Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เปตวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Petavatthu-aṭṭhakathā |
๗. มิคลุทฺทกเปตวตฺถุวณฺณนา
7. Migaluddakapetavatthuvaṇṇanā
นรนาริปุรกฺขโต ยุวาติ อิทํ ภควติ เวฬุวเน วิหรเนฺต มิคลุทฺทกเปตํ อารพฺภ วุตฺตํฯ ราชคเห กิร อญฺญตโร ลุทฺทโก รตฺตินฺทิวํ มิเค วธิตฺวา ชีวิกํ กเปฺปสิฯ ตเสฺสโก อุปาสโก มิโตฺต อโหสิ, โส ตํ สพฺพกาลํ ปาปโต นิวเตฺตตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘เอหิ, สมฺม, รตฺติยํ ปาณาติปาตา วิรมาหี’’ติ รตฺติยํ ปุเญฺญ สมาทเปสิฯ โส รตฺติยํ วิรมิตฺวา ทิวา เอว ปาณาติปาตํ กโรติฯ
Naranāripurakkhatoyuvāti idaṃ bhagavati veḷuvane viharante migaluddakapetaṃ ārabbha vuttaṃ. Rājagahe kira aññataro luddako rattindivaṃ mige vadhitvā jīvikaṃ kappesi. Tasseko upāsako mitto ahosi, so taṃ sabbakālaṃ pāpato nivattetuṃ asakkonto ‘‘ehi, samma, rattiyaṃ pāṇātipātā viramāhī’’ti rattiyaṃ puññe samādapesi. So rattiyaṃ viramitvā divā eva pāṇātipātaṃ karoti.
โส อปเรน สมเยน กาลํ กตฺวา ราชคหสมีเป เวมานิกเปโต หุตฺวา นิพฺพโตฺต, ทิวสภาคํ มหาทุกฺขํ อนุภวิตฺวา รตฺติยํ ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิตา สมงฺคีภูโต ปริจาเรสิฯ ตํ ทิสฺวา อายสฺมา นารโท –
So aparena samayena kālaṃ katvā rājagahasamīpe vemānikapeto hutvā nibbatto, divasabhāgaṃ mahādukkhaṃ anubhavitvā rattiyaṃ pañcahi kāmaguṇehi samappitā samaṅgībhūto paricāresi. Taṃ disvā āyasmā nārado –
๔๗๘.
478.
‘‘นรนาริปุรกฺขโต ยุวา, รชนีเยหิ กามคุเณหิ โสภสิ;
‘‘Naranāripurakkhato yuvā, rajanīyehi kāmaguṇehi sobhasi;
ทิวสํ อนุโภสิ การณํ, กิมกาสิ ปุริมาย ชาติยา’’ติฯ –
Divasaṃ anubhosi kāraṇaṃ, kimakāsi purimāya jātiyā’’ti. –
อิมาย คาถาย ปฎิปุจฺฉิฯ ตตฺถ นรนาริปุรกฺขโตติ ปริจารกภูเตหิ เทวปุเตฺตหิ เทวธีตาหิ จ ปุรกฺขโต ปยิรุปาสิโตฯ ยุวาติ ตรุโณฯ รชนีเยหีติ กมนีเยหิ ราคุปฺปตฺติเหตุภูเตหิฯ กามคุเณหีติ กามโกฎฺฐาเสหิฯ โสภสีติ สมงฺคิภาเวน วิโรจสิ รตฺติยนฺติ อธิปฺปาโยฯ เตนาห ‘‘ทิวสํ อนุโภสิ การณ’’นฺติ, ทิวสภาเค ปน นานปฺปการํ การณํ ฆาตนํ ปจฺจนุภวสิฯ รชนีติ วา รตฺตีสุฯ เยหีติ นิปาตมตฺตํฯ กิมกาสิ ปุริมาย ชาติยาติ เอวํ สุขทุกฺขสํวตฺตนิยํ กิํ นาม กมฺมํ อิโต ปุริมาย ชาติยา ตฺวํ อกตฺถ, ตํ กเถหีติ อโตฺถ ฯ
Imāya gāthāya paṭipucchi. Tattha naranāripurakkhatoti paricārakabhūtehi devaputtehi devadhītāhi ca purakkhato payirupāsito. Yuvāti taruṇo. Rajanīyehīti kamanīyehi rāguppattihetubhūtehi. Kāmaguṇehīti kāmakoṭṭhāsehi. Sobhasīti samaṅgibhāvena virocasi rattiyanti adhippāyo. Tenāha ‘‘divasaṃ anubhosi kāraṇa’’nti, divasabhāge pana nānappakāraṃ kāraṇaṃ ghātanaṃ paccanubhavasi. Rajanīti vā rattīsu. Yehīti nipātamattaṃ. Kimakāsi purimāya jātiyāti evaṃ sukhadukkhasaṃvattaniyaṃ kiṃ nāma kammaṃ ito purimāya jātiyā tvaṃ akattha, taṃ kathehīti attho .
ตํ สุตฺวา เปโต เถรสฺส อตฺตนา กตกมฺมํ อาจิกฺขโนฺต –
Taṃ sutvā peto therassa attanā katakammaṃ ācikkhanto –
๔๗๙.
479.
‘‘อหํ ราชคเห รเมฺม, รมณีเย คิริพฺพเช;
‘‘Ahaṃ rājagahe ramme, ramaṇīye giribbaje;
มิคลุโทฺท ปุเร อาสิํ, โลหิตปาณิ ทารุโณฯ
Migaluddo pure āsiṃ, lohitapāṇi dāruṇo.
๔๘๐.
480.
‘‘อวิโรธกเรสุ ปาณิสุ, ปุถุสเตฺตสุ ปทุฎฺฐมานโส;
‘‘Avirodhakaresu pāṇisu, puthusattesu paduṭṭhamānaso;
วิจริํ อติทารุโณ สทา, ปรหิํสาย รโต อสญฺญโตฯ
Vicariṃ atidāruṇo sadā, parahiṃsāya rato asaññato.
๔๘๑.
481.
‘‘ตสฺส เม สหาโย สุหทโย, สโทฺธ อาสิ อุปาสโก;
‘‘Tassa me sahāyo suhadayo, saddho āsi upāsako;
โสปิ มํ อนุกมฺปโนฺต, นิวาเรสิ ปุนปฺปุนํฯ
Sopi maṃ anukampanto, nivāresi punappunaṃ.
๔๘๒.
482.
‘‘‘มากาสิ ปาปกํ กมฺมํ, มา ตาต ทุคฺคติํ อคา;
‘‘‘Mākāsi pāpakaṃ kammaṃ, mā tāta duggatiṃ agā;
สเจ อิจฺฉสิ เปจฺจ สุขํ, วิรม ปาณวธา อสํยมาฯ
Sace icchasi pecca sukhaṃ, virama pāṇavadhā asaṃyamā.
๔๘๓.
483.
‘‘ตสฺสาหํ วจนํ สุตฺวา, สุขกามสฺส หิตานุกมฺปิโน;
‘‘Tassāhaṃ vacanaṃ sutvā, sukhakāmassa hitānukampino;
นากาสิํ สกลานุสาสนิํ, จิรปาปาภิรโต อพุทฺธิมาฯ
Nākāsiṃ sakalānusāsaniṃ, cirapāpābhirato abuddhimā.
๔๘๔.
484.
‘‘โส มํ ปุน ภูริสุเมธโส, อนุกมฺปาย สํยเม นิเวสยิ;
‘‘So maṃ puna bhūrisumedhaso, anukampāya saṃyame nivesayi;
สเจ ทิวา หนสิ ปาณิโน, อถ เต รตฺติํ ภวตุ สํยโมฯ
Sace divā hanasi pāṇino, atha te rattiṃ bhavatu saṃyamo.
๔๘๕.
485.
‘‘สฺวาหํ ทิวา หนิตฺวา ปาณิโน, วิรโต รตฺติมโหสิ สญฺญโต;
‘‘Svāhaṃ divā hanitvā pāṇino, virato rattimahosi saññato;
รตฺตาหํ ปริจาเรมิ, ทิวา ขชฺชามิ ทุคฺคโตฯ
Rattāhaṃ paricāremi, divā khajjāmi duggato.
๔๘๖.
486.
‘‘ตสฺส กมฺมสฺส กุสลสฺส, อนุโภมิ รตฺติํ อมานุสิํ;
‘‘Tassa kammassa kusalassa, anubhomi rattiṃ amānusiṃ;
ทิวา ปฎิหตาว กุกฺกุรา, อุปธาวนฺติ สมนฺตา ขาทิตุํฯ
Divā paṭihatāva kukkurā, upadhāvanti samantā khādituṃ.
๔๘๗.
487.
‘‘เย จ เต สตตานุโยคิโน, ธุวํ ปยุตฺตา สุคตสฺส สาสเน;
‘‘Ye ca te satatānuyogino, dhuvaṃ payuttā sugatassa sāsane;
มญฺญามิ เต อมตเมว เกวลํ, อธิคจฺฉนฺติ ปทํ อสงฺขต’’นฺติฯ –
Maññāmi te amatameva kevalaṃ, adhigacchanti padaṃ asaṅkhata’’nti. –
อิมา คาถา อภาสิฯ
Imā gāthā abhāsi.
๔๗๙-๘๐. ตตฺถ ลุโทฺทติ ทารุโณฯ โลหิตปาณีติ อภิณฺหํ ปาณฆาเตน โลหิตมกฺขิตปาณีฯ ทารุโณติ ขโร, สตฺตานํ หิํสนโกติ อโตฺถฯ อวิโรธกเรสูติ เกนจิ วิโรธํ อกโรเนฺตสุ มิคสกุณาทีสุฯ
479-80. Tattha luddoti dāruṇo. Lohitapāṇīti abhiṇhaṃ pāṇaghātena lohitamakkhitapāṇī. Dāruṇoti kharo, sattānaṃ hiṃsanakoti attho. Avirodhakaresūti kenaci virodhaṃ akarontesu migasakuṇādīsu.
๔๘๒-๘๓. อสํยมาติ อสํวรา ทุสฺสีลฺยาฯ สกลานุสาสนินฺติ สพฺพํ อนุสาสนิํ, สพฺพกาลํ ปาณาติปาตโต ปฎิวิรตินฺติ อโตฺถฯ จิรปาปาภิรโตติ จิรกาลํ ปาเป อภิรโตฯ
482-83.Asaṃyamāti asaṃvarā dussīlyā. Sakalānusāsaninti sabbaṃ anusāsaniṃ, sabbakālaṃ pāṇātipātato paṭiviratinti attho. Cirapāpābhiratoti cirakālaṃ pāpe abhirato.
๔๘๔. สํยเมติ สุจริเตฯ นิเวสยีหิ นิเวเสสิฯ สเจ ทิวา หนสิ ปาณิโน, อถ เต รตฺติํ ภวตุ สํยโมติ นิเวสิตาการทสฺสนํฯ โส กิร สลฺลปาสสชฺชนาทินา รตฺติยมฺปิ ปาณวธํ อนุยุโตฺต อโหสิฯ
484.Saṃyameti sucarite. Nivesayīhi nivesesi. Sace divā hanasi pāṇino, atha te rattiṃ bhavatu saṃyamoti nivesitākāradassanaṃ. So kira sallapāsasajjanādinā rattiyampi pāṇavadhaṃ anuyutto ahosi.
๔๘๕. ทิวา ขชฺชามิ ทุคฺคโตติ อิทานิ ทุคฺคติํ คโต มหาทุกฺขปฺปโตฺต ทิวสภาเค ขาทิยามิฯ ตสฺส กิร ทิวา สุนเขหิ มิคานํ ขาทาปิตตฺตา กมฺมสริกฺขกํ ผลํ โหติ, ทิวสภาเค มหนฺตา สุนขา อุปธาวิตฺวา อฎฺฐิสงฺฆาตมตฺตาวเสสํ สรีรํ กโรนฺติฯ รตฺติยา ปน อุปคตาย ตํ ปากติกเมว โหติ, ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวติฯ เตน วุตฺตํ –
485.Divā khajjāmi duggatoti idāni duggatiṃ gato mahādukkhappatto divasabhāge khādiyāmi. Tassa kira divā sunakhehi migānaṃ khādāpitattā kammasarikkhakaṃ phalaṃ hoti, divasabhāge mahantā sunakhā upadhāvitvā aṭṭhisaṅghātamattāvasesaṃ sarīraṃ karonti. Rattiyā pana upagatāya taṃ pākatikameva hoti, dibbasampattiṃ anubhavati. Tena vuttaṃ –
๔๘๖.
486.
‘‘ตสฺส กมฺมสฺส กุสลสฺส, อนุโภมิ รตฺติํ อมานุสิํ;
‘‘Tassa kammassa kusalassa, anubhomi rattiṃ amānusiṃ;
ทิวา ปฎิหตาว กุกฺกุรา, อุปธาวนฺติ สมนฺตา ขาทิตุ’’นฺติฯ
Divā paṭihatāva kukkurā, upadhāvanti samantā khāditu’’nti.
ตตฺถ ปฎิหตาติ ปฎิหตจิตฺตา พทฺธาฆาตา วิย หุตฺวาฯ สมนฺตา ขาทิตุนฺติ มม สรีรํ สมนฺตโต ขาทิตุํ อุปธาวนฺติฯ อิทญฺจ เนสํ อติวิย อตฺตโน ภยาวหํ อุปคมนกาลํ คเหตฺวา วุตฺตํฯ เต ปน อุปธาวิตฺวา อฎฺฐิมตฺตาวเสสํ สรีรํ กตฺวา คจฺฉนฺติฯ
Tattha paṭihatāti paṭihatacittā baddhāghātā viya hutvā. Samantā khāditunti mama sarīraṃ samantato khādituṃ upadhāvanti. Idañca nesaṃ ativiya attano bhayāvahaṃ upagamanakālaṃ gahetvā vuttaṃ. Te pana upadhāvitvā aṭṭhimattāvasesaṃ sarīraṃ katvā gacchanti.
๔๘๗. เย จ เต สตตานุโยคิโนติ โอสานคาถาย อยํ สเงฺขปโตฺถ – อหมฺปิ นาม รตฺติยํ ปาณวธมตฺตโต วิรโต เอวรูปํ สมฺปตฺติํ อนุภวามิฯ เย ปน เต ปุริสา สุคตสฺส พุทฺธสฺส ภควโต สาสเน อธิสีลาทิเก ธุวํ ปยุตฺตา ทฬฺหํ ปยุตฺตา สตตํ สพฺพกาลํ อนุโยควนฺตา, เต ปุญฺญวโนฺต เกวลํ โลกิยสุเขน อสมฺมิสฺสํ ‘‘อสงฺขตํ ปท’’นฺติ ลทฺธนามํ อมตเมว อธิคจฺฉนฺติ มเญฺญ, นตฺถิ เตสํ ตทธิคเม โกจิ วิพโนฺธติฯ
487.Ye ca te satatānuyoginoti osānagāthāya ayaṃ saṅkhepattho – ahampi nāma rattiyaṃ pāṇavadhamattato virato evarūpaṃ sampattiṃ anubhavāmi. Ye pana te purisā sugatassa buddhassa bhagavato sāsane adhisīlādike dhuvaṃ payuttā daḷhaṃ payuttā satataṃ sabbakālaṃ anuyogavantā, te puññavanto kevalaṃ lokiyasukhena asammissaṃ ‘‘asaṅkhataṃ pada’’nti laddhanāmaṃ amatameva adhigacchanti maññe, natthi tesaṃ tadadhigame koci vibandhoti.
เอวํ เตน เปเตน วุเตฺต เถโร ตํ ปวตฺติํ สตฺถุ อาโรเจสิฯ สตฺถา ตมตฺถํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา สมฺปตฺตปริสาย ธมฺมํ เทเสสิฯ สพฺพมฺปิ วุตฺตนยเมวฯ
Evaṃ tena petena vutte thero taṃ pavattiṃ satthu ārocesi. Satthā tamatthaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā sampattaparisāya dhammaṃ desesi. Sabbampi vuttanayameva.
มิคลุทฺทกเปตวตฺถุวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Migaluddakapetavatthuvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เปตวตฺถุปาฬิ • Petavatthupāḷi / ๗. มิคลุทฺทกเปตวตฺถุ • 7. Migaluddakapetavatthu