฺตาณุกมชฺฌิมติกํ ถูลาณุกมชฺฌิมติกนฺติ ตโย ติเก จ ทีเปติฯ ตตฺถ เย เกจีติ อนวเสสวจนํฯ ปาณา เอว ภูตา ปาณภูตาฯ อถ วา ปาณนฺตีติ ปาณา, เอเตน อสฺสาสปสฺสาสปฺปฎิพเทฺธ ปญฺจโวการสเตฺต คณฺหาติฯ ภวนฺตีติ ภูตา, เอเตน เอกโวการจตุโวการสเตฺต คณฺหาติฯ อตฺถีติ สนฺติ สํวิชฺชนฺติฯ

    Ettha hi tasathāvaradukaṃ diṭṭhādiṭṭhadukaṃ dūrasantikadukaṃ bhūtasambhavesidukanti cattāro duke, dīghādīhi ca chahi padehi majjhimapadassa tīsu aṇukapadassa ca dvīsu tikesu atthasambhavato dīgharassamajjhimatikaṃ mahantāṇukamajjhimatikaṃ thūlāṇukamajjhimatikanti tayo tike ca dīpeti. Tattha ye kecīti anavasesavacanaṃ. Pāṇā eva bhūtā pāṇabhūtā. Atha vā pāṇantīti pāṇā, etena assāsapassāsappaṭibaddhe pañcavokārasatte gaṇhāti. Bhavantīti bhūtā, etena ekavokāracatuvokārasatte gaṇhāti. Atthīti santi saṃvijjanti.

    เอวํ ‘‘เย เกจิ ปาณภูตตฺถี’’ติ อิมินา วจเนน ทุกติเกหิ สงฺคเหตเพฺพ สพฺพสเตฺต เอกโต ทเสฺสตฺวา อิทานิ สเพฺพปิ เต ตสา วา ถาวรา ว นวเสสาติ อิมินา ทุเกน สงฺคเหตฺวา ทเสฺสติฯ

    Evaṃ ‘‘ye keci pāṇabhūtatthī’’ti iminā vacanena dukatikehi saṅgahetabbe sabbasatte ekato dassetvā idāni sabbepi te tasā vā thāvarā va navasesāti iminā dukena saṅgahetvā dasseti.

    ตตฺถ ตสนฺตีติ ตสา, สตณฺหานํ สภยานเญฺจตํ อธิวจนํฯ ติฎฺฐนฺตีติ ถาวรา, ปหีนตณฺหาภยานํ อรหตํ เอตํ อธิวจนํฯ นตฺถิ เตสํ อวเสสนฺติ อนวเสสา, สเพฺพปีติ วุตฺตํ โหติฯ ยญฺจ ทุติยคาถาย อเนฺต วุตฺตํ, ตํ สพฺพทุกติเกหิ สมฺพนฺธิตพฺพํ ‘‘เย เกจิ ปาณภูตตฺถิ ตสา วา ถาวรา วา อนวเสสา, อิเมปิ สเพฺพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตตฺตาฯ เอวํ ยาว ภูตา วา สมฺภเวสี วา, อิเมปิ สเพฺพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตตฺตา’’ติฯ

    Tattha tasantīti tasā, sataṇhānaṃ sabhayānañcetaṃ adhivacanaṃ. Tiṭṭhantīti thāvarā, pahīnataṇhābhayānaṃ arahataṃ etaṃ adhivacanaṃ. Natthi tesaṃ avasesanti anavasesā, sabbepīti vuttaṃ hoti. Yañca dutiyagāthāya ante vuttaṃ, taṃ sabbadukatikehi sambandhitabbaṃ ‘‘ye keci pāṇabhūtatthi tasā vā thāvarā vā anavasesā, imepi sabbe sattā bhavantu sukhitattā. Evaṃ yāva bhūtā vā sambhavesī vā, imepi sabbe sattā bhavantu sukhitattā’’ti.

    อิทานิ ทีฆรสฺสมชฺฌิมาทิติกตฺตยทีปเกสุ ทีฆา วาติอาทีสุ ฉสุ ปเทสุ ทีฆาติ ทีฆตฺตภาวา นาคมจฺฉโคธาทโยฯ อเนกพฺยามสตปฺปมาณาปิ หิ มหาสมุเทฺท นาคานํ อตฺตภาวา อเนกโยชนปฺปมาณา จ มจฺฉโคธาทีนํ อตฺตภาวา โหนฺติฯ มหนฺตาติ มหนฺตตฺตภาวา ชเล มจฺฉกจฺฉปาทโย, ถเล หตฺถินาคาทโย, อมนุเสฺสสุ ทานวาทโย ฯ อาห จ ‘‘ราหุคฺคํ อตฺตภาวีน’’นฺติ (อ. นิ. ๔.๑๕)ฯ ตสฺส หิ อตฺตภาโว อุเพฺพเธน จตฺตาริ โยชนสหสฺสานิ อฎฺฐ จ โยชนสตานิ, พาหู ทฺวาทสโยชนสตปริมาณา, ปญฺญาสโยชนํ ภมุกนฺตรํ, ตถา องฺคุลนฺตริกา, หตฺถตลานิ เทฺว โยชนสตานีติฯ มชฺฌิมาติ อสฺสโคณมหิํสสูกราทีนํ อตฺตภาวาฯ รสฺสกาติ ตาสุ ตาสุ ชาตีสุ วามนาทโย ทีฆมชฺฌิเมหิ โอมกปฺปมาณา สตฺตาฯ อณุกาติ มํสจกฺขุสฺส อโคจรา ทิพฺพจกฺขุวิสยา อุทกาทีสุ นิพฺพตฺตา สุขุมตฺตภาวา สตฺตา อูกาทโย วาฯ อปิจ เย ตาสุ ตาสุ ชาตีสุ มหนฺตมชฺฌิเมหิ ถูลมชฺฌิเมหิ จ โอมกปฺปมาณา สตฺตา, เต อณุกาติ เวทิตพฺพาฯ ถูลาติ ปริมณฺฑลตฺตภาวา สิปฺปิกสมฺพุกาทโย สตฺตาฯ

    Idāni dīgharassamajjhimāditikattayadīpakesu dīghā vātiādīsu chasu padesu dīghāti dīghattabhāvā nāgamacchagodhādayo. Anekabyāmasatappamāṇāpi hi mahāsamudde nāgānaṃ attabhāvā anekayojanappamāṇā ca macchagodhādīnaṃ attabhāvā honti. Mahantāti mahantattabhāvā jale macchakacchapādayo, thale hatthināgādayo, amanussesu dānavādayo . Āha ca ‘‘rāhuggaṃ attabhāvīna’’nti (a. ni. 4.15). Tassa hi attabhāvo ubbedhena cattāri yojanasahassāni aṭṭha ca yojanasatāni, bāhū dvādasayojanasataparimāṇā, paññāsayojanaṃ bhamukantaraṃ, tathā aṅgulantarikā, hatthatalāni dve yojanasatānīti. Majjhimāti assagoṇamahiṃsasūkarādīnaṃ attabhāvā. Rassakāti tāsu tāsu jātīsu vāmanādayo dīghamajjhimehi omakappamāṇā sattā. Aṇukāti maṃsacakkhussa agocarā dibbacakkhuvisayā udakādīsu nibbattā sukhumattabhāvā sattā ūkādayo vā. Apica ye tāsu tāsu jātīsu mahantamajjhimehi thūlamajjhimehi ca omakappamāṇā sattā, te aṇukāti veditabbā. Thūlāti parimaṇḍalattabhāvā sippikasambukādayo sattā.

    ปญฺจมคาถาวณฺณนา

    Pañcamagāthāvaṇṇanā

    . เอวํ ตีหิ ติเกหิ อนวเสสโต สเตฺต ทเสฺสตฺวา อิทานิ ‘‘ทิฎฺฐา วา เย ว อทิฎฺฐา’’ติอาทีหิ ตีหิ ทุเกหิปิ เต สงฺคเหตฺวา ทเสฺสติฯ

    5. Evaṃ tīhi tikehi anavasesato satte dassetvā idāni ‘‘diṭṭhā vā ye va adiṭṭhā’’tiādīhi tīhi dukehipi te saṅgahetvā dasseti.

    ตตฺถ ทิฎฺฐาติ เย อตฺตโน จกฺขุสฺส อาปาถมาคตวเสน ทิฎฺฐปุพฺพาฯ อทิฎฺฐาติ เย ปรสมุทฺทปรเสลปรจกฺกวาฬาทีสุ ฐิตาฯ ‘‘เย วา ทูเร วสนฺติ อวิทูเร’’ติ อิมินา ปน ทุเกน อตฺตโน อตฺตภาวสฺส ทูเร จ อวิทูเร จ วสเนฺต สเตฺต ทเสฺสติ, เต อปททฺวิปทวเสน เวทิตพฺพาฯ อตฺตโน หิ กาเย วสนฺตา สตฺตา อวิทูเร, พหิกาเย วสนฺตา สตฺตา ทูเรฯ ตถา อโนฺตอุปจาเร วสนฺตา อวิทูเร, พหิอุปจาเร วสนฺตา ทูเรฯ อตฺตโน วิหาเร คาเม ชนปเท ทีเป จกฺกวาเฬ วสนฺตา อวิทูเร, ปรจกฺกวาเฬ วสนฺตา ทูเร วสนฺตีติ วุจฺจนฺติฯ

    Tattha diṭṭhāti ye attano cakkhussa āpāthamāgatavasena diṭṭhapubbā. Adiṭṭhāti ye parasamuddaparaselaparacakkavāḷādīsu ṭhitā. ‘‘Ye vā dūre vasanti avidūre’’ti iminā pana dukena attano attabhāvassa dūre ca avidūre ca vasante satte dasseti, te apadadvipadavasena veditabbā. Attano hi kāye vasantā sattā avidūre, bahikāye vasantā sattā dūre. Tathā antoupacāre vasantā avidūre, bahiupacāre vasantā dūre. Attano vihāre gāme janapade dīpe cakkavāḷe vasantā avidūre, paracakkavāḷe vasantā dūre vasantīti vuccanti.

    ภูตาติ ชาตา อภินิพฺพตฺตาฯ เย ภูตา เอว, น ปุน ภวิสฺสนฺตีติ สงฺขฺยํ คจฺฉนฺติ, เตสํ ขีณาสวานํ เอตํ อธิวจนํฯ สมฺภวเมสนฺตีติ สมฺภเวสีฯ อปฺปหีนภวสํโยชนตฺตา อายติมฺปิ สมฺภวํ เอสนฺตานํ เสขปุถุชฺชนานเมตํ อธิวจนํฯ อถ วา จตูสุ โยนีสุ อณฺฑชชลาพุชา สตฺตา ยาว อณฺฑโกสํ วตฺถิโกสญฺจ น ภินฺทนฺติ, ตาว สมฺภเวสี นาม, อณฺฑโกสํ วตฺถิโกสญฺจ ภินฺทิตฺวา พหิ นิกฺขนฺตา ภูตา นาม ฯ สํเสทชา โอปปาติกา จ ปฐมจิตฺตกฺขเณ สมฺภเวสี นาม, ทุติยจิตฺตกฺขณโต ปภุติ ภูตา นามฯ เยน วา อิริยาปเถน ชายนฺติ, ยาว ตโต อญฺญํ น ปาปุณนฺติ, ตาว สมฺภเวสี นาม, ตโต ปรํ ภูตาติฯ

    Bhūtāti jātā abhinibbattā. Ye bhūtā eva, na puna bhavissantīti saṅkhyaṃ gacchanti, tesaṃ khīṇāsavānaṃ etaṃ adhivacanaṃ. Sambhavamesantīti sambhavesī. Appahīnabhavasaṃyojanattā āyatimpi sambhavaṃ esantānaṃ sekhaputhujjanānametaṃ adhivacanaṃ. Atha vā catūsu yonīsu aṇḍajajalābujā sattā yāva aṇḍakosaṃ vatthikosañca na bhindanti, tāva sambhavesī nāma, aṇḍakosaṃ vatthikosañca bhinditvā bahi nikkhantā bhūtā nāma . Saṃsedajā opapātikā ca paṭhamacittakkhaṇe sambhavesī nāma, dutiyacittakkhaṇato pabhuti bhūtā nāma. Yena vā iriyāpathena jāyanti, yāva tato aññaṃ na pāpuṇanti, tāva sambhavesī nāma, tato paraṃ bhūtāti.

    ฉฎฺฐคาถาวณฺณนา

    Chaṭṭhagāthāvaṇṇanā

    . เอวํ ภควา ‘‘สุขิโน วา’’ติอาทีหิ อฑฺฒเตยฺยาหิ คาถาหิ นานปฺปการโต เตสํ ภิกฺขูนํ หิตสุขาคมปตฺถนาวเสน สเตฺตสุ เมตฺตาภาวนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อหิตทุกฺขานาคมปตฺถนาวเสนาปิ ตํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘น ปโร ปรํ นิกุเพฺพถา’’ติฯ เอส โปราโณ ปาโฐ, อิทานิ ปน ‘‘ปรํ หี’’ติปิ ปฐนฺติ, อยํ น โสภโนฯ

    6. Evaṃ bhagavā ‘‘sukhino vā’’tiādīhi aḍḍhateyyāhi gāthāhi nānappakārato tesaṃ bhikkhūnaṃ hitasukhāgamapatthanāvasena sattesu mettābhāvanaṃ dassetvā idāni ahitadukkhānāgamapatthanāvasenāpi taṃ dassento āha ‘‘na paro paraṃ nikubbethā’’ti. Esa porāṇo pāṭho, idāni pana ‘‘paraṃ hī’’tipi paṭhanti, ayaṃ na sobhano.

    ตตฺถ ปโรติ ปรชโนฯ ปรนฺติ ปรชนํฯ น นิกุเพฺพถาติ น วเญฺจยฺยฯ นาติมเญฺญถาติ น อติกฺกมิตฺวา มเญฺญยฺยฯ กตฺถจีติ กตฺถจิ โอกาเส, คาเม วา คามเขเตฺต วา ญาติมเชฺฌ วา ปูคมเชฺฌ วาติอาทิฯ นฺติ เอตํฯ กญฺจีติ ยํ กญฺจิ ขตฺติยํ วา พฺราหฺมณํ วา คหฎฺฐํ วา ปพฺพชิตํ วา สุขิตํ วา ทุกฺขิตํ วาติอาทิฯ พฺยาโรสนา ปฎิฆสญฺญาติ กายวจีวิกาเรหิ พฺยาโรสนาย จ มโนวิกาเรน ปฎิฆสญฺญาย จฯ ‘‘พฺยาโรสนาย ปฎิฆสญฺญายา’’ติ หิ วตฺตเพฺพ ‘‘พฺยาโรสนา ปฎิฆสญฺญา’’ติ วุจฺจติ, ยถา ‘‘สมฺมทญฺญาย วิมุตฺตา’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘สมฺมทญฺญา วิมุตฺตา’’ติ, ยถา จ ‘‘อนุปุพฺพสิกฺขาย อนุปุพฺพกิริยาย อนุปุพฺพปฎิปทายา’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘อนุปุพฺพสิกฺขา อนุปุพฺพกิริยา อนุปุพฺพปฎิปทา’’ติฯ นาญฺญมญฺญสฺส ทุกฺขมิเจฺฉยฺยาติ อญฺญมญฺญสฺส ทุกฺขํ น อิเจฺฉยฺย ฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? น เกวลํ ‘‘สุขิโน วา เขมิโน วา โหนฺตู’’ติอาทิมนสิการวเสเนว เมตฺตํ ภาเวยฺย, กินฺตุ ‘‘อโหวต โย โกจิ ปรปุคฺคโล ยํ กญฺจิ ปรปุคฺคลํ วญฺจนาทีหิ นิกตีหิ น นิกุเพฺพถ, ชาติอาทีหิ จ นวหิ มานวตฺถูหิ กตฺถจิ ปเทเส กญฺจิ ปรปุคฺคลํ นาติมเญฺญยฺย, อญฺญมญฺญสฺส จ พฺยาโรสนาย วา ปฎิฆสญฺญาย วา ทุกฺขํ น อิเจฺฉยฺยา’’ติ เอวมฺปิ มนสิกโรโนฺต ภาเวยฺยาติฯ

    Tattha paroti parajano. Paranti parajanaṃ. Na nikubbethāti na vañceyya. Nātimaññethāti na atikkamitvā maññeyya. Katthacīti katthaci okāse, gāme vā gāmakhette vā ñātimajjhe vā pūgamajjhe vātiādi. Nanti etaṃ. Kañcīti yaṃ kañci khattiyaṃ vā brāhmaṇaṃ vā gahaṭṭhaṃ vā pabbajitaṃ vā sukhitaṃ vā dukkhitaṃ vātiādi. Byārosanā paṭighasaññāti kāyavacīvikārehi byārosanāya ca manovikārena paṭighasaññāya ca. ‘‘Byārosanāya paṭighasaññāyā’’ti hi vattabbe ‘‘byārosanā paṭighasaññā’’ti vuccati, yathā ‘‘sammadaññāya vimuttā’’ti vattabbe ‘‘sammadaññā vimuttā’’ti, yathā ca ‘‘anupubbasikkhāya anupubbakiriyāya anupubbapaṭipadāyā’’ti vattabbe ‘‘anupubbasikkhā anupubbakiriyā anupubbapaṭipadā’’ti. Nāññamaññassa dukkhamiccheyyāti aññamaññassa dukkhaṃ na iccheyya . Kiṃ vuttaṃ hoti? Na kevalaṃ ‘‘sukhino vā khemino vā hontū’’tiādimanasikāravaseneva mettaṃ bhāveyya, kintu ‘‘ahovata yo koci parapuggalo yaṃ kañci parapuggalaṃ vañcanādīhi nikatīhi na nikubbetha, jātiādīhi ca navahi mānavatthūhi katthaci padese kañci parapuggalaṃ nātimaññeyya, aññamaññassa ca byārosanāya vā paṭighasaññāya vā dukkhaṃ na iccheyyā’’ti evampi manasikaronto bhāveyyāti.

    สตฺตมคาถาวณฺณนา

    Sattamagāthāvaṇṇanā

    . เอวํ อหิตทุกฺขานาคมปตฺถนาวเสน อตฺถโต เมตฺตาภาวนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตเมว อุปมาย ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘มาตา ยถา นิยํปุตฺต’’นฺติฯ

    7. Evaṃ ahitadukkhānāgamapatthanāvasena atthato mettābhāvanaṃ dassetvā idāni tameva upamāya dassento āha ‘‘mātā yathā niyaṃputta’’nti.

    ตสฺสโตฺถ – ยถา มาตา นิยํ ปุตฺตํ อตฺตนิ ชาตํ โอรสํ ปุตฺตํ, ตญฺจ เอกปุตฺตเมว อายุสา อนุรเกฺข, ตสฺส ทุกฺขาคมปฺปฎิพาหนตฺถํ อตฺตโน อายุมฺปิ จชิตฺวา ตํ อนุรเกฺข, เอวมฺปิ สพฺพภูเตสุ อิทํ เมตฺตาขฺยํ มานสํ ภาวเย, ปุนปฺปุนํ ชนเย วฑฺฒเย, ตญฺจ อปริมาณสตฺตารมฺมณวเสน เอกสฺมิํ วา สเตฺต อนวเสสผรณวเสน อปริมาณํ ภาวเยติฯ

    Tassattho – yathā mātā niyaṃ puttaṃ attani jātaṃ orasaṃ puttaṃ, tañca ekaputtameva āyusā anurakkhe, tassa dukkhāgamappaṭibāhanatthaṃ attano āyumpi cajitvā taṃ anurakkhe, evampi sabbabhūtesu idaṃ mettākhyaṃ mānasaṃ bhāvaye, punappunaṃ janaye vaḍḍhaye, tañca aparimāṇasattārammaṇavasena ekasmiṃ vā satte anavasesapharaṇavasena aparimāṇaṃ bhāvayeti.

    อฎฺฐมคาถาวณฺณนา

    Aṭṭhamagāthāvaṇṇanā

    . เอวํ สพฺพากาเรน เมตฺตาภาวนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตเสฺสว วฑฺฒนํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เมตฺตญฺจ สพฺพโลกสฺมี’’ติฯ

    8. Evaṃ sabbākārena mettābhāvanaṃ dassetvā idāni tasseva vaḍḍhanaṃ dassento āha ‘‘mettañca sabbalokasmī’’ti.

    ตตฺถ มิชฺชติ ตายติ จาติ มิโตฺต, หิตชฺฌาสยตาย สินิยฺหติ, อหิตาคมโต รกฺขติ จาติ อโตฺถฯ มิตฺตสฺส ภาโว เมตฺตํฯ สพฺพโลกสฺมีติ อนวเสเส สตฺตโลเกฯ มนสิ ภวนฺติ มานสํฯ ตญฺหิ จิตฺตสมฺปยุตฺตตฺตา เอวํ วุตฺตํฯ ภาวเยติ วฑฺฒเยฯ น อสฺส ปริมาณนฺติ อปริมาณํ, อปฺปมาณสตฺตารมฺมณตาย เอวํ วุตฺตํฯ อุทฺธนฺติ อุปริ, เตน อรูปภวํ คณฺหาติฯ อโธติ เหฎฺฐา, เตน กามภวํ คณฺหาติฯ ติริยนฺติ เวมชฺฌํ, เตน รูปภวํ คณฺหาติฯ อสมฺพาธนฺติ สมฺพาธวิรหิตํ, ภินฺนสีมนฺติ วุตฺตํ โหติฯ สีมา นาม ปจฺจตฺถิโก วุจฺจติ, ตสฺมิมฺปิ ปวตฺตนฺติ อโตฺถฯ อเวรนฺติ เวรวิรหิตํ , อนฺตรนฺตราปิ เวรเจตนาปาตุภาววิรหิตนฺติ อโตฺถฯ อสปตฺตนฺติ วิคตปจฺจตฺถิกํฯ เมตฺตาวิหารี หิ ปุคฺคโล มนุสฺสานํ ปิโย โหติ, อมนุสฺสานํ ปิโย โหติ, นาสฺส โกจิ ปจฺจตฺถิโก โหติ, เตนสฺส ตํ มานสํ วิคตปจฺจตฺถิกตฺตา อสปตฺตนฺติ วุจฺจติฯ ปริยายวจนญฺหิ เอตํ, ยทิทํ ปจฺจตฺถิโก สปโตฺตติฯ อยํ อนุปทโต อตฺถวณฺณนา

    Tattha mijjati tāyati cāti mitto, hitajjhāsayatāya siniyhati, ahitāgamato rakkhati cāti attho. Mittassa bhāvo mettaṃ. Sabbalokasmīti anavasese sattaloke. Manasi bhavanti mānasaṃ. Tañhi cittasampayuttattā evaṃ vuttaṃ. Bhāvayeti vaḍḍhaye. Na assa parimāṇanti aparimāṇaṃ, appamāṇasattārammaṇatāya evaṃ vuttaṃ. Uddhanti upari, tena arūpabhavaṃ gaṇhāti. Adhoti heṭṭhā, tena kāmabhavaṃ gaṇhāti. Tiriyanti vemajjhaṃ, tena rūpabhavaṃ gaṇhāti. Asambādhanti sambādhavirahitaṃ, bhinnasīmanti vuttaṃ hoti. Sīmā nāma paccatthiko vuccati, tasmimpi pavattanti attho. Averanti veravirahitaṃ , antarantarāpi veracetanāpātubhāvavirahitanti attho. Asapattanti vigatapaccatthikaṃ. Mettāvihārī hi puggalo manussānaṃ piyo hoti, amanussānaṃ piyo hoti, nāssa koci paccatthiko hoti, tenassa taṃ mānasaṃ vigatapaccatthikattā asapattanti vuccati. Pariyāyavacanañhi etaṃ, yadidaṃ paccatthiko sapattoti. Ayaṃ anupadato atthavaṇṇanā.

    อยํ ปเนตฺถ อธิเปฺปตตฺถทีปนา – ยทิทํ ‘‘เอวมฺปิ สพฺพภูเตสุ มานสํ ภาวเย อปริมาณ’’นฺติ วุตฺตํ, ตเญฺจตํ อปริมาณํ เมตฺตํ มานสํ สพฺพโลกสฺมิํ ภาวเย วฑฺฒเย, วุฑฺฒิํ วิรูฬฺหิํ เวปุลฺลํ คมเย ปาปเยฯ กถํ? อุทฺธํ อโธ จ ติริยญฺจ, อุทฺธํ ยาว ภวคฺคา, อโธ ยาว อวีจิโต, ติริยํ ยาว อวเสสทิสาฯ อุทฺธํ วา อารุปฺปํ, อโธ กามธาตุํ, ติริยํ รูปธาตุํ อนวเสสํ ผรโนฺตฯ เอวํ ภาเวโนฺตปิ จ ตํ ยถา อสมฺพาธํ อเวรํ อสปตฺตญฺจ โหติ, ตถา สมฺพาธเวรสปตฺตานํ อภาวํ กโรโนฺต ภาวเยฯ ยํ วา ตํ ภาวนาสมฺปทํ ปตฺตํ สพฺพตฺถ โอกาสโลกวเสน อสมฺพาธํ, อตฺตโน ปเรสุ อาฆาตปฺปฎิวินยเนน อเวรํ, อตฺตนิ จ ปเรสํ อาฆาตวินยเนน อสปตฺตํ โหติฯ ตํ อสมฺพาธมเวรมสปตฺตํ อปริมาณํ เมตฺตํ มานสํ อุทฺธํ อโธ ติริยญฺจาติ ติวิธปริเจฺฉเท สพฺพโลกสฺมิํ ภาวเย วฑฺฒเยติฯ

    Ayaṃ panettha adhippetatthadīpanā – yadidaṃ ‘‘evampi sabbabhūtesu mānasaṃ bhāvaye aparimāṇa’’nti vuttaṃ, tañcetaṃ aparimāṇaṃ mettaṃ mānasaṃ sabbalokasmiṃ bhāvaye vaḍḍhaye, vuḍḍhiṃ virūḷhiṃ vepullaṃ gamaye pāpaye. Kathaṃ? Uddhaṃ adho ca tiriyañca, uddhaṃ yāva bhavaggā, adho yāva avīcito, tiriyaṃ yāva avasesadisā. Uddhaṃ vā āruppaṃ, adho kāmadhātuṃ, tiriyaṃ rūpadhātuṃ anavasesaṃ pharanto. Evaṃ bhāventopi ca taṃ yathā asambādhaṃ averaṃ asapattañca hoti, tathā sambādhaverasapattānaṃ abhāvaṃ karonto bhāvaye. Yaṃ vā taṃ bhāvanāsampadaṃ pattaṃ sabbattha okāsalokavasena asambādhaṃ, attano paresu āghātappaṭivinayanena averaṃ, attani ca paresaṃ āghātavinayanena asapattaṃ hoti. Taṃ asambādhamaveramasapattaṃ aparimāṇaṃ mettaṃ mānasaṃ uddhaṃ adho tiriyañcāti tividhaparicchede sabbalokasmiṃ bhāvaye vaḍḍhayeti.

    นวมคาถาวณฺณนา

    Navamagāthāvaṇṇanā

    . เอวํ เมตฺตาภาวนาย วฑฺฒนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตํ ภาวนมนุยุตฺตสฺส วิหรโต อิริยาปถนิยมาภาวํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ติฎฺฐํ จรํ…เป.… อธิเฎฺฐยฺยา’’ติฯ

    9. Evaṃ mettābhāvanāya vaḍḍhanaṃ dassetvā idāni taṃ bhāvanamanuyuttassa viharato iriyāpathaniyamābhāvaṃ dassento āha ‘‘tiṭṭhaṃ caraṃ…pe… adhiṭṭheyyā’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – เอวเมตํ เมตฺตํ มานสํ ภาเวโนฺต โส ‘‘นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา อุชุํ กายํ ปณิธายา’’ติอาทีสุ วิย อิริยาปถนิยมํ อกตฺวา ยถาสุขํ อญฺญตรญฺญตรอิริยาปถพาธนวิโนทนํ กโรโนฺต ติฎฺฐํ วา จรํ วา นิสิโนฺน วา สยาโน วา ยาวตา วิคตมิโทฺธ อสฺส, อถ เอตํ เมตฺตาฌานสติํ อธิเฎฺฐยฺยฯ

    Tassattho – evametaṃ mettaṃ mānasaṃ bhāvento so ‘‘nisīdati pallaṅkaṃ ābhujitvā ujuṃ kāyaṃ paṇidhāyā’’tiādīsu viya iriyāpathaniyamaṃ akatvā yathāsukhaṃ aññataraññatarairiyāpathabādhanavinodanaṃ karonto tiṭṭhaṃ vā caraṃ vā nisinno vā sayāno vā yāvatā vigatamiddho assa, atha etaṃ mettājhānasatiṃ adhiṭṭheyya.

    อถ วา เอวํ เมตฺตาภาวนาย วฑฺฒนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ วสีภาวํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ติฎฺฐํ จร’’นฺติฯ วสิปฺปโตฺต หิ ติฎฺฐํ วา จรํ วา นิสิโนฺน วา สยาโน วา ยาวตา อิริยาปเถน เอตํ เมตฺตาฌานสติํ อธิฎฺฐาตุกาโม โหติ, อถ วา ติฎฺฐํ วา จรํ วา…เป.… สยาโน วาติ น ตสฺส ฐานาทีนิ อนฺตรายกรานิ โหนฺติ, อปิจ โข ยาวตา เอตํ เมตฺตาฌานสติํ อธิฎฺฐาตุกาโม โหติ, ตาวตา วิคตมิโทฺธ หุตฺวา อธิฎฺฐาติ, นตฺถิ ตสฺส ตตฺถ ทนฺธายิตตฺตํฯ เตนาห ‘‘ติฎฺฐํ จรํ นิสิโนฺน ว, สยาโน ยาวตาสฺส วิตมิโทฺธฯ เอตํ สติํ อธิเฎฺฐยฺยา’’ติฯ

    Atha vā evaṃ mettābhāvanāya vaḍḍhanaṃ dassetvā idāni vasībhāvaṃ dassento āha ‘‘tiṭṭhaṃ cara’’nti. Vasippatto hi tiṭṭhaṃ vā caraṃ vā nisinno vā sayāno vā yāvatā iriyāpathena etaṃ mettājhānasatiṃ adhiṭṭhātukāmo hoti, atha vā tiṭṭhaṃ vā caraṃ vā…pe… sayāno vāti na tassa ṭhānādīni antarāyakarāni honti, apica kho yāvatā etaṃ mettājhānasatiṃ adhiṭṭhātukāmo hoti, tāvatā vigatamiddho hutvā adhiṭṭhāti, natthi tassa tattha dandhāyitattaṃ. Tenāha ‘‘tiṭṭhaṃ caraṃ nisinno va, sayāno yāvatāssa vitamiddho. Etaṃ satiṃ adhiṭṭheyyā’’ti.

    ตสฺสายมธิปฺปาโย – ยํ ตํ ‘‘เมตฺตญฺจ สพฺพโลกสฺมิ, มานสํ ภาวเย’’ติ วุตฺตํ, ตํ ยถา ภาเวยฺย, ยถา ฐานาทีสุ ยาวตา อิริยาปเถน ฐานาทีนิ วา อนาทิยิตฺวา ยาวตา เอตํ เมตฺตาฌานสติํ อธิฎฺฐาตุกาโม อสฺส, ตาวตา วิคตมิโทฺธว หุตฺวา เอตํ สติํ อธิเฎฺฐยฺยาติฯ

    Tassāyamadhippāyo – yaṃ taṃ ‘‘mettañca sabbalokasmi, mānasaṃ bhāvaye’’ti vuttaṃ, taṃ yathā bhāveyya, yathā ṭhānādīsu yāvatā iriyāpathena ṭhānādīni vā anādiyitvā yāvatā etaṃ mettājhānasatiṃ adhiṭṭhātukāmo assa, tāvatā vigatamiddhova hutvā etaṃ satiṃ adhiṭṭheyyāti.

    เอวํ เมตฺตาภาวนาย วสีภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘เอตํ สติํ อธิเฎฺฐยฺยา’’ติ ตสฺมิํ เมตฺตาวิหาเร นิโยเชตฺวา อิทานิ ตํ วิหารํ ถุนโนฺต อาห ‘‘พฺรหฺมเมตํ วิหารมิธมาหู’’ติฯ

    Evaṃ mettābhāvanāya vasībhāvaṃ dassento ‘‘etaṃ satiṃ adhiṭṭheyyā’’ti tasmiṃ mettāvihāre niyojetvā idāni taṃ vihāraṃ thunanto āha ‘‘brahmametaṃ vihāramidhamāhū’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – ยฺวายํ ‘‘สุขิโน วา เขมิโน วา โหนฺตู’’ติอาทิ กตฺวา ยาว ‘‘เอตํ สติํ อธิเฎฺฐยฺยา’’ติ วณฺณิโต เมตฺตาวิหาโรฯ เอตํ จตูสุ ทิพฺพพฺรหฺมอริยอิริยาปถวิหาเรสุ นิโทฺทสตฺตา อตฺตโนปิ ปเรสมฺปิ อตฺถกรตฺตา จ อิธ อริยสฺส ธมฺมวินเย พฺรหฺมวิหารมาหุ เสฎฺฐวิหารมาหูติ, ยโต สตตํ สมิตํ อโพฺพกิณฺณํ ติฎฺฐํ จรํ นิสิโนฺน วา สยาโน วา ยาวตาสฺส วิคตมิโทฺธ, เอตํ สติํ อธิเฎฺฐยฺยาติฯ

    Tassattho – yvāyaṃ ‘‘sukhino vā khemino vā hontū’’tiādi katvā yāva ‘‘etaṃ satiṃ adhiṭṭheyyā’’ti vaṇṇito mettāvihāro. Etaṃ catūsu dibbabrahmaariyairiyāpathavihāresu niddosattā attanopi paresampi atthakarattā ca idha ariyassa dhammavinaye brahmavihāramāhu seṭṭhavihāramāhūti, yato satataṃ samitaṃ abbokiṇṇaṃ tiṭṭhaṃ caraṃ nisinno vā sayāno vā yāvatāssa vigatamiddho, etaṃ satiṃ adhiṭṭheyyāti.

    ทสมคาถาวณฺณนา

    Dasamagāthāvaṇṇanā

    ๑๐. เอวํ ภควา เตสํ ภิกฺขูนํ นานปฺปการโต เมตฺตาภาวนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยสฺมา เมตฺตา สตฺตารมฺมณตฺตา อตฺตทิฎฺฐิยา อาสนฺนา โหติ, ตสฺมา ทิฎฺฐิคหนนิเสธนมุเขน เตสํ ภิกฺขูนํ ตเทว เมตฺตาฌานํ ปาทกํ กตฺวา อริยภูมิปฺปตฺติํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ทิฎฺฐิญฺจ อนุปคฺคมฺมา’’ติ อิมาย คาถาย เทสนํ สมาเปสิฯ

    10. Evaṃ bhagavā tesaṃ bhikkhūnaṃ nānappakārato mettābhāvanaṃ dassetvā idāni yasmā mettā sattārammaṇattā attadiṭṭhiyā āsannā hoti, tasmā diṭṭhigahananisedhanamukhena tesaṃ bhikkhūnaṃ tadeva mettājhānaṃ pādakaṃ katvā ariyabhūmippattiṃ dassento ‘‘diṭṭhiñca anupaggammā’’ti imāya gāthāya desanaṃ samāpesi.

    ตสฺสโตฺถ – ยฺวายํ ‘‘พฺรหฺมเมตํ วิหารมิธมาหู’’ติ สํวณฺณิโต เมตฺตาฌานวิหาโร, ตโต วุฎฺฐาย เย ตตฺถ วิตกฺกวิจาราทโย ธมฺมา, เต เตสญฺจ วตฺถาทิอนุสาเรน รูปธเมฺม ปริคฺคเหตฺวา อิมินา นามรูปปริเจฺฉเทน ‘‘สุทฺธสงฺขารปุโญฺชยํ, นยิธ สตฺตูปลพฺภตี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๗๑; มหานิ. ๑๘๖) เอวํ ทิฎฺฐิญฺจ อนุปคฺคมฺม อนุปุเพฺพน โลกุตฺตรสีเลน สีลวา หุตฺวา โลกุตฺตรสีลสมฺปยุเตฺตเนว โสตาปตฺติมคฺคสมฺมาทิฎฺฐิสญฺญิเตน ทสฺสเนน สมฺปโนฺน, ตโต ปรํ โยปายํ วตฺถุกาเมสุ เคโธ กิเลสกาโม อปฺปหีโน โหติ, ตมฺปิ สกทาคามิอนาคามิมเคฺคหิ ตนุภาเวน อนวเสสปฺปหาเนน จ กาเมสุ เคธํ วิเนยฺย วินยิตฺวา วูปสเมตฺวา น หิ ชาตุ คพฺภเสยฺยํ ปุน เรติ เอกํเสเนว ปุน คพฺภเสยฺยํ น เอติฯ สุทฺธาวาเสสุ นิพฺพตฺติตฺวา ตเตฺถว อรหตฺตํ ปาปุณิตฺวา ปรินิพฺพาตีติฯ

    Tassattho – yvāyaṃ ‘‘brahmametaṃ vihāramidhamāhū’’ti saṃvaṇṇito mettājhānavihāro, tato vuṭṭhāya ye tattha vitakkavicārādayo dhammā, te tesañca vatthādianusārena rūpadhamme pariggahetvā iminā nāmarūpaparicchedena ‘‘suddhasaṅkhārapuñjoyaṃ, nayidha sattūpalabbhatī’’ti (saṃ. ni. 1.171; mahāni. 186) evaṃ diṭṭhiñca anupaggamma anupubbena lokuttarasīlena sīlavā hutvā lokuttarasīlasampayutteneva sotāpattimaggasammādiṭṭhisaññitena dassanena sampanno, tato paraṃ yopāyaṃ vatthukāmesu gedho kilesakāmo appahīno hoti, tampi sakadāgāmianāgāmimaggehi tanubhāvena anavasesappahānena ca kāmesu gedhaṃ vineyya vinayitvā vūpasametvā na hi jātu gabbhaseyyaṃ puna reti ekaṃseneva puna gabbhaseyyaṃ na eti. Suddhāvāsesu nibbattitvā tattheva arahattaṃ pāpuṇitvā parinibbātīti.

    เอวํ ภควา เทสนํ สมาเปตฺวา เต ภิกฺขู อาห – ‘‘คจฺฉถ, ภิกฺขเว, ตสฺมิํเยว วนสเณฺฑ วิหรถ, อิมญฺจ สุตฺตํ มาสสฺส อฎฺฐสุ ธมฺมสฺสวนทิวเสสุ ฆณฺฑิํ อาโกเฎตฺวา อุสฺสาเรถ, ธมฺมกถํ กโรถ สากจฺฉถ อนุโมทถ, อิทเมว กมฺมฎฺฐานํ อาเสวถ ภาเวถ พหุลีกโรถ, เตปิ โว อมนุสฺสา ตํ เภรวารมฺมณํ น ทเสฺสสฺสนฺติ, อญฺญทตฺถุ อตฺถกามา หิตกามา ภวิสฺสนฺตี’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ ภควโต ปฎิสฺสุณิตฺวา อุฎฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา ตถา อกํสุฯ เทวตาโย จ ‘‘ภทนฺตา อมฺหากํ อตฺถกามา หิตกามา’’ติ ปีติโสมนสฺสชาตา หุตฺวา สยเมว เสนาสนํ สมฺมชฺชนฺติ, อุโณฺหทกํ ปฎิยาเทนฺติ , ปิฎฺฐิปริกมฺมํ ปาทปริกมฺมํ กโรนฺติ, อารกฺขํ สํวิทหนฺติฯ เตปิ ภิกฺขู ตเมว เมตฺตํ ภาเวตฺวา ตเมว จ ปาทกํ กตฺวา วิปสฺสนํ อารภิตฺวา สเพฺพ ตสฺมิํเยว อโนฺตเตมาเส อคฺคผลํ อรหตฺตํ ปาปุณิตฺวา มหาปวารณาย วิสุทฺธิปวารณํ ปวาเรสุนฺติฯ

    Evaṃ bhagavā desanaṃ samāpetvā te bhikkhū āha – ‘‘gacchatha, bhikkhave, tasmiṃyeva vanasaṇḍe viharatha, imañca suttaṃ māsassa aṭṭhasu dhammassavanadivasesu ghaṇḍiṃ ākoṭetvā ussāretha, dhammakathaṃ karotha sākacchatha anumodatha, idameva kammaṭṭhānaṃ āsevatha bhāvetha bahulīkarotha, tepi vo amanussā taṃ bheravārammaṇaṃ na dassessanti, aññadatthu atthakāmā hitakāmā bhavissantī’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti bhagavato paṭissuṇitvā uṭṭhāyāsanā bhagavantaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā tattha gantvā tathā akaṃsu. Devatāyo ca ‘‘bhadantā amhākaṃ atthakāmā hitakāmā’’ti pītisomanassajātā hutvā sayameva senāsanaṃ sammajjanti, uṇhodakaṃ paṭiyādenti , piṭṭhiparikammaṃ pādaparikammaṃ karonti, ārakkhaṃ saṃvidahanti. Tepi bhikkhū tameva mettaṃ bhāvetvā tameva ca pādakaṃ katvā vipassanaṃ ārabhitvā sabbe tasmiṃyeva antotemāse aggaphalaṃ arahattaṃ pāpuṇitvā mahāpavāraṇāya visuddhipavāraṇaṃ pavāresunti.

    เอวมฺปิ อตฺถกุสเลน ตถาคเตน,

    Evampi atthakusalena tathāgatena,

    ธมฺมิสฺสเรน กถิตํ กรณียมตฺถํ;

    Dhammissarena kathitaṃ karaṇīyamatthaṃ;

    กตฺวานุภุยฺย ปรมํ หทยสฺส สนฺติํ,

    Katvānubhuyya paramaṃ hadayassa santiṃ,

    สนฺตํ ปทํ อภิสเมนฺติ สมตฺตปญฺญาฯ

    Santaṃ padaṃ abhisamenti samattapaññā.

    ตสฺมา หิ ตํ อมตมพฺภุตมริยกนฺตํ,

    Tasmā hi taṃ amatamabbhutamariyakantaṃ,

    สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจ วิหริตุกาโม;

    Santaṃ padaṃ abhisamecca viharitukāmo;

    วิญฺญู ชโน วิมลสีลสมาธิปญฺญา-

    Viññū jano vimalasīlasamādhipaññā-

    เภทํ กเรยฺย สตตํ กรณียมตฺถนฺติฯ

    Bhedaṃ kareyya satataṃ karaṇīyamatthanti.

    ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทกปาฐ-อฎฺฐกถาย

    Paramatthajotikāya khuddakapāṭha-aṭṭhakathāya

    เมตฺตสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Mettasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.

    นิคมนกถา

    Nigamanakathā

    เอตฺตาวตา จ ยํ วุตฺตํ –

    Ettāvatā ca yaṃ vuttaṃ –

    ‘‘อุตฺตมํ วนฺทเนยฺยานํ, วนฺทิตฺวา รตนตฺตยํ;

    ‘‘Uttamaṃ vandaneyyānaṃ, vanditvā ratanattayaṃ;

    ขุทฺทกานํ กริสฺสามิ, เกสญฺจิ อตฺถวณฺณน’’นฺติฯ

    Khuddakānaṃ karissāmi, kesañci atthavaṇṇana’’nti.

    ตตฺถ สรณสิกฺขาปททฺวตฺติํสาการกุมารปญฺหมงฺคลสุตฺตรตนสุตฺตติโรกุฎฺฎนิธิกณฺฑเมตฺตสุตฺตวเสน นวปฺปเภทสฺส ขุทฺทกปาฐสฺส ตาว อตฺถวณฺณนา กตา โหติฯ เตเนตํ วุจฺจติ –

    Tattha saraṇasikkhāpadadvattiṃsākārakumārapañhamaṅgalasuttaratanasuttatirokuṭṭanidhikaṇḍamettasuttavasena navappabhedassa khuddakapāṭhassa tāva atthavaṇṇanā katā hoti. Tenetaṃ vuccati –

    ‘‘อิมํ ขุทฺทกปาฐสฺส, กโรเนฺตนตฺถวณฺณนํ;

    ‘‘Imaṃ khuddakapāṭhassa, karontenatthavaṇṇanaṃ;

    สทฺธมฺมฎฺฐิติกาเมน, ยํ ปตฺตํ กุสลํ มยาฯ

    Saddhammaṭṭhitikāmena, yaṃ pattaṃ kusalaṃ mayā.

    ตสฺสานุภาวโต ขิปฺปํ, ธเมฺม อริยปฺปเวทิเต;

    Tassānubhāvato khippaṃ, dhamme ariyappavedite;

    วุทฺธิํ วิรูฬฺหิํ เวปุลฺลํ, ปาปุณาตุ อยํ ชโน’’ติฯ

    Vuddhiṃ virūḷhiṃ vepullaṃ, pāpuṇātu ayaṃ jano’’ti.

    ปรมวิสุทฺธสทฺธาพุทฺธิวีริยคุณปฺปฎิมณฺฑิเตน สีลาจารชฺชวมทฺทวาทิคุณสมุทยสมุทิเตน สกสมยสมยนฺตรคหนโชฺฌคาหณสมเตฺถน ปญฺญาเวยฺยตฺติยสมนฺนาคเตน ติปิฎกปริยตฺติธมฺมปฺปเภเท สาฎฺฐกเถ สตฺถุสาสเน อปฺปฎิหตญาณปฺปภาเวน ฉมหาเวยฺยากรเณนฉมหาเวยฺยากรเณน กรณสมฺปตฺติชนิตสุขวินิคฺคตมธุโรทารวจนลาวณฺณยุเตฺตน ยุตฺตมุตฺตวาทินา วาทีวเรน มหากวินา ฉฬภิญฺญาปฎิสมฺภิทาทิปฺปเภทคุณปฺปฎิมณฺฑิเต อุตฺตริมนุสฺสธเมฺม สุปฺปติฎฺฐิตพุทฺธีนํ เถรวํสปฺปทีปานํ เถรานํ มหาวิหารวาสีนํ วํสาลงฺการภูเตน วิปุลวิสุทฺธพุทฺธินา พุทฺธโฆโสติ ครูหิ คหิตนามเธเยฺยน เถเรน กตา อยํ ปรมตฺถโชติกา นาม ขุทฺทกปาฐวณฺณนา –

    Paramavisuddhasaddhābuddhivīriyaguṇappaṭimaṇḍitena sīlācārajjavamaddavādiguṇasamudayasamuditena sakasamayasamayantaragahanajjhogāhaṇasamatthena paññāveyyattiyasamannāgatena tipiṭakapariyattidhammappabhede sāṭṭhakathe satthusāsane appaṭihatañāṇappabhāvena chamahāveyyākaraṇenachamahāveyyākaraṇena karaṇasampattijanitasukhaviniggatamadhurodāravacanalāvaṇṇayuttena yuttamuttavādinā vādīvarena mahākavinā chaḷabhiññāpaṭisambhidādippabhedaguṇappaṭimaṇḍite uttarimanussadhamme suppatiṭṭhitabuddhīnaṃ theravaṃsappadīpānaṃ therānaṃ mahāvihāravāsīnaṃ vaṃsālaṅkārabhūtena vipulavisuddhabuddhinā buddhaghosoti garūhi gahitanāmadheyyena therena katā ayaṃ paramatthajotikā nāma khuddakapāṭhavaṇṇanā –

    ตาว ติฎฺฐตุ โลกสฺมิํ, โลกนิตฺถรเณสินํ;

    Tāva tiṭṭhatu lokasmiṃ, lokanittharaṇesinaṃ;

    ทเสฺสนฺตี กุลปุตฺตานํ, นยํ สีลาทิสุทฺธิยาฯ

    Dassentī kulaputtānaṃ, nayaṃ sīlādisuddhiyā.

    ยาว พุโทฺธติ นามมฺปิ, สุทฺธจิตฺตสฺส ตาทิโน;

    Yāva buddhoti nāmampi, suddhacittassa tādino;

    โลกมฺหิ โลกเชฎฺฐสฺส, ปวตฺตติ มเหสิโนติฯ

    Lokamhi lokajeṭṭhassa, pavattati mahesinoti.

    ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย

    Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya

    ขุทฺทกปาฐวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Khuddakapāṭhavaṇṇanā niṭṭhitā.




    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ขุทฺทกปาฐปาฬิ • Khuddakapāṭhapāḷi / ๙. เมตฺตสุตฺตํ • 9. Mettasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact