Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā)

    ๕. เมตฺตาสุตฺตวณฺณนา

    5. Mettāsuttavaṇṇanā

    ๑๕. ปญฺจเม เสสชนาติ เมตฺตาย เจโตวิมุตฺติยา อลาภิโนฯ สมฺปริวตฺตมานาติ ทกฺขิเณเนว ปเสฺสน อสยิตฺวา สพฺพโส ปริวตฺตมานาฯ กากจฺฉมานาติ ฆุรุฆุรุปสฺสาสวเสน วิสฺสรํ กโรนฺตาฯ สุขํ สุปตีติ เอตฺถ ทุวิธา สุปนา สยเน ปิฎฺฐิปฺปสารณลกฺขณา กิริยามยจิเตฺตหิ อโวกิณฺณภวงฺคปฺปวตฺติลกฺขณา จฯ ตตฺถายํ อุภยตฺถาปิ สุขเมว สุปติฯ ยสฺมา สณิกํ นิปชฺชิตฺวา องฺคปจฺจงฺคานิ สโมธาย ปาสาทิเกน อากาเรน สยติ, นิโทฺทกฺกมเนปิ ฌานํ สมาปโนฺน วิย โหติฯ เตนาห ‘‘เอวํ อสุปิตฺวา’’ติอาทิฯ

    15. Pañcame sesajanāti mettāya cetovimuttiyā alābhino. Samparivattamānāti dakkhiṇeneva passena asayitvā sabbaso parivattamānā. Kākacchamānāti ghurughurupassāsavasena vissaraṃ karontā. Sukhaṃ supatīti ettha duvidhā supanā sayane piṭṭhippasāraṇalakkhaṇā kiriyāmayacittehi avokiṇṇabhavaṅgappavattilakkhaṇā ca. Tatthāyaṃ ubhayatthāpi sukhameva supati. Yasmā saṇikaṃ nipajjitvā aṅgapaccaṅgāni samodhāya pāsādikena ākārena sayati, niddokkamanepi jhānaṃ samāpanno viya hoti. Tenāha ‘‘evaṃ asupitvā’’tiādi.

    นิทฺทากาเล สุขํ อลภิตฺวา ทุเกฺขน สุตฺตตฺตา เอว ปฎิพุชฺฌนกาเล สรีรเขเทน นิตฺถุนนํ วิชมฺภนํ อิโต จิโต จ วิปริวตฺตนญฺจ โหตีติ อาห ‘‘นิตฺถุนนฺตา วิชมฺภนฺตา สมฺปริวตฺตนฺตา ทุกฺขํ ปฎิพุชฺฌนฺตี’’ติฯ อยํ ปน สุเขน สุตฺตตฺตา สรีรเขทาภาวโต นิตฺถุนนาทิวิรหิโตว ปฎิพุชฺฌติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เอวํ อปฺปฎิพุชฺฌิตฺวา’’ติอาทิฯ สุขปฺปฎิโพโธ จ สรีรวิการาภาเวนาติ อาห ‘‘สุขํ นิพฺพิการ’’นฺติฯ

    Niddākāle sukhaṃ alabhitvā dukkhena suttattā eva paṭibujjhanakāle sarīrakhedena nitthunanaṃ vijambhanaṃ ito cito ca viparivattanañca hotīti āha ‘‘nitthunantā vijambhantā samparivattantā dukkhaṃ paṭibujjhantī’’ti. Ayaṃ pana sukhena suttattā sarīrakhedābhāvato nitthunanādivirahitova paṭibujjhati. Tena vuttaṃ ‘‘evaṃ appaṭibujjhitvā’’tiādi. Sukhappaṭibodho ca sarīravikārābhāvenāti āha ‘‘sukhaṃ nibbikāra’’nti.

    ภทฺทกเมว สุปินํ ปสฺสตีติ อิทํ อนุภูตปุพฺพวเสน เทวตูปสํหารวเสน จสฺส ภทฺทกเมว สุปินํ โหติ, น ปาปกนฺติ กตฺวา วุตฺตํฯ เตนาห ‘‘เจติยํ วนฺทโนฺต วิยา’’ติอาทิฯ ธาตุโกฺขภเหตุกมฺปิ จสฺส พหุลํ ภทฺทกเมว สิยา เยภุเยฺยน จิตฺตชรูปานุคุณตาย อุตุอาหารชรูปานํฯ

    Bhaddakameva supinaṃ passatīti idaṃ anubhūtapubbavasena devatūpasaṃhāravasena cassa bhaddakameva supinaṃ hoti, na pāpakanti katvā vuttaṃ. Tenāha ‘‘cetiyaṃ vandanto viyā’’tiādi. Dhātukkhobhahetukampi cassa bahulaṃ bhaddakameva siyā yebhuyyena cittajarūpānuguṇatāya utuāhārajarūpānaṃ.

    อุเร อามุกฺกมุตฺตาหาโร วิยาติ คีวาย พนฺธิตฺวา อุเร ลมฺพิตมุตฺตาหาโร วิยาติ เกหิจิ ตํ เอกาวลิวเสน วุตฺตํ สิยา, อเนกรตนาวลิสมูหภูโต ปน มุตฺตาหาโร อํสปฺปเทสโต ปฎฺฐาย ยาว กฎิปฺปเทสสฺส เหฎฺฐาภาคา ปลมฺพโนฺต อุเร อามุโกฺกเยว นาม โหติฯ

    Ureāmukkamuttāhāro viyāti gīvāya bandhitvā ure lambitamuttāhāro viyāti kehici taṃ ekāvalivasena vuttaṃ siyā, anekaratanāvalisamūhabhūto pana muttāhāro aṃsappadesato paṭṭhāya yāva kaṭippadesassa heṭṭhābhāgā palambanto ure āmukkoyeva nāma hoti.

    วิสาขเตฺถโร วิยาติ (วิสุทฺธิ. ๑.๒๕๘) โส กิร ปาฎลิปุเตฺต กุฎุมฺพิโย อโหสิฯ โส ตเตฺถว วสมาโน อโสฺสสิ ‘‘ตมฺพปณฺณิทีโป กิร เจติยมาลาลงฺกโต กาสาวปโชฺชโต, อิจฺฉิติจฺฉิตฎฺฐาเนเยเวตฺถ สกฺกา นิสีทิตุํ วา นิปชฺชิตุํ วา, อุตุสปฺปายํ เสนาสนสปฺปายํ ปุคฺคลสปฺปายํ ธมฺมสฺสวนสปฺปายนฺติ สพฺพเมตฺถ สุลภ’’นฺติฯ โส อตฺตโน โภคกฺขนฺธํ ปุตฺตทารสฺส นิยฺยาเตตฺวา ทุสฺสเนฺต พเทฺธน เอกกหาปเณเนว ฆรา นิกฺขมิตฺวา สมุทฺทตีเร นาวํ อุทิกฺขมาโน เอกํ มาสํ วสิฯ โส โวหารกุสลตาย อิมสฺมิํ ฐาเน ภณฺฑํ กิณิตฺวา อสุกสฺมิํ วิกฺกิณโนฺต ธมฺมิกาย วณิชฺชาย เตเนวนฺตรมาเสน สหสฺสํ อภิสํหริฯ อิติ อนุปุเพฺพน มหาวิหารํ คนฺตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจติฯ โส ปพฺพาชนตฺถาย สีมํ นีโต ตํ สหสฺสตฺถวิกํ โอวฎฺฎิกนฺตเรน ภูมิยํ ปาเตสิฯ ‘‘กิเมต’’นฺติ จ วุเตฺต ‘‘กหาปณสหสฺสํ, ภเนฺต’’ติ วตฺวา, ‘‘อุปาสก, ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย น สกฺกา วิจาเรตุํ, อิทาเนว นํ วิจาเรหี’’ติ วุเตฺต ‘‘วิสาขสฺส ปพฺพชฺชฎฺฐานํ อาคตา มา ริตฺตหตฺถา คมิํสู’’ติ มุญฺจิตฺวา สีมามาฬเก วิกฺกิริตฺวา ปพฺพชิตฺวา อุปสมฺปโนฺนฯ โส ปญฺจวโสฺส หุตฺวา เทฺวมาติกา ปคุณา กตฺวา อตฺตโน สปฺปายํ กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา เอเกกสฺมิํ วิหาเร จตฺตาโร จตฺตาโร มาเส สมปวตฺตวาสํ วสมาโน จริฯ เอวํ จรมาโน –

    Visākhatthero viyāti (visuddhi. 1.258) so kira pāṭaliputte kuṭumbiyo ahosi. So tattheva vasamāno assosi ‘‘tambapaṇṇidīpo kira cetiyamālālaṅkato kāsāvapajjoto, icchiticchitaṭṭhāneyevettha sakkā nisīdituṃ vā nipajjituṃ vā, utusappāyaṃ senāsanasappāyaṃ puggalasappāyaṃ dhammassavanasappāyanti sabbamettha sulabha’’nti. So attano bhogakkhandhaṃ puttadārassa niyyātetvā dussante baddhena ekakahāpaṇeneva gharā nikkhamitvā samuddatīre nāvaṃ udikkhamāno ekaṃ māsaṃ vasi. So vohārakusalatāya imasmiṃ ṭhāne bhaṇḍaṃ kiṇitvā asukasmiṃ vikkiṇanto dhammikāya vaṇijjāya tenevantaramāsena sahassaṃ abhisaṃhari. Iti anupubbena mahāvihāraṃ gantvā pabbajjaṃ yācati. So pabbājanatthāya sīmaṃ nīto taṃ sahassatthavikaṃ ovaṭṭikantarena bhūmiyaṃ pātesi. ‘‘Kimeta’’nti ca vutte ‘‘kahāpaṇasahassaṃ, bhante’’ti vatvā, ‘‘upāsaka, pabbajitakālato paṭṭhāya na sakkā vicāretuṃ, idāneva naṃ vicārehī’’ti vutte ‘‘visākhassa pabbajjaṭṭhānaṃ āgatā mā rittahatthā gamiṃsū’’ti muñcitvā sīmāmāḷake vikkiritvā pabbajitvā upasampanno. So pañcavasso hutvā dvemātikā paguṇā katvā attano sappāyaṃ kammaṭṭhānaṃ gahetvā ekekasmiṃ vihāre cattāro cattāro māse samapavattavāsaṃ vasamāno cari. Evaṃ caramāno –

    ‘‘วนนฺตเร ฐิโต เถโร, วิสาโข คชฺชมานโก;

    ‘‘Vanantare ṭhito thero, visākho gajjamānako;

    อตฺตโน คุณเมสโนฺต, อิมมตฺถํ อภาสถฯ

    Attano guṇamesanto, imamatthaṃ abhāsatha.

    ‘‘ยาวตา อุปสมฺปโนฺน, ยาวตา อิธ มาคโต;

    ‘‘Yāvatā upasampanno, yāvatā idha māgato;

    เอตฺถนฺตเร ขลิตํ นตฺถิ, อโห ลาโภ เต มาริสา’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๒๕๘);

    Etthantare khalitaṃ natthi, aho lābho te mārisā’’ti. (visuddhi. 1.258);

    โส จิตฺตลปพฺพตวิหารํ คจฺฉโนฺต เทฺวธาปถํ ปตฺวา ‘‘อยํ นุ โข มโคฺค, อุทาหุ อย’’นฺติ จินฺตยโนฺต อฎฺฐาสิฯ อถสฺส ปพฺพเต อธิวตฺถา เทวตา หตฺถํ ปสาเรตฺวา ‘‘เอโส มโคฺค’’ติ ทเสฺสติฯ โส จิตฺตลปพฺพตวิหารํ คนฺตฺวา ตตฺถ จตฺตาโร มาเส วสิตฺวา ‘‘ปจฺจูเส คมิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา นิปชฺชิฯ จงฺกมสีเส มณิลรุเกฺข อธิวตฺถา เทวตา โสปานผลเก นิสีทิตฺวา ปโรทิฯ เถโร ‘‘โก เอโส’’ติ อาหฯ อหํ, ภเนฺต, มณิลิยาติฯ กิสฺส โรทสีติ? ตุมฺหากํ คมนํ ปฎิจฺจาติฯ มยิ อิธ วสเนฺต ตุมฺหากํ โก คุโณติ? ตุเมฺหสุ, ภเนฺต, อิธ วสเนฺตสุ อมนุสฺสา อญฺญมญฺญํ เมตฺตํ ปฎิลภนฺติ, เต ทานิ ตุเมฺหสุ คเตสุ กลหํ กริสฺสนฺติ, ทุฎฺฐุลฺลมฺปิ กถยิสฺสนฺตีติฯ เถโร ‘‘สเจ มยิ อิธ วสเนฺต ตุมฺหากํ ผาสุวิหาโร โหติ, สุนฺทร’’นฺติ วตฺวา อเญฺญปิ จตฺตาโร มาเส ตเตฺถว วสิตฺวา ปุน ตเถว คมนจิตฺตํ อุปฺปาเทสิฯ เทวตาปิ ปุน ตเถว ปโรทิฯ เอเตเนว อุปาเยน เถโร ตเตฺถว วสิตฺวา ตเตฺถว ปรินิพฺพายีติฯ เอวํ ธมตฺตาวิหารี ภิกฺขุ อมนุสฺสานํ ปิโย โหติฯ

    So cittalapabbatavihāraṃ gacchanto dvedhāpathaṃ patvā ‘‘ayaṃ nu kho maggo, udāhu aya’’nti cintayanto aṭṭhāsi. Athassa pabbate adhivatthā devatā hatthaṃ pasāretvā ‘‘eso maggo’’ti dasseti. So cittalapabbatavihāraṃ gantvā tattha cattāro māse vasitvā ‘‘paccūse gamissāmī’’ti cintetvā nipajji. Caṅkamasīse maṇilarukkhe adhivatthā devatā sopānaphalake nisīditvā parodi. Thero ‘‘ko eso’’ti āha. Ahaṃ, bhante, maṇiliyāti. Kissa rodasīti? Tumhākaṃ gamanaṃ paṭiccāti. Mayi idha vasante tumhākaṃ ko guṇoti? Tumhesu, bhante, idha vasantesu amanussā aññamaññaṃ mettaṃ paṭilabhanti, te dāni tumhesu gatesu kalahaṃ karissanti, duṭṭhullampi kathayissantīti. Thero ‘‘sace mayi idha vasante tumhākaṃ phāsuvihāro hoti, sundara’’nti vatvā aññepi cattāro māse tattheva vasitvā puna tatheva gamanacittaṃ uppādesi. Devatāpi puna tatheva parodi. Eteneva upāyena thero tattheva vasitvā tattheva parinibbāyīti. Evaṃ dhamattāvihārī bhikkhu amanussānaṃ piyo hoti.

    พลวปิยจิตฺตตายาติ อิมินา พลวปิยจิตฺตตามเตฺตนปิ สตฺถํ น กมติ, ปเคว เมตฺตาย เจโตวิมุตฺติยาติ ทเสฺสติฯ ขิปฺปเมว จิตฺตํ สมาธิยติ, เกนจิ ปริปเนฺถน ปริหีนชฺฌานสฺส พฺยาปาทสฺส ทูรสมุสฺสาริตภาวโต ขิปฺปเมว สมาธิยติ, ‘‘อาสวานํ ขยายา’’ติ เกจิฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ เอตฺถ จ กิญฺจาปิ อิโต อญฺญกมฺมฎฺฐานวเสน อธิคตชฺฌานานมฺปิ สุขสุปนาทโย อานิสํสา ลพฺภนฺติฯ ยถาห –

    Balavapiyacittatāyāti iminā balavapiyacittatāmattenapi satthaṃ na kamati, pageva mettāya cetovimuttiyāti dasseti. Khippameva cittaṃ samādhiyati, kenaci paripanthena parihīnajjhānassa byāpādassa dūrasamussāritabhāvato khippameva samādhiyati, ‘‘āsavānaṃ khayāyā’’ti keci. Sesaṃ suviññeyyameva. Ettha ca kiñcāpi ito aññakammaṭṭhānavasena adhigatajjhānānampi sukhasupanādayo ānisaṃsā labbhanti. Yathāha –

    ‘‘สุขํ สุปนฺติ มุนโย, อชฺฌตฺตํ สุสมาหิตา;

    ‘‘Sukhaṃ supanti munayo, ajjhattaṃ susamāhitā;

    สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ, สทา โคตมสาวกา’’ติฯ (วิสุทฺธิ. มหาฎี. ๑.๒๕๘); จ อาทิ –

    Suppabuddhaṃ pabujjhanti, sadā gotamasāvakā’’ti. (visuddhi. mahāṭī. 1.258); Ca ādi –

    ตถาปิเม อานิสํสา พฺรหฺมวิหารลาภิโน อนวเสสา ลพฺภนฺติ พฺยาปาทาทีนํ อุชุวิปจฺจนีกภาวโต พฺรหฺมวิหารานํฯ เตเนวาห ‘‘นิสฺสรณํ เหตํ, อาวุโส, พฺยาปาทสฺส, ยทิทํ เมตฺตาเจโตวิมุตฺตี’’ติอาทิ (ที. นิ. ๓.๓๒๖; อ. นิ. ๖.๑๓)ฯ พฺยาปาทาทิวเสน จ สตฺตานํ ทุกฺขสุปนาทโยติ ตปฺปฎิปกฺขภูเตสุ พฺรหฺมวิหาเรสุ สิเทฺธสุ สุขสุปนาทโย หตฺถคตา เอว โหนฺตีติฯ

    Tathāpime ānisaṃsā brahmavihāralābhino anavasesā labbhanti byāpādādīnaṃ ujuvipaccanīkabhāvato brahmavihārānaṃ. Tenevāha ‘‘nissaraṇaṃ hetaṃ, āvuso, byāpādassa, yadidaṃ mettācetovimuttī’’tiādi (dī. ni. 3.326; a. ni. 6.13). Byāpādādivasena ca sattānaṃ dukkhasupanādayoti tappaṭipakkhabhūtesu brahmavihāresu siddhesu sukhasupanādayo hatthagatā eva hontīti.

    เมตฺตาสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Mettāsuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๕. เมตฺตาสุตฺตํ • 5. Mettāsuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๕. เมตฺตสุตฺตวณฺณนา • 5. Mettasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact