Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā

    ๘. เมตฺตสุตฺตวณฺณนา

    8. Mettasuttavaṇṇanā

    กรณียมตฺถกุสเลนาติ เมตฺตสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? หิมวนฺตปสฺสโต กิร เทวตาหิ อุพฺพาฬฺหา ภิกฺขู ภควโต สนฺติกํ สาวตฺถิํ อาคจฺฉิํสุฯ เตสํ ภควา ปริตฺตตฺถาย กมฺมฎฺฐานตฺถาย จ อิมํ สุตฺตํ อภาสิฯ อยํ ตาว สเงฺขโปฯ

    Karaṇīyamatthakusalenāti mettasuttaṃ. Kā uppatti? Himavantapassato kira devatāhi ubbāḷhā bhikkhū bhagavato santikaṃ sāvatthiṃ āgacchiṃsu. Tesaṃ bhagavā parittatthāya kammaṭṭhānatthāya ca imaṃ suttaṃ abhāsi. Ayaṃ tāva saṅkhepo.

    อยํ ปน วิตฺถาโร – เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ อุปกฎฺฐาย วสฺสูปนายิกายฯ เตน โข ปน สมเยน สมฺพหุลา นานาเวรชฺชกา ภิกฺขู ภควโต สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา ตตฺถ ตตฺถ วสฺสํ อุปคนฺตุกามา ภควนฺตํ อุปสงฺกมนฺติฯ ตตฺร สุทํ ภควา ราคจริตานํ สวิญฺญาณกาวิญฺญาณกวเสน เอกาทสวิธํ อสุภกมฺมฎฺฐานํ, โทสจริตานํ จตุพฺพิธํ เมตฺตาทิกมฺมฎฺฐานํ, โมหจริตานํ มรณสฺสติกมฺมฎฺฐานาทีนิ, วิตกฺกจริตานํ อานาปานสฺสติปถวีกสิณาทีนิ, สทฺธาจริตานํ พุทฺธานุสฺสติกมฺมฎฺฐานาทีนิ, พุทฺธิจริตานํ จตุธาตุววตฺถนาทีนีติ อิมินา นเยน จตุราสีติสหสฺสปฺปเภทจริตานุกูลานิ กมฺมฎฺฐานานิ กเถติฯ

    Ayaṃ pana vitthāro – ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati upakaṭṭhāya vassūpanāyikāya. Tena kho pana samayena sambahulā nānāverajjakā bhikkhū bhagavato santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā tattha tattha vassaṃ upagantukāmā bhagavantaṃ upasaṅkamanti. Tatra sudaṃ bhagavā rāgacaritānaṃ saviññāṇakāviññāṇakavasena ekādasavidhaṃ asubhakammaṭṭhānaṃ, dosacaritānaṃ catubbidhaṃ mettādikammaṭṭhānaṃ, mohacaritānaṃ maraṇassatikammaṭṭhānādīni, vitakkacaritānaṃ ānāpānassatipathavīkasiṇādīni, saddhācaritānaṃ buddhānussatikammaṭṭhānādīni, buddhicaritānaṃ catudhātuvavatthanādīnīti iminā nayena caturāsītisahassappabhedacaritānukūlāni kammaṭṭhānāni katheti.

    อถ โข ปญฺจมตฺตานิ ภิกฺขุสตานิ ภควโต สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ อุคฺคเหตฺวา สปฺปายเสนาสนญฺจ โคจรคามญฺจ ปริเยสมานานิ อนุปุเพฺพน คนฺตฺวา ปจฺจเนฺต หิมวเนฺตน สทฺธิํ เอกาพทฺธํ นีลกาจมณิสนฺนิภสิลาตลํ สีตลฆนจฺฉายนีลวนสณฺฑมณฺฑิตํ มุตฺตาตลรชตปฎฺฎสทิสวาลุกากิณฺณภูมิภาคํ สุจิสาตสีตลชลาสยปริวาริตํ ปพฺพตมทฺทสํสุฯ อถ โข เต ภิกฺขู ตเตฺถกรตฺติํ วสิตฺวา ปภาตาย รตฺติยา สรีรปริกมฺมํ กตฺวา ตสฺส อวิทูเร อญฺญตรํ คามํ ปิณฺฑาย ปวิสิํสุฯ คาโม ฆนนิเวสสนฺนิวิฎฺฐกุลสหสฺสยุโตฺต, มนุสฺสา เจตฺถ สทฺธา ปสนฺนา, เต ปจฺจเนฺต ปพฺพชิตทสฺสนสฺส ทุลฺลภตาย ภิกฺขู ทิสฺวา เอว ปีติโสมนสฺสชาตา หุตฺวา เต ภิกฺขู โภเชตฺวา ‘‘อิเธว, ภเนฺต, เตมาสํ วสถา’’ติ ยาจิตฺวา ปญฺจปธานกุฎิสตานิ การาเปตฺวา ตตฺถ มญฺจปีฐปานียปริโภชนียฆฎาทีนิ สพฺพูปกรณานิ ปฎิยาเทสุํฯ

    Atha kho pañcamattāni bhikkhusatāni bhagavato santike kammaṭṭhānaṃ uggahetvā sappāyasenāsanañca gocaragāmañca pariyesamānāni anupubbena gantvā paccante himavantena saddhiṃ ekābaddhaṃ nīlakācamaṇisannibhasilātalaṃ sītalaghanacchāyanīlavanasaṇḍamaṇḍitaṃ muttātalarajatapaṭṭasadisavālukākiṇṇabhūmibhāgaṃ sucisātasītalajalāsayaparivāritaṃ pabbatamaddasaṃsu. Atha kho te bhikkhū tatthekarattiṃ vasitvā pabhātāya rattiyā sarīraparikammaṃ katvā tassa avidūre aññataraṃ gāmaṃ piṇḍāya pavisiṃsu. Gāmo ghananivesasanniviṭṭhakulasahassayutto, manussā cettha saddhā pasannā, te paccante pabbajitadassanassa dullabhatāya bhikkhū disvā eva pītisomanassajātā hutvā te bhikkhū bhojetvā ‘‘idheva, bhante, temāsaṃ vasathā’’ti yācitvā pañcapadhānakuṭisatāni kārāpetvā tattha mañcapīṭhapānīyaparibhojanīyaghaṭādīni sabbūpakaraṇāni paṭiyādesuṃ.

    ภิกฺขู ทุติยทิวเส อญฺญํ คามํ ปิณฺฑาย ปวิสิํสุฯ ตตฺถาปิ มนุสฺสา ตเถว อุปฎฺฐหิตฺวา วสฺสาวาสํ ยาจิํสุฯ ภิกฺขู ‘‘อสติ อนฺตราเย’’ติ อธิวาเสตฺวา ตํ วนสณฺฑํ ปวิสิตฺวา สพฺพรตฺตินฺทิวํ อารทฺธวีริยา หุตฺวา ยามคณฺฑิกํ โกเฎฺฎตฺวา โยนิโสมนสิการพหุลา วิหรนฺตา รุกฺขมูลานิ อุปคนฺตฺวา นิสีทิํสุฯ สีลวนฺตานํ ภิกฺขูนํ เตเชน วิหตเตชา รุกฺขเทวตา อตฺตโน อตฺตโน วิมานา โอรุยฺห ทารเก คเหตฺวา อิโต จิโต จ วิจรนฺติฯ เสยฺยถาปิ นาม ราชูหิ วา ราชมหามเตฺตหิ วา คามกาวาสํ คเตหิ คามวาสีนํ ฆเรสุ โอกาเส คหิเต ฆรมานุสกา ฆรา นิกฺขมิตฺวา อญฺญตฺร วสนฺตา ‘‘กทา นุ โข คมิสฺสนฺตี’’ติ ทูรโต โอโลเกนฺติ; เอวเมว เทวตา อตฺตโน อตฺตโน วิมานานิ ฉเฑฺฑตฺวา อิโต จิโต จ วิจรนฺติโย ทูรโตว โอโลเกนฺติ – ‘‘กทา นุ โข ภทนฺตา คมิสฺสนฺตี’’ติฯ ตโต เอวํ สมจิเนฺตสุํ ‘‘ปฐมวสฺสูปคตา ภิกฺขู อวสฺสํ เตมาสํ วสิสฺสนฺติฯ มยํ ปน ตาว จิรํ ทารเก คเหตฺวา โอกฺกมฺม วสิตุํ น สกฺขิสฺสามฯ หนฺท มยํ ภิกฺขูนํ ภยานกํ อารมฺมณํ ทเสฺสมา’’ติฯ ตา รตฺติํ ภิกฺขูนํ สมณธมฺมกรณเวลาย ภิํสนกานิ ยกฺขรูปานิ นิมฺมินิตฺวา ปุรโต ปุรโต ติฎฺฐนฺติ, เภรวสทฺทญฺจ กโรนฺติฯ ภิกฺขูนํ ตานิ รูปานิ ปสฺสนฺตานํ ตญฺจ สทฺทํ สุณนฺตานํ หทยํ ผนฺทิ, ทุพฺพณฺณา จ อเหสุํ อุปฺปณฺฑุปณฺฑุกชาตาฯ เตน เต จิตฺตํ เอกคฺคํ กาตุํ นาสกฺขิํสุฯ เตสํ อเนกคฺคจิตฺตานํ ภเยน จ ปุนปฺปุนํ สํวิคฺคานํ สติ สมฺมุสฺสิฯ ตโต เนสํ มุฎฺฐสฺสตีนํ ทุคฺคนฺธานิ อารมฺมณานิ ปโยเชสุํฯ เตสํ เตน ทุคฺคเนฺธน นิมฺมถิยมานมิว มตฺถลุงฺคํ อโหสิ, พาฬฺหา สีสเวทนา อุปฺปชฺชิํสุ, น จ ตํ ปวตฺติํ อญฺญมญฺญสฺส อาโรเจสุํฯ

    Bhikkhū dutiyadivase aññaṃ gāmaṃ piṇḍāya pavisiṃsu. Tatthāpi manussā tatheva upaṭṭhahitvā vassāvāsaṃ yāciṃsu. Bhikkhū ‘‘asati antarāye’’ti adhivāsetvā taṃ vanasaṇḍaṃ pavisitvā sabbarattindivaṃ āraddhavīriyā hutvā yāmagaṇḍikaṃ koṭṭetvā yonisomanasikārabahulā viharantā rukkhamūlāni upagantvā nisīdiṃsu. Sīlavantānaṃ bhikkhūnaṃ tejena vihatatejā rukkhadevatā attano attano vimānā oruyha dārake gahetvā ito cito ca vicaranti. Seyyathāpi nāma rājūhi vā rājamahāmattehi vā gāmakāvāsaṃ gatehi gāmavāsīnaṃ gharesu okāse gahite gharamānusakā gharā nikkhamitvā aññatra vasantā ‘‘kadā nu kho gamissantī’’ti dūrato olokenti; evameva devatā attano attano vimānāni chaḍḍetvā ito cito ca vicarantiyo dūratova olokenti – ‘‘kadā nu kho bhadantā gamissantī’’ti. Tato evaṃ samacintesuṃ ‘‘paṭhamavassūpagatā bhikkhū avassaṃ temāsaṃ vasissanti. Mayaṃ pana tāva ciraṃ dārake gahetvā okkamma vasituṃ na sakkhissāma. Handa mayaṃ bhikkhūnaṃ bhayānakaṃ ārammaṇaṃ dassemā’’ti. Tā rattiṃ bhikkhūnaṃ samaṇadhammakaraṇavelāya bhiṃsanakāni yakkharūpāni nimminitvā purato purato tiṭṭhanti, bheravasaddañca karonti. Bhikkhūnaṃ tāni rūpāni passantānaṃ tañca saddaṃ suṇantānaṃ hadayaṃ phandi, dubbaṇṇā ca ahesuṃ uppaṇḍupaṇḍukajātā. Tena te cittaṃ ekaggaṃ kātuṃ nāsakkhiṃsu. Tesaṃ anekaggacittānaṃ bhayena ca punappunaṃ saṃviggānaṃ sati sammussi. Tato nesaṃ muṭṭhassatīnaṃ duggandhāni ārammaṇāni payojesuṃ. Tesaṃ tena duggandhena nimmathiyamānamiva matthaluṅgaṃ ahosi, bāḷhā sīsavedanā uppajjiṃsu, na ca taṃ pavattiṃ aññamaññassa ārocesuṃ.

    อเถกทิวสํ สงฺฆเตฺถรสฺส อุปฎฺฐานกาเล สเพฺพสุ สนฺนิปติเตสุ สงฺฆเตฺถโร ปุจฺฉิ – ‘‘ตุมฺหากํ, อาวุโส, อิมํ วนสณฺฑํ ปวิฎฺฐานํ กติปาหํ อติวิย ปริสุโทฺธ ฉวิวโณฺณ อโหสิ ปริโยทาโต, วิปฺปสนฺนานิ จ อินฺทฺริยานิ เอตรหิ ปนตฺถ กิสา ทุพฺพณฺณา อุปฺปณฺฑุปณฺฑุกชาตา, กิํ โว อิธ อสปฺปาย’’นฺติ? ตโต เอโก ภิกฺขุ อาห – ‘‘อหํ, ภเนฺต, รตฺติํ อีทิสญฺจ อีทิสญฺจ เภรวารมฺมณํ ปสฺสามิ จ สุณามิ จ, อีทิสญฺจ คนฺธํ ฆายามิ, เตน เม จิตฺตํ น สมาธิยตี’’ติฯ เอเตเนว อุปาเยน สเพฺพ ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสุํฯ สงฺฆเตฺถโร อาห – ‘‘ภควตา อาวุโส เทฺว วสฺสูปนายิกา ปญฺญตฺตา, อมฺหากญฺจ อิทํ เสนาสนํ อสปฺปายํ, อายามาวุโส ภควโต สนฺติกํ, คนฺตฺวา อญฺญํ สปฺปายํ เสนาสนํ ปุจฺฉามา’’ติฯ ‘‘สาธุ ภเนฺต’’ติ เต ภิกฺขู เถรสฺส ปฎิสฺสุณิตฺวา สเพฺพ เสนาสนํ สํสาเมตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อนุปลิตฺตตฺตา กุเลสุ กญฺจิ อนามเนฺตตฺวา เอว เยน สาวตฺถิ เตน จาริกํ ปกฺกมิํสุฯ อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ คนฺตฺวา ภควโต สนฺติกํ อคมิํสุฯ

    Athekadivasaṃ saṅghattherassa upaṭṭhānakāle sabbesu sannipatitesu saṅghatthero pucchi – ‘‘tumhākaṃ, āvuso, imaṃ vanasaṇḍaṃ paviṭṭhānaṃ katipāhaṃ ativiya parisuddho chavivaṇṇo ahosi pariyodāto, vippasannāni ca indriyāni etarahi panattha kisā dubbaṇṇā uppaṇḍupaṇḍukajātā, kiṃ vo idha asappāya’’nti? Tato eko bhikkhu āha – ‘‘ahaṃ, bhante, rattiṃ īdisañca īdisañca bheravārammaṇaṃ passāmi ca suṇāmi ca, īdisañca gandhaṃ ghāyāmi, tena me cittaṃ na samādhiyatī’’ti. Eteneva upāyena sabbe taṃ pavattiṃ ārocesuṃ. Saṅghatthero āha – ‘‘bhagavatā āvuso dve vassūpanāyikā paññattā, amhākañca idaṃ senāsanaṃ asappāyaṃ, āyāmāvuso bhagavato santikaṃ, gantvā aññaṃ sappāyaṃ senāsanaṃ pucchāmā’’ti. ‘‘Sādhu bhante’’ti te bhikkhū therassa paṭissuṇitvā sabbe senāsanaṃ saṃsāmetvā pattacīvaramādāya anupalittattā kulesu kañci anāmantetvā eva yena sāvatthi tena cārikaṃ pakkamiṃsu. Anupubbena sāvatthiṃ gantvā bhagavato santikaṃ agamiṃsu.

    ภควา เต ภิกฺขู ทิสฺวา เอตทโวจ – ‘‘น, ภิกฺขเว, อโนฺตวสฺสํ จาริกา จริตพฺพาติ มยา สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, กิสฺส ตุเมฺห จาริกํ จรถา’’ติฯ เต ภควโต สพฺพํ อาโรเจสุํฯ ภควา อาวเชฺชโนฺต สกลชมฺพุทีเป อนฺตมโส จตุปฺปาทปีฐกฎฺฐานมตฺตมฺปิ เตสํ สปฺปายํ เสนาสนํ นาทฺทสฯ อถ เต ภิกฺขู อาห – ‘‘น, ภิกฺขเว, ตุมฺหากํ อญฺญํ สปฺปายํ เสนาสนํ อตฺถิ, ตเตฺถว ตุเมฺห วิหรนฺตา อาสวกฺขยํ ปาปุเณยฺยาถฯ คจฺฉถ, ภิกฺขเว, ตเมว เสนาสนํ อุปนิสฺสาย วิหรถฯ สเจ ปน เทวตาหิ อภยํ อิจฺฉถ, อิมํ ปริตฺตํ อุคฺคณฺหถ, เอตญฺหิ โว ปริตฺตญฺจ กมฺมฎฺฐานญฺจ ภวิสฺสตี’’ติ อิมํ สุตฺตมภาสิฯ

    Bhagavā te bhikkhū disvā etadavoca – ‘‘na, bhikkhave, antovassaṃ cārikā caritabbāti mayā sikkhāpadaṃ paññattaṃ, kissa tumhe cārikaṃ carathā’’ti. Te bhagavato sabbaṃ ārocesuṃ. Bhagavā āvajjento sakalajambudīpe antamaso catuppādapīṭhakaṭṭhānamattampi tesaṃ sappāyaṃ senāsanaṃ nāddasa. Atha te bhikkhū āha – ‘‘na, bhikkhave, tumhākaṃ aññaṃ sappāyaṃ senāsanaṃ atthi, tattheva tumhe viharantā āsavakkhayaṃ pāpuṇeyyātha. Gacchatha, bhikkhave, tameva senāsanaṃ upanissāya viharatha. Sace pana devatāhi abhayaṃ icchatha, imaṃ parittaṃ uggaṇhatha, etañhi vo parittañca kammaṭṭhānañca bhavissatī’’ti imaṃ suttamabhāsi.

    อปเร ปนาหุ – ‘‘คจฺฉถ, ภิกฺขเว, ตเมว เสนาสนํ อุปนิสฺสาย วิหรถา’’ติ อิทญฺจ วตฺวา ภควา อาห – ‘‘อปิจ โข อารญฺญเกน ปริหรณํ ญาตพฺพํฯ เสยฺยถิทํ – สายํปาตํ กรณวเสน เทฺว เมตฺตา, เทฺว ปริตฺตา, เทฺว อสุภา, เทฺว มรณสฺสตี อฎฺฐ มหาสํเวควตฺถุสมาวชฺชนญฺจฯ อฎฺฐ มหาสํเวควตฺถูนิ นาม ชาติ ชรา พฺยาธิ มรณํ จตฺตาริ อปายทุกฺขานีติ ฯ อถ วา ชาติชราพฺยาธิมรณานิ จตฺตาริ, อปายทุกฺขํ ปญฺจมํ, อตีเต วฎฺฎมูลกํ ทุกฺขํ, อนาคเต วฎฺฎมูลกํ ทุกฺขํ, ปจฺจุปฺปเนฺน อาหารปริเยฎฺฐิมูลกํ ทุกฺข’’นฺติฯ เอวํ ภควา ปริหรณํ อาจิกฺขิตฺวา เตสํ ภิกฺขูนํ เมตฺตตฺถญฺจ ปริตฺตตฺถญฺจ วิปสฺสนาปาทกฌานตฺถญฺจ อิมํ สุตฺตํ อภาสีติฯ

    Apare panāhu – ‘‘gacchatha, bhikkhave, tameva senāsanaṃ upanissāya viharathā’’ti idañca vatvā bhagavā āha – ‘‘apica kho āraññakena pariharaṇaṃ ñātabbaṃ. Seyyathidaṃ – sāyaṃpātaṃ karaṇavasena dve mettā, dve parittā, dve asubhā, dve maraṇassatī aṭṭha mahāsaṃvegavatthusamāvajjanañca. Aṭṭha mahāsaṃvegavatthūni nāma jāti jarā byādhi maraṇaṃ cattāri apāyadukkhānīti . Atha vā jātijarābyādhimaraṇāni cattāri, apāyadukkhaṃ pañcamaṃ, atīte vaṭṭamūlakaṃ dukkhaṃ, anāgate vaṭṭamūlakaṃ dukkhaṃ, paccuppanne āhārapariyeṭṭhimūlakaṃ dukkha’’nti. Evaṃ bhagavā pariharaṇaṃ ācikkhitvā tesaṃ bhikkhūnaṃ mettatthañca parittatthañca vipassanāpādakajhānatthañca imaṃ suttaṃ abhāsīti.

    ๑๔๓. ตตฺถ กรณียมตฺถกุสเลนาติ อิมิสฺสา ปฐมคาถาย ตาว อยํ ปทวณฺณนา – กรณียนฺติ กาตพฺพํ, กรณารหนฺติ อโตฺถฯ อโตฺถติ ปฎิปทา, ยํ วา กิญฺจิ อตฺตโน หิตํ, ตํ สพฺพํ อรณียโต อโตฺถติ วุจฺจติ, อรณียโต นาม อุปคนฺตพฺพโตฯ อเตฺถ กุสเลน อตฺถกุสเลน, อตฺถเฉเกนาติ วุตฺตํ โหติฯ นฺติ อนิยมิตปจฺจตฺตํฯ นฺติ นิยมิตอุปโยคํฯ อุภยมฺปิ วา ยํ ตนฺติ ปจฺจตฺตวจนํฯ สนฺตํ ปทนฺติ อุปโยควจนํฯ ตตฺถ ลกฺขณโต สนฺตํ, ปตฺตพฺพโต ปทํ, นิพฺพานเสฺสตํ อธิวจนํฯ อภิสเมจฺจาติ อภิสมาคนฺตฺวาฯ สโกฺกตีติ สโกฺก, สมโตฺถ ปฎิพโลติ วุตฺตํ โหติฯ อุชูติ อชฺชวยุโตฺตฯ สุฎฺฐุ อุชูติ สุหุชุฯ สุขํ วโจ อสฺมินฺติ สุวโจฯ อสฺสาติ ภเวยฺยฯ มุทูติ มทฺทวยุโตฺตฯ น อติมานีติ อนติมานี

    143. Tattha karaṇīyamatthakusalenāti imissā paṭhamagāthāya tāva ayaṃ padavaṇṇanā – karaṇīyanti kātabbaṃ, karaṇārahanti attho. Atthoti paṭipadā, yaṃ vā kiñci attano hitaṃ, taṃ sabbaṃ araṇīyato atthoti vuccati, araṇīyato nāma upagantabbato. Atthe kusalena atthakusalena, atthachekenāti vuttaṃ hoti. Yanti aniyamitapaccattaṃ. Nti niyamitaupayogaṃ. Ubhayampi vā yaṃ tanti paccattavacanaṃ. Santaṃ padanti upayogavacanaṃ. Tattha lakkhaṇato santaṃ, pattabbato padaṃ, nibbānassetaṃ adhivacanaṃ. Abhisameccāti abhisamāgantvā. Sakkotīti sakko, samattho paṭibaloti vuttaṃ hoti. Ujūti ajjavayutto. Suṭṭhu ujūti suhuju. Sukhaṃ vaco asminti suvaco. Assāti bhaveyya. Mudūti maddavayutto. Na atimānīti anatimānī.

    อยํ ปเนตฺถ อตฺถวณฺณนา – กรณียมตฺถกุสเลน ยนฺต สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจาติฯ เอตฺถ ตาว อตฺถิ กรณียํ, อตฺถิ อกรณียํฯ ตตฺถ สเงฺขปโต สิกฺขตฺตยํ กรณียํ, สีลวิปตฺติ, ทิฎฺฐิวิปตฺติ, อาจารวิปตฺติ, อาชีววิปตฺตีติ เอวมาทิ อกรณียํฯ ตถา อตฺถิ อตฺถกุสโล, อตฺถิ อนตฺถกุสโลฯ

    Ayaṃ panettha atthavaṇṇanā – karaṇīyamatthakusalena yanta santaṃ padaṃ abhisameccāti. Ettha tāva atthi karaṇīyaṃ, atthi akaraṇīyaṃ. Tattha saṅkhepato sikkhattayaṃ karaṇīyaṃ, sīlavipatti, diṭṭhivipatti, ācāravipatti, ājīvavipattīti evamādi akaraṇīyaṃ. Tathā atthi atthakusalo, atthi anatthakusalo.

    ตตฺถ โย อิมสฺมิํ สาสเน ปพฺพชิตฺวา น อตฺตานํ สมฺมา ปโยเชติ, ขณฺฑสีโล โหติ, เอกวีสติวิธํ อเนสนํ นิสฺสาย ชีวิกํ กเปฺปติฯ เสยฺยถิทํ – เวฬุทานํ, ปตฺตทานํ, ปุปฺผทานํ, ผลทานํ, ทนฺตกฎฺฐทานํ, มุโขทกทานํ, สินานทานํ, จุณฺณทานํ, มตฺติกาทานํ, จาฎุกมฺยตํ, มุคฺคสูปฺยตํ, ปาริภฎุตํ, ชงฺฆเปสนิยํ, เวชฺชกมฺมํ, ทูตกมฺมํ, ปหิณคมนํ, ปิณฺฑปฎิปิณฺฑทานานุปฺปทานํ, วตฺถุวิชฺชํ, นกฺขตฺตวิชฺชํ, องฺควิชฺชนฺติฯ ฉพฺพิเธ จ อโคจเร จรติ ฯ เสยฺยถิทํ – เวสิยโคจเร วิธวาถุลฺลกุมาริกปณฺฑกภิกฺขุนิปานาคารโคจเรติฯ สํสโฎฺฐ จ วิหรติ ราชูหิ ราชมหามเตฺตหิ ติตฺถิเยหิ ติตฺถิยสาวเกหิ อนนุโลมิเกน คิหิสํสเคฺคนฯ ยานิ วา ปน ตานิ กุลานิ อสทฺธานิ อปฺปสนฺนานิ อโนปานภูตานิ อโกฺกสกปริภาสกานิ อนตฺถกามานิ อหิตอผาสุกอโยคเกฺขมกามานิ ภิกฺขูนํ…เป.… อุปาสิกานํ, ตถารูปานิ กุลานิ เสวติ ภชติ ปยิรุปาสติฯ อยํ อนตฺถกุสโล

    Tattha yo imasmiṃ sāsane pabbajitvā na attānaṃ sammā payojeti, khaṇḍasīlo hoti, ekavīsatividhaṃ anesanaṃ nissāya jīvikaṃ kappeti. Seyyathidaṃ – veḷudānaṃ, pattadānaṃ, pupphadānaṃ, phaladānaṃ, dantakaṭṭhadānaṃ, mukhodakadānaṃ, sinānadānaṃ, cuṇṇadānaṃ, mattikādānaṃ, cāṭukamyataṃ, muggasūpyataṃ, pāribhaṭutaṃ, jaṅghapesaniyaṃ, vejjakammaṃ, dūtakammaṃ, pahiṇagamanaṃ, piṇḍapaṭipiṇḍadānānuppadānaṃ, vatthuvijjaṃ, nakkhattavijjaṃ, aṅgavijjanti. Chabbidhe ca agocare carati . Seyyathidaṃ – vesiyagocare vidhavāthullakumārikapaṇḍakabhikkhunipānāgāragocareti. Saṃsaṭṭho ca viharati rājūhi rājamahāmattehi titthiyehi titthiyasāvakehi ananulomikena gihisaṃsaggena. Yāni vā pana tāni kulāni asaddhāni appasannāni anopānabhūtāni akkosakaparibhāsakāni anatthakāmāni ahitaaphāsukaayogakkhemakāmāni bhikkhūnaṃ…pe… upāsikānaṃ, tathārūpāni kulāni sevati bhajati payirupāsati. Ayaṃ anatthakusalo.

    โย ปน อิมสฺมิํ สาสเน ปพฺพชิตฺวา อตฺตานํ สมฺมา ปโยเชติ, อเนสนํ ปหาย จตุปาริสุทฺธิสีเล ปติฎฺฐาตุกาโม สทฺธาสีเสน ปาติโมกฺขสํวรํ, สติสีเสน อินฺทฺริยสํวรํ, วีริยสีเสน อาชีวปาริสุทฺธิํ, ปญฺญาสีเสน ปจฺจยปฎิเสวนํ ปูเรติ อยํ อตฺถกุสโล

    Yo pana imasmiṃ sāsane pabbajitvā attānaṃ sammā payojeti, anesanaṃ pahāya catupārisuddhisīle patiṭṭhātukāmo saddhāsīsena pātimokkhasaṃvaraṃ, satisīsena indriyasaṃvaraṃ, vīriyasīsena ājīvapārisuddhiṃ, paññāsīsena paccayapaṭisevanaṃ pūreti ayaṃ atthakusalo.

    โย วา สตฺตาปตฺติกฺขนฺธโสธนวเสน ปาติโมกฺขสํวรํ, ฉทฺวาเร ฆฎฺฎิตารมฺมเณสุ อภิชฺฌาทีนํ อนุปฺปตฺติวเสน อินฺทฺริยสํวรํ, อเนสนปริวชฺชนวเสน วิญฺญุปสตฺถพุทฺธพุทฺธสาวกวณฺณิตปจฺจยปฎิเสวเนน จ อาชีวปาริสุทฺธิํ, ยถาวุตฺตปจฺจเวกฺขณวเสน ปจฺจยปฎิเสวนํ, จตุอิริยาปถปริวตฺตเน สาตฺถกาทีนํ ปจฺจเวกฺขณวเสน สมฺปชญฺญญฺจ โสเธติ, อยมฺปิ อตฺถกุสโล

    Yo vā sattāpattikkhandhasodhanavasena pātimokkhasaṃvaraṃ, chadvāre ghaṭṭitārammaṇesu abhijjhādīnaṃ anuppattivasena indriyasaṃvaraṃ, anesanaparivajjanavasena viññupasatthabuddhabuddhasāvakavaṇṇitapaccayapaṭisevanena ca ājīvapārisuddhiṃ, yathāvuttapaccavekkhaṇavasena paccayapaṭisevanaṃ, catuiriyāpathaparivattane sātthakādīnaṃ paccavekkhaṇavasena sampajaññañca sodheti, ayampi atthakusalo.

    โย วา ยถา อูโสทกํ ปฎิจฺจ สํกิลิฎฺฐํ วตฺถํ ปริโยทายติ, ฉาริกํ ปฎิจฺจ อาทาโส, อุกฺกามุขํ ปฎิจฺจ ชาตรูปํ, ตถา ญาณํ ปฎิจฺจ สีลํ โวทายตีติ ญตฺวา ญาโณทเกน โธวโนฺต สีลํ ปริโยทาเปติฯ ยถา จ กิกี สกุณิกา อณฺฑํ, จมรีมิโค วาลธิํ, เอกปุตฺติกา นารี ปิยํ เอกปุตฺตกํ, เอกนยโน ปุริโส ตํ เอกนยนํ รกฺขติ, ตถา อติวิย อปฺปมโตฺต อตฺตโน สีลกฺขนฺธํ รกฺขติ, สายํปาตํ ปจฺจเวกฺขมาโน อณุมตฺตมฺปิ วชฺชํ น ปสฺสติ, อยมฺปิ อตฺถกุสโล

    Yo vā yathā ūsodakaṃ paṭicca saṃkiliṭṭhaṃ vatthaṃ pariyodāyati, chārikaṃ paṭicca ādāso, ukkāmukhaṃ paṭicca jātarūpaṃ, tathā ñāṇaṃ paṭicca sīlaṃ vodāyatīti ñatvā ñāṇodakena dhovanto sīlaṃ pariyodāpeti. Yathā ca kikī sakuṇikā aṇḍaṃ, camarīmigo vāladhiṃ, ekaputtikā nārī piyaṃ ekaputtakaṃ, ekanayano puriso taṃ ekanayanaṃ rakkhati, tathā ativiya appamatto attano sīlakkhandhaṃ rakkhati, sāyaṃpātaṃ paccavekkhamāno aṇumattampi vajjaṃ na passati, ayampi atthakusalo.

    โย วา ปน อวิปฺปฎิสารกรสีเล ปติฎฺฐาย กิเลสวิกฺขมฺภนปฎิปทํ ปคฺคณฺหาติ, ตํ ปคฺคเหตฺวา กสิณปริกมฺมํ กโรติ, กสิณปริกมฺมํ กตฺวา สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตติ, อยมฺปิ อตฺถกุสโลฯ โย วา ปน สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย สงฺขาเร สมฺมสิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ, อยํ อตฺถกุสลานํ อโคฺคฯ

    Yo vā pana avippaṭisārakarasīle patiṭṭhāya kilesavikkhambhanapaṭipadaṃ paggaṇhāti, taṃ paggahetvā kasiṇaparikammaṃ karoti, kasiṇaparikammaṃ katvā samāpattiyo nibbatteti, ayampi atthakusalo. Yo vā pana samāpattito vuṭṭhāya saṅkhāre sammasitvā arahattaṃ pāpuṇāti, ayaṃ atthakusalānaṃ aggo.

    ตตฺถ เย อิเม ยาว อวิปฺปฎิสารกรสีเล ปติฎฺฐาเนน, ยาว วา กิเลสวิกฺขมฺภนปฎิปทาย ปคฺคหเณน มคฺคผเลน วณฺณิตา อตฺถกุสลา, เต อิมสฺมิํ อเตฺถ อตฺถกุสลาติ อธิเปฺปตาฯ ตถาวิธา จ เต ภิกฺขูฯ เตน ภควา เต ภิกฺขู สนฺธาย เอกปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เทสนาย ‘‘กรณียมตฺถกุสเลนา’’ติ อาหฯ

    Tattha ye ime yāva avippaṭisārakarasīle patiṭṭhānena, yāva vā kilesavikkhambhanapaṭipadāya paggahaṇena maggaphalena vaṇṇitā atthakusalā, te imasmiṃ atthe atthakusalāti adhippetā. Tathāvidhā ca te bhikkhū. Tena bhagavā te bhikkhū sandhāya ekapuggalādhiṭṭhānāya desanāya ‘‘karaṇīyamatthakusalenā’’ti āha.

    ตโต ‘‘กิํ กรณีย’’นฺติ เตสํ สญฺชาตกงฺขานํ อาห ‘‘ยนฺต สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจา’’ติฯ อยเมตฺถ อธิปฺปาโย – ตํ พุทฺธานุพุเทฺธหิ วณฺณิตํ สนฺตํ นิพฺพานปทํ ปฎิเวธวเสน อภิสเมจฺจ วิหริตุกาเมน ยํ กรณียนฺติฯ เอตฺถ จ นฺติ อิมสฺส คาถาปาทสฺส อาทิโต วุตฺตเมว กรณียนฺติฯ อธิการโต อนุวตฺตติ ตํ สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจาติฯ อยํ ปน ยสฺมา สาวเสสปาโฐ อโตฺถ, ตสฺมา ‘‘วิหริตุกาเมนา’’ติ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Tato ‘‘kiṃ karaṇīya’’nti tesaṃ sañjātakaṅkhānaṃ āha ‘‘yanta santaṃ padaṃ abhisameccā’’ti. Ayamettha adhippāyo – taṃ buddhānubuddhehi vaṇṇitaṃ santaṃ nibbānapadaṃ paṭivedhavasena abhisamecca viharitukāmena yaṃ karaṇīyanti. Ettha ca yanti imassa gāthāpādassa ādito vuttameva karaṇīyanti. Adhikārato anuvattati taṃ santaṃ padaṃ abhisameccāti. Ayaṃ pana yasmā sāvasesapāṭho attho, tasmā ‘‘viharitukāmenā’’ti vuttanti veditabbaṃ.

    อถ วา สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจาติ อนุสฺสวาทิวเสน โลกิยปญฺญาย นิพฺพานปทํ สนฺตนฺติ ญตฺวา ตํ อธิคนฺตุกาเมน ยนฺตํ กรณียนฺติ อธิการโต อนุวตฺตติ, ตํ กรณียมตฺถกุสเลนาติ เอวเมฺปตฺถ อธิปฺปาโย เวทิตโพฺพฯ อถ วา ‘‘กรณียมตฺถกุสเลนา’’ติ วุเตฺต ‘‘กิ’’นฺติ จิเนฺตนฺตานํ อาห ‘‘ยนฺต สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจา’’ติฯ ตเสฺสวํ อธิปฺปาโย เวทิตโพฺพ – โลกิยปญฺญาย สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจ ยํ กรณียํ, ตนฺติฯ ยํ กาตพฺพํ, ตํ กรณียํ, กรณารหเมว ตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    Atha vā santaṃ padaṃ abhisameccāti anussavādivasena lokiyapaññāya nibbānapadaṃ santanti ñatvā taṃ adhigantukāmena yantaṃ karaṇīyanti adhikārato anuvattati, taṃ karaṇīyamatthakusalenāti evampettha adhippāyo veditabbo. Atha vā ‘‘karaṇīyamatthakusalenā’’ti vutte ‘‘ki’’nti cintentānaṃ āha ‘‘yanta santaṃ padaṃ abhisameccā’’ti. Tassevaṃ adhippāyo veditabbo – lokiyapaññāya santaṃ padaṃ abhisamecca yaṃ karaṇīyaṃ, tanti. Yaṃ kātabbaṃ, taṃ karaṇīyaṃ, karaṇārahameva tanti vuttaṃ hoti.

    กิํ ปน ตนฺติ? กิมญฺญํ สิยา อญฺญตฺร ตทธิคมูปายโตฯ กามเญฺจตํ กรณารหเตฺถน สิกฺขตฺตยทีปเกน อาทิปเทเนว วุตฺตํฯ ตถา หิ ตสฺส อตฺถวณฺณนายํ อโวจุมฺหา ‘‘อตฺถิ กรณียํ อตฺถิ อกรณียํฯ ตตฺถ สเงฺขปโต สิกฺขตฺตยํ กรณีย’’นฺติฯ อติสเงฺขปเทสิตตฺตา ปน เตสํ ภิกฺขูนํ เกหิจิ วิญฺญาตํ, เกหิจิ น วิญฺญาตํฯ ตโต เยหิ น วิญฺญาตํ, เตสํ วิญฺญาปนตฺถํ ยํ วิเสสโต อารญฺญเกน ภิกฺขุนา กาตพฺพํ, ตํ วิตฺถาเรโนฺต ‘‘สโกฺก อุชู จ สุหุชู จ, สุวโจ จสฺส มุทุ อนติมานี’’ติ อิมํ ตาว อุปฑฺฒคาถํ อาหฯ

    Kiṃ pana tanti? Kimaññaṃ siyā aññatra tadadhigamūpāyato. Kāmañcetaṃ karaṇārahatthena sikkhattayadīpakena ādipadeneva vuttaṃ. Tathā hi tassa atthavaṇṇanāyaṃ avocumhā ‘‘atthi karaṇīyaṃ atthi akaraṇīyaṃ. Tattha saṅkhepato sikkhattayaṃ karaṇīya’’nti. Atisaṅkhepadesitattā pana tesaṃ bhikkhūnaṃ kehici viññātaṃ, kehici na viññātaṃ. Tato yehi na viññātaṃ, tesaṃ viññāpanatthaṃ yaṃ visesato āraññakena bhikkhunā kātabbaṃ, taṃ vitthārento ‘‘sakko ujū ca suhujū ca, suvaco cassa mudu anatimānī’’ti imaṃ tāva upaḍḍhagāthaṃ āha.

    กิํ วุตฺตํ โหติ? สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจ วิหริตุกาโม โลกิยปญฺญาย วา ตํ อภิสเมจฺจ ตทธิคมาย ปฎิปชฺชมาโน อารญฺญโก ภิกฺขุ ทุติยจตุตฺถปธานิยงฺคสมนฺนาคเมน กาเย จ ชีวิเต จ อนเปโกฺข หุตฺวา สจฺจปฎิเวธาย ปฎิปชฺชิตุํ สโกฺก อสฺส, ตถา กสิณปริกมฺมวตฺตสมาทานาทีสุ, อตฺตโน ปตฺตจีวรปฎิสงฺขรณาทีสุ จ ยานิ ตานิ สพฺรหฺมจารีนํ อุจฺจาวจานิ กิํ กรณียานิ, เตสุ อเญฺญสุ จ เอวรูเปสุ สโกฺก อสฺส ทโกฺข อนลโส สมโตฺถฯ สโกฺก โหโนฺตปิ จ ตติยปธานิยงฺคสมนฺนาคเมน อุชุ อสฺสฯ อุชุ โหโนฺตปิ จ สกิํ อุชุภาเวน สโนฺตสํ อนาปชฺชิตฺวา ยาวชีวํ ปุนปฺปุนํ อสิถิลกรเณน สุฎฺฐุตรํ อุชุ อสฺสฯ อสฐตาย วา อุชุ, อมายาวิตาย สุหุชุฯ กายวจีวงฺกปฺปหาเนน วา อุชุ, มโนวงฺกปฺปหาเนน สุหุชุฯ อสนฺตคุณสฺส วา อนาวิกรเณน อุชุ, อสนฺตคุเณน อุปฺปนฺนสฺส ลาภสฺส อนธิวาสเนน สุหุชุฯ เอวํ อารมฺมณลกฺขณูปนิชฺฌาเนหิ ปุริมทฺวยตติยสิกฺขาหิ ปโยคาสยสุทฺธีหิ จ อุชุ จ สุหุชุ จ อสฺสฯ

    Kiṃ vuttaṃ hoti? Santaṃ padaṃ abhisamecca viharitukāmo lokiyapaññāya vā taṃ abhisamecca tadadhigamāya paṭipajjamāno āraññako bhikkhu dutiyacatutthapadhāniyaṅgasamannāgamena kāye ca jīvite ca anapekkho hutvā saccapaṭivedhāya paṭipajjituṃ sakko assa, tathā kasiṇaparikammavattasamādānādīsu, attano pattacīvarapaṭisaṅkharaṇādīsu ca yāni tāni sabrahmacārīnaṃ uccāvacāni kiṃ karaṇīyāni, tesu aññesu ca evarūpesu sakko assa dakkho analaso samattho. Sakko hontopi ca tatiyapadhāniyaṅgasamannāgamena uju assa. Uju hontopi ca sakiṃ ujubhāvena santosaṃ anāpajjitvā yāvajīvaṃ punappunaṃ asithilakaraṇena suṭṭhutaraṃ uju assa. Asaṭhatāya vā uju, amāyāvitāya suhuju. Kāyavacīvaṅkappahānena vā uju, manovaṅkappahānena suhuju. Asantaguṇassa vā anāvikaraṇena uju, asantaguṇena uppannassa lābhassa anadhivāsanena suhuju. Evaṃ ārammaṇalakkhaṇūpanijjhānehi purimadvayatatiyasikkhāhi payogāsayasuddhīhi ca uju ca suhuju ca assa.

    น เกวลญฺจ อุชุ จ สุหุชุ จ, อปิจ ปน สุพฺพโจ จ อสฺสฯ โย หิ ปุคฺคโล ‘‘อิทํ น กาตพฺพ’’นฺติ วุโตฺต ‘‘กิํ เต ทิฎฺฐํ, กิํ เต สุตํ, โก เม หุตฺวา วทสิ, กิํ อุปชฺฌาโย อาจริโย สนฺทิโฎฺฐ สมฺภโตฺต วา’’ติ วทติ, ตุณฺหีภาเวน วา ตํ วิเหเฐติ, สมฺปฎิจฺฉิตฺวา วา น ตถา กโรติ, โส วิเสสาธิคมสฺส ทูเร โหติฯ โย ปน โอวทิยมาโน ‘‘สาธุ, ภเนฺต, สุฎฺฐุ วุตฺตํ, อตฺตโน วชฺชํ นาม ทุทฺทสํ โหติ, ปุนปิ มํ เอวรูปํ ทิสฺวา วเทยฺยาถ อนุกมฺปํ อุปาทาย, จิรสฺสํ เม ตุมฺหากํ สนฺติกา โอวาโท ลโทฺธ’’ติ วทติ, ยถานุสิฎฺฐญฺจ ปฎิปชฺชติ, โส วิเสสาธิคมสฺส อวิทูเร โหติฯ ตสฺมา เอวํ ปรสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา กโรโนฺต สุพฺพโจ จ อสฺสฯ

    Na kevalañca uju ca suhuju ca, apica pana subbaco ca assa. Yo hi puggalo ‘‘idaṃ na kātabba’’nti vutto ‘‘kiṃ te diṭṭhaṃ, kiṃ te sutaṃ, ko me hutvā vadasi, kiṃ upajjhāyo ācariyo sandiṭṭho sambhatto vā’’ti vadati, tuṇhībhāvena vā taṃ viheṭheti, sampaṭicchitvā vā na tathā karoti, so visesādhigamassa dūre hoti. Yo pana ovadiyamāno ‘‘sādhu, bhante, suṭṭhu vuttaṃ, attano vajjaṃ nāma duddasaṃ hoti, punapi maṃ evarūpaṃ disvā vadeyyātha anukampaṃ upādāya, cirassaṃ me tumhākaṃ santikā ovādo laddho’’ti vadati, yathānusiṭṭhañca paṭipajjati, so visesādhigamassa avidūre hoti. Tasmā evaṃ parassa vacanaṃ sampaṭicchitvā karonto subbaco ca assa.

    ยถา จ สุวโจ, เอวํ มุทุ อสฺสฯ มุทูติ คหเฎฺฐหิ ทูตคมนปฺปหิณคมนาทีสุ นิยุญฺชิยมาโน ตตฺถ มุทุภาวํ อกตฺวา ถโทฺธ หุตฺวา วตฺตปฎิปตฺติยํ สกลพฺรหฺมจริเย จ มุทุ อสฺส สุปริกมฺมกตสุวณฺณํ วิย ตตฺถ ตตฺถ วินิโยคกฺขโมฯ อถ วา มุทูติ อภากุฎิโก อุตฺตานมุโข สุขสมฺภาโส ปฎิสนฺถารวุตฺติ สุติตฺถํ วิย สุขาวคาโห อสฺสฯ น เกวลญฺจ มุทุ, อปิจ ปน อนติมานี อสฺส, ชาติโคตฺตาทีหิ อติมานวตฺถูหิ ปเร นาติมเญฺญยฺย, สาริปุตฺตเตฺถโร วิย จณฺฑาลกุมารกสเมน เจตสา วิหเรยฺยาติฯ

    Yathā ca suvaco, evaṃ mudu assa. Mudūti gahaṭṭhehi dūtagamanappahiṇagamanādīsu niyuñjiyamāno tattha mudubhāvaṃ akatvā thaddho hutvā vattapaṭipattiyaṃ sakalabrahmacariye ca mudu assa suparikammakatasuvaṇṇaṃ viya tattha tattha viniyogakkhamo. Atha vā mudūti abhākuṭiko uttānamukho sukhasambhāso paṭisanthāravutti sutitthaṃ viya sukhāvagāho assa. Na kevalañca mudu, apica pana anatimānī assa, jātigottādīhi atimānavatthūhi pare nātimaññeyya, sāriputtatthero viya caṇḍālakumārakasamena cetasā vihareyyāti.

    ๑๔๔. เอวํ ภควา สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจ วิหริตุกามสฺส ตทธิคมาย วา ปฎิปชฺชมานสฺส วิเสสโต อารญฺญกสฺส ภิกฺขุโน เอกจฺจํ กรณียํ วตฺวา ปุน ตตุตฺตริปิ วตฺตุกาโม ‘‘สนฺตุสฺสโก จา’’ติ ทุติยํ คาถมาหฯ

    144. Evaṃ bhagavā santaṃ padaṃ abhisamecca viharitukāmassa tadadhigamāya vā paṭipajjamānassa visesato āraññakassa bhikkhuno ekaccaṃ karaṇīyaṃ vatvā puna tatuttaripi vattukāmo ‘‘santussako cā’’ti dutiyaṃ gāthamāha.

    ตตฺถ ‘‘สนฺตุฎฺฐี จ กตญฺญุตา’’ติ เอตฺถ วุตฺตปฺปเภเทน ทฺวาทสวิเธน สโนฺตเสน สนฺตุสฺสตีติ สนฺตุสฺสโกฯ อถ วา ตุสฺสตีติ ตุสฺสโก, สเกน ตุสฺสโก, สเนฺตน ตุสฺสโก, สเมน ตุสฺสโกติ สนฺตุสฺสโกฯ ตตฺถ สกํ นาม ‘‘ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ นิสฺสายา’’ติ (มหาว. ๗๓) เอวํ อุปสมฺปทมาฬเก อุทฺทิฎฺฐํ อตฺตนา จ สมฺปฎิจฺฉิตํ จตุปจฺจยชาตํฯ เตน สุนฺทเรน วา อสุนฺทเรน วา สกฺกจฺจํ วา อสกฺกจฺจํ วา ทิเนฺนน ปฎิคฺคหณกาเล ปริโภคกาเล จ วิการมทเสฺสตฺวา ยาเปโนฺต ‘‘สเกน ตุสฺสโก’’ติ วุจฺจติฯ สนฺตํ นาม ยํ ลทฺธํ โหติ อตฺตโน วิชฺชมานํ, เตน สเนฺตเนว ตุสฺสโนฺต ตโต ปรํ น ปเตฺถโนฺต อตฺริจฺฉตํ ปชหโนฺต ‘‘สเนฺตน ตุสฺสโก’’ติ วุจฺจติฯ สมํ นาม อิฎฺฐานิเฎฺฐสุ อนุนยปฎิฆปฺปหานํฯ เตน สเมน สพฺพารมฺมเณสุ ตุสฺสโนฺต ‘‘สเมน ตุสฺสโก’’ติ วุจฺจติฯ

    Tattha ‘‘santuṭṭhī ca kataññutā’’ti ettha vuttappabhedena dvādasavidhena santosena santussatīti santussako. Atha vā tussatīti tussako, sakena tussako, santena tussako, samena tussakoti santussako. Tattha sakaṃ nāma ‘‘piṇḍiyālopabhojanaṃ nissāyā’’ti (mahāva. 73) evaṃ upasampadamāḷake uddiṭṭhaṃ attanā ca sampaṭicchitaṃ catupaccayajātaṃ. Tena sundarena vā asundarena vā sakkaccaṃ vā asakkaccaṃ vā dinnena paṭiggahaṇakāle paribhogakāle ca vikāramadassetvā yāpento ‘‘sakena tussako’’ti vuccati. Santaṃ nāma yaṃ laddhaṃ hoti attano vijjamānaṃ, tena santeneva tussanto tato paraṃ na patthento atricchataṃ pajahanto ‘‘santena tussako’’ti vuccati. Samaṃ nāma iṭṭhāniṭṭhesu anunayapaṭighappahānaṃ. Tena samena sabbārammaṇesu tussanto ‘‘samena tussako’’ti vuccati.

    สุเขน ภรียตีติ สุภโร, สุโปโสติ วุตฺตํ โหติฯ โย หิ ภิกฺขุ สาลิมํโสทนาทีนํ ปเตฺต ปูเรตฺวา ทิเนฺนปิ ทุมฺมุขภาวํ อนตฺตมนภาวเมว จ ทเสฺสติ, เตสํ วา สมฺมุขาว ตํ ปิณฺฑปาตํ ‘‘กิํ ตุเมฺหหิ ทินฺน’’นฺติ อปสาเทโนฺต สามเณรคหฎฺฐาทีนํ เทติ, เอส ทุพฺภโรฯ เอตํ ทิสฺวา มนุสฺสา ทูรโตว ปริวเชฺชนฺติ ‘‘ทุพฺภโร ภิกฺขุ น สกฺกา โปสิตุ’’นฺติฯ โย ปน ยํกิญฺจิ ลูขํ วา ปณีตํ วา อปฺปํ วา พหุํ วา ลภิตฺวา อตฺตมโน วิปฺปสนฺนมุโข หุตฺวา ยาเปติ, เอส สุภโรฯ เอตํ ทิสฺวา มนุสฺสา อติวิย วิสฺสตฺถา โหนฺติ – ‘‘อมฺหากํ ภทโนฺต สุภโร โถกโถเกนปิ ตุสฺสติ, มยเมว นํ โปเสสฺสามา’’ติ ปฎิญฺญํ กตฺวา โปเสนฺติฯ เอวรูโป อิธ สุภโรติ อธิเปฺปโตฯ

    Sukhena bharīyatīti subharo, suposoti vuttaṃ hoti. Yo hi bhikkhu sālimaṃsodanādīnaṃ patte pūretvā dinnepi dummukhabhāvaṃ anattamanabhāvameva ca dasseti, tesaṃ vā sammukhāva taṃ piṇḍapātaṃ ‘‘kiṃ tumhehi dinna’’nti apasādento sāmaṇeragahaṭṭhādīnaṃ deti, esa dubbharo. Etaṃ disvā manussā dūratova parivajjenti ‘‘dubbharo bhikkhu na sakkā positu’’nti. Yo pana yaṃkiñci lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā appaṃ vā bahuṃ vā labhitvā attamano vippasannamukho hutvā yāpeti, esa subharo. Etaṃ disvā manussā ativiya vissatthā honti – ‘‘amhākaṃ bhadanto subharo thokathokenapi tussati, mayameva naṃ posessāmā’’ti paṭiññaṃ katvā posenti. Evarūpo idha subharoti adhippeto.

    อปฺปํ กิจฺจมสฺสาติ อปฺปกิโจฺจ, น กมฺมารามตาภสฺสารามตาสงฺคณิการามตาทิอเนกกิจฺจพฺยาวโฎฯ อถ วา สกลวิหาเร นวกมฺมสงฺฆโภคสามเณรอารามิกโวสาสนาทิกิจฺจวิรหิโต, อตฺตโน เกสนขเจฺฉทนปตฺตจีวรปริกมฺมาทิํ กตฺวา สมณธมฺมกิจฺจปโร โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    Appaṃ kiccamassāti appakicco, na kammārāmatābhassārāmatāsaṅgaṇikārāmatādianekakiccabyāvaṭo. Atha vā sakalavihāre navakammasaṅghabhogasāmaṇeraārāmikavosāsanādikiccavirahito, attano kesanakhacchedanapattacīvaraparikammādiṃ katvā samaṇadhammakiccaparo hotīti vuttaṃ hoti.

    สลฺลหุกา วุตฺติ อสฺสาติ สลฺลหุกวุตฺติฯ ยถา เอกโจฺจ พหุภโณฺฑ ภิกฺขุ ทิสาปกฺกมนกาเล พหุํ ปตฺตจีวรปจฺจตฺถรณเตลคุฬาทิํ มหาชเนน สีสภารกฎิภาราทีหิ อุจฺจาราเปตฺวา ปกฺกมติ, เอวํ อหุตฺวา โย อปฺปปริกฺขาโร โหติ, ปตฺตจีวราทิอฎฺฐสมณปริกฺขารมตฺตเมว ปริหรติ, ทิสาปกฺกมนกาเล ปกฺขี สกุโณ วิย สมาทาเยว ปกฺกมติ, เอวรูโป อิธ สลฺลหุกวุตฺตีติ อธิเปฺปโตฯ สนฺตานิ อินฺทฺริยานิ อสฺสาติ สนฺตินฺทฺริโย, อิฎฺฐารมฺมณาทีสุ ราคาทิวเสน อนุทฺธตินฺทฺริโยติ วุตฺตํ โหติฯ นิปโกติ วิญฺญู วิภาวี ปญฺญวา, สีลานุรกฺขณปญฺญาย จีวราทิวิจารณปญฺญาย อาวาสาทิสตฺตสปฺปายปริชานนปญฺญาย จ สมนฺนาคโตติ อธิปฺปาโยฯ

    Sallahukā vutti assāti sallahukavutti. Yathā ekacco bahubhaṇḍo bhikkhu disāpakkamanakāle bahuṃ pattacīvarapaccattharaṇatelaguḷādiṃ mahājanena sīsabhārakaṭibhārādīhi uccārāpetvā pakkamati, evaṃ ahutvā yo appaparikkhāro hoti, pattacīvarādiaṭṭhasamaṇaparikkhāramattameva pariharati, disāpakkamanakāle pakkhī sakuṇo viya samādāyeva pakkamati, evarūpo idha sallahukavuttīti adhippeto. Santāni indriyāni assāti santindriyo, iṭṭhārammaṇādīsu rāgādivasena anuddhatindriyoti vuttaṃ hoti. Nipakoti viññū vibhāvī paññavā, sīlānurakkhaṇapaññāya cīvarādivicāraṇapaññāya āvāsādisattasappāyaparijānanapaññāya ca samannāgatoti adhippāyo.

    น ปคโพฺภติ อปฺปคโพฺภ, อฎฺฐฎฺฐาเนน กายปาคพฺภิเยน, จตุฎฺฐาเนน วจีปาคพฺภิเยน, อเนกฎฺฐาเนน มโนปาคพฺภิเยน จ วิรหิโตติ อโตฺถฯ

    Na pagabbhoti appagabbho, aṭṭhaṭṭhānena kāyapāgabbhiyena, catuṭṭhānena vacīpāgabbhiyena, anekaṭṭhānena manopāgabbhiyena ca virahitoti attho.

    อฎฺฐฎฺฐานํ กายปาคพฺภิยํ (มหานิ. ๘๗) นาม สงฺฆคณปุคฺคลโภชนสาลาชนฺตาฆรนฺหานติตฺถภิกฺขาจารมคฺคอนฺตรฆรปเวสเนสุ กาเยน อปฺปติรูปกรณํฯ เสยฺยถิทํ – อิเธกโจฺจ สงฺฆมเชฺฌ ปลฺลตฺถิกาย วา นิสีทติ, ปาเท ปาทโมทหิตฺวา วาติ เอวมาทิ, ตถา คณมเชฺฌ, คณมเชฺฌติ จตุปริสสนฺนิปาเต, ตถา วุฑฺฒตเร ปุคฺคเลฯ โภชนสาลายํ ปน วุฑฺฒานํ อาสนํ น เทติ, นวานํ อาสนํ ปฎิพาหติ, ตถา ชนฺตาฆเรฯ วุเฑฺฒ เจตฺถ อนาปุจฺฉา อคฺคิชาลนาทีนิ กโรติฯ นฺหานติเตฺถ จ ยทิทํ ‘‘ทหโร วุโฑฺฒติ ปมาณํ อกตฺวา อาคตปฎิปาฎิยา นฺหายิตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํ , ตมฺปิ อนาทิยโนฺต ปจฺฉา อาคนฺตฺวา อุทกํ โอตริตฺวา วุเฑฺฒ จ นเว จ พาเธติฯ ภิกฺขาจารมเคฺค ปน อคฺคาสนอโคฺคทกอคฺคปิณฺฑตฺถํ วุฑฺฒานํ ปุรโต ปุรโต ยาติ พาหาย พาหํ ปหรโนฺต, อนฺตรฆรปฺปเวสเน วุฑฺฒานํ ปฐมตรํ ปวิสติ, ทหเรหิ กายกีฬนํ กโรตีติ เอวมาทิฯ

    Aṭṭhaṭṭhānaṃ kāyapāgabbhiyaṃ (mahāni. 87) nāma saṅghagaṇapuggalabhojanasālājantāgharanhānatitthabhikkhācāramaggaantaragharapavesanesu kāyena appatirūpakaraṇaṃ. Seyyathidaṃ – idhekacco saṅghamajjhe pallatthikāya vā nisīdati, pāde pādamodahitvā vāti evamādi, tathā gaṇamajjhe, gaṇamajjheti catuparisasannipāte, tathā vuḍḍhatare puggale. Bhojanasālāyaṃ pana vuḍḍhānaṃ āsanaṃ na deti, navānaṃ āsanaṃ paṭibāhati, tathā jantāghare. Vuḍḍhe cettha anāpucchā aggijālanādīni karoti. Nhānatitthe ca yadidaṃ ‘‘daharo vuḍḍhoti pamāṇaṃ akatvā āgatapaṭipāṭiyā nhāyitabba’’nti vuttaṃ , tampi anādiyanto pacchā āgantvā udakaṃ otaritvā vuḍḍhe ca nave ca bādheti. Bhikkhācāramagge pana aggāsanaaggodakaaggapiṇḍatthaṃ vuḍḍhānaṃ purato purato yāti bāhāya bāhaṃ paharanto, antaragharappavesane vuḍḍhānaṃ paṭhamataraṃ pavisati, daharehi kāyakīḷanaṃ karotīti evamādi.

    จตุฎฺฐานํ วจีปาคพฺภิยํ นาม สงฺฆคณปุคฺคลอนฺตรฆเรสุ อปฺปติรูปวาจานิจฺฉารณํฯ เสยฺยถิทํ – อิเธกโจฺจ สงฺฆมเชฺฌ อนาปุจฺฉา ธมฺมํ ภาสติ, ตถา ปุเพฺพ วุตฺตปฺปกาเร คเณ วุฑฺฒตเร ปุคฺคเล จฯ ตตฺถ มนุเสฺสหิ ปญฺหํ ปุโฎฺฐ วุฑฺฒตรํ อนาปุจฺฉา วิสฺสเชฺชติฯ อนฺตรฆเร ปน ‘‘อิตฺถนฺนาเม กิํ อตฺถิ, กิํ ยาคุ อุทาหุ ขาทนียํ โภชนียํ, กิํ เม ทสฺสสิ, กิมชฺช ขาทิสฺสามิ, กิํ ภุญฺชิสฺสามิ, กิํ ปิวิสฺสามี’’ติ เอทมาทิํ ภาสติฯ

    Catuṭṭhānaṃ vacīpāgabbhiyaṃ nāma saṅghagaṇapuggalaantaragharesu appatirūpavācānicchāraṇaṃ. Seyyathidaṃ – idhekacco saṅghamajjhe anāpucchā dhammaṃ bhāsati, tathā pubbe vuttappakāre gaṇe vuḍḍhatare puggale ca. Tattha manussehi pañhaṃ puṭṭho vuḍḍhataraṃ anāpucchā vissajjeti. Antaraghare pana ‘‘itthannāme kiṃ atthi, kiṃ yāgu udāhu khādanīyaṃ bhojanīyaṃ, kiṃ me dassasi, kimajja khādissāmi, kiṃ bhuñjissāmi, kiṃ pivissāmī’’ti edamādiṃ bhāsati.

    อเนกฎฺฐานํ มโนปาคพฺภิยํ นาม เตสุ เตสุ ฐาเนสุ กายวาจาหิ อชฺฌาจารํ อนาปชฺชิตฺวาปิ มนสา เอว กามวิตกฺกาทินานปฺปการอปฺปติรูปวิตกฺกนํฯ

    Anekaṭṭhānaṃ manopāgabbhiyaṃ nāma tesu tesu ṭhānesu kāyavācāhi ajjhācāraṃ anāpajjitvāpi manasā eva kāmavitakkādinānappakāraappatirūpavitakkanaṃ.

    กุเลสฺวนนุคิโทฺธติ ยานิ กุลานิ อุปสงฺกมติ, เตสุ ปจฺจยตณฺหาย วา อนนุโลมิยคิหิสํสคฺควเสน วา อนนุคิโทฺธ, น สหโสกี, น สหนนฺที, น สุขิเตสุ สุขิโต, น ทุกฺขิเตสุ ทุกฺขิโต, น อุปฺปเนฺนสุ กิจฺจกรณีเยสุ อตฺตนา วา โยคมาปชฺชิตาติ วุตฺตํ โหติฯ อิมิสฺสา จ คาถาย ยํ ‘‘สุวโจ จสฺสา’’ติ เอตฺถ วุตฺตํ ‘‘อสฺสา’’ติ วจนํ, ตํ สพฺพปเทหิ สทฺธิํ ‘‘สนฺตุสฺสโก จ อสฺส, สุภโร จ อสฺสา’’ติ เอวํ โยเชตพฺพํฯ

    Kulesvananugiddhoti yāni kulāni upasaṅkamati, tesu paccayataṇhāya vā ananulomiyagihisaṃsaggavasena vā ananugiddho, na sahasokī, na sahanandī, na sukhitesu sukhito, na dukkhitesu dukkhito, na uppannesu kiccakaraṇīyesu attanā vā yogamāpajjitāti vuttaṃ hoti. Imissā ca gāthāya yaṃ ‘‘suvaco cassā’’ti ettha vuttaṃ ‘‘assā’’ti vacanaṃ, taṃ sabbapadehi saddhiṃ ‘‘santussako ca assa, subharo ca assā’’ti evaṃ yojetabbaṃ.

    ๑๔๕. เอวํ ภควา สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจ วิหริตุกามสฺส ตทธิคมาย วา ปฎิปชฺชิตุกามสฺส วิเสสโต อารญฺญกสฺส ภิกฺขุโน ตตุตฺตริปิ กรณียํ อาจิกฺขิตฺวา อิทานิ อกรณียมฺปิ อาจิกฺขิตุกาโม ‘‘น จ ขุทฺทมาจเร กิญฺจิ, เยน วิญฺญู ปเร อุปวเทยฺยุ’’นฺติ อิมํ อุปฑฺฒคาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ – เอวมิมํ กรณียํ กโรโนฺต ยํ ตํ กายวจีมโนทุจฺจริตํ ขุทฺทํ ลามกนฺติ วุจฺจติ, ตํ น จ ขุทฺทํ สมาจเรฯ อสมาจรโนฺต จ น เกวลํ โอฬาริกํ, กิํ ปน กิญฺจิ น สมาจเร, อปฺปมตฺตกํ อณุมตฺตมฺปิ น สมาจเรติ วุตฺตํ โหติฯ

    145. Evaṃ bhagavā santaṃ padaṃ abhisamecca viharitukāmassa tadadhigamāya vā paṭipajjitukāmassa visesato āraññakassa bhikkhuno tatuttaripi karaṇīyaṃ ācikkhitvā idāni akaraṇīyampi ācikkhitukāmo ‘‘na ca khuddamācare kiñci, yena viññū pare upavadeyyu’’nti imaṃ upaḍḍhagāthamāha. Tassattho – evamimaṃ karaṇīyaṃ karonto yaṃ taṃ kāyavacīmanoduccaritaṃ khuddaṃ lāmakanti vuccati, taṃ na ca khuddaṃ samācare. Asamācaranto ca na kevalaṃ oḷārikaṃ, kiṃ pana kiñci na samācare, appamattakaṃ aṇumattampi na samācareti vuttaṃ hoti.

    ตโต ตสฺส สมาจาเร สนฺทิฎฺฐิกเมวาทีนวํ ทเสฺสติ ‘‘เยน วิญฺญู ปเร อุปวเทยฺยุ’’นฺติฯ เอตฺถ จ ยสฺมา อวิญฺญู ปเร อปฺปมาณํฯ เต หิ อนวชฺชํ วา สาวชฺชํ กโรนฺติ, อปฺปสาวชฺชํ วา มหาสาวชฺชํฯ วิญฺญู เอว ปน ปมาณํฯ เต หิ อนุวิจฺจ ปริโยคาเหตฺวา อวณฺณารหสฺส อวณฺณํ ภาสนฺติ, วณฺณารหสฺส จ วณฺณํ ภาสนฺติ, ตสฺมา ‘‘วิญฺญู ปเร’’ติ วุตฺตํฯ

    Tato tassa samācāre sandiṭṭhikamevādīnavaṃ dasseti ‘‘yena viññū pare upavadeyyu’’nti. Ettha ca yasmā aviññū pare appamāṇaṃ. Te hi anavajjaṃ vā sāvajjaṃ karonti, appasāvajjaṃ vā mahāsāvajjaṃ. Viññū eva pana pamāṇaṃ. Te hi anuvicca pariyogāhetvā avaṇṇārahassa avaṇṇaṃ bhāsanti, vaṇṇārahassa ca vaṇṇaṃ bhāsanti, tasmā ‘‘viññū pare’’ti vuttaṃ.

    เอวํ ภควา อิมาหิ อฑฺฒเตยฺยาหิ คาถาหิ สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจ วิหริตุกามสฺส, ตทธิคมาย วา ปฎิปชฺชิตุกามสฺส วิเสสโต อารญฺญกสฺส อารญฺญกสีเสน จ สเพฺพสมฺปิ กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา วิหริตุกามานํ กรณียากรณียเภทํ กมฺมฎฺฐานูปจารํ วตฺวา อิทานิ เตสํ ภิกฺขูนํ ตสฺส เทวตาภยสฺส ปฎิฆาตาย ปริตฺตตฺถํ วิปสฺสนาปาทกชฺฌานวเสน กมฺมฎฺฐานตฺถญฺจ ‘‘สุขิโน ว เขมิโน โหนฺตู’’ติอาทินา นเยน เมตฺตกถํ กเถตุมารโทฺธฯ

    Evaṃ bhagavā imāhi aḍḍhateyyāhi gāthāhi santaṃ padaṃ abhisamecca viharitukāmassa, tadadhigamāya vā paṭipajjitukāmassa visesato āraññakassa āraññakasīsena ca sabbesampi kammaṭṭhānaṃ gahetvā viharitukāmānaṃ karaṇīyākaraṇīyabhedaṃ kammaṭṭhānūpacāraṃ vatvā idāni tesaṃ bhikkhūnaṃ tassa devatābhayassa paṭighātāya parittatthaṃ vipassanāpādakajjhānavasena kammaṭṭhānatthañca ‘‘sukhino va khemino hontū’’tiādinā nayena mettakathaṃ kathetumāraddho.

    ตตฺถ สุขิโนติ สุขสมงฺคิโนฯ เขมิโนติ เขมวโนฺต, อภยา นิรุปทฺทวาติ วุตฺตํ โหติฯ สเพฺพติ อนวเสสาฯ สตฺตาติ ปาณิโนฯ สุขิตตฺตาติ สุขิตจิตฺตาฯ เอตฺถ จ กายิเกน สุเขน สุขิโน, มานเสน สุขิตตฺตา, ตทุภเยนาปิ สพฺพภยูปทฺทววิคเมน วา เขมิโนติ เวทิตพฺพาฯ กสฺมา ปน เอวํ วุตฺตํ? เมตฺตาภาวนาการทสฺสนตฺถํฯ เอวญฺหิ เมตฺตา ภาเวตพฺพา ‘‘สเพฺพ สตฺตา สุขิโน โหนฺตู’’ติ วา, ‘‘เขมิโน โหนฺตู’’ติ วา, ‘‘สุขิตตฺตา โหนฺตู’’ติ วาฯ

    Tattha sukhinoti sukhasamaṅgino. Kheminoti khemavanto, abhayā nirupaddavāti vuttaṃ hoti. Sabbeti anavasesā. Sattāti pāṇino. Sukhitattāti sukhitacittā. Ettha ca kāyikena sukhena sukhino, mānasena sukhitattā, tadubhayenāpi sabbabhayūpaddavavigamena vā kheminoti veditabbā. Kasmā pana evaṃ vuttaṃ? Mettābhāvanākāradassanatthaṃ. Evañhi mettā bhāvetabbā ‘‘sabbe sattā sukhino hontū’’ti vā, ‘‘khemino hontū’’ti vā, ‘‘sukhitattā hontū’’ti vā.

    ๑๔๖. เอวํ ยาว อุปจารโต อปฺปนาโกฎิ, ตาว สเงฺขเปน เมตฺตาภาวนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ วิตฺถารโตปิ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘เย เกจี’’ติ คาถาทฺวยมาหฯ อถ วา ยสฺมา ปุถุตฺตารมฺมเณ ปริจิตํ จิตฺตํ น อาทิเกเนว เอกเตฺต สณฺฐาติ, อารมฺมณปฺปเภทํ ปน อนุคนฺตฺวา กเมน สณฺฐาติ, ตสฺมา ตสฺส ตสถาวราทิทุกติกปฺปเภเท อารมฺมเณ อนุคนฺตฺวา อนุคนฺตฺวา สณฺฐานตฺถมฺปิ ‘‘เย เกจี’’ติ คาถาทฺวยมาหฯ อถ วา ยสฺมา ยสฺส ยํ อารมฺมณํ วิภูตํ โหติ, ตสฺส ตตฺถ จิตฺตํ สุขํ ติฎฺฐติฯ ตสฺมา เตสํ ภิกฺขูนํ ยสฺส ยํ วิภูตํ อารมฺมณํ, ตสฺส ตตฺถ จิตฺตํ สณฺฐาเปตุกาโม ตสถาวราทิทุกตฺติกอารมฺมณปฺปเภททีปกํ ‘‘เย เกจี’’ติ อิมํ คาถาทฺวยมาหฯ

    146. Evaṃ yāva upacārato appanākoṭi, tāva saṅkhepena mettābhāvanaṃ dassetvā idāni vitthāratopi taṃ dassetuṃ ‘‘ye kecī’’ti gāthādvayamāha. Atha vā yasmā puthuttārammaṇe paricitaṃ cittaṃ na ādikeneva ekatte saṇṭhāti, ārammaṇappabhedaṃ pana anugantvā kamena saṇṭhāti, tasmā tassa tasathāvarādidukatikappabhede ārammaṇe anugantvā anugantvā saṇṭhānatthampi ‘‘ye kecī’’ti gāthādvayamāha. Atha vā yasmā yassa yaṃ ārammaṇaṃ vibhūtaṃ hoti, tassa tattha cittaṃ sukhaṃ tiṭṭhati. Tasmā tesaṃ bhikkhūnaṃ yassa yaṃ vibhūtaṃ ārammaṇaṃ, tassa tattha cittaṃ saṇṭhāpetukāmo tasathāvarādidukattikaārammaṇappabhedadīpakaṃ ‘‘ye kecī’’ti imaṃ gāthādvayamāha.

    เอตฺถ หิ ตสถาวรทุกํ ทิฎฺฐาทิฎฺฐทุกํ ทูรสนฺติกทุกํ ภูตสมฺภเวสิทุกนฺติ จตฺตาริ ทุกานิ, ทีฆาทีหิ จ ฉหิ ปเทหิ มชฺฌิมปทสฺส ตีสุ, อณุกปทสฺส จ ทฺวีสุ ติเกสุ อตฺถสมฺภวโต ทีฆรสฺสมชฺฌิมตฺติกํ มหนฺตาณุกมชฺฌิมตฺติกํ ถูลาณุกมชฺฌิมตฺติกนฺติ ตโย ติเก ทีเปติฯ ตตฺถ เย เกจีติ อนวเสสวจนํฯ ปาณา เอว ภูตา ปาณภูตาฯ อถ วา ปาณนฺตีติ ปาณาฯ เอเตน อสฺสาสปสฺสาสปฎิพเทฺธ ปญฺจโวการสเตฺต คณฺหาติฯ ภวนฺตีติ ภูตาฯ เอเตน เอกโวการจตุโวการสเตฺต คณฺหาติฯ อตฺถีติ สนฺติ, สํวิชฺชนฺติฯ

    Ettha hi tasathāvaradukaṃ diṭṭhādiṭṭhadukaṃ dūrasantikadukaṃ bhūtasambhavesidukanti cattāri dukāni, dīghādīhi ca chahi padehi majjhimapadassa tīsu, aṇukapadassa ca dvīsu tikesu atthasambhavato dīgharassamajjhimattikaṃ mahantāṇukamajjhimattikaṃ thūlāṇukamajjhimattikanti tayo tike dīpeti. Tattha ye kecīti anavasesavacanaṃ. Pāṇā eva bhūtā pāṇabhūtā. Atha vā pāṇantīti pāṇā. Etena assāsapassāsapaṭibaddhe pañcavokārasatte gaṇhāti. Bhavantīti bhūtā. Etena ekavokāracatuvokārasatte gaṇhāti. Atthīti santi, saṃvijjanti.

    เอวํ ‘‘เย เกจิ ปาณภูตตฺถี’’ติ อิมินา วจเนน ทุกตฺติเกหิ สงฺคเหตเพฺพ สเพฺพ สเตฺต เอกชฺฌํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สเพฺพปิ เต ตสา วา ถาวรา วา อนวเสสาติ อิมินา ทุเกน สงฺคเหตฺวา ทเสฺสติฯ

    Evaṃ ‘‘ye keci pāṇabhūtatthī’’ti iminā vacanena dukattikehi saṅgahetabbe sabbe satte ekajjhaṃ dassetvā idāni sabbepi te tasā vā thāvarā vā anavasesāti iminā dukena saṅgahetvā dasseti.

    ตตฺถ ตสนฺตีติ ตสา, สตณฺหานํ สภยานเญฺจตํ อธิวจนํฯ ติฎฺฐนฺตีติ ถาวรา, ปหีนตณฺหาภยานํ อรหตํ เอตํ อธิวจนํฯ นตฺถิ เตสํ อวเสสนฺติ อนวเสสา, สเพฺพปีติ วุตฺตํ โหติฯ ยญฺจ ทุติยคาถาย อเนฺต วุตฺตํ, ตํ สพฺพทุกติเกหิ สมฺพนฺธิตพฺพํ – เย เกจิ ปาณภูตตฺถิ ตสา วา ถาวรา วา อนวเสสา, อิเมปิ สเพฺพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตตฺตาฯ เอวํ ยาว ภูตา วา สมฺภเวสี วา อิเมปิ สเพฺพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตตฺตาติฯ

    Tattha tasantīti tasā, sataṇhānaṃ sabhayānañcetaṃ adhivacanaṃ. Tiṭṭhantīti thāvarā, pahīnataṇhābhayānaṃ arahataṃ etaṃ adhivacanaṃ. Natthi tesaṃ avasesanti anavasesā, sabbepīti vuttaṃ hoti. Yañca dutiyagāthāya ante vuttaṃ, taṃ sabbadukatikehi sambandhitabbaṃ – ye keci pāṇabhūtatthi tasā vā thāvarā vā anavasesā, imepi sabbe sattā bhavantu sukhitattā. Evaṃ yāva bhūtā vā sambhavesī vā imepi sabbe sattā bhavantu sukhitattāti.

    อิทานิ ทีฆรสฺสมชฺฌิมาทิติกตฺตยทีปเกสุ ทีฆา วาติอาทีสุ ฉสุ ปเทสุ ทีฆาติ ทีฆตฺตภาวา นาคมจฺฉโคธาทโยฯ อเนกพฺยามสตปฺปมาณาปิ หิ มหาสมุเทฺท นาคานํ อตฺตภาวา อเนกโยชนปฺปมาณาปิ มจฺฉโคธาทีนํ อตฺตภาวา โหนฺติฯ มหนฺตาติ มหนฺตตฺตภาวา ชเล มจฺฉกจฺฉปาทโย, ถเล หตฺถินาคาทโย, อมนุเสฺสสุ ทานวาทโยฯ อาห จ – ‘‘ราหุคฺคํ อตฺตภาวีน’’นฺติ (อ. นิ. ๔.๑๕)ฯ ตสฺส หิ อตฺตภาโว อุเพฺพเธน จตฺตาริ โยชนสหสฺสานิ อฎฺฐ จ โยชนสตานิ, พาหู ทฺวาทสโยชนสตปริมาณา, ปญฺญาสโยชนํ ภมุกนฺตรํ, ตถา องฺคุลนฺตริกา, หตฺถตลานิ เทฺว โยชนสตานีติฯ มชฺฌิมาติ อสฺสโคณมหิํสสูกราทีนํ อตฺตภาวาฯ รสฺสกาติ ตาสุ ตาสุ ชาตีสุ วามนาทโย ทีฆมชฺฌิเมหิ โอมกปฺปมาณา สตฺตาฯ อณุกาติ มํสจกฺขุสฺส อโคจรา, ทิพฺพจกฺขุวิสยา อุทกาทีสุ นิพฺพตฺตา สุขุมตฺตภาวา สตฺตา, อูกาทโย วาฯ อปิจ เย ตาสุ ตาสุ ชาตีสุ มหนฺตมชฺฌิเมหิ ถูลมชฺฌิเมหิ จ โอมกปฺปมาณา สตฺตา, เต อณุกาติ เวทิตพฺพาฯ ถูลาติ ปริมณฺฑลตฺตภาวา มจฺฉกุมฺมสิปฺปิกสมฺพุกาทโย สตฺตาฯ

    Idāni dīgharassamajjhimāditikattayadīpakesu dīghā vātiādīsu chasu padesu dīghāti dīghattabhāvā nāgamacchagodhādayo. Anekabyāmasatappamāṇāpi hi mahāsamudde nāgānaṃ attabhāvā anekayojanappamāṇāpi macchagodhādīnaṃ attabhāvā honti. Mahantāti mahantattabhāvā jale macchakacchapādayo, thale hatthināgādayo, amanussesu dānavādayo. Āha ca – ‘‘rāhuggaṃ attabhāvīna’’nti (a. ni. 4.15). Tassa hi attabhāvo ubbedhena cattāri yojanasahassāni aṭṭha ca yojanasatāni, bāhū dvādasayojanasataparimāṇā, paññāsayojanaṃ bhamukantaraṃ, tathā aṅgulantarikā, hatthatalāni dve yojanasatānīti. Majjhimāti assagoṇamahiṃsasūkarādīnaṃ attabhāvā. Rassakāti tāsu tāsu jātīsu vāmanādayo dīghamajjhimehi omakappamāṇā sattā. Aṇukāti maṃsacakkhussa agocarā, dibbacakkhuvisayā udakādīsu nibbattā sukhumattabhāvā sattā, ūkādayo vā. Apica ye tāsu tāsu jātīsu mahantamajjhimehi thūlamajjhimehi ca omakappamāṇā sattā, te aṇukāti veditabbā. Thūlāti parimaṇḍalattabhāvā macchakummasippikasambukādayo sattā.

    ๑๔๗. เอวํ ตีหิ ติเกหิ อนวเสสโต สเตฺต ทเสฺสตฺวา อิทานิ ‘‘ทิฎฺฐา วา เยว อทิฎฺฐา’’ติอาทีหิ ตีหิ ทุเกหิปิ เต สงฺคเหตฺวา ทเสฺสติฯ

    147. Evaṃ tīhi tikehi anavasesato satte dassetvā idāni ‘‘diṭṭhā vā yeva adiṭṭhā’’tiādīhi tīhi dukehipi te saṅgahetvā dasseti.

    ตตฺถ ทิฎฺฐาติ เย อตฺตโน จกฺขุสฺส อาปาถมาคตวเสน ทิฎฺฐปุพฺพาฯ อทิฎฺฐาติ เย ปรสมุทฺทปรเสลปรจกฺกวาฬาทีสุ ฐิตาฯ ‘‘เยว ทูเร วสนฺติ อวิทูเร’’ติ อิมินา ปน ทุเกน อตฺตโน อตฺตภาวสฺส ทูเร จ อวิทูเร จ วสเนฺต สเตฺต ทเสฺสติฯ เต อุปาทายุปาทาวเสน เวทิตพฺพาฯ อตฺตโน หิ กาเย วสนฺตา สตฺตา อวิทูเร, พหิกาเย วสนฺตา ทูเรฯ ตถา อโนฺตอุปจาเร วสนฺตา อวิทูเร, พหิอุปจาเร วสนฺตา ทูเรฯ อตฺตโน วิหาเร คาเม ชนปเท ทีเป จกฺกวาเฬ วสนฺตา อวิทูเร, ปรจกฺกวาเฬ วสนฺตา ทูเร วสนฺตีติ วุจฺจนฺติฯ

    Tattha diṭṭhāti ye attano cakkhussa āpāthamāgatavasena diṭṭhapubbā. Adiṭṭhāti ye parasamuddaparaselaparacakkavāḷādīsu ṭhitā. ‘‘Yeva dūre vasanti avidūre’’ti iminā pana dukena attano attabhāvassa dūre ca avidūre ca vasante satte dasseti. Te upādāyupādāvasena veditabbā. Attano hi kāye vasantā sattā avidūre, bahikāye vasantā dūre. Tathā antoupacāre vasantā avidūre, bahiupacāre vasantā dūre. Attano vihāre gāme janapade dīpe cakkavāḷe vasantā avidūre, paracakkavāḷe vasantā dūre vasantīti vuccanti.

    ภูตาติ ชาตา, อภินิพฺพตฺตาฯ เย ภูตา เอว, น ปุน ภวิสฺสนฺตีติ สงฺขฺยํ คจฺฉนฺติ, เตสํ ขีณาสวานเมตํ อธิวจนํฯ สมฺภวเมสนฺตีติ สมฺภเวสีฯ อปฺปหีนภวสํโยชนตฺตา อายติมฺปิ สมฺภวํ เอสนฺตานํ เสกฺขปุถุชฺชนานเมตํ อธิวจนํฯ อถ วา จตูสุ โยนีสุ อณฺฑชชลาพุชา สตฺตา ยาว อณฺฑโกสํ วตฺถิโกสญฺจ น ภินฺทนฺติ, ตาว สมฺภเวสี นามฯ อณฺฑโกสํ วตฺถิโกสญฺจ ภินฺทิตฺวา พหิ นิกฺขนฺตา ภูตา นามฯ สํเสทชา โอปปาติกา จ ปฐมจิตฺตกฺขเณ สมฺภเวสี นามฯ ทุติยจิตฺตกฺขณโต ปภุติ ภูตา นามฯ เยน วา อิริยาปเถน ชายนฺติ, ยาว ตโต อญฺญํ น ปาปุณนฺติ, ตาว สมฺภเวสี นามฯ ตโต ปรํ ภูตาติฯ

    Bhūtāti jātā, abhinibbattā. Ye bhūtā eva, na puna bhavissantīti saṅkhyaṃ gacchanti, tesaṃ khīṇāsavānametaṃ adhivacanaṃ. Sambhavamesantīti sambhavesī. Appahīnabhavasaṃyojanattā āyatimpi sambhavaṃ esantānaṃ sekkhaputhujjanānametaṃ adhivacanaṃ. Atha vā catūsu yonīsu aṇḍajajalābujā sattā yāva aṇḍakosaṃ vatthikosañca na bhindanti, tāva sambhavesī nāma. Aṇḍakosaṃ vatthikosañca bhinditvā bahi nikkhantā bhūtā nāma. Saṃsedajā opapātikā ca paṭhamacittakkhaṇe sambhavesī nāma. Dutiyacittakkhaṇato pabhuti bhūtā nāma. Yena vā iriyāpathena jāyanti, yāva tato aññaṃ na pāpuṇanti, tāva sambhavesī nāma. Tato paraṃ bhūtāti.

    ๑๔๘. เอวํ ภควา ‘‘สุขิโน วา’’ติอาทีหิ อฑฺฒเตยฺยาหิ คาถาหิ นานปฺปการโต เตสํ ภิกฺขูนํ หิตสุขาคมปตฺถนาวเสน สเตฺตสุ เมตฺตาภาวนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อหิตทุกฺขานาคมปตฺถนาวเสนาปิ ตํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘น ปโร ปรํ นิกุเพฺพถา’’ติฯ เอส โปราณปาโฐ, อิทานิ ปน ‘‘ปรํ หี’’ติปิ ปฐนฺติ, อยํ น โสภโนฯ

    148. Evaṃ bhagavā ‘‘sukhino vā’’tiādīhi aḍḍhateyyāhi gāthāhi nānappakārato tesaṃ bhikkhūnaṃ hitasukhāgamapatthanāvasena sattesu mettābhāvanaṃ dassetvā idāni ahitadukkhānāgamapatthanāvasenāpi taṃ dassento āha ‘‘na paro paraṃ nikubbethā’’ti. Esa porāṇapāṭho, idāni pana ‘‘paraṃ hī’’tipi paṭhanti, ayaṃ na sobhano.

    ตตฺถ ปโรติ ปรชโนฯ ปรนฺติ ปรชนํฯ น นิกุเพฺพถาติ น วเญฺจยฺยฯ นาติมเญฺญถาติ น อติกฺกมิตฺวา มเญฺญยฺยฯ กตฺถจีติ กตฺถจิ โอกาเส, คาเม วา นิคเม วา เขเตฺต วา ญาติมเชฺฌ วา ปูคมเชฺฌ วาติอาทิฯ นฺติ เอตํฯ กญฺจีติ ยํ กญฺจิ ขตฺติยํ วา พฺราหฺมณํ วา คหฎฺฐํ วา ปพฺพชิตํ วา สุคตํ วา ทุคฺคตํ วาติอาทิฯ พฺยาโรสนา ปฎิฆสญฺญาติ กายวจีวิกาเรหิ พฺยาโรสนาย จ, มโนวิกาเรน ปฎิฆสญฺญาย จฯ ‘‘พฺยาโรสนาย ปฎิฆสญฺญายา’’ติ หิ วตฺตเพฺพ ‘‘พฺยาโรสนา ปฎิฆสญฺญา’’ติ วุจฺจติ ยถา ‘‘สมฺม ทญฺญาย วิมุตฺตา’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘สมฺม ทญฺญา วิมุตฺตา’’ติ, ยถา จ ‘‘อนุปุพฺพสิกฺขาย อนุปุพฺพกิริยาย อนุปุพฺพปฎิปทายา’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘อนุปุพฺพสิกฺขา อนุปุพฺพกิริยา อนุปุพฺพปฎิปทา’’ติ (อ. นิ. ๘.๑๙; อุทา. ๔๕; จูฬว. ๓๘๕)ฯ นาญฺญมญฺญสฺส ทุกฺขมิเจฺฉยฺยาติ อญฺญมญฺญสฺส ทุกฺขํ น อิเจฺฉยฺยฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? น เกวลํ ‘‘สุขิโน วา เขมิโน วา โหนฺตู’’ติอาทิ มนสิการวเสเนว เมตฺตํ ภาเวยฺยฯ กิํ ปน ‘‘อโห วต โย โกจิ ปรปุคฺคโล ยํ กญฺจิ ปรปุคฺคลํ วญฺจนาทีหิ นิกตีหิ น นิกุเพฺพถ, ชาติอาทีหิ จ นวหิ มานวตฺถูหิ กตฺถจิ ปเทเส ยํ กญฺจิ ปรปุคฺคลํ นาติมเญฺญยฺย, อญฺญมญฺญสฺส จ พฺยาโรสนาย วา ปฎิฆสญฺญาย วา ทุกฺขํ น อิเจฺฉยฺยา’’ติ เอวมฺปิ มนสิ กโรโนฺต ภาเวยฺยาติฯ

    Tattha paroti parajano. Paranti parajanaṃ. Na nikubbethāti na vañceyya. Nātimaññethāti na atikkamitvā maññeyya. Katthacīti katthaci okāse, gāme vā nigame vā khette vā ñātimajjhe vā pūgamajjhe vātiādi. Nanti etaṃ. Kañcīti yaṃ kañci khattiyaṃ vā brāhmaṇaṃ vā gahaṭṭhaṃ vā pabbajitaṃ vā sugataṃ vā duggataṃ vātiādi. Byārosanā paṭighasaññāti kāyavacīvikārehi byārosanāya ca, manovikārena paṭighasaññāya ca. ‘‘Byārosanāya paṭighasaññāyā’’ti hi vattabbe ‘‘byārosanā paṭighasaññā’’ti vuccati yathā ‘‘samma daññāya vimuttā’’ti vattabbe ‘‘samma daññā vimuttā’’ti, yathā ca ‘‘anupubbasikkhāya anupubbakiriyāya anupubbapaṭipadāyā’’ti vattabbe ‘‘anupubbasikkhā anupubbakiriyā anupubbapaṭipadā’’ti (a. ni. 8.19; udā. 45; cūḷava. 385). Nāññamaññassa dukkhamiccheyyāti aññamaññassa dukkhaṃ na iccheyya. Kiṃ vuttaṃ hoti? Na kevalaṃ ‘‘sukhino vā khemino vā hontū’’tiādi manasikāravaseneva mettaṃ bhāveyya. Kiṃ pana ‘‘aho vata yo koci parapuggalo yaṃ kañci parapuggalaṃ vañcanādīhi nikatīhi na nikubbetha, jātiādīhi ca navahi mānavatthūhi katthaci padese yaṃ kañci parapuggalaṃ nātimaññeyya, aññamaññassa ca byārosanāya vā paṭighasaññāya vā dukkhaṃ na iccheyyā’’ti evampi manasi karonto bhāveyyāti.

    ๑๔๙. เอวํ อหิตทุกฺขานาคมปตฺถนาวเสน อตฺถโต เมตฺตาภาวนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตเมว อุปมาย ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘มาตา ยถา นิยํ ปุตฺต’’นฺติฯ

    149. Evaṃ ahitadukkhānāgamapatthanāvasena atthato mettābhāvanaṃ dassetvā idāni tameva upamāya dassento āha ‘‘mātā yathā niyaṃ putta’’nti.

    ตสฺสโตฺถ – ยถา มาตา นิยํ ปุตฺตํ อตฺตนิ ชาตํ โอรสํ ปุตฺตํ, ตญฺจ เอกปุตฺตเมว อายุสา อนุรเกฺข, ตสฺส ทุกฺขาคมปฎิพาหนตฺถํ อตฺตโน อายุมฺปิ จชิตฺวา ตํ อนุรเกฺข, เอวมฺปิ สพฺพภูเตสุ อิทํ เมตฺตมานสํ ภาวเย, ปุนปฺปุนํ ชนเย วฑฺฒเย, ตญฺจ อปริมาณสตฺตารมฺมณวเสน เอกสฺมิํ วา สเตฺต อนวเสสผรณวเสน อปริมาณํ ภาวเยติฯ

    Tassattho – yathā mātā niyaṃ puttaṃ attani jātaṃ orasaṃ puttaṃ, tañca ekaputtameva āyusā anurakkhe, tassa dukkhāgamapaṭibāhanatthaṃ attano āyumpi cajitvā taṃ anurakkhe, evampi sabbabhūtesu idaṃ mettamānasaṃ bhāvaye, punappunaṃ janaye vaḍḍhaye, tañca aparimāṇasattārammaṇavasena ekasmiṃ vā satte anavasesapharaṇavasena aparimāṇaṃ bhāvayeti.

    ๑๕๐. เอวํ สพฺพากาเรน เมตฺตาภาวนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตเสฺสว วฑฺฒนํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เมตฺตญฺจ สพฺพโลกสฺมี’’ติฯ

    150. Evaṃ sabbākārena mettābhāvanaṃ dassetvā idāni tasseva vaḍḍhanaṃ dassento āha ‘‘mettañca sabbalokasmī’’ti.

    ตตฺถ มิชฺชติ ตายติ จาติ มิโตฺต, หิตชฺฌาสยตาย สินิยฺหติ, อหิตาคมโต รกฺขติ จาติ อโตฺถฯ มิตฺตสฺส ภาโว เมตฺตํฯ สพฺพสฺมินฺติ อนวเสเสฯ โลกสฺมินฺติ สตฺตโลเกฯ มนสิ ภวนฺติ มานสํฯ ตญฺหิ จิตฺตสมฺปยุตฺตตฺตา เอวํ วุตฺตํฯ ภาวเยติ วฑฺฒเยฯ นาสฺส ปริมาณนฺติ อปริมาณํ, อปฺปมาณสตฺตารมฺมณตาย เอวํ วุตฺตํฯ อุทฺธนฺติ อุปริฯ เตน อรูปภวํ คณฺหาติฯ อโธติ เหฎฺฐาฯ เตน กามภวํ คณฺหาติฯ ติริยนฺติ เวมชฺฌํฯ เตน รูปภวํ คณฺหาติฯ อสมฺพาธนฺติ สมฺพาธวิรหิตํ, ภินฺนสีมนฺติ วุตฺตํ โหติฯ สีมา นาม ปจฺจตฺถิโก วุจฺจติ, ตสฺมิมฺปิ ปวตฺตนฺติ อโตฺถฯ อเวรนฺติ เวรวิรหิตํ, อนฺตรนฺตราปิ เวรเจตนาปาตุภาววิรหิตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อสปตฺตนฺติ วิคตปจฺจตฺถิกํฯ เมตฺตาวิหารี หิ ปุคฺคโล มนุสฺสานํ ปิโย โหติ, อมนุสฺสานํ ปิโย โหติ, นาสฺส โกจิ ปจฺจตฺถิโก โหติ, เตนสฺส ตํ มานสํ วิคตปจฺจตฺถิกตฺตา ‘‘อสปตฺต’’นฺติ วุจฺจติฯ ปริยายวจนญฺหิ เอตํ, ยทิทํ ปจฺจตฺถิโก สปโตฺตติฯ อยํ อนุปทโต อตฺถวณฺณนาฯ

    Tattha mijjati tāyati cāti mitto, hitajjhāsayatāya siniyhati, ahitāgamato rakkhati cāti attho. Mittassa bhāvo mettaṃ. Sabbasminti anavasese. Lokasminti sattaloke. Manasi bhavanti mānasaṃ. Tañhi cittasampayuttattā evaṃ vuttaṃ. Bhāvayeti vaḍḍhaye. Nāssa parimāṇanti aparimāṇaṃ, appamāṇasattārammaṇatāya evaṃ vuttaṃ. Uddhanti upari. Tena arūpabhavaṃ gaṇhāti. Adhoti heṭṭhā. Tena kāmabhavaṃ gaṇhāti. Tiriyanti vemajjhaṃ. Tena rūpabhavaṃ gaṇhāti. Asambādhanti sambādhavirahitaṃ, bhinnasīmanti vuttaṃ hoti. Sīmā nāma paccatthiko vuccati, tasmimpi pavattanti attho. Averanti veravirahitaṃ, antarantarāpi veracetanāpātubhāvavirahitanti vuttaṃ hoti. Asapattanti vigatapaccatthikaṃ. Mettāvihārī hi puggalo manussānaṃ piyo hoti, amanussānaṃ piyo hoti, nāssa koci paccatthiko hoti, tenassa taṃ mānasaṃ vigatapaccatthikattā ‘‘asapatta’’nti vuccati. Pariyāyavacanañhi etaṃ, yadidaṃ paccatthiko sapattoti. Ayaṃ anupadato atthavaṇṇanā.

    อยํ ปเนตฺถ อธิเปฺปตตฺถวณฺณนา – ยเทตํ ‘‘เอวมฺปิ สพฺพภูเตสุ มานสํ ภาวเย อปริมาณ’’นฺติ วุตฺตํฯ ตเญฺจตํ อปริมาณํ เมตฺตํ มานสํ สพฺพโลกสฺมิํ ภาวเย วฑฺฒเย, วุฑฺฒิํ, วิรูฬฺหิํ, เวปุลฺลํ คมเยฯ กถํ? อุทฺธํ อโธ จ ติริยญฺจ, อุทฺธํ ยาว ภวคฺคา, อโธ ยาว อวีจิโต, ติริยํ ยาว อวเสสทิสาฯ อุทฺธํ วา อารุปฺปํ, อโธ กามธาตุํ, ติริยํ รูปธาตุํ อนวเสสํ ผรโนฺตฯ เอวํ ภาเวโนฺตปิ จ ตํ ยถา อสมฺพาธํ, อเวรํ, อสปตฺตญฺจ, โหติ ตถา สมฺพาธเวรสปตฺตาภาวํ กโรโนฺต ภาวเยฯ ยํ วา ตํ ภาวนาสมฺปทํ ปตฺตํ สพฺพตฺถ โอกาสลาภวเสน อสมฺพาธํฯ อตฺตโน ปเรสุ อาฆาตปฎิวินเยน อเวรํ, อตฺตนิ จ ปเรสํ อาฆาตปฎิวินเยน อสปตฺตํ โหติ, ตํ อสมฺพาธํ อเวรํ อสปตฺตํ อปริมาณํ เมตฺตํ มานสํ อุทฺธํ อโธ ติริยญฺจาติ ติวิธปริเจฺฉเท สพฺพโลกสฺมิํ ภาวเย วฑฺฒเยติฯ

    Ayaṃ panettha adhippetatthavaṇṇanā – yadetaṃ ‘‘evampi sabbabhūtesu mānasaṃ bhāvaye aparimāṇa’’nti vuttaṃ. Tañcetaṃ aparimāṇaṃ mettaṃ mānasaṃ sabbalokasmiṃ bhāvaye vaḍḍhaye, vuḍḍhiṃ, virūḷhiṃ, vepullaṃ gamaye. Kathaṃ? Uddhaṃ adho ca tiriyañca, uddhaṃ yāva bhavaggā, adho yāva avīcito, tiriyaṃ yāva avasesadisā. Uddhaṃ vā āruppaṃ, adho kāmadhātuṃ, tiriyaṃ rūpadhātuṃ anavasesaṃ pharanto. Evaṃ bhāventopi ca taṃ yathā asambādhaṃ, averaṃ, asapattañca, hoti tathā sambādhaverasapattābhāvaṃ karonto bhāvaye. Yaṃ vā taṃ bhāvanāsampadaṃ pattaṃ sabbattha okāsalābhavasena asambādhaṃ. Attano paresu āghātapaṭivinayena averaṃ, attani ca paresaṃ āghātapaṭivinayena asapattaṃ hoti, taṃ asambādhaṃ averaṃ asapattaṃ aparimāṇaṃ mettaṃ mānasaṃ uddhaṃ adho tiriyañcāti tividhaparicchede sabbalokasmiṃ bhāvaye vaḍḍhayeti.

    ๑๕๑. เอวํ เมตฺตาภาวนาย วฑฺฒนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตํ ภาวนมนุยุตฺตสฺส วิหรโต อิริยาปถนิยมาภาวํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ติฎฺฐํ จรํ…เป.… อธิเฎฺฐยฺยา’’ติฯ

    151. Evaṃ mettābhāvanāya vaḍḍhanaṃ dassetvā idāni taṃ bhāvanamanuyuttassa viharato iriyāpathaniyamābhāvaṃ dassento āha ‘‘tiṭṭhaṃ caraṃ…pe… adhiṭṭheyyā’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – เอวเมตํ เมตฺตํ มานสํ ภาเวโนฺต โส ‘‘นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา, อุชุํ กายํ ปณิธายา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๗๔; ม. นิ. ๑.๑๐๗; วิภ. ๕๐๘) วิย อิริยาปถนิยมํ อกตฺวา ยถาสุขํ อญฺญตรญฺญตรอิริยาปถพาธนวิโนทนํ กโรโนฺต ติฎฺฐํ วา จรํ วา นิสิโนฺน วา สยาโน วา ยาวตา วิคตมิโทฺธ อสฺส, อถ เอตํ เมตฺตาฌานสฺสติํ อธิเฎฺฐยฺยฯ

    Tassattho – evametaṃ mettaṃ mānasaṃ bhāvento so ‘‘nisīdati pallaṅkaṃ ābhujitvā, ujuṃ kāyaṃ paṇidhāyā’’tiādīsu (dī. ni. 2.374; ma. ni. 1.107; vibha. 508) viya iriyāpathaniyamaṃ akatvā yathāsukhaṃ aññataraññatarairiyāpathabādhanavinodanaṃ karonto tiṭṭhaṃ vā caraṃ vā nisinno vā sayāno vā yāvatā vigatamiddho assa, atha etaṃ mettājhānassatiṃ adhiṭṭheyya.

    อถ วา เอวํ เมตฺตาภาวนาย วฑฺฒนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ วสีภาวํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ติฎฺฐํ จร’’นฺติฯ วสิปฺปโตฺต หิ ติฎฺฐํ วา จรํ วา นิสิโนฺน วา สยาโน วา ยาวตา อิริยาปเถน เอตํ เมตฺตาฌานสฺสติํ อธิฎฺฐาตุกาโม โหติฯ อถ วา ติฎฺฐํ วา จรํ วาติ น ตสฺส ฐานาทีนิ อนฺตรายกรานิ โหนฺติ, อปิจ โข โส ยาวตา เอตํ เมตฺตาฌานสฺสติํ อธิฎฺฐาตุกาโม โหติ, ตาวตา วิตมิโทฺธ หุตฺวา อธิฎฺฐาติ, นตฺถิ ตสฺส ตตฺถ ทนฺธายิตตฺตํฯ เตนาห ‘‘ติฎฺฐํ จรํ นิสิโนฺน ว สยาโน, ยาวตาสฺส วิตมิโทฺธฯ เอตํ สติํ อธิเฎฺฐยฺยา’’ติฯ

    Atha vā evaṃ mettābhāvanāya vaḍḍhanaṃ dassetvā idāni vasībhāvaṃ dassento āha ‘‘tiṭṭhaṃ cara’’nti. Vasippatto hi tiṭṭhaṃ vā caraṃ vā nisinno vā sayāno vā yāvatā iriyāpathena etaṃ mettājhānassatiṃ adhiṭṭhātukāmo hoti. Atha vā tiṭṭhaṃ vā caraṃ vāti na tassa ṭhānādīni antarāyakarāni honti, apica kho so yāvatā etaṃ mettājhānassatiṃ adhiṭṭhātukāmo hoti, tāvatā vitamiddho hutvā adhiṭṭhāti, natthi tassa tattha dandhāyitattaṃ. Tenāha ‘‘tiṭṭhaṃ caraṃ nisinno va sayāno, yāvatāssa vitamiddho. Etaṃ satiṃ adhiṭṭheyyā’’ti.

    ตสฺสายมธิปฺปาโย – ยํ ตํ ‘‘เมตฺตญฺจ สพฺพโลกสฺมิ, มานสํ ภาวเย’’ติ วุตฺตํ, ตํ ตถา ภาวเย, ยถา ฐานาทีสุ ยาวตา อิริยาปเถน, ฐานาทีนิ วา อนาทิยิตฺวา ยาวตา เอตํ เมตฺตาฌานสฺสติํ อธิฎฺฐาตุกาโม อสฺส, ตาวตา วิตมิโทฺธ หุตฺวา เอตํ สติํ อธิเฎฺฐยฺยาติฯ

    Tassāyamadhippāyo – yaṃ taṃ ‘‘mettañca sabbalokasmi, mānasaṃ bhāvaye’’ti vuttaṃ, taṃ tathā bhāvaye, yathā ṭhānādīsu yāvatā iriyāpathena, ṭhānādīni vā anādiyitvā yāvatā etaṃ mettājhānassatiṃ adhiṭṭhātukāmo assa, tāvatā vitamiddho hutvā etaṃ satiṃ adhiṭṭheyyāti.

    เอวํ เมตฺตาภาวนาย วสีภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘เอตํ สติํ อธิเฎฺฐยฺยา’’ติ ตสฺมิํ เมตฺตาวิหาเร นิโยเชตฺวา อิทานิ ตํ วิหารํ ถุนโนฺต อาห ‘‘พฺรหฺมเมตํ วิหารมิธมาหู’’ติฯ

    Evaṃ mettābhāvanāya vasībhāvaṃ dassento ‘‘etaṃ satiṃ adhiṭṭheyyā’’ti tasmiṃ mettāvihāre niyojetvā idāni taṃ vihāraṃ thunanto āha ‘‘brahmametaṃvihāramidhamāhū’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – ยฺวายํ ‘‘สุขิโนว เขมิโน โหนฺตู’’ติอาทิํ กตฺวา ยาว ‘‘เอตํ สติํ อธิเฎฺฐยฺยา’’ติ สํวณฺณิโต เมตฺตาวิหาโร, เอตํ จตูสุ ทิพฺพพฺรหฺมอริยอิริยาปถวิหาเรสุ นิโทฺทสตฺตา อตฺตโนปิ ปเรสมฺปิ อตฺถกรตฺตา จ อิธ อริยสฺส ธมฺมวินเย พฺรหฺมวิหารมาหุ, เสฎฺฐวิหารมาหูติฯ ยโต สตตํ สมิตํ อโพฺพกิณฺณํ ติฎฺฐํ จรํ นิสิโนฺน วา สยาโน วา ยาวตาสฺส วิตมิโทฺธ, เอตํ สติํ อธิเฎฺฐยฺยาติฯ

    Tassattho – yvāyaṃ ‘‘sukhinova khemino hontū’’tiādiṃ katvā yāva ‘‘etaṃ satiṃ adhiṭṭheyyā’’ti saṃvaṇṇito mettāvihāro, etaṃ catūsu dibbabrahmaariyairiyāpathavihāresu niddosattā attanopi paresampi atthakarattā ca idha ariyassa dhammavinaye brahmavihāramāhu, seṭṭhavihāramāhūti. Yato satataṃ samitaṃ abbokiṇṇaṃ tiṭṭhaṃ caraṃ nisinno vā sayāno vā yāvatāssa vitamiddho, etaṃ satiṃ adhiṭṭheyyāti.

    ๑๕๒. เอวํ ภควา เตสํ ภิกฺขูนํ นานปฺปการโต เมตฺตาภาวนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยสฺมา เมตฺตา สตฺตารมฺมณตฺตา อตฺตทิฎฺฐิยา อาสนฺนา โหติ ตสฺมา ทิฎฺฐิคหณนิเสธนมุเขน เตสํ ภิกฺขูนํ ตเทว เมตฺตาฌานํ ปาทกํ กตฺวา อริยภูมิปฺปตฺติํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ทิฎฺฐิญฺจ อนุปคฺคมฺมา’’ติฯ อิมาย คาถาย เทสนํ สมาเปสิฯ

    152. Evaṃ bhagavā tesaṃ bhikkhūnaṃ nānappakārato mettābhāvanaṃ dassetvā idāni yasmā mettā sattārammaṇattā attadiṭṭhiyā āsannā hoti tasmā diṭṭhigahaṇanisedhanamukhena tesaṃ bhikkhūnaṃ tadeva mettājhānaṃ pādakaṃ katvā ariyabhūmippattiṃ dassento āha ‘‘diṭṭhiñca anupaggammā’’ti. Imāya gāthāya desanaṃ samāpesi.

    ตสฺสโตฺถ – ยฺวายํ ‘‘พฺรหฺมเมตํ วิหารมิธมาหู’’ติ สํวณฺณิโต เมตฺตาฌานวิหาโร, ตโต วุฎฺฐาย เย ตตฺถ วิตกฺกวิจาราทโย ธมฺมา, เต, เตสญฺจ วตฺถาทิอนุสาเรน รูปธเมฺม ปริคฺคเหตฺวา อิมินา นามรูปปริเจฺฉเทน ‘‘สุทฺธสงฺขารปุโญฺชยํ, น อิธ สตฺตูปลพฺภตี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๗๑) เอวํ ทิฎฺฐิญฺจ อนุปคฺคมฺม อนุปุเพฺพน โลกุตฺตรสีเลน สีลวา หุตฺวา โลกุตฺตรสีลสมฺปยุเตฺตเนว โสตาปตฺติมคฺคสมฺมาทิฎฺฐิสงฺขาเตน ทสฺสเนน สมฺปโนฺนฯ ตโต ปรํ โยปายํ วตฺถุกาเมสุ เคโธ กิเลสกาโม อปฺปหีโน โหติ, ตมฺปิ สกทาคามิอนาคามิมเคฺคหิ ตนุภาเวน อนวเสสปฺปหาเนน จ กาเมสุ เคธํ วิเนยฺย วินยิตฺวา วูปสเมตฺวา น หิ ชาตุ คพฺภเสยฺย ปุน เรติ เอกํเสเนว ปุน คพฺภเสยฺยํ น เอติ, สุทฺธาวาเสสุ นิพฺพตฺติตฺวา ตเตฺถว อรหตฺตํ ปาปุณิตฺวา ปรินิพฺพาตีติฯ

    Tassattho – yvāyaṃ ‘‘brahmametaṃ vihāramidhamāhū’’ti saṃvaṇṇito mettājhānavihāro, tato vuṭṭhāya ye tattha vitakkavicārādayo dhammā, te, tesañca vatthādianusārena rūpadhamme pariggahetvā iminā nāmarūpaparicchedena ‘‘suddhasaṅkhārapuñjoyaṃ, na idha sattūpalabbhatī’’ti (saṃ. ni. 1.171) evaṃ diṭṭhiñca anupaggamma anupubbena lokuttarasīlena sīlavā hutvā lokuttarasīlasampayutteneva sotāpattimaggasammādiṭṭhisaṅkhātena dassanena sampanno. Tato paraṃ yopāyaṃ vatthukāmesu gedho kilesakāmo appahīno hoti, tampi sakadāgāmianāgāmimaggehi tanubhāvena anavasesappahānena ca kāmesu gedhaṃ vineyya vinayitvā vūpasametvā na hi jātu gabbhaseyya puna reti ekaṃseneva puna gabbhaseyyaṃ na eti, suddhāvāsesu nibbattitvā tattheva arahattaṃ pāpuṇitvā parinibbātīti.

    เอวํ ภควา เทสนํ สมาเปตฺวา เต ภิกฺขู อาห – ‘‘คจฺฉถ, ภิกฺขเว, ตสฺมิํเยว วนสเณฺฑ วิหรถฯ อิมญฺจ สุตฺตํ มาสสฺส อฎฺฐสุ ธมฺมสฺสวนทิวเสสุ คณฺฑิํ อาโกเฎตฺวา อุสฺสาเรถ, ธมฺมกถํ กโรถ, สากจฺฉถ, อนุโมทถ, อิทเมว กมฺมฎฺฐานํ อาเสวถ, ภาเวถ, พหุลีกโรถฯ เตปิ โว อมนุสฺสา ตํ เภรวารมฺมณํ น ทเสฺสสฺสนฺติ, อญฺญทตฺถุ อตฺถกามา หิตกามา ภวิสฺสนฺตี’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ ภควโต ปฎิสฺสุณิตฺวา อุฎฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา, ปทกฺขิณํ กตฺวา, ตตฺถ คนฺตฺวา, ตถา อกํสุฯ เทวตาโย จ ‘‘ภทนฺตา อมฺหากํ อตฺถกามา หิตกามา’’ติ ปีติโสมนสฺสชาตา หุตฺวา สยเมว เสนาสนํ สมฺมชฺชนฺติ, อุโณฺหทกํ ปฎิยาเทนฺติ, ปิฎฺฐิปริกมฺมปาทปริกมฺมํ กโรนฺติ, อารกฺขํ สํวิทหนฺติฯ เต ภิกฺขู ตเถว เมตฺตํ ภาเวตฺวา ตเมว จ ปาทกํ กตฺวา วิปสฺสนํ อารภิตฺวา สเพฺพว ตสฺมิํเยว อโนฺตเตมาเส อคฺคผลํ อรหตฺตํ ปาปุณิตฺวา มหาปวารณาย วิสุทฺธิปวารณํ ปวาเรสุนฺติฯ

    Evaṃ bhagavā desanaṃ samāpetvā te bhikkhū āha – ‘‘gacchatha, bhikkhave, tasmiṃyeva vanasaṇḍe viharatha. Imañca suttaṃ māsassa aṭṭhasu dhammassavanadivasesu gaṇḍiṃ ākoṭetvā ussāretha, dhammakathaṃ karotha, sākacchatha, anumodatha, idameva kammaṭṭhānaṃ āsevatha, bhāvetha, bahulīkarotha. Tepi vo amanussā taṃ bheravārammaṇaṃ na dassessanti, aññadatthu atthakāmā hitakāmā bhavissantī’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti bhagavato paṭissuṇitvā uṭṭhāyāsanā bhagavantaṃ abhivādetvā, padakkhiṇaṃ katvā, tattha gantvā, tathā akaṃsu. Devatāyo ca ‘‘bhadantā amhākaṃ atthakāmā hitakāmā’’ti pītisomanassajātā hutvā sayameva senāsanaṃ sammajjanti, uṇhodakaṃ paṭiyādenti, piṭṭhiparikammapādaparikammaṃ karonti, ārakkhaṃ saṃvidahanti. Te bhikkhū tatheva mettaṃ bhāvetvā tameva ca pādakaṃ katvā vipassanaṃ ārabhitvā sabbeva tasmiṃyeva antotemāse aggaphalaṃ arahattaṃ pāpuṇitvā mahāpavāraṇāya visuddhipavāraṇaṃ pavāresunti.

    เอวญฺหิ อตฺถกุสเลน ตถาคเตน,

    Evañhi atthakusalena tathāgatena,

    ธมฺมิสฺสเรน กถิตํ กรณียมตฺถํ;

    Dhammissarena kathitaṃ karaṇīyamatthaṃ;

    กตฺวานุภุยฺย ปรมํ หทยสฺส สนฺติํ,

    Katvānubhuyya paramaṃ hadayassa santiṃ,

    สนฺตํ ปทํ อภิสเมนฺติ สมตฺตปญฺญาฯ

    Santaṃ padaṃ abhisamenti samattapaññā.

    ตสฺมา หิ ตํ อมตมพฺภุตมริยกนฺตํ,

    Tasmā hi taṃ amatamabbhutamariyakantaṃ,

    สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจ วิหริตุกาโม;

    Santaṃ padaṃ abhisamecca viharitukāmo;

    วิญฺญู ชโน วิมลสีลสมาธิปญฺญา,

    Viññū jano vimalasīlasamādhipaññā,

    เภทํ กเรยฺย สตตํ กรณียมตฺถนฺติฯ

    Bhedaṃ kareyya satataṃ karaṇīyamatthanti.

    ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย

    Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya

    สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย เมตฺตสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suttanipāta-aṭṭhakathāya mettasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๘. เมตฺตสุตฺตํ • 8. Mettasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact