Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) |
๙. เมตฺตสุตฺตวณฺณนา
9. Mettasuttavaṇṇanā
๖๒. นวเม มา, ภิกฺขเว, ปุญฺญานนฺติ (อิติวุ. อฎฺฐ. ๖๒) เอตฺถ มาติ ปฎิเสเธ นิปาโตฯ ปุญฺญ-สโทฺท ‘‘กุสลานํ, ภิกฺขเว, ธมฺมานํ สมาทานเหตุ เอวมิทํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๘๐) ปุญฺญผเล อาคโตฯ ‘‘อวิชฺชาคโตยํ, ภิกฺขเว, ปุริสปุคฺคโล ปุญฺญเญฺจ สงฺขารํ อภิสงฺขโรตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๕๑) กามรูปาวจรสุจริเตสุฯ ‘‘ปุญฺญูปคํ โหติ วิญฺญาณ’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๕๑) สุคติวิเสสภูเต อุปปตฺติภเวฯ ‘‘ตีณิมานิ, ภิกฺขเว, ปุญฺญกิริยวตฺถูนิ ทานมยํ ปุญฺญกิริยวตฺถุ, สีลมยํ ปุญฺญกิริยวตฺถุ, ภาวนามยํ ปุญฺญกิริยวตฺถู’’ติอาทีสุ (อิติวุ. ๖๐; ที. นิ. ๓.๓๐๕; อ. นิ. ๘.๓๖) กุสลเจตนายํฯ อิธ ปน เตภูมกกุสลธเมฺม เวทิตโพฺพฯ ภายิตฺถาติ เอตฺถ ทุวิธํ ภยํ ญาณภยํ, สารชฺชภยนฺติฯ ตตฺถ ‘‘เยปิ เต, ภิกฺขเว, เทวา ทีฆายุกา วณฺณวโนฺต สุขพหุลา อุเจฺจสุ วิมาเนสุ จิรฎฺฐิติกา, เตปิ ตถาคตสฺส ธมฺมเทสนํ สุตฺวา เยภุเยฺยน ภยํ สํเวคํ สนฺตาสํ อาปชฺชนฺตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๓๓) อาคตํ ญาณภยํฯ ‘‘อหุเทว ภยํ, อหุ ฉมฺภิตตฺตํ, อหุ โลมหํโส’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๑๘) อาคตํ สารชฺชภยํฯ อิธาปิ สารชฺชภยเมวฯ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ – ภิกฺขเว, ทีฆรตฺตํ กายวจีสํยโม วตฺตปฺปฎิวตฺตปูรณํ เอกาสนํ เอกเสยฺยํ อินฺทฺริยทโม ธุตธเมฺมหิ จิตฺตสฺส นิคฺคโห สติสมฺปชญฺญํ กมฺมฎฺฐานานุโยควเสน วีริยารโมฺภติ เอวมาทีนิ ยานิ ภิกฺขุนา นิรนฺตรํ ปวเตฺตตพฺพานิ ปุญฺญานิ, เตหิ มา ภายิตฺถ, มา ภยํ สนฺตาสํ อาปชฺชิตฺถฯ เอกจฺจสฺส ทิฎฺฐธมฺมสุขสฺส อุปโรธภเยน สมฺปรายิกนิพฺพานสุขทายเกหิ ปุเญฺญหิ มา ภายิตฺถาติฯ นิสฺสเกฺก อิทํ สามิวจนํฯ
62. Navame mā, bhikkhave, puññānanti (itivu. aṭṭha. 62) ettha māti paṭisedhe nipāto. Puñña-saddo ‘‘kusalānaṃ, bhikkhave, dhammānaṃ samādānahetu evamidaṃ puññaṃ pavaḍḍhatī’’tiādīsu (dī. ni. 3.80) puññaphale āgato. ‘‘Avijjāgatoyaṃ, bhikkhave, purisapuggalo puññañce saṅkhāraṃ abhisaṅkharotī’’tiādīsu (saṃ. ni. 2.51) kāmarūpāvacarasucaritesu. ‘‘Puññūpagaṃ hoti viññāṇa’’ntiādīsu (saṃ. ni. 2.51) sugativisesabhūte upapattibhave. ‘‘Tīṇimāni, bhikkhave, puññakiriyavatthūni dānamayaṃ puññakiriyavatthu, sīlamayaṃ puññakiriyavatthu, bhāvanāmayaṃ puññakiriyavatthū’’tiādīsu (itivu. 60; dī. ni. 3.305; a. ni. 8.36) kusalacetanāyaṃ. Idha pana tebhūmakakusaladhamme veditabbo. Bhāyitthāti ettha duvidhaṃ bhayaṃ ñāṇabhayaṃ, sārajjabhayanti. Tattha ‘‘yepi te, bhikkhave, devā dīghāyukā vaṇṇavanto sukhabahulā uccesu vimānesu ciraṭṭhitikā, tepi tathāgatassa dhammadesanaṃ sutvā yebhuyyena bhayaṃ saṃvegaṃ santāsaṃ āpajjantī’’ti (a. ni. 4.33) āgataṃ ñāṇabhayaṃ. ‘‘Ahudeva bhayaṃ, ahu chambhitattaṃ, ahu lomahaṃso’’tiādīsu (dī. ni. 2.318) āgataṃ sārajjabhayaṃ. Idhāpi sārajjabhayameva. Ayañhettha attho – bhikkhave, dīgharattaṃ kāyavacīsaṃyamo vattappaṭivattapūraṇaṃ ekāsanaṃ ekaseyyaṃ indriyadamo dhutadhammehi cittassa niggaho satisampajaññaṃ kammaṭṭhānānuyogavasena vīriyārambhoti evamādīni yāni bhikkhunā nirantaraṃ pavattetabbāni puññāni, tehi mā bhāyittha, mā bhayaṃ santāsaṃ āpajjittha. Ekaccassa diṭṭhadhammasukhassa uparodhabhayena samparāyikanibbānasukhadāyakehi puññehi mā bhāyitthāti. Nissakke idaṃ sāmivacanaṃ.
อิทานิ ตโต อภายิตพฺพภาเว การณํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สุขเสฺสต’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ สุข-สโทฺท ‘‘สุโข พุทฺธานมุปฺปาโท, สุขา วิราคตา โลเก’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๑๙๔) สุขมูเล อาคโตฯ ‘‘ยสฺมา จ โข, มหาลิ, รูปํ สุขํ สุขานุปติตํ สุขาวกฺกนฺต’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๖๐) สุขารมฺมเณฯ ‘‘ยาวญฺจิทํ, ภิกฺขเว, น สุกรํ อกฺขาเนน ปาปุณิตุํ ยาว สุขา สคฺคา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๒๕๕) สุขปจฺจยฎฺฐาเนฯ ‘‘สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๑๑๘) สุขเหตุมฺหิฯ ‘‘ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารา เอเต ธมฺมา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๘๒) อพฺยาปเชฺชฯ ‘‘นิพฺพานํ ปรมํ สุข’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๒๑๕; ธ. ป. ๒๐๓, ๒๐๔) นิพฺพาเนฯ ‘‘สุขสฺส จ ปหานา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๓๒; ม. นิ. ๑.๒๗๑; สํ. นิ. ๒.๑๕๒) สุขเวทนายํฯ ‘‘อทุกฺขมสุขํ สนฺตํ, สุขมิเจฺจว ภาสิต’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๒๕๓; อิติวุ. ๕๓) อุเปกฺขาเวทนายํฯ ‘‘เทฺวปิ มยา, อานนฺท, เวทนา วุตฺตา ปริยาเยน สุขา เวทนา ทุกฺขา เวทนา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๘๙) อิฎฺฐสุเขสุฯ ‘‘สุโข วิปาโก ปุญฺญาน’’นฺติอาทีสุ (เปฎโก. ๒๓) อิฎฺฐวิปาเกฯ อิธาปิ อิฎฺฐวิปาเก เอว ทฎฺฐโพฺพฯ อิฎฺฐสฺสาติอาทีสุ อิจฺฉิตพฺพโต เจว อนิฎฺฐปฺปฎิปกฺขโต จ อิฎฺฐสฺสฯ กมนียโต มนสฺมิญฺจ กมนโต ปวิสนโต กนฺตสฺสฯ ปิยายิตพฺพโต สนฺตปฺปนโต จ ปิยสฺสฯ มนนียโต มนสฺส วฑฺฒนโต จ มนาปสฺสาติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ยทิทํ ปุญฺญานีติ ปุญฺญานีติ ยทิทํ วจนํ, เอตํ สุขสฺส อิฎฺฐสฺส วิปากสฺส อธิวจนํ นามํฯ สุขเสฺสตํ ยทิทํ ปุญฺญานีติ ผเลน การณสฺส อเภโทปจารํ วทติฯ เตน กตูปจิตานํ ปุญฺญานํ อวสฺสํภาวิผลํ สุตฺวา อปฺปมเตฺตน สกฺกจฺจํ ปุญฺญานิ กตฺตพฺพานีติ ปุญฺญกิริยายํ นิโยเชติ, อาทรญฺจ เนสํ ตตฺถ อุปฺปาเทติฯ
Idāni tato abhāyitabbabhāve kāraṇaṃ dassento ‘‘sukhasseta’’ntiādimāha. Tattha sukha-saddo ‘‘sukho buddhānamuppādo, sukhā virāgatā loke’’tiādīsu (dha. pa. 194) sukhamūle āgato. ‘‘Yasmā ca kho, mahāli, rūpaṃ sukhaṃ sukhānupatitaṃ sukhāvakkanta’’ntiādīsu (saṃ. ni. 3.60) sukhārammaṇe. ‘‘Yāvañcidaṃ, bhikkhave, na sukaraṃ akkhānena pāpuṇituṃ yāva sukhā saggā’’tiādīsu (ma. ni. 3.255) sukhapaccayaṭṭhāne. ‘‘Sukho puññassa uccayo’’tiādīsu (dha. pa. 118) sukhahetumhi. ‘‘Diṭṭhadhammasukhavihārā ete dhammā’’tiādīsu (ma. ni. 1.82) abyāpajje. ‘‘Nibbānaṃ paramaṃ sukha’’ntiādīsu (ma. ni. 2.215; dha. pa. 203, 204) nibbāne. ‘‘Sukhassa ca pahānā’’tiādīsu (dī. ni. 1.232; ma. ni. 1.271; saṃ. ni. 2.152) sukhavedanāyaṃ. ‘‘Adukkhamasukhaṃ santaṃ, sukhamicceva bhāsita’’ntiādīsu (saṃ. ni. 4.253; itivu. 53) upekkhāvedanāyaṃ. ‘‘Dvepi mayā, ānanda, vedanā vuttā pariyāyena sukhā vedanā dukkhā vedanā’’tiādīsu (ma. ni. 2.89) iṭṭhasukhesu. ‘‘Sukho vipāko puññāna’’ntiādīsu (peṭako. 23) iṭṭhavipāke. Idhāpi iṭṭhavipāke eva daṭṭhabbo. Iṭṭhassātiādīsu icchitabbato ceva aniṭṭhappaṭipakkhato ca iṭṭhassa. Kamanīyato manasmiñca kamanato pavisanato kantassa. Piyāyitabbato santappanato ca piyassa. Mananīyato manassa vaḍḍhanato ca manāpassāti attho veditabbo. Yadidaṃ puññānīti puññānīti yadidaṃ vacanaṃ, etaṃ sukhassa iṭṭhassa vipākassa adhivacanaṃ nāmaṃ. Sukhassetaṃ yadidaṃ puññānīti phalena kāraṇassa abhedopacāraṃ vadati. Tena katūpacitānaṃ puññānaṃ avassaṃbhāviphalaṃ sutvā appamattena sakkaccaṃ puññāni kattabbānīti puññakiriyāyaṃ niyojeti, ādarañca nesaṃ tattha uppādeti.
อิทานิ อตฺตนา สุเนตฺตกาเล กเตน ปุญฺญกเมฺมน ทีฆรตฺตํ ปจฺจนุภูตํ ภวนฺตรปฺปฎิจฺฉนฺนํ อุฬารตรํ ปุญฺญวิปากํ อุทาหริตฺวา ตมตฺถํ ปากฎตรํ กโรโนฺต ‘‘อภิชานามิ โข ปนาห’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อภิชานามีติ อภิวิสิเฎฺฐน ญาเณน ชานามิ, ปจฺจกฺขโต พุชฺฌามิฯ ทีฆรตฺตนฺติ จิรกาลํฯ ปุญฺญานนฺติ ทานาทีนํ กุสลธมฺมานํฯ สตฺต วสฺสานีติ สตฺต สํวจฺฉรานิฯ เมตฺตจิตฺตนฺติ มิชฺชตีติ เมตฺตา, สินิยฺหตีติ อโตฺถฯ มิเตฺต ภวา, มิตฺตสฺส วา เอสา ปวตฺตีติปิ เมตฺตาฯ ลกฺขณาทิโต ปน หิตาการปฺปวตฺติลกฺขณา, หิตูปสํหารรสา, อาฆาตวินยปจฺจุปฎฺฐานา, สตฺตานํ มนาปภาวทสฺสนปทฎฺฐานาฯ พฺยาปาทูปสโม เอติสฺสา สมฺปตฺติ, สิเนหสมฺภโว วิปตฺติฯ เมตฺตจิตฺตํ ภาเวตฺวาติ เมตฺตาสหคตํ จิตฺตํ, จิตฺตสีเสน สมาธิ วุโตฺตติ เมตฺตาสมาธิํ เมตาพฺรหฺมวิหารํ อุปฺปาเทตฺวา เจว วเฑฺฒตฺวา จฯ
Idāni attanā sunettakāle katena puññakammena dīgharattaṃ paccanubhūtaṃ bhavantarappaṭicchannaṃ uḷārataraṃ puññavipākaṃ udāharitvā tamatthaṃ pākaṭataraṃ karonto ‘‘abhijānāmi kho panāha’’ntiādimāha. Tattha abhijānāmīti abhivisiṭṭhena ñāṇena jānāmi, paccakkhato bujjhāmi. Dīgharattanti cirakālaṃ. Puññānanti dānādīnaṃ kusaladhammānaṃ. Satta vassānīti satta saṃvaccharāni. Mettacittanti mijjatīti mettā, siniyhatīti attho. Mitte bhavā, mittassa vā esā pavattītipi mettā. Lakkhaṇādito pana hitākārappavattilakkhaṇā, hitūpasaṃhārarasā, āghātavinayapaccupaṭṭhānā, sattānaṃ manāpabhāvadassanapadaṭṭhānā. Byāpādūpasamo etissā sampatti, sinehasambhavo vipatti. Mettacittaṃ bhāvetvāti mettāsahagataṃ cittaṃ, cittasīsena samādhi vuttoti mettāsamādhiṃ metābrahmavihāraṃ uppādetvā ceva vaḍḍhetvā ca.
สตฺต สํวฎฺฎวิวฎฺฎกเปฺปติ สตฺต มหากเปฺปฯ สํวฎฺฎวิวฎฺฎคฺคหเณเนว หิ สํวฎฺฎฎฺฐายิวิวฎฺฎฎฺฐายิโนปิ คหิตาฯ อิมํ โลกนฺติ กามโลกํฯ สํวฎฺฎมาเน สุทนฺติ สํวฎฺฎมาเน, สุทนฺติ นิปาตมตฺตํ, วิปชฺชมาเนติ อโตฺถฯ ‘‘วรสํวตฺตฎฺฐาเน สุท’’นฺติปิ ปฐนฺติฯ กเปฺปติ กาเลฯ กปฺปสีเสน หิ กาโล วุโตฺต, กาเล ขียมาเน สโพฺพปิ ขียเตวฯ ยถาห – ‘‘กาโล ฆสติ ภูตานิ, สพฺพาเนว สหตฺตนา’’ติ (ชา. ๑.๒.๑๙๐)ฯ ‘‘อาภสฺสรูปโค โหมี’’ติ วุตฺตตฺตา เตโชสํวฎฺฎวเสเนตฺถ กปฺปวุฎฺฐานํ เวทิตพฺพํฯ อาภสฺสรูปโคติ ตตฺถ ปฎิสนฺธิคฺคหณวเสน อาภสฺสรพฺรหฺมโลกํ อุปคจฺฉามีติ อาภสฺสรูปโค โหมิฯ วิวฎฺฎมาเนติ สณฺฐหมาเนติ อโตฺถฯ สุญฺญํ พฺรหฺมวิมานํ อุปปชฺชามีติ กสฺสจิ สตฺตสฺส ตตฺถ นิพฺพตฺตสฺส อภาวโต สุญฺญํ ยํ ปฐมชฺฌานภูมิสงฺขาตํ พฺรหฺมวิมานํ อาทิโต นิพฺพตฺตติ, ตํ ปฎิสนฺธิคฺคหณวเสน อุปปชฺชามิ อุเปมิฯ
Satta saṃvaṭṭavivaṭṭakappeti satta mahākappe. Saṃvaṭṭavivaṭṭaggahaṇeneva hi saṃvaṭṭaṭṭhāyivivaṭṭaṭṭhāyinopi gahitā. Imaṃ lokanti kāmalokaṃ. Saṃvaṭṭamāne sudanti saṃvaṭṭamāne, sudanti nipātamattaṃ, vipajjamāneti attho. ‘‘Varasaṃvattaṭṭhāne suda’’ntipi paṭhanti. Kappeti kāle. Kappasīsena hi kālo vutto, kāle khīyamāne sabbopi khīyateva. Yathāha – ‘‘kālo ghasati bhūtāni, sabbāneva sahattanā’’ti (jā. 1.2.190). ‘‘Ābhassarūpago homī’’ti vuttattā tejosaṃvaṭṭavasenettha kappavuṭṭhānaṃ veditabbaṃ. Ābhassarūpagoti tattha paṭisandhiggahaṇavasena ābhassarabrahmalokaṃ upagacchāmīti ābhassarūpago homi. Vivaṭṭamāneti saṇṭhahamāneti attho. Suññaṃ brahmavimānaṃ upapajjāmīti kassaci sattassa tattha nibbattassa abhāvato suññaṃ yaṃ paṭhamajjhānabhūmisaṅkhātaṃ brahmavimānaṃ ādito nibbattati, taṃ paṭisandhiggahaṇavasena upapajjāmi upemi.
พฺรหฺมาติ กามาวจรสเตฺตหิ วิสิฎฺฐเฎฺฐน ตถา ตถา พฺรูหิตคุณตาย พฺรหฺมวิหารโต นิพฺพตฺตนเฎฺฐน จ พฺรหฺมาฯ พฺรหฺมปาริสชฺชพฺรหฺมปุโรหิเตหิ มหโนฺต พฺรหฺมาติ มหาพฺรหฺมา, ตโต เอว เต อภิภวิตฺวา ฐิตตฺตา อภิภูฯ เตหิ น เกนจิปิ คุเณน อภิภูโตติ อนภิภูโตฯ อญฺญทตฺถูติ เอกํสวจเน นิปาโตฯ ทสฺสนโต ทโส, อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนานํ ทสฺสนสมโตฺถ อภิญฺญาญาเณน ปสฺสิตพฺพํ ปสฺสามีติ อโตฺถฯ เสสพฺรหฺมานํ อิทฺธิปาทภาวนาพเลน อตฺตโน จิตฺตญฺจ มม วเส วเตฺตมีติ วสวตฺตี โหมีติ โยเชตพฺพํฯ ตทา กิร โพธิสโตฺต อฎฺฐสมาปตฺติลาภีปิ สมาโน ตถา สตฺตหิตํ อตฺตโน ปารมิปูรณญฺจ โอโลเกโนฺต ตาสุ เอว ทฺวีสุ ฌานภูมีสุ นิกนฺติ อุปฺปาเทตฺวา เมตฺตาพฺรหฺมวิหารวเสน อปราปรํ สํสริฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สตฺต วสฺสานิ…เป.… วสวตฺตี’’ติฯ
Brahmāti kāmāvacarasattehi visiṭṭhaṭṭhena tathā tathā brūhitaguṇatāya brahmavihārato nibbattanaṭṭhena ca brahmā. Brahmapārisajjabrahmapurohitehi mahanto brahmāti mahābrahmā, tato eva te abhibhavitvā ṭhitattā abhibhū. Tehi na kenacipi guṇena abhibhūtoti anabhibhūto. Aññadatthūti ekaṃsavacane nipāto. Dassanato daso, atītānāgatapaccuppannānaṃ dassanasamattho abhiññāñāṇena passitabbaṃ passāmīti attho. Sesabrahmānaṃ iddhipādabhāvanābalena attano cittañca mama vase vattemīti vasavattī homīti yojetabbaṃ. Tadā kira bodhisatto aṭṭhasamāpattilābhīpi samāno tathā sattahitaṃ attano pāramipūraṇañca olokento tāsu eva dvīsu jhānabhūmīsu nikanti uppādetvā mettābrahmavihāravasena aparāparaṃ saṃsari. Tena vuttaṃ ‘‘satta vassāni…pe… vasavattī’’ti.
เอวํ ภควา รูปาวจรปุญฺญสฺส วิปากมหนฺตตํ ปกาเสตฺวา อิทานิ กามาวจรปุญฺญสฺสปิ วิปากํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ฉตฺติํสกฺขตฺตุ’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ สโกฺก อโหสินฺติ ฉตฺติํสกฺขตฺตุํ ฉตฺติํสวาเร อญฺญตฺถ อนุปปชฺชิตฺวา นิรนฺตรํ สโกฺก เทวานมิโนฺท ตาวติํสเทวราชา อโหสิํฯ ราชา อโหสินฺติอาทีสุ จตูหิ อจฺฉริยธเมฺมหิ จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ จ โลกํ รเญฺชตีติ ราชาฯ จกฺกรตนํ วเตฺตติ, จตูหิ สมฺปตฺติจเกฺกหิ วตฺตติ, เตหิ จ ปรํ วเตฺตติ, ปรหิตาย จ อิริยาปถจกฺกานํ วโตฺต เอตสฺมิํ อตฺถีติ จกฺกวตฺตีฯ ‘‘ราชา’’ติ เจตฺถ สามญฺญํ, ‘‘จกฺกวตฺตี’’ติ วิเสสํฯ ธเมฺมน จรตีติ ธมฺมิโก, ญาเยน สเมน วตฺตตีติ อโตฺถฯ ธเมฺมเนว รชฺชํ ลภิตฺวา ราชา ชาโตติ ธมฺมราชา, ทสวิเธ กุสลธเมฺม อครหิเต จ ราชธเมฺม นิยุโตฺตติ ธมฺมิโกฯ เตน จ ธเมฺมน สกลํ โลกํ รเญฺชตีติ ธมฺมราชาฯ ปรหิตธมฺมกรเณน วา ธมฺมิโก, อตฺตหิตธมฺมกรเณน ธมฺมราชาฯ ยสฺมา จกฺกวตฺตี ธเมฺมน ญาเยน รชฺชํ อธิคจฺฉติ, น อธเมฺมน, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ธเมฺมน ลทฺธรชฺชตฺตา ธมฺมราชา’’ติฯ
Evaṃ bhagavā rūpāvacarapuññassa vipākamahantataṃ pakāsetvā idāni kāmāvacarapuññassapi vipākaṃ dassento ‘‘chattiṃsakkhattu’’ntiādimāha. Tattha sakko ahosinti chattiṃsakkhattuṃ chattiṃsavāre aññattha anupapajjitvā nirantaraṃ sakko devānamindo tāvatiṃsadevarājā ahosiṃ. Rājā ahosintiādīsu catūhi acchariyadhammehi catūhi saṅgahavatthūhi ca lokaṃ rañjetīti rājā. Cakkaratanaṃ vatteti, catūhi sampatticakkehi vattati, tehi ca paraṃ vatteti, parahitāya ca iriyāpathacakkānaṃ vatto etasmiṃ atthīti cakkavattī. ‘‘Rājā’’ti cettha sāmaññaṃ, ‘‘cakkavattī’’ti visesaṃ. Dhammena caratīti dhammiko, ñāyena samena vattatīti attho. Dhammeneva rajjaṃ labhitvā rājā jātoti dhammarājā, dasavidhe kusaladhamme agarahite ca rājadhamme niyuttoti dhammiko. Tena ca dhammena sakalaṃ lokaṃ rañjetīti dhammarājā. Parahitadhammakaraṇena vā dhammiko, attahitadhammakaraṇena dhammarājā. Yasmā cakkavattī dhammena ñāyena rajjaṃ adhigacchati, na adhammena, tasmā vuttaṃ ‘‘dhammena laddharajjattā dhammarājā’’ti.
จตูสุ ทิสาสุ สมุทฺทปริโยสานตาย จาตุรนฺตา นาม ตตฺถ ตตฺถ ทีเป มหาปถวีติ อาห ‘‘ปุรตฺถิม…เป.… อิสฺสโร’’ติฯ วิชิตาวีติ วิเชตพฺพสฺส วิชิตวา, กามโกธาทิกสฺส อพฺภนฺตรสฺส ปฎิราชภูตสฺส พาหิรสฺส จ อริคณสฺส วิชยี วิชินิตฺวา ฐิโตติ อโตฺถฯ กามํ จกฺกวตฺติโน เกนจิ ยุทฺธํ นาม นตฺถิ, ยุเทฺธน ปน สาเธตพฺพสฺส วิชยสฺส สิทฺธิยา ‘‘วิชิตสงฺคาโม’’ติ วุตฺตํฯ ชนปโท วา จตุพฺพิธอจฺฉริยธเมฺมน สมนฺนาคโต อสฺมิํ ราชินิ ถาวริยํ เกนจิ อสํหาริยํ ทฬฺหภตฺติภาวํ ปโตฺต, ชนปเท วา อตฺตโน ธมฺมิกาย ปฎิปตฺติยา ถาวริยํ ถิรภาวํ ปโตฺตติ ชนปทตฺถาวริยปฺปโตฺตฯ จณฺฑสฺส หิ รโญฺญ พลิทณฺฑาทีหิ โลกํ ปีฬยโต มนุสฺสา มชฺฌิมชนปทํ ฉเฑฺฑตฺวา ปพฺพตสมุทฺทตีรกนฺทราทีนิ นิสฺสาย ปจฺจเนฺต วาสํ กเปฺปนฺติฯ อติมุทุกสฺส รโญฺญ โจเรหิ สาหสิกธนวิโลปปีฬิตา มนุสฺสา ปจฺจนฺตํ ปหาย ชนปทมเชฺฌ วาสํ กเปฺปนฺติฯ อิติ เอวรูเป ราชินิ ชนปโท ถิรภาวํ น ปาปุณาติฯ
Catūsu disāsu samuddapariyosānatāya cāturantā nāma tattha tattha dīpe mahāpathavīti āha ‘‘puratthima…pe… issaro’’ti. Vijitāvīti vijetabbassa vijitavā, kāmakodhādikassa abbhantarassa paṭirājabhūtassa bāhirassa ca arigaṇassa vijayī vijinitvā ṭhitoti attho. Kāmaṃ cakkavattino kenaci yuddhaṃ nāma natthi, yuddhena pana sādhetabbassa vijayassa siddhiyā ‘‘vijitasaṅgāmo’’ti vuttaṃ. Janapado vā catubbidhaacchariyadhammena samannāgato asmiṃ rājini thāvariyaṃ kenaci asaṃhāriyaṃ daḷhabhattibhāvaṃ patto, janapade vā attano dhammikāya paṭipattiyā thāvariyaṃ thirabhāvaṃ pattoti janapadatthāvariyappatto. Caṇḍassa hi rañño balidaṇḍādīhi lokaṃ pīḷayato manussā majjhimajanapadaṃ chaḍḍetvā pabbatasamuddatīrakandarādīni nissāya paccante vāsaṃ kappenti. Atimudukassa rañño corehi sāhasikadhanavilopapīḷitā manussā paccantaṃ pahāya janapadamajjhe vāsaṃ kappenti. Iti evarūpe rājini janapado thirabhāvaṃ na pāpuṇāti.
สตฺตรตนสมนฺนาคโตติ จกฺกรตนาทีหิ สตฺตหิ รตเนหิ สมุเปโตฯ เตสุ หิ ราชา จกฺกวตฺตี จกฺกรตเนน อชิตํ ชินาติ, หตฺถิอสฺสรตเนหิ วิชิเต สุเขเนว อนุวิจรติ, ปริณายกรตเนน วิชิตมนุรกฺขติ, อวเสเสหิ อุปโภคสุขมนุภวติฯ ปฐเมน จสฺส อุสฺสาหสตฺติโยโค, ปจฺฉิเมน มนฺตสตฺติโยโค, หตฺถิอสฺสคหปติรตเนหิ ปภุสตฺติโยโค สุปริปุโณฺณ โหติฯ อิตฺถิมณิรตเนหิ อุปโภคสุขมนุภวติ, เสเสหิ อิสฺสริยสุขํฯ วิเสสโต จสฺส ปุริมานิ ตีณิ อโทสกุสลมูลชนิตกมฺมานุภาเวน สมฺปชฺชนฺติ, มชฺฌิมานิ อโลภกุสลมูลชนิตกมฺมานุภาเวน, ปจฺฉิมเมกํ อโมหกุสลมูลชนิตกมฺมานุภาเวนาติฯ
Sattaratanasamannāgatoti cakkaratanādīhi sattahi ratanehi samupeto. Tesu hi rājā cakkavattī cakkaratanena ajitaṃ jināti, hatthiassaratanehi vijite sukheneva anuvicarati, pariṇāyakaratanena vijitamanurakkhati, avasesehi upabhogasukhamanubhavati. Paṭhamena cassa ussāhasattiyogo, pacchimena mantasattiyogo, hatthiassagahapatiratanehi pabhusattiyogo suparipuṇṇo hoti. Itthimaṇiratanehi upabhogasukhamanubhavati, sesehi issariyasukhaṃ. Visesato cassa purimāni tīṇi adosakusalamūlajanitakammānubhāvena sampajjanti, majjhimāni alobhakusalamūlajanitakammānubhāvena, pacchimamekaṃ amohakusalamūlajanitakammānubhāvenāti.
สูราติ สตฺติวโนฺต, นิพฺภยาติ อโตฺถติ อาห ‘‘อภีรุโน’’ติฯ องฺคนฺติ การณํฯ เยน การเณน ‘‘วีรา’’ติ วุเจฺจยฺยุํ, ตํ วีรงฺคํฯ เตนาห ‘‘วีริยเสฺสตํ นาม’’นฺติฯ ยาว จกฺกวาฬปพฺพตา จกฺกสฺส วตฺตนโต ‘‘จกฺกวาฬปพฺพตํ สีมํ กตฺวา ฐิตสมุทฺทปริยนฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ อทเณฺฑนาติ อิมินา ธนทณฺฑสฺส สรีรทณฺฑสฺส จ อกรณํ วุตฺตํฯ อสเตฺถนาติ อิมินา ปน เสนาย ยุชฺฌนสฺสาติ ตทุภยํ ทเสฺสตุํ ‘‘น ทเณฺฑนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – เย กตาปราเธ สเตฺต สตมฺปิ สหสฺสมฺปิ คณฺหนฺติ, เต ธนทเณฺฑน รชฺชํ กาเรนฺติฯ เย เฉชฺชเภชฺชํ อนุสาสนฺติ, เต สตฺถทเณฺฑนฯ อหํ ปน ทุวิธมฺปิ ทณฺฑํ ปหาย อทเณฺฑน อชฺฌาวสิํฯ เย เอกโตธาราทินา สเตฺถน ปรํ วิเหเฐนฺติ, เต สเตฺถน รชฺชํ กาเรนฺติ นามฯ อหํ ปน สเตฺถน ขุทฺทกมกฺขิกาย ปิวนมตฺตมฺปิ โลหิตํ กสฺสจิ อนุปฺปาเทตฺวา ธเมฺมเนว ‘‘เอหิ โข, มหาราชา’’ติ เอวํ ปฎิราชูหิ สมฺปฎิจฺฉิตาคมโน วุตฺตปฺปการํ ปถวิํ อภิชินิตฺวา อชฺฌาวสิํ, อภิวิชินิตฺวา สามี หุตฺวา วสินฺติฯ
Sūrāti sattivanto, nibbhayāti atthoti āha ‘‘abhīruno’’ti. Aṅganti kāraṇaṃ. Yena kāraṇena ‘‘vīrā’’ti vucceyyuṃ, taṃ vīraṅgaṃ. Tenāha ‘‘vīriyassetaṃ nāma’’nti. Yāva cakkavāḷapabbatā cakkassa vattanato ‘‘cakkavāḷapabbataṃ sīmaṃ katvā ṭhitasamuddapariyanta’’nti vuttaṃ. Adaṇḍenāti iminā dhanadaṇḍassa sarīradaṇḍassa ca akaraṇaṃ vuttaṃ. Asatthenāti iminā pana senāya yujjhanassāti tadubhayaṃ dassetuṃ ‘‘na daṇḍenā’’tiādi vuttaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – ye katāparādhe satte satampi sahassampi gaṇhanti, te dhanadaṇḍena rajjaṃ kārenti. Ye chejjabhejjaṃ anusāsanti, te satthadaṇḍena. Ahaṃ pana duvidhampi daṇḍaṃ pahāya adaṇḍena ajjhāvasiṃ. Ye ekatodhārādinā satthena paraṃ viheṭhenti, te satthena rajjaṃ kārenti nāma. Ahaṃ pana satthena khuddakamakkhikāya pivanamattampi lohitaṃ kassaci anuppādetvā dhammeneva ‘‘ehi kho, mahārājā’’ti evaṃ paṭirājūhi sampaṭicchitāgamano vuttappakāraṃ pathaviṃ abhijinitvā ajjhāvasiṃ, abhivijinitvā sāmī hutvā vasinti.
อิติ ภควา อตฺตานํ กายสกฺขิํ กตฺวา ปุญฺญานํ วิปากมหนฺตตํ ปกาเสตฺวา อิทานิ ตเมวตฺถํ คาถาพนฺธเนน ทเสฺสโนฺต ‘‘ปสฺส, ปุญฺญานํ วิปาก’’นฺติอาทิมาหฯ สุเขสิโนติ อาลปนวจนเมตํ, เตน สุขปริเยสเก สเตฺต อามเนฺตติฯ ปาฬิยํ ปน ‘‘ปสฺสถา’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘ปสฺสา’’ติ วจนพฺยตฺตโย กโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ มนุสฺสานํ อุเร สตฺถํ ฐเปตฺวา อิจฺฉิตธนหรณาทินา วา สาหสการิตาย สาหสิกา, เตสํ กมฺมํ สาหสิกกมฺมํฯ ปถวิยา อิสฺสโร ปถโพฺยติ อาห ‘‘ปุถวิสามิโก’’ติฯ
Iti bhagavā attānaṃ kāyasakkhiṃ katvā puññānaṃ vipākamahantataṃ pakāsetvā idāni tamevatthaṃ gāthābandhanena dassento ‘‘passa, puññānaṃ vipāka’’ntiādimāha. Sukhesinoti ālapanavacanametaṃ, tena sukhapariyesake satte āmanteti. Pāḷiyaṃ pana ‘‘passathā’’ti vattabbe ‘‘passā’’ti vacanabyattayo katoti daṭṭhabbo. Manussānaṃ ure satthaṃ ṭhapetvā icchitadhanaharaṇādinā vā sāhasakāritāya sāhasikā, tesaṃ kammaṃ sāhasikakammaṃ. Pathaviyā issaro pathabyoti āha ‘‘puthavisāmiko’’ti.
เมตฺตสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Mettasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๙. เมตฺตสุตฺตํ • 9. Mettasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๙. เมตฺตสุตฺตวณฺณนา • 9. Mettasuttavaṇṇanā