Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๖๖] ๖. มุทุลกฺขณชาตกวณฺณนา

    [66] 6. Mudulakkhaṇajātakavaṇṇanā

    เอกา อิจฺฉา ปุเร อาสีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต สํกิเลสํ อารพฺภ กเถสิฯ เอโก กิร สาวตฺถิวาสี กุลปุโตฺต สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา รตนสาสเน อุรํ ทตฺวา ปพฺพชิตฺวา ปฎิปนฺนโก โยคาวจโร อวิสฺสฎฺฐกมฺมฎฺฐาโน หุตฺวา เอกทิวสํ สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จรโนฺต เอกํ อลงฺกตปฎิยตฺตํ อิตฺถิํ ทิสฺวา สุภวเสน อินฺทฺริยานิ ภินฺทิตฺวา โอโลเกสิฯ ตสฺส อพฺภนฺตเร กิเลโส จลิ, วาสิยา อาโกฎิตขีรรุโกฺข วิย อโหสิฯ โส ตโต ปฎฺฐาย กิเลสวสิโก หุตฺวา เนว กายสฺสาทํ น จิตฺตสฺสาทํ ลภติ, ภนฺตมิคสปฺปฎิภาโค สาสเน อนภิรโต ปรูฬฺหเกสโลมนโข กิลิฎฺฐจีวโร อโหสิฯ อถสฺส อินฺทฺริยวิการํ ทิสฺวา สหายกา ภิกฺขู ‘‘กิํ นุ โข เต, อาวุโส, น ยถา โปราณานิ อินฺทฺริยานี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ อนภิรโตสฺมิ, อาวุโสติฯ

    Ekā icchā pure āsīti idaṃ satthā jetavane viharanto saṃkilesaṃ ārabbha kathesi. Eko kira sāvatthivāsī kulaputto satthu dhammadesanaṃ sutvā ratanasāsane uraṃ datvā pabbajitvā paṭipannako yogāvacaro avissaṭṭhakammaṭṭhāno hutvā ekadivasaṃ sāvatthiyaṃ piṇḍāya caranto ekaṃ alaṅkatapaṭiyattaṃ itthiṃ disvā subhavasena indriyāni bhinditvā olokesi. Tassa abbhantare kileso cali, vāsiyā ākoṭitakhīrarukkho viya ahosi. So tato paṭṭhāya kilesavasiko hutvā neva kāyassādaṃ na cittassādaṃ labhati, bhantamigasappaṭibhāgo sāsane anabhirato parūḷhakesalomanakho kiliṭṭhacīvaro ahosi. Athassa indriyavikāraṃ disvā sahāyakā bhikkhū ‘‘kiṃ nu kho te, āvuso, na yathā porāṇāni indriyānī’’ti pucchiṃsu. Anabhiratosmi, āvusoti.

    อถ นํ เต สตฺถุ สนฺติกํ นยิํสุฯ สตฺถา ‘‘กิํ, ภิกฺขเว, อนิจฺฉมานํ ภิกฺขุํ อาทาย อาคตตฺถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อยํ, ภเนฺต, ภิกฺขุ อนภิรโต’’ติ? ‘‘สจฺจํ ภิกฺขู’’ติฯ ‘‘สจฺจํ ภควา’’ติฯ ‘‘โก ตํ อุกฺกณฺฐาเปสี’’ติ? ‘‘อหํ, ภเนฺต, ปิณฺฑาย จรโนฺต เอกํ อิตฺถิํ ทิสฺวา อินฺทฺริยานิ ภินฺทิตฺวา โอโลเกสิํ, อถ เม กิเลโส จลิ, เตนมฺหิ อุกฺกณฺฐิโต’’ติฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘อนจฺฉริยเมตํ ภิกฺขุ, ยํ ตฺวํ อินฺทฺริยานิ ภินฺทิตฺวา วิสภาคารมฺมณํ สุภวเสน โอโลเกโนฺต กิเลเสหิ กมฺปิโต, ปุเพฺพ ปญฺจาภิญฺญา อฎฺฐสมาปตฺติลาภิโน ฌานพเลน กิเลเส วิกฺขเมฺภตฺวา วิสุทฺธจิตฺตา คคนตลจรา โพธิสตฺตาปิ อินฺทฺริยานิ ภินฺทิตฺวา วิสภาคารมฺมณํ โอโลกยมานา ฌานา ปริหายิตฺวา กิเลเสหิ กมฺปิตา มหาทุกฺขํ อนุภวิํสุฯ น หิ สิเนรุอุปฺปาฎนกวาโต หตฺถิมตฺตํ มุณฺฑปพฺพตํ, มหาชมฺพุอุมฺมูลกวาโต ฉินฺนตเฎ วิรูฬฺหคจฺฉกํ, มหาสมุทฺทํ วา ปน โสสนกวาโต ขุทฺทกตฬากํ กิสฺมิญฺจิเทว คเณติ, เอวํ อุตฺตมพุทฺธีนํ นาม วิสุทฺธจิตฺตานํ โพธิสตฺตานํ อญฺญาณภาวกรา กิเลสา ตยิ กิํ ลชฺชิสฺสนฺติ, วิสุทฺธาปิ สตฺตา สํกิลิสฺสนฺติ, อุตฺตมยสสมงฺคิโนปิ อายสกฺยํ ปาปุณนฺตี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Atha naṃ te satthu santikaṃ nayiṃsu. Satthā ‘‘kiṃ, bhikkhave, anicchamānaṃ bhikkhuṃ ādāya āgatatthā’’ti pucchi. ‘‘Ayaṃ, bhante, bhikkhu anabhirato’’ti? ‘‘Saccaṃ bhikkhū’’ti. ‘‘Saccaṃ bhagavā’’ti. ‘‘Ko taṃ ukkaṇṭhāpesī’’ti? ‘‘Ahaṃ, bhante, piṇḍāya caranto ekaṃ itthiṃ disvā indriyāni bhinditvā olokesiṃ, atha me kileso cali, tenamhi ukkaṇṭhito’’ti. Atha naṃ satthā ‘‘anacchariyametaṃ bhikkhu, yaṃ tvaṃ indriyāni bhinditvā visabhāgārammaṇaṃ subhavasena olokento kilesehi kampito, pubbe pañcābhiññā aṭṭhasamāpattilābhino jhānabalena kilese vikkhambhetvā visuddhacittā gaganatalacarā bodhisattāpi indriyāni bhinditvā visabhāgārammaṇaṃ olokayamānā jhānā parihāyitvā kilesehi kampitā mahādukkhaṃ anubhaviṃsu. Na hi sineruuppāṭanakavāto hatthimattaṃ muṇḍapabbataṃ, mahājambuummūlakavāto chinnataṭe virūḷhagacchakaṃ, mahāsamuddaṃ vā pana sosanakavāto khuddakataḷākaṃ kismiñcideva gaṇeti, evaṃ uttamabuddhīnaṃ nāma visuddhacittānaṃ bodhisattānaṃ aññāṇabhāvakarā kilesā tayi kiṃ lajjissanti, visuddhāpi sattā saṃkilissanti, uttamayasasamaṅginopi āyasakyaṃ pāpuṇantī’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต กาสิรเฎฺฐ เอกสฺส มหาวิภวสฺส พฺราหฺมณสฺส กุเล นิพฺพตฺติตฺวา วิญฺญุตํ ปโตฺต สพฺพสิปฺปานํ ปารํ คนฺตฺวา กาเม ปหาย อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา กสิณปริกมฺมํ กตฺวา ปญฺจ อภิญฺญา จ อฎฺฐ สมาปตฺติโย จ อุปฺปาเทตฺวา ฌานสุเขน วีตินาเมโนฺต หิมวนฺตปฺปเทเส วาสํ กเปฺปสิฯ โส เอกสฺมิํ กาเล โลณมฺพิลเสวนตฺถาย หิมวนฺตา โอตริตฺวา พาราณสิํ ปตฺวา ราชุยฺยาเน วสิตฺวา ปุนทิวเส กตสรีรปฎิชคฺคโน รตฺตวากมยํ นิวาสนปารุปนํ สณฺฐาเปตฺวา อชินจมฺมํ เอกสฺมิํ อํเส กตฺวา ชฎามณฺฑลํ พนฺธิตฺวา ภิกฺขาภาชนมาทาย พาราณสิยํ ภิกฺขาย จรมาโน รโญฺญ ฆรทฺวารํ สมฺปาปุณิฯ ราชา ตสฺส อิริยาปเถเยว ปสีทิตฺวา ปโกฺกสาเปตฺวา มหารเห อาสเน นิสีทาเปตฺวา ปณีเตน ขาทนียโภชนีเยน สนฺตเปฺปตฺวา กตานุโมทนํ อุยฺยาเน วสนตฺถาย ยาจิฯ โส สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ราชเคเห ภุญฺชิตฺวา ราชกุลํ โอวทมาโน ตสฺมิํ อุยฺยาเน โสฬส วสฺสานิ วสิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto kāsiraṭṭhe ekassa mahāvibhavassa brāhmaṇassa kule nibbattitvā viññutaṃ patto sabbasippānaṃ pāraṃ gantvā kāme pahāya isipabbajjaṃ pabbajitvā kasiṇaparikammaṃ katvā pañca abhiññā ca aṭṭha samāpattiyo ca uppādetvā jhānasukhena vītināmento himavantappadese vāsaṃ kappesi. So ekasmiṃ kāle loṇambilasevanatthāya himavantā otaritvā bārāṇasiṃ patvā rājuyyāne vasitvā punadivase katasarīrapaṭijaggano rattavākamayaṃ nivāsanapārupanaṃ saṇṭhāpetvā ajinacammaṃ ekasmiṃ aṃse katvā jaṭāmaṇḍalaṃ bandhitvā bhikkhābhājanamādāya bārāṇasiyaṃ bhikkhāya caramāno rañño gharadvāraṃ sampāpuṇi. Rājā tassa iriyāpatheyeva pasīditvā pakkosāpetvā mahārahe āsane nisīdāpetvā paṇītena khādanīyabhojanīyena santappetvā katānumodanaṃ uyyāne vasanatthāya yāci. So sampaṭicchitvā rājagehe bhuñjitvā rājakulaṃ ovadamāno tasmiṃ uyyāne soḷasa vassāni vasi.

    อเถกทิวสํ ราชา กุปิตํ ปจฺจนฺตํ วูปสเมตุํ คจฺฉโนฺต มุทุลกฺขณํ นาม อคฺคมเหสิํ ‘‘อปฺปมตฺตา อยฺยสฺส อุปฎฺฐานํ กโรหี’’ติ วตฺวา อคมาสิฯ โพธิสโตฺต รโญฺญ คตกาลโต ปฎฺฐาย อตฺตโน รุจฺจนเวลาย ราชเคหํ คจฺฉติฯ อเถกทิวสํ มุทุลกฺขณา โพธิสตฺตสฺส อาหารํ สมฺปาเทตฺวา – ‘‘อชฺช อโยฺย จิรายตี’’ติ คโนฺธทเกน นฺหายิตฺวา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตา มหาตเล จูฬสยนํ ปญฺญาเปตฺวา โพธิสตฺตสฺส อาคมนํ โอโลกยมานา นิปชฺชิฯ โพธิสโตฺตปิ อตฺตโน เวลํ สลฺลเกฺขตฺวา ฌานา วุฎฺฐาย อากาเสเนว ราชนิเวสนํ อคมาสิฯ มุทุลกฺขณา วากจีรสทฺทํ สุตฺวาว ‘‘อโยฺย, อาคโต’’ติ เวเคน อุฎฺฐหิ, ตสฺสา เวเคน อุฎฺฐหนฺติยา มฎฺฐสาฎโก ภสฺสิฯ ตาปโสปิ สีหปญฺชเรน ปวิสโนฺต เทวิยา วิสภาครูปารมฺมณํ อินฺทฺริยานิ ภินฺทิตฺวา สุภวเสน โอโลเกสิฯ อถสฺส อพฺภนฺตเร กิเลโส จลิ, วาสิยา ปหฎขีรรุโกฺข วิย อโหสิฯ ตาวเทวสฺส ฌานํ อนฺตรธายิ, ฉินฺนปโกฺข กาโก วิย อโหสิฯ โส ฐิตโกว อาหารํ คเหตฺวา อภุญฺชิตฺวาว กิเลสกมฺปิโต ปาสาทา โอรุยฺห อุยฺยานํ คนฺตฺวา ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา ผลกตฺถรณสยนสฺส เหฎฺฐา อาหารํ ฐเปตฺวา วิสภาคารมฺมเณน พโทฺธ กิเลสคฺคินา ฑยฺหมาโน นิราหารตาย สุสฺสมาโน สตฺต ทิวสานิ ผลกตฺถรเณ นิปชฺชิฯ

    Athekadivasaṃ rājā kupitaṃ paccantaṃ vūpasametuṃ gacchanto mudulakkhaṇaṃ nāma aggamahesiṃ ‘‘appamattā ayyassa upaṭṭhānaṃ karohī’’ti vatvā agamāsi. Bodhisatto rañño gatakālato paṭṭhāya attano ruccanavelāya rājagehaṃ gacchati. Athekadivasaṃ mudulakkhaṇā bodhisattassa āhāraṃ sampādetvā – ‘‘ajja ayyo cirāyatī’’ti gandhodakena nhāyitvā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitā mahātale cūḷasayanaṃ paññāpetvā bodhisattassa āgamanaṃ olokayamānā nipajji. Bodhisattopi attano velaṃ sallakkhetvā jhānā vuṭṭhāya ākāseneva rājanivesanaṃ agamāsi. Mudulakkhaṇā vākacīrasaddaṃ sutvāva ‘‘ayyo, āgato’’ti vegena uṭṭhahi, tassā vegena uṭṭhahantiyā maṭṭhasāṭako bhassi. Tāpasopi sīhapañjarena pavisanto deviyā visabhāgarūpārammaṇaṃ indriyāni bhinditvā subhavasena olokesi. Athassa abbhantare kileso cali, vāsiyā pahaṭakhīrarukkho viya ahosi. Tāvadevassa jhānaṃ antaradhāyi, chinnapakkho kāko viya ahosi. So ṭhitakova āhāraṃ gahetvā abhuñjitvāva kilesakampito pāsādā oruyha uyyānaṃ gantvā paṇṇasālaṃ pavisitvā phalakattharaṇasayanassa heṭṭhā āhāraṃ ṭhapetvā visabhāgārammaṇena baddho kilesagginā ḍayhamāno nirāhāratāya sussamāno satta divasāni phalakattharaṇe nipajji.

    สตฺตเม ทิวเส ราชา ปจฺจนฺตํ วูปสเมตฺวา อาคโต นครํ ปทกฺขิณํ กตฺวา นิเวสนํ อคนฺตฺวาว ‘‘อยฺยํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ อุยฺยานํ คนฺตฺวา ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา ตํ นิปนฺนกํ ทิสฺวา ‘‘เอกํ อผาสุกํ ชาตํ มเญฺญ’’ติ ปณฺณสาลํ โสธาเปตฺวา ปาเท ปริมชฺชโนฺต ‘‘กิํ, อยฺย, อผาสุก’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มหาราช อญฺญํ เม อผาสุกํ นตฺถิ, กิเลสวเสน ปนมฺหิ ปฎิพทฺธจิโตฺต ชาโต’’ติฯ ‘‘กหํ ปฎิพทฺธํ เต, อยฺย, จิตฺต’’นฺติ? ‘‘มุทุลกฺขณาย, มหาราชา’’ติฯ ‘‘สาธุ อยฺย, อหํ มุทุลกฺขณํ ตุมฺหากํ ทมฺมี’’ติ ตาปสํ อาทาย นิเวสนํ ปวิสิตฺวา เทวิํ สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตํ กตฺวา ตาปสสฺส อทาสิฯ ททมาโนเยว จ มุทุลกฺขณาย สญฺญมทาสิ ‘‘ตยา อตฺตโน พเลน อยฺยํ รกฺขิตุํ วายมิตพฺพ’’นฺติฯ ‘‘สาธุ, เทว, รกฺขิสฺสามี’’ติฯ ตาปโส เทวิํ คเหตฺวา ราชนิเวสนา โอตริฯ

    Sattame divase rājā paccantaṃ vūpasametvā āgato nagaraṃ padakkhiṇaṃ katvā nivesanaṃ agantvāva ‘‘ayyaṃ passissāmī’’ti uyyānaṃ gantvā paṇṇasālaṃ pavisitvā taṃ nipannakaṃ disvā ‘‘ekaṃ aphāsukaṃ jātaṃ maññe’’ti paṇṇasālaṃ sodhāpetvā pāde parimajjanto ‘‘kiṃ, ayya, aphāsuka’’nti pucchi. ‘‘Mahārāja aññaṃ me aphāsukaṃ natthi, kilesavasena panamhi paṭibaddhacitto jāto’’ti. ‘‘Kahaṃ paṭibaddhaṃ te, ayya, citta’’nti? ‘‘Mudulakkhaṇāya, mahārājā’’ti. ‘‘Sādhu ayya, ahaṃ mudulakkhaṇaṃ tumhākaṃ dammī’’ti tāpasaṃ ādāya nivesanaṃ pavisitvā deviṃ sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitaṃ katvā tāpasassa adāsi. Dadamānoyeva ca mudulakkhaṇāya saññamadāsi ‘‘tayā attano balena ayyaṃ rakkhituṃ vāyamitabba’’nti. ‘‘Sādhu, deva, rakkhissāmī’’ti. Tāpaso deviṃ gahetvā rājanivesanā otari.

    อถ นํ มหาทฺวารโต นิกฺขนฺตกาเล ‘‘อยฺย, อมฺหากํ เอกํ เคหํ ลทฺธุํ วฎฺฎติ, คจฺฉ, ราชานํ เคหํ ยาจาหี’’ติ อาหฯ ตาปโส คนฺตฺวา เคหํ ยาจิฯ ราชา มนุสฺสานํ วจฺจกุฎิกิจฺจํ สาธยมานํ เอกํ ฉฑฺฑิตเคหํ ทาเปสิฯ โส เทวิํ คเหตฺวา ตตฺถ อคมาสิ, สา ปวิสิตุํ น อิจฺฉติฯ ‘‘กิํการณา น ปวิสสี’’ติ? ‘‘อสุจิภาเวนา’’ติฯ อิทานิ ‘‘กิํ กโรมี’’ติฯ ‘‘ปฎิชคฺคาหิ น’’นฺติ วตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ เปเสตฺวา ‘‘คจฺฉ, กุทฺทาลํ อาหร, ปจฺฉิํ อาหรา’’ติ อาหราเปตฺวา อสุจิญฺจ สงฺการญฺจ ฉฑฺฑาเปตฺวา คามยํ อาหราเปตฺวา ลิมฺปาเปตฺวา ปุนปิ ‘‘คจฺฉ, มญฺจํ อาหร, ปีฐํ อาหร, อตฺถรณํ อาหร, จาฎิํ อาหร, ฆฎํ อาหรา’’ติ เอกเมกํ อาหราเปตฺวา ปุน อุทกาหรณาทีนํ อตฺถาย อาณาเปสิฯ โส ฆฎํ อาทาย อุทกํ อาหริตฺวา จาฎิํ ปูเรตฺวา นฺหาโนทกํ สเชฺชตฺวา สยนํ อตฺถริฯ อถ นํ สยเน เอกโต นิสินฺนํ ทาฐิกาสุ คเหตฺวา ‘‘ตว สมณภาวํ วา พฺราหฺมณภาวํ วา น ชานาสี’’ติ โอณเมตฺวา อตฺตโน อภิมุขํ อากฑฺฒิฯ โส ตสฺมิํ กาเล สติํ ปฎิลภิ, เอตฺตกํ ปน กาลํ อญฺญาณี อโหสิฯ เอวํ อญฺญาณกรณา กิเลสา นามฯ ‘‘กามจฺฉนฺทนีวรณํ, ภิกฺขเว, อนฺธกรณํ อญฺญาณกรณ’’นฺติอาทิ (สํ. นิ. ๕.๒๒๑) เจตฺถ วตฺตพฺพํฯ

    Atha naṃ mahādvārato nikkhantakāle ‘‘ayya, amhākaṃ ekaṃ gehaṃ laddhuṃ vaṭṭati, gaccha, rājānaṃ gehaṃ yācāhī’’ti āha. Tāpaso gantvā gehaṃ yāci. Rājā manussānaṃ vaccakuṭikiccaṃ sādhayamānaṃ ekaṃ chaḍḍitagehaṃ dāpesi. So deviṃ gahetvā tattha agamāsi, sā pavisituṃ na icchati. ‘‘Kiṃkāraṇā na pavisasī’’ti? ‘‘Asucibhāvenā’’ti. Idāni ‘‘kiṃ karomī’’ti. ‘‘Paṭijaggāhi na’’nti vatvā rañño santikaṃ pesetvā ‘‘gaccha, kuddālaṃ āhara, pacchiṃ āharā’’ti āharāpetvā asuciñca saṅkārañca chaḍḍāpetvā gāmayaṃ āharāpetvā limpāpetvā punapi ‘‘gaccha, mañcaṃ āhara, pīṭhaṃ āhara, attharaṇaṃ āhara, cāṭiṃ āhara, ghaṭaṃ āharā’’ti ekamekaṃ āharāpetvā puna udakāharaṇādīnaṃ atthāya āṇāpesi. So ghaṭaṃ ādāya udakaṃ āharitvā cāṭiṃ pūretvā nhānodakaṃ sajjetvā sayanaṃ atthari. Atha naṃ sayane ekato nisinnaṃ dāṭhikāsu gahetvā ‘‘tava samaṇabhāvaṃ vā brāhmaṇabhāvaṃ vā na jānāsī’’ti oṇametvā attano abhimukhaṃ ākaḍḍhi. So tasmiṃ kāle satiṃ paṭilabhi, ettakaṃ pana kālaṃ aññāṇī ahosi. Evaṃ aññāṇakaraṇā kilesā nāma. ‘‘Kāmacchandanīvaraṇaṃ, bhikkhave, andhakaraṇaṃ aññāṇakaraṇa’’ntiādi (saṃ. ni. 5.221) cettha vattabbaṃ.

    โส สติํ ปฎิลภิตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อยํ ตณฺหา วฑฺฒมานา มม จตูหิ อปาเยหิ สีสํ อุกฺขิปิตุํ น ทสฺสติ, อเชฺชว มยา อิมํ รโญฺญ นิยฺยาเทตฺวา หิมวนฺตํ ปวิสิตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส ตํ อาทาย ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘มหาราช, ตว เทวิยา มยฺหํ อโตฺถ นตฺถิ, เกวลํ เม อิมํ นิสฺสาย ตณฺหา วฑฺฒิตา’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    So satiṃ paṭilabhitvā cintesi ‘‘ayaṃ taṇhā vaḍḍhamānā mama catūhi apāyehi sīsaṃ ukkhipituṃ na dassati, ajjeva mayā imaṃ rañño niyyādetvā himavantaṃ pavisituṃ vaṭṭatī’’ti. So taṃ ādāya rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘mahārāja, tava deviyā mayhaṃ attho natthi, kevalaṃ me imaṃ nissāya taṇhā vaḍḍhitā’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ๖๖.

    66.

    ‘‘เอกา อิจฺฉา ปุเร อาสิ, อลทฺธา มุทุลกฺขณํ;

    ‘‘Ekā icchā pure āsi, aladdhā mudulakkhaṇaṃ;

    ยโต ลทฺธา อฬารกฺขี, อิจฺฉา อิจฺฉํ วิชายถา’’ติฯ

    Yato laddhā aḷārakkhī, icchā icchaṃ vijāyathā’’ti.

    ตตฺรายํ ปิณฺฑโตฺถ – มหาราช, มยฺหํ อิมํ ตว เทวิํ มุทุลกฺขณํ อลภิตฺวา ปุเร ‘‘อโห วตาหํ เอตํ ลเภยฺย’’นฺติ เอกา อิจฺฉา อาสิ, เอกาว ตณฺหา อุปฺปชฺชิฯ ยโต ปน เม อยํ อฬารกฺขี วิสาลเนตฺตา โสภนโลจนา ลทฺธา, อถ เม สา ปุริมิกา อิจฺฉา เคหตณฺหํ อุปกรณตณฺหํ อุปโภคตณฺหนฺติ อุปรูปริ อญฺญํ นานปฺปการํ อิจฺฉํ วิชายถ ชเนสิ อุปฺปาเทสิฯ สา โข ปน เม เอวํ วฑฺฒมานา อิจฺฉา อปายโต สีสํ อุกฺขิปิตุํ น ทสฺสติ, อลํ เม อิมาย, ตฺวเญฺญว ตว ภริยํ คณฺห, อหํ ปน หิมวนฺตํ คมิสฺสามีติ ตาวเทว นฎฺฐํ ฌานํ อุปฺปาเทตฺวา อากาเส นิสิโนฺน ธมฺมํ เทเสตฺวา รโญฺญ โอวาทํ ทตฺวา อากาเสเนว หิมวนฺตํ คนฺตฺวา ปุน มนุสฺสปถํ นาม นาคมาสิ, พฺรหฺมวิหาเร ปน ภาเวตฺวา อปริหีนชฺฌาโน พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติฯ

    Tatrāyaṃ piṇḍattho – mahārāja, mayhaṃ imaṃ tava deviṃ mudulakkhaṇaṃ alabhitvā pure ‘‘aho vatāhaṃ etaṃ labheyya’’nti ekā icchā āsi, ekāva taṇhā uppajji. Yato pana me ayaṃ aḷārakkhī visālanettā sobhanalocanā laddhā, atha me sā purimikā icchā gehataṇhaṃ upakaraṇataṇhaṃ upabhogataṇhanti uparūpari aññaṃ nānappakāraṃ icchaṃ vijāyatha janesi uppādesi. Sā kho pana me evaṃ vaḍḍhamānā icchā apāyato sīsaṃ ukkhipituṃ na dassati, alaṃ me imāya, tvaññeva tava bhariyaṃ gaṇha, ahaṃ pana himavantaṃ gamissāmīti tāvadeva naṭṭhaṃ jhānaṃ uppādetvā ākāse nisinno dhammaṃ desetvā rañño ovādaṃ datvā ākāseneva himavantaṃ gantvā puna manussapathaṃ nāma nāgamāsi, brahmavihāre pana bhāvetvā aparihīnajjhāno brahmaloke nibbatti.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสสิ, สจฺจปริโยสาเน โส ภิกฺขุ อรหตฺตผเล ปติฎฺฐหิฯ สตฺถาปิ อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, มุทุลกฺขณา อุปฺปลวณฺณา, อิสิ ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsesi, saccapariyosāne so bhikkhu arahattaphale patiṭṭhahi. Satthāpi anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā rājā ānando ahosi, mudulakkhaṇā uppalavaṇṇā, isi pana ahameva ahosi’’nti.

    มุทุลกฺขณชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ

    Mudulakkhaṇajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๖๖. มุทุลกฺขณชาตกํ • 66. Mudulakkhaṇajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact