Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā)

    ๒. โมฬิยผคฺคุนสุตฺตวณฺณนา

    2. Moḷiyaphaggunasuttavaṇṇanā

    ๑๒. ทุติเย สมฺภเวสีนํ วา อนุคฺคหายาติ อิมสฺมิํเยว ฐาเน ภควา เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ กสฺมา? ทิฎฺฐิคติกสฺส นิสินฺนตฺตาฯ ตสฺสญฺหิ ปริสติ โมฬิยผคฺคุโน นาม ภิกฺขุ ทิฎฺฐิคติโก นิสิโนฺนฯ อถ สตฺถา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ อุฎฺฐหิตฺวา มํ ปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสติ, อถสฺสาหํ วิสฺสเชฺชสฺสามี’’ติ ปุจฺฉาย โอกาสทานตฺถํ เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ โมฬิยผคฺคุโนติ โมฬีติ จูฬา วุจฺจติฯ ยถาห –

    12. Dutiye sambhavesīnaṃ vā anuggahāyāti imasmiṃyeva ṭhāne bhagavā desanaṃ niṭṭhāpesi. Kasmā? Diṭṭhigatikassa nisinnattā. Tassañhi parisati moḷiyaphagguno nāma bhikkhu diṭṭhigatiko nisinno. Atha satthā cintesi – ‘‘ayaṃ uṭṭhahitvā maṃ pañhaṃ pucchissati, athassāhaṃ vissajjessāmī’’ti pucchāya okāsadānatthaṃ desanaṃ niṭṭhāpesi. Moḷiyaphaggunoti moḷīti cūḷā vuccati. Yathāha –

    ‘‘เฉตฺวาน โมฬิํ วรคนฺธวาสิตํ

    ‘‘Chetvāna moḷiṃ varagandhavāsitaṃ

    เวหายสํ อุกฺขิปิ สกฺยปุงฺคโว;

    Vehāyasaṃ ukkhipi sakyapuṅgavo;

    รตนจโงฺกฎวเรน วาสโว,

    Ratanacaṅkoṭavarena vāsavo,

    สหสฺสเนโตฺต สิรสา ปฎิคฺคหี’’ติฯ

    Sahassanetto sirasā paṭiggahī’’ti.

    สา ตสฺส คิหิกาเล มหนฺตา อโหสิฯ เตนสฺส ‘‘โมฬิยผคฺคุโน’’ติ สงฺขา อุทปาทิฯ ปพฺพชิตมฺปิ นํ เตเนว นาเมน สญฺชานนฺติฯ เอตทโวจาติ เทสนานุสนฺธิํ ฆเฎโนฺต เอตํ ‘‘โก นุ โข, ภเนฺต, วิญฺญาณาหารํ อาหาเรตี’’ติ วจนํ อโวจฯ ตสฺสโตฺถ – ภเนฺต, โก นาม โส, โย เอตํ วิญฺญาณาหารํ ขาทติ วา ภุญฺชติ วาติ?

    Sā tassa gihikāle mahantā ahosi. Tenassa ‘‘moḷiyaphagguno’’ti saṅkhā udapādi. Pabbajitampi naṃ teneva nāmena sañjānanti. Etadavocāti desanānusandhiṃ ghaṭento etaṃ ‘‘ko nu kho, bhante, viññāṇāhāraṃ āhāretī’’ti vacanaṃ avoca. Tassattho – bhante, ko nāma so, yo etaṃ viññāṇāhāraṃ khādati vā bhuñjati vāti?

    กสฺมา ปนายํ อิตเร ตโย อาหาเร อปุจฺฉิตฺวา อิมเมว ปุจฺฉตีติ? ชานามีติ ลทฺธิยาฯ โส หิ มหเนฺต ปิเณฺฑ กตฺวาว กพฬีการาหารํ ภุญฺชเนฺต ปสฺสติ, เตนสฺส ตํ ชานามีติ ลทฺธิฯ ติตฺติรวฎฺฎกโมรกุกฺกุฎาทโย ปน มาตุสมฺผเสฺสน ยาเปเนฺต ทิสฺวา ‘‘เอเต ผสฺสาหาเรน ยาเปนฺตี’’ติ ตสฺส ลทฺธิฯ กจฺฉปา ปน อตฺตโน อุตุสมเย มหาสมุทฺทโต นิกฺขมิตฺวา สมุทฺทตีเร วาลิกนฺตเร อณฺฑานิ ฐเปตฺวา วาลิกาย ปฎิจฺฉาเทตฺวา มหาสมุทฺทเมว โอตรนฺติฯ ตานิ มาตุอนุสฺสรณวเสน น ปูตีนิ โหนฺติฯ ตานิ มโนสเญฺจตนาหาเรน ยาเปนฺตีติ ตสฺส ลทฺธิฯ กิญฺจาปิ เถรสฺส อยํ ลทฺธิ, น ปน เอตาย ลทฺธิยา อิมํ ปญฺหํ ปุจฺฉติ ฯ ทิฎฺฐิคติโก หิ อุมฺมตฺตกสทิโสฯ ยถา อุมฺมตฺตโก ปจฺฉิํ คเหตฺวา อนฺตรวีถิํ โอติโณฺณ โคมยมฺปิ ปาสาณมฺปิ คูถมฺปิ ขชฺชขณฺฑมฺปิ ตํ ตํ มนาปมฺปิ อมนาปมฺปิ คเหตฺวา ปจฺฉิยํ ปกฺขิปติฯ เอวเมว ทิฎฺฐิคติโก ยุตฺตมฺปิ อยุตฺตมฺปิ ปุจฺฉติฯ โส ‘‘กสฺมา อิมํ ปุจฺฉสี’’ติ น นิคฺคเหตโพฺพ, ปุจฺฉิตปุจฺฉิตฎฺฐาเน ปน คหณเมว นิเสเธตพฺพํฯ เตเนว นํ ภควา ‘‘กสฺมา เอวํ ปุจฺฉสี’’ติ อวตฺวา คหิตคาหเมว ตสฺส โมเจตุํ โน กโลฺล ปโญฺหติอาทิมาหฯ

    Kasmā panāyaṃ itare tayo āhāre apucchitvā imameva pucchatīti? Jānāmīti laddhiyā. So hi mahante piṇḍe katvāva kabaḷīkārāhāraṃ bhuñjante passati, tenassa taṃ jānāmīti laddhi. Tittiravaṭṭakamorakukkuṭādayo pana mātusamphassena yāpente disvā ‘‘ete phassāhārena yāpentī’’ti tassa laddhi. Kacchapā pana attano utusamaye mahāsamuddato nikkhamitvā samuddatīre vālikantare aṇḍāni ṭhapetvā vālikāya paṭicchādetvā mahāsamuddameva otaranti. Tāni mātuanussaraṇavasena na pūtīni honti. Tāni manosañcetanāhārena yāpentīti tassa laddhi. Kiñcāpi therassa ayaṃ laddhi, na pana etāya laddhiyā imaṃ pañhaṃ pucchati . Diṭṭhigatiko hi ummattakasadiso. Yathā ummattako pacchiṃ gahetvā antaravīthiṃ otiṇṇo gomayampi pāsāṇampi gūthampi khajjakhaṇḍampi taṃ taṃ manāpampi amanāpampi gahetvā pacchiyaṃ pakkhipati. Evameva diṭṭhigatiko yuttampi ayuttampi pucchati. So ‘‘kasmā imaṃ pucchasī’’ti na niggahetabbo, pucchitapucchitaṭṭhāne pana gahaṇameva nisedhetabbaṃ. Teneva naṃ bhagavā ‘‘kasmā evaṃ pucchasī’’ti avatvā gahitagāhameva tassa mocetuṃ no kallo pañhotiādimāha.

    ตตฺถ โน กโลฺลติ อยุโตฺตฯ อาหาเรตีติ อหํ น วทามีติ อหํ โกจิ สโตฺต วา ปุคฺคโล วา อาหาเรตีติ น วทามิฯ อาหาเรตีติ จาหํ วเทยฺยนฺติ ยทิ อหํ อาหาเรตีติ วเทยฺยํฯ ตตฺรสฺส กโลฺล ปโญฺหติ ตสฺมิํ มยา เอวํ วุเตฺต อยํ ปโญฺห ยุโตฺต ภเวยฺยฯ กิสฺส นุ โข, ภเนฺต, วิญฺญาณาหาโรติ, ภเนฺต, อยํ วิญฺญาณาหาโร กตมสฺส ธมฺมสฺส ปจฺจโยติ อโตฺถฯ ตตฺร กลฺลํ เวยฺยากรณนฺติ ตสฺมิํ เอวํ ปุจฺฉิเต ปเญฺห อิมํ เวยฺยากรณํ ยุตฺตํ ‘‘วิญฺญาณาหาโร อายติํ ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติยา ปจฺจโย’’ติฯ เอตฺถ จ วิญฺญาณาหาโรติ ปฎิสนฺธิจิตฺตํฯ อายติํ ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺตีติ เตเนว วิญฺญาเณน สหุปฺปนฺนนามรูปํฯ ตสฺมิํ ภูเต สติ สฬายตนนฺติ ตสฺมิํ ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติสงฺขาเต นามรูเป ชาเต สติ สฬายตนํ โหตีติ อโตฺถฯ

    Tattha no kalloti ayutto. Āhāretīti ahaṃ na vadāmīti ahaṃ koci satto vā puggalo vā āhāretīti na vadāmi. Āhāretīti cāhaṃ vadeyyanti yadi ahaṃ āhāretīti vadeyyaṃ. Tatrassa kallo pañhoti tasmiṃ mayā evaṃ vutte ayaṃ pañho yutto bhaveyya. Kissa nu kho, bhante, viññāṇāhāroti, bhante, ayaṃ viññāṇāhāro katamassa dhammassa paccayoti attho. Tatra kallaṃ veyyākaraṇanti tasmiṃ evaṃ pucchite pañhe imaṃ veyyākaraṇaṃ yuttaṃ ‘‘viññāṇāhāro āyatiṃ punabbhavābhinibbattiyā paccayo’’ti. Ettha ca viññāṇāhāroti paṭisandhicittaṃ. Āyatiṃ punabbhavābhinibbattīti teneva viññāṇena sahuppannanāmarūpaṃ. Tasmiṃ bhūte sati saḷāyatananti tasmiṃ punabbhavābhinibbattisaṅkhāte nāmarūpe jāte sati saḷāyatanaṃ hotīti attho.

    สฬายตนปจฺจยา ผโสฺสติ อิธาปิ ภควา อุตฺตริ ปญฺหสฺส โอกาสํ เทโนฺต เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ ทิฎฺฐิคติโก หิ นวปุจฺฉํ อุปฺปาเทตุํ น สโกฺกติ, นิทฺทิฎฺฐํ นิทฺทิฎฺฐํเยว ปน คณฺหิตฺวา ปุจฺฉติ, เตนสฺส ภควา โอกาสํ อทาสิฯ อโตฺถ ปนสฺส สพฺพปเทสุ วุตฺตนเยเนว คเหตโพฺพฯ ‘‘โก นุ โข, ภเนฺต, ภวตี’’ติ กสฺมา น ปุจฺฉติ? ทิฎฺฐิคติกสฺส หิ สโตฺต นาม ภูโต นิพฺพโตฺตเยวาติ ลทฺธิ, ตสฺมา อตฺตโน ลทฺธิวิรุทฺธํ อิทนฺติ น ปุจฺฉติฯ อปิจ อิทปฺปจฺจยา อิทํ อิทปฺปจฺจยา อิทนฺติ พหูสุ ฐาเนสุ กถิตตฺตา สญฺญตฺติํ อุปคโต, เตนาปิ น ปุจฺฉติฯ สตฺถาปิ ‘‘อิมสฺส พหุํ ปุจฺฉนฺตสฺสาปิ ติตฺติ นตฺถิ, ตุจฺฉปุจฺฉเมว ปุจฺฉตี’’ติ อิโต ปฎฺฐาย เทสนํ เอกาพทฺธํ กตฺวา เทเสสิฯ ฉนฺนํ เตฺววาติ ยโต ปฎฺฐาย เทสนารุฬฺหํ, ตเมว คเหตฺวา เทสนํ วิวเฎฺฎโนฺต เอวมาหฯ อิมสฺมิํ ปน สุเตฺต วิญฺญาณนามรูปานํ อนฺตเร เอโก สนฺธิ, เวทนาตณฺหานํ อนฺตเร เอโก, ภวชาตีนํ อนฺตเร เอโกติฯ ทุติยํฯ

    Saḷāyatanapaccayāphassoti idhāpi bhagavā uttari pañhassa okāsaṃ dento desanaṃ niṭṭhāpesi. Diṭṭhigatiko hi navapucchaṃ uppādetuṃ na sakkoti, niddiṭṭhaṃ niddiṭṭhaṃyeva pana gaṇhitvā pucchati, tenassa bhagavā okāsaṃ adāsi. Attho panassa sabbapadesu vuttanayeneva gahetabbo. ‘‘Ko nu kho, bhante, bhavatī’’ti kasmā na pucchati? Diṭṭhigatikassa hi satto nāma bhūto nibbattoyevāti laddhi, tasmā attano laddhiviruddhaṃ idanti na pucchati. Apica idappaccayā idaṃ idappaccayā idanti bahūsu ṭhānesu kathitattā saññattiṃ upagato, tenāpi na pucchati. Satthāpi ‘‘imassa bahuṃ pucchantassāpi titti natthi, tucchapucchameva pucchatī’’ti ito paṭṭhāya desanaṃ ekābaddhaṃ katvā desesi. Channaṃ tvevāti yato paṭṭhāya desanāruḷhaṃ, tameva gahetvā desanaṃ vivaṭṭento evamāha. Imasmiṃ pana sutte viññāṇanāmarūpānaṃ antare eko sandhi, vedanātaṇhānaṃ antare eko, bhavajātīnaṃ antare ekoti. Dutiyaṃ.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๒. โมฬิยผคฺคุนสุตฺตํ • 2. Moḷiyaphaggunasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๒. โมฬิยผคฺคุนสุตฺตวณฺณนา • 2. Moḷiyaphaggunasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact