Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๒๖๒] ๒. มุทุปาณิชาตกวณฺณนา

    [262] 2. Mudupāṇijātakavaṇṇanā

    ปาณิ เจ มุทุโก จสฺสาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ ตญฺหิ สตฺถา ธมฺมสภํ อานีตํ ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, ภิกฺขุ, อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขุ, อิตฺถิโย นาเมตา กิเลสวเสน คมนโต อรกฺขิยา, โปราณกปณฺฑิตาปิ อตฺตโน ธีตรํ รกฺขิตุํ นาสกฺขิํสุ, ปิตรา หเตฺถ คเหตฺวา ฐิตาว ปิตรํ อชานาเปตฺวา กิเลสวเสน ปุริเสน สทฺธิํ ปลายี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Pāṇi ce muduko cassāti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ ukkaṇṭhitabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Tañhi satthā dhammasabhaṃ ānītaṃ ‘‘saccaṃ kira tvaṃ, bhikkhu, ukkaṇṭhitosī’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘bhikkhu, itthiyo nāmetā kilesavasena gamanato arakkhiyā, porāṇakapaṇḍitāpi attano dhītaraṃ rakkhituṃ nāsakkhiṃsu, pitarā hatthe gahetvā ṭhitāva pitaraṃ ajānāpetvā kilesavasena purisena saddhiṃ palāyī’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา ปิตุ อจฺจเยน รเชฺช ปติฎฺฐาย ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิฯ โส ธีตรญฺจ ภาคิเนยฺยญฺจ เทฺวปิ อโนฺตนิเวสเน โปเสโนฺต เอกทิวสํ อมเจฺจหิ สทฺธิํ นิสิโนฺน ‘‘มมจฺจเยน มยฺหํ ภาคิเนโยฺย ราชา ภวิสฺสติ, ธีตาปิ เม ตสฺส อคฺคมเหสี ภวิสฺสตี’’ติ วตฺวา อปรภาเค ภาคิเนยฺยสฺส วยปฺปตฺตกาเล ปุน อมเจฺจหิ สทฺธิํ นิสิโนฺน ‘‘มยฺหํ ภาคิเนยฺยสฺส อญฺญสฺส รโญฺญ ธีตรํ อาเนสฺสาม, มยฺหํ ธีตรมฺปิ อญฺญสฺมิํ ราชกุเล ทสฺสาม, เอวํ โน ญาตกา พหุตรา ภวิสฺสนฺตี’’ติ อาหฯ อมจฺจา สมฺปฎิจฺฉิํสุฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tassa aggamahesiyā kucchimhi nibbattitvā vayappatto takkasilāyaṃ sabbasippāni uggaṇhitvā pitu accayena rajje patiṭṭhāya dhammena rajjaṃ kāresi. So dhītarañca bhāgineyyañca dvepi antonivesane posento ekadivasaṃ amaccehi saddhiṃ nisinno ‘‘mamaccayena mayhaṃ bhāgineyyo rājā bhavissati, dhītāpi me tassa aggamahesī bhavissatī’’ti vatvā aparabhāge bhāgineyyassa vayappattakāle puna amaccehi saddhiṃ nisinno ‘‘mayhaṃ bhāgineyyassa aññassa rañño dhītaraṃ ānessāma, mayhaṃ dhītarampi aññasmiṃ rājakule dassāma, evaṃ no ñātakā bahutarā bhavissantī’’ti āha. Amaccā sampaṭicchiṃsu.

    อถ ราชา ภาคิเนยฺยสฺส พหิเคหํ ทาเปสิ, อโนฺต ปเวสนํ นิวาเรสิฯ เต ปน อญฺญมญฺญํ ปฎิพทฺธจิตฺตา อเหสุํฯ กุมาโร ‘‘เกน นุ โข อุปาเยน ราชธีตรํ พหิ นีหราเปยฺย’’นฺติ จิเนฺตโนฺต ‘‘อตฺถิ อุปาโย’’ติ ธาติยา ลญฺชํ ทตฺวา ‘‘กิํ, อยฺยปุตฺต, กิจฺจ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘อมฺม, กถํ นุ โข ราชธีตรํ พหิ กาตุํ โอกาสํ ลเภยฺยามา’’ติ อาหฯ ‘‘ราชธีตาย สทฺธิํ กเถตฺวา ชานิสฺสามี’’ติฯ ‘‘สาธุ, อมฺมา’’ติฯ สา คนฺตฺวา ‘‘เอหิ, อมฺม, สีเส เต อูกา คณฺหิสฺสามี’’ติ ตํ นีจปีฐเก นิสีทาเปตฺวา สยํ อุเจฺจ นิสีทิตฺวา ตสฺสา สีสํ อตฺตโน อูรูสุ ฐเปตฺวา อูกา คณฺหยมานา ราชธีตาย สีสํ นเขหิ วิชฺฌิ ฯ ราชธีตา ‘‘นายํ อตฺตโน นเขหิ วิชฺฌติ, ปิตุจฺฉาปุตฺตสฺส เม กุมารสฺส นเขหิ วิชฺฌตี’’ติ ญตฺวา ‘‘อมฺม, ตฺวํ กุมารสฺส สนฺติกํ อคมาสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, อมฺมา’’ติฯ ‘‘กิํ เตน สาสนํ กถิต’’นฺติ? ‘‘ตว พหิกรณูปายํ ปุจฺฉติ, อมฺมา’’ติฯ ราชธีตา ‘‘ปณฺฑิโต โหโนฺต ชานิสฺสตี’’ติ ปฐมํ คาถํ พนฺธิตฺวา ‘‘อมฺม, อิมํ อุคฺคเหตฺวา กุมารสฺส กเถหี’’ติ อาหฯ

    Atha rājā bhāgineyyassa bahigehaṃ dāpesi, anto pavesanaṃ nivāresi. Te pana aññamaññaṃ paṭibaddhacittā ahesuṃ. Kumāro ‘‘kena nu kho upāyena rājadhītaraṃ bahi nīharāpeyya’’nti cintento ‘‘atthi upāyo’’ti dhātiyā lañjaṃ datvā ‘‘kiṃ, ayyaputta, kicca’’nti vutte ‘‘amma, kathaṃ nu kho rājadhītaraṃ bahi kātuṃ okāsaṃ labheyyāmā’’ti āha. ‘‘Rājadhītāya saddhiṃ kathetvā jānissāmī’’ti. ‘‘Sādhu, ammā’’ti. Sā gantvā ‘‘ehi, amma, sīse te ūkā gaṇhissāmī’’ti taṃ nīcapīṭhake nisīdāpetvā sayaṃ ucce nisīditvā tassā sīsaṃ attano ūrūsu ṭhapetvā ūkā gaṇhayamānā rājadhītāya sīsaṃ nakhehi vijjhi . Rājadhītā ‘‘nāyaṃ attano nakhehi vijjhati, pitucchāputtassa me kumārassa nakhehi vijjhatī’’ti ñatvā ‘‘amma, tvaṃ kumārassa santikaṃ agamāsī’’ti pucchi. ‘‘Āma, ammā’’ti. ‘‘Kiṃ tena sāsanaṃ kathita’’nti? ‘‘Tava bahikaraṇūpāyaṃ pucchati, ammā’’ti. Rājadhītā ‘‘paṇḍito honto jānissatī’’ti paṭhamaṃ gāthaṃ bandhitvā ‘‘amma, imaṃ uggahetvā kumārassa kathehī’’ti āha.

    ๓๔.

    34.

    ‘‘ปาณิ เจ มุทุโก จสฺส, นาโค จสฺส สุการิโต;

    ‘‘Pāṇi ce muduko cassa, nāgo cassa sukārito;

    อนฺธกาโร จ วเสฺสยฺย, อถ นูน ตทา สิยา’’ติฯ

    Andhakāro ca vasseyya, atha nūna tadā siyā’’ti.

    สา ตํ อุคฺคณฺหิตฺวา กุมารสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘อมฺม, ราชธีตา กิมาหา’’ติ วุเตฺต ‘‘อยฺยปุตฺต, อญฺญํ กิญฺจิ อวตฺวา อิมํ คาถํ ปหิณี’’ติ ตํ คาถํ อุทาหาสิฯ กุมาโร จ ตสฺสตฺถํ ญตฺวา ‘‘คจฺฉ, อมฺมา’’ติ ตํ อุโยฺยเชสิฯ

    Sā taṃ uggaṇhitvā kumārassa santikaṃ gantvā ‘‘amma, rājadhītā kimāhā’’ti vutte ‘‘ayyaputta, aññaṃ kiñci avatvā imaṃ gāthaṃ pahiṇī’’ti taṃ gāthaṃ udāhāsi. Kumāro ca tassatthaṃ ñatvā ‘‘gaccha, ammā’’ti taṃ uyyojesi.

    คาถายโตฺถ – สเจ เต เอกิสฺสา จูฬุปฎฺฐากาย มม หโตฺถ วิย หโตฺถ มุทุ อสฺส, ยทิ จ เต อาเนญฺชการณํ สุการิโต เอโก หตฺถี อสฺส, ยทิ จ ตํ ทิวสํ จตุรงฺคสมนฺนาคโต อติวิย พหโล อนฺธกาโร อสฺส, เทโว จ วเสฺสยฺยฯ อถ นูน ตทา สิยาติ ตาทิเส กาเล อิเม จตฺตาโร ปจฺจเย อาคมฺม เอกํเสน เต มโนรถสฺส มตฺถกคมนํ สิยาติฯ

    Gāthāyattho – sace te ekissā cūḷupaṭṭhākāya mama hattho viya hattho mudu assa, yadi ca te āneñjakāraṇaṃ sukārito eko hatthī assa, yadi ca taṃ divasaṃ caturaṅgasamannāgato ativiya bahalo andhakāro assa, devo ca vasseyya. Atha nūna tadā siyāti tādise kāle ime cattāro paccaye āgamma ekaṃsena te manorathassa matthakagamanaṃ siyāti.

    กุมาโร เอตมตฺถํ ตถโต ญตฺวา เอกํ อภิรูปํ มุทุหตฺถํ จูฬุปฎฺฐากํ สชฺชํ กตฺวา มงฺคลหตฺถิโคปกสฺส ลญฺชํ ทตฺวา หตฺถิํ อาเนญฺชการณํ กาเรตฺวา กาลํ อาคเมโนฺต อจฺฉิฯ

    Kumāro etamatthaṃ tathato ñatvā ekaṃ abhirūpaṃ muduhatthaṃ cūḷupaṭṭhākaṃ sajjaṃ katvā maṅgalahatthigopakassa lañjaṃ datvā hatthiṃ āneñjakāraṇaṃ kāretvā kālaṃ āgamento acchi.

    อเถกสฺมิํ กาฬปกฺขุโปสถทิวเส มชฺฌิมยามสมนนฺตเร ฆนกาฬเมโฆ วสฺสิฯ โส ‘‘อยํ ทานิ ราชธีตาย วุตฺตทิวโส’’ติ วารณํ อภิรุหิตฺวา มุทุหตฺถกํ จูฬุปฎฺฐากํ หตฺถิปิเฎฺฐ นิสีทาเปตฺวา คนฺตฺวา ราชนิเวสนสฺส อากาสงฺคณาภิมุเข ฐาเน หตฺถิํ มหาภิตฺติยํ อลฺลียาเปตฺวา วาตปานสมีเป เตเมโนฺต อฎฺฐาสิฯ ราชาปิ ธีตรํ รกฺขโนฺต อญฺญตฺถ สยิตุํ น เทติ, อตฺตโน สนฺติเก จูฬสยเน สยาเปติฯ สาปิ ‘‘อชฺช กุมาโร อาคมิสฺสตี’’ติ ญตฺวา นิทฺทํ อโนกฺกมิตฺวาว นิปนฺนา ‘‘ตาต นฺหายิตุกามามฺหี’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘เอหิ, อมฺมา’’ติ ตํ หเตฺถ คเหตฺวา วาตปานสมีปํ เนตฺวา ‘‘นฺหายาหิ, อมฺมา’’ติ อุกฺขิปิตฺวา วาตปานสฺส พหิปเสฺส ปมุเข ฐเปตฺวา เอกสฺมิํ หเตฺถ คเหตฺวา อฎฺฐาสิฯ สา นฺหายมานาว กุมารสฺส หตฺถํ ปสาเรสิ, โส ตสฺสา หตฺถโต อาภรณานิ โอมุญฺจิตฺวา อุปฎฺฐากาย หเตฺถ ปิฬนฺธิตฺวา ตํ อุกฺขิปิตฺวา ราชธีตรํ นิสฺสาย ปมุเข ฐเปสิ ฯ สา ตสฺสา หตฺถํ คเหตฺวา ปิตุ หเตฺถ ฐเปสิ, โส ตสฺสา หตฺถํ คเหตฺวา ธีตุ หตฺถํ มุญฺจิ, สา อิตรสฺมาปิ หตฺถา อาภรณานิ โอมุญฺจิตฺวา ตสฺสา ทุติยหเตฺถ ปิฬนฺธิตฺวา ปิตุ หเตฺถ ฐเปตฺวา กุมาเรน สทฺธิํ อคมาสิฯ ราชา ‘‘ธีตาเยว เม’’ติ สญฺญาย ตํ ทาริกํ นฺหานปริโยสาเน สิริคเพฺภ สยาเปตฺวา ทฺวารํ ปิธาย ลเญฺฉตฺวา อารกฺขํ ทตฺวา อตฺตโน สยนํ คนฺตฺวา นิปชฺชิฯ

    Athekasmiṃ kāḷapakkhuposathadivase majjhimayāmasamanantare ghanakāḷamegho vassi. So ‘‘ayaṃ dāni rājadhītāya vuttadivaso’’ti vāraṇaṃ abhiruhitvā muduhatthakaṃ cūḷupaṭṭhākaṃ hatthipiṭṭhe nisīdāpetvā gantvā rājanivesanassa ākāsaṅgaṇābhimukhe ṭhāne hatthiṃ mahābhittiyaṃ allīyāpetvā vātapānasamīpe temento aṭṭhāsi. Rājāpi dhītaraṃ rakkhanto aññattha sayituṃ na deti, attano santike cūḷasayane sayāpeti. Sāpi ‘‘ajja kumāro āgamissatī’’ti ñatvā niddaṃ anokkamitvāva nipannā ‘‘tāta nhāyitukāmāmhī’’ti āha. Rājā ‘‘ehi, ammā’’ti taṃ hatthe gahetvā vātapānasamīpaṃ netvā ‘‘nhāyāhi, ammā’’ti ukkhipitvā vātapānassa bahipasse pamukhe ṭhapetvā ekasmiṃ hatthe gahetvā aṭṭhāsi. Sā nhāyamānāva kumārassa hatthaṃ pasāresi, so tassā hatthato ābharaṇāni omuñcitvā upaṭṭhākāya hatthe piḷandhitvā taṃ ukkhipitvā rājadhītaraṃ nissāya pamukhe ṭhapesi . Sā tassā hatthaṃ gahetvā pitu hatthe ṭhapesi, so tassā hatthaṃ gahetvā dhītu hatthaṃ muñci, sā itarasmāpi hatthā ābharaṇāni omuñcitvā tassā dutiyahatthe piḷandhitvā pitu hatthe ṭhapetvā kumārena saddhiṃ agamāsi. Rājā ‘‘dhītāyeva me’’ti saññāya taṃ dārikaṃ nhānapariyosāne sirigabbhe sayāpetvā dvāraṃ pidhāya lañchetvā ārakkhaṃ datvā attano sayanaṃ gantvā nipajji.

    โส ปภาตาย รตฺติยา ทฺวารํ วิวริตฺวา ตํ ทาริกํ ทิสฺวา ‘‘กิเมต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ สา ตสฺสา กุมาเรน สทฺธิํ คตภาวํ กเถสิฯ ราชา วิปฺปฎิสารี หุตฺวา ‘‘หเตฺถ คเหตฺวา จรเนฺตนปิ มาตุคามํ รกฺขิตุํ น สกฺกา, เอวํ อรกฺขิยา นามิตฺถิโย’’ติ จิเนฺตตฺวา อิตรา เทฺว คาถา อโวจ –

    So pabhātāya rattiyā dvāraṃ vivaritvā taṃ dārikaṃ disvā ‘‘kimeta’’nti pucchi. Sā tassā kumārena saddhiṃ gatabhāvaṃ kathesi. Rājā vippaṭisārī hutvā ‘‘hatthe gahetvā carantenapi mātugāmaṃ rakkhituṃ na sakkā, evaṃ arakkhiyā nāmitthiyo’’ti cintetvā itarā dve gāthā avoca –

    ๓๕.

    35.

    ‘‘อนลา มุทุสมฺภาสา, ทุปฺปูรา ตา นทีสมา;

    ‘‘Analā mudusambhāsā, duppūrā tā nadīsamā;

    สีทนฺติ นํ วิทิตฺวาน, อารกา ปริวชฺชเยฯ

    Sīdanti naṃ viditvāna, ārakā parivajjaye.

    ๓๖.

    36.

    ‘‘ยํ เอตา อุปเสวนฺติ, ฉนฺทสา วา ธเนน วา;

    ‘‘Yaṃ etā upasevanti, chandasā vā dhanena vā;

    ชาตเวโทว สํ ฐานํ, ขิปฺปํ อนุทหนฺติ น’’นฺติฯ

    Jātavedova saṃ ṭhānaṃ, khippaṃ anudahanti na’’nti.

    ตตฺถ อนลา มุทุสมฺภาสาติ มุทุวจเนนปิ อสกฺกุเณยฺยา, เนว สกฺกา สณฺหวาจาย สงฺคณฺหิตุนฺติ อโตฺถฯ ปุริเสหิ วา เอตาสํ น อลนฺติ อนลาฯ มุทุสมฺภาสาติ หทเย ถเทฺธปิ สมฺภาสาว มุทุ เอตาสนฺติ มุทุสมฺภาสาฯ ทุปฺปูรา ตา นทีสมาติ ยถา นที อาคตาคตสฺส อุทกสฺส สนฺทนโต อุทเกน ทุปฺปูรา, เอวํ อนุภูตานุภูเตหิ เมถุนาทีหิ อปริตุสฺสนโต ทุปฺปูราฯ เตน วุตฺตํ –

    Tattha analā mudusambhāsāti muduvacanenapi asakkuṇeyyā, neva sakkā saṇhavācāya saṅgaṇhitunti attho. Purisehi vā etāsaṃ na alanti analā. Mudusambhāsāti hadaye thaddhepi sambhāsāva mudu etāsanti mudusambhāsā. Duppūrā tā nadīsamāti yathā nadī āgatāgatassa udakassa sandanato udakena duppūrā, evaṃ anubhūtānubhūtehi methunādīhi aparitussanato duppūrā. Tena vuttaṃ –

    ‘‘ติณฺณํ, ภิกฺขเว, ธมฺมานํ อติโตฺต อปฺปฎิวาโน มาตุคาโม กาลํ กโรติฯ กตเมสํ ติณฺณํ? เมถุนสมาปตฺติยา จ วิชายนสฺส จ อลงฺการสฺส จฯ อิเมสํ โข, ภิกฺขเว, ติณฺณํ ธมฺมานํ อติโตฺต อปฺปฎิวาโน มาตุคาโม กาลํ กโรตี’’ติฯ

    ‘‘Tiṇṇaṃ, bhikkhave, dhammānaṃ atitto appaṭivāno mātugāmo kālaṃ karoti. Katamesaṃ tiṇṇaṃ? Methunasamāpattiyā ca vijāyanassa ca alaṅkārassa ca. Imesaṃ kho, bhikkhave, tiṇṇaṃ dhammānaṃ atitto appaṭivāno mātugāmo kālaṃ karotī’’ti.

    สีทนฺตีติ อฎฺฐสุ มหานิรเยสุ โสฬสสุ อุสฺสทนิรเยสุ นิมุชฺชนฺติฯ นฺติ นิปาตมตฺตํ ฯ วิทิตฺวานาติ เอวํ ชานิตฺวาฯ อารกา ปริวชฺชเยติ ‘‘เอตา อิตฺถิโย นาม เมถุนธมฺมาทีหิ อติตฺตา กาลํ กตฺวา เอเตสุ นิรเยสุ สีทนฺติ, เอตา เอวํ อตฺตนา สีทมานา กสฺสญฺญสฺส สุขาย ภวิสฺสนฺตี’’ติ เอวํ ญตฺวา ปณฺฑิโต ปุริโส ทูรโตว ตา ปริวชฺชเยติ ทีเปติฯ ฉนฺทสา วา ธเนน วาติ อตฺตโน วา ฉเนฺทน รุจิยา เปเมน, ภติวเสน ลทฺธธเนน วา ยํ ปุริสํ เอตา อิตฺถิโย อุปเสวนฺติ ภชนฺติฯ ชาตเวโทติ อคฺคิฯ โส หิ ชาตมโตฺตว เวทิยติ, วิทิโต ปากโฎ โหตีติ ชาตเวโทฯ โส ยถา อตฺตโน ฐานํ การณํ โอกาสํ อนุทหติ, เอวเมตาปิ ยํ อุปเสวนฺติ, ตํ ปุริสํ ธนยสสีลปญฺญาสมนฺนาคตมฺปิ เตสํ สเพฺพสํ ธนาทีนํ วินาสนโต ปุน ตาย สมฺปตฺติยา อภพฺพุปฺปตฺติกํ กุรุมานา ขิปฺปํ อนุทหนฺติ ฌาเปนฺติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Sīdantīti aṭṭhasu mahānirayesu soḷasasu ussadanirayesu nimujjanti. Nanti nipātamattaṃ . Viditvānāti evaṃ jānitvā. Ārakā parivajjayeti ‘‘etā itthiyo nāma methunadhammādīhi atittā kālaṃ katvā etesu nirayesu sīdanti, etā evaṃ attanā sīdamānā kassaññassa sukhāya bhavissantī’’ti evaṃ ñatvā paṇḍito puriso dūratova tā parivajjayeti dīpeti. Chandasā vā dhanena vāti attano vā chandena ruciyā pemena, bhativasena laddhadhanena vā yaṃ purisaṃ etā itthiyo upasevanti bhajanti. Jātavedoti aggi. So hi jātamattova vediyati, vidito pākaṭo hotīti jātavedo. So yathā attano ṭhānaṃ kāraṇaṃ okāsaṃ anudahati, evametāpi yaṃ upasevanti, taṃ purisaṃ dhanayasasīlapaññāsamannāgatampi tesaṃ sabbesaṃ dhanādīnaṃ vināsanato puna tāya sampattiyā abhabbuppattikaṃ kurumānā khippaṃ anudahanti jhāpenti. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘พลวโนฺต ทุพฺพลา โหนฺติ, ถามวโนฺตปิ หายเร;

    ‘‘Balavanto dubbalā honti, thāmavantopi hāyare;

    จกฺขุมา อนฺธกา โหนฺติ, มาตุคามวสํ คตาฯ

    Cakkhumā andhakā honti, mātugāmavasaṃ gatā.

    ‘‘คุณวโนฺต นิคฺคุณา โหนฺติ, ปญฺญวโนฺตปิ หายเร;

    ‘‘Guṇavanto nigguṇā honti, paññavantopi hāyare;

    ปมตฺตา พนฺธเน เสนฺติ, มาตุคามวสํ คตาฯ

    Pamattā bandhane senti, mātugāmavasaṃ gatā.

    ‘‘อเชฺฌนญฺจ ตปํ สีลํ, สจฺจํ จาคํ สติํ มติํ;

    ‘‘Ajjhenañca tapaṃ sīlaṃ, saccaṃ cāgaṃ satiṃ matiṃ;

    อจฺฉินฺทนฺติ ปมตฺตสฺส, ปนฺถทูภีว ตกฺกราฯ

    Acchindanti pamattassa, panthadūbhīva takkarā.

    ‘‘ยสํ กิตฺติํ ธิติํ สูรํ, พาหุสจฺจํ ปชานนํ;

    ‘‘Yasaṃ kittiṃ dhitiṃ sūraṃ, bāhusaccaṃ pajānanaṃ;

    เขปยนฺติ ปมตฺตสฺส, กฎฺฐปุญฺชํว ปาวโก’’ติฯ

    Khepayanti pamattassa, kaṭṭhapuñjaṃva pāvako’’ti.

    เอวํ วตฺวา มหาสโตฺต ‘‘ภาคิเนโยฺยปิ มยาว โปเสตโพฺพ’’ติ มหเนฺตน สกฺกาเรน ธีตรํ ตเสฺสว ทตฺวา ตํ โอปรเชฺช ปติฎฺฐเปสิฯ โสปิ มาตุลสฺส อจฺจเยน รเชฺช ปติฎฺฐหิฯ

    Evaṃ vatvā mahāsatto ‘‘bhāgineyyopi mayāva posetabbo’’ti mahantena sakkārena dhītaraṃ tasseva datvā taṃ oparajje patiṭṭhapesi. Sopi mātulassa accayena rajje patiṭṭhahi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทเสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ‘‘ตทา ราชา อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesenaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. ‘‘Tadā rājā ahameva ahosi’’nti.

    มุทุปาณิชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ

    Mudupāṇijātakavaṇṇanā dutiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๖๒. มุทุปาณิชาตกํ • 262. Mudupāṇijātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact