Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๔๕] ๕. มูลปริยายชาตกวณฺณนา
[245] 5. Mūlapariyāyajātakavaṇṇanā
กาโล ฆสติ ภูตานีติ อิทํ สตฺถา อุกฺกฎฺฐํ นิสฺสาย สุภควเน วิหรโนฺต มูลปริยายสุตฺตนฺตํ อารพฺภ กเถสิฯ ตทา กิร ปญฺจสตา พฺราหฺมณา ติณฺณํ เวทานํ ปารคู สาสเน ปพฺพชิตฺวา ตีณิ ปิฎกานิ อุคฺคณฺหิตฺวา มานมทมตฺตา หุตฺวา ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธปิ ตีเณว ปิฎกานิ ชานาติ, มยมฺปิ ตานิ ชานาม, เอวํ สเนฺต กิํ ตสฺส อเมฺหหิ นานากรณ’’นฺติ พุทฺธุปฎฺฐานํ น คจฺฉนฺติ, ปฎิปกฺขา หุตฺวา จรนฺติฯ
Kālo ghasati bhūtānīti idaṃ satthā ukkaṭṭhaṃ nissāya subhagavane viharanto mūlapariyāyasuttantaṃ ārabbha kathesi. Tadā kira pañcasatā brāhmaṇā tiṇṇaṃ vedānaṃ pāragū sāsane pabbajitvā tīṇi piṭakāni uggaṇhitvā mānamadamattā hutvā ‘‘sammāsambuddhopi tīṇeva piṭakāni jānāti, mayampi tāni jānāma, evaṃ sante kiṃ tassa amhehi nānākaraṇa’’nti buddhupaṭṭhānaṃ na gacchanti, paṭipakkhā hutvā caranti.
อเถกทิวสํ สตฺถา เตสุ อาคนฺตฺวา อตฺตโน สนฺติเก นิสิเนฺนสุ อฎฺฐหิ ภูมีหิ ปฎิมเณฺฑตฺวา มูลปริยายสุตฺตนฺตํ กเถสิ, เต น กิญฺจิ สลฺลเกฺขสุํฯ อถ เนสํ เอตทโหสิ – ‘‘มยํ อเมฺหหิ สทิสา ปณฺฑิตา นตฺถี’ติ มานํ กโรม, อิทานิ ปน น กิญฺจิ ชานาม, พุเทฺธหิ สทิโส ปณฺฑิโต นาม นตฺถิ, อโห พุทฺธคุณา นามา’’ติฯ เต ตโต ปฎฺฐาย นิหตมานา หุตฺวา อุทฺธฎทาฐา วิย สปฺปา นิพฺพิเสวนา ชาตาฯ สตฺถา อุกฺกฎฺฐายํ ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา เวสาลิํ คนฺตฺวา โคตมกเจติเย โคตมกสุตฺตนฺตํ นาม กเถสิ, ทสสหสฺสิโลกธาตุ กมฺปิ, ตํ สุตฺวา เต ภิกฺขู อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ มูลปริยายสุตฺตนฺตปริโยสาเน ปน สตฺถริ อุกฺกฎฺฐายํ วิหรเนฺตเยว ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘อาวุโส, อโห พุทฺธานํ อานุภาโว, เต นาม พฺราหฺมณปพฺพชิตา ตถา มานมทมตฺตา ภควตา มูลปริยายเทสนาย นิหตมานา กตา’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปาหํ อิเม เอวํ มานปคฺคหิตสิเร วิจรเนฺต นิหตมาเน อกาสิํเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Athekadivasaṃ satthā tesu āgantvā attano santike nisinnesu aṭṭhahi bhūmīhi paṭimaṇḍetvā mūlapariyāyasuttantaṃ kathesi, te na kiñci sallakkhesuṃ. Atha nesaṃ etadahosi – ‘‘mayaṃ amhehi sadisā paṇḍitā natthī’ti mānaṃ karoma, idāni pana na kiñci jānāma, buddhehi sadiso paṇḍito nāma natthi, aho buddhaguṇā nāmā’’ti. Te tato paṭṭhāya nihatamānā hutvā uddhaṭadāṭhā viya sappā nibbisevanā jātā. Satthā ukkaṭṭhāyaṃ yathābhirantaṃ viharitvā vesāliṃ gantvā gotamakacetiye gotamakasuttantaṃ nāma kathesi, dasasahassilokadhātu kampi, taṃ sutvā te bhikkhū arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Mūlapariyāyasuttantapariyosāne pana satthari ukkaṭṭhāyaṃ viharanteyeva bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘āvuso, aho buddhānaṃ ānubhāvo, te nāma brāhmaṇapabbajitā tathā mānamadamattā bhagavatā mūlapariyāyadesanāya nihatamānā katā’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepāhaṃ ime evaṃ mānapaggahitasire vicarante nihatamāne akāsiṃyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ติณฺณํ เวทานํ ปารคู ทิสาปาโมโกฺข อาจริโย หุตฺวา ปญฺจ มาณวกสตานิ มเนฺต วาเจสิฯ เต ปญฺจสตาปิ นิฎฺฐิตสิปฺปา สิเปฺป อนุโยคํ ทตฺวา ‘‘ยตฺตกํ มยํ ชานาม, อาจริโยปิ ตตฺตกเมว, วิเสโส นตฺถี’’ติ มานตฺถทฺธา หุตฺวา อาจริยสฺส สนฺติกํ น คจฺฉนฺติ, วตฺตปฎิวตฺตํ น กโรนฺติฯ เต เอกทิวสํ อาจริเย พทริรุกฺขมูเล นิสิเนฺน ตํ วเมฺภตุกามา พทริรุกฺขํ นเขน อาโกเฎตฺวา ‘‘นิสฺสาโรวายํ รุโกฺข’’ติ อาหํสุฯ โพธิสโตฺต อตฺตโน วมฺภนภาวํ ญตฺวา อเนฺตวาสิเก ‘‘เอกํ โว ปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ อาหฯ เต หฎฺฐตุฎฺฐา ‘‘วเทถ, กเถสฺสามา’’ติฯ อาจริโย ปญฺหํ ปุจฺฉโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto brāhmaṇakule nibbattitvā vayappatto tiṇṇaṃ vedānaṃ pāragū disāpāmokkho ācariyo hutvā pañca māṇavakasatāni mante vācesi. Te pañcasatāpi niṭṭhitasippā sippe anuyogaṃ datvā ‘‘yattakaṃ mayaṃ jānāma, ācariyopi tattakameva, viseso natthī’’ti mānatthaddhā hutvā ācariyassa santikaṃ na gacchanti, vattapaṭivattaṃ na karonti. Te ekadivasaṃ ācariye badarirukkhamūle nisinne taṃ vambhetukāmā badarirukkhaṃ nakhena ākoṭetvā ‘‘nissārovāyaṃ rukkho’’ti āhaṃsu. Bodhisatto attano vambhanabhāvaṃ ñatvā antevāsike ‘‘ekaṃ vo pañhaṃ pucchissāmī’’ti āha. Te haṭṭhatuṭṭhā ‘‘vadetha, kathessāmā’’ti. Ācariyo pañhaṃ pucchanto paṭhamaṃ gāthamāha –
๑๙๐.
190.
‘‘กาโล ฆสติ ภูตานิ, สพฺพาเนว สหตฺตนา;
‘‘Kālo ghasati bhūtāni, sabbāneva sahattanā;
โย จ กาลฆโส ภูโต, ส ภูตปจนิํ ปจี’’ติฯ
Yo ca kālaghaso bhūto, sa bhūtapacaniṃ pacī’’ti.
ตตฺถ กาโลติ ปุเรภตฺตกาโลปิ ปจฺฉาภตฺตกาโลปีติ เอวมาทิฯ ภูตานีติ สตฺตาธิวจนเมตํ, น กาโล ภูตานํ จมฺมมํสาทีนิ ลุญฺจิตฺวา ขาทติ, อปิจ โข เนสํ อายุวณฺณพลานิ เขเปโนฺต โยพฺพญฺญํ มทฺทโนฺต อาโรคฺยํ วินาเสโนฺต ฆสติ ขาทตีติ วุจฺจติฯ เอวํ ฆสโนฺต จ น กิญฺจิ วเชฺชติ, สพฺพาเนว ฆสติฯ น เกวลญฺจ ภูตาเนว, อปิจ โข สหตฺตนา อตฺตานมฺปิ ฆสติ, ปุเรภตฺตกาโล ปจฺฉาภตฺตกาลํ น ปาปุณาติฯ เอส นโย ปจฺฉาภตฺตกาลาทีสุฯ โย จ กาลฆโส ภูโตติ ขีณาสวเสฺสตํ อธิวจนํ ฯ โส หิ อริยมเคฺคน อายติํ ปฎิสนฺธิกาลํ เขเปตฺวา ขาทิตฺวา ฐิตตฺตา ‘‘กาลฆโส ภูโต’’ติ วุจฺจติ ฯ ส ภูตปจนิํ ปจีติ โส ยายํ ตณฺหา อปาเยสุ ภูเต ปจติ, ตํ ญาณคฺคินา ปจิ ทหิ ภสฺมมกาสิ, เตน ‘‘ภูตปจนิํ ปจี’’ติ วุจฺจติฯ ‘‘ปชนิ’’นฺติปิ ปาโฐ, ชนิกํ นิพฺพตฺตกินฺติ อโตฺถฯ
Tattha kāloti purebhattakālopi pacchābhattakālopīti evamādi. Bhūtānīti sattādhivacanametaṃ, na kālo bhūtānaṃ cammamaṃsādīni luñcitvā khādati, apica kho nesaṃ āyuvaṇṇabalāni khepento yobbaññaṃ maddanto ārogyaṃ vināsento ghasati khādatīti vuccati. Evaṃ ghasanto ca na kiñci vajjeti, sabbāneva ghasati. Na kevalañca bhūtāneva, apica kho sahattanā attānampi ghasati, purebhattakālo pacchābhattakālaṃ na pāpuṇāti. Esa nayo pacchābhattakālādīsu. Yo ca kālaghaso bhūtoti khīṇāsavassetaṃ adhivacanaṃ . So hi ariyamaggena āyatiṃ paṭisandhikālaṃ khepetvā khāditvā ṭhitattā ‘‘kālaghaso bhūto’’ti vuccati . Sa bhūtapacaniṃ pacīti so yāyaṃ taṇhā apāyesu bhūte pacati, taṃ ñāṇagginā paci dahi bhasmamakāsi, tena ‘‘bhūtapacaniṃ pacī’’ti vuccati. ‘‘Pajani’’ntipi pāṭho, janikaṃ nibbattakinti attho.
อิมํ ปญฺหํ สุตฺวา มาณเวสุ เอโกปิ ชานิตุํ สมโตฺถ นาม นาโหสิฯ อถ เน โพธิสโตฺต ‘‘มา โข ตุเมฺห ‘อยํ ปโญฺห ตีสุ เวเทสุ อตฺถี’ติ สญฺญํ อกตฺถ, ตุเมฺห ‘ยมหํ ชานามิ, ตํ สพฺพํ ชานามา’ติ มญฺญมานา มํ พทริรุกฺขสทิสํ กโรถ, มม ตุเมฺหหิ อญฺญาตสฺส พหุโน ชานนภาวํ น ชานาถ, คจฺฉถ สตฺตเม ทิวเส กาลํ ทมฺมิ, เอตฺตเกน กาเลน อิมํ ปญฺหํ จิเนฺตถา’’ติฯ เต โพธิสตฺตํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน อตฺตโน วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา สตฺตาหํ จิเนฺตตฺวาปิ ปญฺหสฺส เนว อนฺตํ, น โกฎิํ ปสฺสิํสุฯ เต สตฺตมทิวเส อาจริยสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา นิสีทิตฺวา ‘‘กิํ, ภทฺรมุขา, ชานิตฺถ ปญฺห’’นฺติ วุเตฺต ‘‘น ชานามา’’ติ วทิํสุฯ อถ โพธิสโตฺต เต ครหมาโน ทุติยํ คาถมาห –
Imaṃ pañhaṃ sutvā māṇavesu ekopi jānituṃ samattho nāma nāhosi. Atha ne bodhisatto ‘‘mā kho tumhe ‘ayaṃ pañho tīsu vedesu atthī’ti saññaṃ akattha, tumhe ‘yamahaṃ jānāmi, taṃ sabbaṃ jānāmā’ti maññamānā maṃ badarirukkhasadisaṃ karotha, mama tumhehi aññātassa bahuno jānanabhāvaṃ na jānātha, gacchatha sattame divase kālaṃ dammi, ettakena kālena imaṃ pañhaṃ cintethā’’ti. Te bodhisattaṃ vanditvā attano attano vasanaṭṭhānaṃ gantvā sattāhaṃ cintetvāpi pañhassa neva antaṃ, na koṭiṃ passiṃsu. Te sattamadivase ācariyassa santikaṃ gantvā vanditvā nisīditvā ‘‘kiṃ, bhadramukhā, jānittha pañha’’nti vutte ‘‘na jānāmā’’ti vadiṃsu. Atha bodhisatto te garahamāno dutiyaṃ gāthamāha –
๑๙๑.
191.
‘‘พหูนิ นรสีสานิ, โลมสานิ พฺรหานิ จ;
‘‘Bahūni narasīsāni, lomasāni brahāni ca;
คีวาสุ ปฎิมุกฺกานิ, โกจิเทเวตฺถ กณฺณวา’’ติฯ
Gīvāsu paṭimukkāni, kocidevettha kaṇṇavā’’ti.
ตสฺสโตฺถ – พหูนิ นรานํ สีสานิ ทิสฺสนฺติ, สพฺพานิ จ ตานิ โลมสานิ, สพฺพานิ มหนฺตานิ คีวาสุเยว ฐปิตานิ, น ตาลผลํ วิย หเตฺถน คหิตานิ, นตฺถิ เตสํ อิเมหิ ธเมฺมหิ นานากรณํฯ เอตฺถ ปน โกจิเทว กณฺณวาติ อตฺตานํ สนฺธายาหฯ กณฺณวาติ ปญฺญวา, กณฺณฉิทฺทํ ปน น กสฺสจิ นตฺถิฯ อิติ เต มาณวเก ‘‘กณฺณฉิทฺทมตฺตเมว ตุมฺหากํ พาลานํ อตฺถิ, น ปญฺญา’’ติ ครหิตฺวา ปญฺหํ วิสฺสเชฺชสิฯ เต สุตฺวา – ‘‘อโห อาจริยา นาม มหนฺตา’’ติ ขมาเปตฺวา นิหตมานา โพธิสตฺตํ อุปฎฺฐหิํสุฯ
Tassattho – bahūni narānaṃ sīsāni dissanti, sabbāni ca tāni lomasāni, sabbāni mahantāni gīvāsuyeva ṭhapitāni, na tālaphalaṃ viya hatthena gahitāni, natthi tesaṃ imehi dhammehi nānākaraṇaṃ. Ettha pana kocideva kaṇṇavāti attānaṃ sandhāyāha. Kaṇṇavāti paññavā, kaṇṇachiddaṃ pana na kassaci natthi. Iti te māṇavake ‘‘kaṇṇachiddamattameva tumhākaṃ bālānaṃ atthi, na paññā’’ti garahitvā pañhaṃ vissajjesi. Te sutvā – ‘‘aho ācariyā nāma mahantā’’ti khamāpetvā nihatamānā bodhisattaṃ upaṭṭhahiṃsu.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ปญฺจสตา มาณวกา อิเม ภิกฺขู อเหสุํ, อาจริโย ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā pañcasatā māṇavakā ime bhikkhū ahesuṃ, ācariyo pana ahameva ahosi’’nti.
มูลปริยายชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ
Mūlapariyāyajātakavaṇṇanā pañcamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๔๕. มูลปริยายชาตกํ • 245. Mūlapariyāyajātakaṃ