Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ
Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa
มชฺฌิมนิกาเย
Majjhimanikāye
มูลปณฺณาส-อฎฺฐกถา
Mūlapaṇṇāsa-aṭṭhakathā
(ปฐโม ภาโค)
(Paṭhamo bhāgo)
คนฺถารมฺภกถา
Ganthārambhakathā
กรุณาสีตลหทยํ , ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตมํ;
Karuṇāsītalahadayaṃ , paññāpajjotavihatamohatamaṃ;
สนรามรโลกครุํ, วเนฺท สุคตํ คติวิมุตฺตํฯ
Sanarāmaralokagaruṃ, vande sugataṃ gativimuttaṃ.
พุโทฺธปิ พุทฺธภาวํ, ภาเวตฺวา เจว สจฺฉิกตฺวา จ;
Buddhopi buddhabhāvaṃ, bhāvetvā ceva sacchikatvā ca;
ยํ อุปคโต คตมลํ, วเนฺท ตมนุตฺตรํ ธมฺมํฯ
Yaṃ upagato gatamalaṃ, vande tamanuttaraṃ dhammaṃ.
สุคตสฺส โอรสานํ, ปุตฺตานํ มารเสนมถนานํ;
Sugatassa orasānaṃ, puttānaṃ mārasenamathanānaṃ;
อฎฺฐนฺนมฺปิ สมูหํ, สิรสา วเนฺท อริยสงฺฆํฯ
Aṭṭhannampi samūhaṃ, sirasā vande ariyasaṅghaṃ.
อิติ เม ปสนฺนมติโน, รตนตฺตยวนฺทนามยํ ปุญฺญํ;
Iti me pasannamatino, ratanattayavandanāmayaṃ puññaṃ;
ยํ สุวิหตนฺตราโย, หุตฺวา ตสฺสานุภาเวนฯ
Yaṃ suvihatantarāyo, hutvā tassānubhāvena.
มชฺฌิมปมาณสุตฺตงฺกิตสฺส อิธ มชฺฌิมาคมวรสฺส;
Majjhimapamāṇasuttaṅkitassa idha majjhimāgamavarassa;
พุทฺธานุพุทฺธสํวณฺณิตสฺส ปรวาทมถนสฺสฯ
Buddhānubuddhasaṃvaṇṇitassa paravādamathanassa.
อตฺถปฺปกาสนตฺถํ, อฎฺฐกถา อาทิโต วสิสเตหิ;
Atthappakāsanatthaṃ, aṭṭhakathā ādito vasisatehi;
ปญฺจหิ ยา สงฺคีตา, อนุสงฺคีตา จ ปจฺฉาปิฯ
Pañcahi yā saṅgītā, anusaṅgītā ca pacchāpi.
สีหฬทีปํ ปน อาภตาถ วสินา มหามหิเนฺทน;
Sīhaḷadīpaṃ pana ābhatātha vasinā mahāmahindena;
ฐปิตา สีหฬภาสาย, ทีปวาสีนมตฺถายฯ
Ṭhapitā sīhaḷabhāsāya, dīpavāsīnamatthāya.
อปเนตฺวาน ตโตหํ, สีหฬภาสํ มโนรมํ ภาสํ;
Apanetvāna tatohaṃ, sīhaḷabhāsaṃ manoramaṃ bhāsaṃ;
ตนฺตินยานุจฺฉวิกํ, อาโรเปโนฺต วิคตโทสํฯ
Tantinayānucchavikaṃ, āropento vigatadosaṃ.
สมยํ อวิโลเมโนฺต, เถรานํ เถรวํสทีปานํ;
Samayaṃ avilomento, therānaṃ theravaṃsadīpānaṃ;
สุนิปุณวินิจฺฉยานํ, มหาวิหาเร นิวาสีนํฯ
Sunipuṇavinicchayānaṃ, mahāvihāre nivāsīnaṃ.
หิตฺวา ปุนปฺปุนาคตมตฺถํ, อตฺถํ ปกาสยิสฺสามิ;
Hitvā punappunāgatamatthaṃ, atthaṃ pakāsayissāmi;
สุชนสฺส จ ตุฎฺฐตฺถํ, จิรฎฺฐิตตฺถญฺจ ธมฺมสฺสฯ
Sujanassa ca tuṭṭhatthaṃ, ciraṭṭhitatthañca dhammassa.
สีลกถา ธุตธมฺมา, กมฺมฎฺฐานานิ เจว สพฺพานิ;
Sīlakathā dhutadhammā, kammaṭṭhānāni ceva sabbāni;
จริยาวิธานสหิโต, ฌานสมาปตฺติวิตฺถาโรฯ
Cariyāvidhānasahito, jhānasamāpattivitthāro.
สพฺพา จ อภิญฺญาโย, ปญฺญาสงฺกลนนิจฺฉโย เจว;
Sabbā ca abhiññāyo, paññāsaṅkalananicchayo ceva;
ขนฺธาธาตายตนินฺทฺริยานิ อริยานิ เจว จตฺตาริฯ
Khandhādhātāyatanindriyāni ariyāni ceva cattāri.
สจฺจานิ ปจฺจยาการเทสนา สุปริสุทฺธนิปุณนยา;
Saccāni paccayākāradesanā suparisuddhanipuṇanayā;
อวิมุตฺตตนฺติมคฺคา, วิปสฺสนาภาวนา เจวฯ
Avimuttatantimaggā, vipassanābhāvanā ceva.
อิติ ปน สพฺพํ ยสฺมา, วิสุทฺธิมเคฺค มยา สุปริสุทฺธํ;
Iti pana sabbaṃ yasmā, visuddhimagge mayā suparisuddhaṃ;
วุตฺตํ ตสฺมา ภิโยฺย, น ตํ อิธ วิจารยิสฺสามิฯ
Vuttaṃ tasmā bhiyyo, na taṃ idha vicārayissāmi.
‘‘มเชฺฌ วิสุทฺธิมโคฺค, เอส จตุนฺนมฺปิ อาคมานญฺหิ;
‘‘Majjhe visuddhimaggo, esa catunnampi āgamānañhi;
ฐตฺวา ปกาสยิสฺสติ, ตตฺถ ยถาภาสิตมตฺถํ’’ฯ
Ṭhatvā pakāsayissati, tattha yathābhāsitamatthaṃ’’.
อิเจฺจว กโต ตสฺมา, ตมฺปิ คเหตฺวาน สทฺธิเมตาย;
Icceva kato tasmā, tampi gahetvāna saddhimetāya;
อฎฺฐกถาย วิชานถ, มชฺฌิมสงฺคีติยา อตฺถนฺติฯ
Aṭṭhakathāya vijānatha, majjhimasaṅgītiyā atthanti.
นิทานกถา
Nidānakathā
๑. ตตฺถ มชฺฌิมสงฺคีติ นาม ปณฺณาสโต มูลปณฺณาสา มชฺฌิมปณฺณาสา อุปริปณฺณาสาติ ปณฺณาสตฺตยสงฺคหาฯ วคฺคโต เอเกกาย ปณฺณาสาย ปญฺจ ปญฺจ วเคฺค กตฺวา ปนฺนรสวคฺคสมาโยคาฯ สุตฺตโต ทิยฑฺฒสุตฺตสตํ เทฺว จ สุตฺตนฺตาฯ ปทโต เตวีสุตฺตรปญฺจสตาธิกานิ อสีติปทสหสฺสานิฯ เตนาหุ โปราณา –
1. Tattha majjhimasaṅgīti nāma paṇṇāsato mūlapaṇṇāsā majjhimapaṇṇāsā uparipaṇṇāsāti paṇṇāsattayasaṅgahā. Vaggato ekekāya paṇṇāsāya pañca pañca vagge katvā pannarasavaggasamāyogā. Suttato diyaḍḍhasuttasataṃ dve ca suttantā. Padato tevīsuttarapañcasatādhikāni asītipadasahassāni. Tenāhu porāṇā –
‘‘อสีติปทสหสฺสานิ, ภิโยฺย ปญฺจสตานิ จ;
‘‘Asītipadasahassāni, bhiyyo pañcasatāni ca;
ปุน เตวีสติ วุตฺตา, ปทเมวํ ววตฺถิต’’นฺติฯ
Puna tevīsati vuttā, padamevaṃ vavatthita’’nti.
อกฺขรโต สตฺต อกฺขรสตสหสฺสานิ จตฺตาลีสญฺจ สหสฺสานิ เตปญฺญาสญฺจ อกฺขรานิฯ ภาณวารโต อสีติ ภาณวารา เตวีสปทาธิโก จ อุปฑฺฒภาณวาโรฯ อนุสนฺธิโต ปุจฺฉานุสนฺธิ-อชฺฌาสยานุสนฺธิ-ยถานุสนฺธิวเสน สเงฺขปโต ติวิโธ อนุสนฺธิฯ วิตฺถารโต ปเนตฺถ ตีณิ อนุสนฺธิสหสฺสานิ นว จ สตานิ โหนฺติฯ เตนาหุ โปราณา –
Akkharato satta akkharasatasahassāni cattālīsañca sahassāni tepaññāsañca akkharāni. Bhāṇavārato asīti bhāṇavārā tevīsapadādhiko ca upaḍḍhabhāṇavāro. Anusandhito pucchānusandhi-ajjhāsayānusandhi-yathānusandhivasena saṅkhepato tividho anusandhi. Vitthārato panettha tīṇi anusandhisahassāni nava ca satāni honti. Tenāhu porāṇā –
‘‘ตีณิ สนฺธิสหสฺสานิ, ตถา นวสตานิ จ;
‘‘Tīṇi sandhisahassāni, tathā navasatāni ca;
อนุสนฺธินยา เอเต, มชฺฌิมสฺส ปกาสิตา’’ติฯ
Anusandhinayā ete, majjhimassa pakāsitā’’ti.
ตตฺถ ปณฺณาสาสุ มูลปณฺณาสา อาทิ, วเคฺคสุ มูลปริยายวโคฺค, สุเตฺตสุ มูลปริยายสุตฺตํฯ ตสฺสาปิ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทิกํ อายสฺมตา อานเนฺทน ปฐมมหาสงฺคีติกาเล วุตฺตํ นิทานมาทิฯ สา ปเนสา ปฐมมหาสงฺคีติ สุมงฺคลวิลาสินิยา ทีฆนิกายฎฺฐกถาย อาทิมฺหิ วิตฺถาริตาฯ ตสฺมา สา ตตฺถ วิตฺถาริตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ
Tattha paṇṇāsāsu mūlapaṇṇāsā ādi, vaggesu mūlapariyāyavaggo, suttesu mūlapariyāyasuttaṃ. Tassāpi ‘‘evaṃ me suta’’ntiādikaṃ āyasmatā ānandena paṭhamamahāsaṅgītikāle vuttaṃ nidānamādi. Sā panesā paṭhamamahāsaṅgīti sumaṅgalavilāsiniyā dīghanikāyaṭṭhakathāya ādimhi vitthāritā. Tasmā sā tattha vitthāritanayeneva veditabbā.
๑. มูลปริยายวโคฺค
1. Mūlapariyāyavaggo
๑. มูลปริยายสุตฺตวณฺณนา
1. Mūlapariyāyasuttavaṇṇanā
๑. ยํ ปเนตํ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทิกํ นิทานํฯ ตตฺถ เอวนฺติ นิปาตปทํฯ เมติอาทีนิ นามปทานิฯ อุกฺกฎฺฐายํ วิหรตีติ เอตฺถ วีติ อุปสคฺคปทํ, หรตีติ อาขฺยาตปทนฺติ อิมินา ตาว นเยน ปทวิภาโค เวทิตโพฺพฯ
1. Yaṃ panetaṃ ‘‘evaṃ me suta’’ntiādikaṃ nidānaṃ. Tattha evanti nipātapadaṃ. Metiādīni nāmapadāni. Ukkaṭṭhāyaṃ viharatīti ettha vīti upasaggapadaṃ, haratīti ākhyātapadanti iminā tāva nayena padavibhāgo veditabbo.
อตฺถโต ปน เอวํ-สโทฺท ตาว อุปมูปเทสสมฺปหํสนครหณวจนสมฺปฎิคฺคหาการนิทสฺสนาวธารณาทิอเนกตฺถปฺปเภโทฯ ตถาเหส – ‘‘เอวํ ชาเตน มเจฺจน กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุ’’นฺติ เอวมาทีสุ (ธ. ป. ๕๓) อุปมายํ อาคโตฯ ‘‘เอวํ เต อภิกฺกมิตพฺพํ, เอวํ เต ปฎิกฺกมิตพฺพ’’นฺติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๑๒๒) อุปเทเสฯ ‘‘เอวเมตํ ภควา, เอวเมตํ สุคตา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๖๖) สมฺปหํสเนฯ ‘‘เอวเมวํ ปนายํ วสลี ยสฺมิํ วา ตสฺมิํ วา ตสฺส มุณฺฑกสฺส สมณกสฺส วณฺณํ ภาสตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๘๗) ครหเณฯ ‘‘เอวํ ภเนฺตติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุ’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑) วจนสมฺปฎิคฺคเหฯ ‘‘เอวํ พฺยาโข อหํ, ภเนฺต, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๙๘) อากาเรฯ ‘‘เอหิ ตฺวํ, มาณวก, เยน สมโณ อานโนฺท เตนุปสงฺกม, อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน สมณํ, อานนฺทํ, อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉ – ‘สุโภ มาณโว โตเทยฺยปุโตฺต, ภวนฺตํ อานนฺทํ, อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉตี’ติ, เอวญฺจ วเทหิ สาธุ กิร ภวํ อานโนฺท เยน สุภสฺส มาณวสฺส โตเทยฺยปุตฺตสฺส นิเวสนํ, เตนุปสงฺกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๔๔๕) นิทสฺสเนฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, กาลามา, อิเม ธมฺมา กุสลา วา อกุสลา วาติ? อกุสลา, ภเนฺตฯ สาวชฺชา วา อนวชฺชา วาติ? สาวชฺชา, ภเนฺตฯ วิญฺญุครหิตา วา วิญฺญุปฺปสตฺถา วาติ? วิญฺญุครหิตา, ภเนฺตฯ สมตฺตา สมาทินฺนา อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนฺติ โน วา, กถํ โว เอตฺถ โหตีติ? สมตฺตา, ภเนฺต, สมาทินฺนา อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนฺติ, เอวํ โน เอตฺถ โหตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๖๖) อวธารเณฯ สฺวายมิธ อาการนิทสฺสนาวธารเณสุ ทฎฺฐโพฺพฯ
Atthato pana evaṃ-saddo tāva upamūpadesasampahaṃsanagarahaṇavacanasampaṭiggahākāranidassanāvadhāraṇādianekatthappabhedo. Tathāhesa – ‘‘evaṃ jātena maccena kattabbaṃ kusalaṃ bahu’’nti evamādīsu (dha. pa. 53) upamāyaṃ āgato. ‘‘Evaṃ te abhikkamitabbaṃ, evaṃ te paṭikkamitabba’’ntiādīsu (a. ni. 4.122) upadese. ‘‘Evametaṃ bhagavā, evametaṃ sugatā’’tiādīsu (a. ni. 3.66) sampahaṃsane. ‘‘Evamevaṃ panāyaṃ vasalī yasmiṃ vā tasmiṃ vā tassa muṇḍakassa samaṇakassa vaṇṇaṃ bhāsatī’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.187) garahaṇe. ‘‘Evaṃ bhanteti kho te bhikkhū bhagavato paccassosu’’ntiādīsu (ma. ni. 1.1) vacanasampaṭiggahe. ‘‘Evaṃ byākho ahaṃ, bhante, bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmī’’tiādīsu (ma. ni. 1.398) ākāre. ‘‘Ehi tvaṃ, māṇavaka, yena samaṇo ānando tenupasaṅkama, upasaṅkamitvā mama vacanena samaṇaṃ, ānandaṃ, appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ puccha – ‘subho māṇavo todeyyaputto, bhavantaṃ ānandaṃ, appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ pucchatī’ti, evañca vadehi sādhu kira bhavaṃ ānando yena subhassa māṇavassa todeyyaputtassa nivesanaṃ, tenupasaṅkamatu anukampaṃ upādāyā’’tiādīsu (dī. ni. 1.445) nidassane. ‘‘Taṃ kiṃ maññatha, kālāmā, ime dhammā kusalā vā akusalā vāti? Akusalā, bhante. Sāvajjā vā anavajjā vāti? Sāvajjā, bhante. Viññugarahitā vā viññuppasatthā vāti? Viññugarahitā, bhante. Samattā samādinnā ahitāya dukkhāya saṃvattanti no vā, kathaṃ vo ettha hotīti? Samattā, bhante, samādinnā ahitāya dukkhāya saṃvattanti, evaṃ no ettha hotī’’tiādīsu (a. ni. 3.66) avadhāraṇe. Svāyamidha ākāranidassanāvadhāraṇesu daṭṭhabbo.
ตตฺถ อาการเฎฺฐน เอวํสเทฺทน เอตมตฺถํ ทีเปติ – นานานยนิปุณํ อเนกชฺฌาสยสมุฎฺฐานํ อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนํ วิวิธปาฎิหาริยํ ธมฺมตฺถเทสนาปฎิเวธคมฺภีรํ สพฺพสตฺตานํ สกสกภาสานุรูปโต โสตปถมาคจฺฉนฺตํ ตสฺส ภควโต วจนํ สพฺพปฺปกาเรน โก สมโตฺถ วิญฺญาตุํ, สพฺพถาเมน ปน โสตุกามตํ ชเนตฺวาปิ เอวํ เม สุตํ, มยาปิ เอเกนากาเรน สุตนฺติฯ
Tattha ākāraṭṭhena evaṃsaddena etamatthaṃ dīpeti – nānānayanipuṇaṃ anekajjhāsayasamuṭṭhānaṃ atthabyañjanasampannaṃ vividhapāṭihāriyaṃ dhammatthadesanāpaṭivedhagambhīraṃ sabbasattānaṃ sakasakabhāsānurūpato sotapathamāgacchantaṃ tassa bhagavato vacanaṃ sabbappakārena ko samattho viññātuṃ, sabbathāmena pana sotukāmataṃ janetvāpi evaṃ me sutaṃ, mayāpi ekenākārena sutanti.
นิทสฺสนเฎฺฐน ‘‘นาหํ สยมฺภู, น มยา อิทํ สจฺฉิกต’’นฺติ อตฺตานํ ปริโมเจโนฺต เอวํ เม สุตํ, มยาปิ เอวํ สุตนฺติ อิทานิ วตฺตพฺพํ สกลํ สุตฺตํ นิทเสฺสติฯ
Nidassanaṭṭhena ‘‘nāhaṃ sayambhū, na mayā idaṃ sacchikata’’nti attānaṃ parimocento evaṃ me sutaṃ, mayāpi evaṃ sutanti idāni vattabbaṃ sakalaṃ suttaṃ nidasseti.
อวธารณเฎฺฐน ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ พหุสฺสุตานํ ยทิทํ อานโนฺท, คติมนฺตานํ, สติมนฺตานํ, ธิติมนฺตานํ, อุปฎฺฐากานํ ยทิทํ อานโนฺท’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๑๙-๒๒๓) เอวํ ภควตา, ‘‘อายสฺมา อานโนฺท อตฺถกุสโล ธมฺมกุสโล พฺยญฺชนกุสโล นิรุตฺติกุสโล ปุพฺพาปรกุสโล’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๖๙) เอวํ ธมฺมเสนาปตินา จ ปสตฺถภาวานุรูปํ อตฺตโน ธารณพลํ ทเสฺสโนฺต สตฺตานํ โสตุกมฺยตํ ชเนติ ‘‘เอวํ เม สุตํ, ตญฺจ โข อตฺถโต วา พฺยญฺชนโต วา อนูนมนธิกํ, เอวเมว น อญฺญถา ทฎฺฐพฺพ’’นฺติฯ
Avadhāraṇaṭṭhena ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ bahussutānaṃ yadidaṃ ānando, gatimantānaṃ, satimantānaṃ, dhitimantānaṃ, upaṭṭhākānaṃ yadidaṃ ānando’’ti (a. ni. 1.219-223) evaṃ bhagavatā, ‘‘āyasmā ānando atthakusalo dhammakusalo byañjanakusalo niruttikusalo pubbāparakusalo’’ti (a. ni. 5.169) evaṃ dhammasenāpatinā ca pasatthabhāvānurūpaṃ attano dhāraṇabalaṃ dassento sattānaṃ sotukamyataṃ janeti ‘‘evaṃ me sutaṃ, tañca kho atthato vā byañjanato vā anūnamanadhikaṃ, evameva na aññathā daṭṭhabba’’nti.
เม-สโทฺท ตีสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ ตถา หิสฺส ‘‘คาถาภิคีตํ เม อโภชเนยฺย’’นฺติอาทีสุ (สุ. นิ. ๘๑) มยาติ อโตฺถฯ ‘‘สาธุ เม, ภเนฺต ภควา, สํขิเตฺตน ธมฺมํ เทเสตู’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๘๘) มยฺหนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ธมฺมทายาทา เม, ภิกฺขเว, ภวถา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๙) มมาติ อโตฺถฯ อิธ ปน ‘‘มยา สุต’’นฺติ จ ‘‘มม สุต’’นฺติ จ อตฺถทฺวเย ยุชฺชติฯ
Me-saddo tīsu atthesu dissati. Tathā hissa ‘‘gāthābhigītaṃ me abhojaneyya’’ntiādīsu (su. ni. 81) mayāti attho. ‘‘Sādhu me, bhante bhagavā, saṃkhittena dhammaṃ desetū’’tiādīsu (saṃ. ni. 4.88) mayhanti attho. ‘‘Dhammadāyādā me, bhikkhave, bhavathā’’tiādīsu (ma. ni. 1.29) mamāti attho. Idha pana ‘‘mayā suta’’nti ca ‘‘mama suta’’nti ca atthadvaye yujjati.
สุตนฺติ อยํ สุต-สโทฺท สอุปสโคฺค จ อนุปสโคฺค จ คมน-วิสฺสุต-กิลินฺน-อุปจิตานุโยค-โสตวิเญฺญยฺย-โสตทฺวารานุสารวิญฺญาตาทิอเนกตฺถปฺปเภโทฯ ตถา หิสฺส ‘‘เสนาย ปสุโต’’ติอาทีสุ คจฺฉโนฺตติ อโตฺถฯ ‘‘สุตธมฺมสฺส ปสฺสโต’’ติอาทีสุ (อุทา. ๑๑) วิสฺสุตธมฺมสฺสาติ อโตฺถ, ‘‘อวสฺสุตา อวสฺสุตสฺสาติ’’อาทีสุ (ปาจิ. ๖๕๗) กิลินฺนา กิลินฺนสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘ตุเมฺหหิ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปก’’นฺติอาทีสุ (ขุ. ปา. ๗.๑๒) อุปจิตนฺติ อโตฺถฯ ‘‘เย ฌานปสุตา ธีรา’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๑๘๑) ฌานานุยุตฺตาติ อโตฺถฯ ‘‘ทิฎฺฐํ สุตํ มุต’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๔๑) โสตวิเญฺญยฺยนฺติ อโตฺถฯ ‘‘สุตธโร สุตสนฺนิจโย’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๓๙) โสตทฺวารานุสารวิญฺญาตธโรติ อโตฺถฯ อิธ ปนสฺส โสตทฺวารานุสาเรน ‘‘อุปธาริต’’นฺติ วา ‘‘อุปธารณ’’นฺติ วาติ อโตฺถฯ เม-สทฺทสฺส หิ มยาติ อเตฺถ สติ ‘‘เอวํ มยา สุตํ โสตทฺวารานุสาเรน อุปธาริต’’นฺติ ยุชฺชติฯ มมาติ อเตฺถ สติ ‘‘เอวํ มม สุตํ โสตทฺวารานุสาเรน อุปธารณ’’นฺติ ยุชฺชติฯ
Sutanti ayaṃ suta-saddo saupasaggo ca anupasaggo ca gamana-vissuta-kilinna-upacitānuyoga-sotaviññeyya-sotadvārānusāraviññātādianekatthappabhedo. Tathā hissa ‘‘senāya pasuto’’tiādīsu gacchantoti attho. ‘‘Sutadhammassa passato’’tiādīsu (udā. 11) vissutadhammassāti attho, ‘‘avassutā avassutassāti’’ādīsu (pāci. 657) kilinnā kilinnassāti attho. ‘‘Tumhehi puññaṃ pasutaṃ anappaka’’ntiādīsu (khu. pā. 7.12) upacitanti attho. ‘‘Ye jhānapasutā dhīrā’’tiādīsu (dha. pa. 181) jhānānuyuttāti attho. ‘‘Diṭṭhaṃ sutaṃ muta’’ntiādīsu (ma. ni. 1.241) sotaviññeyyanti attho. ‘‘Sutadharo sutasannicayo’’tiādīsu (ma. ni. 1.339) sotadvārānusāraviññātadharoti attho. Idha panassa sotadvārānusārena ‘‘upadhārita’’nti vā ‘‘upadhāraṇa’’nti vāti attho. Me-saddassa hi mayāti atthe sati ‘‘evaṃ mayā sutaṃ sotadvārānusārena upadhārita’’nti yujjati. Mamāti atthe sati ‘‘evaṃ mama sutaṃ sotadvārānusārena upadhāraṇa’’nti yujjati.
เอวเมเตสุ ตีสุ ปเทสุ เอวนฺติ โสตวิญฺญาณาทิวิญฺญาณกิจฺจนิทสฺสนํฯ เมติ วุตฺตวิญฺญาณสมงฺคิปุคฺคลนิทสฺสนํฯ สุตนฺติ อสฺสวนภาวปฺปฎิเกฺขปโต อนูนานธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสนํฯ ตถา เอวนฺติ ตสฺสา โสตทฺวารานุสาเรน ปวตฺตาย วิญฺญาณวีถิยา นานปฺปกาเรน อารมฺมเณ ปวตฺติภาวปฺปกาสนํฯ เมติ อตฺตปฺปกาสนํฯ สุตนฺติ ธมฺมปฺปกาสนํฯ อยเญฺหตฺถ สเงฺขโป ‘‘นานปฺปกาเรน อารมฺมเณ ปวตฺตาย วิญฺญาณวีถิยา มยา น อญฺญํ กตํ, อิทํ ปน กตํ, อยํ ธโมฺม สุโต’’ติฯ
Evametesu tīsu padesu evanti sotaviññāṇādiviññāṇakiccanidassanaṃ. Meti vuttaviññāṇasamaṅgipuggalanidassanaṃ. Sutanti assavanabhāvappaṭikkhepato anūnānadhikāviparītaggahaṇanidassanaṃ. Tathā evanti tassā sotadvārānusārena pavattāya viññāṇavīthiyā nānappakārena ārammaṇe pavattibhāvappakāsanaṃ. Meti attappakāsanaṃ. Sutanti dhammappakāsanaṃ. Ayañhettha saṅkhepo ‘‘nānappakārena ārammaṇe pavattāya viññāṇavīthiyā mayā na aññaṃ kataṃ, idaṃ pana kataṃ, ayaṃ dhammo suto’’ti.
ตถา เอวนฺติ นิทฺทิสิตพฺพปฺปกาสนํฯ เมติ ปุคฺคลปฺปกาสนํฯ สุตนฺติ ปุคฺคลกิจฺจปฺปกาสนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยํ สุตฺตํ นิทฺทิสิสฺสามิ, ตํ มยา เอวํ สุตนฺติฯ
Tathā evanti niddisitabbappakāsanaṃ. Meti puggalappakāsanaṃ. Sutanti puggalakiccappakāsanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – yaṃ suttaṃ niddisissāmi, taṃ mayā evaṃ sutanti.
ตถา เอวนฺติ ยสฺส จิตฺตสนฺตานสฺส นานาการปฺปวตฺติยา นานตฺถพฺยญฺชนคฺคหณํ โหติ, ตสฺส นานาการนิเทฺทโสฯ เอวนฺติ หิ อยํ อาการปญฺญตฺติ, เมติ กตฺตุนิเทฺทโส, สุตนฺติ วิสยนิเทฺทโสฯ เอตฺตาวตา นานาการปฺปวเตฺตน จิตฺตสนฺตาเนน ตํสมงฺคิโน กตฺตุวิสเย คหณสนฺนิฎฺฐานํ กตํ โหติฯ
Tathā evanti yassa cittasantānassa nānākārappavattiyā nānatthabyañjanaggahaṇaṃ hoti, tassa nānākāraniddeso. Evanti hi ayaṃ ākārapaññatti, meti kattuniddeso, sutanti visayaniddeso. Ettāvatā nānākārappavattena cittasantānena taṃsamaṅgino kattuvisaye gahaṇasanniṭṭhānaṃ kataṃ hoti.
อถ วา เอวนฺติ ปุคฺคลกิจฺจนิเทฺทโสฯ สุตนฺติ วิญฺญาณกิจฺจนิเทฺทโสฯ เมติ อุภยกิจฺจยุตฺตปุคฺคลนิเทฺทโสฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขโป – มยา สวนกิจฺจวิญฺญาณสมงฺคินา ปุคฺคเลน วิญฺญาณวเสน ลทฺธสวนกิจฺจโวหาเรน สุตนฺติฯ
Atha vā evanti puggalakiccaniddeso. Sutanti viññāṇakiccaniddeso. Meti ubhayakiccayuttapuggalaniddeso. Ayaṃ panettha saṅkhepo – mayā savanakiccaviññāṇasamaṅginā puggalena viññāṇavasena laddhasavanakiccavohārena sutanti.
ตตฺถ เอวนฺติ จ เมติ จ สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถวเสน อวิชฺชมานปญฺญตฺติฯ กิเญฺหตฺถ ตํ ปรมตฺถโต อตฺถิ, ยํ เอวนฺติ วา เมติ วา นิเทฺทสํ ลเภถ? สุตนฺติ วิชฺชมานปญฺญตฺติฯ ยญฺหิ ตเมตฺถ โสเตน อุปลทฺธํ, ตํ ปรมตฺถโต วิชฺชมานนฺติฯ
Tattha evanti ca meti ca saccikaṭṭhaparamatthavasena avijjamānapaññatti. Kiñhettha taṃ paramatthato atthi, yaṃ evanti vā meti vā niddesaṃ labhetha? Sutanti vijjamānapaññatti. Yañhi tamettha sotena upaladdhaṃ, taṃ paramatthato vijjamānanti.
ตถา เอวนฺติ จ เมติ จ ตํ ตํ อุปาทาย วตฺตพฺพโต อุปาทาปญฺญตฺติฯ สุตนฺติ ทิฎฺฐาทีนิ อุปนิธาย วตฺตพฺพโต อุปนิธาปญฺญตฺติฯ เอตฺถ จ เอวนฺติ วจเนน อสโมฺมหํ ทีเปติฯ น หิ สมฺมูโฬฺห นานปฺปการปฎิเวธสมโตฺถ โหติฯ สุตนฺติ วจเนน สุตสฺส อสโมฺมสํ ทีเปติฯ ยสฺส หิ สุตํ สมฺมุฎฺฐํ โหติ , น โส กาลนฺตเรน มยา สุตนฺติ ปฎิชานาติฯ อิจฺจสฺส อสโมฺมเหน ปญฺญาสิทฺธิ, อสโมฺมเสน ปน สติสิทฺธิฯ ตตฺถ ปญฺญา ปุพฺพงฺคมาย สติยา พฺยญฺชนาวธารณสมตฺถตา, สติปุพฺพงฺคมาย ปญฺญาย อตฺถปฎิเวธสมตฺถตา, ตทุภยสมตฺถตาโยเคน อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนสฺส ธมฺมโกสสฺส อนุปาลนสมตฺถโต ธมฺมภณฺฑาคาริกตฺตสิทฺธิฯ
Tathā evanti ca meti ca taṃ taṃ upādāya vattabbato upādāpaññatti. Sutanti diṭṭhādīni upanidhāya vattabbato upanidhāpaññatti. Ettha ca evanti vacanena asammohaṃ dīpeti. Na hi sammūḷho nānappakārapaṭivedhasamattho hoti. Sutanti vacanena sutassa asammosaṃ dīpeti. Yassa hi sutaṃ sammuṭṭhaṃ hoti , na so kālantarena mayā sutanti paṭijānāti. Iccassa asammohena paññāsiddhi, asammosena pana satisiddhi. Tattha paññā pubbaṅgamāya satiyā byañjanāvadhāraṇasamatthatā, satipubbaṅgamāya paññāya atthapaṭivedhasamatthatā, tadubhayasamatthatāyogena atthabyañjanasampannassa dhammakosassa anupālanasamatthato dhammabhaṇḍāgārikattasiddhi.
อปโร นโย – เอวนฺติ วจเนน โยนิโส มนสิการํ ทีเปติ, อโยนิโส มนสิกโรโต หิ นานปฺปการปฎิเวธาภาวโตฯ สุตนฺติ วจเนน อวิเกฺขปํ ทีเปติ, วิกฺขิตฺตจิตฺตสฺส สวนาภาวโตฯ ตถา หิ วิกฺขิตฺตจิโตฺต ปุคฺคโล สพฺพสมฺปตฺติยา วุจฺจมาโนปิ ‘‘น มยา สุตํ, ปุน ภณถา’’ติ ภณติฯ โยนิโส มนสิกาเรน เจตฺถ อตฺตสมฺมาปณิธิํ ปุเพฺพ จ กตปุญฺญตํ สาเธติ, สมฺมา อปณิหิตตฺตสฺส ปุเพฺพ อกตปุญฺญสฺส วา ตทภาวโตฯ อวิเกฺขเปน ปน สทฺธมฺมสฺสวนํ สปฺปุริสูปนิสฺสยญฺจ สาเธติฯ น หิ วิกฺขิตฺตจิโตฺต โสตุํ สโกฺกติ, น จ สปฺปุริเส อนุปสฺสยมานสฺส สวนํ อตฺถีติฯ
Aparo nayo – evanti vacanena yoniso manasikāraṃ dīpeti, ayoniso manasikaroto hi nānappakārapaṭivedhābhāvato. Sutanti vacanena avikkhepaṃ dīpeti, vikkhittacittassa savanābhāvato. Tathā hi vikkhittacitto puggalo sabbasampattiyā vuccamānopi ‘‘na mayā sutaṃ, puna bhaṇathā’’ti bhaṇati. Yoniso manasikārena cettha attasammāpaṇidhiṃ pubbe ca katapuññataṃ sādheti, sammā apaṇihitattassa pubbe akatapuññassa vā tadabhāvato. Avikkhepena pana saddhammassavanaṃ sappurisūpanissayañca sādheti. Na hi vikkhittacitto sotuṃ sakkoti, na ca sappurise anupassayamānassa savanaṃ atthīti.
อปโร นโย – ยสฺมา เอวนฺติ ยสฺส จิตฺตสนฺตานสฺส นานาการปฺปวตฺติยา นานตฺถพฺยญฺชนคฺคหณํ โหติ, ตสฺส นานาการนิเทฺทโสติ วุตฺตํฯ โส จ เอวํ ภทฺทโก อากาโร น สมฺมา อปฺปณิหิตตฺตโน ปุเพฺพ อกตปุญฺญสฺส วา โหติ, ตสฺมา เอวนฺติ อิมินา ภทฺทเกน อากาเรน ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสมฺปตฺติํ อตฺตโน ทีเปติ, สุตนฺติ สวนโยเคน ปุริมจกฺกทฺวยสมฺปตฺติํฯ น หิ อปฺปติรูปเทเส วสโต สปฺปุริสูปนิสฺสยวิรหิตสฺส วา สวนํ อตฺถิฯ อิจฺจสฺส ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสิทฺธิยา อาสยสุทฺธิ สิทฺธา โหติฯ ปุริมจกฺกทฺวยสิทฺธิยา ปโยคสุทฺธิฯ ตาย จ อาสยสุทฺธิยา อธิคมพฺยตฺติสิทฺธิ, ปโยคสุทฺธิยา อาคมพฺยตฺติสิทฺธิฯ อิติ ปโยคาสยสุทฺธสฺส อาคมาธิคมสมฺปนฺนสฺส วจนํ อรุณุคฺคํ วิย สูริยสฺส อุทยโต โยนิโสมนสิกาโร วิย จ กุสลกมฺมสฺส อรหติ ภควโต วจนสฺส ปุพฺพงฺคมํ ภวิตุนฺติ ฐาเน นิทานํ ฐเปโนฺต เอวํ เม สุตนฺติอาทิมาหฯ
Aparo nayo – yasmā evanti yassa cittasantānassa nānākārappavattiyā nānatthabyañjanaggahaṇaṃ hoti, tassa nānākāraniddesoti vuttaṃ. So ca evaṃ bhaddako ākāro na sammā appaṇihitattano pubbe akatapuññassa vā hoti, tasmā evanti iminā bhaddakena ākārena pacchimacakkadvayasampattiṃ attano dīpeti, sutanti savanayogena purimacakkadvayasampattiṃ. Na hi appatirūpadese vasato sappurisūpanissayavirahitassa vā savanaṃ atthi. Iccassa pacchimacakkadvayasiddhiyā āsayasuddhi siddhā hoti. Purimacakkadvayasiddhiyā payogasuddhi. Tāya ca āsayasuddhiyā adhigamabyattisiddhi, payogasuddhiyā āgamabyattisiddhi. Iti payogāsayasuddhassa āgamādhigamasampannassa vacanaṃ aruṇuggaṃ viya sūriyassa udayato yonisomanasikāro viya ca kusalakammassa arahati bhagavato vacanassa pubbaṅgamaṃ bhavitunti ṭhāne nidānaṃ ṭhapento evaṃ me sutantiādimāha.
อปโร นโย – เอวนฺติ อิมินา นานปฺปการปฎิเวธทีปเกน วจเนน อตฺตโน อตฺถปฎิภานปฎิสมฺภิทาสมฺปตฺติสพฺภาวํ ทีเปติฯ สุตนฺติ อิมินา โสตพฺพเภทปฎิเวธทีปเกน ธมฺมนิรุตฺติปฎิสมฺภิทาสมฺปตฺติสพฺภาวํ ฯ เอวนฺติ จ อิทํ โยนิโสมนสิการทีปกํ วจนํ ภาสมาโน – ‘‘เอเต มยา ธมฺมา มนสานุเปกฺขิตา ทิฎฺฐิยา สุปฺปฎิวิทฺธา’’ติ ทีเปติฯ สุตนฺติ อิทํ สวนโยคทีปกํ วจนํ ภาสมาโน – ‘‘พหู มยา ธมฺมา สุตา ธาตา วจสา ปริจิตา’’ติ ทีเปติฯ ตทุภเยนปิ อตฺถพฺยญฺชนปาริปูริํ ทีเปโนฺต สวเน อาทรํ ชเนติฯ อตฺถพฺยญฺชนปริปุณฺณญฺหิ ธมฺมํ อาทเรน อสฺสุณโนฺต มหตา หิตา ปริพาหิโร โหตีติ อาทรํ ชเนตฺวา สกฺกจฺจํ ธโมฺม โสตโพฺพติฯ
Aparo nayo – evanti iminā nānappakārapaṭivedhadīpakena vacanena attano atthapaṭibhānapaṭisambhidāsampattisabbhāvaṃ dīpeti. Sutanti iminā sotabbabhedapaṭivedhadīpakena dhammaniruttipaṭisambhidāsampattisabbhāvaṃ . Evanti ca idaṃ yonisomanasikāradīpakaṃ vacanaṃ bhāsamāno – ‘‘ete mayā dhammā manasānupekkhitā diṭṭhiyā suppaṭividdhā’’ti dīpeti. Sutanti idaṃ savanayogadīpakaṃ vacanaṃ bhāsamāno – ‘‘bahū mayā dhammā sutā dhātā vacasā paricitā’’ti dīpeti. Tadubhayenapi atthabyañjanapāripūriṃ dīpento savane ādaraṃ janeti. Atthabyañjanaparipuṇṇañhi dhammaṃ ādarena assuṇanto mahatā hitā paribāhiro hotīti ādaraṃ janetvā sakkaccaṃ dhammo sotabboti.
‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติ อิมินา ปน สกเลน วจเนน อายสฺมา อานโนฺท ตถาคตปฺปเวทิตํ ธมฺมํ อตฺตโน อทหโนฺต อสปฺปุริสภูมิํ อติกฺกมติ, สาวกตฺตํ ปฎิชานโนฺต สปฺปุริสภูมิํ โอกฺกมติฯ ตถา อสทฺธมฺมา จิตฺตํ วุฎฺฐาเปติ, สทฺธเมฺม จิตฺตํ ปติฎฺฐาเปติฯ ‘‘เกวลํ สุตเมเวตํ มยา ตเสฺสว ปน ภควโต วจน’’นฺติ ทีเปโนฺต อตฺตานํ ปริโมเจติ, สตฺถารํ อปทิสติ, ชินวจนํ อเปฺปติ, ธมฺมเนตฺติํ ปติฎฺฐาเปติฯ
‘‘Evaṃ me suta’’nti iminā pana sakalena vacanena āyasmā ānando tathāgatappaveditaṃ dhammaṃ attano adahanto asappurisabhūmiṃ atikkamati, sāvakattaṃ paṭijānanto sappurisabhūmiṃ okkamati. Tathā asaddhammā cittaṃ vuṭṭhāpeti, saddhamme cittaṃ patiṭṭhāpeti. ‘‘Kevalaṃ sutamevetaṃ mayā tasseva pana bhagavato vacana’’nti dīpento attānaṃ parimoceti, satthāraṃ apadisati, jinavacanaṃ appeti, dhammanettiṃ patiṭṭhāpeti.
อปิจ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติ อตฺตนา อุปฺปาทิตภาวํ อปฺปฎิชานโนฺต ปุริมวจนํ วิวรโนฺต ‘‘สมฺมุขา ปฎิคฺคหิตมิทํ มยา ตสฺส ภควโต จตุเวสารชฺชวิสารทสฺส ทสพลธรสฺส อาสภฎฺฐานฎฺฐายิโน สีหนาทนาทิโน สพฺพสตฺตุตฺตมสฺส ธมฺมิสฺสรสฺส ธมฺมราชสฺส ธมฺมาธิปติโน ธมฺมทีปสฺส ธมฺมสรณสฺส สทฺธมฺมวรจกฺกวตฺติโน สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส วจนํ, น เอตฺถ อเตฺถ วา ธเมฺม วา ปเท วา พฺยญฺชเน วา กงฺขา วา วิมติ วา กตฺตพฺพา’’ติ สพฺพเทวมนุสฺสานํ อิมสฺมิํ ธเมฺม อสฺสทฺธิยํ วินาเสติ, สทฺธาสมฺปทํ อุปฺปาเทตีติฯ เตเนตํ วุจฺจติ –
Apica ‘‘evaṃ me suta’’nti attanā uppāditabhāvaṃ appaṭijānanto purimavacanaṃ vivaranto ‘‘sammukhā paṭiggahitamidaṃ mayā tassa bhagavato catuvesārajjavisāradassa dasabaladharassa āsabhaṭṭhānaṭṭhāyino sīhanādanādino sabbasattuttamassa dhammissarassa dhammarājassa dhammādhipatino dhammadīpassa dhammasaraṇassa saddhammavaracakkavattino sammāsambuddhassa vacanaṃ, na ettha atthe vā dhamme vā pade vā byañjane vā kaṅkhā vā vimati vā kattabbā’’ti sabbadevamanussānaṃ imasmiṃ dhamme assaddhiyaṃ vināseti, saddhāsampadaṃ uppādetīti. Tenetaṃ vuccati –
‘‘วินาสยติ อสฺสทฺธํ, สทฺธํ วเฑฺฒติ สาสเน;
‘‘Vināsayati assaddhaṃ, saddhaṃ vaḍḍheti sāsane;
เอวํ เม สุตมิเจฺจวํ, วทํ โคตมสาวโก’’ติฯ
Evaṃ me sutamiccevaṃ, vadaṃ gotamasāvako’’ti.
เอกนฺติ คณนปริเจฺฉทนิเทฺทโสฯ สมยนฺติ ปริจฺฉินฺนนิเทฺทโสฯ เอกํ สมยนฺติ อนิยมิตปริทีปนํฯ ตตฺถ สมยสโทฺท –
Ekanti gaṇanaparicchedaniddeso. Samayanti paricchinnaniddeso. Ekaṃ samayanti aniyamitaparidīpanaṃ. Tattha samayasaddo –
สมวาเย ขเณ กาเล, สมูเห เหตุทิฎฺฐิสุ;
Samavāye khaṇe kāle, samūhe hetudiṭṭhisu;
ปฎิลาเภ ปหาเน จ, ปฎิเวเธ จ ทิสฺสติฯ
Paṭilābhe pahāne ca, paṭivedhe ca dissati.
ตถา หิสฺส ‘‘อเปฺปว นาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยาม กาลญฺจ สมยญฺจ อุปาทายา’’ติ เอวมาทีสุ (ที. นิ. ๑.๔๔๗) สมวาโย อโตฺถฯ ‘‘เอโกว โข, ภิกฺขเว, ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสายา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๘.๒๙) ขโณฯ ‘‘อุณฺหสมโย ปริฬาหสมโย’’ติอาทีสุ (ปาจิ. ๓๕๘) กาโลฯ ‘‘มหาสมโย ปวนสฺมิ’’นฺติอาทีสุ สมูโหฯ ‘‘สมโยปิ โข เต, ภทฺทาลิ, อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสิ, ภควา โข สาวตฺถิยํ วิหรติ, ภควาปิ มํ ชานิสฺสติ, ‘ภทฺทาลิ, นาม ภิกฺขุ สตฺถุสาสเน สิกฺขาย น ปริปูรการี’ติ, อยมฺปิ โข เต, ภทฺทาลิ, สมโย อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๑๓๕) เหตุ ฯ ‘‘เตน โข ปน สมเยน อุคฺคาหมาโน ปริพฺพาชโก สมณมุณฺฑิกาปุโตฺต สมยปฺปวาทเก ตินฺทุกาจีเร เอกสาลเก มลฺลิกาย อาราเม ปฎิวสตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๒๖๐) ทิฎฺฐิฯ
Tathā hissa ‘‘appeva nāma svepi upasaṅkameyyāma kālañca samayañca upādāyā’’ti evamādīsu (dī. ni. 1.447) samavāyo attho. ‘‘Ekova kho, bhikkhave, khaṇo ca samayo ca brahmacariyavāsāyā’’tiādīsu (a. ni. 8.29) khaṇo. ‘‘Uṇhasamayo pariḷāhasamayo’’tiādīsu (pāci. 358) kālo. ‘‘Mahāsamayo pavanasmi’’ntiādīsu samūho. ‘‘Samayopi kho te, bhaddāli, appaṭividdho ahosi, bhagavā kho sāvatthiyaṃ viharati, bhagavāpi maṃ jānissati, ‘bhaddāli, nāma bhikkhu satthusāsane sikkhāya na paripūrakārī’ti, ayampi kho te, bhaddāli, samayo appaṭividdho ahosī’’tiādīsu (ma. ni. 2.135) hetu . ‘‘Tena kho pana samayena uggāhamāno paribbājako samaṇamuṇḍikāputto samayappavādake tindukācīre ekasālake mallikāya ārāme paṭivasatī’’tiādīsu (ma. ni. 2.260) diṭṭhi.
‘‘ทิเฎฺฐ ธเมฺม จ โย อโตฺถ, โย จโตฺถ สมฺปรายิโก;
‘‘Diṭṭhe dhamme ca yo attho, yo cattho samparāyiko;
อตฺถาภิสมยา ธีโร, ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจตี’’ติฯ –
Atthābhisamayā dhīro, paṇḍitoti pavuccatī’’ti. –
อาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๒๙) ปฎิลาโภฯ ‘‘สมฺมา มานาภิสมยา อนฺตมกาสิ ทุกฺขสฺสา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๔) ปหานํฯ ‘‘ทุกฺขสฺส ปีฬนโฎฺฐ สงฺขตโฎฺฐ สนฺตาปโฎฺฐ วิปริณามโฎฺฐ อภิสมยโฎฺฐ’’ติอาทีสุ (ปฎิ. ม. ๓.๑) ปฎิเวโธฯ อิธ ปนสฺส กาโล อโตฺถฯ เตน สํวจฺฉร-อุตุ-มาสฑฺฒมาส-รตฺติ-ทิว-ปุพฺพณฺห-มชฺฌนฺหิก-สายนฺห- ปฐมมชฺฌิมปจฺฉิมยาม-มุหุตฺตาทีสุ กาลปฺปเภทภูเตสุ สมเยสุ เอกํ สมยนฺติ ทีเปติฯ
Ādīsu (saṃ. ni. 1.129) paṭilābho. ‘‘Sammā mānābhisamayā antamakāsi dukkhassā’’tiādīsu (ma. ni. 1.24) pahānaṃ. ‘‘Dukkhassa pīḷanaṭṭho saṅkhataṭṭho santāpaṭṭho vipariṇāmaṭṭho abhisamayaṭṭho’’tiādīsu (paṭi. ma. 3.1) paṭivedho. Idha panassa kālo attho. Tena saṃvacchara-utu-māsaḍḍhamāsa-ratti-diva-pubbaṇha-majjhanhika-sāyanha- paṭhamamajjhimapacchimayāma-muhuttādīsu kālappabhedabhūtesu samayesu ekaṃ samayanti dīpeti.
ตตฺถ กิญฺจาปิ เอเตสุ สํวจฺฉราทีสุ สมเยสุ ยํ ยํ สุตฺตํ ยมฺหิ ยมฺหิ สํวจฺฉเร อุตุมฺหิ มาเส ปเกฺข รตฺติภาเค ทิวสภาเค วา วุตฺตํ, สพฺพํ ตํ เถรสฺส สุวิทิตํ สุววตฺถาปิตํ ปญฺญายฯ ยสฺมา ปน ‘‘เอวํ เม สุตํ อสุกสํวจฺฉเร อสุกอุตุมฺหิ อสุกมาเส อสุกปเกฺข อสุกรตฺติภาเค อสุกทิวสภาเค วา’’ติ เอวํ วุเตฺต น สกฺกา สุเขน ธาเรตุํ วา อุทฺทิสิตุํ วา อุทฺทิสาเปตุํ วา, พหุ จ วตฺตพฺพํ โหติ, ตสฺมา เอเกเนว ปเทน ตมตฺถํ สโมธาเนตฺวา ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ อาหฯ
Tattha kiñcāpi etesu saṃvaccharādīsu samayesu yaṃ yaṃ suttaṃ yamhi yamhi saṃvacchare utumhi māse pakkhe rattibhāge divasabhāge vā vuttaṃ, sabbaṃ taṃ therassa suviditaṃ suvavatthāpitaṃ paññāya. Yasmā pana ‘‘evaṃ me sutaṃ asukasaṃvacchare asukautumhi asukamāse asukapakkhe asukarattibhāge asukadivasabhāge vā’’ti evaṃ vutte na sakkā sukhena dhāretuṃ vā uddisituṃ vā uddisāpetuṃ vā, bahu ca vattabbaṃ hoti, tasmā ekeneva padena tamatthaṃ samodhānetvā ‘‘ekaṃ samaya’’nti āha.
เย วา อิเม คโพฺภกฺกนฺติสมโย ชาติสมโย สํเวคสมโย อภินิกฺขมนสมโย ทุกฺกรการิกสมโย มารวิชยสมโย อภิสโมฺพธิสมโย ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารสมโย เทสนาสมโย ปรินิพฺพานสมโยติ เอวมาทโย ภควโต เทวมนุเสฺสสุ อติวิย สุปฺปกาสา อเนกกาลปฺปเภทา เอว สมยา, เตสุ สมเยสุ เทสนาสมยสงฺขาตํ เอกํ สมยนฺติ ทีเปติฯ โย จายํ ญาณกรุณากิจฺจสมเยสุ อรุณากิจฺจสมโย, อตฺตหิตปรหิตปฎิปตฺติสมเยสุ ปรหิตปฎิปตฺติสมโย, สนฺนิปติตานํ กรณียทฺวยสมเยสุ ธมฺมิกถาสมโย, เทสนาปฎิปตฺติสมเยสุ เทสนาสมโย, เตสุปิ สมเยสุ อญฺญตรํ สนฺธาย ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ อาหฯ
Ye vā ime gabbhokkantisamayo jātisamayo saṃvegasamayo abhinikkhamanasamayo dukkarakārikasamayo māravijayasamayo abhisambodhisamayo diṭṭhadhammasukhavihārasamayo desanāsamayo parinibbānasamayoti evamādayo bhagavato devamanussesu ativiya suppakāsā anekakālappabhedā eva samayā, tesu samayesu desanāsamayasaṅkhātaṃ ekaṃ samayanti dīpeti. Yo cāyaṃ ñāṇakaruṇākiccasamayesu aruṇākiccasamayo, attahitaparahitapaṭipattisamayesu parahitapaṭipattisamayo, sannipatitānaṃ karaṇīyadvayasamayesu dhammikathāsamayo, desanāpaṭipattisamayesu desanāsamayo, tesupi samayesu aññataraṃ sandhāya ‘‘ekaṃ samaya’’nti āha.
กสฺมา ปเนตฺถ ยถา อภิธเมฺม ‘‘ยสฺมิํ สมเย กามาวจร’’นฺติ จ อิโต อเญฺญสุ สุตฺตปเทสุ ‘‘ยสฺมิํ สมเย, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหี’’ติ จ ภุมฺมวจเนน นิเทฺทโส กโต, วินเย จ ‘‘เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา’’ติ กรณวจเนน, ตถา อกตฺวา ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ อุปโยควจนนิเทฺทโส กโตติฯ ตตฺถ ตถา อิธ จ อญฺญถา อตฺถสมฺภวโตฯ ตตฺถ หิ อภิธเมฺม อิโต อเญฺญสุ สุตฺตปเทสุ จ อธิกรณโตฺถ ภาเวนภาวลกฺขณโตฺถ จ สมฺภวติฯ อธิกรณญฺหิ กาลโตฺถ จ สมูหโตฺถ จ สมโย, ตตฺถ วุตฺตานํ ผสฺสาทิธมฺมานํ ขณสมวายเหตุสงฺขาตสฺส จ สมยสฺส ภาเวน เตสํ ภาโว ลกฺขียติ, ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ ตตฺถ ภุมฺมวจนนิเทฺทโส กโตฯ
Kasmā panettha yathā abhidhamme ‘‘yasmiṃ samaye kāmāvacara’’nti ca ito aññesu suttapadesu ‘‘yasmiṃ samaye, bhikkhave, bhikkhu vivicceva kāmehī’’ti ca bhummavacanena niddeso kato, vinaye ca ‘‘tena samayena buddho bhagavā’’ti karaṇavacanena, tathā akatvā ‘‘ekaṃ samaya’’nti upayogavacananiddeso katoti. Tattha tathā idha ca aññathā atthasambhavato. Tattha hi abhidhamme ito aññesu suttapadesu ca adhikaraṇattho bhāvenabhāvalakkhaṇattho ca sambhavati. Adhikaraṇañhi kālattho ca samūhattho ca samayo, tattha vuttānaṃ phassādidhammānaṃ khaṇasamavāyahetusaṅkhātassa ca samayassa bhāvena tesaṃ bhāvo lakkhīyati, tasmā tadatthajotanatthaṃ tattha bhummavacananiddeso kato.
วินเย จ เหตุอโตฺถ กรณโตฺถ จ สมฺภวติฯ โย หิ โส สิกฺขาปทปญฺญตฺติสมโย สาริปุตฺตาทีหิปิ ทุพฺพิเญฺญโยฺย, เตน สมเยน เหตุภูเตน กรณภูเตน จ สิกฺขาปทานิ ปญฺญาปยโนฺต สิกฺขาปทปญฺญตฺติเหตุญฺจ อเปกฺขมาโน ภควา ตตฺถ ตตฺถ วิหาสิ, ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ ตตฺถ กรณวจเนน นิเทฺทโส กโตฯ
Vinaye ca hetuattho karaṇattho ca sambhavati. Yo hi so sikkhāpadapaññattisamayo sāriputtādīhipi dubbiññeyyo, tena samayena hetubhūtena karaṇabhūtena ca sikkhāpadāni paññāpayanto sikkhāpadapaññattihetuñca apekkhamāno bhagavā tattha tattha vihāsi, tasmā tadatthajotanatthaṃ tattha karaṇavacanena niddeso kato.
อิธ ปน อญฺญสฺมิญฺจ เอวํชาติเก อจฺจนฺตสํโยคโตฺถ สมฺภวติฯ ยญฺหิ สมยํ ภควา อิมํ อญฺญํ วา สุตฺตนฺตํ เทเสสิ, อจฺจนฺตเมว ตํ สมยํ กรุณาวิหาเรน วิหาสิ, ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ อิธ อุปโยควจนนิเทฺทโส กโตติฯ
Idha pana aññasmiñca evaṃjātike accantasaṃyogattho sambhavati. Yañhi samayaṃ bhagavā imaṃ aññaṃ vā suttantaṃ desesi, accantameva taṃ samayaṃ karuṇāvihārena vihāsi, tasmā tadatthajotanatthaṃ idha upayogavacananiddeso katoti.
เตเนตํ วุจฺจติ –
Tenetaṃ vuccati –
‘‘ตํ ตํ อตฺถมเปกฺขิตฺวา, ภุเมฺมน กรเณน จ;
‘‘Taṃ taṃ atthamapekkhitvā, bhummena karaṇena ca;
อญฺญตฺร สมโย วุโตฺต, อุปโยเคน โส อิธา’’ติฯ
Aññatra samayo vutto, upayogena so idhā’’ti.
โปราณา ปน วณฺณยนฺติ – ‘‘ตสฺมิํ สมเย’’ติ วา – ‘‘เตน สมเยนา’’ติ วา – ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ วา อภิลาปมตฺตเภโท เอส, สพฺพตฺถ ภุมฺมเมว อโตฺถติฯ ตสฺมา ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ วุเตฺตปิ ‘‘เอกสฺมิํ สมเย’’ติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Porāṇā pana vaṇṇayanti – ‘‘tasmiṃ samaye’’ti vā – ‘‘tena samayenā’’ti vā – ‘‘ekaṃ samaya’’nti vā abhilāpamattabhedo esa, sabbattha bhummameva atthoti. Tasmā ‘‘ekaṃ samaya’’nti vuttepi ‘‘ekasmiṃ samaye’’ti attho veditabbo.
ภควาติ ครุฯ ครุญฺหิ โลเก ‘‘ภควา’’ติ วทนฺติฯ อยญฺจ สพฺพคุณวิสิฎฺฐตาย สพฺพสตฺตานํ ครุ, ตสฺมา ‘‘ภควา’’ติ เวทิตโพฺพฯ โปราเณหิปิ วุตฺตํ –
Bhagavāti garu. Garuñhi loke ‘‘bhagavā’’ti vadanti. Ayañca sabbaguṇavisiṭṭhatāya sabbasattānaṃ garu, tasmā ‘‘bhagavā’’ti veditabbo. Porāṇehipi vuttaṃ –
‘‘ภควาติ วจนํ เสฎฺฐํ, ภควาติ วจนมุตฺตมํ;
‘‘Bhagavāti vacanaṃ seṭṭhaṃ, bhagavāti vacanamuttamaṃ;
ครุคารวยุโตฺต โส, ภควา เตน วุจฺจตี’’ติฯ
Garugāravayutto so, bhagavā tena vuccatī’’ti.
อปิจ –
Apica –
‘‘ภาคฺยวา ภคฺควา ยุโตฺต, ภเคหิ จ วิภตฺตวา;
‘‘Bhāgyavā bhaggavā yutto, bhagehi ca vibhattavā;
ภตฺตวา วนฺตคมโน, ภเวสุ ภควา ตโต’’ติฯ –
Bhattavā vantagamano, bhavesu bhagavā tato’’ti. –
อิมิสฺสา คาถาย วเสนสฺส ปทสฺส วิตฺถารโต อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ โส จ วิสุทฺธิมเคฺค พุทฺธานุสฺสตินิเทฺทเส วุโตฺตเยวฯ
Imissā gāthāya vasenassa padassa vitthārato attho veditabbo. So ca visuddhimagge buddhānussatiniddese vuttoyeva.
เอตฺตาวตา เจตฺถ เอวํ เม สุตนฺติ วจเนน ยถาสุตํ ธมฺมํ ทเสฺสโนฺต ภควโต ธมฺมสรีรํ ปจฺจกฺขํ กโรติฯ เตน – ‘‘นยิทํ อติกฺกนฺตสตฺถุกํ ปาวจนํ, อยํ โว สตฺถา’’ติ สตฺถุ อทสฺสเนน อุกฺกณฺฐิตํ ชนํ สมสฺสาเสติฯ
Ettāvatā cettha evaṃ me sutanti vacanena yathāsutaṃ dhammaṃ dassento bhagavato dhammasarīraṃ paccakkhaṃ karoti. Tena – ‘‘nayidaṃ atikkantasatthukaṃ pāvacanaṃ, ayaṃ vo satthā’’ti satthu adassanena ukkaṇṭhitaṃ janaṃ samassāseti.
เอกํ สมยํ ภควาติ วจเนน ตสฺมิํ สมเย ภควโต อวิชฺชมานภาวํ ทเสฺสโนฺต รูปกายปรินิพฺพานํ สาเธติฯ เตน ‘‘เอวํวิธสฺส นาม อริยธมฺมสฺส เทสโก ทสพลธโร วชิรสงฺฆาตสมานกาโย, โสปิ ภควา ปรินิพฺพุโต, เกน อเญฺญน ชีวิเต อาสา ชเนตพฺพา’’ติ ชีวิตมทมตฺตํ ชนํ สํเวเชติ, สทฺธเมฺม จสฺส อุสฺสาหํ ชเนติฯ
Ekaṃ samayaṃ bhagavāti vacanena tasmiṃ samaye bhagavato avijjamānabhāvaṃ dassento rūpakāyaparinibbānaṃ sādheti. Tena ‘‘evaṃvidhassa nāma ariyadhammassa desako dasabaladharo vajirasaṅghātasamānakāyo, sopi bhagavā parinibbuto, kena aññena jīvite āsā janetabbā’’ti jīvitamadamattaṃ janaṃ saṃvejeti, saddhamme cassa ussāhaṃ janeti.
เอวนฺติ จ ภณโนฺต เทสนาสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติฯ เม สุตนฺติ สาวกสมฺปตฺติํฯ เอกํ สมยนฺติ กาลสมฺปตฺติํฯ ภควาติ เทสกสมฺปตฺติํฯ
Evanti ca bhaṇanto desanāsampattiṃ niddisati. Me sutanti sāvakasampattiṃ. Ekaṃ samayanti kālasampattiṃ. Bhagavāti desakasampattiṃ.
อุกฺกฎฺฐายํ วิหรตีติ เอตฺถ อุกฺกาติ ทีปิกา, ตญฺจ นครํ ‘‘มงฺคลทิวโส สุขโณ สุนกฺขตฺตํ มา อติกฺกมี’’ติ รตฺติมฺปิ อุกฺกาสุ ฐิตาสุ มาปิตตฺตา อุกฺกฎฺฐาติ วุจฺจติฯ ทณฺฑทีปิกาสุ ชาเลตฺวา ธารียมานาสุ มาปิตตฺตาติ วุตฺตํ โหติ, ตสฺสํ อุกฺกฎฺฐายํฯ สมีปเตฺถ เจตํ ภุมฺมวจนํฯ วิหรตีติ อวิเสเสน อิริยาปถทิพฺพพฺรหฺมอริยวิหาเรสุ อญฺญตรวิหารสมงฺคิปริทีปนเมตํฯ อิธ ปน ฐานคมนนิสินฺนสยนปฺปเภเทสุ ริยาปเถสุ อญฺญตรอิริยาปถสมาโยคปริทีปนํฯ เตน ฐิโตปิ คจฺฉโนฺตปิ นิสิโนฺนปิ สยาโนปิ ภควา วิหรติเจฺจว เวทิตโพฺพฯ โส หิ ภควา เอกํ อิริยาปถพาธนํ อเญฺญน อิริยาปเถน วิจฺฉินฺทิตฺวา อปริปตนฺตํ อตฺตภาวํ หรติ ปวเตฺตติ, ตสฺมา วิหรตีติ วุจฺจติฯ
Ukkaṭṭhāyaṃ viharatīti ettha ukkāti dīpikā, tañca nagaraṃ ‘‘maṅgaladivaso sukhaṇo sunakkhattaṃ mā atikkamī’’ti rattimpi ukkāsu ṭhitāsu māpitattā ukkaṭṭhāti vuccati. Daṇḍadīpikāsu jāletvā dhārīyamānāsu māpitattāti vuttaṃ hoti, tassaṃ ukkaṭṭhāyaṃ. Samīpatthe cetaṃ bhummavacanaṃ. Viharatīti avisesena iriyāpathadibbabrahmaariyavihāresu aññataravihārasamaṅgiparidīpanametaṃ. Idha pana ṭhānagamananisinnasayanappabhedesu riyāpathesu aññatarairiyāpathasamāyogaparidīpanaṃ. Tena ṭhitopi gacchantopi nisinnopi sayānopi bhagavā viharaticceva veditabbo. So hi bhagavā ekaṃ iriyāpathabādhanaṃ aññena iriyāpathena vicchinditvā aparipatantaṃ attabhāvaṃ harati pavatteti, tasmā viharatīti vuccati.
สุภควเนติ เอตฺถ สุภคตฺตา สุภคํ, สุนฺทรสิริกตฺตา สุนฺทรกามตฺตา จาติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺส หิ วนสฺส สิริสมฺปตฺติยา มนุสฺสา อนฺนปานาทีนิ อาทาย ทิวสํ ตเตฺถว ฉณสมชฺชอุสฺสเว กโรนฺตา โภคสุขํ อนุโภนฺติ, สุนฺทรสุนฺทเร เจตฺถ กาเม ปเตฺถนฺติ ‘‘ปุตฺตํ ลภาม, ธีตรํ ลภามา’’ติ, เตสํ ตํ ตเถว โหติ, เอวํ ตํ สุนฺทรสิริกตฺตา สุนฺทรกามตฺตา จ สุภคํฯ อปิจ พหุชนกนฺตตายปิ สุภคํฯ วนยตีติ วนํ, อตฺตสมฺปทาย สตฺตานํ ภตฺติํ กาเรติ, อตฺตนิ สิเนหํ อุปฺปาเทตีติ อโตฺถฯ วนุเต อิติ วา วนํ, นานาวิธกุสุม-คนฺธสโมฺมทมตฺตโกกิลาทิวิหงฺคมาภิรุเตหิ มนฺทมาลุตจลิตรุกฺขสาขาวิฎปปลฺลวปลาเสหิ จ ‘‘เอถ มํ ปริภุญฺชถา’’ติ สพฺพปาณิโน ยาจติ วิยาติ อโตฺถฯ สุภคญฺจ ตํ วนญฺจาติ สุภควนํฯ ตสฺมิํ สุภควเนฯ วนญฺจ นาม โรปิมํ, สยํชาตนฺติ ทุวิธํฯ ตตฺถ เวฬุวนเชตวนาทีนิ โรปิมานิฯ อนฺธวนมหาวนอญฺชนวนาทีนิ สยํ ชาตานิฯ อิทมฺปิ สยํชาตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Subhagavaneti ettha subhagattā subhagaṃ, sundarasirikattā sundarakāmattā cāti vuttaṃ hoti. Tassa hi vanassa sirisampattiyā manussā annapānādīni ādāya divasaṃ tattheva chaṇasamajjaussave karontā bhogasukhaṃ anubhonti, sundarasundare cettha kāme patthenti ‘‘puttaṃ labhāma, dhītaraṃ labhāmā’’ti, tesaṃ taṃ tatheva hoti, evaṃ taṃ sundarasirikattā sundarakāmattā ca subhagaṃ. Apica bahujanakantatāyapi subhagaṃ. Vanayatīti vanaṃ, attasampadāya sattānaṃ bhattiṃ kāreti, attani sinehaṃ uppādetīti attho. Vanute iti vā vanaṃ, nānāvidhakusuma-gandhasammodamattakokilādivihaṅgamābhirutehi mandamālutacalitarukkhasākhāviṭapapallavapalāsehi ca ‘‘etha maṃ paribhuñjathā’’ti sabbapāṇino yācati viyāti attho. Subhagañca taṃ vanañcāti subhagavanaṃ. Tasmiṃ subhagavane. Vanañca nāma ropimaṃ, sayaṃjātanti duvidhaṃ. Tattha veḷuvanajetavanādīni ropimāni. Andhavanamahāvanaañjanavanādīni sayaṃ jātāni. Idampi sayaṃjātanti veditabbaṃ.
สาลราชมูเลติ เอตฺถ สาลรุโกฺขปิ สาโลติ วุจฺจติฯ ยถาห ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, คามสฺส วา นิคมสฺส วา อวิทูเร มหนฺตํ สาลวนํ, ตญฺจสฺส เอฬเณฺฑหิ สญฺฉนฺน’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๒๒๕) ‘‘อนฺตเรน ยมกสาลาน’’นฺติ จ (ที. นิ. ๒.๑๙๕) วนปฺปติเชฎฺฐกรุโกฺขปิฯ ยถาห –
Sālarājamūleti ettha sālarukkhopi sāloti vuccati. Yathāha ‘‘seyyathāpi, bhikkhave, gāmassa vā nigamassa vā avidūre mahantaṃ sālavanaṃ, tañcassa eḷaṇḍehi sañchanna’’nti (ma. ni. 1.225) ‘‘antarena yamakasālāna’’nti ca (dī. ni. 2.195) vanappatijeṭṭhakarukkhopi. Yathāha –
‘‘ตเวว เทว วิชิเต, ตเววุยฺยานภูมิยา;
‘‘Taveva deva vijite, tavevuyyānabhūmiyā;
อุชุวํสา มหาสาลา, นีโลภาสา มโนรมา’’ติฯ (ชา. ๒.๑๙.๔);
Ujuvaṃsā mahāsālā, nīlobhāsā manoramā’’ti. (jā. 2.19.4);
โย โกจิ รุโกฺขปิฯ ยถาห ‘‘อถ โข ตํ, ภิกฺขเว, มาลุวพีชํ อญฺญตรสฺมิํ สาลมูเล นิปเตยฺยา’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๖๙)ฯ อิธ ปน วนปฺปติเชฎฺฐกรุโกฺข อธิเปฺปโตฯ ราชสโทฺท ปนสฺส ตเมว เชฎฺฐกภาวํ สาเธติฯ ยถาห ‘‘สุปฺปติฎฺฐิตสฺส โข พฺราหฺมณ ธมฺมิก นิโคฺรธราชสฺสา’’ติ (อ. นิ. ๖.๕๔)ฯ ตตฺถ เทฺวธา สมาโส, สาลานํ ราชาติปิ สาลราชา, สาโล จ โส เชฎฺฐกเฎฺฐน ราชา จ อิติปิ สาลราชาฯ มูลนฺติ สมีปํฯ อยญฺหิ มูลสโทฺท, ‘‘มูลานิ อุทฺธเรยฺย, อนฺตมโส อุสิรนาฬิมตฺตานิปี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๑๙๕) มูลมูเล ทิสฺสติฯ ‘‘โลโภ อกุสลมูล’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๓๐๕) อสาธารณเหตุมฺหิฯ ‘‘ยาว มชฺฌนฺหิเก กาเล ฉายา ผรติ, นิวาเต ปณฺณานิ ปตนฺติ, เอตฺตาวตา รุกฺขมูล’’นฺติอาทีสุ สมีเปฯ อิธ ปน สมีเป อธิเปฺปโต, ตสฺมา สาลราชสฺส สมีเปติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Yo koci rukkhopi. Yathāha ‘‘atha kho taṃ, bhikkhave, māluvabījaṃ aññatarasmiṃ sālamūle nipateyyā’’ti (ma. ni. 1.469). Idha pana vanappatijeṭṭhakarukkho adhippeto. Rājasaddo panassa tameva jeṭṭhakabhāvaṃ sādheti. Yathāha ‘‘suppatiṭṭhitassa kho brāhmaṇa dhammika nigrodharājassā’’ti (a. ni. 6.54). Tattha dvedhā samāso, sālānaṃ rājātipi sālarājā, sālo ca so jeṭṭhakaṭṭhena rājā ca itipi sālarājā. Mūlanti samīpaṃ. Ayañhi mūlasaddo, ‘‘mūlāni uddhareyya, antamaso usiranāḷimattānipī’’tiādīsu (a. ni. 4.195) mūlamūle dissati. ‘‘Lobho akusalamūla’’ntiādīsu (dī. ni. 3.305) asādhāraṇahetumhi. ‘‘Yāva majjhanhike kāle chāyā pharati, nivāte paṇṇāni patanti, ettāvatā rukkhamūla’’ntiādīsu samīpe. Idha pana samīpe adhippeto, tasmā sālarājassa samīpeti evamettha attho daṭṭhabbo.
ตตฺถ สิยา – ยทิ ตาว ภควา อุกฺกฎฺฐายํ วิหรติ, ‘‘สุภควเน สาลราชมูเล’’ติ น วตฺตพฺพํ, อถ ตตฺถ วิหรติ, ‘‘อุกฺกฎฺฐาย’’นฺติ น วตฺตพฺพํ, น หิ สกฺกา อุภยตฺถ เอกํ สมยํ วิหริตุนฺติฯ น โข ปเนตํ เอวํ ทฎฺฐพฺพํฯ
Tattha siyā – yadi tāva bhagavā ukkaṭṭhāyaṃ viharati, ‘‘subhagavane sālarājamūle’’ti na vattabbaṃ, atha tattha viharati, ‘‘ukkaṭṭhāya’’nti na vattabbaṃ, na hi sakkā ubhayattha ekaṃ samayaṃ viharitunti. Na kho panetaṃ evaṃ daṭṭhabbaṃ.
นนุ อโวจุมฺห ‘‘สมีปเตฺถ เจตํ ภุมฺมวจน’’นฺติฯ ตสฺมา ยถา คงฺคายมุนาทีนํ สมีเป โคยูถานิ จรนฺตานิ ‘‘คงฺคาย จรนฺติ, ยมุนาย จรนฺตี’’ติ วุจฺจนฺติ, เอวมิธาปิ ยทิทํ อุกฺกฎฺฐาย สมีเป สุภควนํ สาลราชมูลํ, ตตฺถ วิหรโนฺต วุจฺจติ ‘‘อุกฺกฎฺฐายํ วิหรติ สุภควเน สาลราชมูเล’’ติฯ โคจรคามนิทสฺสนตฺถญฺหิสฺส อุกฺกฎฺฐาวจนํ, ปพฺพชิตานุรูปนิวาสฎฺฐานนิทสฺสนตฺถํ เสสวจนํฯ
Nanu avocumha ‘‘samīpatthe cetaṃ bhummavacana’’nti. Tasmā yathā gaṅgāyamunādīnaṃ samīpe goyūthāni carantāni ‘‘gaṅgāya caranti, yamunāya carantī’’ti vuccanti, evamidhāpi yadidaṃ ukkaṭṭhāya samīpe subhagavanaṃ sālarājamūlaṃ, tattha viharanto vuccati ‘‘ukkaṭṭhāyaṃ viharati subhagavane sālarājamūle’’ti. Gocaragāmanidassanatthañhissa ukkaṭṭhāvacanaṃ, pabbajitānurūpanivāsaṭṭhānanidassanatthaṃ sesavacanaṃ.
ตตฺถ อุกฺกฎฺฐากิตฺตเนน อายสฺมา อานโนฺท ภควโต คหฎฺฐานุคฺคหกรณํ ทเสฺสติ, สุภควนาทิกิตฺตเนน ปพฺพชิตานุคฺคหกรณํฯ ตถา ปุริเมน ปจฺจยคฺคหณโต อตฺตกิลมถานุโยควิวชฺชนํ, ปจฺฉิเมน วตฺถุกามปฺปหานโต กามสุขลฺลิกานุโยควิวชฺชนุปายทสฺสนํฯ ปุริเมน จ ธมฺมเทสนาภิโยคํ, ปจฺฉิเมน วิเวกาธิมุตฺติํฯ ปุริเมน กรุณาย อุปคมนํ, ปจฺฉิเมน ปญฺญาย อปคมนํฯ ปุริเมน สตฺตานํ หิตสุขนิปฺผาทนาธิมุตฺตตํ, ปจฺฉิเมน ปรหิตสุขกรเณ นิรุปเลปนํฯ ปุริเมน ธมฺมิกสุขาปริจฺจาคนิมิตฺตํ ผาสุวิหารํ, ปจฺฉิเมน อุตฺตริมนุสฺสธมฺมานุโยคนิมิตฺตํ ฯ ปุริเมน มนุสฺสานํ อุปการพหุลตํ, ปจฺฉิเมน เทวานํฯ ปุริเมน โลเก ชาตสฺส โลเก สํวฑฺฒภาวํ, ปจฺฉิเมน โลเกน อนุปลิตฺตตํฯ ปุริเมน ‘‘เอกปุคฺคโล, ภิกฺขเว, โลเก อุปฺปชฺชมาโน อุปฺปชฺชติ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํฯ กตโม เอกปุคฺคโล, ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๗๐) วจนโต ยทตฺถํ ภควา อุปฺปโนฺน, ตทตฺถปรินิปฺผาทนํ, ปจฺฉิเมน ยตฺถ อุปฺปโนฺน, ตทนุรูปวิหารํฯ ภควา หิ ปฐมํ ลุมฺพินิวเน, ทุติยํ โพธิมเณฺฑติ โลกิยโลกุตฺตราย อุปฺปตฺติยา วเนเยว อุปฺปโนฺน, เตนสฺส วเนเยว วิหารํ ทเสฺสตีติ เอวมาทินา นเยเนตฺถ อตฺถโยชนา เวทิตพฺพาฯ
Tattha ukkaṭṭhākittanena āyasmā ānando bhagavato gahaṭṭhānuggahakaraṇaṃ dasseti, subhagavanādikittanena pabbajitānuggahakaraṇaṃ. Tathā purimena paccayaggahaṇato attakilamathānuyogavivajjanaṃ, pacchimena vatthukāmappahānato kāmasukhallikānuyogavivajjanupāyadassanaṃ. Purimena ca dhammadesanābhiyogaṃ, pacchimena vivekādhimuttiṃ. Purimena karuṇāya upagamanaṃ, pacchimena paññāya apagamanaṃ. Purimena sattānaṃ hitasukhanipphādanādhimuttataṃ, pacchimena parahitasukhakaraṇe nirupalepanaṃ. Purimena dhammikasukhāpariccāganimittaṃ phāsuvihāraṃ, pacchimena uttarimanussadhammānuyoganimittaṃ . Purimena manussānaṃ upakārabahulataṃ, pacchimena devānaṃ. Purimena loke jātassa loke saṃvaḍḍhabhāvaṃ, pacchimena lokena anupalittataṃ. Purimena ‘‘ekapuggalo, bhikkhave, loke uppajjamāno uppajjati bahujanahitāya bahujanasukhāya lokānukampāya atthāya hitāya sukhāya devamanussānaṃ. Katamo ekapuggalo, tathāgato arahaṃ sammāsambuddho’’ti (a. ni. 1.170) vacanato yadatthaṃ bhagavā uppanno, tadatthaparinipphādanaṃ, pacchimena yattha uppanno, tadanurūpavihāraṃ. Bhagavā hi paṭhamaṃ lumbinivane, dutiyaṃ bodhimaṇḍeti lokiyalokuttarāya uppattiyā vaneyeva uppanno, tenassa vaneyeva vihāraṃ dassetīti evamādinā nayenettha atthayojanā veditabbā.
ตตฺราติ เทสกาลปริทีปนํฯ ตญฺหิ ยํ สมยํ วิหรติ, ตตฺร สมเยฯ ยสฺมิญฺจ สาลราชมูเล วิหรติ, ตตฺร สาลราชมูเลติ ทีเปติฯ ภาสิตพฺพยุเตฺต วา เทสกาเล ทีเปติฯ น หิ ภควา อยุเตฺต เทเส กาเล วา ธมฺมํ ภาสติฯ ‘‘อกาโล โข ตาว พาหิยา’’ติ (อุทา. ๑๐) อาทิเจตฺถ สาธกํฯ โขติ ปทปูรณมเตฺต อวธารเณ อาทิกาลเตฺถ วา นิปาโตฯ ภควาติ โลกครุทีปนํฯ ภิกฺขูติ กถาสวนยุตฺตปุคฺคลวจนํฯ อปิเจตฺถ, ‘‘ภิกฺขโกติ ภิกฺขุ, ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคโตติ ภิกฺขู’’ติอาทินา (ปารา. ๔๕) นเยน วจนโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อามเนฺตสีติ อาลปิ อภาสิ สโมฺพเธสีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ อญฺญตฺร ปน ญาปเนปิ โหติฯ ยถาห ‘‘อามนฺตยามิ โว, ภิกฺขเว, ปฎิเวทยามิ โว, ภิกฺขเว’’ติฯ ปโกฺกสเนปิฯ ยถาห ‘‘เอหิ ตฺวํ ภิกฺขุ มม วจเนน สาริปุตฺตํ อามเนฺตหี’’ติ (อ. นิ. ๙.๑๑)ฯ
Tatrāti desakālaparidīpanaṃ. Tañhi yaṃ samayaṃ viharati, tatra samaye. Yasmiñca sālarājamūle viharati, tatra sālarājamūleti dīpeti. Bhāsitabbayutte vā desakāle dīpeti. Na hi bhagavā ayutte dese kāle vā dhammaṃ bhāsati. ‘‘Akālo kho tāva bāhiyā’’ti (udā. 10) ādicettha sādhakaṃ. Khoti padapūraṇamatte avadhāraṇe ādikālatthe vā nipāto. Bhagavāti lokagarudīpanaṃ. Bhikkhūti kathāsavanayuttapuggalavacanaṃ. Apicettha, ‘‘bhikkhakoti bhikkhu, bhikkhācariyaṃ ajjhupagatoti bhikkhū’’tiādinā (pārā. 45) nayena vacanattho veditabbo. Āmantesīti ālapi abhāsi sambodhesīti ayamettha attho. Aññatra pana ñāpanepi hoti. Yathāha ‘‘āmantayāmi vo, bhikkhave, paṭivedayāmi vo, bhikkhave’’ti. Pakkosanepi. Yathāha ‘‘ehi tvaṃ bhikkhu mama vacanena sāriputtaṃ āmantehī’’ti (a. ni. 9.11).
ภิกฺขโวติ อามนฺตนาการทีปนํฯ ตญฺจ ภิกฺขนสีลตาทิคุณโยคสิทฺธตฺตา วุตฺตํฯ ภิกฺขนสีลตาคุณยุโตฺตปิ หิ ภิกฺขุ ภิกฺขนธมฺมตาคุณยุโตฺตปิฯ ภิกฺขเน สาธุการิตาคุณยุโตฺตปีติ สทฺทวิทู มญฺญนฺติฯ เตน จ เนสํ ภิกฺขนสีลตาทิคุณโยคสิเทฺธน วจเนน หีนาธิกชนเสวิตํ วุตฺติํ ปกาเสโนฺต อุทฺธตทีนภาวนิคฺคหํ กโรติฯ ภิกฺขโวติ อิมินา จ กรุณาวิปฺผารโสมฺมหทยนยนนิปาตปุพฺพงฺคเมน วจเนน เต อตฺตโน มุขาภิมุเข กโรติฯ เตเนว จ กเถตุกมฺยตาทีปเกน วจเนน เนสํ โสตุกมฺยตํ ชเนติฯ เตเนว จ สโมฺพธนเฎฺฐน สาธุกํ สวนมนสิกาเรปิ เน นิโยเชติฯ สาธุกสวนมนสิการายตฺตา หิ สาสนสมฺปตฺติฯ
Bhikkhavoti āmantanākāradīpanaṃ. Tañca bhikkhanasīlatādiguṇayogasiddhattā vuttaṃ. Bhikkhanasīlatāguṇayuttopi hi bhikkhu bhikkhanadhammatāguṇayuttopi. Bhikkhane sādhukāritāguṇayuttopīti saddavidū maññanti. Tena ca nesaṃ bhikkhanasīlatādiguṇayogasiddhena vacanena hīnādhikajanasevitaṃ vuttiṃ pakāsento uddhatadīnabhāvaniggahaṃ karoti. Bhikkhavoti iminā ca karuṇāvipphārasommahadayanayananipātapubbaṅgamena vacanena te attano mukhābhimukhe karoti. Teneva ca kathetukamyatādīpakena vacanena nesaṃ sotukamyataṃ janeti. Teneva ca sambodhanaṭṭhena sādhukaṃ savanamanasikārepi ne niyojeti. Sādhukasavanamanasikārāyattā hi sāsanasampatti.
อปเรสุปิ เทวมนุเสฺสสุ วิชฺชมาเนสุ กสฺมา ภิกฺขูเยว อามเนฺตสีติ เจฯ เชฎฺฐเสฎฺฐาสนฺนสทาสนฺนิหิตภาวโตฯ สพฺพปริสสาธารณา หิ ภควโต ธมฺมเทสนาฯ ปริสาย จ เชฎฺฐา ภิกฺขู, ปฐมุปฺปนฺนตฺตาฯ เสฎฺฐา, อนคาริยภาวํ อาทิํ กตฺวา สตฺถุจริยานุวิธายกตฺตา สกลสาสนปฎิคฺคาหกตฺตา จฯ อาสนฺนา, ตตฺถ นิสิเนฺนสุ สตฺถุสนฺติกตฺตาฯ สทาสนฺนิหิตา, สตฺถุสนฺติกาวจรตฺตาติฯ อปิจ เต ธมฺมเทสนาย ภาชนํ, ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปตฺติสพฺภาวโตฯ วิเสสโต จ เอกเจฺจ ภิกฺขูเยว สนฺธาย อยํ เทสนาติปิ เต เอว อามเนฺตสิฯ
Aparesupi devamanussesu vijjamānesu kasmā bhikkhūyeva āmantesīti ce. Jeṭṭhaseṭṭhāsannasadāsannihitabhāvato. Sabbaparisasādhāraṇā hi bhagavato dhammadesanā. Parisāya ca jeṭṭhā bhikkhū, paṭhamuppannattā. Seṭṭhā, anagāriyabhāvaṃ ādiṃ katvā satthucariyānuvidhāyakattā sakalasāsanapaṭiggāhakattā ca. Āsannā, tattha nisinnesu satthusantikattā. Sadāsannihitā, satthusantikāvacarattāti. Apica te dhammadesanāya bhājanaṃ, yathānusiṭṭhaṃ paṭipattisabbhāvato. Visesato ca ekacce bhikkhūyeva sandhāya ayaṃ desanātipi te eva āmantesi.
ตตฺถ สิยา – กิมตฺถํ ปน ภควา ธมฺมํ เทเสโนฺต ปฐมํ ภิกฺขู อามเนฺตสิ, น ธมฺมเมว เทเสตีติฯ สติชนนตฺถํฯ ภิกฺขู หิ อญฺญํ จิเนฺตนฺตาปิ วิกฺขิตฺตจิตฺตาปิ ธมฺมํ ปจฺจเวกฺขนฺตาปิ กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรนฺตาปิ นิสินฺนา โหนฺติ, เต อนามเนฺตตฺวา ธเมฺม เทสิยมาเน – ‘‘อยํ เทสนา กินฺนิทานา กิํปจฺจยา กตมาย อฎฺฐุปฺปตฺติยา เทสิตา’’ติ สลฺลเกฺขตุํ อสโกฺกนฺตา ทุคฺคหิตํ วา คเณฺหยฺยุํ, น วา คเณฺหยฺยุํฯ เตน เนสํ สติชนนตฺถํ ภควา ปฐมํ อามเนฺตตฺวา ปจฺฉา ธมฺมํ เทเสติฯ
Tattha siyā – kimatthaṃ pana bhagavā dhammaṃ desento paṭhamaṃ bhikkhū āmantesi, na dhammameva desetīti. Satijananatthaṃ. Bhikkhū hi aññaṃ cintentāpi vikkhittacittāpi dhammaṃ paccavekkhantāpi kammaṭṭhānaṃ manasikarontāpi nisinnā honti, te anāmantetvā dhamme desiyamāne – ‘‘ayaṃ desanā kinnidānā kiṃpaccayā katamāya aṭṭhuppattiyā desitā’’ti sallakkhetuṃ asakkontā duggahitaṃ vā gaṇheyyuṃ, na vā gaṇheyyuṃ. Tena nesaṃ satijananatthaṃ bhagavā paṭhamaṃ āmantetvā pacchā dhammaṃ deseti.
ภทเนฺตติ คารววจนเมตํ, สตฺถุโน ปฎิวจนทานํ วา, อปิเจตฺถ ภิกฺขโวติ วทมาโน ภควา เต ภิกฺขู อาลปติฯ ภทเนฺตติ วทมานา เต ภควนฺตํ ปจฺจาลปนฺติฯ ตถา ภิกฺขโวติ ภควา อาภาสติฯ ภทเนฺตติ เต ปจฺจาภาสนฺติฯ ภิกฺขโวติ ปฎิวจนํ ทาเปติ, ภทเนฺตติ ปฎิวจนํ เทนฺติฯ เต ภิกฺขูติ เย ภควา อามเนฺตสิฯ ภควโต ปจฺจโสฺสสุนฺติ ภควโต อามนฺตนํ ปฎิอโสฺสสุํ, อภิมุขา หุตฺวา สุณิํสุ สมฺปฎิจฺฉิํสุ ปฎิคฺคเหสุนฺติ อโตฺถฯ ภควา เอตทโวจาติ ภควา เอตํ อิทานิ วตฺตพฺพํ สกลํ สุตฺตํ อโวจฯ
Bhadanteti gāravavacanametaṃ, satthuno paṭivacanadānaṃ vā, apicettha bhikkhavoti vadamāno bhagavā te bhikkhū ālapati. Bhadanteti vadamānā te bhagavantaṃ paccālapanti. Tathā bhikkhavoti bhagavā ābhāsati. Bhadanteti te paccābhāsanti. Bhikkhavoti paṭivacanaṃ dāpeti, bhadanteti paṭivacanaṃ denti. Te bhikkhūti ye bhagavā āmantesi. Bhagavato paccassosunti bhagavato āmantanaṃ paṭiassosuṃ, abhimukhā hutvā suṇiṃsu sampaṭicchiṃsu paṭiggahesunti attho. Bhagavā etadavocāti bhagavā etaṃ idāni vattabbaṃ sakalaṃ suttaṃ avoca.
เอตฺตาวตา จ ยํ อายสฺมตา อานเนฺทน กมลกุวลยุชฺชลวิมลสาทุรสสลิลาย โปกฺขรณิยา สุขาวตรณตฺถํ นิมฺมลสิลาตลรจนวิลาสโสภิตรตนโสปานํ วิปฺปกิณฺณมุตฺตาตลสทิสวาลิกากิณฺณปณฺฑรภูมิภาคํ ติตฺถํ วิย สุวิภตฺตภิตฺติวิจิตฺรเวทิกาปริกฺขิตฺตสฺส นกฺขตฺตปถํ ผุสิตุกามตาย วิย, วิชมฺภิตสมุสฺสยสฺส ปาสาทวรสฺส สุขาโรหณตฺถํ ทนฺตมย-สณฺหมุทุผลก-กญฺจนลตาวินทฺธ- มณิคณปฺปภาสมุทยุชฺชลโสภํ โสปานํ วิย, สุวณฺณวลยานูปุราทิสงฺฆฎฺฎนสทฺทสมฺมิสฺสิตกถิตหสิตมธุรสฺสรเคหชนวิจริตสฺส อุฬารอิสฺสริยวิภวโสภิตสฺส มหาฆรสฺส สุขปฺปเวสนตฺถํ สุวณฺณรชตมณิมุตฺตาปวาฬาทิชุติวิสฺสรวิโชฺชติต-สุปฺปติฎฺฐิตวิสาลทฺวารพาหํ มหาทฺวารํ วิย จ อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนสฺส พุทฺธานํ เทสนาญาณคมฺภีรภาวสํสูจกสฺส อิมสฺส สุตฺตสฺส สุขาวคาหณตฺถํ กาลเทสเทสกวตฺถุปริสาปเทสปฎิมณฺฑิตํ นิทานํ ภาสิตํ, ตสฺส อตฺถวณฺณนา สมตฺตาฯ
Ettāvatā ca yaṃ āyasmatā ānandena kamalakuvalayujjalavimalasādurasasalilāya pokkharaṇiyā sukhāvataraṇatthaṃ nimmalasilātalaracanavilāsasobhitaratanasopānaṃ vippakiṇṇamuttātalasadisavālikākiṇṇapaṇḍarabhūmibhāgaṃ titthaṃ viya suvibhattabhittivicitravedikāparikkhittassa nakkhattapathaṃ phusitukāmatāya viya, vijambhitasamussayassa pāsādavarassa sukhārohaṇatthaṃ dantamaya-saṇhamuduphalaka-kañcanalatāvinaddha- maṇigaṇappabhāsamudayujjalasobhaṃ sopānaṃ viya, suvaṇṇavalayānūpurādisaṅghaṭṭanasaddasammissitakathitahasitamadhurassaragehajanavicaritassa uḷāraissariyavibhavasobhitassa mahāgharassa sukhappavesanatthaṃ suvaṇṇarajatamaṇimuttāpavāḷādijutivissaravijjotita-suppatiṭṭhitavisāladvārabāhaṃ mahādvāraṃ viya ca atthabyañjanasampannassa buddhānaṃ desanāñāṇagambhīrabhāvasaṃsūcakassa imassa suttassa sukhāvagāhaṇatthaṃ kāladesadesakavatthuparisāpadesapaṭimaṇḍitaṃ nidānaṃ bhāsitaṃ, tassa atthavaṇṇanā samattā.
สุตฺตนิเกฺขปวณฺณนา
Suttanikkhepavaṇṇanā
อิทานิ ‘‘สพฺพธมฺมมูลปริยายํ โว’’ติอาทินา นเยน ภควตา นิกฺขิตฺตสฺส สุตฺตสฺส วณฺณนาย โอกาโส อนุปฺปโตฺตฯ สา ปเนสา สุตฺตวณฺณนา ยสฺมา สุตฺตนิเกฺขปํ วิจาเรตฺวา วุจฺจมานา ปากฎา โหติ, ตสฺมา สุตฺตนิเกฺขปํ ตาว วิจารยิสฺสามฯ จตฺตาโร หิ สุตฺตนิเกฺขปา อตฺตชฺฌาสโย ปรชฺฌาสโย ปุจฺฉาวสิโก อฎฺฐุปฺปตฺติโกติฯ
Idāni ‘‘sabbadhammamūlapariyāyaṃ vo’’tiādinā nayena bhagavatā nikkhittassa suttassa vaṇṇanāya okāso anuppatto. Sā panesā suttavaṇṇanā yasmā suttanikkhepaṃ vicāretvā vuccamānā pākaṭā hoti, tasmā suttanikkhepaṃ tāva vicārayissāma. Cattāro hi suttanikkhepā attajjhāsayo parajjhāsayo pucchāvasiko aṭṭhuppattikoti.
ตตฺถ ยานิ สุตฺตานิ ภควา ปเรหิ อนชฺฌิโฎฺฐ เกวลํ อตฺตโน อชฺฌาสเยเนว กเถสิฯ เสยฺยถิทํ, อากเงฺขยฺยสุตฺตํ, วตฺถสุตฺตํ, มหาสติปฎฺฐานสุตฺตํ, มหาสฬายตนวิภงฺคสุตฺตํ, อริยวํสสุตฺตํ, สมฺมปฺปธานสุตฺตนฺตหารโก, อิทฺธิปาทอินฺทฺริยพลโพชฺฌงฺคมคฺคงฺคสุตฺตนฺตหารโกติ เอวมาทีนิฯ เตสํ อตฺตชฺฌาสโย นิเกฺขโปฯ
Tattha yāni suttāni bhagavā parehi anajjhiṭṭho kevalaṃ attano ajjhāsayeneva kathesi. Seyyathidaṃ, ākaṅkheyyasuttaṃ, vatthasuttaṃ, mahāsatipaṭṭhānasuttaṃ, mahāsaḷāyatanavibhaṅgasuttaṃ, ariyavaṃsasuttaṃ, sammappadhānasuttantahārako, iddhipādaindriyabalabojjhaṅgamaggaṅgasuttantahārakoti evamādīni. Tesaṃ attajjhāsayo nikkhepo.
ยานิ ปน ‘‘ปริปกฺกา โข ราหุลสฺส วิมุตฺติปริปาจนียา ธมฺมา, ยํนูนาหํ ราหุลํ อุตฺตริ อาสวานํ ขเย วิเนยฺย’’นฺติ (สํ. นิ. ๔.๑๒๑) เอวํ ปเรสํ อชฺฌาสยํ ขนฺติํ มนํ อภินีหารํ พุชฺฌนภาวญฺจ อเวกฺขิตฺวา ปรชฺฌาสยวเสน กถิตานิฯ เสยฺยถิทํ, จูฬราหุโลวาทสุตฺตํ, มหาราหุโลวาทสุตฺตํ, ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนํ, ธาตุวิภงฺคสุตฺตนฺติ เอวมาทีนิฯ เตสํ ปรชฺฌาสโย นิเกฺขโปฯ
Yāni pana ‘‘paripakkā kho rāhulassa vimuttiparipācanīyā dhammā, yaṃnūnāhaṃ rāhulaṃ uttari āsavānaṃ khaye vineyya’’nti (saṃ. ni. 4.121) evaṃ paresaṃ ajjhāsayaṃ khantiṃ manaṃ abhinīhāraṃ bujjhanabhāvañca avekkhitvā parajjhāsayavasena kathitāni. Seyyathidaṃ, cūḷarāhulovādasuttaṃ, mahārāhulovādasuttaṃ, dhammacakkappavattanaṃ, dhātuvibhaṅgasuttanti evamādīni. Tesaṃ parajjhāsayo nikkhepo.
ภควนฺตํ ปน อุปสงฺกมิตฺวา จตโสฺส ปริสา จตฺตาโร วณฺณา นาคา สุปณฺณา คนฺธพฺพา อสุรา ยกฺขา มหาราชาโน ตาวติํสาทโย เทวา มหาพฺรหฺมาติ เอวมาทโย ‘‘โพชฺฌงฺคา โพชฺฌงฺคา’’ติ, ภเนฺต, วุจฺจนฺติฯ ‘‘นีวรณา นีวรณา’’ติ, ภเนฺต, วุจฺจนฺติฯ อิเม นุ โข, ภเนฺต, ปญฺจุปาทานกฺขนฺธาฯ ‘‘กิํ สูธ วิตฺตํ ปุริสสฺส เสฎฺฐ’’นฺติอาทินา (สุ. นิ. ๑๘๓) นเยน ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติฯ เอวํ ปุเฎฺฐน ภควตา ยานิ กถิตานิ โพชฺฌงฺคสํยุตฺตาทีนิฯ ยานิ วา ปนญฺญานิปิ เทวตาสํยุตฺต-มารสํยุตฺต-พฺรหฺมสํยุตฺต-สกฺกปญฺห-จูฬเวทลฺล-มหาเวทลฺล-สามญฺญผล- อาฬวก-สูจิโลม-ขรโลมสุตฺตาทีนิ, เตสํ ปุจฺฉาวสิโก นิเกฺขโปฯ
Bhagavantaṃ pana upasaṅkamitvā catasso parisā cattāro vaṇṇā nāgā supaṇṇā gandhabbā asurā yakkhā mahārājāno tāvatiṃsādayo devā mahābrahmāti evamādayo ‘‘bojjhaṅgā bojjhaṅgā’’ti, bhante, vuccanti. ‘‘Nīvaraṇā nīvaraṇā’’ti, bhante, vuccanti. Ime nu kho, bhante, pañcupādānakkhandhā. ‘‘Kiṃ sūdha vittaṃ purisassa seṭṭha’’ntiādinā (su. ni. 183) nayena pañhaṃ pucchanti. Evaṃ puṭṭhena bhagavatā yāni kathitāni bojjhaṅgasaṃyuttādīni. Yāni vā panaññānipi devatāsaṃyutta-mārasaṃyutta-brahmasaṃyutta-sakkapañha-cūḷavedalla-mahāvedalla-sāmaññaphala- āḷavaka-sūciloma-kharalomasuttādīni, tesaṃ pucchāvasiko nikkhepo.
ยานิ ปเนตานิ อุปฺปนฺนํ การณํ ปฎิจฺจ กถิตานิฯ เสยฺยถิทํ, ธมฺมทายาทํ จูฬสีหนาทํ จนฺทูปมํ ปุตฺตมํสูปมํ ทารุกฺขนฺธูปมํ อคฺคิกฺขนฺธูปมํ เผณปิณฺฑูปมํ ปาริจฺฉตฺตกูปมนฺติ เอวมาทีนิฯ เตสํ อฎฺฐุปฺปตฺติโก นิเกฺขโปฯ
Yāni panetāni uppannaṃ kāraṇaṃ paṭicca kathitāni. Seyyathidaṃ, dhammadāyādaṃ cūḷasīhanādaṃ candūpamaṃ puttamaṃsūpamaṃ dārukkhandhūpamaṃ aggikkhandhūpamaṃ pheṇapiṇḍūpamaṃ pāricchattakūpamanti evamādīni. Tesaṃ aṭṭhuppattiko nikkhepo.
เอวมิเมสุ จตูสุ นิเกฺขเปสุ อิมสฺส สุตฺตสฺส อฎฺฐุปฺปตฺติโก นิเกฺขโปฯ อฎฺฐุปฺปตฺติยญฺหิ อิทํ ภควตา นิกฺขิตฺตํฯ กตราย อฎฺฐุปฺปตฺติยา? ปริยตฺติํ นิสฺสาย อุปฺปเนฺน มาเนฯ ปญฺจสตา กิร พฺราหฺมณา ติณฺณํ เวทานํ ปารคู อปรภาเค ภควโต ธมฺมเทสนํ สุตฺวา กาเมสุ อาทีนวํ เนกฺขเมฺม จ อานิสํสํ สมฺปสฺสมานา ภควโต สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา นจิรเสฺสว สพฺพํ พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหิตฺวา ปริยตฺติํ นิสฺสาย มานํ อุปฺปาเทสุํ ‘‘ยํ ยํ ภควา กเถติ, ตํ ตํ มยํ ขิปฺปเมว ชานาม, ภควา หิ ตีณิ ลิงฺคานิ จตฺตาริ ปทานิ สตฺต วิภตฺติโย มุญฺจิตฺวา น กิญฺจิ กเถติ, เอวํ กถิเต จ อมฺหากํ คณฺฐิปทํ นาม นตฺถี’’ติฯ เต ภควติ อคารวา หุตฺวา ตโต ปฎฺฐาย ภควโต อุปฎฺฐานมฺปิ ธมฺมสฺสวนมฺปิ อภิณฺหํ น คจฺฉนฺติฯ ภควา เตสํ ตํ จิตฺตจารํ ญตฺวา ‘‘อภพฺพา อิเม อิมํ มานขิลํ อนุปหจฺจ มคฺคํ วา ผลํ วา สจฺฉิกาตุ’’นฺติ เตสํ สุตปริยตฺติํ นิสฺสาย อุปฺปนฺนํ มานํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา เทสนากุสโล ภควา มานภญฺชนตฺถํ สพฺพธมฺมมูลปริยายนฺติ เทสนํ อารภิฯ
Evamimesu catūsu nikkhepesu imassa suttassa aṭṭhuppattiko nikkhepo. Aṭṭhuppattiyañhi idaṃ bhagavatā nikkhittaṃ. Katarāya aṭṭhuppattiyā? Pariyattiṃ nissāya uppanne māne. Pañcasatā kira brāhmaṇā tiṇṇaṃ vedānaṃ pāragū aparabhāge bhagavato dhammadesanaṃ sutvā kāmesu ādīnavaṃ nekkhamme ca ānisaṃsaṃ sampassamānā bhagavato santike pabbajitvā nacirasseva sabbaṃ buddhavacanaṃ uggaṇhitvā pariyattiṃ nissāya mānaṃ uppādesuṃ ‘‘yaṃ yaṃ bhagavā katheti, taṃ taṃ mayaṃ khippameva jānāma, bhagavā hi tīṇi liṅgāni cattāri padāni satta vibhattiyo muñcitvā na kiñci katheti, evaṃ kathite ca amhākaṃ gaṇṭhipadaṃ nāma natthī’’ti. Te bhagavati agāravā hutvā tato paṭṭhāya bhagavato upaṭṭhānampi dhammassavanampi abhiṇhaṃ na gacchanti. Bhagavā tesaṃ taṃ cittacāraṃ ñatvā ‘‘abhabbā ime imaṃ mānakhilaṃ anupahacca maggaṃ vā phalaṃ vā sacchikātu’’nti tesaṃ sutapariyattiṃ nissāya uppannaṃ mānaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā desanākusalo bhagavā mānabhañjanatthaṃ sabbadhammamūlapariyāyanti desanaṃ ārabhi.
ตตฺถ สพฺพธมฺมมูลปริยายนฺติ สเพฺพสํ ธมฺมานํ มูลปริยายํฯ สเพฺพสนฺติ อนวเสสานํฯ อนวเสสวาจโก หิ อยํ สพฺพ-สโทฺทฯ โส เยน เยน สมฺพนฺธํ คจฺฉติ, ตสฺส ตสฺส อนวเสสตํ ทีเปติฯ ยถา, ‘‘สพฺพํ รูปํ อนิจฺจํ สพฺพา เวทนา อนิจฺจา สพฺพสกฺกายปริยาปเนฺนสุ ธเมฺมสู’’ติฯ ธมฺม-สโทฺท ปนายํ ปริยตฺติ-สจฺจ-สมาธิ-ปญฺญา-ปกติ-สภาวสุญฺญตา-ปุญฺญาปตฺติ-เญยฺยาทีสุ ทิสฺสติฯ ‘‘อิธ ภิกฺขุ ธมฺมํ ปริยาปุณาติ สุตฺตํ เคยฺย’’นฺติอาทีสุ (อ. นิ. ๕.๗๓) หิ ธมฺมสโทฺท ปริยตฺติยํ วตฺตติฯ ‘‘ทิฎฺฐธโมฺม วิทิตธโมฺม’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๙๙) สเจฺจสุฯ ‘‘เอวํ ธมฺมา เต ภควโนฺต’’ติอาทีสุ สมาธิมฺหิฯ
Tattha sabbadhammamūlapariyāyanti sabbesaṃ dhammānaṃ mūlapariyāyaṃ. Sabbesanti anavasesānaṃ. Anavasesavācako hi ayaṃ sabba-saddo. So yena yena sambandhaṃ gacchati, tassa tassa anavasesataṃ dīpeti. Yathā, ‘‘sabbaṃ rūpaṃ aniccaṃ sabbā vedanā aniccā sabbasakkāyapariyāpannesu dhammesū’’ti. Dhamma-saddo panāyaṃ pariyatti-sacca-samādhi-paññā-pakati-sabhāvasuññatā-puññāpatti-ñeyyādīsu dissati. ‘‘Idha bhikkhu dhammaṃ pariyāpuṇāti suttaṃ geyya’’ntiādīsu (a. ni. 5.73) hi dhammasaddo pariyattiyaṃ vattati. ‘‘Diṭṭhadhammo viditadhammo’’tiādīsu (dī. ni. 1.299) saccesu. ‘‘Evaṃ dhammā te bhagavanto’’tiādīsu samādhimhi.
‘‘ยเสฺสเต จตุโร ธมฺมา, วานรินฺท ยถา ตว;
‘‘Yassete caturo dhammā, vānarinda yathā tava;
สจฺจํ ธโมฺม ธิติ จาโค, ทิฎฺฐํ โส อติวตฺตตี’’ติฯ –
Saccaṃ dhammo dhiti cāgo, diṭṭhaṃ so ativattatī’’ti. –
อาทีสุ (ชา. ๑.๑.๕๗) ปญฺญายฯ
Ādīsu (jā. 1.1.57) paññāya.
‘‘ชาติธมฺมา ชราธมฺมา, อโถ มรณธมฺมิโน’’ติอาทีสุ ปกติยํฯ ‘‘กุสลา ธมฺมา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑.ติกมาติกา) สภาเวฯ ‘‘ตสฺมิํ โข ปน สมเย ธมฺมา โหนฺตี’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๒๑) สุญฺญตายํฯ ‘‘ธโมฺม สุจิโณฺณ สุขมาวหาตี’’ติอาทีสุ (ชา. ๑.๑๐.๑๐๒) ปุเญฺญฯ ‘‘เทฺว อนิยตา ธมฺมา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๔๔๓) อาปตฺติยํฯ ‘‘สเพฺพ ธมฺมา สพฺพากาเรน พุทฺธสฺส ภควโต ญาณมุเข อาปาถํ อาคจฺฉนฺตี’’ติอาทีสุ เญเยฺยฯ อิธ ปนายํ สภาเว วตฺตติฯ ตตฺรายํ วจนโตฺถ – อตฺตโน ลกฺขณํ ธาเรนฺตีติ ธมฺมาฯ มูล-สโทฺท วิตฺถาริโต เอวฯ อิธ ปนายํ อสาธารณเหตุมฺหิ ทฎฺฐโพฺพฯ
‘‘Jātidhammā jarādhammā, atho maraṇadhammino’’tiādīsu pakatiyaṃ. ‘‘Kusalā dhammā’’tiādīsu (dha. sa. 1.tikamātikā) sabhāve. ‘‘Tasmiṃ kho pana samaye dhammā hontī’’tiādīsu (dha. sa. 121) suññatāyaṃ. ‘‘Dhammo suciṇṇo sukhamāvahātī’’tiādīsu (jā. 1.10.102) puññe. ‘‘Dve aniyatā dhammā’’tiādīsu (pārā. 443) āpattiyaṃ. ‘‘Sabbe dhammā sabbākārena buddhassa bhagavato ñāṇamukhe āpāthaṃ āgacchantī’’tiādīsu ñeyye. Idha panāyaṃ sabhāve vattati. Tatrāyaṃ vacanattho – attano lakkhaṇaṃ dhārentīti dhammā. Mūla-saddo vitthārito eva. Idha panāyaṃ asādhāraṇahetumhi daṭṭhabbo.
ปริยายสโทฺท ‘‘มธุปิณฺฑิกปริยาโยติ นํ ธาเรหี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๐๕) เทสนายํ วตฺตติฯ ‘‘อตฺถิ เขฺวส พฺราหฺมณ, ปริยาโย, เยน มํ ปริยาเยน สมฺมา วทมาโน วเทยฺย อกิริยวาโท สมโณ โคตโม’’ติอาทีสุ (ปารา. ๓) การเณฯ ‘‘กสฺส นุ โข, อานนฺท, อชฺช ปริยาโย ภิกฺขุนิโย โอวทิตุ’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๓๙๘) วาเรฯ อิธ ปน การเณปิ เทสนายมฺปิ วตฺตติฯ ตสฺมา ‘‘สพฺพธมฺมมูลปริยาย’’นฺติ เอตฺถ สเพฺพสํ ธมฺมานํ อสาธารณเหตุสญฺญิตํ การณนฺติ วา สเพฺพสํ ธมฺมานํ การณเทสนนฺติ วา เอวํ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เนยฺยตฺถตฺตา จสฺส สุตฺตสฺส, น จตุภูมกาปิ สภาวธมฺมา สพฺพธมฺมาติ เวทิตพฺพาฯ สกฺกายปริยาปนฺนา ปน เตภูมกา ธมฺมาว อนวเสสโต เวทิตพฺพา, อยเมตฺถ อธิปฺปาโยติฯ
Pariyāyasaddo ‘‘madhupiṇḍikapariyāyoti naṃ dhārehī’’tiādīsu (ma. ni. 1.205) desanāyaṃ vattati. ‘‘Atthi khvesa brāhmaṇa, pariyāyo, yena maṃ pariyāyena sammā vadamāno vadeyya akiriyavādo samaṇo gotamo’’tiādīsu (pārā. 3) kāraṇe. ‘‘Kassa nu kho, ānanda, ajja pariyāyo bhikkhuniyo ovaditu’’ntiādīsu (ma. ni. 3.398) vāre. Idha pana kāraṇepi desanāyampi vattati. Tasmā ‘‘sabbadhammamūlapariyāya’’nti ettha sabbesaṃ dhammānaṃ asādhāraṇahetusaññitaṃ kāraṇanti vā sabbesaṃ dhammānaṃ kāraṇadesananti vā evaṃ attho daṭṭhabbo. Neyyatthattā cassa suttassa, na catubhūmakāpi sabhāvadhammā sabbadhammāti veditabbā. Sakkāyapariyāpannā pana tebhūmakā dhammāva anavasesato veditabbā, ayamettha adhippāyoti.
โวติ อยํ โว-สโทฺท ปจฺจตฺตอุปโยคกรณสมฺปทานสามิวจนปทปูรเณสุ ทิสฺสติฯ ‘‘กจฺจิ ปน โว, อนุรุทฺธา, สมคฺคา สโมฺมทมานา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๒๖) หิ ปจฺจเตฺต ทิสฺสติฯ ‘‘คจฺฉถ, ภิกฺขเว, ปณาเมมิ โว’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๑๕๗) อุปโยเคฯ ‘‘น โว มม สนฺติเก วตฺถพฺพ’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๑๕๗) กรเณฯ ‘‘วนปตฺถปริยายํ โว, ภิกฺขเว, เทเสสฺสามี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑๙๐) สมฺปทาเนฯ ‘‘สเพฺพสํ โว, สาริปุตฺต, สุภาสิต’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๔๕) สามิวจเนฯ ‘‘เย หิ โว อริยา ปริสุทฺธกายกมฺมนฺตา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๕) ปทปูรณมเตฺตฯ อิธ ปนายํ สมฺปทาเน ทฎฺฐโพฺพฯ
Voti ayaṃ vo-saddo paccattaupayogakaraṇasampadānasāmivacanapadapūraṇesu dissati. ‘‘Kacci pana vo, anuruddhā, samaggā sammodamānā’’tiādīsu (ma. ni. 1.326) hi paccatte dissati. ‘‘Gacchatha, bhikkhave, paṇāmemi vo’’tiādīsu (ma. ni. 2.157) upayoge. ‘‘Na vo mama santike vatthabba’’ntiādīsu (ma. ni. 2.157) karaṇe. ‘‘Vanapatthapariyāyaṃ vo, bhikkhave, desessāmī’’tiādīsu (ma. ni. 1.190) sampadāne. ‘‘Sabbesaṃ vo, sāriputta, subhāsita’’ntiādīsu (ma. ni. 1.345) sāmivacane. ‘‘Ye hi vo ariyā parisuddhakāyakammantā’’tiādīsu (ma. ni. 1.35) padapūraṇamatte. Idha panāyaṃ sampadāne daṭṭhabbo.
ภิกฺขเวติ ปติสฺสเวน อภิมุขีภูตานํ ปุนาลปนํฯ เทเสสฺสามีติ เทสนาปฎิชานนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ, ภิกฺขเว, สพฺพธมฺมานํ มูลการณํ ตุมฺหากํ เทเสสฺสามิ, ทุติเยน นเยน การณเทสนํ ตุมฺหากํ เทเสสฺสามีติฯ ตํ สุณาถาติ ตมตฺถํ ตํ การณํ ตํ เทสนํ มยา วุจฺจมานํ สุณาถฯ สาธุกํ มนสิ กโรถาติ เอตฺถ ปน สาธุกํ สาธูติ เอกตฺถเมตํฯ อยญฺจ สาธุ สโทฺท อายาจนสมฺปฎิจฺฉนสมฺปหํสนสุนฺทรทฬฺหีกมฺมาทีสุ ทิสฺสติฯ ‘‘สาธุ เม ภเนฺต ภควา, สํขิเตฺตน ธมฺมํ เทเสตู’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๙๕) หิ อายาจเน ทิสฺสติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺตติ โข โส ภิกฺขุ ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๘๖) สมฺปฎิจฺฉเนฯ ‘‘สาธุ, สาธุ สาริปุตฺตา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๓๔๙) สมฺปหํสเนฯ
Bhikkhaveti patissavena abhimukhībhūtānaṃ punālapanaṃ. Desessāmīti desanāpaṭijānanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti, bhikkhave, sabbadhammānaṃ mūlakāraṇaṃ tumhākaṃ desessāmi, dutiyena nayena kāraṇadesanaṃ tumhākaṃ desessāmīti. Taṃ suṇāthāti tamatthaṃ taṃ kāraṇaṃ taṃ desanaṃ mayā vuccamānaṃ suṇātha. Sādhukaṃ manasi karothāti ettha pana sādhukaṃ sādhūti ekatthametaṃ. Ayañca sādhu saddo āyācanasampaṭicchanasampahaṃsanasundaradaḷhīkammādīsu dissati. ‘‘Sādhu me bhante bhagavā, saṃkhittena dhammaṃ desetū’’tiādīsu (saṃ. ni. 4.95) hi āyācane dissati. ‘‘Sādhu, bhanteti kho so bhikkhu bhagavato bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā’’tiādīsu (ma. ni. 3.86) sampaṭicchane. ‘‘Sādhu, sādhu sāriputtā’’tiādīsu (dī. ni. 3.349) sampahaṃsane.
‘‘สาธุ ธมฺมรุจี ราชา, สาธุ ปญฺญาณวา นโร;
‘‘Sādhu dhammarucī rājā, sādhu paññāṇavā naro;
สาธุ มิตฺตานมทฺทุโพฺภ, ปาปสฺสากรณํ สุข’’นฺติฯ
Sādhu mittānamaddubbho, pāpassākaraṇaṃ sukha’’nti.
อาทีสุ (ชา. ๒.๑๘.๑๐๑) สุนฺทเรฯ ‘‘เตน หิ, พฺราหฺมณ, สาธุกํ สุณาหี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๕.๑๙๒) สาธุกสโทฺทเยว ทฬฺหีกเมฺม, อาณตฺติยนฺติปิ วุจฺจติฯ อิธาปิ อยํ เอเตฺถว ทฬฺหีกเมฺม จ อาณตฺติยญฺจ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ สุนฺทรเตฺถปิ วตฺตติฯ ทฬฺหีกรณเตฺถน หิ ทฬฺหมิมํ ธมฺมํ สุณาถ สุคฺคหิตํ คณฺหนฺตาฯ อาณตฺติอเตฺถน มม อาณตฺติยา สุณาถฯ สุนฺทรเตฺถน สุนฺทรมิมํ ภทฺทกํ ธมฺมํ สุณาถาติ เอวํ ทีปิตํ โหติฯ
Ādīsu (jā. 2.18.101) sundare. ‘‘Tena hi, brāhmaṇa, sādhukaṃ suṇāhī’’tiādīsu (a. ni. 5.192) sādhukasaddoyeva daḷhīkamme, āṇattiyantipi vuccati. Idhāpi ayaṃ ettheva daḷhīkamme ca āṇattiyañca attho veditabbo. Sundaratthepi vattati. Daḷhīkaraṇatthena hi daḷhamimaṃ dhammaṃ suṇātha suggahitaṃ gaṇhantā. Āṇattiatthena mama āṇattiyā suṇātha. Sundaratthena sundaramimaṃ bhaddakaṃ dhammaṃ suṇāthāti evaṃ dīpitaṃ hoti.
มนสิ กโรถาติ อาวเชฺชถ, สมนฺนาหรถาติ อโตฺถ, อวิกฺขิตฺตจิตฺตา หุตฺวา นิสาเมถ จิเตฺต กโรถาติ อธิปฺปาโยฯ อิทาเนตฺถ ตํ สุณาถาติ โสตินฺทฺริยวิเกฺขปวารณเมตํฯ สาธุกํ มนสิ กโรถาติ มนสิกาเร ทฬฺหีกมฺมนิโยชเนน มนินฺทฺริยวิเกฺขปวารณํฯ ปุริมเญฺจตฺถ พฺยญฺชนวิปลฺลาสคฺคาหวารณํ, ปจฺฉิมํ อตฺถวิปลฺลาสคฺคาหวารณํฯ ปุริเมน จ ธมฺมสฺสวเน นิโยเชติ, ปจฺฉิเมน สุตานํ ธมฺมานํ ธารณูปปริกฺขาทีสุฯ ปุริเมน จ สพฺยญฺชโน อยํ ธโมฺม, ตสฺมา สวนีโยติ ทีเปติฯ ปจฺฉิเมน สาโตฺถ, ตสฺมา มนสิ กาตโพฺพติฯ สาธุกปทํ วา อุภยปเทหิ โยเชตฺวา ยสฺมา อยํ ธโมฺม ธมฺมคมฺภีโร เทสนาคมฺภีโร จ, ตสฺมา สุณาถ สาธุกํ, ยสฺมา อตฺถคมฺภีโร ปฎิเวธคมฺภีโร จ, ตสฺมา สาธุกํ มนสิ กโรถาติ เอวํ โยชนา เวทิตพฺพาฯ
Manasikarothāti āvajjetha, samannāharathāti attho, avikkhittacittā hutvā nisāmetha citte karothāti adhippāyo. Idānettha taṃ suṇāthāti sotindriyavikkhepavāraṇametaṃ. Sādhukaṃ manasi karothāti manasikāre daḷhīkammaniyojanena manindriyavikkhepavāraṇaṃ. Purimañcettha byañjanavipallāsaggāhavāraṇaṃ, pacchimaṃ atthavipallāsaggāhavāraṇaṃ. Purimena ca dhammassavane niyojeti, pacchimena sutānaṃ dhammānaṃ dhāraṇūpaparikkhādīsu. Purimena ca sabyañjano ayaṃ dhammo, tasmā savanīyoti dīpeti. Pacchimena sāttho, tasmā manasi kātabboti. Sādhukapadaṃ vā ubhayapadehi yojetvā yasmā ayaṃ dhammo dhammagambhīro desanāgambhīro ca, tasmā suṇātha sādhukaṃ, yasmā atthagambhīro paṭivedhagambhīro ca, tasmā sādhukaṃ manasi karothāti evaṃ yojanā veditabbā.
ภาสิสฺสามีติ เทเสสฺสามิฯ ‘‘ตํ สุณาถา’’ติ เอตฺถ ปฎิญฺญาตํ เทสนํ น สํขิตฺตโตว เทเสสฺสามิ, อปิจ โข วิตฺถารโตปิ นํ ภาสิสฺสามีติ วุตฺตํ โหติ, สเงฺขปวิตฺถารวาจกานิ หิ เอตานิ ปทานิฯ ยถาห วงฺคีสเตฺถโร –
Bhāsissāmīti desessāmi. ‘‘Taṃ suṇāthā’’ti ettha paṭiññātaṃ desanaṃ na saṃkhittatova desessāmi, apica kho vitthāratopi naṃ bhāsissāmīti vuttaṃ hoti, saṅkhepavitthāravācakāni hi etāni padāni. Yathāha vaṅgīsatthero –
‘‘สํขิเตฺตนปิ เทเสติ, วิตฺถาเรนปิ ภาสติ;
‘‘Saṃkhittenapi deseti, vitthārenapi bhāsati;
สาฬิกายิว นิโคฺฆโส, ปฎิภานํ อุทีรยี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๑๔);
Sāḷikāyiva nigghoso, paṭibhānaṃ udīrayī’’ti. (saṃ. ni. 1.214);
เอวํ วุเตฺต อุสฺสาหชาตา หุตฺวา เอวํ ภเนฺตติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํ สตฺถุ วจนํ สมฺปฎิจฺฉิํสุ, ปฎิคฺคเหสุนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อถ เนสํ ภควา เอตทโวจ เอตํ อิทานิ วตฺตพฺพํ อิธ ภิกฺขโวติอาทิกํ สกลํ สุตฺตํ อโวจฯ ตตฺถ อิธาติ เทสาปเทเส นิปาโตฯ สฺวายํ กตฺถจิ โลกํ อุปาทาย วุจฺจติฯ ยถาห – ‘‘อิธ ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๙๐)ฯ กตฺถจิ สาสนํฯ ยถาห – ‘‘อิเธว, ภิกฺขเว, สมโณ, อิธ ทุติโย สมโณ’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔๑)ฯ กตฺถจิ โอกาสํฯ ยถาห –
Evaṃ vutte ussāhajātā hutvā evaṃ bhanteti kho te bhikkhū bhagavato paccassosuṃ satthu vacanaṃ sampaṭicchiṃsu, paṭiggahesunti vuttaṃ hoti. Atha nesaṃ bhagavā etadavoca etaṃ idāni vattabbaṃ idha bhikkhavotiādikaṃ sakalaṃ suttaṃ avoca. Tattha idhāti desāpadese nipāto. Svāyaṃ katthaci lokaṃ upādāya vuccati. Yathāha – ‘‘idha tathāgato loke uppajjatī’’ti (dī. ni. 1.190). Katthaci sāsanaṃ. Yathāha – ‘‘idheva, bhikkhave, samaṇo, idha dutiyo samaṇo’’ti (a. ni. 4.241). Katthaci okāsaṃ. Yathāha –
‘‘อิเธว ติฎฺฐมานสฺส, เทวภูตสฺส เม สโต;
‘‘Idheva tiṭṭhamānassa, devabhūtassa me sato;
ปุนรายุ จ เม ลโทฺธ, เอวํ ชานาหิ มาริสา’’ติฯ (ที. นิ. ๒.๓๖๙);
Punarāyu ca me laddho, evaṃ jānāhi mārisā’’ti. (dī. ni. 2.369);
กตฺถจิ ปทปูรณมตฺตเมวฯ ยถาห ‘‘อิธาหํ – ภิกฺขเว, ภุตฺตาวี อสฺสํ ปวาริโต’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๐)ฯ อิธ ปน โลกํ อุปาทาย วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ
Katthaci padapūraṇamattameva. Yathāha ‘‘idhāhaṃ – bhikkhave, bhuttāvī assaṃ pavārito’’ti (ma. ni. 1.30). Idha pana lokaṃ upādāya vuttoti veditabbo.
๒. ภิกฺขเวติ ยถาปฎิญฺญาตํ เทสนํ เทเสตุํ ปุน ภิกฺขู อาลปติฯ อุภเยนาปิ, ภิกฺขเว, อิมสฺมิํ โลเกติ วุตฺตํ โหติฯ อสฺสุตวา ปุถุชฺชโนติ เอตฺถ ปน อาคมาธิคมาภาวา เญโยฺย อสฺสุตวา อิติฯ ยสฺส หิ ขนฺธธาตุอายตนสจฺจปจฺจยาการสติปฎฺฐานาทีสุ อุคฺคหปริปุจฺฉาวินิจฺฉยรหิตตฺตา มญฺญนาปฎิเสธโก เนว อาคโม, ปฎิปตฺติยา อธิคนฺตพฺพสฺส อนธิคตตฺตา เนว อธิคโม อตฺถิฯ โส อาคมาธิคมาภาวา เญโยฺย อสฺสุตวา อิติฯ สฺวายํ –
2.Bhikkhaveti yathāpaṭiññātaṃ desanaṃ desetuṃ puna bhikkhū ālapati. Ubhayenāpi, bhikkhave, imasmiṃ loketi vuttaṃ hoti. Assutavā puthujjanoti ettha pana āgamādhigamābhāvā ñeyyo assutavā iti. Yassa hi khandhadhātuāyatanasaccapaccayākārasatipaṭṭhānādīsu uggahaparipucchāvinicchayarahitattā maññanāpaṭisedhako neva āgamo, paṭipattiyā adhigantabbassa anadhigatattā neva adhigamo atthi. So āgamādhigamābhāvā ñeyyo assutavā iti. Svāyaṃ –
ปุถูนํ ชนนาทีหิ, การเณหิ ปุถุชฺชโน;
Puthūnaṃ jananādīhi, kāraṇehi puthujjano;
ปุถุชฺชนโนฺตคธตฺตา, ปุถุวายํ ชโน อิติฯ
Puthujjanantogadhattā, puthuvāyaṃ jano iti.
โส หิ ปุถูนํ นานปฺปการานํ กิเลสาทีนํ ชนนาทีหิ การเณหิ ปุถุชฺชโนฯ ยถาห – ปุถุ กิเลเส ชเนนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ อวิหตสกฺกายทิฎฺฐิกาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ สตฺถารานํ มุขมุโลฺลกิกาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ สพฺพคตีหิ อวุฎฺฐิตาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ นานาภิสงฺขาเร อภิสงฺขโรนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ นานาโอเฆหิ วุยฺหนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ นานาสนฺตาเปหิ สนฺตปฺปนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ นานาปริฬาเหหิ ปริทยฺหนฺตีติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ ปญฺจสุ กามคุเณสุ รตฺตา คิทฺธา คธิตา มุจฺฉิตา อโชฺฌสนฺนา ลคฺคา ลคิตา ปลิพุทฺธาติ ปุถุชฺชนา, ปุถุ ปญฺจหิ นีวรเณหิ อาวุฎา นิวุตา โอวุตา ปิหิตา ปฎิจฺฉนฺนา ปฎิกุชฺชิตาติ ปุถุชฺชนาติ (มหานิ. ๕๑)ฯ ปุถูนํ วา คณนปถมตีตานํ อริยธมฺมปรมฺมุขานํ นีจธมฺมสมาจารานํ ชนานํ อโนฺตคธตฺตาปิ ปุถุชฺชนาฯ ปุถุ วา อยํ, วิสุํเยว สงฺขํ คโต, วิสํสโฎฺฐ สีลสุตาทิคุณยุเตฺตหิ อริเยหิ ชโนติปิ ปุถุชฺชโนฯ เอวเมเตหิ ‘‘อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน’’ติ ทฺวีหิปิ ปเทหิ เยเต –
So hi puthūnaṃ nānappakārānaṃ kilesādīnaṃ jananādīhi kāraṇehi puthujjano. Yathāha – puthu kilese janentīti puthujjanā, puthu avihatasakkāyadiṭṭhikāti puthujjanā, puthu satthārānaṃ mukhamullokikāti puthujjanā, puthu sabbagatīhi avuṭṭhitāti puthujjanā, puthu nānābhisaṅkhāre abhisaṅkharontīti puthujjanā, puthu nānāoghehi vuyhantīti puthujjanā, puthu nānāsantāpehi santappantīti puthujjanā, puthu nānāpariḷāhehi paridayhantīti puthujjanā, puthu pañcasu kāmaguṇesu rattā giddhā gadhitā mucchitā ajjhosannā laggā lagitā palibuddhāti puthujjanā, puthu pañcahi nīvaraṇehi āvuṭā nivutā ovutā pihitā paṭicchannā paṭikujjitāti puthujjanāti (mahāni. 51). Puthūnaṃ vā gaṇanapathamatītānaṃ ariyadhammaparammukhānaṃ nīcadhammasamācārānaṃ janānaṃ antogadhattāpi puthujjanā. Puthu vā ayaṃ, visuṃyeva saṅkhaṃ gato, visaṃsaṭṭho sīlasutādiguṇayuttehi ariyehi janotipi puthujjano. Evametehi ‘‘assutavā puthujjano’’ti dvīhipi padehi yete –
ทุเว ปุถุชฺชนา วุตฺตา, พุเทฺธนาทิจฺจพนฺธุนา;
Duve puthujjanā vuttā, buddhenādiccabandhunā;
อโนฺธ ปุถุชฺชโน เอโก, กลฺยาเณโก ปุถุชฺชโนติฯ –
Andho puthujjano eko, kalyāṇeko puthujjanoti. –
เทฺว ปุถุชฺชนา วุตฺตาฯ เตสุ อนฺธปุถุชฺชโน วุโตฺต โหตีติ เวทิตโพฺพฯ อริยานํ อทสฺสาวีติอาทีสุ อริยาติ อารกตฺตา กิเลเสหิ, อนเย นอิริยนโต, อเย อิริยนโต, สเทวเกน จ โลเกน อรณียโต พุทฺธา จ ปเจฺจกพุทฺธา จ พุทฺธสาวกา จ วุจฺจนฺติ, พุทฺธา เอว วา อิธ อริยาฯ ยถาห ‘‘สเทวเก, ภิกฺขเว, โลเก…เป.… ตถาคโต อริโยติ วุจฺจตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๙๘)ฯ สปฺปุริสาติ เอตฺถ ปน ปเจฺจกพุทฺธา ตถาคตสาวกา จ ‘‘สปฺปุริสา’’ติ เวทิตพฺพาฯ เต หิ โลกุตฺตรคุณโยเคน โสภนา ปุริสาติ สปฺปุริสาฯ สเพฺพว วา เอเต เทฺวธาปิ วุตฺตาฯ พุทฺธาปิ หิ อริยา จ สปฺปุริสา จ, ปเจฺจกพุทฺธา พุทฺธสาวกาปิฯ ยถาห –
Dve puthujjanā vuttā. Tesu andhaputhujjano vutto hotīti veditabbo. Ariyānaṃ adassāvītiādīsu ariyāti ārakattā kilesehi, anaye nairiyanato, aye iriyanato, sadevakena ca lokena araṇīyato buddhā ca paccekabuddhā ca buddhasāvakā ca vuccanti, buddhā eva vā idha ariyā. Yathāha ‘‘sadevake, bhikkhave, loke…pe… tathāgato ariyoti vuccatī’’ti (saṃ. ni. 5.1098). Sappurisāti ettha pana paccekabuddhā tathāgatasāvakā ca ‘‘sappurisā’’ti veditabbā. Te hi lokuttaraguṇayogena sobhanā purisāti sappurisā. Sabbeva vā ete dvedhāpi vuttā. Buddhāpi hi ariyā ca sappurisā ca, paccekabuddhā buddhasāvakāpi. Yathāha –
‘‘โย เว กตญฺญู กตเวทิ ธีโร,
‘‘Yo ve kataññū katavedi dhīro,
กลฺยาณมิโตฺต ทฬฺหภตฺติ จ โหติ;
Kalyāṇamitto daḷhabhatti ca hoti;
ทุขิตสฺส สกฺกจฺจ กโรติ กิจฺจํ,
Dukhitassa sakkacca karoti kiccaṃ,
ตถาวิธํ สปฺปุริสํ วทนฺตี’’ติฯ (ชา. ๒.๑๗.๗๘);
Tathāvidhaṃ sappurisaṃ vadantī’’ti. (jā. 2.17.78);
กลฺยาณมิโตฺต ทฬฺหภตฺติ จ โหตีติ เอตฺตาวตา หิ พุทฺธสาวโก วุโตฺต, กตญฺญุตาทีหิ ปเจฺจกพุทฺธา พุทฺธาติฯ อิทานิ โย เตสํ อริยานํ อทสฺสนสีโล, น จ ทสฺสเน สาธุการี, โส อริยานํ อทสฺสาวีติ เวทิตโพฺพฯ โส จ จกฺขุนา อทสฺสาวี ญาเณน อทสฺสาวีติ ทุวิโธ, เตสุ ญาเณน อทสฺสาวี อิธ อธิเปฺปโตฯ มํสจกฺขุนา หิ ทิพฺพจกฺขุนา วา อริยา ทิฎฺฐาปิ อทิฎฺฐาว โหนฺติฯ เตสํ จกฺขูนํ วณฺณมตฺตคฺคหณโต, น อริยภาวโคจรโตฯ โสณสิงฺคาลาทโยปิ จ จกฺขุนา อริเย ปสฺสนฺติฯ น จ เต อริยานํ ทสฺสาวิโนฯ
Kalyāṇamitto daḷhabhatti ca hotīti ettāvatā hi buddhasāvako vutto, kataññutādīhi paccekabuddhā buddhāti. Idāni yo tesaṃ ariyānaṃ adassanasīlo, na ca dassane sādhukārī, so ariyānaṃ adassāvīti veditabbo. So ca cakkhunā adassāvī ñāṇena adassāvīti duvidho, tesu ñāṇena adassāvī idha adhippeto. Maṃsacakkhunā hi dibbacakkhunā vā ariyā diṭṭhāpi adiṭṭhāva honti. Tesaṃ cakkhūnaṃ vaṇṇamattaggahaṇato, na ariyabhāvagocarato. Soṇasiṅgālādayopi ca cakkhunā ariye passanti. Na ca te ariyānaṃ dassāvino.
ตตฺริทํ วตฺถุ – จิตฺตลปพฺพตวาสิโน กิร ขีณาสวเตฺถรสฺส อุปฎฺฐาโก วุฑฺฒปพฺพชิโต เอกทิวสํ เถเรน สทฺธิํ ปิณฺฑาย จริตฺวา เถรสฺส ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา ปิฎฺฐิโต อาคจฺฉโนฺต เถรํ ปุจฺฉิ ‘‘อริยา นาม, ภเนฺต, กีทิสา’’ติฯ เถโร อาห ‘‘อิเธกโจฺจ มหลฺลโก อริยานํ ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา วตฺตปฎิปตฺติํ กตฺวา สหจรโนฺตปิ เนว อริเย ชานาติ, เอวํ ทุชฺชานา, อาวุโส, อริยา’’ติฯ เอวํ วุเตฺตปิ โส เนว อญฺญาสิฯ ตสฺมา น จกฺขุนา ทสฺสนํ ทสฺสนํ, ญาเณน ทสฺสนเมว ทสฺสนํฯ ยถาห ‘‘กิํ เต, วกฺกลิ, อิมินา ปูติกาเยน ทิเฎฺฐน, โย โข, วกฺกลิ , ธมฺมํ ปสฺสติ, โส มํ ปสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๘๗)ฯ ตสฺมา จกฺขุนา ปสฺสโนฺตปิ ญาเณน อริเยหิ ทิฎฺฐํ อนิจฺจาทิลกฺขณํ อปสฺสโนฺต อริยาธิคตญฺจ ธมฺมํ อนธิคจฺฉโนฺต อริยกรธมฺมานํ อริยภาวสฺส จ อทิฎฺฐตฺตา ‘‘อริยานํ อทสฺสาวี’’ติ เวทิตโพฺพฯ
Tatridaṃ vatthu – cittalapabbatavāsino kira khīṇāsavattherassa upaṭṭhāko vuḍḍhapabbajito ekadivasaṃ therena saddhiṃ piṇḍāya caritvā therassa pattacīvaraṃ gahetvā piṭṭhito āgacchanto theraṃ pucchi ‘‘ariyā nāma, bhante, kīdisā’’ti. Thero āha ‘‘idhekacco mahallako ariyānaṃ pattacīvaraṃ gahetvā vattapaṭipattiṃ katvā sahacarantopi neva ariye jānāti, evaṃ dujjānā, āvuso, ariyā’’ti. Evaṃ vuttepi so neva aññāsi. Tasmā na cakkhunā dassanaṃ dassanaṃ, ñāṇena dassanameva dassanaṃ. Yathāha ‘‘kiṃ te, vakkali, iminā pūtikāyena diṭṭhena, yo kho, vakkali , dhammaṃ passati, so maṃ passatī’’ti (saṃ. ni. 3.87). Tasmā cakkhunā passantopi ñāṇena ariyehi diṭṭhaṃ aniccādilakkhaṇaṃ apassanto ariyādhigatañca dhammaṃ anadhigacchanto ariyakaradhammānaṃ ariyabhāvassa ca adiṭṭhattā ‘‘ariyānaṃ adassāvī’’ti veditabbo.
อริยธมฺมสฺส อโกวิโทติ สติปฎฺฐานาทิเภเท อริยธเมฺม อกุสโลฯ อริยธเมฺม อวินีโตติ เอตฺถ ปน –
Ariyadhammassa akovidoti satipaṭṭhānādibhede ariyadhamme akusalo. Ariyadhamme avinītoti ettha pana –
ทุวิโธ วินโย นาม, เอกเมเกตฺถ ปญฺจธา;
Duvidho vinayo nāma, ekamekettha pañcadhā;
อภาวโต ตสฺส อยํ, ‘‘อวินีโต’’ติ วุจฺจติฯ
Abhāvato tassa ayaṃ, ‘‘avinīto’’ti vuccati.
อยญฺหิ สํวรวินโย ปหานวินโยติ ทุวิโธ วินโยฯ เอตฺถ จ ทุวิเธปิ วินเย เอกเมโก วินโย ปญฺจธา ภิชฺชติฯ สํวรวินโยปิ หิ สีลสํวโร สติสํวโร ญาณสํวโร ขนฺติสํวโร วีริยสํวโรติ ปญฺจวิโธฯ ปหานวินโยปิ ตทงฺคปหานํ วิกฺขมฺภนปหานํ สมุเจฺฉทปหานํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิปหานํ นิสฺสรณปหานนฺติ ปญฺจวิโธฯ
Ayañhi saṃvaravinayo pahānavinayoti duvidho vinayo. Ettha ca duvidhepi vinaye ekameko vinayo pañcadhā bhijjati. Saṃvaravinayopi hi sīlasaṃvaro satisaṃvaro ñāṇasaṃvaro khantisaṃvaro vīriyasaṃvaroti pañcavidho. Pahānavinayopi tadaṅgapahānaṃ vikkhambhanapahānaṃ samucchedapahānaṃ paṭippassaddhipahānaṃ nissaraṇapahānanti pañcavidho.
ตตฺถ ‘‘อิมินา ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต โหติ สมุเปโต’’ติ (วิภ. ๕๑๑) อยํ สีลสํวโรฯ ‘‘รกฺขติ จกฺขุนฺทฺริยํ จกฺขุนฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๑๓; ม. นิ. ๑.๒๙๕; สํ. นิ. ๔.๒๓๙; อ. นิ. ๓.๑๖) อยํ สติสํวโรฯ
Tattha ‘‘iminā pātimokkhasaṃvarena upeto hoti samupeto’’ti (vibha. 511) ayaṃ sīlasaṃvaro. ‘‘Rakkhati cakkhundriyaṃ cakkhundriye saṃvaraṃ āpajjatī’’ti (dī. ni. 1.213; ma. ni. 1.295; saṃ. ni. 4.239; a. ni. 3.16) ayaṃ satisaṃvaro.
‘‘ยานิ โสตานิ โลกสฺมิํ, (อชิตาติ ภควา)
‘‘Yāni sotāni lokasmiṃ, (ajitāti bhagavā)
สติ เตสํ นิวารณํ;
Sati tesaṃ nivāraṇaṃ;
โสตานํ สํวรํ พฺรูมิ,
Sotānaṃ saṃvaraṃ brūmi,
ปญฺญาเยเต ปิธียเร’’ติฯ (สุ. นิ. ๑๐๔๑);
Paññāyete pidhīyare’’ti. (su. ni. 1041);
อยํ ญาณสํวโรฯ ‘‘ขโม โหติ สีตสฺส อุณฺหสฺสา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๓; อ. นิ. ๔.๑๑๔; ๖.๕๘) อยํ ขนฺติสํวโรฯ ‘‘อุปฺปนฺนํ กามวิตกฺกํ นาธิวาเสตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๖; อ. นิ. ๔.๑๑๔; ๖.๕๘) อยํ วีริยสํวโรฯ สโพฺพปิ จายํ สํวโร ยถาสกํ สํวริตพฺพานํ วิเนตพฺพานญฺจ กายทุจฺจริตาทีนํ สํวรณโต ‘‘สํวโร’’, วินยนโต ‘‘วินโย’’ติ วุจฺจติฯ เอวํ ตาว สํวรวินโย ปญฺจธา ภิชฺชตีติ เวทิตโพฺพฯ
Ayaṃ ñāṇasaṃvaro. ‘‘Khamo hoti sītassa uṇhassā’’ti (ma. ni. 1.23; a. ni. 4.114; 6.58) ayaṃ khantisaṃvaro. ‘‘Uppannaṃ kāmavitakkaṃ nādhivāsetī’’ti (ma. ni. 1.26; a. ni. 4.114; 6.58) ayaṃ vīriyasaṃvaro. Sabbopi cāyaṃ saṃvaro yathāsakaṃ saṃvaritabbānaṃ vinetabbānañca kāyaduccaritādīnaṃ saṃvaraṇato ‘‘saṃvaro’’, vinayanato ‘‘vinayo’’ti vuccati. Evaṃ tāva saṃvaravinayo pañcadhā bhijjatīti veditabbo.
ตถา ยํ นามรูปปริเจฺฉทาทีสุ วิปสฺสนาญาเณสุ ปฎิปกฺขภาวโต ทีปาโลเกเนว ตมสฺส, เตน เตน วิปสฺสนาญาเณน ตสฺส ตสฺส อนตฺถสฺส ปหานํฯ เสยฺยถิทํ, นามรูปววตฺถาเนน สกฺกายทิฎฺฐิยา, ปจฺจยปริคฺคเหน อเหตุวิสมเหตุทิฎฺฐีนํ, ตเสฺสว อปรภาเคน กงฺขาวิตรเณน กถํกถีภาวสฺส, กลาปสมฺมสเนน ‘‘อหํ มมา’’ติ คาหสฺส, มคฺคามคฺคววตฺถาเนน อมเคฺค มคฺคสญฺญาย, อุทยทสฺสเนน อุเจฺฉททิฎฺฐิยา, วยทสฺสเนน สสฺสตทิฎฺฐิยา, ภยทสฺสเนน สภเย อภยสญฺญาย, อาทีนวทสฺสเนน อสฺสาทสญฺญาย, นิพฺพิทานุปสฺสนาย อภิรติสญฺญาย, มุจฺจิตุกมฺยตาญาเณน อมุจฺจิตุกมฺยตาย, อุเปกฺขาญาเณน อนุเปกฺขาย, อนุโลเมน ธมฺมฎฺฐิติยํ นิพฺพาเน จ ปฎิโลมภาวสฺส, โคตฺรภุนา สงฺขารนิมิตฺตคฺคาหสฺส ปหานํ, เอตํ ตทงฺคปหานํนามฯ
Tathā yaṃ nāmarūpaparicchedādīsu vipassanāñāṇesu paṭipakkhabhāvato dīpālokeneva tamassa, tena tena vipassanāñāṇena tassa tassa anatthassa pahānaṃ. Seyyathidaṃ, nāmarūpavavatthānena sakkāyadiṭṭhiyā, paccayapariggahena ahetuvisamahetudiṭṭhīnaṃ, tasseva aparabhāgena kaṅkhāvitaraṇena kathaṃkathībhāvassa, kalāpasammasanena ‘‘ahaṃ mamā’’ti gāhassa, maggāmaggavavatthānena amagge maggasaññāya, udayadassanena ucchedadiṭṭhiyā, vayadassanena sassatadiṭṭhiyā, bhayadassanena sabhaye abhayasaññāya, ādīnavadassanena assādasaññāya, nibbidānupassanāya abhiratisaññāya, muccitukamyatāñāṇena amuccitukamyatāya, upekkhāñāṇena anupekkhāya, anulomena dhammaṭṭhitiyaṃ nibbāne ca paṭilomabhāvassa, gotrabhunā saṅkhāranimittaggāhassa pahānaṃ, etaṃ tadaṅgapahānaṃnāma.
ยํ ปน อุปจารปฺปนาเภเทน สมาธินา ปวตฺติภาวนิวารณโต ฆฎปฺปหาเรเนว อุทกปิเฎฺฐ เสวาลสฺส เตสํ เตสํ นีวรณาทิธมฺมานํ ปหานํ, เอตํ วิกฺขมฺภนปหานํ นามฯ
Yaṃ pana upacārappanābhedena samādhinā pavattibhāvanivāraṇato ghaṭappahāreneva udakapiṭṭhe sevālassa tesaṃ tesaṃ nīvaraṇādidhammānaṃ pahānaṃ, etaṃ vikkhambhanapahānaṃ nāma.
ยํ จตุนฺนํ อริยมคฺคานํ ภาวิตตฺตา ตํตํมคฺควโต อตฺตโน อตฺตโน สนฺตาเน ‘‘ทิฎฺฐิคตานํ ปหานายา’’ติอาทินา (ธ. ส. ๒๗๗) นเยน วุตฺตสฺส สมุทยปกฺขิกสฺส กิเลสคณสฺส อจฺจนฺตํ อปฺปวตฺติภาเวน ปหานํ, อิทํ สมุเจฺฉทปหานํ นามฯ ยํ ปน ผลกฺขเณ ปฎิปฺปสฺสทฺธตฺตํ กิเลสานํ, เอตํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิปหานํ นามฯ ยํ สพฺพสงฺขตนิสฺสฎตฺตา ปหีนสพฺพสงฺขตํ นิพฺพานํ เอตํ นิสฺสรณปหานํ นามฯ สพฺพมฺปิ เจตํ ปหานํ ยสฺมา จาคเฎฺฐน ปหานํ, วินยนเฎฺฐน วินโย, ตสฺมา ‘‘ปหานวินโย’’ติ วุจฺจติฯ ตํตํปหานวโต วา ตสฺส ตสฺส วินยสฺส สมฺภวโตเปตํ ‘‘ปหานวินโย’’ติ วุจฺจติฯ เอวํ ปหานวินโยปิ ปญฺจธา ภิชฺชตีติ เวทิตโพฺพฯ
Yaṃ catunnaṃ ariyamaggānaṃ bhāvitattā taṃtaṃmaggavato attano attano santāne ‘‘diṭṭhigatānaṃ pahānāyā’’tiādinā (dha. sa. 277) nayena vuttassa samudayapakkhikassa kilesagaṇassa accantaṃ appavattibhāvena pahānaṃ, idaṃ samucchedapahānaṃ nāma. Yaṃ pana phalakkhaṇe paṭippassaddhattaṃ kilesānaṃ, etaṃ paṭippassaddhipahānaṃ nāma. Yaṃ sabbasaṅkhatanissaṭattā pahīnasabbasaṅkhataṃ nibbānaṃ etaṃ nissaraṇapahānaṃ nāma. Sabbampi cetaṃ pahānaṃ yasmā cāgaṭṭhena pahānaṃ, vinayanaṭṭhena vinayo, tasmā ‘‘pahānavinayo’’ti vuccati. Taṃtaṃpahānavato vā tassa tassa vinayassa sambhavatopetaṃ ‘‘pahānavinayo’’ti vuccati. Evaṃ pahānavinayopi pañcadhā bhijjatīti veditabbo.
เอวมยํ สเงฺขปโต ทุวิโธ, เภทโต จ ทสวิโธ วินโย ภินฺนสํวรตฺตา ปหาตพฺพสฺส จ อปฺปหีนตฺตา ยสฺมา เอตสฺส อสฺสุตวโต ปุถุชฺชนสฺส นตฺถิ, ตสฺมา อภาวโต ตสฺส อยํ อวินีโตติ วุจฺจตีติฯ เอส นโย สปฺปุริสานํ อทสฺสาวี สปฺปุริสธมฺมสฺส อโกวิโท สปฺปุริสธเมฺม อวินีโตติ เอตฺถปิฯ นินฺนานากรณญฺหิ เอตํ อตฺถโตฯ ยถาห ‘‘เยว เต อริยา, เตว เต สปฺปุริสาฯ เยว เต สปฺปุริสา, เตว เต อริยาฯ โย เอว โส อริยานํ ธโมฺม, โส เอว โส สปฺปุริสานํ ธโมฺมฯ โย เอว โส สปฺปุริสานํ ธโมฺม, โส เอว โส อริยานํ ธโมฺมฯ เยว เต อริยวินยา, เตว เต สปฺปุริสวินยาฯ เยว เต สปฺปุริสวินยา, เตว เต อริยวินยาฯ อริเยติ วา สปฺปุริเสติ วา, อริยธเมฺมติ วา สปฺปุริสธเมฺมติ วา, อริยวินเยติ วา สปฺปุริสวินเยติ วา เอเสเส เอเก เอกเตฺถ สเม สมภาเค ตชฺชาเต ตเญฺญวา’’ติฯ
Evamayaṃ saṅkhepato duvidho, bhedato ca dasavidho vinayo bhinnasaṃvarattā pahātabbassa ca appahīnattā yasmā etassa assutavato puthujjanassa natthi, tasmā abhāvato tassa ayaṃ avinītoti vuccatīti. Esa nayo sappurisānaṃ adassāvī sappurisadhammassa akovido sappurisadhamme avinītoti etthapi. Ninnānākaraṇañhi etaṃ atthato. Yathāha ‘‘yeva te ariyā, teva te sappurisā. Yeva te sappurisā, teva te ariyā. Yo eva so ariyānaṃ dhammo, so eva so sappurisānaṃ dhammo. Yo eva so sappurisānaṃ dhammo, so eva so ariyānaṃ dhammo. Yeva te ariyavinayā, teva te sappurisavinayā. Yeva te sappurisavinayā, teva te ariyavinayā. Ariyeti vā sappuriseti vā, ariyadhammeti vā sappurisadhammeti vā, ariyavinayeti vā sappurisavinayeti vā esese eke ekatthe same samabhāge tajjāte taññevā’’ti.
‘‘กสฺมา ปน ภควา สพฺพธมฺมมูลปริยายํ โว, ภิกฺขเว, เทเสสฺสามี’’ติ วตฺวา ตํ อเทเสตฺวาว ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน อริยานํ อทสฺสาวี’’ติ เอวํ ปุถุชฺชนํ นิทฺทิสีติ? ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย ธมฺมเทสนาย ตมตฺถํ อาวิกาตุํฯ ภควโต หิ ธมฺมาธิฎฺฐานา ธมฺมเทสนา, ธมฺมาธิฎฺฐานา ปุคฺคลเทสนา, ปุคฺคลาธิฎฺฐานา ปุคฺคลเทสนา, ปุคฺคลาธิฎฺฐานา ธมฺมเทสนาติ ธมฺมปุคฺคลวเสเนว ตาว จตุพฺพิธา เทสนาฯ
‘‘Kasmā pana bhagavā sabbadhammamūlapariyāyaṃ vo, bhikkhave, desessāmī’’ti vatvā taṃ adesetvāva ‘‘idha, bhikkhave, assutavā puthujjano ariyānaṃ adassāvī’’ti evaṃ puthujjanaṃ niddisīti? Puggalādhiṭṭhānāya dhammadesanāya tamatthaṃ āvikātuṃ. Bhagavato hi dhammādhiṭṭhānā dhammadesanā, dhammādhiṭṭhānā puggaladesanā, puggalādhiṭṭhānā puggaladesanā, puggalādhiṭṭhānā dhammadesanāti dhammapuggalavaseneva tāva catubbidhā desanā.
ตตฺถ, ‘‘ติโสฺส อิมา, ภิกฺขเว, เวทนาฯ กตมา ติโสฺส? สุขา เวทนา ทุกฺขา เวทนา อทุกฺขมสุขา เวทนาฯ อิมา โข, ภิกฺขเว, ติโสฺส เวทนา’’ติ (สํ. นิ. ๔.๒๕๐) เอวรูปี ธมฺมาธิฎฺฐานา ธมฺมเทสนา เวทิตพฺพาฯ ‘‘ฉ ธาตุโย อยํ ปุติโส ฉ ผสฺสายตโน อฎฺฐารส มโนปวิจาโร จตุราธิฎฺฐาโน’’ติ (ม. นิ. ๓.๓๔๓) เอวรูปี ธมฺมาธิฎฺฐานา ปุคฺคลเทสนาฯ ‘‘ตโยเม, ภิกฺขเว, ปุคฺคลา สโนฺต สํวิชฺชมานา โลกสฺมิํฯ กตเม ตโย? อโนฺธ เอกจกฺขุ ทฺวิจกฺขุฯ กตโม จ, ภิกฺขเว, ปุคฺคโล อโนฺธ’’ติ? (อ. นิ. ๓.๒๙) เอวรูปี ปุคฺคลาธิฎฺฐานา ปุคฺคลเทสนาฯ ‘‘กตมญฺจ, ภิกฺขเว, ทุคฺคติภยํ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ, กายทุจฺจริตสฺส โข ปาปโก วิปาโก อภิสมฺปรายํ…เป.… สุทฺธมตฺตานํ ปริหรติฯ อิทํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ทุคฺคติภย’’นฺติ (อ. นิ. ๔.๑๒๑) เอวรูปี ปุคฺคลาธิฎฺฐานา ธมฺมเทสนาฯ
Tattha, ‘‘tisso imā, bhikkhave, vedanā. Katamā tisso? Sukhā vedanā dukkhā vedanā adukkhamasukhā vedanā. Imā kho, bhikkhave, tisso vedanā’’ti (saṃ. ni. 4.250) evarūpī dhammādhiṭṭhānā dhammadesanā veditabbā. ‘‘Cha dhātuyo ayaṃ putiso cha phassāyatano aṭṭhārasa manopavicāro caturādhiṭṭhāno’’ti (ma. ni. 3.343) evarūpī dhammādhiṭṭhānā puggaladesanā. ‘‘Tayome, bhikkhave, puggalā santo saṃvijjamānā lokasmiṃ. Katame tayo? Andho ekacakkhu dvicakkhu. Katamo ca, bhikkhave, puggalo andho’’ti? (A. ni. 3.29) evarūpī puggalādhiṭṭhānā puggaladesanā. ‘‘Katamañca, bhikkhave, duggatibhayaṃ? Idha, bhikkhave, ekacco iti paṭisañcikkhati, kāyaduccaritassa kho pāpako vipāko abhisamparāyaṃ…pe… suddhamattānaṃ pariharati. Idaṃ vuccati, bhikkhave, duggatibhaya’’nti (a. ni. 4.121) evarūpī puggalādhiṭṭhānā dhammadesanā.
สฺวายํ อิธ ยสฺมา ปุถุชฺชโน อปริญฺญาตวตฺถุโก, อปริญฺญามูลิกา จ อิธาธิเปฺปตานํ สพฺพธมฺมานํ มูลภูตา มญฺญนา โหติ, ตสฺมา ปุถุชฺชนํ ทเสฺสตฺวา ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เทสนาย ตมตฺถํ อาวิกาตุํ, ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน อริยานํ อทสฺสาวี’’ติ เอวํ ปุถุชฺชนํ นิทฺทิสีติ เวทิตโพฺพฯ
Svāyaṃ idha yasmā puthujjano apariññātavatthuko, apariññāmūlikā ca idhādhippetānaṃ sabbadhammānaṃ mūlabhūtā maññanā hoti, tasmā puthujjanaṃ dassetvā puggalādhiṭṭhānāya desanāya tamatthaṃ āvikātuṃ, ‘‘idha, bhikkhave, assutavā puthujjano ariyānaṃ adassāvī’’ti evaṃ puthujjanaṃ niddisīti veditabbo.
สุตฺตนิเกฺขปวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanikkhepavaṇṇanā niṭṭhitā.
ปถวีวารวณฺณนา
Pathavīvāravaṇṇanā
เอวํ ปุถุชฺชนํ นิทฺทิสิตฺวา อิทานิ ตสฺส ปถวีอาทีสุ วตฺถูสุ สพฺพสกฺกายธมฺมชนิตํ มญฺญนํ ทเสฺสโนฺต, ปถวิํ ปถวิโตติอาทิมาหฯ ตตฺถ ลกฺขณปถวี สสมฺภารปถวี อารมฺมณปถวี สมฺมุติปถวีติ จตุพฺพิธา ปถวีฯ ตาสุ ‘‘กตมา จ, อาวุโส, อชฺฌตฺติกา ปถวีธาตุ? ยํ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ กกฺขฬํ ขริคต’’นฺติอาทีสุ (วิภ. ๑๗๓) วุตฺตา ลกฺขณปถวีฯ ‘‘ปถวิํ ขเณยฺย วา ขณาเปยฺย วา’’ติอาทีสุ (ปาจิ. ๘๕) วุตฺตา สสมฺภารปถวีฯ เย จ เกสาทโย วีสติ โกฎฺฐาสา, อโยโลหาทโย จ พาหิราฯ สา หิ วณฺณาทีหิ สมฺภาเรหิ สทฺธิํ ปถวีติ สสมฺภารปถวีฯ ‘‘ปถวีกสิณเมโก สญฺชานาตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๓๖๐) อาคตา ปน อารมฺมณปถวี, นิมิตฺตปถวีติปิ วุจฺจติฯ ปถวีกสิณชฺฌานลาภี เทวโลเก นิพฺพโตฺต อาคมนวเสน ปถวีเทวตาติ นามํ ลภติฯ อยํ สมฺมุติปถวีติ เวทิตพฺพาฯ สา สพฺพาปิ อิธ ลพฺภติฯ ตาสุ ยํกญฺจิ ปถวิํ อยํ ปุถุชฺชโน ปถวิโต สญฺชานาติ, ปถวีติ สญฺชานาติ, ปถวีภาเคน สญฺชานาติ, โลกโวหารํ คเหตฺวา สญฺญาวิปลฺลาเสน สญฺชานาติ ปถวีติฯ เอวํ ปถวีภาคํ อมุญฺจโนฺตเยว วา เอตํ ‘‘สโตฺตติ วา สตฺตสฺสา’’ติ วา อาทินา นเยน สญฺชานาติฯ กสฺมา เอวํ สญฺชานาตีติ น วตฺตพฺพํฯ อุมฺมตฺตโก วิย หิ ปุถุชฺชโนฯ โส ยํกิญฺจิ เยน เกนจิ อากาเรน คณฺหาติฯ อริยานํ อทสฺสาวิตาทิเภทเมว วา เอตฺถ การณํฯ ยํ วา ปรโต ‘‘อปริญฺญาตํ ตสฺสา’’ติ วทเนฺตน ภควตาว วุตฺตํฯ
Evaṃ puthujjanaṃ niddisitvā idāni tassa pathavīādīsu vatthūsu sabbasakkāyadhammajanitaṃ maññanaṃ dassento, pathaviṃ pathavitotiādimāha. Tattha lakkhaṇapathavī sasambhārapathavī ārammaṇapathavī sammutipathavīti catubbidhā pathavī. Tāsu ‘‘katamā ca, āvuso, ajjhattikā pathavīdhātu? Yaṃ ajjhattaṃ paccattaṃ kakkhaḷaṃ kharigata’’ntiādīsu (vibha. 173) vuttā lakkhaṇapathavī. ‘‘Pathaviṃ khaṇeyya vā khaṇāpeyya vā’’tiādīsu (pāci. 85) vuttā sasambhārapathavī. Ye ca kesādayo vīsati koṭṭhāsā, ayolohādayo ca bāhirā. Sā hi vaṇṇādīhi sambhārehi saddhiṃ pathavīti sasambhārapathavī. ‘‘Pathavīkasiṇameko sañjānātī’’tiādīsu (dī. ni. 3.360) āgatā pana ārammaṇapathavī, nimittapathavītipi vuccati. Pathavīkasiṇajjhānalābhī devaloke nibbatto āgamanavasena pathavīdevatāti nāmaṃ labhati. Ayaṃ sammutipathavīti veditabbā. Sā sabbāpi idha labbhati. Tāsu yaṃkañci pathaviṃ ayaṃ puthujjano pathavito sañjānāti, pathavīti sañjānāti, pathavībhāgena sañjānāti, lokavohāraṃ gahetvā saññāvipallāsena sañjānāti pathavīti. Evaṃ pathavībhāgaṃ amuñcantoyeva vā etaṃ ‘‘sattoti vā sattassā’’ti vā ādinā nayena sañjānāti. Kasmā evaṃ sañjānātīti na vattabbaṃ. Ummattako viya hi puthujjano. So yaṃkiñci yena kenaci ākārena gaṇhāti. Ariyānaṃ adassāvitādibhedameva vā ettha kāraṇaṃ. Yaṃ vā parato ‘‘apariññātaṃ tassā’’ti vadantena bhagavatāva vuttaṃ.
ปถวิํ ปถวิโต สญฺญตฺวาติ โส ตํ ปถวิํ เอวํ วิปรีตสญฺญาย สญฺชานิตฺวา, ‘‘สญฺญานิทานา หิ ปปญฺจสงฺขา’’ติ (สุ. นิ. ๘๘๐) วจนโต อปรภาเค ถามปเตฺตหิ ตณฺหามานทิฎฺฐิปปเญฺจหิ อิธ มญฺญนานาเมน วุเตฺตหิ มญฺญติ กเปฺปติ วิกเปฺปติ, นานปฺปการโต อญฺญถา คณฺหาติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปถวิํ มญฺญตี’’ติฯ เอวํ มญฺญโต จสฺส ตา มญฺญนา โอฬาริกนเยน ทเสฺสตุํ ‘‘ยา อยํ เกสา โลมา’’ติอาทินา นเยน วีสติเภทา อชฺฌตฺติกา ปถวี วุตฺตาฯ ยา จายํ วิภเงฺค ‘‘ตตฺถ กตมา พาหิรา ปถวีธาตุ? ยํ พาหิรํ กกฺขฬํ ขริคตํ กกฺขฬตฺตํ กกฺขฬภาโว พหิทฺธา อนุปาทินฺนํฯ เสยฺยถิทํ, อโย โลหํ ติปุ สีสํ สชฺฌํ มุตฺตา มณิ เวฬุริยํ สโงฺข สิลา ปวาฬํ รชตํ ชาตรูปํ โลหิตโงฺก มสารคลฺลํ ติณํ กฎฺฐํ สกฺขรา กฐลํ ภูมิ ปาสาโณ ปพฺพโต’’ติ (วิภ. ๑๗๓) เอวํ พาหิรา ปถวี วุตฺตาฯ ยา จ อชฺฌตฺตารมฺมณตฺติเก นิมิตฺตปถวี, ตํ คเหตฺวา อยมตฺถโยชนา วุจฺจติฯ
Pathaviṃ pathavito saññatvāti so taṃ pathaviṃ evaṃ viparītasaññāya sañjānitvā, ‘‘saññānidānā hi papañcasaṅkhā’’ti (su. ni. 880) vacanato aparabhāge thāmapattehi taṇhāmānadiṭṭhipapañcehi idha maññanānāmena vuttehi maññati kappeti vikappeti, nānappakārato aññathā gaṇhāti. Tena vuttaṃ ‘‘pathaviṃ maññatī’’ti. Evaṃ maññato cassa tā maññanā oḷārikanayena dassetuṃ ‘‘yā ayaṃ kesā lomā’’tiādinā nayena vīsatibhedā ajjhattikā pathavī vuttā. Yā cāyaṃ vibhaṅge ‘‘tattha katamā bāhirā pathavīdhātu? Yaṃ bāhiraṃ kakkhaḷaṃ kharigataṃ kakkhaḷattaṃ kakkhaḷabhāvo bahiddhā anupādinnaṃ. Seyyathidaṃ, ayo lohaṃ tipu sīsaṃ sajjhaṃ muttā maṇi veḷuriyaṃ saṅkho silā pavāḷaṃ rajataṃ jātarūpaṃ lohitaṅko masāragallaṃ tiṇaṃ kaṭṭhaṃ sakkharā kaṭhalaṃ bhūmi pāsāṇo pabbato’’ti (vibha. 173) evaṃ bāhirā pathavī vuttā. Yā ca ajjhattārammaṇattike nimittapathavī, taṃ gahetvā ayamatthayojanā vuccati.
ปถวิํ มญฺญตีติ ตีหิ มญฺญนาหิ อหํ ปถวีติ มญฺญติ, มม ปถวีติ มญฺญติ, ปโร ปถวีติ มญฺญติ, ปรสฺส ปถวีติ มญฺญติ, อถ วา อชฺฌตฺติกํ ปถวิํ ตณฺหามญฺญนาย มญฺญติ, มานมญฺญนาย มญฺญติ, ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญติฯ กถํ? อยญฺหิ เกสาทีสุ ฉนฺทราคํ ชเนติ เกเส อสฺสาเทติ อภินนฺทติ อภิวทติ อโชฺฌสาย ติฎฺฐติฯ โลเม, นเข, ทเนฺต, ตจํ, อญฺญตรํ วา ปน รชฺชนียวตฺถุํฯ เอวํ อชฺฌตฺติกํ ปถวิํ ตณฺหามญฺญนาย มญฺญติฯ อิติ เม เกสา สิยุํ อนาคตมทฺธานํฯ อิติ โลมาติอาทินา วา ปน นเยน ตตฺถ นนฺทิํ สมนฺนาเนติฯ ‘‘อิมินาหํ สีเลน วา…เป.… พฺรหฺมจริเยน วา เอวํ สินิทฺธมุทุสุขุมนีลเกโส ภวิสฺสามี’’ติอาทินา วา ปน นเยน อปฺปฎิลทฺธานํ ปฎิลาภาย จิตฺตํ ปณิทหติฯ เอวมฺปิ อชฺฌตฺติกํ ปถวิํ ตณฺหามญฺญนาย มญฺญติฯ
Pathaviṃ maññatīti tīhi maññanāhi ahaṃ pathavīti maññati, mama pathavīti maññati, paro pathavīti maññati, parassa pathavīti maññati, atha vā ajjhattikaṃ pathaviṃ taṇhāmaññanāya maññati, mānamaññanāya maññati, diṭṭhimaññanāya maññati. Kathaṃ? Ayañhi kesādīsu chandarāgaṃ janeti kese assādeti abhinandati abhivadati ajjhosāya tiṭṭhati. Lome, nakhe, dante, tacaṃ, aññataraṃ vā pana rajjanīyavatthuṃ. Evaṃ ajjhattikaṃ pathaviṃ taṇhāmaññanāya maññati. Iti me kesā siyuṃ anāgatamaddhānaṃ. Iti lomātiādinā vā pana nayena tattha nandiṃ samannāneti. ‘‘Imināhaṃ sīlena vā…pe… brahmacariyena vā evaṃ siniddhamudusukhumanīlakeso bhavissāmī’’tiādinā vā pana nayena appaṭiladdhānaṃ paṭilābhāya cittaṃ paṇidahati. Evampi ajjhattikaṃ pathaviṃ taṇhāmaññanāya maññati.
ตถา อตฺตโน เกสาทีนํ สมฺปตฺติํ วา วิปตฺติํ วา นิสฺสาย มานํ ชเนติ, ‘‘เสโยฺยหมสฺมีติ วา สทิโสหมสฺมีติ วา หีโนหมสฺมีติ วา’’ติฯ เอวํ อชฺฌตฺติกํ ปถวิํ มานมญฺญนาย มญฺญติฯ ‘‘ตํ ชีวํ ตํ สรีร’’นฺติ (ม. นิ. ๒.๑๘๗) อาคตนเยน ปน เกสํ ‘‘ชีโว’’ติ อภินิวิสติฯ เอส นโย โลมาทีสุฯ เอวํ อชฺฌตฺติกํ ปถวิํ ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญติฯ
Tathā attano kesādīnaṃ sampattiṃ vā vipattiṃ vā nissāya mānaṃ janeti, ‘‘seyyohamasmīti vā sadisohamasmīti vā hīnohamasmīti vā’’ti. Evaṃ ajjhattikaṃ pathaviṃ mānamaññanāya maññati. ‘‘Taṃ jīvaṃ taṃ sarīra’’nti (ma. ni. 2.187) āgatanayena pana kesaṃ ‘‘jīvo’’ti abhinivisati. Esa nayo lomādīsu. Evaṃ ajjhattikaṃ pathaviṃ diṭṭhimaññanāya maññati.
อถ วา ‘‘ยา เจว โข ปนาวุโส, อชฺฌตฺติกา ปถวีธาตุ, ยา จ พาหิรา ปถวีธาตุ, ปถวีธาตุเรเวสา , ตํ เนตํ มมา’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๐๒) อิมิสฺสา ปวตฺติยา ปจฺจนีกนเยน เกสาทิเภทํ ปถวิํ เอตํ มม เอโสหมสฺมิ เอโส เม อตฺตาติ อภินิวิสติฯ เอวมฺปิ อชฺฌตฺติกํ ปถวิํ ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญติฯ เอวํ ตาว อชฺฌตฺติกํ ปถวิํ ตีหิ มญฺญนาหิ มญฺญติฯ
Atha vā ‘‘yā ceva kho panāvuso, ajjhattikā pathavīdhātu, yā ca bāhirā pathavīdhātu, pathavīdhāturevesā , taṃ netaṃ mamā’’ti (ma. ni. 1.302) imissā pavattiyā paccanīkanayena kesādibhedaṃ pathaviṃ etaṃ mama esohamasmi eso me attāti abhinivisati. Evampi ajjhattikaṃ pathaviṃ diṭṭhimaññanāya maññati. Evaṃ tāva ajjhattikaṃ pathaviṃ tīhi maññanāhi maññati.
ยถา จ อชฺฌตฺติกํ เอวํ พาหิรมฺปิฯ กถํ? ‘‘อยญฺหิ อยโลหาทีสุ ฉนฺทราคํ ชเนติฯ อยโลหาทีนิ อสฺสาเทติ อภินนฺทติ อภิวทติ อโชฺฌสาย ติฎฺฐติฯ มม อโย มม โลหนฺติอาทินา นเยน อยาทีนิ มมายติ รกฺขติ โคปยติ, เอวํ พาหิรํ ปถวิํ ตณฺหามญฺญนาย มญฺญติฯ อิติ เม อยโลหาทโย สิยุํ อนาคตมทฺธานนฺติ วา ปเนตฺถ นนฺทิํ สมนฺนาเนติ, อิมินาหํ สีเลน วา วเตน วา ตเปน วา พฺรหฺมจริเยน วา เอวํ สมฺปนฺนอยโลหาทิอุปกรโณ ภวิสฺสามี’’ติ อปฺปฎิลทฺธสฺส ปฎิลาภาย จิตฺตํ ปณิทหติฯ เอวมฺปิ พาหิรํ ปถวิํ ตณฺหามญฺญนาย มญฺญติฯ
Yathā ca ajjhattikaṃ evaṃ bāhirampi. Kathaṃ? ‘‘Ayañhi ayalohādīsu chandarāgaṃ janeti. Ayalohādīni assādeti abhinandati abhivadati ajjhosāya tiṭṭhati. Mama ayo mama lohantiādinā nayena ayādīni mamāyati rakkhati gopayati, evaṃ bāhiraṃ pathaviṃ taṇhāmaññanāya maññati. Iti me ayalohādayo siyuṃ anāgatamaddhānanti vā panettha nandiṃ samannāneti, imināhaṃ sīlena vā vatena vā tapena vā brahmacariyena vā evaṃ sampannaayalohādiupakaraṇo bhavissāmī’’ti appaṭiladdhassa paṭilābhāya cittaṃ paṇidahati. Evampi bāhiraṃ pathaviṃ taṇhāmaññanāya maññati.
ตถา อตฺตโน อยโลหาทีนํ สมฺปตฺติํ วา วิปตฺติํ วา นิสฺสาย มานํ ชเนติ ‘‘อิมินาหํ เสโยฺยสฺมีติ วา, สทิโสสฺมีติ วา หีโนสฺมีติ วา’’ติ (วิภ. ๘๓๒) เอวํ พาหิรํ ปถวิํ มานมญฺญนาย มญฺญติฯ อเย ชีวสญฺญี หุตฺวา ปน อยํ ‘‘ชีโว’’ติ อภินิวิสติฯ เอส นโย โลหาทีสุฯ เอวํ พาหิรํ ปถวิํ ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญติฯ
Tathā attano ayalohādīnaṃ sampattiṃ vā vipattiṃ vā nissāya mānaṃ janeti ‘‘imināhaṃ seyyosmīti vā, sadisosmīti vā hīnosmīti vā’’ti (vibha. 832) evaṃ bāhiraṃ pathaviṃ mānamaññanāya maññati. Aye jīvasaññī hutvā pana ayaṃ ‘‘jīvo’’ti abhinivisati. Esa nayo lohādīsu. Evaṃ bāhiraṃ pathaviṃ diṭṭhimaññanāya maññati.
อถ วา ‘‘อิเธกโจฺจ ปถวีกสิณํ อตฺตโต สมนุปสฺสติฯ ยํ ปถวีกสิณํ, โส อหํฯ โย อหํ, ตํ ปถวีกสิณนฺติ ปถวีกสิณญฺจ อตฺตญฺจ อทฺวยํ สมนุปสฺสตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๓๑) ปฎิสมฺภิทายํ วุตฺตนเยเนว นิมิตฺตปถวิํ ‘‘อตฺตา’’ติ อภินิวิสติฯ เอวํ พาหิรํ ปถวิํ ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญติฯ เอวมฺปิ พาหิรํ ปถวิํ ตีหิ มญฺญนาหิ มญฺญติฯ เอวํ ตาว ‘‘ปถวิํ มญฺญตี’’ติ เอตฺถ ติโสฺสปิ มญฺญนา เวทิตพฺพาฯ อิโต ปรํ สเงฺขเปเนว กถยิสฺสามฯ
Atha vā ‘‘idhekacco pathavīkasiṇaṃ attato samanupassati. Yaṃ pathavīkasiṇaṃ, so ahaṃ. Yo ahaṃ, taṃ pathavīkasiṇanti pathavīkasiṇañca attañca advayaṃ samanupassatī’’ti (paṭi. ma. 1.131) paṭisambhidāyaṃ vuttanayeneva nimittapathaviṃ ‘‘attā’’ti abhinivisati. Evaṃ bāhiraṃ pathaviṃ diṭṭhimaññanāya maññati. Evampi bāhiraṃ pathaviṃ tīhi maññanāhi maññati. Evaṃ tāva ‘‘pathaviṃ maññatī’’ti ettha tissopi maññanā veditabbā. Ito paraṃ saṅkhepeneva kathayissāma.
ปถวิยา มญฺญตีติ เอตฺถ ปถวิยาติ ภุมฺมวจนเมตํฯ ตสฺมา อหํ ปถวิยาติ มญฺญติ, มยฺหํ กิญฺจนํ ปลิโพโธ ปถวิยาติ มญฺญติ, ปโร ปถวิยาติ มญฺญติ, ปรสฺส กิญฺจนํ ปลิโพโธ ปถวิยาติ มญฺญตีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ
Pathaviyāmaññatīti ettha pathaviyāti bhummavacanametaṃ. Tasmā ahaṃ pathaviyāti maññati, mayhaṃ kiñcanaṃ palibodho pathaviyāti maññati, paro pathaviyāti maññati, parassa kiñcanaṃ palibodho pathaviyāti maññatīti ayamettha attho.
อถ วา ยฺวายํ ‘‘กถํ รูปสฺมิํ อตฺตานํ สมนุปสฺสติ? อิเธกโจฺจ เวทนํ… สญฺญํ… สงฺขาเร… วิญฺญาณํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ, ตสฺส เอวํ โหติ, อยํ โข เม อตฺตา, โส โข ปน เม อตฺตา อิมสฺมิํ รูเปติ เอวํ รูปสฺมิํ วา อตฺตานํ สมนุปสฺสตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๓๑) เอตสฺส อตฺถนโย วุโตฺต, เอเตเนว นเยน เวทนาทิธเมฺม อตฺตโต คเหตฺวา ตโต อชฺฌตฺติกพาหิราสุ ปถวีสุ ยํกิญฺจิ ปถวิํ ตโสฺสกาสภาเวน ปริกเปฺปตฺวา โส โข ปน เม อยํ อตฺตา อิมิสฺสา ปถวิยาติ มญฺญโนฺต ปถวิยา มญฺญติ, อยมสฺส ทิฎฺฐิมญฺญนาฯ ตสฺมิํเยว ปนสฺส อตฺตนิ สิเนหํ ตพฺพตฺถุกญฺจ มานํ อุปฺปาทยโต ตณฺหามานมญฺญนาปิ เวทิตพฺพาฯ ยทา ปน เตเนว นเยน โส โข ปนสฺส อตฺตา ปถวิยาติ มญฺญติ, ตทา ทิฎฺฐิมญฺญนา เอว ยุชฺชติฯ อิตราโยปิ ปน อิจฺฉนฺติฯ
Atha vā yvāyaṃ ‘‘kathaṃ rūpasmiṃ attānaṃ samanupassati? Idhekacco vedanaṃ… saññaṃ… saṅkhāre… viññāṇaṃ attato samanupassati, tassa evaṃ hoti, ayaṃ kho me attā, so kho pana me attā imasmiṃ rūpeti evaṃ rūpasmiṃ vā attānaṃ samanupassatī’’ti (paṭi. ma. 1.131) etassa atthanayo vutto, eteneva nayena vedanādidhamme attato gahetvā tato ajjhattikabāhirāsu pathavīsu yaṃkiñci pathaviṃ tassokāsabhāvena parikappetvā so kho pana me ayaṃ attā imissā pathaviyāti maññanto pathaviyā maññati, ayamassa diṭṭhimaññanā. Tasmiṃyeva panassa attani sinehaṃ tabbatthukañca mānaṃ uppādayato taṇhāmānamaññanāpi veditabbā. Yadā pana teneva nayena so kho panassa attā pathaviyāti maññati, tadā diṭṭhimaññanā eva yujjati. Itarāyopi pana icchanti.
ปถวิโต มญฺญตีติ เอตฺถ ปน ปถวิโตติ นิสฺสกฺกวจนํฯ ตสฺมา สอุปกรณสฺส อตฺตโน วา ปรสฺส วา ยถาวุตฺตปฺปเภทโต ปถวิโต อุปฺปตฺติํ วา นิคฺคมนํ วา ปถวิโต วา อโญฺญ อตฺตาติ มญฺญมาโน ปถวิโต มญฺญตีติ เวทิตโพฺพ, อยมสฺส ทิฎฺฐิมญฺญนาฯ ตสฺมิํเยว ปนสฺส ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญิเต วตฺถุสฺมิํ สิเนหํ มานญฺจ อุปฺปาทยโต ตณฺหามานมญฺญนาปิ เวทิตพฺพาฯ อปเร อาหุ ปถวีกสิณํ ปริตฺตํ ภาเวตฺวา ตโต อญฺญํ อปฺปมาณํ อตฺตานํ คเหตฺวา ปถวิโต พหิทฺธาปิ เม อตฺตาติ มญฺญมาโน ปถวิโต มญฺญตีติฯ
Pathavito maññatīti ettha pana pathavitoti nissakkavacanaṃ. Tasmā saupakaraṇassa attano vā parassa vā yathāvuttappabhedato pathavito uppattiṃ vā niggamanaṃ vā pathavito vā añño attāti maññamāno pathavito maññatīti veditabbo, ayamassa diṭṭhimaññanā. Tasmiṃyeva panassa diṭṭhimaññanāya maññite vatthusmiṃ sinehaṃ mānañca uppādayato taṇhāmānamaññanāpi veditabbā. Apare āhu pathavīkasiṇaṃ parittaṃ bhāvetvā tato aññaṃ appamāṇaṃ attānaṃ gahetvā pathavito bahiddhāpi me attāti maññamāno pathavito maññatīti.
ปถวิํ เมติ มญฺญตีติ เอตฺถ ปน เกวลญฺหิ มหาปถวิํ ตณฺหาวเสน มมายตีติ อิมินา นเยน ปวตฺตา เอกา ตณฺหามญฺญนา เอว ลพฺภตีติ เวทิตพฺพาฯ สา จายํ มม เกสา, มม โลมา, มม อโย, มม โลหนฺติ เอวํ ยถาวุตฺตปฺปเภทาย สพฺพายปิ อชฺฌตฺติกพาหิราย ปถวิยา โยเชตพฺพาติฯ
Pathaviṃ meti maññatīti ettha pana kevalañhi mahāpathaviṃ taṇhāvasena mamāyatīti iminā nayena pavattā ekā taṇhāmaññanā eva labbhatīti veditabbā. Sā cāyaṃ mama kesā, mama lomā, mama ayo, mama lohanti evaṃ yathāvuttappabhedāya sabbāyapi ajjhattikabāhirāya pathaviyā yojetabbāti.
ปถวิํ อภินนฺทตีติ วุตฺตปฺปการเมว ปถวิํ ตณฺหาทีหิ อภินนฺทติ, อสฺสาเทติ, ปรามสติ จาติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘ปถวิํ มญฺญตี’’ติ เอเตเนว เอตสฺมิํ อเตฺถ สิเทฺธ กสฺมา เอตํ วุตฺตนฺติ เจฯ อวิจาริตเมตํ โปราเณหิฯ อยํ ปน อตฺตโน มติ, เทสนาวิลาสโต วา อาทีนวทสฺสนโต วาฯ ยสฺสา หิ ธมฺมธาตุยา สุปฺปฎิวิทฺธตฺตา นานานยวิจิตฺรเทสนาวิลาสสมฺปโนฺน, อยํ สา ภควตา สุปฺปฎิวิทฺธาฯ ตสฺมา ปุเพฺพ มญฺญนาวเสน กิเลสุปฺปตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อภินนฺทนาวเสน ทเสฺสโนฺต เทสนาวิลาสโต วา อิทมาห ฯ โย วา ปถวิํ มญฺญติ, ปถวิยา มญฺญติ, ปถวิโต มญฺญติ, ปถวิํ เมติ มญฺญติ, โส ยสฺมา น สโกฺกติ ปถวีนิสฺสิตํ ตณฺหํ วา ทิฎฺฐิํ วา ปหาตุํ, ตสฺมา ปถวิํ อภินนฺทติเยวฯ โย จ ปถวิํ อภินนฺทติ, ทุกฺขํ โส อภินนฺทติ, ทุกฺขญฺจ อาทีนโวติ อาทีนวทสฺสนโตปิ อิทมาหฯ วุตฺตเญฺจตํ ภควตา ‘‘โย, ภิกฺขเว, ปถวีธาตุํ อภินนฺทติ, ทุกฺขํ โส อภินนฺทติ, โย ทุกฺขํ อภินนฺทติ, อปริมุโตฺต โส ทุกฺขสฺมาติ วทามี’’ติฯ
Pathaviṃabhinandatīti vuttappakārameva pathaviṃ taṇhādīhi abhinandati, assādeti, parāmasati cāti vuttaṃ hoti. ‘‘Pathaviṃ maññatī’’ti eteneva etasmiṃ atthe siddhe kasmā etaṃ vuttanti ce. Avicāritametaṃ porāṇehi. Ayaṃ pana attano mati, desanāvilāsato vā ādīnavadassanato vā. Yassā hi dhammadhātuyā suppaṭividdhattā nānānayavicitradesanāvilāsasampanno, ayaṃ sā bhagavatā suppaṭividdhā. Tasmā pubbe maññanāvasena kilesuppattiṃ dassetvā idāni abhinandanāvasena dassento desanāvilāsato vā idamāha . Yo vā pathaviṃ maññati, pathaviyā maññati, pathavito maññati, pathaviṃ meti maññati, so yasmā na sakkoti pathavīnissitaṃ taṇhaṃ vā diṭṭhiṃ vā pahātuṃ, tasmā pathaviṃ abhinandatiyeva. Yo ca pathaviṃ abhinandati, dukkhaṃ so abhinandati, dukkhañca ādīnavoti ādīnavadassanatopi idamāha. Vuttañcetaṃ bhagavatā ‘‘yo, bhikkhave, pathavīdhātuṃ abhinandati, dukkhaṃ so abhinandati, yo dukkhaṃ abhinandati, aparimutto so dukkhasmāti vadāmī’’ti.
เอวํ ปถวีวตฺถุกํ มญฺญนํ อภินนฺทนญฺจ วตฺวา อิทานิ เยน การเณน โส มญฺญติ, อภินนฺทติ จ, ตํ การณํ อาวิกโรโนฺต อาห ตํ กิสฺส เหตุ, อปริญฺญาตํ ตสฺสาติ วทามีติฯ ตสฺสโตฺถ, โส ปุถุชฺชโน ตํ ปถวิํ กิสฺส เหตุ มญฺญติ, เกน การเณน มญฺญติ, อภินนฺทตีติ เจฯ อปริญฺญาตํ ตสฺสาติ วทามีติ, ยสฺมา ตํ วตฺถุ ตสฺส อปริญฺญาตํ, ตสฺมาติ วุตฺตํ โหติฯ โย หิ ปถวิํ ปริชานาติ, โส ตีหิ ปริญฺญาหิ ปริชานาติ ญาตปริญฺญาย ตีรณปริญฺญาย ปหานปริญฺญายาติฯ
Evaṃ pathavīvatthukaṃ maññanaṃ abhinandanañca vatvā idāni yena kāraṇena so maññati, abhinandati ca, taṃ kāraṇaṃ āvikaronto āha taṃ kissa hetu, apariññātaṃ tassāti vadāmīti. Tassattho, so puthujjano taṃ pathaviṃ kissa hetu maññati, kena kāraṇena maññati, abhinandatīti ce. Apariññātaṃ tassāti vadāmīti, yasmā taṃ vatthu tassa apariññātaṃ, tasmāti vuttaṃ hoti. Yo hi pathaviṃ parijānāti, so tīhi pariññāhi parijānāti ñātapariññāya tīraṇapariññāya pahānapariññāyāti.
ตตฺถ กตมา ญาตปริญฺญาฯ ปถวีธาตุํ ปริชานาติ, อยํ ปถวีธาตุ อชฺฌตฺติกา, อยํ พาหิรา, อิทมสฺสา ลกฺขณํ, อิมานิ รสปจฺจุปฎฺฐานปทฎฺฐานานีติ, อยํ ญาตปริญฺญาฯ กตมา ตีรณปริญฺญา? เอวํ ญาตํ กตฺวา ปถวีธาตุํ ตีเรติ อนิจฺจโต ทุกฺขโต โรคโตติ ทฺวาจตฺตาลีสาย อากาเรหิ, อยํ ตีรณปริญฺญาฯ กตมา ปหานปริญฺญา? เอวํ ตีรยิตฺวา อคฺคมเคฺคน ปถวีธาตุยา ฉนฺทราคํ ปชหติ, อยํ ปหานปริญฺญาฯ
Tattha katamā ñātapariññā. Pathavīdhātuṃ parijānāti, ayaṃ pathavīdhātu ajjhattikā, ayaṃ bāhirā, idamassā lakkhaṇaṃ, imāni rasapaccupaṭṭhānapadaṭṭhānānīti, ayaṃ ñātapariññā. Katamā tīraṇapariññā? Evaṃ ñātaṃ katvā pathavīdhātuṃ tīreti aniccato dukkhato rogatoti dvācattālīsāya ākārehi, ayaṃ tīraṇapariññā. Katamā pahānapariññā? Evaṃ tīrayitvā aggamaggena pathavīdhātuyā chandarāgaṃ pajahati, ayaṃ pahānapariññā.
นามรูปววตฺถานํ วา ญาตปริญฺญาฯ กลาปสมฺมสนาทิอนุโลมปริโยสานา ตีรณปริญฺญาฯ อริยมเคฺค ญาณํ ปหานปริญฺญาติฯ โย ปถวิํ ปริชานาติ, โส อิมาหิ ตีหิ ปริญฺญาหิ ปริชานาติ, อสฺส จ ปุถุชฺชนสฺส ตา ปริญฺญาโย นตฺถิ, ตสฺมา อปริญฺญาตตฺตา ปถวิํ มญฺญติ จ อภินนฺทติ จาติฯ เตนาห ภควา – อิธ, ภิกฺขเว, อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน…เป.… ปถวิํ มญฺญติ, ปถวิยา มญฺญติ, ปถวิโต มญฺญติ, ปถวิํ เมติ มญฺญติ, ปถวิํ อภินนฺทติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อปริญฺญาตํ ตสฺสาติ วทามี’’ติฯ
Nāmarūpavavatthānaṃ vā ñātapariññā. Kalāpasammasanādianulomapariyosānā tīraṇapariññā. Ariyamagge ñāṇaṃ pahānapariññāti. Yo pathaviṃ parijānāti, so imāhi tīhi pariññāhi parijānāti, assa ca puthujjanassa tā pariññāyo natthi, tasmā apariññātattā pathaviṃ maññati ca abhinandati cāti. Tenāha bhagavā – idha, bhikkhave, assutavā puthujjano…pe… pathaviṃ maññati, pathaviyā maññati, pathavito maññati, pathaviṃ meti maññati, pathaviṃ abhinandati. Taṃ kissa hetu? Apariññātaṃ tassāti vadāmī’’ti.
ปถวีวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pathavīvāravaṇṇanā niṭṭhitā.
อาโปวาราทิวณฺณนา
Āpovārādivaṇṇanā
อาปํ อาปโตติ เอตฺถาปิ ลกฺขณสสมฺภารารมฺมณสมฺมุติวเสน จตุพฺพิโธ อาโปฯ เตสุ ‘‘ตตฺถ, กตมา อชฺฌตฺติกา อาโปธาตุฯ ยํ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ อาโป อาโปคตํ, สิเนโห สิเนหคตํ พนฺธนตฺตํ รูปสฺส อชฺฌตฺตํ อุปาทินฺน’’นฺติอาทีสุ (วิภ. ๑๗๔) วุโตฺต ลกฺขณอาโปฯ ‘‘อาโปกสิณํ อุคฺคณฺหโนฺต อาปสฺมิํ นิมิตฺตํ คณฺหาตี’’ติอาทีสุ วุโตฺต สสมฺภาราโปฯ เสสํ สพฺพํ ปถวิยํ วุตฺตสทิสเมวฯ เกวลํ โยชนานเย ปน ‘‘ปิตฺตํ เสมฺห’’นฺติอาทินา นเยน วุตฺตา ทฺวาทสเภทา อชฺฌตฺติกา อาโปธาตุ, ‘‘ตตฺถ, กตมา พาหิรา อาโปธาตุ? ยํ พาหิรํ อาโป อาโปคตํ, สิเนโห สิเนหคตํ พนฺธนตฺตํ รูปสฺส พหิทฺธา อนุปาทินฺนํฯ เสยฺยถิทํ, มูลรโส ขนฺธรโส ตจรโส ปตฺตรโส ปุปฺผรโส ผลรโส ขีรํ ทธิ สปฺปิ นวนีตํ เตลํ มธุ ผาณิตํ ภุมฺมานิ วา อุทกานิ อนฺตลิกฺขานิ วา’’ติ (วิภ. ๑๗๔) เอวํ วุตฺตา จ พาหิรา อาโปธาตุ เวทิตพฺพา, โย จ อชฺฌตฺตารมฺมณตฺติเก นิมิตฺตอาโปฯ
Āpaṃāpatoti etthāpi lakkhaṇasasambhārārammaṇasammutivasena catubbidho āpo. Tesu ‘‘tattha, katamā ajjhattikā āpodhātu. Yaṃ ajjhattaṃ paccattaṃ āpo āpogataṃ, sineho sinehagataṃ bandhanattaṃ rūpassa ajjhattaṃ upādinna’’ntiādīsu (vibha. 174) vutto lakkhaṇaāpo. ‘‘Āpokasiṇaṃ uggaṇhanto āpasmiṃ nimittaṃ gaṇhātī’’tiādīsu vutto sasambhārāpo. Sesaṃ sabbaṃ pathaviyaṃ vuttasadisameva. Kevalaṃ yojanānaye pana ‘‘pittaṃ semha’’ntiādinā nayena vuttā dvādasabhedā ajjhattikā āpodhātu, ‘‘tattha, katamā bāhirā āpodhātu? Yaṃ bāhiraṃ āpo āpogataṃ, sineho sinehagataṃ bandhanattaṃ rūpassa bahiddhā anupādinnaṃ. Seyyathidaṃ, mūlaraso khandharaso tacaraso pattaraso puppharaso phalaraso khīraṃ dadhi sappi navanītaṃ telaṃ madhu phāṇitaṃ bhummāni vā udakāni antalikkhāni vā’’ti (vibha. 174) evaṃ vuttā ca bāhirā āpodhātu veditabbā, yo ca ajjhattārammaṇattike nimittaāpo.
เตชํ เตชโตติ อิมสฺมิํ เตโชวาเรปิ วุตฺตนเยเนว วิตฺถาโร เวทิตโพฺพฯ โยชนานเย ปเนตฺถ ‘‘เยน จ สนฺตปฺปติ, เยน จ ชีรียติ, เยน จ ปริฑยฺหติ, เยน จ อสิตปีตขายิตสายิตํ สมฺมา ปริณามํ คจฺฉตี’’ติ (วิภ. ๑๗๕) เอวํ วุตฺตา จตุปฺปเภทา อชฺฌตฺติกา เตโชธาตุฯ ‘‘ตตฺถ กตมา พาหิรา เตโชธาตุ? ยํ พาหิรํ เตโช เตโชคตํ อุสฺมา อุสฺมาคตํ อุสุมํ อุสุมคตํ พหิทฺธา อนุปาทินฺนํฯ เสยฺยถิทํ, กฎฺฐคฺคิ ปลาลคฺคิ ติณคฺคิ โคมยคฺคิ ถุสคฺคิ สงฺการคฺคิ อินฺทคฺคิ อคฺคิสนฺตาโป สูริยสนฺตาโป กฎฺฐสนฺนิจยสนฺตาโป ติณสนฺนิจยสนฺตาโป ธญฺญสนฺนิจยสนฺตาโป ภณฺฑสนฺนิจยสนฺตาโป’’ติ (วิภ. ๑๗๕) เอวํ วุตฺตา จ พาหิรา เตโชธาตุ เวทิตพฺพาฯ
Tejaṃ tejatoti imasmiṃ tejovārepi vuttanayeneva vitthāro veditabbo. Yojanānaye panettha ‘‘yena ca santappati, yena ca jīrīyati, yena ca pariḍayhati, yena ca asitapītakhāyitasāyitaṃ sammā pariṇāmaṃ gacchatī’’ti (vibha. 175) evaṃ vuttā catuppabhedā ajjhattikā tejodhātu. ‘‘Tattha katamā bāhirā tejodhātu? Yaṃ bāhiraṃ tejo tejogataṃ usmā usmāgataṃ usumaṃ usumagataṃ bahiddhā anupādinnaṃ. Seyyathidaṃ, kaṭṭhaggi palālaggi tiṇaggi gomayaggi thusaggi saṅkāraggi indaggi aggisantāpo sūriyasantāpo kaṭṭhasannicayasantāpo tiṇasannicayasantāpo dhaññasannicayasantāpo bhaṇḍasannicayasantāpo’’ti (vibha. 175) evaṃ vuttā ca bāhirā tejodhātu veditabbā.
วายํ วายโตติ อิมสฺส วายวารสฺสาปิ โยชนานเย ปน ‘‘อุทฺธงฺคมา วาตา อโธคมา วาตา กุจฺฉิสยา วาตา โกฎฺฐาสยา วาตา องฺคมงฺคานุสาริโน วาตา สตฺถกวาตา ขุรกวาตา อุปฺปลกวาตา อสฺสาโส ปสฺสาโส’’ติ เอวํ วุตฺตา อชฺฌตฺติกา วาโยธาตุฯ ‘‘ตตฺถ กตมา พาหิรา วาโยธาตุ? ยํ พาหิรํ วาโย วาโยคตํ ถมฺภิตตฺตํ รูปสฺส พหิทฺธา อนุปาทินฺนํฯ เสยฺยถิทํ, ปุรตฺถิมา วาตา ปจฺฉิมา วาตา อุตฺตรา วาตา ทกฺขิณา วาตา สรชา วาตา อรชา วาตา สีตา วาตา อุณฺหา วาตา ปริตฺตา วาตา อธิมตฺตา วาตา กาฬวาตา เวรมฺภวาตา ปกฺขวาตา สุปณฺณวาตา ตาลวณฺฎวาตา วิธูปนวาตา’’ติ (วิภ. ๑๗๖) เอวํ วุตฺตา จ พาหิรา วาโยธาตุ เวทิตพฺพาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ เอตฺตาวตา จ ยฺวายํ –
Vāyaṃ vāyatoti imassa vāyavārassāpi yojanānaye pana ‘‘uddhaṅgamā vātā adhogamā vātā kucchisayā vātā koṭṭhāsayā vātā aṅgamaṅgānusārino vātā satthakavātā khurakavātā uppalakavātā assāso passāso’’ti evaṃ vuttā ajjhattikā vāyodhātu. ‘‘Tattha katamā bāhirā vāyodhātu? Yaṃ bāhiraṃ vāyo vāyogataṃ thambhitattaṃ rūpassa bahiddhā anupādinnaṃ. Seyyathidaṃ, puratthimā vātā pacchimā vātā uttarā vātā dakkhiṇā vātā sarajā vātā arajā vātā sītā vātā uṇhā vātā parittā vātā adhimattā vātā kāḷavātā verambhavātā pakkhavātā supaṇṇavātā tālavaṇṭavātā vidhūpanavātā’’ti (vibha. 176) evaṃ vuttā ca bāhirā vāyodhātu veditabbā. Sesaṃ vuttanayamevāti. Ettāvatā ca yvāyaṃ –
‘‘วุตฺตมฺหิ เอกธเมฺม, เย ธมฺมา เอกลกฺขณา เตน;
‘‘Vuttamhi ekadhamme, ye dhammā ekalakkhaṇā tena;
วุตฺตา ภวนฺติ สเพฺพ, อิติ วุโตฺต ลกฺขโณ หาโร’’ติฯ –
Vuttā bhavanti sabbe, iti vutto lakkhaṇo hāro’’ti. –
เอวํ เนตฺติยํ ลกฺขโณ นาม หาโร วุโตฺต, ตสฺส วเสน ยสฺมา จตูสุ ภูเตสุ คหิเตสุ อุปาทารูปมฺปิ คหิตเมว ภวติ, รูปลกฺขณํ อนตีตตฺตาฯ ยญฺจ ภูโตปาทารูปํ โส รูปกฺขโนฺธฯ ตสฺมา ‘‘อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน ปถวิํ อาปํ เตชํ วายํ มญฺญตี’’ติ วทเนฺตน อตฺถโต รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตีติปิ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘ปถวิยา อาปสฺมิํ เตชสฺมิํ วายสฺมิํ มญฺญตี’’ติ วทเนฺตน รูปสฺมิํ วา อตฺตานํ สมนุปสฺสตีติ วุตฺตมฺปิ โหติฯ ‘‘ปถวิโต อาปโต เตชโต วายโต มญฺญตี’’ติ วทเนฺตน รูปโต อโญฺญ อตฺตาติ สิทฺธตฺตา รูปวนฺตํ วา อตฺตานํ อตฺตนิ วา รูปํ สมนุปสฺสตีติปิ วุตฺตํ โหติฯ เอวเมตา จตโสฺส รูปวตฺถุกา สกฺกายทิฎฺฐิมญฺญนา เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ เอกา อุเจฺฉททิฎฺฐิ, ติโสฺส สสฺสตทิฎฺฐิโยติ เทฺวว ทิฎฺฐิโย โหนฺตีติ อยมฺปิ อตฺถวิเสโส เวทิตโพฺพฯ
Evaṃ nettiyaṃ lakkhaṇo nāma hāro vutto, tassa vasena yasmā catūsu bhūtesu gahitesu upādārūpampi gahitameva bhavati, rūpalakkhaṇaṃ anatītattā. Yañca bhūtopādārūpaṃ so rūpakkhandho. Tasmā ‘‘assutavā puthujjano pathaviṃ āpaṃ tejaṃ vāyaṃ maññatī’’ti vadantena atthato rūpaṃ attato samanupassatītipi vuttaṃ hoti. ‘‘Pathaviyā āpasmiṃ tejasmiṃ vāyasmiṃ maññatī’’ti vadantena rūpasmiṃ vā attānaṃ samanupassatīti vuttampi hoti. ‘‘Pathavito āpato tejato vāyato maññatī’’ti vadantena rūpato añño attāti siddhattā rūpavantaṃ vā attānaṃ attani vā rūpaṃ samanupassatītipi vuttaṃ hoti. Evametā catasso rūpavatthukā sakkāyadiṭṭhimaññanā veditabbā. Tattha ekā ucchedadiṭṭhi, tisso sassatadiṭṭhiyoti dveva diṭṭhiyo hontīti ayampi atthaviseso veditabbo.
อาโปวาราทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Āpovārādivaṇṇanā niṭṭhitā.
ภูตวาราทิวณฺณนา
Bhūtavārādivaṇṇanā
๓. เอวํ รูปมุเขน สงฺขารวตฺถุกํ มญฺญนํ วตฺวา อิทานิ เย สงฺขาเร อุปาทาย สตฺตา ปญฺญปียนฺติ, เตสุ สงฺขาเรสุ สเตฺตสุปิ ยสฺมา ปุถุชฺชโน มญฺญนํ กโรติ, ตสฺมา เต สเตฺต นิทฺทิสโนฺต ภูเต ภูตโต สญฺชานาตีติอาทิมาหฯ ตตฺถายํ ภูตสโทฺท ปญฺจกฺขนฺธอมนุสฺสธาตุวิชฺชมานขีณาสวสตฺตรุกฺขาทีสุ ทิสฺสติฯ ‘‘ภูตมิทนฺติ, ภิกฺขเว, สมนุปสฺสถา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๔๐๑) หิ อยํ ปญฺจกฺขเนฺธสุ ทิสฺสติฯ ‘‘ยานีธ ภูตานิ สมาคตานี’’ติ (สุ. นิ. ๒๒๔) เอตฺถ อมนุเสฺสสุฯ ‘‘จตฺตาโร โข, ภิกฺขุ, มหาภูตา เหตู’’ติ (ม. นิ. ๓.๘๖) เอตฺถ ธาตูสุฯ ‘‘ภูตสฺมิํ ปาจิตฺติย’’นฺติอาทีสุ (ปาจิ. ๖๙) วิชฺชมาเนฯ ‘‘โย จ กาลฆโส ภูโต’’ติ (ชา. ๑.๑๐.๑๙๐) เอตฺถ ขีณาสเวฯ ‘‘สเพฺพว นิกฺขิปิสฺสนฺติ ภูตา โลเก สมุสฺสย’’นฺติ (ที. นิ. ๒.๒๒๐) เอตฺถ สเตฺตสุฯ ‘‘ภูตคามปาตพฺยตายา’’ติ (ปาจิ. ๙๐) เอตฺถ รุกฺขาทีสุฯ อิธ ปนายํ สเตฺตสุ วตฺตติ, โน จ โข อวิเสเสนฯ จาตุมหาราชิกานํ หิ เหฎฺฐา สตฺตา อิธ ภูตาติ อธิเปฺปตาฯ
3. Evaṃ rūpamukhena saṅkhāravatthukaṃ maññanaṃ vatvā idāni ye saṅkhāre upādāya sattā paññapīyanti, tesu saṅkhāresu sattesupi yasmā puthujjano maññanaṃ karoti, tasmā te satte niddisanto bhūte bhūtato sañjānātītiādimāha. Tatthāyaṃ bhūtasaddo pañcakkhandhaamanussadhātuvijjamānakhīṇāsavasattarukkhādīsu dissati. ‘‘Bhūtamidanti, bhikkhave, samanupassathā’’tiādīsu (ma. ni. 1.401) hi ayaṃ pañcakkhandhesu dissati. ‘‘Yānīdha bhūtāni samāgatānī’’ti (su. ni. 224) ettha amanussesu. ‘‘Cattāro kho, bhikkhu, mahābhūtā hetū’’ti (ma. ni. 3.86) ettha dhātūsu. ‘‘Bhūtasmiṃ pācittiya’’ntiādīsu (pāci. 69) vijjamāne. ‘‘Yo ca kālaghaso bhūto’’ti (jā. 1.10.190) ettha khīṇāsave. ‘‘Sabbeva nikkhipissanti bhūtā loke samussaya’’nti (dī. ni. 2.220) ettha sattesu. ‘‘Bhūtagāmapātabyatāyā’’ti (pāci. 90) ettha rukkhādīsu. Idha panāyaṃ sattesu vattati, no ca kho avisesena. Cātumahārājikānaṃ hi heṭṭhā sattā idha bhūtāti adhippetā.
ตตฺถ ภูเต ภูตโต สญฺชานาตีติอาทิ วุตฺตนยเมวฯ ภูเต มญฺญตีติอาทีสุ ปน ติโสฺสปิ มญฺญนา โยเชตพฺพาฯ กถํ? อยญฺหิ ‘‘โส ปสฺสติ คหปติํ วา คหปติปุตฺตํ วา ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิตํ สมงฺคิภูต’’นฺติ (อ. นิ. ๗.๕๐) วุตฺตนเยน ภูเต สุภา สุขิตาติ คเหตฺวา รชฺชติ, ทิสฺวาปิ เน รชฺชติ, สุตฺวาปิ, ฆายิตฺวาปิ, สายิตฺวาปิ, ผุสิตฺวาปิ, ญตฺวาปิฯ เอวํ ภูเต ตณฺหามญฺญนาย มญฺญติฯ ‘‘อโห วตาหํ ขตฺติยมหาสาลานํ วา สหพฺยตํ อุปปเชฺชยฺย’’นฺติอาทินา (ที. นิ. ๓.๓๓๗) วา ปน นเยน อปฺปฎิลทฺธสฺส ปฎิลาภาย จิตฺตํ ปณิทหติ, เอวมฺปิ ภูเต ตณฺหามญฺญนาย มญฺญติฯ อตฺตโน ปน ภูตานญฺจ สมฺปตฺติวิปตฺติํ นิสฺสาย อตฺตานํ วา เสยฺยํ ทหติฯ ภูเตสุ จ ยํกิญฺจิ ภูตํ หีนํ อตฺตานํ วา หีนํ, ยํกิญฺจิ ภูตํ เสยฺยํ ฯ อตฺตานํ วา ภูเตน, ภูตํ วา อตฺตนา สทิสํ ทหติฯ ยถาห ‘‘อิเธกโจฺจ ชาติยา วา…เป.… อญฺญตรญฺญตเรน วตฺถุนา ปุพฺพกาลํ ปเรหิ สทิสํ อตฺตานํ ทหติฯ อปรกาลํ อตฺตานํ เสยฺยํ ทหติฯ ปเร หีเน ทหติ, โย เอวรูโป มาโน …เป.… อยํ วุจฺจติ มานาติมาโน’’ติ (วิภ. ๘๗๖-๘๘๐)ฯ เอวํ ภูเต มานมญฺญนาย มญฺญติฯ
Tattha bhūte bhūtato sañjānātītiādi vuttanayameva. Bhūte maññatītiādīsu pana tissopi maññanā yojetabbā. Kathaṃ? Ayañhi ‘‘so passati gahapatiṃ vā gahapatiputtaṃ vā pañcahi kāmaguṇehi samappitaṃ samaṅgibhūta’’nti (a. ni. 7.50) vuttanayena bhūte subhā sukhitāti gahetvā rajjati, disvāpi ne rajjati, sutvāpi, ghāyitvāpi, sāyitvāpi, phusitvāpi, ñatvāpi. Evaṃ bhūte taṇhāmaññanāya maññati. ‘‘Aho vatāhaṃ khattiyamahāsālānaṃ vā sahabyataṃ upapajjeyya’’ntiādinā (dī. ni. 3.337) vā pana nayena appaṭiladdhassa paṭilābhāya cittaṃ paṇidahati, evampi bhūte taṇhāmaññanāya maññati. Attano pana bhūtānañca sampattivipattiṃ nissāya attānaṃ vā seyyaṃ dahati. Bhūtesu ca yaṃkiñci bhūtaṃ hīnaṃ attānaṃ vā hīnaṃ, yaṃkiñci bhūtaṃ seyyaṃ . Attānaṃ vā bhūtena, bhūtaṃ vā attanā sadisaṃ dahati. Yathāha ‘‘idhekacco jātiyā vā…pe… aññataraññatarena vatthunā pubbakālaṃ parehi sadisaṃ attānaṃ dahati. Aparakālaṃ attānaṃ seyyaṃ dahati. Pare hīne dahati, yo evarūpo māno …pe… ayaṃ vuccati mānātimāno’’ti (vibha. 876-880). Evaṃ bhūte mānamaññanāya maññati.
ภูเต ปน ‘‘นิจฺจา ธุวา สสฺสตา อวิปริณามธมฺมา’’ติ วา ‘‘สเพฺพ สตฺตา สเพฺพ ปาณา สเพฺพ ภูตา สเพฺพ ชีวา อวสา อพลา อวีริยา นิยติสงฺคติภาวปริณตา ฉเสฺววาภิชาตีสุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทนฺตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๖๘) วา มญฺญมาโน ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญติฯ เอวํ ภูเต ตีหิ มญฺญนาหิ มญฺญติฯ
Bhūte pana ‘‘niccā dhuvā sassatā avipariṇāmadhammā’’ti vā ‘‘sabbe sattā sabbe pāṇā sabbe bhūtā sabbe jīvā avasā abalā avīriyā niyatisaṅgatibhāvapariṇatā chasvevābhijātīsu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedentī’’ti (dī. ni. 1.168) vā maññamāno diṭṭhimaññanāya maññati. Evaṃ bhūte tīhi maññanāhi maññati.
กถํ ภูเตสุ มญฺญติ? เตสุ เตสุ ภูเตสุ อตฺตโน อุปปตฺติํ วา สุขุปฺปตฺติํ วา อากงฺขติฯ เอวํ ตาว ตณฺหามญฺญนาย ภูเตสุ มญฺญติฯ ภูเตสุ วา อุปปตฺติํ อากงฺขมาโน ทานํ เทติ, สีลํ สมาทิยติ, อุโปสถกมฺมํ กโรติฯ เอวมฺปิ ภูเตสุ ตณฺหามญฺญนาย มญฺญติฯ ภูเต ปน สมูหคฺคาเหน คเหตฺวา ตตฺถ เอกเจฺจ ภูเต เสยฺยโต ทหติ, เอกเจฺจ สทิสโต วา หีนโต วาติฯ เอวํ ภูเตสุ มานมญฺญนาย มญฺญติฯ ตถา เอกเจฺจ ภูเต นิจฺจา ธุวาติ มญฺญติฯ เอกเจฺจ อนิจฺจา อธุวาติ, อหมฺปิ ภูเตสุ อญฺญตโรสฺมีติ วา มญฺญติฯ เอวํ ภูเตสุ ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญติฯ
Kathaṃ bhūtesu maññati? Tesu tesu bhūtesu attano upapattiṃ vā sukhuppattiṃ vā ākaṅkhati. Evaṃ tāva taṇhāmaññanāya bhūtesu maññati. Bhūtesu vā upapattiṃ ākaṅkhamāno dānaṃ deti, sīlaṃ samādiyati, uposathakammaṃ karoti. Evampi bhūtesu taṇhāmaññanāya maññati. Bhūte pana samūhaggāhena gahetvā tattha ekacce bhūte seyyato dahati, ekacce sadisato vā hīnato vāti. Evaṃ bhūtesu mānamaññanāya maññati. Tathā ekacce bhūte niccā dhuvāti maññati. Ekacce aniccā adhuvāti, ahampi bhūtesu aññatarosmīti vā maññati. Evaṃ bhūtesu diṭṭhimaññanāya maññati.
ภูตโต มญฺญตีติ เอตฺถ ปน สอุปกรณสฺส อตฺตโน วา ปรสฺส วา ยโต กุโตจิ ภูตโต อุปฺปตฺติํ มญฺญมาโน ภูตโต มญฺญตีติ เวทิตโพฺพ, อยมสฺส ทิฎฺฐิมญฺญนาฯ ตสฺมิํเยว ปนสฺส ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญิเต วตฺถุสฺมิํ สิเนหํ มานญฺจ อุปฺปาทยโต ตณฺหามานมญฺญนาปิ เวทิตพฺพาฯ ภูเต เมติ มญฺญตีติ เอตฺถ ปน เอกา ตณฺหามญฺญนาว ลพฺภติฯ สา จายํ ‘‘มม ปุตฺตา, มม ธีตา, มม อเชฬกา, กุกฺกุฎสูกรา, หตฺถิควสฺสวฬวา’’ติ เอวมาทินา นเยน มมายโต ปวตฺตตีติ เวทิตพฺพาฯ ภูเต อภินนฺทตีติ เอตํ วุตฺตนยเมวฯ อปริญฺญาตํ ตสฺสาติ เอตฺถ ปน เย สงฺขาเร อุปาทาย ภูตานํ ปญฺญตฺติ, เตสํ อปริญฺญาตตฺตา ภูตา อปริญฺญาตา โหนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ โยชนา ปน วุตฺตนเยเนว กาตพฺพาฯ
Bhūtato maññatīti ettha pana saupakaraṇassa attano vā parassa vā yato kutoci bhūtato uppattiṃ maññamāno bhūtato maññatīti veditabbo, ayamassa diṭṭhimaññanā. Tasmiṃyeva panassa diṭṭhimaññanāya maññite vatthusmiṃ sinehaṃ mānañca uppādayato taṇhāmānamaññanāpi veditabbā. Bhūte meti maññatīti ettha pana ekā taṇhāmaññanāva labbhati. Sā cāyaṃ ‘‘mama puttā, mama dhītā, mama ajeḷakā, kukkuṭasūkarā, hatthigavassavaḷavā’’ti evamādinā nayena mamāyato pavattatīti veditabbā. Bhūte abhinandatīti etaṃ vuttanayameva. Apariññātaṃ tassāti ettha pana ye saṅkhāre upādāya bhūtānaṃ paññatti, tesaṃ apariññātattā bhūtā apariññātā hontīti veditabbā. Yojanā pana vuttanayeneva kātabbā.
เอวํ สเงฺขปโต สงฺขารวเสน จ สตฺตวเสน จ มญฺญนาวตฺถุํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ภูมิวิเสสาทินา เภเทน วิตฺถารโตปิ ตํ ทเสฺสโนฺต เทเว เทวโตติอาทิมาหฯ ตตฺถ ทิพฺพนฺติ ปญฺจหิ กามคุเณหิ อตฺตโน วา อิทฺธิยาติ เทวา, กีฬนฺติ โชเตนฺติ จาติ อโตฺถฯ เต ติวิธา สมฺมุติเทวา อุปปตฺติเทวา วิสุทฺธิเทวาติฯ สมฺมุติเทวา นาม ราชาโน เทวิโย ราชกุมาราฯ อุปปตฺติเทวา นาม จาตุมหาราชิเก เทเว อุปาทาย ตตุตฺตริเทวาฯ วิสุทฺธิเทวา นาม อรหโนฺต ขีณาสวาฯ อิธ ปน อุปปตฺติเทวา ทฎฺฐพฺพา, โน จ โข อวิเสเสนฯ ปรนิมฺมิตวสวตฺติเทวโลเก มารํ สปริสํ ฐเปตฺวา เสสา ฉ กามาวจรา อิธ เทวาติ อธิเปฺปตาฯ ตตฺถ สพฺพา อตฺถวณฺณนา ภูตวาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ
Evaṃ saṅkhepato saṅkhāravasena ca sattavasena ca maññanāvatthuṃ dassetvā idāni bhūmivisesādinā bhedena vitthāratopi taṃ dassento deve devatotiādimāha. Tattha dibbanti pañcahi kāmaguṇehi attano vā iddhiyāti devā, kīḷanti jotenti cāti attho. Te tividhā sammutidevā upapattidevā visuddhidevāti. Sammutidevā nāma rājāno deviyo rājakumārā. Upapattidevā nāma cātumahārājike deve upādāya tatuttaridevā. Visuddhidevā nāma arahanto khīṇāsavā. Idha pana upapattidevā daṭṭhabbā, no ca kho avisesena. Paranimmitavasavattidevaloke māraṃ saparisaṃ ṭhapetvā sesā cha kāmāvacarā idha devāti adhippetā. Tattha sabbā atthavaṇṇanā bhūtavāre vuttanayeneva veditabbā.
ปชาปตินฺติ เอตฺถ ปน มาโร ปชาปตีติ เวทิตโพฺพฯ เกจิ ปน ‘‘เตสํ เตสํ เทวานํ อธิปตีนํ มหาราชาทีนเมตํ อธิวจน’’นฺติ วทนฺติฯ ตํ เทวคฺคหเณเนว เตสํ คหิตตฺตา อยุตฺตนฺติ มหาอฎฺฐกถายํ ปฎิกฺขิตฺตํ, มาโรเยว ปน สตฺตสงฺขาตาย ปชาย อธิปติภาเวน อิธ ปชาปตีติ อธิเปฺปโตฯ โส กุหิํ วสติ? ปรนิมฺมิตวสวตฺติเทวโลเก ฯ ตตฺร หิ วสวตฺติราชา รชฺชํ กาเรติฯ มาโร เอกสฺมิํ ปเทเส อตฺตโน ปริสาย อิสฺสริยํ ปวเตฺตโนฺต รชฺชปจฺจเนฺต ทามริกราชปุโตฺต วิย วสตีติ วทนฺติฯ มารคฺคหเณเนว เจตฺถ มารปริสายปิ คหณํ เวทิตพฺพํฯ โยชนานโย เจตฺถ ปชาปติํ วณฺณวนฺตํ ทีฆายุกํ สุขพหุลํ ทิสฺวา วา สุตฺวา วา รชฺชโนฺต ตณฺหามญฺญนาย มญฺญติฯ ‘‘อโห วตาหํ ปชาปติโน สหพฺยตํ อุปปเชฺชยฺย’’นฺติอาทินา วา ปน นเยน อปฺปฎิลทฺธสฺส ปฎิลาภาย จิตฺตํ ปณิทหโนฺตปิ ปชาปติํ ตณฺหามญฺญนาย มญฺญติฯ ปชาปติภาวํ ปน ปโตฺต สมาโน อหมสฺมิ ปชานมิสฺสโร อธิปตีติ มานํ ชเนโนฺต ปชาปติํ มานมญฺญนาย มญฺญติฯ ‘‘ปชาปติ นิโจฺจ ธุโว’’ติ วา ‘‘อุจฺฉิชฺชิสฺสติ วินสฺสิสฺสตี’’ติ วา ‘‘อวโส อพโล อวีริโย นิยติสงฺคติภาวปริณโต ฉเสฺววาภิชาตีสุ สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทตี’’ติ วา มญฺญมาโน ปน ปชาปติํ ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญตีติ เวทิตโพฺพฯ
Pajāpatinti ettha pana māro pajāpatīti veditabbo. Keci pana ‘‘tesaṃ tesaṃ devānaṃ adhipatīnaṃ mahārājādīnametaṃ adhivacana’’nti vadanti. Taṃ devaggahaṇeneva tesaṃ gahitattā ayuttanti mahāaṭṭhakathāyaṃ paṭikkhittaṃ, māroyeva pana sattasaṅkhātāya pajāya adhipatibhāvena idha pajāpatīti adhippeto. So kuhiṃ vasati? Paranimmitavasavattidevaloke . Tatra hi vasavattirājā rajjaṃ kāreti. Māro ekasmiṃ padese attano parisāya issariyaṃ pavattento rajjapaccante dāmarikarājaputto viya vasatīti vadanti. Māraggahaṇeneva cettha māraparisāyapi gahaṇaṃ veditabbaṃ. Yojanānayo cettha pajāpatiṃ vaṇṇavantaṃ dīghāyukaṃ sukhabahulaṃ disvā vā sutvā vā rajjanto taṇhāmaññanāya maññati. ‘‘Aho vatāhaṃ pajāpatino sahabyataṃ upapajjeyya’’ntiādinā vā pana nayena appaṭiladdhassa paṭilābhāya cittaṃ paṇidahantopi pajāpatiṃ taṇhāmaññanāya maññati. Pajāpatibhāvaṃ pana patto samāno ahamasmi pajānamissaro adhipatīti mānaṃ janento pajāpatiṃ mānamaññanāya maññati. ‘‘Pajāpati nicco dhuvo’’ti vā ‘‘ucchijjissati vinassissatī’’ti vā ‘‘avaso abalo avīriyo niyatisaṅgatibhāvapariṇato chasvevābhijātīsu sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedetī’’ti vā maññamāno pana pajāpatiṃ diṭṭhimaññanāya maññatīti veditabbo.
ปชาปติสฺมินฺติ เอตฺถ ปน เอกา ทิฎฺฐิมญฺญนาว ยุชฺชติฯ ตสฺสา เอวํ ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ อิเธกโจฺจ ‘‘ปชาปติสฺมิํ เย จ ธมฺมา สํวิชฺชนฺติ, สเพฺพ เต นิจฺจา ธุวา สสฺสตา อวิปริณามธมฺมา’’ติ มญฺญติฯ อถ วา ‘‘ปชาปติสฺมิํ นตฺถิ ปาปํ, น ตสฺมิํ ปาปกานิ กมฺมานิ อุปลพฺภนฺตี’’ติ มญฺญติฯ
Pajāpatisminti ettha pana ekā diṭṭhimaññanāva yujjati. Tassā evaṃ pavatti veditabbā. Idhekacco ‘‘pajāpatismiṃ ye ca dhammā saṃvijjanti, sabbe te niccā dhuvā sassatā avipariṇāmadhammā’’ti maññati. Atha vā ‘‘pajāpatismiṃ natthi pāpaṃ, na tasmiṃ pāpakāni kammāni upalabbhantī’’ti maññati.
ปชาปติโตติ เอตฺถ ติโสฺสปิ มญฺญนา ลพฺภนฺติฯ กถํ? อิเธกโจฺจ สอุปกรณสฺส อตฺตโน วา ปรสฺส วา ปชาปติโต อุปฺปตฺติํ วา นิคฺคมนํ วา มญฺญติ, อยมสฺส ทิฎฺฐิมญฺญนาฯ ตสฺมิํเยว ปนสฺส ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญิเต วตฺถุสฺมิํ สิเนหํ มานญฺจ อุปฺปาทยโต ตณฺหามานมญฺญนาปิ เวทิตพฺพาฯ ปชาปติํ เมติ เอตฺถ ปน เอกา ตณฺหามญฺญนาว ลพฺภติฯ สา จายํ ‘‘ปชาปติ มม สตฺถา มม สามี’’ติอาทินา นเยน มมายโต ปวตฺตตีติ เวทิตพฺพาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ
Pajāpatitoti ettha tissopi maññanā labbhanti. Kathaṃ? Idhekacco saupakaraṇassa attano vā parassa vā pajāpatito uppattiṃ vā niggamanaṃ vā maññati, ayamassa diṭṭhimaññanā. Tasmiṃyeva panassa diṭṭhimaññanāya maññite vatthusmiṃ sinehaṃ mānañca uppādayato taṇhāmānamaññanāpi veditabbā. Pajāpatiṃ meti ettha pana ekā taṇhāmaññanāva labbhati. Sā cāyaṃ ‘‘pajāpati mama satthā mama sāmī’’tiādinā nayena mamāyato pavattatīti veditabbā. Sesaṃ vuttanayameva.
พฺรหฺมํ พฺรหฺมโตติ เอตฺถ พฺรูหิโต เตหิ เตหิ คุณวิเสเสหีติ พฺรหฺมาฯ อปิจ พฺรหฺมาติ มหาพฺรหฺมาปิ วุจฺจติ, ตถาคโตปิ พฺราหฺมโณปิ มาตาปิตโรปิ เสฎฺฐมฺปิฯ ‘‘สหโสฺส พฺรหฺมา ทฺวิสหโสฺส พฺรหฺมา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๑๖๕-๑๖๖) หิ มหาพฺรหฺมา พฺรหฺมาติ วุจฺจติฯ ‘‘พฺรหฺมาติ โข, ภิกฺขเว , ตถาคตเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติ เอตฺถ ตถาคโตฯ
Brahmaṃ brahmatoti ettha brūhito tehi tehi guṇavisesehīti brahmā. Apica brahmāti mahābrahmāpi vuccati, tathāgatopi brāhmaṇopi mātāpitaropi seṭṭhampi. ‘‘Sahasso brahmā dvisahasso brahmā’’tiādīsu (ma. ni. 3.165-166) hi mahābrahmā brahmāti vuccati. ‘‘Brahmāti kho, bhikkhave , tathāgatassetaṃ adhivacana’’nti ettha tathāgato.
‘‘ตโมนุโท พุโทฺธ สมนฺตจกฺขุ,
‘‘Tamonudo buddho samantacakkhu,
โลกนฺตคู สพฺพภวาติวโตฺต;
Lokantagū sabbabhavātivatto;
อนาสโว สพฺพทุกฺขปฺปหีโน,
Anāsavo sabbadukkhappahīno,
สจฺจวฺหโย พฺรเหฺม อุปาสิโต เม’’ติฯ (จูฬนิ. ๑๐๔) –
Saccavhayo brahme upāsito me’’ti. (cūḷani. 104) –
เอตฺถ พฺราหฺมโณฯ
Ettha brāhmaṇo.
‘‘พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร, ปุพฺพาจริยาติ วุจฺจเร’’ติฯ (อิติวุ. ๑๐๖; ชา. ๒.๒๐.๑๘๑) –
‘‘Brahmāti mātāpitaro, pubbācariyāti vuccare’’ti. (itivu. 106; jā. 2.20.181) –
เอตฺถ มาตาปิตโรฯ ‘‘พฺรหฺมจกฺกํ ปวเตฺตตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๔๘; อ. นิ. ๕.๑๑) เอตฺถ เสฎฺฐํฯ อิธ ปน ปฐมาภินิพฺพโตฺต กปฺปายุโก พฺรหฺมา อธิเปฺปโตฯ ตคฺคหเณเนว จ พฺรหฺมปุโรหิตพฺรหฺมปาริสชฺชาปิ คหิตาติ เวทิตพฺพาฯ อตฺถวณฺณนา ปเนตฺถ ปชาปติวาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ
Ettha mātāpitaro. ‘‘Brahmacakkaṃ pavattetī’’ti (ma. ni. 1.148; a. ni. 5.11) ettha seṭṭhaṃ. Idha pana paṭhamābhinibbatto kappāyuko brahmā adhippeto. Taggahaṇeneva ca brahmapurohitabrahmapārisajjāpi gahitāti veditabbā. Atthavaṇṇanā panettha pajāpativāre vuttanayeneva veditabbā.
อาภสฺสรวาเร ทณฺฑทีปิกาย อจฺจิ วิย เอเตสํ สรีรโต อาภา ฉิชฺชิตฺวา ฉิชฺชิตฺวา ปตนฺตี วิย สรติ วิสรตีติ อาภสฺสราฯ เตสํ คหเณน สพฺพาปิ ทุติยชฺฌานภูมิ คหิตา, เอกตลวาสิโน เอว เจเต สเพฺพปิ ปริตฺตาภา อปฺปมาณาภา อาภสฺสราติ เวทิตพฺพาฯ
Ābhassaravāre daṇḍadīpikāya acci viya etesaṃ sarīrato ābhā chijjitvā chijjitvā patantī viya sarati visaratīti ābhassarā. Tesaṃ gahaṇena sabbāpi dutiyajjhānabhūmi gahitā, ekatalavāsino eva cete sabbepi parittābhā appamāṇābhā ābhassarāti veditabbā.
สุภกิณฺหวาเร สุเภน โอกิณฺณา วิกิณฺณา สุเภน สรีรปฺปภาวเณฺณน เอกคฺฆนา สุวณฺณมญฺชูสาย ฐปิตสมฺปชฺชลิตกญฺจนปิณฺฑสสฺสิริกาติ สุภกิณฺหาฯ เตสํ คหเณน สพฺพาปิ ตติยชฺฌานภูมิ คหิตาฯ เอกตลวาสิโน เอว เจเต สเพฺพปิ ปริตฺตสุภา อปฺปมาณสุภา สุภกิณฺหาติ เวทิตพฺพาฯ
Subhakiṇhavāre subhena okiṇṇā vikiṇṇā subhena sarīrappabhāvaṇṇena ekagghanā suvaṇṇamañjūsāya ṭhapitasampajjalitakañcanapiṇḍasassirikāti subhakiṇhā. Tesaṃ gahaṇena sabbāpi tatiyajjhānabhūmi gahitā. Ekatalavāsino eva cete sabbepi parittasubhā appamāṇasubhā subhakiṇhāti veditabbā.
เวหปฺผลวาเร, วิปุลา ผลาติ เวหปฺผลาฯ จตุตฺถชฺฌานภูมิ พฺรหฺมาโน วุจฺจนฺติฯ อตฺถนยโยชนา ปน อิเมสุ ตีสุปิ วาเรสุ ภูตวาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ
Vehapphalavāre, vipulā phalāti vehapphalā. Catutthajjhānabhūmi brahmāno vuccanti. Atthanayayojanā pana imesu tīsupi vāresu bhūtavāre vuttanayeneva veditabbā.
อภิภูวาเร อภิภวีติ อภิภูฯ กิํ อภิภวิ? จตฺตาโร ขเนฺธ อรูปิโนฯ อสญฺญภวเสฺสตํ อธิวจนํฯ อสญฺญสตฺตา เทวา เวหปฺผเลหิ สทฺธิํ เอกตลาเยว เอกสฺมิํ โอกาเส เยน อิริยาปเถน นิพฺพตฺตา, เตเนว ยาวตายุกํ ติฎฺฐนฺติ จิตฺตกมฺมรูปสทิสา หุตฺวาฯ เต อิธ สเพฺพปิ อภิภูวจเนน คหิตาฯ เกจิ อภิภู นาม สหโสฺส พฺรหฺมาติ เอวมาทินา นเยน ตตฺถ ตตฺถ อธิปติพฺรหฺมานํ วณฺณยนฺติฯ พฺรหฺมคฺคหเณเนว ปน ตสฺส คหิตตฺตา อยุตฺตเมตนฺติ เวทิตพฺพํฯ โยชนานโย เจตฺถ อภิภู วณฺณวา ทีฆายุโกติ สุตฺวา ตตฺถ ฉนฺทราคํ อุปฺปาเทโนฺต อภิภุํ ตณฺหามญฺญนาย มญฺญติฯ ‘‘อโห วตาหํ อภิภุโน สหพฺยตํ อุปปเชฺชยฺย’’นฺติอาทินา ปน นเยน อปฺปฎิลทฺธสฺส ปฎิลาภาย จิตฺตํ ปณิทหโนฺตปิ อภิภุํ ตณฺหามญฺญนาย มญฺญติฯ อตฺตานํ หีนโต อภิภุํ เสยฺยโต ทหโนฺต ปน อภิภุํ มานมญฺญนาย มญฺญติฯ ‘‘อภิภู นิโจฺจ ธุโว’’ติอาทินา นเยน ปรามสโนฺต อภิภุํ ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญตีติ เวทิตโพฺพฯ เสสํ ปชาปติวาเร วุตฺตนยเมวฯ
Abhibhūvāre abhibhavīti abhibhū. Kiṃ abhibhavi? Cattāro khandhe arūpino. Asaññabhavassetaṃ adhivacanaṃ. Asaññasattā devā vehapphalehi saddhiṃ ekatalāyeva ekasmiṃ okāse yena iriyāpathena nibbattā, teneva yāvatāyukaṃ tiṭṭhanti cittakammarūpasadisā hutvā. Te idha sabbepi abhibhūvacanena gahitā. Keci abhibhū nāma sahasso brahmāti evamādinā nayena tattha tattha adhipatibrahmānaṃ vaṇṇayanti. Brahmaggahaṇeneva pana tassa gahitattā ayuttametanti veditabbaṃ. Yojanānayo cettha abhibhū vaṇṇavā dīghāyukoti sutvā tattha chandarāgaṃ uppādento abhibhuṃ taṇhāmaññanāya maññati. ‘‘Aho vatāhaṃ abhibhuno sahabyataṃ upapajjeyya’’ntiādinā pana nayena appaṭiladdhassa paṭilābhāya cittaṃ paṇidahantopi abhibhuṃ taṇhāmaññanāya maññati. Attānaṃ hīnato abhibhuṃ seyyato dahanto pana abhibhuṃ mānamaññanāya maññati. ‘‘Abhibhū nicco dhuvo’’tiādinā nayena parāmasanto abhibhuṃ diṭṭhimaññanāya maññatīti veditabbo. Sesaṃ pajāpativāre vuttanayameva.
ภูตวาราทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Bhūtavārādivaṇṇanā niṭṭhitā.
อากาสานญฺจายตนวาราทิวณฺณนา
Ākāsānañcāyatanavārādivaṇṇanā
๔. เอวํ ภควา ปฎิปาฎิยา เทวโลเก ทเสฺสโนฺตปิ อภิภูวจเนน อสญฺญภวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยสฺมา อยํ วฎฺฎกถา, สุทฺธาวาสา จ วิวฎฺฎปเกฺข ฐิตา, อนาคามิขีณาสวา เอว หิ เต เทวาฯ ยสฺมา วา กติปยกปฺปสหสฺสายุกา เต เทวา, พุทฺธุปฺปาทกาเลเยว โหนฺติฯ พุทฺธา ปน อสเงฺขเยปิ กเปฺป น อุปฺปชฺชนฺติ, ตทา สุญฺญาปิ สา ภูมิ โหติฯ รโญฺญ ขนฺธาวารฎฺฐานํ วิย หิ พุทฺธานํ สุทฺธาวาสภโวฯ เต เตเนว จ การเณน วิญฺญาณฎฺฐิติสตฺตาวาสวเสนปิ น คหิตา, สพฺพกาลิกา ปน อิมา มญฺญนาฯ ตสฺมา ตาสํ สทาวิชฺชมานภูมิํ ทเสฺสโนฺต สุทฺธาวาเส อติกฺกมิตฺวา, อากาสานญฺจายตนนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อากาสานญฺจายตนนฺติ ตพฺภูมิกา จตฺตาโร กุสลวิปากกิริยา ขนฺธาฯ เต จ ตตฺรูปปนฺนาเยว ทฎฺฐพฺพา ภวปริเจฺฉทกถา อยนฺติ กตฺวาฯ เอส นโย วิญฺญาณญฺจายตนาทีสุฯ อตฺถโยชนา ปน จตูสุปิ เอเตสุ วาเรสุ อภิภูวาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ มานมญฺญนา เจตฺถ ปชาปติวาเร วุตฺตนเยนาปิ ยุชฺชติฯ
4. Evaṃ bhagavā paṭipāṭiyā devaloke dassentopi abhibhūvacanena asaññabhavaṃ dassetvā idāni yasmā ayaṃ vaṭṭakathā, suddhāvāsā ca vivaṭṭapakkhe ṭhitā, anāgāmikhīṇāsavā eva hi te devā. Yasmā vā katipayakappasahassāyukā te devā, buddhuppādakāleyeva honti. Buddhā pana asaṅkheyepi kappe na uppajjanti, tadā suññāpi sā bhūmi hoti. Rañño khandhāvāraṭṭhānaṃ viya hi buddhānaṃ suddhāvāsabhavo. Te teneva ca kāraṇena viññāṇaṭṭhitisattāvāsavasenapi na gahitā, sabbakālikā pana imā maññanā. Tasmā tāsaṃ sadāvijjamānabhūmiṃ dassento suddhāvāse atikkamitvā, ākāsānañcāyatanantiādimāha. Tattha ākāsānañcāyatananti tabbhūmikā cattāro kusalavipākakiriyā khandhā. Te ca tatrūpapannāyeva daṭṭhabbā bhavaparicchedakathā ayanti katvā. Esa nayo viññāṇañcāyatanādīsu. Atthayojanā pana catūsupi etesu vāresu abhibhūvāre vuttanayeneva veditabbā. Mānamaññanā cettha pajāpativāre vuttanayenāpi yujjati.
อากาสานญฺจายตนวาราทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Ākāsānañcāyatanavārādivaṇṇanā niṭṭhitā.
ทิฎฺฐสุตวาราทิวณฺณนา
Diṭṭhasutavārādivaṇṇanā
๕. เอวํ ภูมิวิเสสาทินา เภเทน วิตฺถารโตปิ มญฺญนาวตฺถุํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สพฺพมญฺญนาวตฺถุภูตํ สกฺกายปริยาปนฺนํ เตภูมกธมฺมเภทํ ทิฎฺฐาทีหิ จตูหิ สงฺคณฺหิตฺวา ทเสฺสโนฺต, ทิฎฺฐํ ทิฎฺฐโตติอาทิมาหฯ
5. Evaṃ bhūmivisesādinā bhedena vitthāratopi maññanāvatthuṃ dassetvā idāni sabbamaññanāvatthubhūtaṃ sakkāyapariyāpannaṃ tebhūmakadhammabhedaṃ diṭṭhādīhi catūhi saṅgaṇhitvā dassento, diṭṭhaṃ diṭṭhatotiādimāha.
ตตฺถ ทิฎฺฐนฺติ มํสจกฺขุนาปิ ทิฎฺฐํ, ทิพฺพจกฺขุนาปิ ทิฎฺฐํฯ รูปายตนเสฺสตํ อธิวจนํฯ ตตฺถ ทิฎฺฐํ มญฺญตีติ ทิฎฺฐํ ตีหิ มญฺญนาหิ มญฺญติฯ กถํ? รูปายตนํ สุภสญฺญาย สุขสญฺญาย จ ปสฺสโนฺต ตตฺถ ฉนฺทราคํ ชเนติ, ตํ อสฺสาเทติ อภินนฺทติฯ วุตฺตมฺปิ เหตํ ภควตา ‘‘อิตฺถิรูเป, ภิกฺขเว, สตฺตา รตฺตา คิทฺธา คธิตา มุจฺฉิตา อโชฺฌสนฺนา, เต ทีฆรตฺตํ โสจนฺติ อิตฺถิรูปวสานุคา’’ติ (อ. นิ. ๕.๕๕)ฯ เอวํ ทิฎฺฐํ ตณฺหามญฺญนาย มญฺญติฯ ‘‘อิติ เม รูปํ สิยา อนาคตมทฺธานนฺติ วา ปเนตฺถ นนฺทิํ สมนฺนาเนติ, รูปสมฺปทํ วา ปน อากงฺขมาโน ทานํ เทตี’’ติ วิตฺถาโรฯ เอวมฺปิ ทิฎฺฐํ ตณฺหามญฺญนาย มญฺญติฯ อตฺตโน ปน ปรสฺส จ รูปสมฺปตฺติํ วิปตฺติํ นิสฺสาย มานํ ชเนติฯ ‘‘อิมินาหํ เสโยฺยสฺมี’’ติ วา ‘‘สทิโสสฺมี’’ติ วา ‘‘หีโนสฺมี’’ติ วาติ เอวํ ทิฎฺฐํ มานมญฺญนาย มญฺญติฯ รูปายตนํ ปน นิจฺจํ ธุวํ สสฺสตนฺติ มญฺญติ, อตฺตานํ อตฺตนิยนฺติ มญฺญติ, มงฺคลํ อมงฺคลนฺติ มญฺญติ, เอวํ ทิฎฺฐํ ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญติฯ เอวํ ทิฎฺฐํ ตีหิ มญฺญนาหิ มญฺญติฯ กถํ ทิฎฺฐสฺมิํ มญฺญติ? รูปสฺมิํ อตฺตานํ สมนุปสฺสนนเยน มญฺญโนฺต ทิฎฺฐสฺมิํ มญฺญติฯ ยถา วา ธเน ธเญฺญฯ เอวํ รูปสฺมิํ ราคาทโยติ มญฺญโนฺตปิ ทิฎฺฐสฺมิํ มญฺญติฯ อยมสฺส ทิฎฺฐิมญฺญนาฯ ตสฺมิเญฺญว ปนสฺส ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญิเต วตฺถุสฺมิํ สิเนหํ มานญฺจ อุปฺปาทยโต ตณฺหามานมญฺญนาปิ เวทิตพฺพาฯ เอวํ ทิฎฺฐสฺมิํ มญฺญติฯ เสสํ ปถวีวาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
Tattha diṭṭhanti maṃsacakkhunāpi diṭṭhaṃ, dibbacakkhunāpi diṭṭhaṃ. Rūpāyatanassetaṃ adhivacanaṃ. Tattha diṭṭhaṃ maññatīti diṭṭhaṃ tīhi maññanāhi maññati. Kathaṃ? Rūpāyatanaṃ subhasaññāya sukhasaññāya ca passanto tattha chandarāgaṃ janeti, taṃ assādeti abhinandati. Vuttampi hetaṃ bhagavatā ‘‘itthirūpe, bhikkhave, sattā rattā giddhā gadhitā mucchitā ajjhosannā, te dīgharattaṃ socanti itthirūpavasānugā’’ti (a. ni. 5.55). Evaṃ diṭṭhaṃ taṇhāmaññanāya maññati. ‘‘Iti me rūpaṃ siyā anāgatamaddhānanti vā panettha nandiṃ samannāneti, rūpasampadaṃ vā pana ākaṅkhamāno dānaṃ detī’’ti vitthāro. Evampi diṭṭhaṃ taṇhāmaññanāya maññati. Attano pana parassa ca rūpasampattiṃ vipattiṃ nissāya mānaṃ janeti. ‘‘Imināhaṃ seyyosmī’’ti vā ‘‘sadisosmī’’ti vā ‘‘hīnosmī’’ti vāti evaṃ diṭṭhaṃ mānamaññanāya maññati. Rūpāyatanaṃ pana niccaṃ dhuvaṃ sassatanti maññati, attānaṃ attaniyanti maññati, maṅgalaṃ amaṅgalanti maññati, evaṃ diṭṭhaṃ diṭṭhimaññanāya maññati. Evaṃ diṭṭhaṃ tīhi maññanāhi maññati. Kathaṃ diṭṭhasmiṃ maññati? Rūpasmiṃ attānaṃ samanupassananayena maññanto diṭṭhasmiṃ maññati. Yathā vā dhane dhaññe. Evaṃ rūpasmiṃ rāgādayoti maññantopi diṭṭhasmiṃ maññati. Ayamassa diṭṭhimaññanā. Tasmiññeva panassa diṭṭhimaññanāya maññite vatthusmiṃ sinehaṃ mānañca uppādayato taṇhāmānamaññanāpi veditabbā. Evaṃ diṭṭhasmiṃ maññati. Sesaṃ pathavīvāre vuttanayeneva veditabbaṃ.
สุตนฺติ มํสโสเตนปิ สุตํ, ทิพฺพโสเตนปิ สุตํ, สทฺทายตนเสฺสตํ อธิวจนํฯ
Sutanti maṃsasotenapi sutaṃ, dibbasotenapi sutaṃ, saddāyatanassetaṃ adhivacanaṃ.
มุตนฺติ มุตฺวา มุนิตฺวา จ คหิตํ, อาหจฺจ อุปคนฺตฺวาติ อโตฺถ, อินฺทฺริยานํ อารมฺมณานญฺจ อญฺญมญฺญสํสิเลเส วิญฺญาตนฺติ วุตฺตํ โหติ, คนฺธรสโผฎฺฐพฺพายตนานเมตํ อธิวจนํฯ
Mutanti mutvā munitvā ca gahitaṃ, āhacca upagantvāti attho, indriyānaṃ ārammaṇānañca aññamaññasaṃsilese viññātanti vuttaṃ hoti, gandharasaphoṭṭhabbāyatanānametaṃ adhivacanaṃ.
วิญฺญาตนฺติ มนสา วิญฺญาตํ, เสสานํ สตฺตนฺนํ อายตนานเมตํ อธิวจนํ ธมฺมารมฺมณสฺส วาฯ อิธ ปน สกฺกายปริยาปนฺนเมว ลพฺภติฯ วิตฺถาโร ปเนตฺถ ทิฎฺฐวาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ
Viññātanti manasā viññātaṃ, sesānaṃ sattannaṃ āyatanānametaṃ adhivacanaṃ dhammārammaṇassa vā. Idha pana sakkāyapariyāpannameva labbhati. Vitthāro panettha diṭṭhavāre vuttanayeneva veditabbo.
ทิฎฺฐสุตฺตวาราทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Diṭṭhasuttavārādivaṇṇanā niṭṭhitā.
เอกตฺตวาราทิวณฺณนา
Ekattavārādivaṇṇanā
๖. เอวํ สพฺพํ สกฺกายเภทํ ทิฎฺฐาทีหิ จตูหิ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตเมว สมาปนฺนกวาเรน จ อสมาปนฺนกวาเรน จ ทฺวิธา ทเสฺสโนฺต เอกตฺตํ นานตฺตนฺติอาทิมาหฯ
6. Evaṃ sabbaṃ sakkāyabhedaṃ diṭṭhādīhi catūhi dassetvā idāni tameva samāpannakavārena ca asamāpannakavārena ca dvidhā dassento ekattaṃ nānattantiādimāha.
เอกตฺตนฺติ อิมินา หิ สมาปนฺนกวารํ ทเสฺสติฯ นานตฺตนฺติ อิมินา อสมาปนฺนกวารํฯ เตสํ อยํ วจนโตฺถ เอกภาโว เอกตฺตํฯ นานาภาโว นานตฺตนฺติฯ โยชนา ปเนตฺถ สมาปนฺนกวารํ จตูหิ ขเนฺธหิ, อสมาปนฺนกวารญฺจ ปญฺจหิ ขเนฺธหิ ภินฺทิตฺวา ‘‘รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’’ติอาทินา สาสนนเยน ปถวีวาราทีสุ วุเตฺตน จ อฎฺฐกถานเยน ยถานุรูปํ วีมํสิตฺวา เวทิตพฺพาฯ เกจิ ปน เอกตฺตนฺติ เอกตฺตนยํ วทนฺติ นานตฺตนฺติ นานตฺตนยํฯ อปเร ‘‘เอกตฺตสญฺญี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา, นานตฺตสญฺญี อตฺตา โหตี’’ติ เอวํ ทิฎฺฐาภินิเวสํฯ ตํ สพฺพํ อิธ นาธิเปฺปตตฺตา อยุตฺตเมว โหติฯ
Ekattanti iminā hi samāpannakavāraṃ dasseti. Nānattanti iminā asamāpannakavāraṃ. Tesaṃ ayaṃ vacanattho ekabhāvo ekattaṃ. Nānābhāvo nānattanti. Yojanā panettha samāpannakavāraṃ catūhi khandhehi, asamāpannakavārañca pañcahi khandhehi bhinditvā ‘‘rūpaṃ attato samanupassatī’’tiādinā sāsananayena pathavīvārādīsu vuttena ca aṭṭhakathānayena yathānurūpaṃ vīmaṃsitvā veditabbā. Keci pana ekattanti ekattanayaṃ vadanti nānattanti nānattanayaṃ. Apare ‘‘ekattasaññī attā hoti arogo paraṃ maraṇā, nānattasaññī attā hotī’’ti evaṃ diṭṭhābhinivesaṃ. Taṃ sabbaṃ idha nādhippetattā ayuttameva hoti.
เอวํ สพฺพํ สกฺกายํ ทฺวิธา ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตเมว เอกธา สมฺปิเณฺฑตฺวา ทเสฺสโนฺต สพฺพํ สพฺพโตติอาทิมาหฯ โยชนานโย ปเนตฺถ สพฺพํ อสฺสาเทโนฺต สพฺพํ ตณฺหามญฺญนาย มญฺญติฯ ‘‘มยา เอเต สตฺตา นิมฺมิตา’’ติอาทินา นเยน อตฺตนา นิมฺมิตํ มญฺญโนฺต สพฺพํ มานมญฺญนาย มญฺญติฯ ‘‘สพฺพํ ปุเพฺพกตกมฺมเหตุ, สพฺพํ อิสฺสรนิมฺมานเหตุ, สพฺพํ อเหตุอปจฺจยา, สพฺพํ อตฺถิ, สพฺพํ นตฺถี’’ติอาทินา นเยน มญฺญโนฺต สพฺพํ ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญตีติ เวทิตโพฺพฯ กถํ สพฺพสฺมิํ มญฺญติ? อิเธกโจฺจ เอวํทิฎฺฐิโก โหติ ‘‘มหา เม อตฺตา’’ติฯ โส สพฺพโลกสนฺนิวาสํ ตโสฺสกาสภาเวน ปริกเปฺปตฺวา โส โข ปน เม อยํ อตฺตา สพฺพสฺมินฺติ มญฺญติ, อยมสฺส ทิฎฺฐิมญฺญนาฯ ตสฺมิํเยว ปนสฺส อตฺตนิ สิเนหํ ตพฺพตฺถุกญฺจ มานํ อุปฺปาทยโต ตณฺหามานมญฺญนาปิ เวทิตพฺพาฯ เสสํ ปถวีวาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
Evaṃ sabbaṃ sakkāyaṃ dvidhā dassetvā idāni tameva ekadhā sampiṇḍetvā dassento sabbaṃ sabbatotiādimāha. Yojanānayo panettha sabbaṃ assādento sabbaṃ taṇhāmaññanāya maññati. ‘‘Mayā ete sattā nimmitā’’tiādinā nayena attanā nimmitaṃ maññanto sabbaṃ mānamaññanāya maññati. ‘‘Sabbaṃ pubbekatakammahetu, sabbaṃ issaranimmānahetu, sabbaṃ ahetuapaccayā, sabbaṃ atthi, sabbaṃ natthī’’tiādinā nayena maññanto sabbaṃ diṭṭhimaññanāya maññatīti veditabbo. Kathaṃ sabbasmiṃ maññati? Idhekacco evaṃdiṭṭhiko hoti ‘‘mahā me attā’’ti. So sabbalokasannivāsaṃ tassokāsabhāvena parikappetvā so kho pana me ayaṃ attā sabbasminti maññati, ayamassa diṭṭhimaññanā. Tasmiṃyeva panassa attani sinehaṃ tabbatthukañca mānaṃ uppādayato taṇhāmānamaññanāpi veditabbā. Sesaṃ pathavīvāre vuttanayeneva veditabbaṃ.
เอวํ สพฺพํ สกฺกายํ เอกธา ทเสฺสตฺวา อิทานิ อปเรนปิ นเยน ตํ เอกธา ทเสฺสโนฺต นิพฺพานํ นิพฺพานโตติ อาหฯ ตตฺถ นิพฺพานนฺติ ‘‘ยโต โข, โภ, อยํ อตฺตา ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิโต สมงฺคิภูโต ปริจาเรติฯ เอตฺตาวตา โข, โภ, อยํ อตฺตา ปรมทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานํ ปโตฺต โหตี’’ติอาทินา นเยน ปญฺจธา อาคตํ ปรมทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานํ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ นิพฺพานํ อสฺสาเทโนฺต ตณฺหามญฺญนาย มญฺญติฯ เตน นิพฺพาเนน ‘‘อหมสฺมิ นิพฺพานํ ปโตฺต’’ติ มานํ ชเนโนฺต มานมญฺญนาย มญฺญติฯ อนิพฺพานํเยว สมานํ ตํ นิพฺพานโต นิจฺจาทิโต จ คณฺหโนฺต ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญตีติ เวทิตโพฺพฯ
Evaṃ sabbaṃ sakkāyaṃ ekadhā dassetvā idāni aparenapi nayena taṃ ekadhā dassento nibbānaṃ nibbānatoti āha. Tattha nibbānanti ‘‘yato kho, bho, ayaṃ attā pañcahi kāmaguṇehi samappito samaṅgibhūto paricāreti. Ettāvatā kho, bho, ayaṃ attā paramadiṭṭhadhammanibbānaṃ patto hotī’’tiādinā nayena pañcadhā āgataṃ paramadiṭṭhadhammanibbānaṃ veditabbaṃ. Tattha nibbānaṃ assādento taṇhāmaññanāya maññati. Tena nibbānena ‘‘ahamasmi nibbānaṃ patto’’ti mānaṃ janento mānamaññanāya maññati. Anibbānaṃyeva samānaṃ taṃ nibbānato niccādito ca gaṇhanto diṭṭhimaññanāya maññatīti veditabbo.
นิพฺพานโต ปน อญฺญํ อตฺตานํ คเหตฺวา โส โข ปน เม อยํ อตฺตา อิมสฺมิํ นิพฺพาเนติ มญฺญโนฺต นิพฺพานสฺมิํ มญฺญติ, อยมสฺส ทิฎฺฐิมญฺญนาฯ ตสฺมิํเยว ปนสฺส อตฺตนิ สิเนหํ ตพฺพตฺถุกญฺจ มานํ อุปฺปาทยโต ตณฺหามานมญฺญนาปิ เวทิตพฺพาฯ เอส นโย นิพฺพานโต มญฺญนายปิฯ ตตฺรปิ หิ นิพฺพานโต อญฺญํ อตฺตานํ คเหตฺวา ‘‘อิทํ นิพฺพานํ, อยํ อตฺตา, โส โข ปน เม อยํ อตฺตา อิโต นิพฺพานโต อโญฺญ’’ติ มญฺญโนฺต นิพฺพานโต มญฺญติ, อยมสฺส ทิฎฺฐิมญฺญนาฯ ตสฺมิํเยว ปนสฺส อตฺตนิ สิเนหํ ตพฺพตฺถุกญฺจ มานํ อุปฺปาทยโต ตณฺหามานมญฺญนาปิ เวทิตพฺพาฯ ‘‘อโห สุขํ มม นิพฺพาน’’นฺติ มญฺญโนฺต ปน นิพฺพานํ เมติ มญฺญตีติ เวทิตโพฺพฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ อยํ ปเนตฺถ อนุคีติ –
Nibbānato pana aññaṃ attānaṃ gahetvā so kho pana me ayaṃ attā imasmiṃ nibbāneti maññanto nibbānasmiṃ maññati, ayamassa diṭṭhimaññanā. Tasmiṃyeva panassa attani sinehaṃ tabbatthukañca mānaṃ uppādayato taṇhāmānamaññanāpi veditabbā. Esa nayo nibbānato maññanāyapi. Tatrapi hi nibbānato aññaṃ attānaṃ gahetvā ‘‘idaṃ nibbānaṃ, ayaṃ attā, so kho pana me ayaṃ attā ito nibbānato añño’’ti maññanto nibbānato maññati, ayamassa diṭṭhimaññanā. Tasmiṃyeva panassa attani sinehaṃ tabbatthukañca mānaṃ uppādayato taṇhāmānamaññanāpi veditabbā. ‘‘Aho sukhaṃ mama nibbāna’’nti maññanto pana nibbānaṃ meti maññatīti veditabbo. Sesaṃ vuttanayameva. Ayaṃ panettha anugīti –
ยาทิโส เอส สกฺกาโย, ตถา นํ อวิชานโต;
Yādiso esa sakkāyo, tathā naṃ avijānato;
ปุถุชฺชนสฺส สกฺกาเย, ชายนฺติ สพฺพมญฺญนาฯ
Puthujjanassa sakkāye, jāyanti sabbamaññanā.
เชคุโจฺฉ ภิทุโร จายํ, ทุโกฺข อปริณายโก;
Jeguccho bhiduro cāyaṃ, dukkho apariṇāyako;
ตํ ปจฺจนีกโต พาโล, คณฺหํ คณฺหาติ มญฺญนํฯ
Taṃ paccanīkato bālo, gaṇhaṃ gaṇhāti maññanaṃ.
สุภโต สุขโต เจว, สกฺกายํ อนุปสฺสโต;
Subhato sukhato ceva, sakkāyaṃ anupassato;
สลภเสฺสว อคฺคิมฺหิ, โหติ ตณฺหาย มญฺญนาฯ
Salabhasseva aggimhi, hoti taṇhāya maññanā.
นิจฺจสญฺญํ อธิฎฺฐาย, สมฺปตฺติํ ตสฺส ปสฺสโต;
Niccasaññaṃ adhiṭṭhāya, sampattiṃ tassa passato;
คูถาที วิย คูถสฺมิํ, โหติ มาเนน มญฺญนาฯ
Gūthādī viya gūthasmiṃ, hoti mānena maññanā.
อตฺตา อตฺตนิโย เมติ, ปสฺสโต นํ อพุทฺธิโน;
Attā attaniyo meti, passato naṃ abuddhino;
อาทาเส วิย โพนฺธิสฺส, ทิฎฺฐิยา โหติ มญฺญนาฯ
Ādāse viya bondhissa, diṭṭhiyā hoti maññanā.
มญฺญนาติ จ นาเมตํ, สุขุมํ มารพนฺธนํ;
Maññanāti ca nāmetaṃ, sukhumaṃ mārabandhanaṃ;
สิถิลํ ทุปฺปมุญฺจญฺจ, เยน พโทฺธ ปุถุชฺชโนฯ
Sithilaṃ duppamuñcañca, yena baddho puthujjano.
พหุํ วิปฺผนฺทมาโนปิ, สกฺกายํ นาติวตฺตติ;
Bahuṃ vipphandamānopi, sakkāyaṃ nātivattati;
สมุสฺสิตํ ทฬฺหตฺถมฺภํ, สาว คทฺทุลพนฺธโนฯ
Samussitaṃ daḷhatthambhaṃ, sāva gaddulabandhano.
ส’โส สกฺกายมลีโน, ชาติยา จ ชราย จ;
Sa’so sakkāyamalīno, jātiyā ca jarāya ca;
โรคาทีหิ จ ทุเกฺขหิ, นิจฺจํ หญฺญติ พาฬฺหโสฯ
Rogādīhi ca dukkhehi, niccaṃ haññati bāḷhaso.
ตํ โว วทามิ ภทฺทเนฺต, สกฺกายํ อนุปสฺสถ;
Taṃ vo vadāmi bhaddante, sakkāyaṃ anupassatha;
อสาตโต อสุภโต, เภทโต จ อนตฺตโตฯ
Asātato asubhato, bhedato ca anattato.
เอโส สภาโว เหตสฺส, ปสฺสํ เอวมิมํ พุโธ;
Eso sabhāvo hetassa, passaṃ evamimaṃ budho;
ปหาย มญฺญนา สพฺพา, สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจตีติฯ
Pahāya maññanā sabbā, sabbadukkhā pamuccatīti.
เอกตฺตวาราทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Ekattavārādivaṇṇanā niṭṭhitā.
ปุถุชฺชนวเสน จตุวีสติปพฺพา ปฐมนยกถา นิฎฺฐิตาฯ
Puthujjanavasena catuvīsatipabbā paṭhamanayakathā niṭṭhitā.
เสกฺขวารทุติยนยวณฺณนา
Sekkhavāradutiyanayavaṇṇanā
๗. เอวํ ภควา ปถวีอาทีสุ วตฺถูสุ สพฺพสกฺกายธมฺมมูลภูตํ ปุถุชฺชนสฺส ปวตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ เตเสฺวว วตฺถูสุ เสกฺขสฺส ปวตฺติํ ทเสฺสโนฺต โยปิ โส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เสโกฺขติอาทิมาหฯ ตตฺถ โยติ อุเทฺทสวจนํฯ โสติ นิเทฺทสวจนํฯ ปิกาโร สมฺปิณฺฑนโตฺถ อยมฺปิ ธโมฺม อนิยโตติอาทีสุ วิยฯ เตน จ อารมฺมณสภาเคน ปุคฺคลํ สมฺปิเณฺฑติ, โน ปุคฺคลสภาเคน, เหฎฺฐโต หิ ปุคฺคลา ทิฎฺฐิวิปนฺนา, อิธ ทิฎฺฐิสมฺปนฺนา, น เตสํ สภาคตา อตฺถิฯ อารมฺมณํ ปน เหฎฺฐา ปุคฺคลานมฺปิ ตเทว, อิเมสมฺปิ ตเทวาติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อารมฺมณสภาเคน ปุคฺคลํ สมฺปิเณฺฑติ โน ปุคฺคลสภาเคนา’’ติฯ โยปิ โสติ อิมินา ปน สกเลน วจเนน อิทานิ วตฺตพฺพํ เสกฺขํ ทเสฺสตีติ เวทิตโพฺพฯ ภิกฺขเว, ภิกฺขูติ อิทํ วุตฺตนยเมวฯ
7. Evaṃ bhagavā pathavīādīsu vatthūsu sabbasakkāyadhammamūlabhūtaṃ puthujjanassa pavattiṃ dassetvā idāni tesveva vatthūsu sekkhassa pavattiṃ dassento yopi so, bhikkhave, bhikkhu sekkhotiādimāha. Tattha yoti uddesavacanaṃ. Soti niddesavacanaṃ. Pikāro sampiṇḍanattho ayampi dhammo aniyatotiādīsu viya. Tena ca ārammaṇasabhāgena puggalaṃ sampiṇḍeti, no puggalasabhāgena, heṭṭhato hi puggalā diṭṭhivipannā, idha diṭṭhisampannā, na tesaṃ sabhāgatā atthi. Ārammaṇaṃ pana heṭṭhā puggalānampi tadeva, imesampi tadevāti. Tena vuttaṃ ‘‘ārammaṇasabhāgena puggalaṃ sampiṇḍeti no puggalasabhāgenā’’ti. Yopi soti iminā pana sakalena vacanena idāni vattabbaṃ sekkhaṃ dassetīti veditabbo. Bhikkhave, bhikkhūti idaṃ vuttanayameva.
เสโกฺขติ เกนเฎฺฐน เสโกฺข? เสกฺขธมฺมปฺปฎิลาภโต เสโกฺขฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘กิตฺตาวตา นุ โข, ภเนฺต, เสโกฺข โหตีติ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เสกฺขาย สมฺมาทิฎฺฐิยา สมนฺนาคโต โหติ…เป.… เสเกฺขน สมฺมาสมาธินา สมนฺนาคโต โหติฯ เอตฺตาวตา โข ภิกฺขุ, เสโกฺข โหตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๓)ฯ อปิจ สิกฺขตีติปิ เสโกฺขฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘สิกฺขตีติ โข ภิกฺขุ ตสฺมา เสโกฺขติ วุจฺจติฯ กิญฺจ สิกฺขติ? อธิสีลมฺปิ สิกฺขติ, อธิจิตฺตมฺปิ สิกฺขติ, อธิปญฺญมฺปิ สิกฺขติ, สิกฺขตีติ โข ภิกฺขุ ตสฺมา เสโกฺขติ วุจฺจตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๘๖)ฯ
Sekkhoti kenaṭṭhena sekkho? Sekkhadhammappaṭilābhato sekkho. Vuttañhetaṃ ‘‘kittāvatā nu kho, bhante, sekkho hotīti? Idha, bhikkhave, bhikkhu sekkhāya sammādiṭṭhiyā samannāgato hoti…pe… sekkhena sammāsamādhinā samannāgato hoti. Ettāvatā kho bhikkhu, sekkho hotī’’ti (saṃ. ni. 5.13). Apica sikkhatītipi sekkho. Vuttañhetaṃ ‘‘sikkhatīti kho bhikkhu tasmā sekkhoti vuccati. Kiñca sikkhati? Adhisīlampi sikkhati, adhicittampi sikkhati, adhipaññampi sikkhati, sikkhatīti kho bhikkhu tasmā sekkhoti vuccatī’’ti (a. ni. 3.86).
โยปิ กลฺยาณปุถุชฺชโน อนุโลมปฎิปทาย ปริปูรการี สีลสมฺปโนฺน อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โภชเน มตฺตญฺญู ชาคริยานุโยคมนุยุโตฺต ปุพฺพรตฺตาปรรตฺตํ โพธิปกฺขิยานํ ธมฺมานํ ภาวนานุโยคมนุยุโตฺต วิหรติ – ‘‘อชฺช วา เสฺว วา อญฺญตรํ สามญฺญผลํ อธิคมิสฺสามี’’ติ, โสปิ วุจฺจติ สิกฺขตีติ เสโกฺขติฯ อิมสฺมิํ ปนเตฺถ ปฎิเวธปฺปโตฺตว เสโกฺข อธิเปฺปโต, โน ปุถุชฺชโนฯ
Yopi kalyāṇaputhujjano anulomapaṭipadāya paripūrakārī sīlasampanno indriyesu guttadvāro bhojane mattaññū jāgariyānuyogamanuyutto pubbarattāpararattaṃ bodhipakkhiyānaṃ dhammānaṃ bhāvanānuyogamanuyutto viharati – ‘‘ajja vā sve vā aññataraṃ sāmaññaphalaṃ adhigamissāmī’’ti, sopi vuccati sikkhatīti sekkhoti. Imasmiṃ panatthe paṭivedhappattova sekkho adhippeto, no puthujjano.
อปฺปตฺตํ มานสํ เอเตนาติ อปฺปตฺตมานโสฯ มานสนฺติ ราโคปิ จิตฺตมฺปิ อรหตฺตมฺปิฯ ‘‘อนฺตลิกฺขจโร ปาโส, ยฺวายํ จรติ มานโส’’ติ (มหาว. ๓๓; สํ. นิ. ๑.๑๕๑) เอตฺถ หิ ราโค มานสํฯ ‘‘จิตฺตํ มโน มานส’’นฺติ (ธ. ส. ๖๕) เอตฺถ จิตฺตํฯ ‘‘อปฺปตฺตมานโส เสโกฺข, กาลํ กยิรา ชเนสุตา’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๕๙) เอตฺถ อรหตฺตํฯ อิธาปิ อรหตฺตเมว อธิเปฺปตํฯ เตน อปฺปตฺตารหโตฺตติ วุตฺตํ โหติฯ
Appattaṃ mānasaṃ etenāti appattamānaso. Mānasanti rāgopi cittampi arahattampi. ‘‘Antalikkhacaro pāso, yvāyaṃ carati mānaso’’ti (mahāva. 33; saṃ. ni. 1.151) ettha hi rāgo mānasaṃ. ‘‘Cittaṃ mano mānasa’’nti (dha. sa. 65) ettha cittaṃ. ‘‘Appattamānaso sekkho, kālaṃ kayirā janesutā’’ti (saṃ. ni. 1.159) ettha arahattaṃ. Idhāpi arahattameva adhippetaṃ. Tena appattārahattoti vuttaṃ hoti.
อนุตฺตรนฺติ เสฎฺฐํ, อสทิสนฺติ อโตฺถฯ จตูหิ โยเคหิ เขมํ อนนุยุตฺตนฺติ โยคเกฺขมํ, อรหตฺตเมว อธิเปฺปตํฯ ปตฺถยมาโนติ เทฺว ปตฺถนา ตณฺหาปตฺถนา จ, ฉนฺทปตฺถนา จฯ ‘‘ปตฺถยมานสฺส หิ ปชปฺปิตานิ, ปเวธิตํ วาปิ ปกปฺปิเตสู’’ติ (สุ. นิ. ๙๐๘) เอตฺถ ตณฺหาปตฺถนาฯ
Anuttaranti seṭṭhaṃ, asadisanti attho. Catūhi yogehi khemaṃ ananuyuttanti yogakkhemaṃ, arahattameva adhippetaṃ. Patthayamānoti dve patthanā taṇhāpatthanā ca, chandapatthanā ca. ‘‘Patthayamānassa hi pajappitāni, pavedhitaṃ vāpi pakappitesū’’ti (su. ni. 908) ettha taṇhāpatthanā.
‘‘ฉินฺนํ ปาปิมโต โสตํ, วิทฺธสฺตํ วินฬีกตํ;
‘‘Chinnaṃ pāpimato sotaṃ, viddhastaṃ vinaḷīkataṃ;
ปาโมชฺชพหุลา โหถ, เขมํ ปตฺตตฺถ ภิกฺขโว’’ติฯ (ม. นิ. ๑.๓๕๒) –
Pāmojjabahulā hotha, khemaṃ pattattha bhikkhavo’’ti. (ma. ni. 1.352) –
เอตฺถ กตฺตุกมฺยตา กุสลจฺฉนฺทปตฺถนาฯ อยเมว อิธาธิเปฺปตาฯ เตน ปตฺถยมาโนติ ตํ โยคเกฺขมํ ปตฺตุกาโม อธิคนฺตุกาโม ตนฺนิโนฺน ตโปฺปโณ ตปฺปพฺภาโรติ เวทิตโพฺพฯ วิหรตีติ อญฺญํ อิริยาปถทุกฺขํ อเญฺญน อิริยาปเถน วิจฺฉินฺทิตฺวา อปริปตนฺตํ กายํ หรติฯ อถ วา ‘‘สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจาติ อธิมุจฺจโนฺต สทฺธาย วิหรตี’’ติอาทินาปิ นิเทฺทสนเยเนตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ปถวิํ ปถวิโต อภิชานาตีติ ปถวิํ ปถวีภาเวน อภิชานาติ, น ปุถุชฺชโน วิย สพฺพาการวิปรีตาย สญฺญาย สญฺชานาติฯ อปิจ โข อภิวิสิเฎฺฐน ญาเณน ชานาติ, เอวํ ปถวีติ เอตํ ปถวีภาวํ อธิมุจฺจโนฺต เอว นํ อนิจฺจาติปิ ทุกฺขาติปิ อนตฺตาติปิ เอวํ อภิชานาตีติ วุตฺตํ โหติฯ เอวญฺจ นํ อภิญฺญตฺวา ปถวิํ มา มญฺญีติ วุตฺตํ โหติฯ มญฺญตีติ มญฺญิฯ อยํ ปน มญฺญี จ น มญฺญี จ น วตฺตโพฺพติฯ เอตสฺมิญฺหิ อเตฺถ อิทํ ปทํ นิปาเตตฺวา วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ โก ปเนตฺถ อธิปฺปาโยติฯ วุจฺจเต, ปุถุชฺชโน ตาว สพฺพมญฺญนานํ อปฺปหีนตฺตา มญฺญตีติ วุโตฺตฯ ขีณาสโว ปหีนตฺตา น มญฺญตีติฯ เสกฺขสฺส ปน ทิฎฺฐิมญฺญนา ปหีนา, อิตรา ปน ตนุภาวํ คตา, เตน โส มญฺญตีติปิ น วตฺตโพฺพ ปุถุชฺชโน วิย, น มญฺญตีติปิ น วตฺตโพฺพ ขีณาสโว วิยาติฯ
Ettha kattukamyatā kusalacchandapatthanā. Ayameva idhādhippetā. Tena patthayamānoti taṃ yogakkhemaṃ pattukāmo adhigantukāmo tanninno tappoṇo tappabbhāroti veditabbo. Viharatīti aññaṃ iriyāpathadukkhaṃ aññena iriyāpathena vicchinditvā aparipatantaṃ kāyaṃ harati. Atha vā ‘‘sabbe saṅkhārā aniccāti adhimuccanto saddhāya viharatī’’tiādināpi niddesanayenettha attho daṭṭhabbo. Pathaviṃ pathavito abhijānātīti pathaviṃ pathavībhāvena abhijānāti, na puthujjano viya sabbākāraviparītāya saññāya sañjānāti. Apica kho abhivisiṭṭhena ñāṇena jānāti, evaṃ pathavīti etaṃ pathavībhāvaṃ adhimuccanto eva naṃ aniccātipi dukkhātipi anattātipi evaṃ abhijānātīti vuttaṃ hoti. Evañca naṃ abhiññatvā pathaviṃ mā maññīti vuttaṃ hoti. Maññatīti maññi. Ayaṃ pana maññī ca na maññī ca na vattabboti. Etasmiñhi atthe idaṃ padaṃ nipātetvā vuttanti veditabbaṃ. Ko panettha adhippāyoti. Vuccate, puthujjano tāva sabbamaññanānaṃ appahīnattā maññatīti vutto. Khīṇāsavo pahīnattā na maññatīti. Sekkhassa pana diṭṭhimaññanā pahīnā, itarā pana tanubhāvaṃ gatā, tena so maññatītipi na vattabbo puthujjano viya, na maññatītipi na vattabbo khīṇāsavo viyāti.
ปริเญฺญยฺยํ ตสฺสาติ ตสฺส เสกฺขสฺส ตํ มญฺญนาวตฺถุ โอกฺกนฺตนิยามตฺตา สโมฺพธิปรายณตฺตา จ ตีหิ ปริญฺญาหิ ปริเญฺญยฺยํ, อปริเญฺญยฺยญฺจ อปริญฺญาตญฺจ น โหติ ปุถุชฺชนสฺส วิย, โนปิ ปริญฺญาตํ ขีณาสวสฺส วิยฯ เสสํ สพฺพตฺถ วุตฺตนยเมวฯ
Pariññeyyaṃ tassāti tassa sekkhassa taṃ maññanāvatthu okkantaniyāmattā sambodhiparāyaṇattā ca tīhi pariññāhi pariññeyyaṃ, apariññeyyañca apariññātañca na hoti puthujjanassa viya, nopi pariññātaṃ khīṇāsavassa viya. Sesaṃ sabbattha vuttanayameva.
เสกฺขวเสน ทุติยนยกถา นิฎฺฐิตาฯ
Sekkhavasena dutiyanayakathā niṭṭhitā.
ขีณาสววารตติยาทินยวณฺณนา
Khīṇāsavavāratatiyādinayavaṇṇanā
๘. เอวํ ปถวีอาทีสุ วตฺถูสุ เสกฺขสฺส ปวตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ขีณาสวสฺส ปวตฺติํ ทเสฺสโนฺต โยปิ โส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อรหนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ โยปีติ ปิ-สโทฺท สมฺปิณฺฑนโตฺถฯ เตน อิธ อุภยสภาคตาปิ ลพฺภตีติ ทเสฺสติฯ เสโกฺข หิ ขีณาสเวน อริยปุคฺคลตฺตา สภาโค, เตน ปุคฺคลสภาคตา ลพฺภติ, อารมฺมณสภาคตา ปน วุตฺตนยา เอวฯ อรหนฺติ อารกกิเลโส, ทูรกิเลโส ปหีนกิเลโสติ อโตฺถฯ วุตฺตเญฺจตํ ภควตา ‘‘กถญฺจ , ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อรหํ โหติ? อารกาสฺส โหนฺติ ปาปกา อกุสลา ธมฺมา สํกิเลสิกา โปโนพฺภวิกา สทรา ทุกฺขวิปากา อายติํ ชาติชรามรณิยาฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อรหํ โหตี’’ติฯ (ม. นิ. ๑.๔๓๔) ขีณาสโวติ จตฺตาโร อาสวา กามาสโว…เป.… อวิชฺชาสโว, อิเม จตฺตาโร อาสวา อรหโต ขีณา ปหีนา สมุจฺฉินฺนา ปฎิปฺปสฺสทฺธา, อภพฺพุปฺปตฺติกา ญาณคฺคินา ทฑฺฒา, เตน วุจฺจติ ขีณาสโวติฯ
8. Evaṃ pathavīādīsu vatthūsu sekkhassa pavattiṃ dassetvā idāni khīṇāsavassa pavattiṃ dassento yopi so, bhikkhave, bhikkhu arahantiādimāha. Tattha yopīti pi-saddo sampiṇḍanattho. Tena idha ubhayasabhāgatāpi labbhatīti dasseti. Sekkho hi khīṇāsavena ariyapuggalattā sabhāgo, tena puggalasabhāgatā labbhati, ārammaṇasabhāgatā pana vuttanayā eva. Arahanti ārakakileso, dūrakileso pahīnakilesoti attho. Vuttañcetaṃ bhagavatā ‘‘kathañca , bhikkhave, bhikkhu arahaṃ hoti? Ārakāssa honti pāpakā akusalā dhammā saṃkilesikā ponobbhavikā sadarā dukkhavipākā āyatiṃ jātijarāmaraṇiyā. Evaṃ kho, bhikkhave, bhikkhu arahaṃ hotī’’ti. (Ma. ni. 1.434) khīṇāsavoti cattāro āsavā kāmāsavo…pe… avijjāsavo, ime cattāro āsavā arahato khīṇā pahīnā samucchinnā paṭippassaddhā, abhabbuppattikā ñāṇagginā daḍḍhā, tena vuccati khīṇāsavoti.
วุสิตวาติ ครุสํวาเสปิ อริยมคฺคสํวาเสปิ ทสสุ อริยวาเสสุปิ วสิ ปริวสิ วุโตฺถ ปริวุโตฺถ, โส วุตฺถวาโส จิณฺณจรโณติ วุสิตวา กตกรณีโยติ ปุถุชฺชนกลฺยาณกํ อุปาทาย สตฺต เสกฺขา จตูหิ มเคฺคหิ กรณียํ กโรนฺติ นาม, ขีณาสวสฺส สพฺพกรณียานิ กตานิ ปริโยสิตานิ, นตฺถิ ตสฺส อุตฺตริ กรณียํ ทุกฺขกฺขยาธิคมายาติ กตกรณีโยฯ วุตฺตมฺปิ เหตํ –
Vusitavāti garusaṃvāsepi ariyamaggasaṃvāsepi dasasu ariyavāsesupi vasi parivasi vuttho parivuttho, so vutthavāso ciṇṇacaraṇoti vusitavā katakaraṇīyoti puthujjanakalyāṇakaṃ upādāya satta sekkhā catūhi maggehi karaṇīyaṃ karonti nāma, khīṇāsavassa sabbakaraṇīyāni katāni pariyositāni, natthi tassa uttari karaṇīyaṃ dukkhakkhayādhigamāyāti katakaraṇīyo. Vuttampi hetaṃ –
‘‘ตสฺส สมฺมา วิมุตฺตสฺส, สนฺตจิตฺตสฺส ภิกฺขุโน;
‘‘Tassa sammā vimuttassa, santacittassa bhikkhuno;
กตสฺส ปฎิจโย นตฺถิ, กรณียํ น วิชฺชตี’’ติฯ (เถรคา. ๖๔๒);
Katassa paṭicayo natthi, karaṇīyaṃ na vijjatī’’ti. (theragā. 642);
โอหิตภาโรติ ตโย ภารา ขนฺธภาโร กิเลสภาโร อภิสงฺขารภาโรติ, ตสฺสิเม ตโย ภารา โอหิตา โอโรปิตา นิกฺขิตฺตา ปาติตา, เตน วุจฺจติ โอหิตภาโรติฯ อนุปฺปตฺตสทโตฺถติ อนุปฺปโตฺต สทตฺถํ, สกตฺถนฺติ วุตฺตํ โหติฯ กการสฺสายํ ทกาโร กโต, สทโตฺถติ จ อรหตฺตํ เวทิตพฺพํฯ ตญฺหิ อตฺตุปนิพนฺธนเฎฺฐน อตฺตานํ อวิชหนเฎฺฐน อตฺตโน ปรมตฺถเฎฺฐน จ อตฺตโน อโตฺถ สกโตฺถติ วุจฺจติฯ
Ohitabhāroti tayo bhārā khandhabhāro kilesabhāro abhisaṅkhārabhāroti, tassime tayo bhārā ohitā oropitā nikkhittā pātitā, tena vuccati ohitabhāroti. Anuppattasadatthoti anuppatto sadatthaṃ, sakatthanti vuttaṃ hoti. Kakārassāyaṃ dakāro kato, sadatthoti ca arahattaṃ veditabbaṃ. Tañhi attupanibandhanaṭṭhena attānaṃ avijahanaṭṭhena attano paramatthaṭṭhena ca attano attho sakatthoti vuccati.
ปริกฺขีณภวสํโยชโนติ ภวสํโยชนานีติ ทส สํโยชนานิ กามราคสํโยชนํ ปฎิฆมานทิฎฺฐิวิจิกิจฺฉาสีลพฺพตปรามาสภวราคอิสฺสามจฺฉริยสํโยชนํ อวิชฺชาสํโยชนํฯ อิมานิ หิ สเตฺต ภเวสุ สํโยเชนฺติ อุปนิพนฺธนฺติ, ภวํ วา ภเวน สํโยเชนฺติ, ตสฺมา ‘‘ภวสํโยชนานี’’ติ วุจฺจนฺติฯ อิมานิ ภวสํโยชนานิ อรหโต ปริกฺขีณานิ ปหีนานิ ญาณคฺคินา ทฑฺฒานิ, เตน วุจฺจติ ‘‘ปริกฺขีณภวสํโยชโน’’ติฯ สมฺมทญฺญา วิมุโตฺตติ เอตฺถ สมฺมทญฺญาติ สมฺมา อญฺญายฯ กิํ วุตฺตํ โหติ – ขนฺธานํ ขนฺธฎฺฐํ, อายตนานํ อายตนฎฺฐํ, ธาตูนํ ธาตุฎฺฐํ, ทุกฺขสฺส ปีฬนฎฺฐํ, สมุทยสฺส ปภวฎฺฐํ, นิโรธสฺส สนฺตฎฺฐํ, มคฺคสฺส ทสฺสนฎฺฐํ, สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจาติ เอวมาทิํ วา เภทํ สมฺมา ยถาภูตํ อญฺญาย ชานิตฺวา ตีรยิตฺวา ตุลยิตฺวา วิภาเวตฺวา วิภูตํ กตฺวาติฯ
Parikkhīṇabhavasaṃyojanoti bhavasaṃyojanānīti dasa saṃyojanāni kāmarāgasaṃyojanaṃ paṭighamānadiṭṭhivicikicchāsīlabbataparāmāsabhavarāgaissāmacchariyasaṃyojanaṃ avijjāsaṃyojanaṃ. Imāni hi satte bhavesu saṃyojenti upanibandhanti, bhavaṃ vā bhavena saṃyojenti, tasmā ‘‘bhavasaṃyojanānī’’ti vuccanti. Imāni bhavasaṃyojanāni arahato parikkhīṇāni pahīnāni ñāṇagginā daḍḍhāni, tena vuccati ‘‘parikkhīṇabhavasaṃyojano’’ti. Sammadaññā vimuttoti ettha sammadaññāti sammā aññāya. Kiṃ vuttaṃ hoti – khandhānaṃ khandhaṭṭhaṃ, āyatanānaṃ āyatanaṭṭhaṃ, dhātūnaṃ dhātuṭṭhaṃ, dukkhassa pīḷanaṭṭhaṃ, samudayassa pabhavaṭṭhaṃ, nirodhassa santaṭṭhaṃ, maggassa dassanaṭṭhaṃ, sabbe saṅkhārā aniccāti evamādiṃ vā bhedaṃ sammā yathābhūtaṃ aññāya jānitvā tīrayitvā tulayitvā vibhāvetvā vibhūtaṃ katvāti.
วิมุโตฺตติ เทฺว วิมุตฺติโย จิตฺตสฺส จ วิมุตฺติ นิพฺพานญฺจฯ อรหา สพฺพกิเลเสหิ วิมุตฺตจิตฺตตฺตา จิตฺตวิมุตฺติยาปิ วิมุโตฺตฯ นิพฺพานํ อธิมุตฺตตฺตา นิพฺพาเนปิ วิมุโตฺตฯ เตน วุจฺจติ ‘‘สมฺมทญฺญา วิมุโตฺต’’ติฯ ปริญฺญาตํ ตสฺสาติ ตสฺส อรหโต ตํ มญฺญนาวตฺถุ ตีหิ ปริญฺญาหิ ปริญฺญาตํฯ ตสฺมา โส ตํ วตฺถุํ น มญฺญติ, ตํ วา มญฺญนํ น มญฺญตีติ วุตฺตํ โหติ, เสสํ วุตฺตนยเมวฯ
Vimuttoti dve vimuttiyo cittassa ca vimutti nibbānañca. Arahā sabbakilesehi vimuttacittattā cittavimuttiyāpi vimutto. Nibbānaṃ adhimuttattā nibbānepi vimutto. Tena vuccati ‘‘sammadaññā vimutto’’ti. Pariññātaṃ tassāti tassa arahato taṃ maññanāvatthu tīhi pariññāhi pariññātaṃ. Tasmā so taṃ vatthuṃ na maññati, taṃ vā maññanaṃ na maññatīti vuttaṃ hoti, sesaṃ vuttanayameva.
นิพฺพานวาเร ปน ขยา ราคสฺสาติอาทโย ตโย วารา วุตฺตาฯ เต ปถวีวาราทีสุปิ วิตฺถาเรตพฺพาฯ อยญฺจ ปริญฺญาตวาโร นิพฺพานวาเรปิ วิตฺถาเรตโพฺพฯ วิตฺถาเรเนฺตน จ ปริญฺญาตํ ตสฺสาติ สพฺพปเทหิ โยเชตฺวา ปุน ขยา ราคสฺส วีตราคตฺตาติ โยเชตพฺพํฯ เอส นโย อิตเรสุฯ เทสนา ปน เอกตฺถ วุตฺตํ สพฺพตฺถ วุตฺตเมว โหตีติ สํขิตฺตาฯ
Nibbānavāre pana khayā rāgassātiādayo tayo vārā vuttā. Te pathavīvārādīsupi vitthāretabbā. Ayañca pariññātavāro nibbānavārepi vitthāretabbo. Vitthārentena ca pariññātaṃ tassāti sabbapadehi yojetvā puna khayā rāgassa vītarāgattāti yojetabbaṃ. Esa nayo itaresu. Desanā pana ekattha vuttaṃ sabbattha vuttameva hotīti saṃkhittā.
ขยา ราคสฺส วีตราคตฺตาติ เอตฺถ จ ยสฺมา พาหิรโก กาเมสุ วีตราโค, น ขยา ราคสฺส วีตราโคฯ อรหา ปน ขยา เยว, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ขยา ราคสฺส วีตราคตฺตา’’ติฯ เอส นโย โทสโมเหสุปิฯ ยถา จ ‘‘ปริญฺญาตํ ตสฺสาติ วทามี’’ติ วุเตฺตปิ ปริญฺญาตตฺตา โส ตํ วตฺถุํ ตํ วา มญฺญนํ น มญฺญตีติ อโตฺถ โหติ, เอวมิธาปิ วีตราคตฺตา โส ตํ วตฺถุํ ตํ วา มญฺญนํ น มญฺญตีติ ทฎฺฐโพฺพฯ
Khayā rāgassa vītarāgattāti ettha ca yasmā bāhirako kāmesu vītarāgo, na khayā rāgassa vītarāgo. Arahā pana khayā yeva, tasmā vuttaṃ ‘‘khayā rāgassa vītarāgattā’’ti. Esa nayo dosamohesupi. Yathā ca ‘‘pariññātaṃ tassāti vadāmī’’ti vuttepi pariññātattā so taṃ vatthuṃ taṃ vā maññanaṃ na maññatīti attho hoti, evamidhāpi vītarāgattā so taṃ vatthuṃ taṃ vā maññanaṃ na maññatīti daṭṭhabbo.
เอตฺถ จ ปริญฺญาตํ ตสฺสาติ อยํ วาโร มคฺคภาวนาปาริปูริทสฺสนตฺถํ วุโตฺตฯ อิตเร ปน ผลสจฺฉิกิริยาปาริปูริทสฺสนตฺถนฺติ เวทิตพฺพาฯ ทฺวีหิ วา การเณหิ อรหา น มญฺญติ วตฺถุสฺส จ ปริญฺญาตตฺตา อกุสลมูลานญฺจ สมุจฺฉินฺนตฺตาฯ เตนสฺส ปริญฺญาตวาเรน วตฺถุโน วตฺถุปริญฺญํ ทีเปติ, อิตเรหิ อกุสลมูลสมุเจฺฉทนฺติฯ ตตฺถ ปจฺฉิเมสุ ตีสุ วาเรสุ อยํ วิเสโส เวทิตโพฺพ, ตีสุ หิ วาเรสุ ราเค อาทีนวํ ทิสฺวา ทุกฺขานุปสฺสี วิหรโนฺต อปฺปณิหิตวิโมเกฺขน วิมุโตฺต ขยา ราคสฺส วีตราโค โหติฯ โทเส อาทีนวํ ทิสฺวา อนิจฺจานุปสฺสี วิหรโนฺต อนิมิตฺตวิโมเกฺขน วิมุโตฺต ขยา โทสสฺส วีตโทโส โหติฯ โมเห อาทีนวํ ทิสฺวา อนตฺตานุปสฺสี วิหรโนฺต สุญฺญตวิโมเกฺขน วิมุโตฺต ขยา โมหสฺส วีตโมโห โหตีติฯ
Ettha ca pariññātaṃ tassāti ayaṃ vāro maggabhāvanāpāripūridassanatthaṃ vutto. Itare pana phalasacchikiriyāpāripūridassanatthanti veditabbā. Dvīhi vā kāraṇehi arahā na maññati vatthussa ca pariññātattā akusalamūlānañca samucchinnattā. Tenassa pariññātavārena vatthuno vatthupariññaṃ dīpeti, itarehi akusalamūlasamucchedanti. Tattha pacchimesu tīsu vāresu ayaṃ viseso veditabbo, tīsu hi vāresu rāge ādīnavaṃ disvā dukkhānupassī viharanto appaṇihitavimokkhena vimutto khayā rāgassa vītarāgo hoti. Dose ādīnavaṃ disvā aniccānupassī viharanto animittavimokkhena vimutto khayā dosassa vītadoso hoti. Mohe ādīnavaṃ disvā anattānupassī viharanto suññatavimokkhena vimutto khayā mohassa vītamoho hotīti.
เอวํ สเนฺต น เอโก ตีหิ วิโมเกฺขหิ วิมุจฺจตีติ เทฺว วารา น วตฺตพฺพา สิยุนฺติ เจ, ตํ นฯ กสฺมา? อนิยมิตตฺตาฯ อนิยเมน หิ วุตฺตํ ‘‘โยปิ โส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อรห’’นฺติฯ น ปน วุตฺตํ อปฺปณิหิตวิโมเกฺขน วา วิมุโตฺต, อิตเรน วาติ, ตสฺมา ยํ อรหโต ยุชฺชติ, ตํ สพฺพํ วตฺตพฺพเมวาติฯ
Evaṃ sante na eko tīhi vimokkhehi vimuccatīti dve vārā na vattabbā siyunti ce, taṃ na. Kasmā? Aniyamitattā. Aniyamena hi vuttaṃ ‘‘yopi so, bhikkhave, bhikkhu araha’’nti. Na pana vuttaṃ appaṇihitavimokkhena vā vimutto, itarena vāti, tasmā yaṃ arahato yujjati, taṃ sabbaṃ vattabbamevāti.
อวิเสเสน วา โย โกจิ อรหา สมาเนปิ ราคาทิกฺขเย วิปริณามทุกฺขสฺส ปริญฺญาตตฺตา ขยา ราคสฺส วีตราโคติ วุจฺจติ, ทุกฺขทุกฺขสฺส ปริญฺญาตตฺตา ขยา โทสสฺส วีตโทโสติฯ สงฺขารทุกฺขสฺส ปริญฺญาตตฺตา ขยา โมหสฺส วีตโมโหติฯ อิฎฺฐารมฺมณสฺส วา ปริญฺญาตตฺตา ขยา ราคสฺส วีตราโคฯ อนิฎฺฐารมฺมณสฺส ปริญฺญาตตฺตา ขยา โทสสฺส วีตโทโสฯ มชฺฌตฺตารมฺมณสฺส ปริญฺญาตตฺตา ขยา โมหสฺส วีตโมโหฯ สุขาย วา เวทนาย ราคานุสยสฺส สมุจฺฉินฺนตฺตา ขยา ราคสฺส วีตราโค, อิตราสุ ปฎิฆโมหานุสยานํ สมุจฺฉินฺนตฺตา วีตโทโส วีตโมโห จาติฯ ตสฺมา ตํ วิเสสํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ขยา ราคสฺส วีตราคตฺตา…เป.… วีตโมหตฺตา’’ติฯ
Avisesena vā yo koci arahā samānepi rāgādikkhaye vipariṇāmadukkhassa pariññātattā khayā rāgassa vītarāgoti vuccati, dukkhadukkhassa pariññātattā khayā dosassa vītadosoti. Saṅkhāradukkhassa pariññātattā khayā mohassa vītamohoti. Iṭṭhārammaṇassa vā pariññātattā khayā rāgassa vītarāgo. Aniṭṭhārammaṇassa pariññātattā khayā dosassa vītadoso. Majjhattārammaṇassa pariññātattā khayā mohassa vītamoho. Sukhāya vā vedanāya rāgānusayassa samucchinnattā khayā rāgassa vītarāgo, itarāsu paṭighamohānusayānaṃ samucchinnattā vītadoso vītamoho cāti. Tasmā taṃ visesaṃ dassento āha ‘‘khayā rāgassa vītarāgattā…pe… vītamohattā’’ti.
ขีณาสววเสน ตติยจตุตฺถปญฺจมฉฎฺฐนยกถา นิฎฺฐิตาฯ
Khīṇāsavavasena tatiyacatutthapañcamachaṭṭhanayakathā niṭṭhitā.
ตถาคตวารสตฺตมนยวณฺณนา
Tathāgatavārasattamanayavaṇṇanā
๑๒. เอวํ ปถวีอาทีสุ วตฺถูสุ ขีณาสวสฺส ปวตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อตฺตโน ปวตฺติํ ทเสฺสโนฺต ตถาคโตปิ, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตถาคโตติ อฎฺฐหิ การเณหิ ภควา ตถาคโตติ วุจฺจติ – ตถา อาคโตติ ตถาคโต, ตถา คโตติ ตถาคโต, ตถลกฺขณํ อาคโตติ ตถาคโต, ตถธเมฺม ยาถาวโต อภิสมฺพุโทฺธติ ตถาคโต, ตถทสฺสิตาย ตถาคโต, ตถาวาทิตาย ตถาคโต, ตถาการิตาย ตถาคโต, อภิภวนเฎฺฐน ตถาคโตติฯ
12. Evaṃ pathavīādīsu vatthūsu khīṇāsavassa pavattiṃ dassetvā idāni attano pavattiṃ dassento tathāgatopi, bhikkhavetiādimāha. Tattha tathāgatoti aṭṭhahi kāraṇehi bhagavā tathāgatoti vuccati – tathā āgatoti tathāgato, tathā gatoti tathāgato, tathalakkhaṇaṃ āgatoti tathāgato, tathadhamme yāthāvato abhisambuddhoti tathāgato, tathadassitāya tathāgato, tathāvāditāya tathāgato, tathākāritāya tathāgato, abhibhavanaṭṭhena tathāgatoti.
กถํ ภควา ตถา อาคโตติ ตถาคโต? ยถา สพฺพโลกหิตาย อุสฺสุกฺกมาปนฺนา ปุริมกา สมฺมาสมฺพุทฺธา อาคตา, ยถา วิปสฺสี ภควา อาคโต, ยถา สิขี ภควา, ยถา เวสฺสภู ภควา, ยถา กกุสโนฺธ ภควา, ยถา โกณาคมโน ภควา, ยถา กสฺสโป ภควา อาคโตติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? เยน อภินีหาเรน เอเต ภควโนฺต อาคตา, เตเนว อมฺหากมฺปิ ภควา อาคโตฯ
Kathaṃ bhagavā tathā āgatoti tathāgato? Yathā sabbalokahitāya ussukkamāpannā purimakā sammāsambuddhā āgatā, yathā vipassī bhagavā āgato, yathā sikhī bhagavā, yathā vessabhū bhagavā, yathā kakusandho bhagavā, yathā koṇāgamano bhagavā, yathā kassapo bhagavā āgatoti. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yena abhinīhārena ete bhagavanto āgatā, teneva amhākampi bhagavā āgato.
อถ วา ยถา วิปสฺสี ภควา…เป.… ยถา กสฺสโป ภควา ทานปารมิํ ปูเรตฺวา, สีลเนกฺขมฺมปญฺญาวีริยขนฺติสจฺจอธิฎฺฐานเมตฺตาอุเปกฺขาปารมิํ ปูเรตฺวา, อิมา ทส ปารมิโย, ทส อุปปารมิโย, ทส ปรมตฺถปารมิโยติ, สมติํส ปารมิโย ปูเรตฺวา, องฺคปริจฺจาคํ นยนธนรชฺชปุตฺตทารปริจฺจาคนฺติ อิเม ปญฺจ มหาปริจฺจาเค ปริจฺจชิตฺวา ปุพฺพโยคปุพฺพจริยธมฺมกฺขานญาตตฺถจริยาทโย ปูเรตฺวา, พุทฺธิจริยาย โกฎิํ ปตฺวา อาคโต, ตถา อมฺหากมฺปิ ภควา อาคโตฯ
Atha vā yathā vipassī bhagavā…pe… yathā kassapo bhagavā dānapāramiṃ pūretvā, sīlanekkhammapaññāvīriyakhantisaccaadhiṭṭhānamettāupekkhāpāramiṃ pūretvā, imā dasa pāramiyo, dasa upapāramiyo, dasa paramatthapāramiyoti, samatiṃsa pāramiyo pūretvā, aṅgapariccāgaṃ nayanadhanarajjaputtadārapariccāganti ime pañca mahāpariccāge pariccajitvā pubbayogapubbacariyadhammakkhānañātatthacariyādayo pūretvā, buddhicariyāya koṭiṃ patvā āgato, tathā amhākampi bhagavā āgato.
ยถา จ วิปสฺสี ภควา…เป.… ยถา กสฺสโป ภควา จตฺตาโร สติปฎฺฐาเน สมฺมปฺปธาเน อิทฺธิปาเท ปญฺจินฺทฺริยานิ ปญฺจ พลานิ สตฺต โพชฺฌเงฺค อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวตฺวา พฺรูเหตฺวา อาคโต, ตถา อมฺหากํ ภควาปิ อาคโตติ ตถาคโตฯ
Yathā ca vipassī bhagavā…pe… yathā kassapo bhagavā cattāro satipaṭṭhāne sammappadhāne iddhipāde pañcindriyāni pañca balāni satta bojjhaṅge ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ bhāvetvā brūhetvā āgato, tathā amhākaṃ bhagavāpi āgatoti tathāgato.
ยเถว โลกมฺหิ วิปสฺสิอาทโย,
Yatheva lokamhi vipassiādayo,
สพฺพญฺญุภาวํ มุนโย อิธาคตา;
Sabbaññubhāvaṃ munayo idhāgatā;
ตถา อยํ สกฺยมุนีปิ อาคโต,
Tathā ayaṃ sakyamunīpi āgato,
ตถาคโต วุจฺจติ เตน จกฺขุมาติฯ
Tathāgato vuccati tena cakkhumāti.
เอวํ ตถา อาคโตติ ตถาคโตฯ
Evaṃ tathā āgatoti tathāgato.
กถํ ตถา คโตติ ตถาคโตฯ ยถา สมฺปติชาโต วิปสฺสี ภควา คโต…เป.… กสฺสโป ภควา คโตฯ กถญฺจ โส คโตติ, โส หิ สมฺปติชาโตว สเมหิ ปาเทหิ ปถวิยํ ปติฎฺฐาย อุตฺตราภิมุโข สตฺตปทวีติหาเรน คโตฯ ยถาห – สมฺปติชาโต, อานนฺท, โพธิสโตฺต สเมหิ ปาเทหิ ปถวิยํ ปติฎฺฐหิตฺวา อุตฺตราภิมุโข สตฺตปทวีติหาเรน คจฺฉติ เสตมฺหิ ฉเตฺต อนุธารียมาเน, สพฺพา จ ทิสา อนุวิโลเกติ, อาสภิญฺจ วาจํ ภาสติ ‘‘อโคฺคหมสฺมิ โลกสฺส, เชโฎฺฐหมสฺมิ โลกสฺส, เสโฎฺฐหมสฺมิ โลกสฺส, อยมนฺติมา ชาติ, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๐๗)ฯ
Kathaṃ tathā gatoti tathāgato. Yathā sampatijāto vipassī bhagavā gato…pe… kassapo bhagavā gato. Kathañca so gatoti, so hi sampatijātova samehi pādehi pathaviyaṃ patiṭṭhāya uttarābhimukho sattapadavītihārena gato. Yathāha – sampatijāto, ānanda, bodhisatto samehi pādehi pathaviyaṃ patiṭṭhahitvā uttarābhimukho sattapadavītihārena gacchati setamhi chatte anudhārīyamāne, sabbā ca disā anuviloketi, āsabhiñca vācaṃ bhāsati ‘‘aggohamasmi lokassa, jeṭṭhohamasmi lokassa, seṭṭhohamasmi lokassa, ayamantimā jāti, natthi dāni punabbhavo’’ti (ma. ni. 3.207).
ตญฺจสฺส คมนํ ตถํ อโหสิ อวิตถํ อเนเกสํ วิเสสาธิคมานํ ปุพฺพนิมิตฺตภาเวนฯ ยญฺหิ โส สมฺปติชาโตว สเมหิ ปาเทหิ ปติฎฺฐหิ, อิทมสฺส จตุริทฺธิปาทปฎิลาภสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํฯ อุตฺตราภิมุขภาโว ปน สพฺพโลกุตฺตรภาวสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํฯ สตฺตปทวีติหาโร สตฺตโพชฺฌงฺครตนปฎิลาภสฺสฯ ‘‘สุวณฺณทณฺฑา วีติปตนฺติ จามรา’’ติ (สุ. นิ. ๖๙๓) เอตฺถ วุโตฺต จามรุเกฺขโป สพฺพติตฺถิยนิมฺมถนสฺสฯ เสตจฺฉตฺตธารณํ อรหตฺตวิมุตฺติวรวิมลเสตจฺฉตฺตปฎิลาภสฺสฯ สพฺพทิสานุวิโลกนํ สพฺพญฺญุตานาวรณญาณปฎิลาภสฺสฯ อาสภีวาจาภาสนํ อปฺปฎิวตฺติยวรธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํฯ ตถา อยํ ภควาปิ คโตฯ ตญฺจสฺส คมนํ ตถํ อโหสิ อวิตถํ เตสเญฺญว วิเสสาธิคมานํ ปุพฺพนิมิตฺตภาเวนฯ เตนาหุ โปราณา –
Tañcassa gamanaṃ tathaṃ ahosi avitathaṃ anekesaṃ visesādhigamānaṃ pubbanimittabhāvena. Yañhi so sampatijātova samehi pādehi patiṭṭhahi, idamassa caturiddhipādapaṭilābhassa pubbanimittaṃ. Uttarābhimukhabhāvo pana sabbalokuttarabhāvassa pubbanimittaṃ. Sattapadavītihāro sattabojjhaṅgaratanapaṭilābhassa. ‘‘Suvaṇṇadaṇḍā vītipatanti cāmarā’’ti (su. ni. 693) ettha vutto cāmarukkhepo sabbatitthiyanimmathanassa. Setacchattadhāraṇaṃ arahattavimuttivaravimalasetacchattapaṭilābhassa. Sabbadisānuvilokanaṃ sabbaññutānāvaraṇañāṇapaṭilābhassa. Āsabhīvācābhāsanaṃ appaṭivattiyavaradhammacakkappavattanassa pubbanimittaṃ. Tathā ayaṃ bhagavāpi gato. Tañcassa gamanaṃ tathaṃ ahosi avitathaṃ tesaññeva visesādhigamānaṃ pubbanimittabhāvena. Tenāhu porāṇā –
‘‘มุหุตฺตชาโตว ควมฺปตี ยถา,
‘‘Muhuttajātova gavampatī yathā,
สเมหิ ปาเทหิ ผุสี วสุนฺธรํ;
Samehi pādehi phusī vasundharaṃ;
โส วิกฺกมี สตฺต ปทานิ โคตโม,
So vikkamī satta padāni gotamo,
เสตญฺจ ฉตฺตํ อนุธารยุํ มรูฯ
Setañca chattaṃ anudhārayuṃ marū.
คนฺตฺวาน โส สตฺต ปทานิ โคตโม,
Gantvāna so satta padāni gotamo,
ทิสา วิโลเกสิ สมา สมนฺตโต;
Disā vilokesi samā samantato;
อฎฺฐงฺคุเปตํ คิรมพฺภุทีรยี,
Aṭṭhaṅgupetaṃ giramabbhudīrayī,
สีโห ยถา ปพฺพตมุทฺธนิฎฺฐิโต’’ติฯ –
Sīho yathā pabbatamuddhaniṭṭhito’’ti. –
เอวํ ตถา คโตติ ตถาคโตฯ
Evaṃ tathā gatoti tathāgato.
อถ วา ยถา วิปสฺสี ภควา…เป.… ยถา กสฺสโป ภควา, อยมฺปิ ภควา ตเถว เนกฺขเมฺมน กามจฺฉนฺทํ ปหาย คโตฯ อพฺยาปาเทน พฺยาปาทํ, อาโลกสญฺญาย ถินมิทฺธํ, อวิเกฺขเปน อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ, ธมฺมววตฺถาเนน วิจิกิจฺฉํ ปหาย, ญาเณน อวิชฺชํ ปทาเลตฺวา, ปาโมเชฺชน อรติํ วิโนเทตฺวา, ปฐมชฺฌาเนน นีวรณกวาฎํ อุคฺฆาเฎตฺวา, ทุติยชฺฌาเนน วิตกฺกวิจารธูมํ วูปสเมตฺวา, ตติยชฺฌาเนน ปีติํ วิราเชตฺวา, จตุตฺถชฺฌาเนน สุขทุกฺขํ ปหาย, อากาสานญฺจายตนสมาปตฺติยา รูปสญฺญาปฎิฆสญฺญานานตฺตสญฺญาโย สมติกฺกมิตฺวา, วิญฺญาณญฺจายตนสมาปตฺติยา อากาสานญฺจายตนสญฺญํ, อากิญฺจญฺญายตนสมาปตฺติยา วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ, เนวสญฺญานาสญฺญายตนสมาปตฺติยา อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ สมติกฺกมิตฺวา คโตฯ
Atha vā yathā vipassī bhagavā…pe… yathā kassapo bhagavā, ayampi bhagavā tatheva nekkhammena kāmacchandaṃ pahāya gato. Abyāpādena byāpādaṃ, ālokasaññāya thinamiddhaṃ, avikkhepena uddhaccakukkuccaṃ, dhammavavatthānena vicikicchaṃ pahāya, ñāṇena avijjaṃ padāletvā, pāmojjena aratiṃ vinodetvā, paṭhamajjhānena nīvaraṇakavāṭaṃ ugghāṭetvā, dutiyajjhānena vitakkavicāradhūmaṃ vūpasametvā, tatiyajjhānena pītiṃ virājetvā, catutthajjhānena sukhadukkhaṃ pahāya, ākāsānañcāyatanasamāpattiyā rūpasaññāpaṭighasaññānānattasaññāyo samatikkamitvā, viññāṇañcāyatanasamāpattiyā ākāsānañcāyatanasaññaṃ, ākiñcaññāyatanasamāpattiyā viññāṇañcāyatanasaññaṃ, nevasaññānāsaññāyatanasamāpattiyā ākiñcaññāyatanasaññaṃ samatikkamitvā gato.
อนิจฺจานุปสฺสนาย นิจฺจสญฺญํ ปหาย, ทุกฺขานุปสฺสนาย สุขสญฺญํ, อนตฺตานุปสฺสนาย อตฺตสญฺญํ, นิพฺพิทานุปสฺสนาย นนฺทิํ, วิราคานุปสฺสนาย ราคํ, นิโรธานุปสฺสนาย สมุทยํ, ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสนาย อาทานํ, ขยานุปสฺสนาย ฆนสญฺญํ, วยานุปสฺสนาย อายูหนํ, วิปริณามานุปสฺสนาย ธุวสญฺญํ, อนิมิตฺตานุปสฺสนาย นิมิตฺตํ, อปฺปณิหิตานุปสฺสนาย ปณิธิํ, สุญฺญตานุปสฺสนาย อภินิเวสํ, อธิปญฺญาธมฺมวิปสฺสนาย สาราทานาภินิเวสํ, ยถาภูตญาณทสฺสเนน สโมฺมหาภินิเวสํ, อาทีนวานุปสฺสนาย อาลยาภินิเวสํ, ปฎิสงฺขานุปสฺสนาย อปฺปฎิสงฺขํ, วิวฎฺฎานุปสฺสนาย สํโยคาภินิเวสํ, โสตาปตฺติมเคฺคน ทิเฎฺฐกเฎฺฐ กิเลเส ภญฺชิตฺวา, สกทาคามิมเคฺคน โอฬาริเก กิเลเส ปหาย, อนาคามิมเคฺคน อณุสหคเต กิเลเส สมุคฺฆาเฎตฺวา, อรหตฺตมเคฺคน สพฺพกิเลเส สมุจฺฉินฺทิตฺวา คโตฯ เอวมฺปิ ตถา คโตติ ตถาคโตฯ
Aniccānupassanāya niccasaññaṃ pahāya, dukkhānupassanāya sukhasaññaṃ, anattānupassanāya attasaññaṃ, nibbidānupassanāya nandiṃ, virāgānupassanāya rāgaṃ, nirodhānupassanāya samudayaṃ, paṭinissaggānupassanāya ādānaṃ, khayānupassanāya ghanasaññaṃ, vayānupassanāya āyūhanaṃ, vipariṇāmānupassanāya dhuvasaññaṃ, animittānupassanāya nimittaṃ, appaṇihitānupassanāya paṇidhiṃ, suññatānupassanāya abhinivesaṃ, adhipaññādhammavipassanāya sārādānābhinivesaṃ, yathābhūtañāṇadassanena sammohābhinivesaṃ, ādīnavānupassanāya ālayābhinivesaṃ, paṭisaṅkhānupassanāya appaṭisaṅkhaṃ, vivaṭṭānupassanāya saṃyogābhinivesaṃ, sotāpattimaggena diṭṭhekaṭṭhe kilese bhañjitvā, sakadāgāmimaggena oḷārike kilese pahāya, anāgāmimaggena aṇusahagate kilese samugghāṭetvā, arahattamaggena sabbakilese samucchinditvā gato. Evampi tathā gatoti tathāgato.
กถํ ตถลกฺขณํ อาคโตติ ตถาคโตฯ ปถวีธาตุยา กกฺขฬตฺตลกฺขณํ ตถํ อวิตถํฯ อาโปธาตุยา ปคฺฆรณลกฺขณํฯ เตโชธาตุยา อุณฺหตฺตลกฺขณํฯ วาโยธาตุยา วิตฺถมฺภนลกฺขณํฯ อากาสธาตุยา อสมฺผุฎฺฐลกฺขณํ ฯ วิญฺญาณธาตุยา วิชานนลกฺขณํฯ
Kathaṃ tathalakkhaṇaṃ āgatoti tathāgato. Pathavīdhātuyā kakkhaḷattalakkhaṇaṃ tathaṃ avitathaṃ. Āpodhātuyā paggharaṇalakkhaṇaṃ. Tejodhātuyā uṇhattalakkhaṇaṃ. Vāyodhātuyā vitthambhanalakkhaṇaṃ. Ākāsadhātuyā asamphuṭṭhalakkhaṇaṃ . Viññāṇadhātuyā vijānanalakkhaṇaṃ.
รูปสฺส รุปฺปนลกฺขณํฯ เวทนาย เวทยิตลกฺขณํฯ สญฺญาย สญฺชานนลกฺขณํฯ สงฺขารานํ อภิสงฺขรณลกฺขณํฯ วิญฺญาณสฺส วิชานนลกฺขณํฯ
Rūpassa ruppanalakkhaṇaṃ. Vedanāya vedayitalakkhaṇaṃ. Saññāya sañjānanalakkhaṇaṃ. Saṅkhārānaṃ abhisaṅkharaṇalakkhaṇaṃ. Viññāṇassa vijānanalakkhaṇaṃ.
วิตกฺกสฺส อภินิโรปนลกฺขณํฯ วิจารสฺส อนุมชฺชนลกฺขณํฯ ปีติยา ผรณลกฺขณํฯ สุขสฺส สาตลกฺขณํฯ จิเตฺตกคฺคตาย อวิเกฺขปลกฺขณํฯ ผสฺสสฺส ผุสนลกฺขณํฯ
Vitakkassa abhiniropanalakkhaṇaṃ. Vicārassa anumajjanalakkhaṇaṃ. Pītiyā pharaṇalakkhaṇaṃ. Sukhassa sātalakkhaṇaṃ. Cittekaggatāya avikkhepalakkhaṇaṃ. Phassassa phusanalakkhaṇaṃ.
สทฺธินฺทฺริยสฺส อธิโมกฺขลกฺขณํฯ วีริยินฺทฺริยสฺส ปคฺคหณลกฺขณํฯ สตินฺทฺริยสฺส อุปฎฺฐานลกฺขณํฯ สมาธินฺทฺริยสฺส อวิเกฺขปลกฺขณํฯ ปญฺญินฺทฺริยสฺส ปชานนลกฺขณํฯ
Saddhindriyassa adhimokkhalakkhaṇaṃ. Vīriyindriyassa paggahaṇalakkhaṇaṃ. Satindriyassa upaṭṭhānalakkhaṇaṃ. Samādhindriyassa avikkhepalakkhaṇaṃ. Paññindriyassa pajānanalakkhaṇaṃ.
สทฺธาพลสฺส อสฺสทฺธิเย อกมฺปิยลกฺขณํฯ วีริยพลสฺส โกสเชฺชฯ สติพลสฺส มุฎฺฐสเจฺจฯ สมาธิพลสฺส อุทฺธเจฺจฯ ปญฺญาพลสฺส อวิชฺชาย อกมฺปิยลกฺขณํฯ
Saddhābalassa assaddhiye akampiyalakkhaṇaṃ. Vīriyabalassa kosajje. Satibalassa muṭṭhasacce. Samādhibalassa uddhacce. Paññābalassa avijjāya akampiyalakkhaṇaṃ.
สติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฎฺฐานลกฺขณํฯ ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ปวิจยลกฺขณํฯ วีริยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ปคฺคหณลกฺขณํฯ ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ผรณลกฺขณํฯ ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปสมลกฺขณํฯ สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อวิเกฺขปลกฺขณํฯ อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ปฎิสงฺขานลกฺขณํฯ
Satisambojjhaṅgassa upaṭṭhānalakkhaṇaṃ. Dhammavicayasambojjhaṅgassa pavicayalakkhaṇaṃ. Vīriyasambojjhaṅgassa paggahaṇalakkhaṇaṃ. Pītisambojjhaṅgassa pharaṇalakkhaṇaṃ. Passaddhisambojjhaṅgassa upasamalakkhaṇaṃ. Samādhisambojjhaṅgassa avikkhepalakkhaṇaṃ. Upekkhāsambojjhaṅgassa paṭisaṅkhānalakkhaṇaṃ.
สมฺมาทิฎฺฐิยา ทสฺสนลกฺขณํฯ สมฺมาสงฺกปฺปสฺส อภินิโรปนลกฺขณํฯ สมฺมาวาจาย ปริคฺคาหลกฺขณํฯ สมฺมากมฺมนฺตสฺส สมุฎฺฐานลกฺขณํฯ สมฺมาอาชีวสฺส โวทานลกฺขณํฯ สมฺมาวายามสฺส ปคฺคหณลกฺขณํฯ สมฺมาสติยา อุปฎฺฐานลกฺขณํฯ สมฺมาสมาธิสฺส อวิเกฺขปลกฺขณํฯ
Sammādiṭṭhiyā dassanalakkhaṇaṃ. Sammāsaṅkappassa abhiniropanalakkhaṇaṃ. Sammāvācāya pariggāhalakkhaṇaṃ. Sammākammantassa samuṭṭhānalakkhaṇaṃ. Sammāājīvassa vodānalakkhaṇaṃ. Sammāvāyāmassa paggahaṇalakkhaṇaṃ. Sammāsatiyā upaṭṭhānalakkhaṇaṃ. Sammāsamādhissa avikkhepalakkhaṇaṃ.
อวิชฺชาย อญฺญาณลกฺขณํฯ สงฺขารานํ เจตนาลกฺขณํฯ วิญฺญาณสฺส วิชานนลกฺขณํฯ นามสฺส นมนลกฺขณํฯ รูปสฺส รุปฺปนลกฺขณํฯ สฬายตนสฺส อายตนลกฺขณํฯ ผสฺสสฺส ผุสนลกฺขณํฯ เวทนาย เวทยิตลกฺขณํฯ ตณฺหาย เหตุลกฺขณํฯ อุปาทานสฺส คหณลกฺขณํฯ ภวสฺส อายูหนลกฺขณํฯ ชาติยา นิพฺพตฺติลกฺขณํฯ ชราย ชีรณลกฺขณํฯ มรณสฺส จุติลกฺขณํฯ
Avijjāya aññāṇalakkhaṇaṃ. Saṅkhārānaṃ cetanālakkhaṇaṃ. Viññāṇassa vijānanalakkhaṇaṃ. Nāmassa namanalakkhaṇaṃ. Rūpassa ruppanalakkhaṇaṃ. Saḷāyatanassa āyatanalakkhaṇaṃ. Phassassa phusanalakkhaṇaṃ. Vedanāya vedayitalakkhaṇaṃ. Taṇhāya hetulakkhaṇaṃ. Upādānassa gahaṇalakkhaṇaṃ. Bhavassa āyūhanalakkhaṇaṃ. Jātiyā nibbattilakkhaṇaṃ. Jarāya jīraṇalakkhaṇaṃ. Maraṇassa cutilakkhaṇaṃ.
ธาตูนํ สุญฺญตาลกฺขณํฯ อายตนานํ อายตนลกฺขณํฯ สติปฎฺฐานานํ อุปฎฺฐานลกฺขณํฯ สมฺมปฺปธานานํ ปทหนลกฺขณํฯ อิทฺธิปาทานํ อิชฺฌนลกฺขณํฯ อินฺทฺริยานํ อธิปติลกฺขณํฯ พลานํ อกมฺปิยลกฺขณํฯ โพชฺฌงฺคานํ นิยฺยานลกฺขณํฯ มคฺคสฺส เหตุลกฺขณํฯ
Dhātūnaṃ suññatālakkhaṇaṃ. Āyatanānaṃ āyatanalakkhaṇaṃ. Satipaṭṭhānānaṃ upaṭṭhānalakkhaṇaṃ. Sammappadhānānaṃ padahanalakkhaṇaṃ. Iddhipādānaṃ ijjhanalakkhaṇaṃ. Indriyānaṃ adhipatilakkhaṇaṃ. Balānaṃ akampiyalakkhaṇaṃ. Bojjhaṅgānaṃ niyyānalakkhaṇaṃ. Maggassa hetulakkhaṇaṃ.
สจฺจานํ ตถลกฺขณํฯ สมถสฺส อวิเกฺขปลกฺขณํฯ วิปสฺสนาย อนุปสฺสนาลกฺขณํฯ สมถวิปสฺสนานํ เอกรสลกฺขณํฯ ยุคนนฺธานํ อนติวตฺตนลกฺขณํฯ
Saccānaṃ tathalakkhaṇaṃ. Samathassa avikkhepalakkhaṇaṃ. Vipassanāya anupassanālakkhaṇaṃ. Samathavipassanānaṃ ekarasalakkhaṇaṃ. Yuganandhānaṃ anativattanalakkhaṇaṃ.
สีลวิสุทฺธิยา สํวรลกฺขณํฯ จิตฺตวิสุทฺธิยา อวิเกฺขปลกฺขณํฯ ทิฎฺฐิวิสุทฺธิยา ทสฺสนลกฺขณํฯ
Sīlavisuddhiyā saṃvaralakkhaṇaṃ. Cittavisuddhiyā avikkhepalakkhaṇaṃ. Diṭṭhivisuddhiyā dassanalakkhaṇaṃ.
ขเยญาณสฺส สมุเจฺฉทลกฺขณํฯ อนุปฺปาเท ญาณสฺส ปสฺสทฺธิลกฺขณํฯ ฉนฺทสฺส มูลลกฺขณํฯ มนสิการสฺส สมุฎฺฐานลกฺขณํฯ ผสฺสสฺส สโมธานลกฺขณํฯ เวทนาย สโมสรณลกฺขณํฯ สมาธิสฺส ปมุขลกฺขณํฯ สติยา อาธิปเตยฺยลกฺขณํฯ ปญฺญาย ตตุตฺตริลกฺขณํฯ วิมุตฺติยา สารลกฺขณํฯ อมโตคธสฺส นิพฺพานสฺส ปริโยสานลกฺขณํ ตถํ อวิตถํฯ เอวํ ตถลกฺขณํ ญาณคติยา อาคโต อวิรชฺฌิตฺวา ปโตฺต อนุปฺปโตฺตติ ตถาคโต, เอวํ ตถลกฺขณํ อาคโตติ ตถาคโตฯ
Khayeñāṇassa samucchedalakkhaṇaṃ. Anuppāde ñāṇassa passaddhilakkhaṇaṃ. Chandassa mūlalakkhaṇaṃ. Manasikārassa samuṭṭhānalakkhaṇaṃ. Phassassa samodhānalakkhaṇaṃ. Vedanāya samosaraṇalakkhaṇaṃ. Samādhissa pamukhalakkhaṇaṃ. Satiyā ādhipateyyalakkhaṇaṃ. Paññāya tatuttarilakkhaṇaṃ. Vimuttiyā sāralakkhaṇaṃ. Amatogadhassa nibbānassa pariyosānalakkhaṇaṃ tathaṃ avitathaṃ. Evaṃ tathalakkhaṇaṃ ñāṇagatiyā āgato avirajjhitvā patto anuppattoti tathāgato, evaṃ tathalakkhaṇaṃ āgatoti tathāgato.
กถํ ตถธเมฺม ยาถาวโต อภิสมฺพุโทฺธติ ตถาคโต? ตถธมฺมา นาม จตฺตาริ อริยสจฺจานิฯ ยถาห ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, ตถานิ อวิตถานิ อนญฺญถานิฯ กตมานิ จตฺตาริ, อิทํ ทุกฺขนฺติ, ภิกฺขเว, ตถเมตํ อวิตถเมตํ อนญฺญถเมต’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๕๐) วิตฺถาโรฯ ตานิ จ ภควา อภิสมฺพุโทฺธ, ตสฺมา ตถานํ อภิสมฺพุทฺธตฺตา ตถาคโตติ วุจฺจติฯ อภิสมฺพุทฺธโตฺถ หิ เอตฺถ คตสโทฺทฯ อปิจ ชรามรณสฺส ชาติปจฺจยสมฺภูตสมุทาคตโฎฺฐ ตโถ อวิตโถ อนญฺญโถ…เป.… สงฺขารานํ อวิชฺชาปจฺจยสมฺภูตสมุทาคตโฎฺฐ ตโถ อวิตโถ อนญฺญโถฯ ตถา อวิชฺชาย สงฺขารานํ ปจฺจยโฎฺฐฯ สงฺขารานํ วิญฺญาณสฺส ปจฺจยโฎฺฐ…เป.… ชาติยา ชรามรณสฺส ปจฺจยโฎฺฐ ตโถ อวิตโถ อนญฺญโถฯ ตํ สพฺพํ ภควา อภิสมฺพุโทฺธ, ตสฺมาปิ ตถานํ ธมฺมานํ อภิสมฺพุทฺธตฺตา ตถาคโตติ วุจฺจติฯ เอวํ ตถธเมฺม ยาถาวโต อภิสมฺพุโทฺธติ ตถาคโตฯ
Kathaṃ tathadhamme yāthāvato abhisambuddhoti tathāgato? Tathadhammā nāma cattāri ariyasaccāni. Yathāha ‘‘cattārimāni, bhikkhave, tathāni avitathāni anaññathāni. Katamāni cattāri, idaṃ dukkhanti, bhikkhave, tathametaṃ avitathametaṃ anaññathameta’’nti (saṃ. ni. 5.1050) vitthāro. Tāni ca bhagavā abhisambuddho, tasmā tathānaṃ abhisambuddhattā tathāgatoti vuccati. Abhisambuddhattho hi ettha gatasaddo. Apica jarāmaraṇassa jātipaccayasambhūtasamudāgataṭṭho tatho avitatho anaññatho…pe… saṅkhārānaṃ avijjāpaccayasambhūtasamudāgataṭṭho tatho avitatho anaññatho. Tathā avijjāya saṅkhārānaṃ paccayaṭṭho. Saṅkhārānaṃ viññāṇassa paccayaṭṭho…pe… jātiyā jarāmaraṇassa paccayaṭṭho tatho avitatho anaññatho. Taṃ sabbaṃ bhagavā abhisambuddho, tasmāpi tathānaṃ dhammānaṃ abhisambuddhattā tathāgatoti vuccati. Evaṃ tathadhamme yāthāvato abhisambuddhoti tathāgato.
กถํ ตถทสฺสิตาย ตถาคโต? ภควา ยํ สเทวเก โลเก…เป.… สเทวมนุสฺสาย อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อปริมาณานํ สตฺตานํ จกฺขุทฺวาเร อาปาถํ อาคจฺฉนฺตํ รูปารมฺมณํ นาม อตฺถิฯ ตํ สพฺพาการโต ชานาติ, ปสฺสติฯ เอวํ ชานตา ปสฺสตา จ เตน ตํ อิฎฺฐานิฎฺฐาทิวเสน วา ทิฎฺฐสุตมุตวิญฺญาเตสุ ลพฺภมานกปทวเสน วา ‘‘กตมํ ตํ รูปํ รูปายตนํ, ยํ รูปํ จตุนฺนํ มหาภูตานํ อุปาทาย วณฺณนิภา สนิทสฺสนํ สปฺปฎิฆํ นีลํ ปีตก’’นฺติ (ธ. ส. ๖๑๖) อาทินา นเยน อเนเกหิ นาเมหิ เตรสหิ วาเรหิ เทฺวปญฺญาสาย นเยหิ วิภชฺชมานํ ตถเมว โหติ, วิตถํ นตฺถิฯ เอส นโย โสตทฺวาราทีสุปิ อาปาถมาคจฺฉเนฺตสุ สทฺทาทีสุฯ วุตฺตเญฺจตํ ภควตา ‘‘ยํ, ภิกฺขเว, สเทวกสฺส โลกสฺส…เป.… สเทวมนุสฺสาย ทิฎฺฐํ สุตํ มุตํ วิญฺญาตํ ปตฺตํ ปริเยสิตํ อนุวิจริตํ มนสา, ตมหํ ชานามิ, …ตมหํ อภิญฺญาสิํ, ตํ ตถาคตสฺส วิทิตํ, ตํ ตถาคโต น อุปฎฺฐาสี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔)ฯ เอวํ ตถทสฺสิตาย ตถาคโตฯ ตตฺถ ตถทสฺสีอเตฺถ ตถาคโตติ ปทสมฺภโว เวทิตโพฺพฯ
Kathaṃ tathadassitāya tathāgato? Bhagavā yaṃ sadevake loke…pe… sadevamanussāya aparimāṇāsu lokadhātūsu aparimāṇānaṃ sattānaṃ cakkhudvāre āpāthaṃ āgacchantaṃ rūpārammaṇaṃ nāma atthi. Taṃ sabbākārato jānāti, passati. Evaṃ jānatā passatā ca tena taṃ iṭṭhāniṭṭhādivasena vā diṭṭhasutamutaviññātesu labbhamānakapadavasena vā ‘‘katamaṃ taṃ rūpaṃ rūpāyatanaṃ, yaṃ rūpaṃ catunnaṃ mahābhūtānaṃ upādāya vaṇṇanibhā sanidassanaṃ sappaṭighaṃ nīlaṃ pītaka’’nti (dha. sa. 616) ādinā nayena anekehi nāmehi terasahi vārehi dvepaññāsāya nayehi vibhajjamānaṃ tathameva hoti, vitathaṃ natthi. Esa nayo sotadvārādīsupi āpāthamāgacchantesu saddādīsu. Vuttañcetaṃ bhagavatā ‘‘yaṃ, bhikkhave, sadevakassa lokassa…pe… sadevamanussāya diṭṭhaṃ sutaṃ mutaṃ viññātaṃ pattaṃ pariyesitaṃ anuvicaritaṃ manasā, tamahaṃ jānāmi, …tamahaṃ abhiññāsiṃ, taṃ tathāgatassa viditaṃ, taṃ tathāgato na upaṭṭhāsī’’ti (a. ni. 4.24). Evaṃ tathadassitāya tathāgato. Tattha tathadassīatthe tathāgatoti padasambhavo veditabbo.
กถํ ตถาวาทิตาย ตถาคโต? ยํ รตฺติํ ภควา โพธิมเณฺฑ อปราชิตปลฺลเงฺก นิสิโนฺน ติณฺณํ มารานํ มตฺถกํ มทฺทิตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ, ยญฺจ รตฺติํ ยมกสาลานมนฺตเร อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิ, เอตฺถนฺตเร ปญฺจจตฺตาลีสวสฺสปริมาเณ กาเล ปฐมโพธิยาปิ มชฺฌิมโพธิยาปิ ปจฺฉิมโพธิยาปิ ยํ ภควตา ภาสิตํ สุตฺตํ เคยฺยํ…เป.… เวทลฺลํ, ตํ สพฺพํ อตฺถโต จ พฺยญฺชนโต จ อนุปวชฺชํ อนูนมนธิกํ สพฺพาการปริปุณฺณํ ราคมทนิมฺมทนํ โทสโมหมทนิมฺมทนํ, นตฺถิ ตตฺถ วาลคฺคมตฺตมฺปิ ปกฺขลิตํ, สพฺพํ ตํ เอกมุทฺทิกาย ลญฺฉิตํ วิย, เอกนาฬิยา มิตํ วิย, เอกตุลาย ตุลิตํ วิย จ ตถเมว โหติ อวิตถํฯ เตนาห – ‘‘ยญฺจ, จุนฺท, รตฺติํ ตถาคโต อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุชฺฌติ, ยญฺจ รตฺติํ อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายติ, ยํ เอตสฺมิํ อนฺตเร ภาสติ ลปติ นิทฺทิสติ, สพฺพํ ตํ ตเถว โหติ โน อญฺญถาฯ ตสฺมา ตถาคโตติ วุจฺจตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๓)ฯ คทอโตฺถ หิ เอตฺถ คตสโทฺทฯ เอวํ ตถาวาทิตาย ตถาคโตฯ อปิจ อาคทนํ อาคโท, วจนนฺติ อโตฺถฯ ตโถ อวิปรีโต อาคโท อสฺสาติ ทการสฺส ตการํ กตฺวา ตถาคโตติ เอวเมตสฺมิํ อเตฺถ ปทสิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ
Kathaṃ tathāvāditāya tathāgato? Yaṃ rattiṃ bhagavā bodhimaṇḍe aparājitapallaṅke nisinno tiṇṇaṃ mārānaṃ matthakaṃ madditvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddho, yañca rattiṃ yamakasālānamantare anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi, etthantare pañcacattālīsavassaparimāṇe kāle paṭhamabodhiyāpi majjhimabodhiyāpi pacchimabodhiyāpi yaṃ bhagavatā bhāsitaṃ suttaṃ geyyaṃ…pe… vedallaṃ, taṃ sabbaṃ atthato ca byañjanato ca anupavajjaṃ anūnamanadhikaṃ sabbākāraparipuṇṇaṃ rāgamadanimmadanaṃ dosamohamadanimmadanaṃ, natthi tattha vālaggamattampi pakkhalitaṃ, sabbaṃ taṃ ekamuddikāya lañchitaṃ viya, ekanāḷiyā mitaṃ viya, ekatulāya tulitaṃ viya ca tathameva hoti avitathaṃ. Tenāha – ‘‘yañca, cunda, rattiṃ tathāgato anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambujjhati, yañca rattiṃ anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyati, yaṃ etasmiṃ antare bhāsati lapati niddisati, sabbaṃ taṃ tatheva hoti no aññathā. Tasmā tathāgatoti vuccatī’’ti (a. ni. 4.23). Gadaattho hi ettha gatasaddo. Evaṃ tathāvāditāya tathāgato. Apica āgadanaṃ āgado, vacananti attho. Tatho aviparīto āgado assāti dakārassa takāraṃ katvā tathāgatoti evametasmiṃ atthe padasiddhi veditabbā.
กถํ ตถาการิตาย ตถาคโต? ภควโต หิ วาจาย กาโย อนุโลเมติ, กายสฺสปิ วาจาฯ ตสฺมา ยถาวาที ตถาการี, ยถาการี ตถาวาที จ โหติฯ เอวํภูตสฺส จสฺส ยถา วาจา , กาโยปิ ตถาคโต ปวโตฺตติ อโตฺถฯ ยถา จ กาโย, วาจาปิ ตถา คตา ปวตฺตาติ ตถาคโตฯ เตนาห ‘‘ยถาวาที, ภิกฺขเว, ตถาคโต ตถาการี, ยถาการี ตถาวาทีฯ อิติ ยถาวาที ตถาการี, ยถาการี ตถาวาที, ตสฺมา ตถาคโตติ วุจฺจตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๓)ฯ เอวํ ตถาการิตาย ตถาคโตฯ
Kathaṃ tathākāritāya tathāgato? Bhagavato hi vācāya kāyo anulometi, kāyassapi vācā. Tasmā yathāvādī tathākārī, yathākārī tathāvādī ca hoti. Evaṃbhūtassa cassa yathā vācā , kāyopi tathāgato pavattoti attho. Yathā ca kāyo, vācāpi tathā gatā pavattāti tathāgato. Tenāha ‘‘yathāvādī, bhikkhave, tathāgato tathākārī, yathākārī tathāvādī. Iti yathāvādī tathākārī, yathākārī tathāvādī, tasmā tathāgatoti vuccatī’’ti (a. ni. 4.23). Evaṃ tathākāritāya tathāgato.
กถํ อภิภวนเฎฺฐน ตถาคโต? อุปริ ภวคฺคํ เหฎฺฐา อวิจิํ ปริยนฺตํ กตฺวา ติริยํ อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ สพฺพสเตฺต อภิภวติ, สีเลนปิ สมาธินาปิ ปญฺญายปิ วิมุตฺติยาปิ วิมุตฺติญาณทสฺสเนนปิ, น ตสฺส ตุลา วา ปมาณํ วา อตฺถิ, อตุโล อปฺปเมโยฺย อนุตฺตโร ราชราโช เทวเทโว สกฺกานํ อติสโกฺก พฺรหฺมานํ อติพฺรหฺมาฯ เตนาห ‘‘สเทวเก, ภิกฺขเว, โลเก…เป.… สเทวมนุสฺสาย ตถาคโต อภิภู อนภิภูโต อญฺญทตฺถุ ทโส วสวตฺตีฯ ตสฺมา ตถาคโตติ วุจฺจตี’’ติฯ
Kathaṃ abhibhavanaṭṭhena tathāgato? Upari bhavaggaṃ heṭṭhā aviciṃ pariyantaṃ katvā tiriyaṃ aparimāṇāsu lokadhātūsu sabbasatte abhibhavati, sīlenapi samādhināpi paññāyapi vimuttiyāpi vimuttiñāṇadassanenapi, na tassa tulā vā pamāṇaṃ vā atthi, atulo appameyyo anuttaro rājarājo devadevo sakkānaṃ atisakko brahmānaṃ atibrahmā. Tenāha ‘‘sadevake, bhikkhave, loke…pe… sadevamanussāya tathāgato abhibhū anabhibhūto aññadatthu daso vasavattī. Tasmā tathāgatoti vuccatī’’ti.
ตเตฺรวํ ปทสิทฺธิ เวทิตพฺพา, อคโท วิย อคโทฯ โก ปเนส? เทสนาวิลาสมโย เจว ปุญฺญุสฺสโย จฯ เตน เหส มหานุภาโว ภิสโกฺก ทิพฺพาคเทน สเปฺป วิย สพฺพปรปฺปวาทิโน สเทวกญฺจ โลกํ อภิภวติ, อิติ สพฺพโลกาภิภวเน ตโถ อวิปรีโต เทสนาวิลาสมโย เจว ปุญฺญสฺสโย จ อคโท อสฺสาติ ทการสฺส ตการํ กตฺวา ตถาคโตติ เวทิตโพฺพฯ เอวํ อภิภวนเฎฺฐน ตถาคโตฯ
Tatrevaṃ padasiddhi veditabbā, agado viya agado. Ko panesa? Desanāvilāsamayo ceva puññussayo ca. Tena hesa mahānubhāvo bhisakko dibbāgadena sappe viya sabbaparappavādino sadevakañca lokaṃ abhibhavati, iti sabbalokābhibhavane tatho aviparīto desanāvilāsamayo ceva puññassayo ca agado assāti dakārassa takāraṃ katvā tathāgatoti veditabbo. Evaṃ abhibhavanaṭṭhena tathāgato.
อปิจ ตถาย คโตติปิ ตถาคโต, ตถํ คโตติปิ ตถาคโตฯ คโตติ อวคโต, อตีโต, ปโตฺต, ปฎิปโนฺนติ อโตฺถฯ ตตฺถ สกลํ โลกํ ตีรณปริญฺญาย ตถาย คโต อวคโตติ ตถาคโตฯ โลกสมุทยํ ปหานปริญฺญาย ตถาย คโต อตีโตติ ตถาคโตฯ โลกนิโรธํ สจฺฉิกิริยาย ตถาย คโต ปโตฺตติ ตถาคโตฯ โลกนิโรธคามินิํ ปฎิปทํ ตถํ คโต ปฎิปโนฺนติ ตถาคโตฯ เตน ยํ วุตฺตํ ภควตา ‘‘โลโก, ภิกฺขเว, ตถาคเตน อภิสมฺพุโทฺธ, โลกสฺมา ตถาคโต วิสํยุโตฺตฯ โลกสมุทโย, ภิกฺขเว, ตถาคเตน อภิสมฺพุโทฺธ, โลกสมุทโย ตถาคตสฺส ปหีโนฯ โลกนิโรโธ, ภิกฺขเว, ตถาคเตน อภิสมฺพุโทฺธ, โลกนิโรโธ ตถาคตสฺส สจฺฉิกโตฯ โลกนิโรธคามินี ปฎิปทา, ภิกฺขเว, ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา, โลกนิโรธคามินี ปฎิปทา ตถาคตสฺส ภาวิตาฯ ยํ, ภิกฺขเว, สเทวกสฺส โลกสฺส…เป.… สพฺพํ ตํ ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธํ, ตสฺมา ตถาคโตติ วุจฺจตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๓)ฯ ตสฺส เอวมฺปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อิทมฺปิ จ ตถาคตสฺส ตถาคตภาวทีปเน มุขมตฺตเมวฯ สพฺพากาเรน ปน ตถาคโตว ตถาคตสฺส ตถาคตภาวํ วเณฺณยฺยฯ
Apica tathāya gatotipi tathāgato, tathaṃ gatotipi tathāgato. Gatoti avagato, atīto, patto, paṭipannoti attho. Tattha sakalaṃ lokaṃ tīraṇapariññāya tathāya gato avagatoti tathāgato. Lokasamudayaṃ pahānapariññāya tathāya gato atītoti tathāgato. Lokanirodhaṃ sacchikiriyāya tathāya gato pattoti tathāgato. Lokanirodhagāminiṃ paṭipadaṃ tathaṃ gato paṭipannoti tathāgato. Tena yaṃ vuttaṃ bhagavatā ‘‘loko, bhikkhave, tathāgatena abhisambuddho, lokasmā tathāgato visaṃyutto. Lokasamudayo, bhikkhave, tathāgatena abhisambuddho, lokasamudayo tathāgatassa pahīno. Lokanirodho, bhikkhave, tathāgatena abhisambuddho, lokanirodho tathāgatassa sacchikato. Lokanirodhagāminī paṭipadā, bhikkhave, tathāgatena abhisambuddhā, lokanirodhagāminī paṭipadā tathāgatassa bhāvitā. Yaṃ, bhikkhave, sadevakassa lokassa…pe… sabbaṃ taṃ tathāgatena abhisambuddhaṃ, tasmā tathāgatoti vuccatī’’ti (a. ni. 4.23). Tassa evampi attho veditabbo. Idampi ca tathāgatassa tathāgatabhāvadīpane mukhamattameva. Sabbākārena pana tathāgatova tathāgatassa tathāgatabhāvaṃ vaṇṇeyya.
อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธติ ปททฺวเย ปน อารกตฺตา อรีนํ, อรานญฺจ หตตฺตา, ปจฺจยาทีนํ อรหตฺตา, ปาปกรเณ รหาภาวาติ อิเมหิ ตาว การเณหิ อรหนฺติ เวทิตโพฺพฯ
Arahaṃ sammāsambuddhoti padadvaye pana ārakattā arīnaṃ, arānañca hatattā, paccayādīnaṃ arahattā, pāpakaraṇe rahābhāvāti imehi tāva kāraṇehi arahanti veditabbo.
สมฺมา สามญฺจ สพฺพธมฺมานํ พุทฺธตฺตา ปน สมฺมาสมฺพุโทฺธติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถารโต ปเนตํ ปททฺวยํ วิสุทฺธิมเคฺค พุทฺธานุสฺสติวณฺณนายํ ปกาสิตํฯ
Sammā sāmañca sabbadhammānaṃ buddhattā pana sammāsambuddhoti. Ayamettha saṅkhepo. Vitthārato panetaṃ padadvayaṃ visuddhimagge buddhānussativaṇṇanāyaṃ pakāsitaṃ.
ปริญฺญาตนฺตํ ตถาคตสฺสาติ เอตฺถ ปน ตํ มญฺญนาวตฺถุ ปริญฺญาตํ ตถาคตสฺสาติปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปริญฺญาตนฺตํ นาม ปริญฺญาตปารํ ปริญฺญาตาวสานํ อนวเสสโต ปริญฺญาตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ พุทฺธานญฺหิ สาวเกหิ สทฺธิํ กิญฺจาปิ เตน เตน มเคฺคน กิเลสปฺปหาเน วิเสโส นตฺถิ, ปริญฺญาย ปน อตฺถิฯ สาวกา หิ จตุนฺนํ ธาตูนํ เอกเทสเมว สมฺมสิตฺวา นิพฺพานํ ปาปุณนฺติฯ พุทฺธานํ ปน อณุปฺปมาณมฺปิ สงฺขารคตํ ญาเณน อทิฎฺฐมตุลิตมตีริตมสจฺฉิกตํ นตฺถิฯ
Pariññātantaṃ tathāgatassāti ettha pana taṃ maññanāvatthu pariññātaṃ tathāgatassātipi attho veditabbo. Pariññātantaṃ nāma pariññātapāraṃ pariññātāvasānaṃ anavasesato pariññātanti vuttaṃ hoti. Buddhānañhi sāvakehi saddhiṃ kiñcāpi tena tena maggena kilesappahāne viseso natthi, pariññāya pana atthi. Sāvakā hi catunnaṃ dhātūnaṃ ekadesameva sammasitvā nibbānaṃ pāpuṇanti. Buddhānaṃ pana aṇuppamāṇampi saṅkhāragataṃ ñāṇena adiṭṭhamatulitamatīritamasacchikataṃ natthi.
ตถาคตวารสตฺตมนยวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Tathāgatavārasattamanayavaṇṇanā niṭṭhitā.
ตถาคตวารอฎฺฐมนยวณฺณนา
Tathāgatavāraaṭṭhamanayavaṇṇanā
๑๓. นนฺที ทุกฺขสฺส มูลนฺติอาทีสุ จ นนฺทีติ ปุริมตณฺหาฯ ทุกฺขนฺติ ปญฺจกฺขนฺธาฯ มูลนฺติอาทิฯ อิติ วิทิตฺวาติ ตํ ปุริมภวนนฺทิํ ‘‘อิมสฺส ทุกฺขสฺส มูล’’นฺติ เอวํ ชานิตฺวาฯ ภวาติ กมฺมภวโตฯ ชาตีติ วิปากกฺขนฺธาฯ เต หิ ยสฺมา ชายนฺติ, ตสฺมา ‘‘ชาตี’’ติ วุตฺตาฯ ชาติสีเสน วา อยํ เทสนาฯ เอตมฺปิ ‘‘อิติ วิทิตฺวา’’ติ อิมินา โยเชตพฺพํฯ อยญฺหิ เอตฺถ อโตฺถ ‘‘กมฺมภวโต อุปปตฺติภโว โหตีติ เอวญฺจ ชานิตฺวา’’ติฯ ภูตสฺสาติ สตฺตสฺสฯ ชรามรณนฺติ ชรา จ มรณญฺจฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – เตน อุปปตฺติภเวน ภูตสฺส สตฺตสฺส ขนฺธานํ ชรามรณํ โหตีติ เอวญฺจ ชานิตฺวาติฯ
13.Nandīdukkhassa mūlantiādīsu ca nandīti purimataṇhā. Dukkhanti pañcakkhandhā. Mūlantiādi. Itividitvāti taṃ purimabhavanandiṃ ‘‘imassa dukkhassa mūla’’nti evaṃ jānitvā. Bhavāti kammabhavato. Jātīti vipākakkhandhā. Te hi yasmā jāyanti, tasmā ‘‘jātī’’ti vuttā. Jātisīsena vā ayaṃ desanā. Etampi ‘‘iti viditvā’’ti iminā yojetabbaṃ. Ayañhi ettha attho ‘‘kammabhavato upapattibhavo hotīti evañca jānitvā’’ti. Bhūtassāti sattassa. Jarāmaraṇanti jarā ca maraṇañca. Idaṃ vuttaṃ hoti – tena upapattibhavena bhūtassa sattassa khandhānaṃ jarāmaraṇaṃ hotīti evañca jānitvāti.
เอตฺตาวตา ยํ โพธิรุกฺขมูเล อปราชิตปลฺลเงฺก นิสิโนฺน สมฺมสิตฺวา สพฺพญฺญุตํ ปโตฺต, ตสฺส ปฎิจฺจสมุปฺปาทสฺส ปฎิเวธา มญฺญนานํ อภาวการณํ ทเสฺสโนฺต จตุสเงฺขปํ ติสนฺธิํ ติยทฺธํ วีสตาการํ ตเมว ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ ทเสฺสติฯ
Ettāvatā yaṃ bodhirukkhamūle aparājitapallaṅke nisinno sammasitvā sabbaññutaṃ patto, tassa paṭiccasamuppādassa paṭivedhā maññanānaṃ abhāvakāraṇaṃ dassento catusaṅkhepaṃ tisandhiṃ tiyaddhaṃ vīsatākāraṃ tameva paṭiccasamuppādaṃ dasseti.
กถํ ปน เอตฺตาวตา เอส สโพฺพ ทสฺสิโต โหตีติฯ เอตฺถ หิ นนฺทีติ อยํ เอโก สเงฺขโปฯ ทุกฺขสฺสาติ วจนโต ทุกฺขํ ทุติโย, ภวา ชาตีติ วจนโต ภโว ตติโย, ชาติชรามรณํ จตุโตฺถฯ เอวํ ตาว จตฺตาโร สเงฺขปา เวทิตพฺพา, โกฎฺฐาสาติ อโตฺถฯ ตณฺหาทุกฺขานํ ปน อนฺตรํ เอโก สนฺธิ, ทุกฺขสฺส จ ภวสฺส จ อนฺตรํ ทุติโย, ภวสฺส จ ชาติยา จ อนฺตรํ ตติโยฯ เอวํ จตุนฺนํ องฺคุลีนํ อนฺตรสทิสา จตุสเงฺขปนฺตรา ตโย สนฺธี เวทิตพฺพาฯ
Kathaṃ pana ettāvatā esa sabbo dassito hotīti. Ettha hi nandīti ayaṃ eko saṅkhepo. Dukkhassāti vacanato dukkhaṃ dutiyo, bhavā jātīti vacanato bhavo tatiyo, jātijarāmaraṇaṃ catuttho. Evaṃ tāva cattāro saṅkhepā veditabbā, koṭṭhāsāti attho. Taṇhādukkhānaṃ pana antaraṃ eko sandhi, dukkhassa ca bhavassa ca antaraṃ dutiyo, bhavassa ca jātiyā ca antaraṃ tatiyo. Evaṃ catunnaṃ aṅgulīnaṃ antarasadisā catusaṅkhepantarā tayo sandhī veditabbā.
ตตฺถ นนฺทีติ อตีโต อทฺธา, ชาติชรามรณํ อนาคโต, ทุกฺขญฺจ ภโว จ ปจฺจุปฺปโนฺนติ เอวํ ตโย อทฺธา เวทิตพฺพาฯ อตีเต ปน ปญฺจสุ อากาเรสุ นนฺทีวจเนน ตณฺหา เอกา อาคตา, ตาย อนาคตาปิ อวิชฺชาสงฺขารอุปาทานภวา ปจฺจยลกฺขเณน คหิตาว โหนฺติฯ ชาติชรามรณวจเนน ปน เยสํ ขนฺธานํ ตชฺชาติชรามรณํ, เต วุตฺตา เยวาติ กตฺวา อายติํ วิญฺญาณนามรูปสฬายตนผสฺสเวทนา คหิตาว โหนฺติฯ
Tattha nandīti atīto addhā, jātijarāmaraṇaṃ anāgato, dukkhañca bhavo ca paccuppannoti evaṃ tayo addhā veditabbā. Atīte pana pañcasu ākāresu nandīvacanena taṇhā ekā āgatā, tāya anāgatāpi avijjāsaṅkhāraupādānabhavā paccayalakkhaṇena gahitāva honti. Jātijarāmaraṇavacanena pana yesaṃ khandhānaṃ tajjātijarāmaraṇaṃ, te vuttā yevāti katvā āyatiṃ viññāṇanāmarūpasaḷāyatanaphassavedanā gahitāva honti.
เอวเมเต ‘‘ปุริมกมฺมภวสฺมิํ โมโห อวิชฺชา, อายูหนา สงฺขารา, นิกนฺติ ตณฺหา, อุปคมนํ อุปาทานํ, เจตนา ภโว อิติ อิเม ปญฺจ ธมฺมา ปุริมกมฺมภวสฺมิํ อิธ ปฎิสนฺธิยา ปจฺจยาฯ อิธ ปฎิสนฺธิ วิญฺญาณํ, โอกฺกนฺติ นามรูปํ, ปสาโท อายตนํ, ผุโฎฺฐ ผโสฺส, เวทยิตํ เวทนา อิติ อิเม ปญฺจ ธมฺมา อิธูปปตฺติภวสฺมิํ ปุเรกตสฺส กมฺมสฺส ปจฺจยาฯ อิธ ปริปกฺกตฺตา อายตนานํ โมโห อวิชฺชา, อายูหนา สงฺขารา, นิกนฺติ ตณฺหา, อุปคมนมุปาทานํ, เจตนา ภโว อิติ อิเม ปญฺจ ธมฺมา อิธ กมฺมภวสฺมิํ อายติํ ปฎิสนฺธิยา ปจฺจยาฯ อายติํ ปฎิสนฺธิ วิญฺญาณํ, โอกฺกนฺติ นามรูปํ, ปสาโท อายตนํ, ผุโฎฺฐ ผโสฺส , เวทยิตํ เวทนา อิติ อิเม ปญฺจ ธมฺมา อายติํ อุปปตฺติภวสฺมิํ อิธ กตสฺส กมฺมสฺส ปจฺจยา’’ติ เอวํ นิทฺทิฎฺฐลกฺขณา วีสติ อาการา อิธ เวทิตพฺพาฯ เอวํ ‘‘นนฺที ทุกฺขสฺส มูลนฺติ อิติ วิทิตฺวา ภวา ชาติ, ภูตสฺส ชรามรณ’’นฺติ เอตฺตาวตา เอส สโพฺพปิ จตุสเงฺขโป ติสนฺธิ ติยโทฺธ วีสตากาโร ปฎิจฺจสมุปฺปาโท ทสฺสิโต โหตีติ เวทิตโพฺพฯ
Evamete ‘‘purimakammabhavasmiṃ moho avijjā, āyūhanā saṅkhārā, nikanti taṇhā, upagamanaṃ upādānaṃ, cetanā bhavo iti ime pañca dhammā purimakammabhavasmiṃ idha paṭisandhiyā paccayā. Idha paṭisandhi viññāṇaṃ, okkanti nāmarūpaṃ, pasādo āyatanaṃ, phuṭṭho phasso, vedayitaṃ vedanā iti ime pañca dhammā idhūpapattibhavasmiṃ purekatassa kammassa paccayā. Idha paripakkattā āyatanānaṃ moho avijjā, āyūhanā saṅkhārā, nikanti taṇhā, upagamanamupādānaṃ, cetanā bhavo iti ime pañca dhammā idha kammabhavasmiṃ āyatiṃ paṭisandhiyā paccayā. Āyatiṃ paṭisandhi viññāṇaṃ, okkanti nāmarūpaṃ, pasādo āyatanaṃ, phuṭṭho phasso , vedayitaṃ vedanā iti ime pañca dhammā āyatiṃ upapattibhavasmiṃ idha katassa kammassa paccayā’’ti evaṃ niddiṭṭhalakkhaṇā vīsati ākārā idha veditabbā. Evaṃ ‘‘nandī dukkhassa mūlanti iti viditvā bhavā jāti, bhūtassa jarāmaraṇa’’nti ettāvatā esa sabbopi catusaṅkhepo tisandhi tiyaddho vīsatākāro paṭiccasamuppādo dassito hotīti veditabbo.
อิทานิ ตสฺมา ติห, ภิกฺขเว…เป.… อภิสมฺพุโทฺธติ วทามีติ เอตฺถ อปุพฺพปทวณฺณนํ กตฺวา ปทโยชนาย อตฺถนิคมนํ กริสฺสามฯ ตสฺมา ติหาติ ตสฺมา อิเจฺจว วุตฺตํ โหติฯ ติการหการา หิ นิปาตาฯ สพฺพโสติ อนวเสสวจนเมตํฯ ตณฺหานนฺติ นนฺทีติ เอวํ วุตฺตานํ สพฺพตณฺหานํฯ ขยาติ โลกุตฺตรมเคฺคน อจฺจนฺตกฺขยาฯ วิราคาทีนิ ขยเววจนาเนวฯ ยา หิ ตณฺหา ขีณา, วิรตฺตาปิ ตา ภวนฺติ นิรุทฺธาปิ จตฺตาปิ ปฎินิสฺสฎฺฐาปิฯ ขยาติ วา จตุมคฺคกิจฺจสาธารณเมตํฯ ตโต ปฐมมเคฺคน วิราคา, ทุติเยน นิโรธา, ตติเยน จาคา, จตุเตฺถน ปฎินิสฺสคฺคาติ โยเชตพฺพํฯ ยาหิ วา ตณฺหาหิ ปถวิํ ปถวิโต สญฺชาเนยฺย, ตาสํ ขยาฯ ยาหิ ปถวิํ มเญฺญยฺย, ตาสํ วิราคาฯ ยาหิ ปถวิยา มเญฺญยฺย, ตาสํ นิโรธาฯ ยาหิ ปถวิโต มเญฺญยฺย, ตาสํ จาคาฯ ยาหิ ปถวิํ เมติ มเญฺญยฺย, ตาสํ ปฎินิสฺสคฺคาฯ ยาหิ วา ปถวิํ มเญฺญยฺย, ตาสํ ขยา…เป.… ยาหิ ปถวิํ อภินเนฺทยฺย, ตาสํ ปฎินิสฺสคฺคาติ เอวเมตฺถ โยชนา กาตพฺพา, น กิญฺจิ วิรุชฺฌติฯ
Idāni tasmā tiha, bhikkhave…pe… abhisambuddhoti vadāmīti ettha apubbapadavaṇṇanaṃ katvā padayojanāya atthanigamanaṃ karissāma. Tasmā tihāti tasmā icceva vuttaṃ hoti. Tikārahakārā hi nipātā. Sabbasoti anavasesavacanametaṃ. Taṇhānanti nandīti evaṃ vuttānaṃ sabbataṇhānaṃ. Khayāti lokuttaramaggena accantakkhayā. Virāgādīni khayavevacanāneva. Yā hi taṇhā khīṇā, virattāpi tā bhavanti niruddhāpi cattāpi paṭinissaṭṭhāpi. Khayāti vā catumaggakiccasādhāraṇametaṃ. Tato paṭhamamaggena virāgā, dutiyena nirodhā, tatiyena cāgā, catutthena paṭinissaggāti yojetabbaṃ. Yāhi vā taṇhāhi pathaviṃ pathavito sañjāneyya, tāsaṃ khayā. Yāhi pathaviṃ maññeyya, tāsaṃ virāgā. Yāhi pathaviyā maññeyya, tāsaṃ nirodhā. Yāhi pathavito maññeyya, tāsaṃ cāgā. Yāhi pathaviṃ meti maññeyya, tāsaṃ paṭinissaggā. Yāhi vā pathaviṃ maññeyya, tāsaṃ khayā…pe… yāhi pathaviṃ abhinandeyya, tāsaṃ paṭinissaggāti evamettha yojanā kātabbā, na kiñci virujjhati.
อนุตฺตรนฺติ อุตฺตรวิรหิตํ สพฺพเสฎฺฐํฯ สมฺมาสโมฺพธินฺติ สมฺมา สามญฺจ โพธิํฯ อถ วา ปสตฺถํ สุนฺทรญฺจ โพธิํฯ โพธีติ รุโกฺขปิ มโคฺคปิ สพฺพญฺญุตญาณมฺปิ นิพฺพานมฺปิฯ ‘‘โพธิรุกฺขมูเล ปฐมาภิสมฺพุโทฺธ’’ติ (มหาว. ๑; อุทา. ๑) จ ‘‘อนฺตรา จ โพธิํ อนฺตรา จ คย’’นฺติ (มหาว. ๑๑; ม. นิ. ๑.๒๘๕) จ อาคตฎฺฐาเนหิ รุโกฺข โพธีติ วุจฺจติฯ ‘‘จตูสุ มเคฺคสุ ญาณ’’นฺติ (จูฬนิ. ๑๒๑) อาคตฎฺฐาเน มโคฺคฯ ‘‘ปโปฺปติ โพธิํ วรภูริเมธโส’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๑๗) อาคตฎฺฐาเน สพฺพญฺญุตญาณํฯ ‘‘ปตฺวาน โพธิํ อมตํ อสงฺขต’’นฺติ อาคตฎฺฐาเน นิพฺพานํฯ อิธ ปน ภควโต อรหตฺตมคฺคญาณํ อธิเปฺปตํฯ อปเร สพฺพญฺญุตญาณนฺติปิ วทนฺติฯ
Anuttaranti uttaravirahitaṃ sabbaseṭṭhaṃ. Sammāsambodhinti sammā sāmañca bodhiṃ. Atha vā pasatthaṃ sundarañca bodhiṃ. Bodhīti rukkhopi maggopi sabbaññutañāṇampi nibbānampi. ‘‘Bodhirukkhamūle paṭhamābhisambuddho’’ti (mahāva. 1; udā. 1) ca ‘‘antarā ca bodhiṃ antarā ca gaya’’nti (mahāva. 11; ma. ni. 1.285) ca āgataṭṭhānehi rukkho bodhīti vuccati. ‘‘Catūsu maggesu ñāṇa’’nti (cūḷani. 121) āgataṭṭhāne maggo. ‘‘Pappoti bodhiṃ varabhūrimedhaso’’ti (dī. ni. 3.217) āgataṭṭhāne sabbaññutañāṇaṃ. ‘‘Patvāna bodhiṃ amataṃ asaṅkhata’’nti āgataṭṭhāne nibbānaṃ. Idha pana bhagavato arahattamaggañāṇaṃ adhippetaṃ. Apare sabbaññutañāṇantipi vadanti.
สาวกานํ อรหตฺตมโคฺค อนุตฺตรา โพธิ โหติ น โหตีติฯ น โหติฯ กสฺมา? อสพฺพคุณทายกตฺตาฯ เตสญฺหิ กสฺสจิ อรหตฺตมโคฺค อรหตฺตผลเมว เทติ, กสฺสจิ ติโสฺส วิชฺชา, กสฺสจิ ฉ อภิญฺญา, กสฺสจิ จตโสฺส ปฎิสมฺภิทา, กสฺสจิ สาวกปารมีญาณํฯ ปเจฺจกพุทฺธานมฺปิ ปเจฺจกโพธิญาณเมว เทติฯ พุทฺธานํ ปน สพฺพคุณสมฺปตฺติํ เทติ อภิเสโก วิย รโญฺญ สพฺพโลกิสฺสริยภาวํฯ ตสฺมา อญฺญสฺส กสฺสจิปิ อนุตฺตรา โพธิ น โหตีติฯ
Sāvakānaṃ arahattamaggo anuttarā bodhi hoti na hotīti. Na hoti. Kasmā? Asabbaguṇadāyakattā. Tesañhi kassaci arahattamaggo arahattaphalameva deti, kassaci tisso vijjā, kassaci cha abhiññā, kassaci catasso paṭisambhidā, kassaci sāvakapāramīñāṇaṃ. Paccekabuddhānampi paccekabodhiñāṇameva deti. Buddhānaṃ pana sabbaguṇasampattiṃ deti abhiseko viya rañño sabbalokissariyabhāvaṃ. Tasmā aññassa kassacipi anuttarā bodhi na hotīti.
อภิสมฺพุโทฺธติ อภิญฺญาสิ ปฎิวิชฺฌิ, ปโตฺต อธิคโตติ วุตฺตํ โหติฯ อิติ วทามีติ อิติ วทามิ อาจิกฺขามิ เทเสมิ ปญฺญเปมิ, ปฎฺฐเปมิ วิวรามิ วิภชามิ อุตฺตานีกโรมีติฯ ตตฺรายํ โยชนา – ตถาคโตปิ, ภิกฺขเว…เป.… ปถวิํ น มญฺญติ…เป.… ปถวิํ นาภินนฺทติฯ ตํ กิสฺส เหตุ, นนฺที ทุกฺขสฺส มูลํ, ภวา ชาติ, ภูตสฺส ชรามรณนฺติ อิติ วิทิตฺวาติฯ ตตฺถ อิติ วิทิตฺวาติ อิติกาโร การณโตฺถฯ เตน อิมสฺส ปฎิจฺจสมุปฺปาทสฺส วิทิตตฺตา ปฎิวิทฺธตฺตาติ วุตฺตํ โหติฯ กิญฺจ ภิโยฺย – ยสฺมา จ เอวมิมํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ วิทิตฺวา ตถาคตสฺส ยา นนฺทีติ วุตฺตตณฺหา สพฺพปฺปการา, สา ปหีนา, ตาสญฺจ ตถาคโต สพฺพโส ตณฺหานํ ขยา…เป.… อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธฯ ตสฺมา ปถวิํ น มญฺญติ…เป.… ปถวิํ นาภินนฺทตีติ วทามีติ เอวํ อภิสมฺพุทฺธตฺตา น มญฺญติ นาภินนฺทตีติ วทามีติ วุตฺตํ โหติฯ
Abhisambuddhoti abhiññāsi paṭivijjhi, patto adhigatoti vuttaṃ hoti. Iti vadāmīti iti vadāmi ācikkhāmi desemi paññapemi, paṭṭhapemi vivarāmi vibhajāmi uttānīkaromīti. Tatrāyaṃ yojanā – tathāgatopi, bhikkhave…pe… pathaviṃ na maññati…pe… pathaviṃ nābhinandati. Taṃ kissa hetu, nandī dukkhassa mūlaṃ, bhavā jāti, bhūtassa jarāmaraṇanti iti viditvāti. Tattha iti viditvāti itikāro kāraṇattho. Tena imassa paṭiccasamuppādassa viditattā paṭividdhattāti vuttaṃ hoti. Kiñca bhiyyo – yasmā ca evamimaṃ paṭiccasamuppādaṃ viditvā tathāgatassa yā nandīti vuttataṇhā sabbappakārā, sā pahīnā, tāsañca tathāgato sabbaso taṇhānaṃ khayā…pe… anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddho. Tasmā pathaviṃ na maññati…pe… pathaviṃ nābhinandatīti vadāmīti evaṃ abhisambuddhattā na maññati nābhinandatīti vadāmīti vuttaṃ hoti.
อถ วา ยสฺมา ‘‘นนฺที ทุกฺขสฺส มูล’’นฺติอาทินา นเยน ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ วิทิตฺวา สพฺพโส ตณฺหา ขยํ คตา, ตสฺมา ติห, ภิกฺขเว, ตถาคโต สพฺพโส ตณฺหานํ ขยา…เป.… อภิสมฺพุโทฺธติ วทามิฯ โส เอวํ อภิสมฺพุทฺธตฺตา ปถวิํ น มญฺญติ…เป.… นาภินนฺทตีติฯ ยตฺถ ยตฺถ หิ ยสฺมาติ อวตฺวา ตสฺมาติ วุจฺจติ, ตตฺถ ตตฺถ ยสฺมาติ อาเนตฺวา โยเชตพฺพํ, อยํ สาสนยุตฺติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ
Atha vā yasmā ‘‘nandī dukkhassa mūla’’ntiādinā nayena paṭiccasamuppādaṃ viditvā sabbaso taṇhā khayaṃ gatā, tasmā tiha, bhikkhave, tathāgato sabbaso taṇhānaṃ khayā…pe… abhisambuddhoti vadāmi. So evaṃ abhisambuddhattā pathaviṃ na maññati…pe… nābhinandatīti. Yattha yattha hi yasmāti avatvā tasmāti vuccati, tattha tattha yasmāti ānetvā yojetabbaṃ, ayaṃ sāsanayutti. Esa nayo sabbattha.
อิทมโวจ ภควาติ อิทํ นิทานาวสานโต ปภุติ ยาว อภิสมฺพุโทฺธติ วทามีติ สกลสุตฺตนฺตํ ภควา ปเรสํ ปญฺญาย อลพฺภเณยฺยปติฎฺฐํ ปรมคมฺภีรํ สพฺพญฺญุตญาณํ ทเสฺสโนฺต เอเกน ปุถุชฺชนวาเรน เอเกน เสกฺขวาเรน จตูหิ ขีณาสววาเรหิ ทฺวีหิ ตถาคตวาเรหีติ อฎฺฐหิ มหาวาเรหิ เอกเมกสฺมิญฺจ วาเร ปถวีอาทีหิ จตุวีสติยา อนฺตรวาเรหิ ปฎิมเณฺฑตฺวา เทฺวภาณวารปริมาณาย ตนฺติยา อโวจฯ
Idamavoca bhagavāti idaṃ nidānāvasānato pabhuti yāva abhisambuddhoti vadāmīti sakalasuttantaṃ bhagavā paresaṃ paññāya alabbhaṇeyyapatiṭṭhaṃ paramagambhīraṃ sabbaññutañāṇaṃ dassento ekena puthujjanavārena ekena sekkhavārena catūhi khīṇāsavavārehi dvīhi tathāgatavārehīti aṭṭhahi mahāvārehi ekamekasmiñca vāre pathavīādīhi catuvīsatiyā antaravārehi paṭimaṇḍetvā dvebhāṇavāraparimāṇāya tantiyā avoca.
เอวํ วิจิตฺรนยเทสนาวิลาสยุตฺตํ ปเนตํ สุตฺตํ กรวิกรุทมญฺชุนา กณฺณสุเขน ปณฺฑิตชนหทยานํ อมตาภิเสกสทิเสน พฺรหฺมสฺสเรน ภาสมานสฺสาปิฯ น เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติ เต ปญฺจสตา ภิกฺขู อิทํ ภควโต วจนํ นานุโมทิํสุฯ กสฺมา? อญฺญาณเกนฯ เต กิร อิมสฺส สุตฺตสฺส อตฺถํ น ชานิํสุ, ตสฺมา นาภินนฺทิํสุฯ เตสญฺหิ ตสฺมิํ สมเย เอวํ วิจิตฺรนยเทสนาวิลาสยุตฺตมฺปิ เอตํ สุตฺตํ ฆนปุถุเลน ทุสฺสปเฎฺฎน มุเข พนฺธํ กตฺวา ปุรโต ฐปิตมนุญฺญโภชนํ วิย อโหสิฯ นนุ จ ภควา อตฺตนา เทสิตํ ธมฺมํ ปเร ญาเปตุํ กปฺปสตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ ปารมิโย ปูเรตฺวา สพฺพญฺญุตํ ปโตฺตฯ โส กสฺมา ยถา เต น ชานนฺติ, ตถา เทเสสีติฯ วุตฺตมิทํ อิมสฺส สุตฺตสฺส นิเกฺขปวิจารณายํ เอว ‘‘มานภญฺชนตฺถํ สพฺพธมฺมมูลปริยายนฺติ เทสนํ อารภี’’ติ, ตสฺมา น ยิธ ปุน วตฺตพฺพมตฺถิ, เอวํ มานภญฺชนตฺถํ เทสิตญฺจ ปเนตํ สุตฺตํ สุตฺวา เต ภิกฺขู ตํเยว กิร ปถวิํ ทิฎฺฐิคติโกปิ สญฺชานาติ, เสโกฺขปิ อรหาปิ ตถาคโตปิ สญฺชานาติฯ กินฺนามิทํ กถํ นามิทนฺติ จิเนฺตนฺตา ปุเพฺพ มยํ ภควตา กถิตํ ยํกิญฺจิ ขิปฺปเมว ชานาม, อิทานิ ปนิมสฺส มูลปริยายสฺส อนฺตํ วา โกฎิํ วา น ชานาม น ปสฺสาม, อโห พุทฺธา นาม อปฺปเมยฺยา อตุลาติ อุทฺธฎทาฐา วิย สปฺปา นิมฺมทา หุตฺวา พุทฺธุปฎฺฐานญฺจ ธมฺมสฺสวนญฺจ สกฺกจฺจํ อาคมํสุฯ
Evaṃ vicitranayadesanāvilāsayuttaṃ panetaṃ suttaṃ karavikarudamañjunā kaṇṇasukhena paṇḍitajanahadayānaṃ amatābhisekasadisena brahmassarena bhāsamānassāpi. Na te bhikkhū bhagavato bhāsitaṃ abhinandunti te pañcasatā bhikkhū idaṃ bhagavato vacanaṃ nānumodiṃsu. Kasmā? Aññāṇakena. Te kira imassa suttassa atthaṃ na jāniṃsu, tasmā nābhinandiṃsu. Tesañhi tasmiṃ samaye evaṃ vicitranayadesanāvilāsayuttampi etaṃ suttaṃ ghanaputhulena dussapaṭṭena mukhe bandhaṃ katvā purato ṭhapitamanuññabhojanaṃ viya ahosi. Nanu ca bhagavā attanā desitaṃ dhammaṃ pare ñāpetuṃ kappasatasahassādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni pāramiyo pūretvā sabbaññutaṃ patto. So kasmā yathā te na jānanti, tathā desesīti. Vuttamidaṃ imassa suttassa nikkhepavicāraṇāyaṃ eva ‘‘mānabhañjanatthaṃ sabbadhammamūlapariyāyanti desanaṃ ārabhī’’ti, tasmā na yidha puna vattabbamatthi, evaṃ mānabhañjanatthaṃ desitañca panetaṃ suttaṃ sutvā te bhikkhū taṃyeva kira pathaviṃ diṭṭhigatikopi sañjānāti, sekkhopi arahāpi tathāgatopi sañjānāti. Kinnāmidaṃ kathaṃ nāmidanti cintentā pubbe mayaṃ bhagavatā kathitaṃ yaṃkiñci khippameva jānāma, idāni panimassa mūlapariyāyassa antaṃ vā koṭiṃ vā na jānāma na passāma, aho buddhā nāma appameyyā atulāti uddhaṭadāṭhā viya sappā nimmadā hutvā buddhupaṭṭhānañca dhammassavanañca sakkaccaṃ āgamaṃsu.
เตน โข ปน สมเยน ภิกฺขู ธมฺมสภายํ สนฺนิสินฺนา อิมํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อโห พุทฺธานํ อานุภาโว, เต นาม พฺราหฺมณปพฺพชิตา ตถา มานมทมตฺตา ภควตา มูลปริยายเทสนาย นิหตมานา กตา’’ติ, อยญฺจรหิ เตสํ ภิกฺขูนํ อนฺตรากถา วิปฺปกตาฯ อถ ภควา คนฺธกุฎิยา นิกฺขมิตฺวา ตงฺขณานุรูเปน ปาฎิหาริเยน ธมฺมสภายํ ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสีทิตฺวา เต ภิกฺขู อาห – ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติฯ เต ตมตฺถํ ภควโต อาโรเจสุํฯ ภควา เอตทโวจ – ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ อหํ อิเม เอวํ มานปคฺคหิตสิเร วิจรเนฺต นิหตมาเน อกาสิ’’นฺติฯ ตโต อิมิสฺสา อฎฺฐุปฺปตฺติยา อิทํ อตีตํ อาเนสิ –
Tena kho pana samayena bhikkhū dhammasabhāyaṃ sannisinnā imaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘aho buddhānaṃ ānubhāvo, te nāma brāhmaṇapabbajitā tathā mānamadamattā bhagavatā mūlapariyāyadesanāya nihatamānā katā’’ti, ayañcarahi tesaṃ bhikkhūnaṃ antarākathā vippakatā. Atha bhagavā gandhakuṭiyā nikkhamitvā taṅkhaṇānurūpena pāṭihāriyena dhammasabhāyaṃ paññattavarabuddhāsane nisīditvā te bhikkhū āha – ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti. Te tamatthaṃ bhagavato ārocesuṃ. Bhagavā etadavoca – ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi ahaṃ ime evaṃ mānapaggahitasire vicarante nihatamāne akāsi’’nti. Tato imissā aṭṭhuppattiyā idaṃ atītaṃ ānesi –
ภูตปุพฺพํ , ภิกฺขเว, อญฺญตโร ทิสาปาโมโกฺข พฺราหฺมโณ พาราณสิยํ ปฎิวสติ ติณฺณํ เวทานํ ปารคู สนิฆณฺฎุเกฎุภานํ สากฺขรปฺปเภทานํ อิติหาสปญฺจมานํ ปทโก เวยฺยากรโณ โลกายตมหาปุริสลกฺขเณสุ อนวโย, โส ปญฺจมตฺตานิ มาณวกสตานิ มเนฺต วาเจติฯ ปณฺฑิตา มาณวกา พหุญฺจ คณฺหนฺติ ลหุญฺจ, สุฎฺฐุ จ อุปธาเรนฺติ, คหิตญฺจ เตสํ น วินสฺสติฯ โสปิ พฺราหฺมโณ อาจริยมุฎฺฐิํ อกตฺวา ฆเฎ อุทกํ อาสิญฺจโนฺต วิย สพฺพมฺปิ สิปฺปํ อุคฺคณฺหาเปตฺวา เต มาณวเก เอตทโวจ ‘‘เอตฺตกมิทํ สิปฺปํ ทิฎฺฐธมฺมสมฺปรายหิต’’นฺติฯ เต มาณวกา – ‘‘ยํ อมฺหากํ อาจริโย ชานาติ, มยมฺปิ ตํ ชานาม, มยมฺปิ ทานิ อาจริยา เอวา’’ติ มานํ อุปฺปาเทตฺวา ตโต ปภุติ อาจริเย อคารวา นิกฺขิตฺตวตฺตา วิหริํสุฯ อาจริโย ญตฺวา ‘‘กริสฺสามิ เนสํ มานนิคฺคห’’นฺติ จิเนฺตสิฯ โส เอกทิวสํ อุปฎฺฐานํ อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา นิสิเนฺน เต มาณวเก อาห ‘‘ตาตา ปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสามิ, กจฺจิตฺถ สมตฺถา กเถตุ’’นฺติฯ เต ‘‘ปุจฺฉถ อาจริย, ปุจฺฉถ อาจริยา’’ติ สหสาว อาหํสุ, ยถา ตํ สุตมทมตฺตาฯ อาจริโย อาห –
Bhūtapubbaṃ , bhikkhave, aññataro disāpāmokkho brāhmaṇo bārāṇasiyaṃ paṭivasati tiṇṇaṃ vedānaṃ pāragū sanighaṇṭukeṭubhānaṃ sākkharappabhedānaṃ itihāsapañcamānaṃ padako veyyākaraṇo lokāyatamahāpurisalakkhaṇesu anavayo, so pañcamattāni māṇavakasatāni mante vāceti. Paṇḍitā māṇavakā bahuñca gaṇhanti lahuñca, suṭṭhu ca upadhārenti, gahitañca tesaṃ na vinassati. Sopi brāhmaṇo ācariyamuṭṭhiṃ akatvā ghaṭe udakaṃ āsiñcanto viya sabbampi sippaṃ uggaṇhāpetvā te māṇavake etadavoca ‘‘ettakamidaṃ sippaṃ diṭṭhadhammasamparāyahita’’nti. Te māṇavakā – ‘‘yaṃ amhākaṃ ācariyo jānāti, mayampi taṃ jānāma, mayampi dāni ācariyā evā’’ti mānaṃ uppādetvā tato pabhuti ācariye agāravā nikkhittavattā vihariṃsu. Ācariyo ñatvā ‘‘karissāmi nesaṃ mānaniggaha’’nti cintesi. So ekadivasaṃ upaṭṭhānaṃ āgantvā vanditvā nisinne te māṇavake āha ‘‘tātā pañhaṃ pucchissāmi, kaccittha samatthā kathetu’’nti. Te ‘‘pucchatha ācariya, pucchatha ācariyā’’ti sahasāva āhaṃsu, yathā taṃ sutamadamattā. Ācariyo āha –
‘‘กาโล ฆสติ ภูตานิ, สพฺพาเนว สหตฺตนา;
‘‘Kālo ghasati bhūtāni, sabbāneva sahattanā;
โย จ กาลฆโส ภูโต, ส ภูตปจนิํ ปจี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๐.๑๙๐) –
Yo ca kālaghaso bhūto, sa bhūtapacaniṃ pacī’’ti. (jā. 1.10.190) –
วิสฺสเชฺชถ ตาตา อิมํ ปญฺหนฺติฯ
Vissajjetha tātā imaṃ pañhanti.
เต จิเนฺตตฺวา อชานมานา ตุณฺหี อเหสุํฯ อาจริโย อาห ‘‘อลํ ตาตา คจฺฉถชฺช, เสฺว กเถยฺยาถา’’ติ อุโยฺยเชสิฯ เต ทสปิ วีสติปิ สมฺปิณฺฑิตา หุตฺวา น ตสฺส ปญฺหสฺส อาทิํ, น อนฺตมทฺทสํสุฯ อาคนฺตฺวา อาจริยสฺส อาโรเจสุํ ‘‘น อิมสฺส ปญฺหสฺส อตฺถํ อาชานามา’’ติฯ อาจริโย เตสํ นิคฺคหตฺถาย อิมํ คาถมภาสิ –
Te cintetvā ajānamānā tuṇhī ahesuṃ. Ācariyo āha ‘‘alaṃ tātā gacchathajja, sve katheyyāthā’’ti uyyojesi. Te dasapi vīsatipi sampiṇḍitā hutvā na tassa pañhassa ādiṃ, na antamaddasaṃsu. Āgantvā ācariyassa ārocesuṃ ‘‘na imassa pañhassa atthaṃ ājānāmā’’ti. Ācariyo tesaṃ niggahatthāya imaṃ gāthamabhāsi –
‘‘พหูนิ นรสีสานิ, โลมสานิ พฺรหานิ จ;
‘‘Bahūni narasīsāni, lomasāni brahāni ca;
คีวาสุ ปฎิมุกฺกานิ, โกจิเทเวตฺถ กณฺณวา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๐.๑๙๑) –
Gīvāsu paṭimukkāni, kocidevettha kaṇṇavā’’ti. (jā. 1.10.191) –
คาถายโตฺถ – พหูนิ นรานํ สีสานิ ทิสฺสนฺติ, สพฺพานิ จ ตานิ โลมสานิ สพฺพานิ จ มหนฺตานิ คีวายเมว จ ฐปิตานิ, น ตาลผลํ วิย หเตฺถน คหิตานิ, นตฺถิ เตสํ อิเมหิ ธเมฺมหิ นานากรณํฯ เอตฺถ ปน โกจิเทว กณฺณวาติ อตฺตานํ สนฺธายาหฯ กณฺณวาติ ปญฺญวาฯ กณฺณจฺฉิทฺทํ ปน น กสฺสจิ นตฺถิ, ตํ สุตฺวา เต มาณวกา มงฺกุภูตา ปตฺตกฺขนฺธา อโธมุขา องฺคุลิยา ภูมิํ วิลิขนฺตา ตุณฺหี อเหสุํฯ
Gāthāyattho – bahūni narānaṃ sīsāni dissanti, sabbāni ca tāni lomasāni sabbāni ca mahantāni gīvāyameva ca ṭhapitāni, na tālaphalaṃ viya hatthena gahitāni, natthi tesaṃ imehi dhammehi nānākaraṇaṃ. Ettha pana kocideva kaṇṇavāti attānaṃ sandhāyāha. Kaṇṇavāti paññavā. Kaṇṇacchiddaṃ pana na kassaci natthi, taṃ sutvā te māṇavakā maṅkubhūtā pattakkhandhā adhomukhā aṅguliyā bhūmiṃ vilikhantā tuṇhī ahesuṃ.
อถ เนสํ อหิริกภาวํ ปสฺสิตฺวา อาจริโย ‘‘อุคฺคณฺหถ ตาตา ปญฺห’’นฺติ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชสิฯ กาโลติ ปุเรภตฺตกาโลปิ ปจฺฉาภตฺตกาโลปีติ เอวมาทิฯ ภูตานีติ สตฺตาธิวจนเมตํฯ กาโล หิ ภูตานํ น จมฺมมํสาทีนิ ขาทติ, อปิจ โข เนสํ อายุวณฺณพลานิ เขเปโนฺต โยพฺพญฺญํ มทฺทโนฺต อาโรคฺยํ วินาเสโนฺต ฆสติ ขาทตีติ วุจฺจติฯ สพฺพาเนว สหตฺตนาติ เอวํ ฆสโนฺต จ น กิญฺจิ วเชฺชติ, สพฺพาเนว ฆสติฯ น เกวลญฺจ ภูตานิเยว, อปิจ โข สหตฺตนา อตฺตานมฺปิ ฆสติฯ ปุเรภตฺตกาโล หิ ปจฺฉาภตฺตกาลํ น ปาปุณาติฯ เอส นโย ปจฺฉาภตฺตกาลาทีสุฯ โย จ กาลฆโส ภูโตติ ขีณาสวเสฺสตํ อธิวจนํฯ โส หิ อายติํ ปฎิสนฺธิกาลํ เขเปตฺวา ขาทิตฺวา ฐิตตฺตา ‘‘กาลฆโส’’ติ วุจฺจติฯ ส ภูตปจนิํ ปจีติ โส ยายํ ตณฺหา อปาเยสุ ภูเต ปจติ, ตํ ญาณคฺคินา ปจิ ทยฺหิ ภสฺมมกาสิ, เตน ‘‘ภูตปจนิํ ปจี’’ติ วุจฺจติฯ ‘‘ปชนิ’’นฺติปิ ปาโฐฯ ชนิกํ นิพฺพตฺติกนฺติ อโตฺถฯ
Atha nesaṃ ahirikabhāvaṃ passitvā ācariyo ‘‘uggaṇhatha tātā pañha’’nti pañhaṃ vissajjesi. Kāloti purebhattakālopi pacchābhattakālopīti evamādi. Bhūtānīti sattādhivacanametaṃ. Kālo hi bhūtānaṃ na cammamaṃsādīni khādati, apica kho nesaṃ āyuvaṇṇabalāni khepento yobbaññaṃ maddanto ārogyaṃ vināsento ghasati khādatīti vuccati. Sabbāneva sahattanāti evaṃ ghasanto ca na kiñci vajjeti, sabbāneva ghasati. Na kevalañca bhūtāniyeva, apica kho sahattanā attānampi ghasati. Purebhattakālo hi pacchābhattakālaṃ na pāpuṇāti. Esa nayo pacchābhattakālādīsu. Yo ca kālaghaso bhūtoti khīṇāsavassetaṃ adhivacanaṃ. So hi āyatiṃ paṭisandhikālaṃ khepetvā khāditvā ṭhitattā ‘‘kālaghaso’’ti vuccati. Sa bhūtapacaniṃ pacīti so yāyaṃ taṇhā apāyesu bhūte pacati, taṃ ñāṇagginā paci dayhi bhasmamakāsi, tena ‘‘bhūtapacaniṃ pacī’’ti vuccati. ‘‘Pajani’’ntipi pāṭho. Janikaṃ nibbattikanti attho.
อถ เต มาณวกา ทีปสหสฺสาโลเกน วิย รตฺติํ สมวิสมํ อาจริยสฺส วิสฺสชฺชเนน ปญฺหสฺส อตฺถํ ปากฎํ ทิสฺวา ‘‘อิทานิ มยํ ยาวชีวํ คุรุวาสํ วสิสฺสาม, มหนฺตา เอเต อาจริยา นาม, มยญฺหิ พหุสฺสุตมานํ อุปฺปาเทตฺวา จตุปฺปทิกคาถายปิ อตฺถํ น ชานามา’’ติ นิหตมานา ปุพฺพสทิสเมว อาจริยสฺส วตฺตปฺปฎิปตฺติํ กตฺวา สคฺคปรายณา อเหสุํฯ
Atha te māṇavakā dīpasahassālokena viya rattiṃ samavisamaṃ ācariyassa vissajjanena pañhassa atthaṃ pākaṭaṃ disvā ‘‘idāni mayaṃ yāvajīvaṃ guruvāsaṃ vasissāma, mahantā ete ācariyā nāma, mayañhi bahussutamānaṃ uppādetvā catuppadikagāthāyapi atthaṃ na jānāmā’’ti nihatamānā pubbasadisameva ācariyassa vattappaṭipattiṃ katvā saggaparāyaṇā ahesuṃ.
อหํ โข, ภิกฺขเว, เตน สมเยน เตสํ อาจริโย อโหสิํ, อิเม ภิกฺขู มาณวกาฯ เอวํ ปุเพฺพปาหํ อิเม เอวํ มานปคฺคหิตสิเร วิจรเนฺต นิหตมาเน อกาสินฺติฯ
Ahaṃ kho, bhikkhave, tena samayena tesaṃ ācariyo ahosiṃ, ime bhikkhū māṇavakā. Evaṃ pubbepāhaṃ ime evaṃ mānapaggahitasire vicarante nihatamāne akāsinti.
อิมญฺจ ชาตกํ สุตฺวา เต ภิกฺขู ปุเพฺพปิ มยํ มาเนเนว อุปหตาติ ภิโยฺยโสมตฺตาย นิหตมานา หุตฺวา อตฺตโน อุปการกกมฺมฎฺฐานปรายณา อเหสุํฯ
Imañca jātakaṃ sutvā te bhikkhū pubbepi mayaṃ māneneva upahatāti bhiyyosomattāya nihatamānā hutvā attano upakārakakammaṭṭhānaparāyaṇā ahesuṃ.
ตโต ภควา เอกํ สมยํ ชนปทจาริกํ จรโนฺต เวสาลิํ ปตฺวา โคตมเก เจติเย วิหรโนฺต อิเมสํ ปญฺจสตานํ ภิกฺขูนํ ญาณปริปากํ วิทิตฺวา อิมํ โคตมกสุตฺตํ กเถสิ –
Tato bhagavā ekaṃ samayaṃ janapadacārikaṃ caranto vesāliṃ patvā gotamake cetiye viharanto imesaṃ pañcasatānaṃ bhikkhūnaṃ ñāṇaparipākaṃ viditvā imaṃ gotamakasuttaṃ kathesi –
‘‘อภิญฺญายาหํ, ภิกฺขเว, ธมฺมํ เทเสมิ โน อนภิญฺญาย, สนิทานาหํ…เป.… สปฺปาฎิหาริยาหํ, ภิกฺขเว, ธมฺมํ เทเสมิ โน อปฺปาฎิหาริยํฯ ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, อภิญฺญาย ธมฺมํ เทสยโต…เป.… โน อปฺปาฎิหาริยํฯ กรณีโย โอวาโท, กรณียา อนุสาสนีฯ อลญฺจ ปน โว, ภิกฺขเว, ตุฎฺฐิยา อลํ อตฺตมนตาย อลํ โสมนสฺสายฯ สมฺมาสมฺพุโทฺธ ภควา, สฺวากฺขาโต ธโมฺม, สุปฺปฎิปโนฺน สโงฺฆติฯ อิทมโวจ ภควา, อิมสฺมิญฺจ ปน เวยฺยากรณสฺมิํ ภญฺญมาเน ทสสหสฺสิโลกธาตุ อกมฺปิตฺถา’’ติ (อ. นิ. ๓.๑๒๖)ฯ
‘‘Abhiññāyāhaṃ, bhikkhave, dhammaṃ desemi no anabhiññāya, sanidānāhaṃ…pe… sappāṭihāriyāhaṃ, bhikkhave, dhammaṃ desemi no appāṭihāriyaṃ. Tassa mayhaṃ, bhikkhave, abhiññāya dhammaṃ desayato…pe… no appāṭihāriyaṃ. Karaṇīyo ovādo, karaṇīyā anusāsanī. Alañca pana vo, bhikkhave, tuṭṭhiyā alaṃ attamanatāya alaṃ somanassāya. Sammāsambuddho bhagavā, svākkhāto dhammo, suppaṭipanno saṅghoti. Idamavoca bhagavā, imasmiñca pana veyyākaraṇasmiṃ bhaññamāne dasasahassilokadhātu akampitthā’’ti (a. ni. 3.126).
อิทญฺจ สุตฺตํ สุตฺวา เต ปญฺจสตา ภิกฺขู ตสฺมิํเยวาสเน สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิํสุ, เอวายํ เทสนา เอตสฺมิํ ฐาเน นิฎฺฐมคมาสีติฯ
Idañca suttaṃ sutvā te pañcasatā bhikkhū tasmiṃyevāsane saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇiṃsu, evāyaṃ desanā etasmiṃ ṭhāne niṭṭhamagamāsīti.
ตถาคตวารอฎฺฐมนยวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Tathāgatavāraaṭṭhamanayavaṇṇanā niṭṭhitā.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
มูลปริยายสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Mūlapariyāyasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑. มูลปริยายสุตฺตํ • 1. Mūlapariyāyasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๑. มูลปริยายสุตฺตวณฺณนา • 1. Mūlapariyāyasuttavaṇṇanā