Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ
Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa
มชฺฌิมนิกาเย
Majjhimanikāye
มูลปณฺณาส-ฎีกา
Mūlapaṇṇāsa-ṭīkā
(ปฐโม ภาโค)
(Paṭhamo bhāgo)
คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา
Ganthārambhakathāvaṇṇanā
๑. สํวณฺณนารเมฺภ รตนตฺตยวนฺทนา สํวเณฺณตพฺพสฺส ธมฺมสฺส ปภวนิสฺสยวิสุทฺธิปฎิเวทนตฺถํ, ตํ ปน ธมฺมสํวณฺณนาสุ วิญฺญูนํ พหุมานุปฺปาทนตฺถํ, ตํ สมฺมเทว เตสํ อุคฺคหธารณาทิกฺกมลทฺธพฺพาย สมฺมาปฎิปตฺติยา สพฺพหิตสุขนิปฺผาทนตฺถํฯ อถ วา มงฺคลภาวโต, สพฺพกิริยาสุ ปุพฺพกิจฺจภาวโต, ปณฺฑิเตหิ สมาจริตภาวโต, อายติํ ปเรสํ ทิฎฺฐานุคติอาปชฺชนโต จ สํวณฺณนายํ รตนตฺตยปณามกิริยาฯ อถ วา รตนตฺตยปณามกรณํ ปูชนียปูชาปุญฺญวิเสสนิพฺพตฺตนตฺถํฯ ตํ อตฺตโน ยถาลทฺธสมฺปตฺตินิมิตฺตกสฺส กมฺมสฺส พลานุปฺปทานตฺถํฯ อนฺตรา จ ตสฺส อสโงฺกจนตฺถํฯ ตทุภยํ อนนฺตราเยน อฎฺฐกถาย ปริสมาปนตฺถํฯ อิทเมว จ ปโยชนํ อาจริเยน อิธาธิเปฺปตํฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘อิติ เม ปสนฺนมติโน…เป.… ตสฺสานุภาเวนา’’ติฯ วตฺถุตฺตยปูชาหิ นิรติสยปุญฺญเกฺขตฺตสํพุทฺธิยา อปริเมยฺยปภาโว ปุญฺญาติสโยติ พหุวิธนฺตราเยปิ โลกสนฺนิวาเส อนฺตรายนิพนฺธนสกลสํกิเลสวิทฺธํสนาย ปโหติฯ ภยาทิอุปทฺทวญฺจ นิวาเรติฯ ยถาห –
1. Saṃvaṇṇanārambhe ratanattayavandanā saṃvaṇṇetabbassa dhammassa pabhavanissayavisuddhipaṭivedanatthaṃ, taṃ pana dhammasaṃvaṇṇanāsu viññūnaṃ bahumānuppādanatthaṃ, taṃ sammadeva tesaṃ uggahadhāraṇādikkamaladdhabbāya sammāpaṭipattiyā sabbahitasukhanipphādanatthaṃ. Atha vā maṅgalabhāvato, sabbakiriyāsu pubbakiccabhāvato, paṇḍitehi samācaritabhāvato, āyatiṃ paresaṃ diṭṭhānugatiāpajjanato ca saṃvaṇṇanāyaṃ ratanattayapaṇāmakiriyā. Atha vā ratanattayapaṇāmakaraṇaṃ pūjanīyapūjāpuññavisesanibbattanatthaṃ. Taṃ attano yathāladdhasampattinimittakassa kammassa balānuppadānatthaṃ. Antarā ca tassa asaṅkocanatthaṃ. Tadubhayaṃ anantarāyena aṭṭhakathāya parisamāpanatthaṃ. Idameva ca payojanaṃ ācariyena idhādhippetaṃ. Tathā hi vakkhati ‘‘iti me pasannamatino…pe… tassānubhāvenā’’ti. Vatthuttayapūjāhi niratisayapuññakkhettasaṃbuddhiyā aparimeyyapabhāvo puññātisayoti bahuvidhantarāyepi lokasannivāse antarāyanibandhanasakalasaṃkilesaviddhaṃsanāya pahoti. Bhayādiupaddavañca nivāreti. Yathāha –
‘‘ปูชารเห ปูชยโตฯ พุเทฺธ ยทิ ว สาวเก’’ติอาทิ (ธ. ป. ๑๙๕; อป. ๑.๑๐.๑), ตถา –
‘‘Pūjārahe pūjayato. Buddhe yadi va sāvake’’tiādi (dha. pa. 195; apa. 1.10.1), tathā –
‘‘เย, ภิกฺขเว, พุเทฺธ ปสนฺนา, อเคฺค เต ปสนฺนา, อเคฺค โข ปน ปสนฺนานํ อโคฺค วิปาโก โหตี’’ติอาทิ (อิติวุ. ๙๐, ๙๑),
‘‘Ye, bhikkhave, buddhe pasannā, agge te pasannā, agge kho pana pasannānaṃ aggo vipāko hotī’’tiādi (itivu. 90, 91),
‘‘พุโทฺธติ กิตฺตยนฺตสฺส, กาเย ภวติ ยา ปีติ;
‘‘Buddhoti kittayantassa, kāye bhavati yā pīti;
วรเมว หิ สา ปีติ, กสิเณนปิ ชมฺพุทีปสฺสฯ
Varameva hi sā pīti, kasiṇenapi jambudīpassa.
ธโมฺมติ กิตฺตยนฺตสฺส…เป.… กสิเณนปิ ชมฺพุทีปสฺส;
Dhammoti kittayantassa…pe… kasiṇenapi jambudīpassa;
สโงฺฆติ กิตฺตยนฺตสฺส…เป.… กสิเณนปิ ชมฺพุทีปสฺสา’’ติฯ (อิติวุ. อฎฺฐ. ๙๐),
Saṅghoti kittayantassa…pe… kasiṇenapi jambudīpassā’’ti. (itivu. aṭṭha. 90),
ตถา –
Tathā –
‘‘ยสฺมิํ มหานาม สมเย อริยสาวโก ตถาคตํ อนุสฺสรติ, เนวสฺส ตสฺมิํ สมเย ราคปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหติ, น โทส…เป.… น โมหปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๖.๑๐; ๑๑.๑๑),
‘‘Yasmiṃ mahānāma samaye ariyasāvako tathāgataṃ anussarati, nevassa tasmiṃ samaye rāgapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hoti, na dosa…pe… na mohapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hotī’’tiādi (a. ni. 6.10; 11.11),
‘‘อรเญฺญ รุกฺขมูเล วา…เป.…
‘‘Araññe rukkhamūle vā…pe…
ภยํ วา ฉมฺภิตตฺตํ วา,
Bhayaṃ vā chambhitattaṃ vā,
โลมหํโส น เหสฺสตี’’ติ จฯ (สํ. นิ. ๒.๒๔๙);
Lomahaṃso na hessatī’’ti ca. (saṃ. ni. 2.249);
ตตฺถ ยสฺส วตฺถุตฺตยสฺส วนฺทนํ กตฺตุกาโม, ตสฺส คุณาติสยโยคสนฺทสฺสนตฺถํ ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติอาทินา คาถาตฺตยมาหฯ คุณาติสยโยเคน หิ วนฺทนารหภาโว, วนฺทนารเห จ กตา วนฺทนา ยถาธิเปฺปตํ ปโยชนํ สาเธตีติฯ ตตฺถ ยสฺสา เทสนาย สํวณฺณนํ กตฺตุกาโมฯ สา น วินยเทสนา วิย กรุณาปฺปธานา, นาปิ อภิธมฺมเทสนา วิย ปญฺญาปฺปธานา , อถ โข กรุณาปญฺญาปฺปธานาติ ตทุภยปฺปธานเมว ตาว สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส โถมนํ กาตุํ ตมฺมูลกตฺตา เสสรตนานํ ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ กิรตีติ กรุณา, ปรทุกฺขํ วิกฺขิปติ อปเนตีติ อโตฺถฯ อถ วา กิณาตีติ กรุณา, ปรทุเกฺข สติ การุณิกํ หิํสติ วิพาธตีติ อโตฺถฯ ปรทุเกฺข สติ สาธูนํ กมฺปนํ หทยเขทํ กโรตีติ วา กรุณาฯ อถ วา กมิติ สุขํ, ตํ รุนฺธตีติ กรุณาฯ เอสา หิ ปรทุกฺขาปนยนกามตาลกฺขณา อตฺตสุขนิรเปกฺขตาย การุณิกานํ สุขํ รุนฺธติ วิพนฺธตีติ อโตฺถ ฯ กรุณาย สีตลํ กรุณาสีตลํ, กรุณาสีตลํ หทยํ อสฺสาติ กรุณาสีตลหทโย, ตํ กรุณาสีตลหทยํฯ
Tattha yassa vatthuttayassa vandanaṃ kattukāmo, tassa guṇātisayayogasandassanatthaṃ ‘‘karuṇāsītalahadaya’’ntiādinā gāthāttayamāha. Guṇātisayayogena hi vandanārahabhāvo, vandanārahe ca katā vandanā yathādhippetaṃ payojanaṃ sādhetīti. Tattha yassā desanāya saṃvaṇṇanaṃ kattukāmo. Sā na vinayadesanā viya karuṇāppadhānā, nāpi abhidhammadesanā viya paññāppadhānā , atha kho karuṇāpaññāppadhānāti tadubhayappadhānameva tāva sammāsambuddhassa thomanaṃ kātuṃ tammūlakattā sesaratanānaṃ ‘‘karuṇāsītalahadaya’’ntiādi vuttaṃ. Tattha kiratīti karuṇā, paradukkhaṃ vikkhipati apanetīti attho. Atha vā kiṇātīti karuṇā, paradukkhe sati kāruṇikaṃ hiṃsati vibādhatīti attho. Paradukkhe sati sādhūnaṃ kampanaṃ hadayakhedaṃ karotīti vā karuṇā. Atha vā kamiti sukhaṃ, taṃ rundhatīti karuṇā. Esā hi paradukkhāpanayanakāmatālakkhaṇā attasukhanirapekkhatāya kāruṇikānaṃ sukhaṃ rundhati vibandhatīti attho . Karuṇāya sītalaṃ karuṇāsītalaṃ, karuṇāsītalaṃ hadayaṃ assāti karuṇāsītalahadayo, taṃ karuṇāsītalahadayaṃ.
ตตฺถ กิญฺจาปิ ปเรสํ หิโตปสํหารสุขาทิอปริหานิจฺฉนสภาวตาย, พฺยาปาทารตีนํ อุชุวิปจฺจนีกตาย จ ปรสตฺตสนฺตานคตสนฺตาปวิเจฺฉทนาการปฺปวตฺติยา เมตฺตามุทิตานมฺปิ จิตฺตสีตลภาวการณตา อุปลพฺภติ, ตถาปิ ปรทุกฺขาปนยนาการปฺปวตฺติยา ปรูปตาปาสหนรสา อวิหิํสาภูตา กรุณาว วิเสเสน ภควโต จิตฺตสฺส จิตฺตปสฺสทฺธิ วิย สีติภาวนิมิตฺตนฺติ วุตฺตํ ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติฯ กรุณามุเขน วา เมตฺตามุทิตานมฺปิ หทยสีตลภาวการณตา วุตฺตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ อถ วา อสาธารณญาณวิเสสนิพนฺธนภูตา สาติสยํ นิรวเสสญฺจ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ วิย สวิสยพฺยาปิตาย มหากรุณาภาวํ อุปคตา กรุณาว ภควโต อติสเยน หทยสีตลภาวเหตูติ อาห ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติฯ อถ วา สติปิ เมตฺตามุทิตานํ สาติสเย หทยสีติภาวนิพนฺธนเตฺต สกลพุทฺธคุณวิเสสการณตาย ตาสมฺปิ การณนฺติ กรุณาว ภควโต ‘‘หทยสีตลภาวการณ’’นฺติ วุตฺตาฯ กรุณานิทานา หิ สเพฺพปิ พุทฺธคุณาฯ กรุณานุภาวนิพฺพาปิยมานสํสารทุกฺขสนฺตาปสฺส หิ ภควโต ปรทุกฺขาปนยนกามตาย อเนกานิปิ อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปานํ อกิลนฺตรูปเสฺสว นิรวเสสพุทฺธกรธมฺมสมฺภรณนิรตสฺส สมธิคตธมฺมาธิปเตยฺยสฺส จ สนฺนิหิเตสุปิ สตฺตสงฺขารสมุปนีตหทยูปตาปนิมิเตฺตสุ น อีสกมฺปิ จิตฺตสีติภาวสฺส อญฺญถตฺตมโหสีติฯ เอตสฺมิญฺจ อตฺถวิกเปฺป ตีสุปิ อวตฺถาสุ ภควโต กรุณา สงฺคหิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Tattha kiñcāpi paresaṃ hitopasaṃhārasukhādiaparihānicchanasabhāvatāya, byāpādāratīnaṃ ujuvipaccanīkatāya ca parasattasantānagatasantāpavicchedanākārappavattiyā mettāmuditānampi cittasītalabhāvakāraṇatā upalabbhati, tathāpi paradukkhāpanayanākārappavattiyā parūpatāpāsahanarasā avihiṃsābhūtā karuṇāva visesena bhagavato cittassa cittapassaddhi viya sītibhāvanimittanti vuttaṃ ‘‘karuṇāsītalahadaya’’nti. Karuṇāmukhena vā mettāmuditānampi hadayasītalabhāvakāraṇatā vuttāti daṭṭhabbaṃ. Atha vā asādhāraṇañāṇavisesanibandhanabhūtā sātisayaṃ niravasesañca sabbaññutaññāṇaṃ viya savisayabyāpitāya mahākaruṇābhāvaṃ upagatā karuṇāva bhagavato atisayena hadayasītalabhāvahetūti āha ‘‘karuṇāsītalahadaya’’nti. Atha vā satipi mettāmuditānaṃ sātisaye hadayasītibhāvanibandhanatte sakalabuddhaguṇavisesakāraṇatāya tāsampi kāraṇanti karuṇāva bhagavato ‘‘hadayasītalabhāvakāraṇa’’nti vuttā. Karuṇānidānā hi sabbepi buddhaguṇā. Karuṇānubhāvanibbāpiyamānasaṃsāradukkhasantāpassa hi bhagavato paradukkhāpanayanakāmatāya anekānipi asaṅkhyeyyāni kappānaṃ akilantarūpasseva niravasesabuddhakaradhammasambharaṇaniratassa samadhigatadhammādhipateyyassa ca sannihitesupi sattasaṅkhārasamupanītahadayūpatāpanimittesu na īsakampi cittasītibhāvassa aññathattamahosīti. Etasmiñca atthavikappe tīsupi avatthāsu bhagavato karuṇā saṅgahitāti daṭṭhabbaṃ.
ปชานาตีติ ปญฺญา, ยถาสภาวํ ปกาเรหิ ปฎิวิชฺฌตีติ อโตฺถฯ ปญฺญาว เญยฺยาวรณปฺปหานโต ปกาเรหิ ธมฺมสภาวโชตนเฎฺฐน ปโชฺชโตติ ปญฺญาปโชฺชโตฯ สวาสนปฺปหานโต วิเสเสน หตํ สมุคฺฆาติตํ วิหตํ, ปญฺญาปโชฺชเตน วิหตํ ปญฺญาปโชฺชตวิหตํฯ มุยฺหนฺติ เตน, สยํ วา มุยฺหติ, โมหนมตฺตเมว วา ตนฺติ โมโห, อวิชฺชา, เสฺวว วิสยสภาวปฎิจฺฉาทนโต อนฺธการสริกฺขตาย ตโม วิยาติ ตโม, ปญฺญาปโชฺชตวิหโต โมหตโม เอตสฺสาติ ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตโม, ตํ ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตมํฯ สเพฺพสมฺปิ หิ ขีณาสวานํ สติปิ ปญฺญาปโชฺชเตน อวิชฺชนฺธการสฺส วิหตภาเว สทฺธาวิมุเตฺตหิ วิย ทิฎฺฐิปฺปตฺตานํ สาวเกหิ ปเจฺจกสมฺพุเทฺธหิ จ สวาสนปฺปหาเนน สมฺมาสมฺพุทฺธานํ กิเลสปฺปหานสฺส วิเสโส วิชฺชตีติ สาติสเยน อวิชฺชาปหาเนน ภควนฺตํ โถเมโนฺต อาห ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติฯ
Pajānātīti paññā, yathāsabhāvaṃ pakārehi paṭivijjhatīti attho. Paññāva ñeyyāvaraṇappahānato pakārehi dhammasabhāvajotanaṭṭhena pajjototi paññāpajjoto. Savāsanappahānato visesena hataṃ samugghātitaṃ vihataṃ, paññāpajjotena vihataṃ paññāpajjotavihataṃ. Muyhanti tena, sayaṃ vā muyhati, mohanamattameva vā tanti moho, avijjā, sveva visayasabhāvapaṭicchādanato andhakārasarikkhatāya tamo viyāti tamo, paññāpajjotavihato mohatamo etassāti paññāpajjotavihatamohatamo, taṃ paññāpajjotavihatamohatamaṃ. Sabbesampi hi khīṇāsavānaṃ satipi paññāpajjotena avijjandhakārassa vihatabhāve saddhāvimuttehi viya diṭṭhippattānaṃ sāvakehi paccekasambuddhehi ca savāsanappahānena sammāsambuddhānaṃ kilesappahānassa viseso vijjatīti sātisayena avijjāpahānena bhagavantaṃ thomento āha ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti.
อถ วา อนฺตเรน ปโรปเทสํ อตฺตโน สนฺตาเน อจฺจนฺตํ อวิชฺชนฺธการวิคมสฺส นิพฺพตฺติตตฺตา, ตถา สพฺพญฺญุตาย พเลสุ จ วสีภาวสฺส สมธิคตตฺตา, ปรสนฺตติยญฺจ ธมฺมเทสนาติสยานุภาเวน สมฺมเทว ตสฺส ปวตฺติตตฺตา ภควาว วิเสสโต โมหตมวิคเมน โถเมตโพฺพติ อาห ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติฯ อิมสฺมิญฺจ อตฺถวิกเปฺป ‘‘ปญฺญาปโชฺชโต’’ติ ปเทน ภควโต ปฎิเวธปญฺญา วิย เทสนาปญฺญาปิ สามญฺญนิเทฺทเสน, เอกเสสนเยน วา สงฺคหิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Atha vā antarena paropadesaṃ attano santāne accantaṃ avijjandhakāravigamassa nibbattitattā, tathā sabbaññutāya balesu ca vasībhāvassa samadhigatattā, parasantatiyañca dhammadesanātisayānubhāvena sammadeva tassa pavattitattā bhagavāva visesato mohatamavigamena thometabboti āha ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti. Imasmiñca atthavikappe ‘‘paññāpajjoto’’ti padena bhagavato paṭivedhapaññā viya desanāpaññāpi sāmaññaniddesena, ekasesanayena vā saṅgahitāti daṭṭhabbaṃ.
อถ วา ภควโต ญาณสฺส เญยฺยปริยนฺติกตฺตา สกลเญยฺยธมฺมสภาวาวโพธนสมเตฺถน อนาวรณญาณสงฺขาเตน ปญฺญาปโชฺชเตน สพฺพเญยฺยธมฺมสภาวจฺฉาทกสฺส โมหนฺธการสฺส วิธมิตตฺตา อนญฺญสาธารโณ ภควโต โมหตมวินาโสติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติฯ เอตฺถ จ โมหตมวิธมนเนฺต อธิคตตฺตา อนาวรณญาณํ การณูปจาเรน สสนฺตาเน โมหตมวิธมนนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อภินีหารสมฺปตฺติยา สวาสนปฺปหานเมว หิ กิเลสานํ เญยฺยาวรณปฺปหานนฺติ, ปรสนฺตาเน ปน โมหตมวิธมนสฺส การณภาวโต อนาวรณญาณํ ‘‘โมหตมวิธมน’’นฺติ วุจฺจตีติฯ
Atha vā bhagavato ñāṇassa ñeyyapariyantikattā sakalañeyyadhammasabhāvāvabodhanasamatthena anāvaraṇañāṇasaṅkhātena paññāpajjotena sabbañeyyadhammasabhāvacchādakassa mohandhakārassa vidhamitattā anaññasādhāraṇo bhagavato mohatamavināsoti katvā vuttaṃ ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti. Ettha ca mohatamavidhamanante adhigatattā anāvaraṇañāṇaṃ kāraṇūpacārena sasantāne mohatamavidhamananti daṭṭhabbaṃ. Abhinīhārasampattiyā savāsanappahānameva hi kilesānaṃ ñeyyāvaraṇappahānanti, parasantāne pana mohatamavidhamanassa kāraṇabhāvato anāvaraṇañāṇaṃ ‘‘mohatamavidhamana’’nti vuccatīti.
กิํ ปน การณํ อวิชฺชาสมุคฺฆาโตเยเวโก ปหานสมฺปตฺติวเสน ภควโต โถมนานิมิตฺตํ คยฺหติ, น ปน สาติสยํ นิรวเสสกิเลสปฺปหานนฺติ? ตปฺปหานวจเนเนว ตเทกฎฺฐตาย สกลสํกิเลสคณสมุคฺฆาตสฺส โชติตภาวโตฯ น หิ โส ตาทิโส กิเลโส อตฺถิ, โย นิรวเสสอวิชฺชาปฺปหาเนน น ปหียตีติฯ
Kiṃ pana kāraṇaṃ avijjāsamugghātoyeveko pahānasampattivasena bhagavato thomanānimittaṃ gayhati, na pana sātisayaṃ niravasesakilesappahānanti? Tappahānavacaneneva tadekaṭṭhatāya sakalasaṃkilesagaṇasamugghātassa jotitabhāvato. Na hi so tādiso kileso atthi, yo niravasesaavijjāppahānena na pahīyatīti.
อถ วา วิชฺชา วิย สกลกุสลธมฺมสมุปฺปตฺติยา นิรวเสสากุสลธมฺมนิพฺพตฺติยา สํสารปฺปวตฺติยา จ อวิชฺชา ปธานการณนฺติ ตพฺพิฆาตวจเนน สกลสํกิเลสคณสมุคฺฆาโต วุโตฺตเยว โหตีติ วุตฺตํ ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติฯ
Atha vā vijjā viya sakalakusaladhammasamuppattiyā niravasesākusaladhammanibbattiyā saṃsārappavattiyā ca avijjā padhānakāraṇanti tabbighātavacanena sakalasaṃkilesagaṇasamugghāto vuttoyeva hotīti vuttaṃ ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti.
นรา จ อมรา จ นรามรา, สห นรามเรหีติ สนรามโร, สนรามโร จ โส โลโก จาติ สนรามรโลโกฯ ตสฺส ครูติ สนรามรโลกครุ, ตํ สนรามรโลกครุํฯ เอเตน เทวมนุสฺสานํ วิย ตทวสิฎฺฐสตฺตานมฺปิ ยถารหํ คุณวิเสสาวหตาย ภควโต อุปการิตํ ทเสฺสติฯ น เจตฺถ ปธานาปฺปธานภาโว โจเทตโพฺพฯ อโญฺญ หิ สทฺทกฺกโม, อโญฺญ อตฺถกฺกโมฯ เอทิเสสุ หิ สมาสปเทสุ ปธานมฺปิ อปฺปธานํ วิย นิทฺทิสียติ ยถา ‘‘สราชิกาย ปริสายา’’ติ (จูฬว. ๓๓๖)ฯ กามเญฺจตฺถ สตฺตสงฺขาโรกาสวเสน ติวิโธ โลโก, ครุภาวสฺส ปน อธิเปฺปตตฺตา ครุกรณสมตฺถเสฺสว ยุชฺชนโต สตฺตโลกสฺส วเสน อโตฺถ คเหตโพฺพฯ โส หิ โลกียนฺติ เอตฺถ ปุญฺญปาปานิ ตพฺพิปาโก จาติ ‘‘โลโก’’ติ วุจฺจติฯ อมรคฺคหเณน เจตฺถ อุปปตฺติเทวา อธิเปฺปตาฯ
Narā ca amarā ca narāmarā, saha narāmarehīti sanarāmaro, sanarāmaro ca so loko cāti sanarāmaraloko. Tassa garūti sanarāmaralokagaru, taṃ sanarāmaralokagaruṃ. Etena devamanussānaṃ viya tadavasiṭṭhasattānampi yathārahaṃ guṇavisesāvahatāya bhagavato upakāritaṃ dasseti. Na cettha padhānāppadhānabhāvo codetabbo. Añño hi saddakkamo, añño atthakkamo. Edisesu hi samāsapadesu padhānampi appadhānaṃ viya niddisīyati yathā ‘‘sarājikāya parisāyā’’ti (cūḷava. 336). Kāmañcettha sattasaṅkhārokāsavasena tividho loko, garubhāvassa pana adhippetattā garukaraṇasamatthasseva yujjanato sattalokassa vasena attho gahetabbo. So hi lokīyanti ettha puññapāpāni tabbipāko cāti ‘‘loko’’ti vuccati. Amaraggahaṇena cettha upapattidevā adhippetā.
อถ วา สมูหโตฺถ โลกสโทฺท สมุทายวเสน โลกียติ ปญฺญาปียตีติฯ สห นเรหีติ สนรา, สนรา จ เต อมรา จาติ สนรามรา, เตสํ โลโกติ สนรามรโลโกติ ปุริมนเยเนว โยเชตพฺพํฯ อมรสเทฺทน เจตฺถ วิสุทฺธิเทวาปิ สงฺคยฺหนฺติฯ เต หิ มรณาภาวโต ปรมตฺถโต อมราฯ นรามรานํเยว จ คหณํ อุกฺกฎฺฐนิเทฺทสวเสน ยถา ‘‘สตฺถา เทวมนุสฺสาน’’นฺติ (ที. นิ. ๑.๑๕๗)ฯ ตถา หิ สพฺพานตฺถปริหารปุพฺพงฺคมาย นิรวเสสหิตสุขวิธานตปฺปราย นิรติสยาย ปโยคสมฺปตฺติยา สเทวมนุสฺสาย ปชาย อจฺจนฺตูปการิตาย อปริมิตนิรุปมปฺปภาวคุณวิเสสสมงฺคิตาย จ สพฺพสตฺตุตฺตโม ภควา อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อปริมาณานํ สตฺตานํ อุตฺตมคารวฎฺฐานํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สนรามรโลกครุ’’นฺติฯ
Atha vā samūhattho lokasaddo samudāyavasena lokīyati paññāpīyatīti. Saha narehīti sanarā, sanarā ca te amarā cāti sanarāmarā, tesaṃ lokoti sanarāmaralokoti purimanayeneva yojetabbaṃ. Amarasaddena cettha visuddhidevāpi saṅgayhanti. Te hi maraṇābhāvato paramatthato amarā. Narāmarānaṃyeva ca gahaṇaṃ ukkaṭṭhaniddesavasena yathā ‘‘satthā devamanussāna’’nti (dī. ni. 1.157). Tathā hi sabbānatthaparihārapubbaṅgamāya niravasesahitasukhavidhānatapparāya niratisayāya payogasampattiyā sadevamanussāya pajāya accantūpakāritāya aparimitanirupamappabhāvaguṇavisesasamaṅgitāya ca sabbasattuttamo bhagavā aparimāṇāsu lokadhātūsu aparimāṇānaṃ sattānaṃ uttamagāravaṭṭhānaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘sanarāmaralokagaru’’nti.
โสภนํ คตํ คมนํ เอตสฺสาติ สุคโตฯ ภควโต หิ เวเนยฺยชนุปสงฺกมนํ เอกเนฺตน เตสํ หิตสุขนิปฺผาทนโต โสภนํ, ตถา ลกฺขณานุพฺยญฺชนปฎิมณฺฑิตรูปกายตาย ทุตวิลมฺพิต-ขลิตานุกฑฺฒน-นิปฺปีฬนุกฺกุฎิก-กุฎิลากุลตาทิ-โทสรหิต-มวหสิต-ราชหํส- วสภวารณ-มิคราชคมนํ กายคมนํ ญาณคมนญฺจ วิปุลนิมฺมลกรุณา-สติวีริยาทิ-คุณวิเสสสหิตมภินีหารโต ยาว มหาโพธิํ อนวชฺชตาย โสภนเมวาติฯ อถ วา สยมฺภุญาเณน สกลมปิ โลกํ ปริญฺญาภิสมยวเสน ปริชานโนฺต ญาเณน สมฺมา คโต อวคโตติ สุคโตฯ ตถา โลกสมุทยํ ปหานาภิสมยวเสน ปชหโนฺต อนุปฺปตฺติธมฺมตํ อาปาเทโนฺต สมฺมา คโต อตีโตติ สุคโต, โลกนิโรธํ นิพฺพานํ สจฺฉิกิริยาภิสมยวเสน สมฺมา คโต อธิคโตติ สุคโต, โลกนิโรธคามินิํ ปฎิปทํ ภาวนาภิสมยวเสน สมฺมา คโต ปฎิปโนฺนติ สุคโตฯ ‘‘โสตาปตฺติมเคฺคน เย กิเลสา ปหีนา, เต กิเลเส น ปุเนติ น ปเจฺจติ น ปจฺจาคจฺฉตีติ สุคโต’’ติอาทินา (มหานิ. ๓๘; จูฬนิ. ๒๗) นเยน อยมโตฺถ วิภาเวตโพฺพฯ อถ วา สุนฺทรํ ฐานํ สมฺมาสโมฺพธิํ, นิพฺพานเมว วา คโต อธิคโตติ สุคโตฯ ยสฺมา วา ภูตํ ตจฺฉํ อตฺถสํหิตํ เวเนยฺยานํ ยถารหํ กาลยุตฺตเมว จ ธมฺมํ ภาสติ, ตสฺมา สมฺมา คทติ วทตีติ สุคโต ท-การสฺส ต-การํ กตฺวาฯ อิติ โสภนคมนตาทีหิ สุคโต, ตํ สุคตํฯ
Sobhanaṃ gataṃ gamanaṃ etassāti sugato. Bhagavato hi veneyyajanupasaṅkamanaṃ ekantena tesaṃ hitasukhanipphādanato sobhanaṃ, tathā lakkhaṇānubyañjanapaṭimaṇḍitarūpakāyatāya dutavilambita-khalitānukaḍḍhana-nippīḷanukkuṭika-kuṭilākulatādi-dosarahita-mavahasita-rājahaṃsa- vasabhavāraṇa-migarājagamanaṃ kāyagamanaṃ ñāṇagamanañca vipulanimmalakaruṇā-sativīriyādi-guṇavisesasahitamabhinīhārato yāva mahābodhiṃ anavajjatāya sobhanamevāti. Atha vā sayambhuñāṇena sakalamapi lokaṃ pariññābhisamayavasena parijānanto ñāṇena sammā gato avagatoti sugato. Tathā lokasamudayaṃ pahānābhisamayavasena pajahanto anuppattidhammataṃ āpādento sammā gato atītoti sugato, lokanirodhaṃ nibbānaṃ sacchikiriyābhisamayavasena sammā gato adhigatoti sugato, lokanirodhagāminiṃ paṭipadaṃ bhāvanābhisamayavasena sammā gato paṭipannoti sugato. ‘‘Sotāpattimaggena ye kilesā pahīnā, te kilese na puneti na pacceti na paccāgacchatīti sugato’’tiādinā (mahāni. 38; cūḷani. 27) nayena ayamattho vibhāvetabbo. Atha vā sundaraṃ ṭhānaṃ sammāsambodhiṃ, nibbānameva vā gato adhigatoti sugato. Yasmā vā bhūtaṃ tacchaṃ atthasaṃhitaṃ veneyyānaṃ yathārahaṃ kālayuttameva ca dhammaṃ bhāsati, tasmā sammā gadati vadatīti sugato da-kārassa ta-kāraṃ katvā. Iti sobhanagamanatādīhi sugato, taṃ sugataṃ.
ปุญฺญปาปกเมฺมหิ อุปปชฺชนวเสน คนฺตพฺพโต คติโย, อุปปตฺติภววิเสสาฯ ตา ปน นิรยาทิวเสน ปญฺจวิธาฯ ตาหิ สกลสฺสปิ ภวคามิกมฺมสฺส อริยมคฺคาธิคเมน อวิปาการหภาวกรเณน นิวตฺติตตฺตา ภควา ปญฺจหิปิ คตีหิ สุฎฺฐุ มุโตฺต วิสํยุโตฺตติ อาห ‘‘คติวิมุตฺต’’นฺติฯ เอเตน ภควโต กตฺถจิปิ คติยา อปริยาปนฺนตํ ทเสฺสติ, ยโต ภควา ‘‘เทวาติเทโว’’ติ วุจฺจติฯ เตเนวาห –
Puññapāpakammehi upapajjanavasena gantabbato gatiyo, upapattibhavavisesā. Tā pana nirayādivasena pañcavidhā. Tāhi sakalassapi bhavagāmikammassa ariyamaggādhigamena avipākārahabhāvakaraṇena nivattitattā bhagavā pañcahipi gatīhi suṭṭhu mutto visaṃyuttoti āha ‘‘gativimutta’’nti. Etena bhagavato katthacipi gatiyā apariyāpannataṃ dasseti, yato bhagavā ‘‘devātidevo’’ti vuccati. Tenevāha –
‘‘เยน เทวูปปตฺยสฺส, คนฺธโพฺพ วา วิหงฺคโม;
‘‘Yena devūpapatyassa, gandhabbo vā vihaṅgamo;
ยกฺขตฺตํ เยน คเจฺฉยฺยํ, มนุสฺสตฺตญฺจ อพฺพเช;
Yakkhattaṃ yena gaccheyyaṃ, manussattañca abbaje;
เต มยฺหํ อาสวา ขีณา, วิทฺธสฺตา วินฬีกตา’’ติฯ (อ. นิ. ๔.๓๖);
Te mayhaṃ āsavā khīṇā, viddhastā vinaḷīkatā’’ti. (a. ni. 4.36);
ตํตํคติสํวตฺตนกานญฺหิ กมฺมกิเลสานํ อคฺคมเคฺคน โพธิมูเลเยว สุปฺปหีนตฺตา นตฺถิ ภควโต คติปริยาปนฺนตาติ อจฺจนฺตเมว ภควา สพฺพภวโยนิคติ-วิญฺญาณฎฺฐิติ-สตฺตาวาส-สตฺตนิกาเยหิ ปริมุโตฺต, ตํ คติวิมุตฺตํฯ วเนฺทติ นมามิ, โถเมมีติ วา อโตฺถฯ
Taṃtaṃgatisaṃvattanakānañhi kammakilesānaṃ aggamaggena bodhimūleyeva suppahīnattā natthi bhagavato gatipariyāpannatāti accantameva bhagavā sabbabhavayonigati-viññāṇaṭṭhiti-sattāvāsa-sattanikāyehi parimutto, taṃ gativimuttaṃ. Vandeti namāmi, thomemīti vā attho.
อถ วา คติวิมุตฺตนฺติ อนุปาทิเสสนิพฺพานธาตุปฺปตฺติยา ภควนฺตํ โถเมติฯ เอตฺถ หิ ทฺวีหิ อากาเรหิ ภควโต โถมนา เวทิตพฺพา อตฺตหิตสมฺปตฺติโต ปรหิตปฎิปตฺติโต จฯ เตสุ อตฺตหิตสมฺปตฺติ อนาวรณญาณาธิคมโต สวาสนานํ สเพฺพสํ กิเลสานํ อจฺจนฺตปฺปหานโต อนุปาทิเสสนิพฺพานปฺปตฺติโต จ เวทิตพฺพา, ปรหิตปฎิปตฺติ ลาภสกฺการาทินิรเปกฺขจิตฺตสฺส สพฺพทุกฺขนิยฺยานิกธมฺมเทสนโต วิรุเทฺธสุปิ นิจฺจํ หิตชฺฌาสยโต ญาณปริปากกาลาคมนโต จฯ สา ปเนตฺถ อาสยโต ปโยคโต จ ทุวิธา ปรหิตปฎิปตฺติ, ติวิธา จ อตฺตหิตสมฺปตฺติ ปกาสิตา โหติฯ กถํ? ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติ เอเตน อาสยโต ปรหิตปฎิปตฺติ, สมฺมาคทนเตฺถน สุคตสเทฺทน ปโยคโต ปรหิตปฎิปตฺติ, ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตมํ คติวิมุตฺต’’นฺติ เอเตหิ จตุสจฺจปฎิเวธเตฺถน จ สุคตสเทฺทน ติวิธาปิ อตฺตหิตสมฺปตฺติ, อวสิฎฺฐเฎฺฐน เตน ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติ เอเตน จาปิ สพฺพาปิ อตฺตหิตสมฺปตฺติปรหิตปฎิปตฺติ ปกาสิตา โหตีติฯ
Atha vā gativimuttanti anupādisesanibbānadhātuppattiyā bhagavantaṃ thometi. Ettha hi dvīhi ākārehi bhagavato thomanā veditabbā attahitasampattito parahitapaṭipattito ca. Tesu attahitasampatti anāvaraṇañāṇādhigamato savāsanānaṃ sabbesaṃ kilesānaṃ accantappahānato anupādisesanibbānappattito ca veditabbā, parahitapaṭipatti lābhasakkārādinirapekkhacittassa sabbadukkhaniyyānikadhammadesanato viruddhesupi niccaṃ hitajjhāsayato ñāṇaparipākakālāgamanato ca. Sā panettha āsayato payogato ca duvidhā parahitapaṭipatti, tividhā ca attahitasampatti pakāsitā hoti. Kathaṃ? ‘‘Karuṇāsītalahadaya’’nti etena āsayato parahitapaṭipatti, sammāgadanatthena sugatasaddena payogato parahitapaṭipatti, ‘‘paññāpajjotavihatamohatamaṃ gativimutta’’nti etehi catusaccapaṭivedhatthena ca sugatasaddena tividhāpi attahitasampatti, avasiṭṭhaṭṭhena tena ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti etena cāpi sabbāpi attahitasampattiparahitapaṭipatti pakāsitā hotīti.
อถ วา ตีหิ อากาเรหิ ภควโต โถมนา เวทิตพฺพา – เหตุโต ผลโต อุปการโต จฯ ตตฺถ เหตุ มหากรุณา, สา ปฐมปเทน ทสฺสิตาฯ ผลํ จตุพฺพิธํ ญาณสมฺปทา ปหานสมฺปทา อานุภาวสมฺปทา รูปกายสมฺปทา จาติฯ ตาสุ ญาณปหานสมฺปทา ทุติยปเทน สจฺจปฎิเวธเตฺถน จ สุคตสเทฺทน ปกาสิตา โหนฺติ, อานุภาวสมฺปทา ปน ตติยปเทน, รูปกายสมฺปทา ยถาวุตฺตกายคมนโสภนเตฺถน สุคตสเทฺทน ลกฺขณานุพฺยญฺชนปาริปูริยา วินา ตทภาวโตฯ อุปกาโร อนนฺตรํ อพาหิรํ กริตฺวา ติวิธยานมุเขน วิมุตฺติธมฺมเทสนาฯ โส สมฺมาคทนเตฺถน สุคตสเทฺทน ปกาสิโต โหตีติ เวทิตพฺพํฯ
Atha vā tīhi ākārehi bhagavato thomanā veditabbā – hetuto phalato upakārato ca. Tattha hetu mahākaruṇā, sā paṭhamapadena dassitā. Phalaṃ catubbidhaṃ ñāṇasampadā pahānasampadā ānubhāvasampadā rūpakāyasampadā cāti. Tāsu ñāṇapahānasampadā dutiyapadena saccapaṭivedhatthena ca sugatasaddena pakāsitā honti, ānubhāvasampadā pana tatiyapadena, rūpakāyasampadā yathāvuttakāyagamanasobhanatthena sugatasaddena lakkhaṇānubyañjanapāripūriyā vinā tadabhāvato. Upakāro anantaraṃ abāhiraṃ karitvā tividhayānamukhena vimuttidhammadesanā. So sammāgadanatthena sugatasaddena pakāsito hotīti veditabbaṃ.
ตตฺถ ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติ เอเตน สมฺมาสโมฺพธิยา มูลํ ทเสฺสติฯ มหากรุณาสโญฺจทิตมานโส หิ ภควา สํสารปงฺกโต สตฺตานํ สมุทฺธรณตฺถํ กตาภินีหาโร อนุปุเพฺพน ปารมิโย ปูเรตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อธิคโตติ กรุณา สมฺมาสโมฺพธิยา มูลํฯ ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติ เอเตน สมฺมาสโมฺพธิํ ทเสฺสติ ฯ อนาวรณญาณปทฎฺฐานญฺหิ มคฺคญาณํ, มคฺคญาณปทฎฺฐานญฺจ อนาวรณญาณํ ‘‘สมฺมาสโมฺพธี’’ติ วุจฺจตีติฯ สมฺมาคมนเตฺถน สุคตสเทฺทน สมฺมาสโมฺพธิยา ปฎิปตฺติํ ทเสฺสติ ลีนุทฺธจฺจปติฎฺฐานายูหนกามสุขลฺลิกตฺตกิลมถานุโยคสสฺสตุเจฺฉทาภินิเวสาทิ อนฺตทฺวยรหิตาย กรุณาปญฺญาปริคฺคหิตาย มชฺฌิมาย ปฎิปตฺติยา ปกาสนโต สุคตสทฺทสฺสฯ อิตเรหิ สมฺมาสโมฺพธิยา ปธานาปฺปธานเภทํ ปโยชนํ ทเสฺสติฯ สํสารมโหฆโต สตฺตสนฺตารณเญฺหตฺถ ปธานํ ปโยชนํ, ตทญฺญมปฺปธานํฯ เตสุ ปธาเนน ปรหิตปฎิปตฺติํ ทเสฺสติ, อิตเรน อตฺตหิตสมฺปตฺติํ, ตทุภเยน อตฺตหิตาย ปฎิปนฺนาทีสุ จตูสุ ปุคฺคเลสุ ภควโต จตุตฺถปุคฺคลภาวํ ทเสฺสติฯ เตน จ อนุตฺตรทกฺขิเณยฺยภาวํ อุตฺตมวนฺทนียภาวํ อตฺตโน จ วนฺทนกิริยาย เขตฺตงฺคตภาวํ ทเสฺสติฯ
Tattha ‘‘karuṇāsītalahadaya’’nti etena sammāsambodhiyā mūlaṃ dasseti. Mahākaruṇāsañcoditamānaso hi bhagavā saṃsārapaṅkato sattānaṃ samuddharaṇatthaṃ katābhinīhāro anupubbena pāramiyo pūretvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ adhigatoti karuṇā sammāsambodhiyā mūlaṃ. ‘‘Paññāpajjotavihatamohatama’’nti etena sammāsambodhiṃ dasseti . Anāvaraṇañāṇapadaṭṭhānañhi maggañāṇaṃ, maggañāṇapadaṭṭhānañca anāvaraṇañāṇaṃ ‘‘sammāsambodhī’’ti vuccatīti. Sammāgamanatthena sugatasaddena sammāsambodhiyā paṭipattiṃ dasseti līnuddhaccapatiṭṭhānāyūhanakāmasukhallikattakilamathānuyogasassatucchedābhinivesādi antadvayarahitāya karuṇāpaññāpariggahitāya majjhimāya paṭipattiyā pakāsanato sugatasaddassa. Itarehi sammāsambodhiyā padhānāppadhānabhedaṃ payojanaṃ dasseti. Saṃsāramahoghato sattasantāraṇañhettha padhānaṃ payojanaṃ, tadaññamappadhānaṃ. Tesu padhānena parahitapaṭipattiṃ dasseti, itarena attahitasampattiṃ, tadubhayena attahitāya paṭipannādīsu catūsu puggalesu bhagavato catutthapuggalabhāvaṃ dasseti. Tena ca anuttaradakkhiṇeyyabhāvaṃ uttamavandanīyabhāvaṃ attano ca vandanakiriyāya khettaṅgatabhāvaṃ dasseti.
เอตฺถ จ กรุณาคหเณน โลกิเยสุ มหคฺคตภาวปฺปตฺตาสาธารณคุณทีปนโต ภควโต สพฺพโลกิยคุณสมฺปตฺติ ทสฺสิตา โหติ, ปญฺญาคหเณน สพฺพญฺญุตญฺญาณปทฎฺฐานมคฺคญาณทีปนโต สพฺพโลกุตฺตรคุณสมฺปตฺติฯ ตทุภยคฺคหณสิโทฺธ หิ อโตฺถ ‘‘สนรามรโลกครุ’’นฺติอาทินา วิปญฺจียตีติฯ กรุณาคหเณน จ อุปคมนํ นิรุปกฺกิเลสํ ทเสฺสติ, ปญฺญาคหเณน อปคมนํฯ ตถา กรุณาคหเณน โลกสมญฺญานุรูปํ ภควโต ปวตฺติํ ทเสฺสติ โลกโวหารวิสยตฺตา กรุณาย, ปญฺญาคหเณน สมญฺญาย อนติธาวนํ สภาวานวโพเธน หิ ธมฺมานํ สมญฺญํ อติธาวิตฺวา สตฺตาทิปรามสนํ โหตีติฯ ตถา กรุณาคหเณน มหากรุณาสมาปตฺติวิหารํ ทเสฺสติ, ปญฺญาคหเณน ตีสุ กาเลสุ อปฺปฎิหตญาณํ จตุสจฺจญาณํ จตุปฎิสมฺภิทาญาณํ จตุเวสารชฺชญาณํฯ
Ettha ca karuṇāgahaṇena lokiyesu mahaggatabhāvappattāsādhāraṇaguṇadīpanato bhagavato sabbalokiyaguṇasampatti dassitā hoti, paññāgahaṇena sabbaññutaññāṇapadaṭṭhānamaggañāṇadīpanato sabbalokuttaraguṇasampatti. Tadubhayaggahaṇasiddho hi attho ‘‘sanarāmaralokagaru’’ntiādinā vipañcīyatīti. Karuṇāgahaṇena ca upagamanaṃ nirupakkilesaṃ dasseti, paññāgahaṇena apagamanaṃ. Tathā karuṇāgahaṇena lokasamaññānurūpaṃ bhagavato pavattiṃ dasseti lokavohāravisayattā karuṇāya, paññāgahaṇena samaññāya anatidhāvanaṃ sabhāvānavabodhena hi dhammānaṃ samaññaṃ atidhāvitvā sattādiparāmasanaṃ hotīti. Tathā karuṇāgahaṇena mahākaruṇāsamāpattivihāraṃ dasseti, paññāgahaṇena tīsu kālesu appaṭihatañāṇaṃ catusaccañāṇaṃ catupaṭisambhidāñāṇaṃ catuvesārajjañāṇaṃ.
กรุณาคหเณน มหากรุณาสมาปตฺติญาณสฺส คหิตตฺตา เสสาสาธารณญาณานิ, ฉ อภิญฺญา, อฎฺฐสุ ปริสาสุ อกมฺปนญาณานิ, ทส พลานิ, จุทฺทส พุทฺธญาณานิ, โสฬส ญาณจริยา, อฎฺฐารส พุทฺธธมฺมา, จตุจตฺตาลีส ญาณวตฺถูนิ, สตฺตสตฺตติญาณวตฺถูนีติ เอวมาทีนํ อเนเกสํ ปญฺญาปเภทานํ วเสน ญาณจารํ ทเสฺสติฯ ตถา กรุณาคหเณน จรณสมฺปตฺติํ, ปญฺญาคหเณน วิชฺชาสมฺปตฺติํฯ กรุณาคหเณน อตฺตาธิปติตา, ปญฺญาคหเณน ธมฺมาธิปติตาฯ กรุณาคหเณน โลกนาถภาโว, ปญฺญาคหเณน อตฺตนาถภาโวฯ ตถา กรุณาคหเณน ปุพฺพการิภาโว, ปญฺญาคหเณน กตญฺญุตาฯ ตถา กรุณาคหเณน อปรนฺตปตา, ปญฺญาคหเณน อนตฺตนฺตปตาฯ กรุณาคหเณน วา พุทฺธกรธมฺมสิทฺธิ, ปญฺญาคหเณน พุทฺธภาวสิทฺธิฯ ตถา กรุณาคหเณน ปเรสํ ตารณํ, ปญฺญาคหเณน สยํ ตรณํฯ ตถา กรุณาคหเณน สพฺพสเตฺตสุ อนุคฺคหจิตฺตตา, ปญฺญาคหเณน สพฺพธเมฺมสุ วิรตฺตจิตฺตตา ทสฺสิตา โหติฯ
Karuṇāgahaṇena mahākaruṇāsamāpattiñāṇassa gahitattā sesāsādhāraṇañāṇāni, cha abhiññā, aṭṭhasu parisāsu akampanañāṇāni, dasa balāni, cuddasa buddhañāṇāni, soḷasa ñāṇacariyā, aṭṭhārasa buddhadhammā, catucattālīsa ñāṇavatthūni, sattasattatiñāṇavatthūnīti evamādīnaṃ anekesaṃ paññāpabhedānaṃ vasena ñāṇacāraṃ dasseti. Tathā karuṇāgahaṇena caraṇasampattiṃ, paññāgahaṇena vijjāsampattiṃ. Karuṇāgahaṇena attādhipatitā, paññāgahaṇena dhammādhipatitā. Karuṇāgahaṇena lokanāthabhāvo, paññāgahaṇena attanāthabhāvo. Tathā karuṇāgahaṇena pubbakāribhāvo, paññāgahaṇena kataññutā. Tathā karuṇāgahaṇena aparantapatā, paññāgahaṇena anattantapatā. Karuṇāgahaṇena vā buddhakaradhammasiddhi, paññāgahaṇena buddhabhāvasiddhi. Tathā karuṇāgahaṇena paresaṃ tāraṇaṃ, paññāgahaṇena sayaṃ taraṇaṃ. Tathā karuṇāgahaṇena sabbasattesu anuggahacittatā, paññāgahaṇena sabbadhammesu virattacittatā dassitā hoti.
สเพฺพสญฺจ พุทฺธคุณานํ กรุณา อาทิ ตนฺนิทานภาวโต, ปญฺญา ปริโยสานํ ตโต อุตฺตริ กรณียาภาวโตฯ อิติ อาทิปริโยสานทสฺสเนน สเพฺพ พุทฺธคุณา ทสฺสิตา โหนฺติฯ ตถา กรุณาคหเณน สีลกฺขนฺธปุพฺพงฺคโม สมาธิกฺขโนฺธ ทสฺสิโต โหติฯ กรุณานิทานญฺหิ สีลํ ตโต ปาณาติปาตาทิวิรติปฺปวตฺติโต, สา จ ฌานตฺตยสมฺปโยคินีติฯ ปญฺญาวจเนน ปญฺญากฺขโนฺธฯ สีลญฺจ สพฺพพุทฺธคุณานํ อาทิ, สมาธิ มเชฺฌ, ปญฺญา ปริโยสานนฺติ เอวมฺปิ อาทิมชฺฌปริโยสานกลฺยาณทสฺสเนน สเพฺพ พุทฺธคุณา ทสฺสิตา โหนฺติ นยโต ทสฺสิตตฺตาฯ เอโส เอว หิ นิรวเสสโต พุทฺธคุณานํ ทสฺสนุปาโย, ยทิทํ นยคฺคาหณํฯ อญฺญถา โก นาม สมโตฺถ ภควโต คุเณ อนุปทํ นิรวเสสโต ทเสฺสตุํฯ เตเนวาห –
Sabbesañca buddhaguṇānaṃ karuṇā ādi tannidānabhāvato, paññā pariyosānaṃ tato uttari karaṇīyābhāvato. Iti ādipariyosānadassanena sabbe buddhaguṇā dassitā honti. Tathā karuṇāgahaṇena sīlakkhandhapubbaṅgamo samādhikkhandho dassito hoti. Karuṇānidānañhi sīlaṃ tato pāṇātipātādiviratippavattito, sā ca jhānattayasampayoginīti. Paññāvacanena paññākkhandho. Sīlañca sabbabuddhaguṇānaṃ ādi, samādhi majjhe, paññā pariyosānanti evampi ādimajjhapariyosānakalyāṇadassanena sabbe buddhaguṇā dassitā honti nayato dassitattā. Eso eva hi niravasesato buddhaguṇānaṃ dassanupāyo, yadidaṃ nayaggāhaṇaṃ. Aññathā ko nāma samattho bhagavato guṇe anupadaṃ niravasesato dassetuṃ. Tenevāha –
‘‘พุโทฺธปิ พุทฺธสฺส ภเณยฺย วณฺณํ;
‘‘Buddhopi buddhassa bhaṇeyya vaṇṇaṃ;
กปฺปมฺปิ เจ อญฺญมภาสมาโนฯ
Kappampi ce aññamabhāsamāno.
ขีเยถ กโปฺป จิรทีฆมนฺตเร;
Khīyetha kappo ciradīghamantare;
วโณฺณ น ขีเยถ ตถาคตสฺสา’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๓๐๕; ๓.๑๔๑; ม. นิ. อฎฺฐ. ๒.๔๒๕; อุทา. อฎฺฐ. ๕๓; อป. อฎฺฐ. ๒.๗.๒๐; พุ. วํ. อฎฺฐ. ๔.๔; จริยา. อฎฺฐ. ๓.๑๒๒ ปกิณฺณกกถา);
Vaṇṇo na khīyetha tathāgatassā’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 1.305; 3.141; ma. ni. aṭṭha. 2.425; udā. aṭṭha. 53; apa. aṭṭha. 2.7.20; bu. vaṃ. aṭṭha. 4.4; cariyā. aṭṭha. 3.122 pakiṇṇakakathā);
เตเนว จ อายสฺมตา สาริปุตฺตเตฺถเรนปิ พุทฺธคุณปริเจฺฉทนํ ปติ อนุยุเตฺตน ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ติ ปฎิกฺขิปิตฺวา ‘‘อปิจ เม, ภเนฺต, ธมฺมนฺวโย วิทิโต’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๔๖) วุตฺตํฯ
Teneva ca āyasmatā sāriputtattherenapi buddhaguṇaparicchedanaṃ pati anuyuttena ‘‘no hetaṃ, bhante’’ti paṭikkhipitvā ‘‘apica me, bhante, dhammanvayo vidito’’ti (dī. ni. 2.146) vuttaṃ.
๒. เอวํ สเงฺขเปน สกลสพฺพญฺญุคุเณหิ ภควนฺตํ อภิตฺถวิตฺวา อิทานิ สทฺธมฺมํ โถเมตุํ ‘‘พุโทฺธปี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ พุโทฺธติ กตฺตุนิเทฺทโสฯ พุทฺธภาวนฺติ กมฺมนิเทฺทโสฯ ภาเวตฺวา สจฺฉิกตฺวาติ จ ปุพฺพกาลกิริยานิเทฺทโส ฯ ยนฺติ อนิยมโต กมฺมนิเทฺทโสฯ อุปคโตติ อปรกาลกิริยานิเทฺทโสฯ วเนฺทติ กิริยานิเทฺทโสฯ ตนฺติ นิยมนํฯ ธมฺมนฺติ วนฺทนกิริยาย กมฺมนิเทฺทโสฯ คตมลํ อนุตฺตรนฺติ จ ตพฺพิเสสนํฯ
2. Evaṃ saṅkhepena sakalasabbaññuguṇehi bhagavantaṃ abhitthavitvā idāni saddhammaṃ thometuṃ ‘‘buddhopī’’tiādimāha. Tattha buddhoti kattuniddeso. Buddhabhāvanti kammaniddeso. Bhāvetvā sacchikatvāti ca pubbakālakiriyāniddeso . Yanti aniyamato kammaniddeso. Upagatoti aparakālakiriyāniddeso. Vandeti kiriyāniddeso. Tanti niyamanaṃ. Dhammanti vandanakiriyāya kammaniddeso. Gatamalaṃ anuttaranti ca tabbisesanaṃ.
ตตฺถ พุทฺธสทฺทสฺส ตาว ‘‘พุชฺฌิตา สจฺจานีติ พุโทฺธ, โพเธตา ปชายาติ พุโทฺธ’’ติอาทินา นิเทฺทสนเยน (มหานิ. ๑๙๒; จูฬนิ. ๙๗) อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อถ วา สวาสนาย อญฺญาณนิทฺทาย อจฺจนฺตวิคมโต, พุทฺธิยา วา วิกสิตภาวโต พุทฺธวาติ พุโทฺธ ชาครณวิกสนตฺถวเสนฯ อถ วา กสฺสจิปิ เญยฺยธมฺมสฺส อนวพุทฺธสฺส อภาเวน เญยฺยวิเสสสฺส กมฺมภาเวน อคฺคหณโต กมฺมวจนิจฺฉาย อภาเวน อวคมนตฺถวเสเนว กตฺตุนิเทฺทโส ลพฺภตีติ พุทฺธวาติ พุโทฺธ ยถา ‘‘ทิกฺขิโต น ททาตี’’ติฯ อตฺถโต ปน ปารมิตาปริภาวิโต สยมฺภุญาเณน สห วาสนาย วิหตวิทฺธสฺตนิรวเสสกิเลโส มหากรุณาสพฺพญฺญุตญฺญาณาทิอปริเมยฺยคุณคณาธาโร ขนฺธสนฺตาโน พุโทฺธฯ ยถาห –
Tattha buddhasaddassa tāva ‘‘bujjhitā saccānīti buddho, bodhetā pajāyāti buddho’’tiādinā niddesanayena (mahāni. 192; cūḷani. 97) attho veditabbo. Atha vā savāsanāya aññāṇaniddāya accantavigamato, buddhiyā vā vikasitabhāvato buddhavāti buddho jāgaraṇavikasanatthavasena. Atha vā kassacipi ñeyyadhammassa anavabuddhassa abhāvena ñeyyavisesassa kammabhāvena aggahaṇato kammavacanicchāya abhāvena avagamanatthavaseneva kattuniddeso labbhatīti buddhavāti buddho yathā ‘‘dikkhito na dadātī’’ti. Atthato pana pāramitāparibhāvito sayambhuñāṇena saha vāsanāya vihataviddhastaniravasesakileso mahākaruṇāsabbaññutaññāṇādiaparimeyyaguṇagaṇādhāro khandhasantāno buddho. Yathāha –
‘‘พุโทฺธติ โย โส ภควา สยมฺภูฯ อนาจริยโก ปุเพฺพ อนนุสฺสุเตสุ ธเมฺมสุ สามํ สจฺจานิ อภิสมฺพุชฺฌิ, ตตฺถ จ สพฺพญฺญุตํ ปโตฺต พเลสุ จ วสีภาว’’นฺติ (มหานิ. ๑๙๒; จูฬนิ. ๙๗; ปฎิ. ม. ๓.๑๖๑)ฯ
‘‘Buddhoti yo so bhagavā sayambhū. Anācariyako pubbe ananussutesu dhammesu sāmaṃ saccāni abhisambujjhi, tattha ca sabbaññutaṃ patto balesu ca vasībhāva’’nti (mahāni. 192; cūḷani. 97; paṭi. ma. 3.161).
อปิ-สโทฺท สมฺภาวเนฯ เตน ‘‘เอวํ คุณวิเสสยุโตฺต โสปิ นาม ภควา’’ติ วกฺขมานคุเณ ธเมฺม สมฺภาวนํ ทีเปติฯ พุทฺธภาวนฺติ สมฺมาสโมฺพธิํฯ ภาเวตฺวาติ อุปฺปาเทตฺวา วเฑฺฒตฺวา จฯ สจฺฉิกตฺวาติ ปจฺจกฺขํ กตฺวาฯ อุปคโตติ ปโตฺต, อธิคโตติ อโตฺถฯ เอตสฺส ‘‘พุทฺธภาว’’นฺติ เอเตน สมฺพโนฺธฯ คตมลนฺติ วิคตมลํ, นิโทฺทสนฺติ อโตฺถฯ วเนฺทติ ปณมามิ, โถเมมิ วาฯ อนุตฺตรนฺติ อุตฺตรรหิตํ, โลกุตฺตรนฺติ อโตฺถฯ ธมฺมนฺติ ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชมาเน อปายโต จ สํสารโต จ อปตมาเน กตฺวา ธาเรตีติ ธโมฺมฯ อยเญฺหตฺถ สเงฺขปโตฺถ – เอวํ วิวิธคุณคณสมนฺนาคโต พุโทฺธปิ ภควา ยํ อริยมคฺคสงฺขาตํ ธมฺมํ ภาเวตฺวา, ผลนิพฺพานสงฺขาตํ ปน สจฺฉิกตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อธิคโต, ตเมตํ พุทฺธานมฺปิ พุทฺธภาวเหตุภูตํ สพฺพโทสมลรหิตํ อตฺตโน อุตฺตริตราภาเวน อนุตฺตรํ ปฎิเวธสทฺธมฺมํ นมามีติฯ ปริยตฺติสทฺธมฺมสฺสาปิ ตปฺปกาสนตฺตา อิธ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ
Api-saddo sambhāvane. Tena ‘‘evaṃ guṇavisesayutto sopi nāma bhagavā’’ti vakkhamānaguṇe dhamme sambhāvanaṃ dīpeti. Buddhabhāvanti sammāsambodhiṃ. Bhāvetvāti uppādetvā vaḍḍhetvā ca. Sacchikatvāti paccakkhaṃ katvā. Upagatoti patto, adhigatoti attho. Etassa ‘‘buddhabhāva’’nti etena sambandho. Gatamalanti vigatamalaṃ, niddosanti attho. Vandeti paṇamāmi, thomemi vā. Anuttaranti uttararahitaṃ, lokuttaranti attho. Dhammanti yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjamāne apāyato ca saṃsārato ca apatamāne katvā dhāretīti dhammo. Ayañhettha saṅkhepattho – evaṃ vividhaguṇagaṇasamannāgato buddhopi bhagavā yaṃ ariyamaggasaṅkhātaṃ dhammaṃ bhāvetvā, phalanibbānasaṅkhātaṃ pana sacchikatvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ adhigato, tametaṃ buddhānampi buddhabhāvahetubhūtaṃ sabbadosamalarahitaṃ attano uttaritarābhāvena anuttaraṃ paṭivedhasaddhammaṃ namāmīti. Pariyattisaddhammassāpi tappakāsanattā idha saṅgaho daṭṭhabbo.
อถ วา ‘‘อภิธมฺมนยสมุทฺทํ อธิคจฺฉิ, ตีณิ ปิฎกานิ สมฺมสี’’ติ จ อฎฺฐกถายํ วุตฺตตฺตา ปริยตฺติธมฺมสฺสปิ สจฺฉิกิริยาสมฺมสนปริยาโย ลพฺภตีติ โสปิ อิธ วุโตฺต เอวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตถา ‘‘ยํ ธมฺมํ ภาเวตฺวา สจฺจิกตฺวา’’ติ จ วุตฺตตฺตา พุทฺธกรธมฺมภูตาหิ ปารมิตาหิ สห ปุพฺพภาเค อธิสีลสิกฺขาทโยปิ อิธ ธมฺมสเทฺทน สงฺคหิตาติ เวทิตพฺพํฯ ตาปิ หิ มลปฎิปกฺขตาย คตมลา อนญฺญสาธารณตาย อนุตฺตรา จาติฯ ตถา หิ สตฺตานํ สกลวฎฺฎทุกฺขนิสฺสรณตฺถาย กตมหาภินีหาโร มหากรุณาธิวาสเปสลชฺฌาสโย ปญฺญาวิเสสปริโธตนิมฺมลานํ ทานทมสํยมาทีนํ อุตฺตมธมฺมานํ สตสหสฺสาธิกานิ กปฺปานํ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ สกฺกจฺจํ นิรนฺตรํ นิรวเสสานํ ภาวนาปจฺจกฺขกรเณหิ กมฺมาทีสุ อธิคตวสีภาโว อจฺฉริยาจิเนฺตยฺยมหานุภาโว อธิสีลาธิจิตฺตานํ ปรมุกฺกํสปารมิปฺปโตฺต ภควา ปจฺจยากาเร จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสมุเขน มหาวชิรญาณํ เปเสตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธติฯ
Atha vā ‘‘abhidhammanayasamuddaṃ adhigacchi, tīṇi piṭakāni sammasī’’ti ca aṭṭhakathāyaṃ vuttattā pariyattidhammassapi sacchikiriyāsammasanapariyāyo labbhatīti sopi idha vutto evāti daṭṭhabbaṃ. Tathā ‘‘yaṃ dhammaṃ bhāvetvā saccikatvā’’ti ca vuttattā buddhakaradhammabhūtāhi pāramitāhi saha pubbabhāge adhisīlasikkhādayopi idha dhammasaddena saṅgahitāti veditabbaṃ. Tāpi hi malapaṭipakkhatāya gatamalā anaññasādhāraṇatāya anuttarā cāti. Tathā hi sattānaṃ sakalavaṭṭadukkhanissaraṇatthāya katamahābhinīhāro mahākaruṇādhivāsapesalajjhāsayo paññāvisesaparidhotanimmalānaṃ dānadamasaṃyamādīnaṃ uttamadhammānaṃ satasahassādhikāni kappānaṃ cattāri asaṅkhyeyyāni sakkaccaṃ nirantaraṃ niravasesānaṃ bhāvanāpaccakkhakaraṇehi kammādīsu adhigatavasībhāvo acchariyācinteyyamahānubhāvo adhisīlādhicittānaṃ paramukkaṃsapāramippatto bhagavā paccayākāre catuvīsatikoṭisatasahassamukhena mahāvajirañāṇaṃ pesetvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddhoti.
เอตฺถ จ ‘‘ภาเวตฺวา’’ติ เอเตน วิชฺชาสมฺปทาย ธมฺมํ โถเมติ, ‘‘สจฺฉิกตฺวา’’ติ เอเตน วิมุตฺติสมฺปทายฯ ตถา ปฐเมน ฌานสมฺปทาย, ทุติเยน วิโมกฺขสมฺปทายฯ ปฐเมน วา สมาธิสมฺปทาย, ทุติเยน สมาปตฺติสมฺปทายฯ อถ วา ปฐเมน ขเยญาณภาเวน, ทุติเยน อนุปฺปาเทญาณภาเวนฯ ปุริเมน วา วิชฺชูปมตาย, ทุติเยน วชิรูปมตายฯ ปุริเมน วา วิราคสมฺปตฺติยา, ทุติเยน นิโรธสมฺปตฺติยาฯ ตถา ปฐเมน นิยฺยานภาเวน, ทุติเยน นิสฺสฺสรณภาเวนฯ ปฐเมน วา เหตุภาเวน, ทุติเยน อสงฺขตภาเวนฯ ปฐเมน วา ทสฺสนภาเวน, ทุติเยน วิเวกภาเวนฯ ปฐเมน วา อธิปติภาเวน, ทุติเยน อมตภาเวน ธมฺมํ โถเมติฯ อถ วา ‘‘ยํ ธมฺมํ ภาเวตฺวา พุทฺธภาวํ อุปคโต’’ติ เอเตน สฺวากฺขาตตาย ธมฺมํ โถเมติฯ ‘‘สจฺฉิกตฺวา’’ติ เอเตน สนฺทิฎฺฐิกตายฯ ตถา ปุริเมน อกาลิกตาย, ปจฺฉิเมน เอหิปสฺสิกตายฯ ปุริเมน วา โอปเนยฺยิกตาย, ปจฺฉิเมน ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺพตาย ธมฺมํ โถเมติฯ ‘‘คตมล’’นฺติ อิมินา สํกิเลสาภาวทีปเนน ธมฺมสฺส ปริสุทฺธตํ ทเสฺสติ, ‘‘อนุตฺตร’’นฺติ เอเตน อญฺญสฺส วิสิฎฺฐสฺส อภาวทีปเนน วิปุลปริปุณฺณตํฯ ปฐเมน วา ปหานสมฺปทํ ธมฺมสฺส ทเสฺสติ, ทุติเยน สภาวสมฺปทํฯ ภาเวตพฺพตาย วา ธมฺมสฺส คตมลภาโว โยเชตโพฺพ ฯ ภาวนาคุเณน หิ โส โทสานํ สมุคฺฆาตโก โหตีติฯ สจฺฉิกาตพฺพภาเวน อนุตฺตรภาโว โยเชตโพฺพฯ สจฺฉิกิริยานิพฺพตฺติโต หิ ตทุตฺตริกรณียาภาวโต อนญฺญสาธารณตาย อนุตฺตโรติฯ ตถา ‘‘ภาเวตฺวา’’ติ เอเตน สห ปุพฺพภาคสีลาทีหิ เสกฺขา สีลสมาธิปญฺญากฺขนฺธา ทสฺสิตา โหนฺติ, ‘‘สจฺฉิกตฺวา’’ติ เอเตน สห อสงฺขตาย ธาตุยา อเสกฺขา สีลสมาธิปญฺญากฺขนฺธา ทสฺสิตา โหนฺตีติฯ
Ettha ca ‘‘bhāvetvā’’ti etena vijjāsampadāya dhammaṃ thometi, ‘‘sacchikatvā’’ti etena vimuttisampadāya. Tathā paṭhamena jhānasampadāya, dutiyena vimokkhasampadāya. Paṭhamena vā samādhisampadāya, dutiyena samāpattisampadāya. Atha vā paṭhamena khayeñāṇabhāvena, dutiyena anuppādeñāṇabhāvena. Purimena vā vijjūpamatāya, dutiyena vajirūpamatāya. Purimena vā virāgasampattiyā, dutiyena nirodhasampattiyā. Tathā paṭhamena niyyānabhāvena, dutiyena nisssaraṇabhāvena. Paṭhamena vā hetubhāvena, dutiyena asaṅkhatabhāvena. Paṭhamena vā dassanabhāvena, dutiyena vivekabhāvena. Paṭhamena vā adhipatibhāvena, dutiyena amatabhāvena dhammaṃ thometi. Atha vā ‘‘yaṃ dhammaṃ bhāvetvā buddhabhāvaṃ upagato’’ti etena svākkhātatāya dhammaṃ thometi. ‘‘Sacchikatvā’’ti etena sandiṭṭhikatāya. Tathā purimena akālikatāya, pacchimena ehipassikatāya. Purimena vā opaneyyikatāya, pacchimena paccattaṃ veditabbatāya dhammaṃ thometi. ‘‘Gatamala’’nti iminā saṃkilesābhāvadīpanena dhammassa parisuddhataṃ dasseti, ‘‘anuttara’’nti etena aññassa visiṭṭhassa abhāvadīpanena vipulaparipuṇṇataṃ. Paṭhamena vā pahānasampadaṃ dhammassa dasseti, dutiyena sabhāvasampadaṃ. Bhāvetabbatāya vā dhammassa gatamalabhāvo yojetabbo . Bhāvanāguṇena hi so dosānaṃ samugghātako hotīti. Sacchikātabbabhāvena anuttarabhāvo yojetabbo. Sacchikiriyānibbattito hi taduttarikaraṇīyābhāvato anaññasādhāraṇatāya anuttaroti. Tathā ‘‘bhāvetvā’’ti etena saha pubbabhāgasīlādīhi sekkhā sīlasamādhipaññākkhandhā dassitā honti, ‘‘sacchikatvā’’ti etena saha asaṅkhatāya dhātuyā asekkhā sīlasamādhipaññākkhandhā dassitā hontīti.
๓. เอวํ สเงฺขเปเนว สพฺพธมฺมคุเณหิ สทฺธมฺมํ อภิตฺถวิตฺวา อิทานิ อริยสงฺฆํ โถเมตุํ ‘‘สุคตสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สุคตสฺสาติ สมฺพนฺธนิเทฺทโส, ตสฺส ‘‘ปุตฺตาน’’นฺติ เอเตน สมฺพโนฺธฯ โอรสานนฺติ ปุตฺตวิเสสนํฯ มารเสนมถนานนฺติ โอรสปุตฺตภาเว การณนิเทฺทโสฯ เตน กิเลสปฺปหานเมว ภควโต โอรสปุตฺตภาเว การณํ อนุชานาตีติ ทเสฺสติฯ อฎฺฐนฺนนฺติ คณนปริเจฺฉทนิเทฺทโสฯ เตน สติปิ เตสํ สตฺตวิเสสภาเวน อเนกสหสฺสสงฺขาภาเว อิมํ คณนปริเจฺฉทํ นาติวตฺตนฺตีติ ทเสฺสติ มคฺคฎฺฐผลฎฺฐภาวานาติวตฺตนโตฯ สมูหนฺติ สมุทายนิเทฺทโสฯ อริยสงฺฆนฺติ คุณวิสิฎฺฐสงฺฆาฎภาวนิเทฺทโสฯ เตน อสภิปิ อริยปุคฺคลานํ กายสามคฺคิยํ อริยสงฺฆภาวํ ทเสฺสติ ทิฎฺฐิสีลสามเญฺญน สํหตภาวโตฯ
3. Evaṃ saṅkhepeneva sabbadhammaguṇehi saddhammaṃ abhitthavitvā idāni ariyasaṅghaṃ thometuṃ ‘‘sugatassā’’tiādimāha. Tattha sugatassāti sambandhaniddeso, tassa ‘‘puttāna’’nti etena sambandho. Orasānanti puttavisesanaṃ. Mārasenamathanānanti orasaputtabhāve kāraṇaniddeso. Tena kilesappahānameva bhagavato orasaputtabhāve kāraṇaṃ anujānātīti dasseti. Aṭṭhannanti gaṇanaparicchedaniddeso. Tena satipi tesaṃ sattavisesabhāvena anekasahassasaṅkhābhāve imaṃ gaṇanaparicchedaṃ nātivattantīti dasseti maggaṭṭhaphalaṭṭhabhāvānātivattanato. Samūhanti samudāyaniddeso. Ariyasaṅghanti guṇavisiṭṭhasaṅghāṭabhāvaniddeso. Tena asabhipi ariyapuggalānaṃ kāyasāmaggiyaṃ ariyasaṅghabhāvaṃ dasseti diṭṭhisīlasāmaññena saṃhatabhāvato.
ตตฺถ อุรสิ ภวา ชาตา สํวทฺธา จ โอรสาฯ ยถา หิ สตฺตานํ โอรสปุตฺตา อตฺตชาตตาย ปิตุ สนฺตกสฺส ทายชฺชสฺส วิเสเสน ภาคิโน โหนฺติ, เอวเมว เตปิ อริยปุคฺคลา สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ธมฺมสฺสวนเนฺต อริยาย ชาติยา ชาตตาย ภควโต สนฺตกสฺส วิมุตฺติสุขสฺส อริยธมฺมรตนสฺส จ เอกนฺตภาคิโนติ โอรสา วิย โอรสาฯ อถ วา ภควโต ธมฺมเทสนานุภาเวน อริยภูมิํ โอกฺกมมานา โอกฺกนฺตา จ อริยสาวกา ภควโต อุเรน วายามชนิตาภิชาติตาย นิปฺปริยาเยน ‘‘โอรสปุตฺตา’’ติ วตฺตพฺพตํ อรหนฺติฯ สาวเกหิ ปวตฺติยมานาปิ หิ ธมฺมเทสนา ‘‘ภควโต ธมฺมเทสนา’’อิเจฺจว วุจฺจติ ตํมูลิกตฺตา ลกฺขณาทิวิเสสาภาวโต จฯ
Tattha urasi bhavā jātā saṃvaddhā ca orasā. Yathā hi sattānaṃ orasaputtā attajātatāya pitu santakassa dāyajjassa visesena bhāgino honti, evameva tepi ariyapuggalā sammāsambuddhassa dhammassavanante ariyāya jātiyā jātatāya bhagavato santakassa vimuttisukhassa ariyadhammaratanassa ca ekantabhāginoti orasā viya orasā. Atha vā bhagavato dhammadesanānubhāvena ariyabhūmiṃ okkamamānā okkantā ca ariyasāvakā bhagavato urena vāyāmajanitābhijātitāya nippariyāyena ‘‘orasaputtā’’ti vattabbataṃ arahanti. Sāvakehi pavattiyamānāpi hi dhammadesanā ‘‘bhagavato dhammadesanā’’icceva vuccati taṃmūlikattā lakkhaṇādivisesābhāvato ca.
ยทิปิ อริยสาวกานํ อริยมคฺคาธิคมสมเย ภควโต วิย ตทนฺตราย กรณตฺถํ เทวปุตฺตมาโร, มารวาหินี วา น เอกเนฺตน อปสาเทติ, เตหิ ปน อปสาเทตพฺพตาย การเณ วิมถิเต เตปิ วิมถิตา เอว นาม โหนฺตีติ อาห – ‘‘มารเสนมถนาน’’นฺติฯ อิมสฺมิํ ปนเตฺถ ‘‘มารมารเสนมถนาน’’นฺติ วตฺตเพฺพ ‘‘มารเสนมถนาน’’นฺติ เอกเทสสรูเปกเสโส กโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ อถ วา ขนฺธาภิสงฺขารมารานํ วิย เทวปุตฺตมารสฺสปิ คุณมารเณ สหายภาวูปคมนโต กิเลสพลกาโย ‘‘เสนา’’ติ วุจฺจติฯ ยถาห ‘‘กามา เต ปฐมา เสนา’’ติอาทิ (สุ. นิ. ๔๓๘; มหานิ. ๒๘, ๖๘, ๑๔๙)ฯ สา จ เตหิ ทิยฑฺฒสหสฺสเภทา อนนฺตเภทา วา กิเลสวาหินี สติธมฺมวิจยวีริยสมถาทิคุณปหรเณหิ โอธิโส วิมถิตา วิหตา วิทฺธสฺตา จาติ มารเสนมถนา, อริยสาวกาฯ เอเตน เตสํ ภควโต อนุชาตปุตฺตตํ ทเสฺสติฯ
Yadipi ariyasāvakānaṃ ariyamaggādhigamasamaye bhagavato viya tadantarāya karaṇatthaṃ devaputtamāro, māravāhinī vā na ekantena apasādeti, tehi pana apasādetabbatāya kāraṇe vimathite tepi vimathitā eva nāma hontīti āha – ‘‘mārasenamathanāna’’nti. Imasmiṃ panatthe ‘‘māramārasenamathanāna’’nti vattabbe ‘‘mārasenamathanāna’’nti ekadesasarūpekaseso katoti daṭṭhabbaṃ. Atha vā khandhābhisaṅkhāramārānaṃ viya devaputtamārassapi guṇamāraṇe sahāyabhāvūpagamanato kilesabalakāyo ‘‘senā’’ti vuccati. Yathāha ‘‘kāmā te paṭhamā senā’’tiādi (su. ni. 438; mahāni. 28, 68, 149). Sā ca tehi diyaḍḍhasahassabhedā anantabhedā vā kilesavāhinī satidhammavicayavīriyasamathādiguṇapaharaṇehi odhiso vimathitā vihatā viddhastā cāti mārasenamathanā, ariyasāvakā. Etena tesaṃ bhagavato anujātaputtataṃ dasseti.
อารกตฺตา กิเลเสหิ, อนเย น อิริยนโต, อเย จ อิริยนโต อริยา นิรุตฺตินเยนฯ อถ วา สเทวเกน โลเกน ‘‘สรณ’’นฺติ อรณียโต อุปคนฺตพฺพโต อุปคตานญฺจ ตทตฺถสิทฺธิโต อริยา, อริยานํ สโงฺฆติ อริยสโงฺฆ, อริโย จ โส สโงฺฆ จาติ วา อริยสโงฺฆ, ตํ อริยสงฺฆํฯ ภควโต อปรภาเค พุทฺธธมฺมรตนานมฺปิ สมธิคโม สงฺฆรตนาธีโนติ อริยสงฺฆสฺส พหูปการตํ ทเสฺสตุํ อิเธว ‘‘สิรสา วเนฺท’’ติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Ārakattā kilesehi, anaye na iriyanato, aye ca iriyanato ariyā niruttinayena. Atha vā sadevakena lokena ‘‘saraṇa’’nti araṇīyato upagantabbato upagatānañca tadatthasiddhito ariyā, ariyānaṃ saṅghoti ariyasaṅgho, ariyo ca so saṅgho cāti vā ariyasaṅgho, taṃ ariyasaṅghaṃ. Bhagavato aparabhāge buddhadhammaratanānampi samadhigamo saṅgharatanādhīnoti ariyasaṅghassa bahūpakārataṃ dassetuṃ idheva ‘‘sirasā vande’’ti vuttanti daṭṭhabbaṃ.
เอตฺถ จ ‘‘สุคตสฺส โอรสานํ ปุตฺตาน’’นฺติ เอเตน อริยสงฺฆสฺส ปภวสมฺปทํ ทเสฺสติ, ‘‘มารเสนมถนาน’’นฺติ เอเตน ปหานสมฺปทํ สกลสํกิเลสปฺปหานทีปนโตฯ ‘‘อฎฺฐนฺนมฺปิ สมูห’’นฺติ เอเตน ญาณสมฺปทํ มคฺคฎฺฐผลฎฺฐภาวทีปนโตฯ ‘‘อริยสงฺฆ’’นฺติ เอเตน ปภาวสมฺปทํ ทเสฺสติ สพฺพสงฺฆานํ อคฺคภาวทีปนโตฯ อถ วา ‘‘สุคตสฺส โอรสานํ ปุตฺตาน’’นฺติ อริยสงฺฆสฺส วิสุทฺธนิสฺสยภาวทีปนํ, ‘‘มารเสนมถนาน’’นฺติ สมฺมาอุชุญายสามีจิปฺปฎิปนฺนภาวทีปนํ, ‘‘อฎฺฐนฺนมฺปิ สมูห’’นฺติ อาหุเนยฺยาทิภาวทีปนํ, ‘‘อริยสงฺฆ’’นฺติ อนุตฺตรปุญฺญเกฺขตฺตภาวทีปนํฯ ตถา ‘‘สุคตสฺส โอรสานํ ปุตฺตาน’’นฺติ เอเตน อริยสงฺฆสฺส โลกุตฺตรสรณคมนสพฺภาวํ ทีเปติฯ โลกุตฺตรสรณคมเนน หิ เต ภควโต โอรสปุตฺตา ชาตาฯ ‘‘มารเสนมถนาน’’นฺติ เอเตน อภินีหารสมฺปทาสิทฺธํ ปุพฺพภาเค สมฺมาปฎิปตฺติํ ทเสฺสติฯ กตาภินีหารา หิ สมฺมาปฎิปนฺนา มารํ มารปริสํ วา อภิวิชินนฺติฯ ‘‘อฎฺฐนฺนมฺปิ สมูห’’นฺติ เอเตน ปฎิวิทฺธสฺตวิปเกฺข เสกฺขาเสกฺขธเมฺม ทเสฺสติ ปุคฺคลาธิฎฺฐาเนน มคฺคผลธมฺมานํ ปกาสิตตฺตาฯ ‘‘อริยสงฺฆ’’นฺติ อคฺคทกฺขิเณยฺยภาวํ ทเสฺสติฯ สรณคมนญฺจ สาวกานํ สพฺพคุณานํ อาทิ, สปุพฺพภาคปฎิปทา เสกฺขา สีลกฺขนฺธาทโย มเชฺฌ, อเสกฺขา สีลกฺขนฺธาทโย ปริโยสานนฺติ อาทิมชฺฌปริโยสานกลฺยาณา สเงฺขปโต สเพฺพ อริยสงฺฆคุณา ปกาสิตา โหนฺติฯ
Ettha ca ‘‘sugatassa orasānaṃ puttāna’’nti etena ariyasaṅghassa pabhavasampadaṃ dasseti, ‘‘mārasenamathanāna’’nti etena pahānasampadaṃ sakalasaṃkilesappahānadīpanato. ‘‘Aṭṭhannampi samūha’’nti etena ñāṇasampadaṃ maggaṭṭhaphalaṭṭhabhāvadīpanato. ‘‘Ariyasaṅgha’’nti etena pabhāvasampadaṃ dasseti sabbasaṅghānaṃ aggabhāvadīpanato. Atha vā ‘‘sugatassa orasānaṃ puttāna’’nti ariyasaṅghassa visuddhanissayabhāvadīpanaṃ, ‘‘mārasenamathanāna’’nti sammāujuñāyasāmīcippaṭipannabhāvadīpanaṃ, ‘‘aṭṭhannampi samūha’’nti āhuneyyādibhāvadīpanaṃ, ‘‘ariyasaṅgha’’nti anuttarapuññakkhettabhāvadīpanaṃ. Tathā ‘‘sugatassa orasānaṃ puttāna’’nti etena ariyasaṅghassa lokuttarasaraṇagamanasabbhāvaṃ dīpeti. Lokuttarasaraṇagamanena hi te bhagavato orasaputtā jātā. ‘‘Mārasenamathanāna’’nti etena abhinīhārasampadāsiddhaṃ pubbabhāge sammāpaṭipattiṃ dasseti. Katābhinīhārā hi sammāpaṭipannā māraṃ māraparisaṃ vā abhivijinanti. ‘‘Aṭṭhannampi samūha’’nti etena paṭividdhastavipakkhe sekkhāsekkhadhamme dasseti puggalādhiṭṭhānena maggaphaladhammānaṃ pakāsitattā. ‘‘Ariyasaṅgha’’nti aggadakkhiṇeyyabhāvaṃ dasseti. Saraṇagamanañca sāvakānaṃ sabbaguṇānaṃ ādi, sapubbabhāgapaṭipadā sekkhā sīlakkhandhādayo majjhe, asekkhā sīlakkhandhādayo pariyosānanti ādimajjhapariyosānakalyāṇā saṅkhepato sabbe ariyasaṅghaguṇā pakāsitā honti.
๔. เอวํ คาถาตฺตเยน สเงฺขปโต สกลคุณสํกิตฺตนมุเขน รตนตฺตยสฺส ปณามํ กตฺวา อิทานิ ตํนิปจฺจการํ ยถาธิเปฺปเต ปโยชเน ปริณาเมโนฺต ‘‘อิติ เม’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ รติชนนเฎฺฐน รตนํ, พุทฺธธมฺมสงฺฆาฯ เตสญฺหิ ‘‘อิติปิ โส ภควา’’ติอาทินา ยถาภูตคุเณ อาวเชฺชนฺตสฺส อมตาธิคมเหตุภูตํ อนปฺปกํ ปีติปาโมชฺชํ อุปฺปชฺชติฯ ยถาห –
4. Evaṃ gāthāttayena saṅkhepato sakalaguṇasaṃkittanamukhena ratanattayassa paṇāmaṃ katvā idāni taṃnipaccakāraṃ yathādhippete payojane pariṇāmento ‘‘iti me’’tiādimāha. Tattha ratijananaṭṭhena ratanaṃ, buddhadhammasaṅghā. Tesañhi ‘‘itipi so bhagavā’’tiādinā yathābhūtaguṇe āvajjentassa amatādhigamahetubhūtaṃ anappakaṃ pītipāmojjaṃ uppajjati. Yathāha –
‘‘ยสฺมิํ มหานาม, สมเย อริยสาวโก ตถาคตํ อนุสฺสรติ, เนวสฺส ตสฺมิํ สมเย ราคปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหติ, น โทส…เป.… น โมหปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหติ…เป.… อุชุคตจิโตฺต โข มหานาม, อริยสาวโก ลภติ อตฺถเวทํ, ลภติ ธมฺมเวทํ, ลภติ ธมฺมูปสํหิตํ ปาโมชฺชํ, ปมุทิตสฺส ปีติ ชายตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๖.๑๐; ๑๑.๑๑)ฯ
‘‘Yasmiṃ mahānāma, samaye ariyasāvako tathāgataṃ anussarati, nevassa tasmiṃ samaye rāgapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hoti, na dosa…pe… na mohapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hoti…pe… ujugatacitto kho mahānāma, ariyasāvako labhati atthavedaṃ, labhati dhammavedaṃ, labhati dhammūpasaṃhitaṃ pāmojjaṃ, pamuditassa pīti jāyatī’’tiādi (a. ni. 6.10; 11.11).
จิตฺตีกตาทิภาโว วา รตนโฎฺฐฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Cittīkatādibhāvo vā ratanaṭṭho. Vuttañhetaṃ –
‘‘จิตฺตีกตํ มหคฺฆญฺจ, อตุลํ ทุลฺลภทสฺสนํ;
‘‘Cittīkataṃ mahagghañca, atulaṃ dullabhadassanaṃ;
อโนมสตฺตปริโภคํ, รตนํ เตน วุจฺจตี’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๓; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๓.๕.๒๒๓; ขุ. ปา. อฎฺฐ. ๖.๓; สุ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๒๖; มหานิ. อฎฺฐ. ๕๐);
Anomasattaparibhogaṃ, ratanaṃ tena vuccatī’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 2.33; saṃ. ni. aṭṭha. 3.5.223; khu. pā. aṭṭha. 6.3; su. ni. aṭṭha. 1.226; mahāni. aṭṭha. 50);
จิตฺติกตภาวาทโย จ อนญฺญสาธารณา พุทฺธาทีสุ เอว ลพฺภนฺตีติฯ
Cittikatabhāvādayo ca anaññasādhāraṇā buddhādīsu eva labbhantīti.
วนฺทนาว วนฺทนามยํ ยถา ‘‘ทานมยํ สีลมย’’นฺติ (ที. นิ. ๓.๓๐๕; อิติวุ. ๖๐)ฯ วนฺทนา เจตฺถ กายวาจาจิเตฺตหิ ติณฺณํ รตนานํ คุณนินฺนตา, โถมนา วาฯ ปุชฺชภวผลนิพฺพตฺตนโต ปุญฺญํ, อตฺตโน สนฺตานํ ปุนาตีติ วาฯ สุวิหตนฺตราโยติ สุฎฺฐุ วิหตนฺตราโยฯ เอเตน อตฺตโน ปสาทสมฺปตฺติยา รตนตฺตยสฺส จ เขตฺตภาวสมฺปตฺติยา ตํ ปุญฺญํ อตฺถปฺปกาสนสฺส อุปฆาตกอุปทฺทวานํ วิหนเน สมตฺถนฺติ ทเสฺสติฯ หุตฺวาติ ปุพฺพกาลกิริยาฯ ตสฺส ‘‘อตฺถํ ปกาสยิสฺสามี’’ติ เอเตน สมฺพโนฺธฯ ตสฺสาติ ยํ รตนตฺตยวนฺทนามยํ ปุญฺญํ, ตสฺสฯ อานุภาเวนาติ พเลนฯ
Vandanāva vandanāmayaṃ yathā ‘‘dānamayaṃ sīlamaya’’nti (dī. ni. 3.305; itivu. 60). Vandanā cettha kāyavācācittehi tiṇṇaṃ ratanānaṃ guṇaninnatā, thomanā vā. Pujjabhavaphalanibbattanato puññaṃ, attano santānaṃ punātīti vā. Suvihatantarāyoti suṭṭhu vihatantarāyo. Etena attano pasādasampattiyā ratanattayassa ca khettabhāvasampattiyā taṃ puññaṃ atthappakāsanassa upaghātakaupaddavānaṃ vihanane samatthanti dasseti. Hutvāti pubbakālakiriyā. Tassa ‘‘atthaṃ pakāsayissāmī’’ti etena sambandho. Tassāti yaṃ ratanattayavandanāmayaṃ puññaṃ, tassa. Ānubhāvenāti balena.
๕. เอวํ รตนตฺตยสฺส นิปจฺจกาเร ปโยชนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยสฺสา ธมฺมเทสนาย อตฺถํ สํวเณฺณตุกาโม, ตสฺสา ตาว คุณาภิตฺถวนวเสน อุปญฺญาปนตฺถํ ‘‘มชฺฌิมปมาณสุตฺตงฺกิตสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ มชฺฌิมปมาณสุตฺตงฺกิตสฺสาติ นาติทีฆนาติขุทฺทกปมาเณหิ สุตฺตเนฺตหิ ลกฺขิตสฺสฯ ยถา หิ ทีฆาคเม ทีฆปมาณานิ สุตฺตานิ, ยถา จ สํยุตฺตงฺคุตฺตราคเมสุ ทฺวีสุ ขุทฺทกปมาณานิ, น เอวํ อิธฯ อิธ ปน ปมาณโต มชฺฌิมานิ สุตฺตานิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘มชฺฌิมปมาณสุตฺตงฺกิตสฺสาติ นาติทีฆนาติขุทฺทกปมาเณหิ สุตฺตเนฺตหิ ลกฺขิตสฺสติ อโตฺถ’’ติฯ เอเตน ‘‘มชฺฌิโม’’ติ อยํ อิมสฺส อตฺถานุคตสมญฺญาติ ทเสฺสติฯ นนุ จ สุตฺตานิ เอว อาคโม, กสฺส ปน สุเตฺตหิ องฺกนนฺติ? สจฺจเมตํ ปรมตฺถโต, สุตฺตานิ ปน อุปาทาย ปญฺญโตฺต อาคโมฯ ยเถว หิ อตฺถพฺยญฺชนสมุทาเย ‘‘สุตฺต’’นฺติ โวหาโร, เอวํ สุตฺตสมุทาเย อยํ ‘‘อาคโม’’ติ โวหาโรฯ อิธาติ อิมสฺมิํ สาสเนฯ อาคมิสฺสนฺติ เอตฺถ, เอเตน เอตสฺมา วา อตฺตตฺถปรตฺถาทโยติ อาคโม, อาทิกลฺยาณาทิคุณสมฺปตฺติยา อุตฺตมเฎฺฐน ตํตํอภิปตฺถิตสมิทฺธิเหตุตาย ปณฺฑิเตหิ วริตพฺพโต วโร, อาคโม จ โส วโร จาติ อาคมวโรฯ อาคมสมฺมเตหิ วา วโรติ อาคมวโร, มชฺฌิโม จ โส อาคมวโร จาติ มชฺฌิมาคมวโร, ตสฺสฯ
5. Evaṃ ratanattayassa nipaccakāre payojanaṃ dassetvā idāni yassā dhammadesanāya atthaṃ saṃvaṇṇetukāmo, tassā tāva guṇābhitthavanavasena upaññāpanatthaṃ ‘‘majjhimapamāṇasuttaṅkitassā’’tiādi vuttaṃ. Tattha majjhimapamāṇasuttaṅkitassāti nātidīghanātikhuddakapamāṇehi suttantehi lakkhitassa. Yathā hi dīghāgame dīghapamāṇāni suttāni, yathā ca saṃyuttaṅguttarāgamesu dvīsu khuddakapamāṇāni, na evaṃ idha. Idha pana pamāṇato majjhimāni suttāni. Tena vuttaṃ ‘‘majjhimapamāṇasuttaṅkitassāti nātidīghanātikhuddakapamāṇehi suttantehi lakkhitassati attho’’ti. Etena ‘‘majjhimo’’ti ayaṃ imassa atthānugatasamaññāti dasseti. Nanu ca suttāni eva āgamo, kassa pana suttehi aṅkananti? Saccametaṃ paramatthato, suttāni pana upādāya paññatto āgamo. Yatheva hi atthabyañjanasamudāye ‘‘sutta’’nti vohāro, evaṃ suttasamudāye ayaṃ ‘‘āgamo’’ti vohāro. Idhāti imasmiṃ sāsane. Āgamissanti ettha, etena etasmā vā attatthaparatthādayoti āgamo, ādikalyāṇādiguṇasampattiyā uttamaṭṭhena taṃtaṃabhipatthitasamiddhihetutāya paṇḍitehi varitabbato varo, āgamo ca so varo cāti āgamavaro. Āgamasammatehi vā varoti āgamavaro, majjhimo ca so āgamavaro cāti majjhimāgamavaro, tassa.
พุทฺธานํ อนุพุทฺธานํ พุทฺธานุพุทฺธา, พุทฺธานํ สจฺจปฎิเวธํ อนุคมฺม ปฎิวิทฺธสจฺจา อคฺคสาวกาทโย อริยาฯ เตหิ อตฺถสํวณฺณนาคุณสํวณฺณนานํ วเสน สํวณฺณิตสฺสฯ อถ วา พุทฺธา จ อนุพุทฺธา จ พุทฺธานุพุทฺธาติ โยเชตพฺพํฯ สมฺมาสมฺพุเทฺธเนว หิ วินยสุตฺตาภิธมฺมานํ ปกิณฺณกเทสนาทิวเสน โย ปฐมํ อโตฺถ วิภโตฺต, โส เอว ปจฺฉา ตสฺส ตสฺส สํวณฺณนาวเสน สงฺคีติกาเรหิ สงฺคหํ อาโรปิโตติฯ ปรวาทมถนสฺสาติ อญฺญติตฺถิยานํ วาทนิมฺมถนสฺส, เตสํ ทิฎฺฐิคตภญฺชนสฺสาติ อโตฺถฯ อยญฺหิ อาคโม มูลปริยายสุตฺตสพฺพาสวสุตฺตาทีสุ ทิฎฺฐิคติกานํ ทิฎฺฐิคตโทสวิภาวนโต สจฺจกสุตฺตํ (ม. นิ. ๑.๓๕๓) อุปาลิสุตฺตาทีสุ (ม. นิ. ๒.๕๖) สจฺจกาทีนํ มิจฺฉาวาทนิมฺมถนทีปนโต วิเสสโต ‘‘ปรวาทมถโน’’ติ โถมิโตติฯ สํวณฺณนาสุ จายํ อาจริยสฺส ปกติ, ยา ตํตํสํวณฺณนาสุ อาทิโต ตสฺส ตสฺส สํวเณฺณตพฺพสฺส ธมฺมสฺส วิเสสคุณกิตฺตเนน โถมนาฯ ตถา หิ สุมงฺคลวิลาสินีสารตฺถปกาสินีมโนรถปูรณีสุ อฎฺฐสาลินีอาทีสุ จ ยถากฺกมํ ‘‘สทฺธาวหคุณสฺส, ญาณปฺปเภทชนนสฺส, ธมฺมกถิกปุงฺควานํ วิจิตฺตปฎิภานชนนสฺส, ตสฺส คมฺภีรญาเณหิ โอคาฬฺหสฺส อภิณฺหโส นานานยวิจิตฺตสฺส อภิธมฺมสฺสา’’ติอาทินา โถมนา กตาฯ
Buddhānaṃ anubuddhānaṃ buddhānubuddhā, buddhānaṃ saccapaṭivedhaṃ anugamma paṭividdhasaccā aggasāvakādayo ariyā. Tehi atthasaṃvaṇṇanāguṇasaṃvaṇṇanānaṃ vasena saṃvaṇṇitassa. Atha vā buddhā ca anubuddhā ca buddhānubuddhāti yojetabbaṃ. Sammāsambuddheneva hi vinayasuttābhidhammānaṃ pakiṇṇakadesanādivasena yo paṭhamaṃ attho vibhatto, so eva pacchā tassa tassa saṃvaṇṇanāvasena saṅgītikārehi saṅgahaṃ āropitoti. Paravādamathanassāti aññatitthiyānaṃ vādanimmathanassa, tesaṃ diṭṭhigatabhañjanassāti attho. Ayañhi āgamo mūlapariyāyasuttasabbāsavasuttādīsu diṭṭhigatikānaṃ diṭṭhigatadosavibhāvanato saccakasuttaṃ (ma. ni. 1.353) upālisuttādīsu (ma. ni. 2.56) saccakādīnaṃ micchāvādanimmathanadīpanato visesato ‘‘paravādamathano’’ti thomitoti. Saṃvaṇṇanāsu cāyaṃ ācariyassa pakati, yā taṃtaṃsaṃvaṇṇanāsu ādito tassa tassa saṃvaṇṇetabbassa dhammassa visesaguṇakittanena thomanā. Tathā hi sumaṅgalavilāsinīsāratthapakāsinīmanorathapūraṇīsu aṭṭhasālinīādīsu ca yathākkamaṃ ‘‘saddhāvahaguṇassa, ñāṇappabhedajananassa, dhammakathikapuṅgavānaṃ vicittapaṭibhānajananassa, tassa gambhīrañāṇehi ogāḷhassa abhiṇhaso nānānayavicittassa abhidhammassā’’tiādinā thomanā katā.
๖. อโตฺถ กถียติ เอตายาติ อตฺถกถา, สา เอว อฎฺฐกถา ตฺถ-การสฺส ฎฺฐ-การํ กตฺวา ยถา ‘‘ทุกฺขสฺส ปีฬนโฎฺฐ’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๗; ๒.๘) อาทิโตติอาทิมฺหิ ปฐมสงฺคีติยํฯ ฉฬภิญฺญตาย ปรเมน จิตฺติสฺสริยภาเวน สมนฺนาคตตฺตา ฌานาทีสุ ปญฺจวิธวสิตาสพฺภาวโต จ วสิโน, เถรา มหากสฺสปาทโยฯ เตสํ สเตหิ ปญฺจหิฯ ยาติ ยา อฎฺฐกถาฯ สงฺคีตาติ อตฺถํ ปกาเสตุํ ยุตฺตฎฺฐาเน ‘‘อยํ เอตสฺส อโตฺถ, อยํ เอตสฺส อโตฺถ’’ติ สงฺคเหตฺวา วุตฺตาฯ อนุสงฺคีตา จ ยสเตฺถราทีหิ ปจฺฉาปิ ทุติยตติยสงฺคีตีสุฯ อิมินา อตฺตโน สํวณฺณนาย อาคมนสุทฺธิํ ทเสฺสติฯ
6. Attho kathīyati etāyāti atthakathā, sā eva aṭṭhakathā ttha-kārassa ṭṭha-kāraṃ katvā yathā ‘‘dukkhassa pīḷanaṭṭho’’ti (paṭi. ma. 1.17; 2.8) āditotiādimhi paṭhamasaṅgītiyaṃ. Chaḷabhiññatāya paramena cittissariyabhāvena samannāgatattā jhānādīsu pañcavidhavasitāsabbhāvato ca vasino, therā mahākassapādayo. Tesaṃ satehi pañcahi. Yāti yā aṭṭhakathā. Saṅgītāti atthaṃ pakāsetuṃ yuttaṭṭhāne ‘‘ayaṃ etassa attho, ayaṃ etassa attho’’ti saṅgahetvā vuttā. Anusaṅgītā ca yasattherādīhi pacchāpi dutiyatatiyasaṅgītīsu. Iminā attano saṃvaṇṇanāya āgamanasuddhiṃ dasseti.
๗. สีหสฺส ลานโต คหณโต สีหโฬ, สีหกุมาโรฯ ตํวํสชาตตาย ตมฺพปณฺณิทีเป ขตฺติยานํ, เตสํ นิวาสตาย ตมฺพปณฺณิทีปสฺส จ สีหฬภาโว เวทิตโพฺพฯ อาภตาติ ชมฺพุทีปโต อานีตาฯ อถาติ ปจฺฉาฯ อปรภาเค หิ นิกายนฺตรลทฺธีหิ อสงฺกรตฺถํ สีหฬภาสาย อฎฺฐกถา ฐปิตาติฯ เตน มูลฎฺฐกถา สพฺพสาธารณา น โหตีติ อิทํ อตฺถปฺปกาสนํ เอกเนฺตน กรณียนฺติ ทเสฺสติฯ เตเนวาห ‘‘ทีปวาสีนมตฺถายา’’ติฯ ตตฺถ ทีปวาสีนนฺติ ชมฺพุทีปวาสีนํ, สีหฬทีปวาสีนํ วา อตฺถาย สีหฬภาสาย ฐปิตาติ โยชนาฯ
7. Sīhassa lānato gahaṇato sīhaḷo, sīhakumāro. Taṃvaṃsajātatāya tambapaṇṇidīpe khattiyānaṃ, tesaṃ nivāsatāya tambapaṇṇidīpassa ca sīhaḷabhāvo veditabbo. Ābhatāti jambudīpato ānītā. Athāti pacchā. Aparabhāge hi nikāyantaraladdhīhi asaṅkaratthaṃ sīhaḷabhāsāya aṭṭhakathā ṭhapitāti. Tena mūlaṭṭhakathā sabbasādhāraṇā na hotīti idaṃ atthappakāsanaṃ ekantena karaṇīyanti dasseti. Tenevāha ‘‘dīpavāsīnamatthāyā’’ti. Tattha dīpavāsīnanti jambudīpavāsīnaṃ, sīhaḷadīpavāsīnaṃ vā atthāya sīhaḷabhāsāya ṭhapitāti yojanā.
๘. อปเนตฺวานาติ กญฺจุกสทิสํ สีหฬภาสํ อปเนตฺวาฯ ตโตติ อฎฺฐกถาโตฯ อหนฺติ อตฺตานํ นิทฺทิสติ, มโนรมํ ภาสนฺติ มาคธภาสํฯ สา หิ สภาวนิรุตฺติภูตา ปณฺฑิตานํ มนํ รมยตีติฯ เตเนวาห ‘‘ตนฺตินยานุจฺฉวิก’’นฺติ, ปาฬิคติยา อนุโลมิกํ ปาฬิภาสายานุวิธายินินฺติ อโตฺถฯ วิคตโทสนฺติ อสภาวนิรุตฺติภาสนฺตรรหิตํฯ
8.Apanetvānāti kañcukasadisaṃ sīhaḷabhāsaṃ apanetvā. Tatoti aṭṭhakathāto. Ahanti attānaṃ niddisati, manoramaṃ bhāsanti māgadhabhāsaṃ. Sā hi sabhāvaniruttibhūtā paṇḍitānaṃ manaṃ ramayatīti. Tenevāha ‘‘tantinayānucchavika’’nti, pāḷigatiyā anulomikaṃ pāḷibhāsāyānuvidhāyininti attho. Vigatadosanti asabhāvaniruttibhāsantararahitaṃ.
๙. สมยํ อวิโลเมโนฺตติ สิทฺธนฺตํ อวิโรเธโนฺตฯ เอเตน อตฺถโทสาภาวมาหฯ อวิรุทฺธตฺตา เอว หิ เถรวาทาปิ อิธ ปกาสียิสฺสนฺติฯ เถรวํสทีปานนฺติ ถิเรหิ สีลกฺขนฺธาทีหิ สมนฺนาคตตฺตา เถรา, มหากสฺสปาทโยฯ เตหิ อาคตา อาจริยปรมฺปรา เถรวํโส, ตปฺปริยาปนฺนา หุตฺวา อาคมาธิคมสมฺปนฺนตฺตา ปญฺญาปโชฺชเตน ตสฺส สมุชฺชลนโต เถรวํสทีปา, มหาวิหารวาสิโน, เตสํฯ วิวิเธหิ อากาเรหิ นิจฺฉียตีติ วินิจฺฉโย, คณฺฐิฎฺฐาเนสุ ขีลมทฺทนากาเรน ปวตฺตา วิมติเจฺฉทนี กถาฯ สุฎฺฐุ นิปุโณ สโณฺห วินิจฺฉโย เอเตสนฺติ สุนิปุณวินิจฺฉยาฯ อถ วา วินิจฺฉิโนตีติ วินิจฺฉโย, ยถาวุตฺตตฺถวิสยํ ญาณํฯ สุฎฺฐุ นิปุโณ เฉโก วินิจฺฉโย เอเตสนฺติ โยเชตพฺพํฯ เอเตน มหากสฺสปาทิเถรปรมฺปราภโต, ตโต เอว จ อวิปรีโต สโณฺห สุขุโม มหาวิหารวาสีนํ วินิจฺฉโยติ ตสฺส ปมาณภูตตํ ทเสฺสติฯ
9.Samayaṃ avilomentoti siddhantaṃ avirodhento. Etena atthadosābhāvamāha. Aviruddhattā eva hi theravādāpi idha pakāsīyissanti. Theravaṃsadīpānanti thirehi sīlakkhandhādīhi samannāgatattā therā, mahākassapādayo. Tehi āgatā ācariyaparamparā theravaṃso, tappariyāpannā hutvā āgamādhigamasampannattā paññāpajjotena tassa samujjalanato theravaṃsadīpā, mahāvihāravāsino, tesaṃ. Vividhehi ākārehi nicchīyatīti vinicchayo, gaṇṭhiṭṭhānesu khīlamaddanākārena pavattā vimaticchedanī kathā. Suṭṭhu nipuṇo saṇho vinicchayo etesanti sunipuṇavinicchayā. Atha vā vinicchinotīti vinicchayo, yathāvuttatthavisayaṃ ñāṇaṃ. Suṭṭhu nipuṇo cheko vinicchayo etesanti yojetabbaṃ. Etena mahākassapāditheraparamparābhato, tato eva ca aviparīto saṇho sukhumo mahāvihāravāsīnaṃ vinicchayoti tassa pamāṇabhūtataṃ dasseti.
๑๐. สุชนสฺส จาติ จ-สโทฺท สมฺปิณฺฑนโตฺถฯ เตน ‘‘น เกวลํ ชมฺพุทีปวาสีนเมว อตฺถาย, อถ โข สาธุชนโตสนตฺถญฺจา’’ติ ทเสฺสติฯ เตน จ ‘‘ตมฺพปณฺณิทีปวาสีนมฺปิ อตฺถายา’’ติ อยมโตฺถ สิโทฺธ โหติ อุคฺคหณาทิสุกรตาย เตสมฺปิ พหุการตฺตาฯ จิรฎฺฐิตตฺถนฺติ จิรฎฺฐิติอตฺถํ, จิรกาลฎฺฐิติยาติ อโตฺถฯ อิทญฺหิ อตฺถปฺปกาสนํ อวิปรีตปทพฺยญฺชนสุนิเกฺขปสฺส อตฺถสุนยสฺส จ อุปายภาวโต สทฺธมฺมสฺส จิรฎฺฐิติยา สํวตฺตติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา ‘‘เทฺวเม, ภิกฺขเว, ธมฺมา สทฺธมฺมสฺส ฐิติยา อสโมฺมสาย อนนฺตรธานาย สํวตฺตนฺติฯ กตเม เทฺว? สุนฺนิกฺขิตฺตญฺจ ปทพฺยญฺชนํ อโตฺถ จ สุนีโต’’ติ (อ. นิ. ๒.๒๐)ฯ
10.Sujanassacāti ca-saddo sampiṇḍanattho. Tena ‘‘na kevalaṃ jambudīpavāsīnameva atthāya, atha kho sādhujanatosanatthañcā’’ti dasseti. Tena ca ‘‘tambapaṇṇidīpavāsīnampi atthāyā’’ti ayamattho siddho hoti uggahaṇādisukaratāya tesampi bahukārattā. Ciraṭṭhitatthanti ciraṭṭhitiatthaṃ, cirakālaṭṭhitiyāti attho. Idañhi atthappakāsanaṃ aviparītapadabyañjanasunikkhepassa atthasunayassa ca upāyabhāvato saddhammassa ciraṭṭhitiyā saṃvattati. Vuttañhetaṃ bhagavatā ‘‘dveme, bhikkhave, dhammā saddhammassa ṭhitiyā asammosāya anantaradhānāya saṃvattanti. Katame dve? Sunnikkhittañca padabyañjanaṃ attho ca sunīto’’ti (a. ni. 2.20).
๑๑. ยํ อตฺถวณฺณนํ กตฺตุกาโม, ตสฺสา มหตฺตํ ปริหริตุํ ‘‘สีลกถา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เตเนวาห ‘‘น ตํ อิธ วิจารยิสฺสามี’’ติฯ อถ วา ยํ อฎฺฐกถํ กตฺตุกาโม, ตเทกเทสภาเวน วิสุทฺธิมโคฺค คเหตโพฺพติ กถิกานํ อุปเทสํ กโรโนฺต ตตฺถ วิจาริตธเมฺม อุเทฺทสวเสน ทเสฺสติ ‘‘สีลกถา’’ติอาทินาฯ ตตฺถ สีลกถาติ จาริตฺตวาริตฺตาทิวเสน สีลสฺส วิตฺถารกถาฯ ธุตธมฺมาติ ปิณฺฑปาติกงฺคาทโย เตรส กิเลสธุนนกธมฺมาฯ กมฺมฎฺฐานานิ สพฺพานีติ ปาฬิยํ อาคตานิ อฎฺฐติํส, อฎฺฐกถายํ เทฺวติ นิรวเสสานิ โยคกมฺมสฺส ภาวนาย ปวตฺติฎฺฐานานิฯ จริยาวิธานสหิโตติ ราคจริตาทีนํ สภาวาทิวิธาเนน สหิโตฯ ฌานานิ จตฺตาริ รูปาวจรชฺฌานานิ, สมาปตฺติโย จตโสฺส อรูปสมาปตฺติโยฯ อฎฺฐปิ วา ปฎิลทฺธมตฺตานิ ฌานานิ, สมาปชฺชนวสีภาวปฺปตฺติยา สมาปตฺติโยฯ ฌานานิ วา รูปารูปาวจรชฺฌานานิ, สมาปตฺติโย ผลสมาปตฺตินิโรธสมาปตฺติโยฯ
11. Yaṃ atthavaṇṇanaṃ kattukāmo, tassā mahattaṃ pariharituṃ ‘‘sīlakathā’’tiādi vuttaṃ. Tenevāha ‘‘na taṃ idha vicārayissāmī’’ti. Atha vā yaṃ aṭṭhakathaṃ kattukāmo, tadekadesabhāvena visuddhimaggo gahetabboti kathikānaṃ upadesaṃ karonto tattha vicāritadhamme uddesavasena dasseti ‘‘sīlakathā’’tiādinā. Tattha sīlakathāti cārittavārittādivasena sīlassa vitthārakathā. Dhutadhammāti piṇḍapātikaṅgādayo terasa kilesadhunanakadhammā. Kammaṭṭhānāni sabbānīti pāḷiyaṃ āgatāni aṭṭhatiṃsa, aṭṭhakathāyaṃ dveti niravasesāni yogakammassa bhāvanāya pavattiṭṭhānāni. Cariyāvidhānasahitoti rāgacaritādīnaṃ sabhāvādividhānena sahito. Jhānāni cattāri rūpāvacarajjhānāni, samāpattiyo catasso arūpasamāpattiyo. Aṭṭhapi vā paṭiladdhamattāni jhānāni, samāpajjanavasībhāvappattiyā samāpattiyo. Jhānāni vā rūpārūpāvacarajjhānāni, samāpattiyo phalasamāpattinirodhasamāpattiyo.
๑๒. โลกิยโลกุตฺตรเภทา ฉ อภิญฺญาโย สพฺพา อภิญฺญาโยฯ ญาณวิภงฺคาทีสุ (วิภ. ๗๕๑) อาคตนเยน เอกวิธาทินา ปญฺญาย สํกเลตฺวา สมฺปิเณฺฑตฺวา นิจฺฉโย ปญฺญาสงฺกลนนิจฺฉโยฯ
12. Lokiyalokuttarabhedā cha abhiññāyo sabbā abhiññāyo. Ñāṇavibhaṅgādīsu (vibha. 751) āgatanayena ekavidhādinā paññāya saṃkaletvā sampiṇḍetvā nicchayo paññāsaṅkalananicchayo.
๑๓. ปจฺจยธมฺมานํ เหตาทีนํ ปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมานํ เหตุปจฺจยาทิภาโว ปจฺจยากาโร, ตสฺส เทสนา ปจฺจยาการเทสนา, ปฎิจฺจสมุปฺปาทกถาติ อโตฺถฯ สา ปน นิกายนฺตรลทฺธิสงฺกรรหิตตาย สุฎฺฐุ ปริสุทฺธา, ฆนวินิโพฺภคสฺส สุทุกฺกรตาย นิปุณา สณฺหสุขุมา, เอกตฺตนยาทิสหิตา จ ตตฺถ วิจาริตาติ อาห ‘‘สุปริสุทฺธนิปุณนยา’’ติฯ ปฎิสมฺภิทาทีสุ อาคตนยํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว วิจาริตตฺตา อวิมุตฺตตนฺติมคฺคาฯ
13. Paccayadhammānaṃ hetādīnaṃ paccayuppannadhammānaṃ hetupaccayādibhāvo paccayākāro, tassa desanā paccayākāradesanā, paṭiccasamuppādakathāti attho. Sā pana nikāyantaraladdhisaṅkararahitatāya suṭṭhu parisuddhā, ghanavinibbhogassa sudukkaratāya nipuṇā saṇhasukhumā, ekattanayādisahitā ca tattha vicāritāti āha ‘‘suparisuddhanipuṇanayā’’ti. Paṭisambhidādīsu āgatanayaṃ avissajjetvāva vicāritattā avimuttatantimaggā.
๑๔. อิติ ปน สพฺพนฺติ อิติ-สโทฺท ปริสมาปเน, ปน-สโทฺท วจนาลงฺกาเร, เอตํ สพฺพนฺติ อโตฺถฯ อิธาติ อิมิสฺสา อฎฺฐกถายฯ น ตํ วิจารยิสฺสามิ ปุนรุตฺติภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ
14.Itipana sabbanti iti-saddo parisamāpane, pana-saddo vacanālaṅkāre, etaṃ sabbanti attho. Idhāti imissā aṭṭhakathāya. Na taṃ vicārayissāmi punaruttibhāvatoti adhippāyo.
๑๕. อิทานิ ตเสฺสว อวิจารณสฺส เอกนฺตการณํ นิทฺธาเรโนฺต ‘‘มเชฺฌ วิสุทฺธิมโคฺค’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ‘‘มเชฺฌ ฐตฺวา’’ติ เอเตน มชฺฌฎฺฐภาวทีปเนน วิเสสโต จตุนฺนํ อาคมานํ สาธารณฎฺฐกถา วิสุทฺธิมโคฺค, น สุมงฺคลวิลาสินีอาทโย วิย อสาธารณฎฺฐกถาติ ทเสฺสติฯ ‘‘วิเสสโต’’ติ จ อิทํ วินยาภิธมฺมานมฺปิ วิสุทฺธิมโคฺค ยถารหํ อตฺถวณฺณนา โหติ เอวาติ กตฺวา วุตฺตํฯ
15. Idāni tasseva avicāraṇassa ekantakāraṇaṃ niddhārento ‘‘majjhe visuddhimaggo’’tiādimāha. Tattha ‘‘majjhe ṭhatvā’’ti etena majjhaṭṭhabhāvadīpanena visesato catunnaṃ āgamānaṃ sādhāraṇaṭṭhakathā visuddhimaggo, na sumaṅgalavilāsinīādayo viya asādhāraṇaṭṭhakathāti dasseti. ‘‘Visesato’’ti ca idaṃ vinayābhidhammānampi visuddhimaggo yathārahaṃ atthavaṇṇanā hoti evāti katvā vuttaṃ.
๑๖. อิเจฺจวาติ อิติ เอวฯ ตมฺปีติ วิสุทฺธิมคฺคมฺปิฯ เอตายาติ ปปญฺจสูทนิยาฯ เอตฺถ จ ‘‘สีหฬทีปํ อาภตา’’ติอาทินา อฎฺฐกถากรณสฺส นิมิตฺตํ ทเสฺสติ, ‘‘ทีปวาสีนมตฺถาย, สุชนสฺส จ ตุฎฺฐตฺถํ, จิรฎฺฐิตตฺถญฺจ ธมฺมสฺสา’’ติ เอเตน ปโยชนํ, ‘‘มชฺฌิมาคมวรสฺส อตฺถํ ปกาสยิสฺสามี’’ติ เอเตน ปิณฺฑตฺถํ, ‘‘อปเนตฺวาน ตโตหํ สีหฬภาส’’นฺติอาทินา, ‘‘สีลกถา’’ติอาทินา จ กรณปฺปการํฯ สีลกถาทีนํ อวิจารณมฺปิ หิ อิธ กรณปฺปกาโร เอวาติฯ
16.Iccevāti iti eva. Tampīti visuddhimaggampi. Etāyāti papañcasūdaniyā. Ettha ca ‘‘sīhaḷadīpaṃ ābhatā’’tiādinā aṭṭhakathākaraṇassa nimittaṃ dasseti, ‘‘dīpavāsīnamatthāya, sujanassa ca tuṭṭhatthaṃ, ciraṭṭhitatthañca dhammassā’’ti etena payojanaṃ, ‘‘majjhimāgamavarassa atthaṃ pakāsayissāmī’’ti etena piṇḍatthaṃ, ‘‘apanetvāna tatohaṃ sīhaḷabhāsa’’ntiādinā, ‘‘sīlakathā’’tiādinā ca karaṇappakāraṃ. Sīlakathādīnaṃ avicāraṇampi hi idha karaṇappakāro evāti.
คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Ganthārambhakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
นิทานกถาวณฺณนา
Nidānakathāvaṇṇanā
๑. วิภาควนฺตานํ สภาววิภาวนํ วิภาคทสฺสนมุเขเนว โหตีติ ปฐมํ ตาว ปณฺณาสวคฺคสุตฺตาทิวเสน มชฺฌิมาคมสฺส วิภาคํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ มชฺฌิมสงฺคีติ นามา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตตฺถาติ ยํ วุตฺตํ ‘‘มชฺฌิมาคมวรสฺส อตฺถํ ปกาสยิสฺสามี’’ติ, ตสฺมิํ วจเนฯ ยา มชฺฌิมาคมปริยาเยน มชฺฌิมสงฺคีติ วุตฺตา, สา ปณฺณาสาทิโต เอทิสาติ ทเสฺสติ ‘‘มชฺฌิมสงฺคีติ นามา’’ติอาทินาฯ ตตฺถาติ วา ‘‘เอตาย อฎฺฐกถาย วิชานาถ มชฺฌิมสงฺคีติยา อตฺถ’’นฺติ เอตฺถ ยสฺสา มชฺฌิมสงฺคีติยา อตฺถํ วิชานาถาติ วุตฺตํ, สา มชฺฌิมสงฺคีติ นาม ปณฺณาสาทิโต เอทิสาติ ทเสฺสติฯ ปญฺจ ทสกา ปณฺณาสา, มูเล อาทิมฺหิ ปณฺณาสา, มูลภูตา วา ปณฺณาสา มูลปณฺณาสาฯ มเชฺฌ ภวา มชฺฌิมา, มชฺฌิมา จ สา ปณฺณาสา จาติ มชฺฌิมปณฺณาสาฯ อุปริ อุทฺธํ ปณฺณาสา อุปริปณฺณาสาฯ ปณฺณาสตฺตยสงฺคหาติ ปณฺณาสตฺตยปริคณนาฯ
1. Vibhāgavantānaṃ sabhāvavibhāvanaṃ vibhāgadassanamukheneva hotīti paṭhamaṃ tāva paṇṇāsavaggasuttādivasena majjhimāgamassa vibhāgaṃ dassetuṃ ‘‘tattha majjhimasaṅgīti nāmā’’tiādimāha. Tattha tatthāti yaṃ vuttaṃ ‘‘majjhimāgamavarassa atthaṃ pakāsayissāmī’’ti, tasmiṃ vacane. Yā majjhimāgamapariyāyena majjhimasaṅgīti vuttā, sā paṇṇāsādito edisāti dasseti ‘‘majjhimasaṅgīti nāmā’’tiādinā. Tatthāti vā ‘‘etāya aṭṭhakathāya vijānātha majjhimasaṅgītiyā attha’’nti ettha yassā majjhimasaṅgītiyā atthaṃ vijānāthāti vuttaṃ, sā majjhimasaṅgīti nāma paṇṇāsādito edisāti dasseti. Pañca dasakā paṇṇāsā, mūle ādimhi paṇṇāsā, mūlabhūtā vā paṇṇāsā mūlapaṇṇāsā. Majjhe bhavā majjhimā, majjhimā ca sā paṇṇāsā cāti majjhimapaṇṇāsā. Upari uddhaṃ paṇṇāsā uparipaṇṇāsā. Paṇṇāsattayasaṅgahāti paṇṇāsattayaparigaṇanā.
อยํ สงฺคโห นาม ชาติสญฺชาติกิริยาคณนวเสน จตุพฺพิโธฯ ตตฺถ ‘‘ยา จาวุโส วิสาข, สมฺมาวาจา, โย จ สมฺมากมฺมโนฺต, โย จ สมฺมาอาชีโว , อิเม ธมฺมา สีลกฺขเนฺธ สงฺคหิตา’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๖๒) อยํ ชาติสงฺคโหฯ ‘‘โย จาวุโส วิสาข, สมฺมาวายาโมฯ ยา จ สมฺมาสติ, โย จ สมฺมาสมาธิ, อิเม ธมฺมา สมาธิกฺขเนฺธ สงฺคหิตา’’ติ อยํ สญฺชาติสงฺคโหฯ ‘‘ยา จาวุโส วิสาข, สมฺมาทิฎฺฐิ, โย จ สมฺมาสงฺกโปฺป, อิเม ธมฺมา ปญฺญากฺขเนฺธ สงฺคหิตา’’ติ อยํ กิริยาสงฺคโหฯ ‘‘หญฺจิ จกฺขายตนํ รูปกฺขนฺธคณนํ คจฺฉติ, เตน วต เร วตฺตเพฺพ จกฺขายตนํ รูปกฺขเนฺธน สงฺคหิต’’นฺติ (กถา. ๔๗๑) อยํ คณนสงฺคโหฯ อยเมว จ อิธาธิเปฺปโตฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปณฺณาสตฺตยสงฺคหาติ ปณฺณาสตฺตยปริคณนา’’ติฯ
Ayaṃ saṅgaho nāma jātisañjātikiriyāgaṇanavasena catubbidho. Tattha ‘‘yā cāvuso visākha, sammāvācā, yo ca sammākammanto, yo ca sammāājīvo , ime dhammā sīlakkhandhe saṅgahitā’’ti (ma. ni. 1.462) ayaṃ jātisaṅgaho. ‘‘Yo cāvuso visākha, sammāvāyāmo. Yā ca sammāsati, yo ca sammāsamādhi, ime dhammā samādhikkhandhe saṅgahitā’’ti ayaṃ sañjātisaṅgaho. ‘‘Yā cāvuso visākha, sammādiṭṭhi, yo ca sammāsaṅkappo, ime dhammā paññākkhandhe saṅgahitā’’ti ayaṃ kiriyāsaṅgaho. ‘‘Hañci cakkhāyatanaṃ rūpakkhandhagaṇanaṃ gacchati, tena vata re vattabbe cakkhāyatanaṃ rūpakkhandhena saṅgahita’’nti (kathā. 471) ayaṃ gaṇanasaṅgaho. Ayameva ca idhādhippeto. Tena vuttaṃ ‘‘paṇṇāsattayasaṅgahāti paṇṇāsattayaparigaṇanā’’ti.
วคฺคโตติ สมูหโต, โส ปเนตฺถ ทสกวเสน เวทิตโพฺพฯ เยภุเยฺยน หิ สาสเน ทสเก วคฺคโวหาโรฯ เตเนวาห ‘‘เอเกกาย ปณฺณาสาย ปญฺจ ปญฺจ วเคฺค กตฺวา’’ติฯ ปนฺนรสวคฺคสมาโยคาติ ปนฺนรสวคฺคสํโยคาติ อโตฺถฯ เกจิ ปน สมาโยคสทฺทํ สมุทายตฺถํ วทนฺติฯ ปทโตติ เอตฺถ อฎฺฐกฺขโร คาถาปาโท ‘‘ปท’’นฺติ อธิเปฺปโต, ตสฺมา ‘‘อกฺขรโต ฉ อกฺขรสตสหสฺสานิ จตุราสีตุตฺตรสตาธิกานิ จตุจตฺตาลีส สหสฺสานิ จ อกฺขรานี’’ติ ปาเฐน ภวิตพฺพนฺติ วทนฺติฯ ยสฺมา ปน นวกฺขโร ยาว ทฺวาทสกฺขโร จ คาถาปาโท สํวิชฺชติ, ตสฺมา ตาทิสานมฺปิ คาถานํ วเสน อฑฺฒเตยฺยคาถาสตํ ภาณวาโร โหตีติ กตฺวา ‘‘อกฺขรโต สตฺต อกฺขรสตสหสฺสานิ จตฺตาลีสญฺจ สหสฺสานิ เตปญฺญาสญฺจ อกฺขรานี’’ติ วุตฺตํฯ เอวญฺหิ ปทภาณวารคณนาหิ อกฺขรคณนา สํสนฺทติ, เนตรถาฯ ภาณวาโรติ จ ทฺวตฺติํสกฺขรานํ คาถานํ วเสน อฑฺฒเตยฺยคาถาสตํ, อยญฺจ อกฺขรคณนา ภาณวารคณนา จ ปทคณนานุสาเรน ลทฺธาติ เวทิตพฺพาฯ อิมเมว หิ อตฺถํ ญาเปตุํ สุตฺตคณนานนฺตรํ ภาณวาเร อคเณตฺวา ปทานิ คณิตานิฯ ตตฺริทํ วุจฺจติ –
Vaggatoti samūhato, so panettha dasakavasena veditabbo. Yebhuyyena hi sāsane dasake vaggavohāro. Tenevāha ‘‘ekekāya paṇṇāsāya pañca pañca vagge katvā’’ti. Pannarasavaggasamāyogāti pannarasavaggasaṃyogāti attho. Keci pana samāyogasaddaṃ samudāyatthaṃ vadanti. Padatoti ettha aṭṭhakkharo gāthāpādo ‘‘pada’’nti adhippeto, tasmā ‘‘akkharato cha akkharasatasahassāni caturāsītuttarasatādhikāni catucattālīsa sahassāni ca akkharānī’’ti pāṭhena bhavitabbanti vadanti. Yasmā pana navakkharo yāva dvādasakkharo ca gāthāpādo saṃvijjati, tasmā tādisānampi gāthānaṃ vasena aḍḍhateyyagāthāsataṃ bhāṇavāro hotīti katvā ‘‘akkharato satta akkharasatasahassāni cattālīsañca sahassāni tepaññāsañca akkharānī’’ti vuttaṃ. Evañhi padabhāṇavāragaṇanāhi akkharagaṇanā saṃsandati, netarathā. Bhāṇavāroti ca dvattiṃsakkharānaṃ gāthānaṃ vasena aḍḍhateyyagāthāsataṃ, ayañca akkharagaṇanā bhāṇavāragaṇanā ca padagaṇanānusārena laddhāti veditabbā. Imameva hi atthaṃ ñāpetuṃ suttagaṇanānantaraṃ bhāṇavāre agaṇetvā padāni gaṇitāni. Tatridaṃ vuccati –
‘‘ภาณวารา ยถาปิ หิ, มชฺฌิมสฺส ปกาสิตา;
‘‘Bhāṇavārā yathāpi hi, majjhimassa pakāsitā;
อุปฑฺฒภาณวาโร จ, เตวีสติปทาธิโกฯ
Upaḍḍhabhāṇavāro ca, tevīsatipadādhiko.
สตฺต สตสหสฺสานิ, อกฺขรานํ วิภาวเย;
Satta satasahassāni, akkharānaṃ vibhāvaye;
จตฺตาลีส สหสฺสานิ, เตปญฺญาสญฺจ อกฺขร’’นฺติฯ
Cattālīsa sahassāni, tepaññāsañca akkhara’’nti.
อนุสนฺธิโตติ เทสนานุสนฺธิโตฯ เอกสฺมิํ เอว หิ สุเตฺต ปุริมปจฺฉิมานํ เทสนาภาคานํ สมฺพโนฺธ อนุสนฺธานโต อนุสนฺธิฯ เอตฺถ จ อตฺตชฺฌาสยานุสนฺธิ ปรชฺฌาสยานุสนฺธีติ ทุวิโธ อชฺฌาสยานุสนฺธิฯ โส ปน กตฺถจิ เทสนาย วิปฺปกตาย ธมฺมํ สุณนฺตานํ ปุจฺฉาวเสน, กตฺถจิ เทเสนฺตสฺส สตฺถุ สาวกสฺส ธมฺมปฎิคฺคาหกานญฺจ อชฺฌาสยวเสน, กตฺถจิ เทเสตพฺพสฺส ธมฺมสฺส วเสน โหตีติ สมาสโต ติปฺปกาโรฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปุจฺฉานุสนฺธิอชฺฌาสยานุสนฺธิยถานุสนฺธิวเสน สเงฺขปโต ติวิโธ อนุสนฺธี’’ติฯ สเงฺขเปเนว จ จตุพฺพิโธ อนุสนฺธิ เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ ‘‘เอวํ วุเตฺต อญฺญตโร ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ ‘กิํ นุ โข, ภเนฺต, โอริมํ ตีรํ, กิํ ปาริมํ ตีรํ, โก มเชฺฌ สํสีโท, โก ถเล อุสฺสาโท, โก มนุสฺสคฺคาโห, โก อมนุสฺสคฺคาโห, โก อาวตฺตคฺคาโห, โก อโนฺตปูติภาโว’ติ’’ (สํ. นิ. ๔.๒๔๑)? เอวํ ปุจฺฉนฺตานํ วิสฺสเชฺชเนฺตน ภควตา ปวตฺติตเทสนาวเสน ปุจฺฉานุสนฺธี เวทิตโพฺพฯ ‘‘อถ โข อญฺญตรสฺส ภิกฺขุโน เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ ‘อิติ กิร โภ รูปํ อนตฺตา… เวทนา… สญฺญา… สงฺขารา… วิญฺญาณํ อนตฺตา, อนตฺตกตานิ กมฺมานิ กมตฺตานํ ผุสิสฺสนฺตี’ติฯ อถ โข ภควา ตสฺส ภิกฺขุโน เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย ภิกฺขู อามเนฺตสิ ฐานํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, วิชฺชติ, ยํ อิเธกโจฺจ โมฆปุริโส อวิทฺวา อวิชฺชาคโต ตณฺหาธิปเตเยฺยน เจตสา สตฺถุสาสนํ อติธาวิตพฺพํ มเญฺญยฺย ‘อิติ กิร โภ รูปํ อนตฺตา…เป.… ผุสิสฺสนฺตี’ติฯ ตํ กิํ มญฺญถ , ภิกฺขเว, รูปํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา’’ติ (ม. นิ. ๓.๙๐) เอวํ ปเรสํ อชฺฌาสยํ วิทิตฺวา ภควตา ปวตฺติตเทสนาวเสน ปรชฺฌาสยานุสนฺธิ เวทิตโพฺพฯ
Anusandhitoti desanānusandhito. Ekasmiṃ eva hi sutte purimapacchimānaṃ desanābhāgānaṃ sambandho anusandhānato anusandhi. Ettha ca attajjhāsayānusandhi parajjhāsayānusandhīti duvidho ajjhāsayānusandhi. So pana katthaci desanāya vippakatāya dhammaṃ suṇantānaṃ pucchāvasena, katthaci desentassa satthu sāvakassa dhammapaṭiggāhakānañca ajjhāsayavasena, katthaci desetabbassa dhammassa vasena hotīti samāsato tippakāro. Tena vuttaṃ ‘‘pucchānusandhiajjhāsayānusandhiyathānusandhivasena saṅkhepato tividho anusandhī’’ti. Saṅkhepeneva ca catubbidho anusandhi veditabbo. Tattha ‘‘evaṃ vutte aññataro bhikkhu bhagavantaṃ etadavoca ‘kiṃ nu kho, bhante, orimaṃ tīraṃ, kiṃ pārimaṃ tīraṃ, ko majjhe saṃsīdo, ko thale ussādo, ko manussaggāho, ko amanussaggāho, ko āvattaggāho, ko antopūtibhāvo’ti’’ (saṃ. ni. 4.241)? Evaṃ pucchantānaṃ vissajjentena bhagavatā pavattitadesanāvasena pucchānusandhī veditabbo. ‘‘Atha kho aññatarassa bhikkhuno evaṃ cetaso parivitakko udapādi ‘iti kira bho rūpaṃ anattā… vedanā… saññā… saṅkhārā… viññāṇaṃ anattā, anattakatāni kammāni kamattānaṃ phusissantī’ti. Atha kho bhagavā tassa bhikkhuno cetasā cetoparivitakkamaññāya bhikkhū āmantesi ṭhānaṃ kho panetaṃ, bhikkhave, vijjati, yaṃ idhekacco moghapuriso avidvā avijjāgato taṇhādhipateyyena cetasā satthusāsanaṃ atidhāvitabbaṃ maññeyya ‘iti kira bho rūpaṃ anattā…pe… phusissantī’ti. Taṃ kiṃ maññatha , bhikkhave, rūpaṃ niccaṃ vā aniccaṃ vā’’ti (ma. ni. 3.90) evaṃ paresaṃ ajjhāsayaṃ viditvā bhagavatā pavattitadesanāvasena parajjhāsayānusandhi veditabbo.
‘‘ตสฺส มยฺหํ พฺราหฺมณ เอตทโหสิ ‘ยํนูนาหํ ยา ตา รตฺติโย อภิญฺญาตา อภิลกฺขิตา จาตุทฺทสี ปญฺจทสี อฎฺฐมี จ ปกฺขสฺส, ตถารูปาสุ รตฺตีสุ ยานิ ตานิ อารามเจติยานิ วนเจติยานิ รุกฺขเจติยานิ ภิํสนกานิ สโลมหํสานิ, ตถารูเปสุ เสนาสเนสุ วิหเรยฺยํ อเปฺปว นามาหํ ภยเภรวํ ปเสฺสยฺย’นฺติ’’ (ม. นิ. ๑.๔๙) เอวํ ภควตา, ‘‘ตตฺราวุโส โลโภ จ ปาปโก โทโส จ ปาปโก โลภสฺส จ ปหานาย โทสสฺส จ ปหานาย อตฺถิ มชฺฌิมา ปฎิปทา, จกฺขุกรณี ญาณกรณี อุปสมาย อภิญฺญาย สโมฺพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๓) เอวํ ธมฺมเสนาปตินา จ อตฺตโน อชฺฌาสเยเนว ปวตฺติตเทสนาวเสน อตฺตชฺฌาสยานุสนฺธิ เวทิตโพฺพฯ เยน ปน ธเมฺมน อาทิมฺหิ เทสนา อุฎฺฐิตา, ตสฺส อนุรูปธมฺมวเสน วา ปฎิปกฺขธมฺมวเสน วา เยสุ สุเตฺตสุ อุปริ เทสนา อาคจฺฉติ, เตสํ วเสน ยถานุสนฺธิ เวทิตโพฺพฯ เสยฺยถิทํ อากเงฺขยฺยสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๖๕) เหฎฺฐา สีเลน เทสนา อุฎฺฐิตา, อุปริ อภิญฺญา อาคตาฯ วตฺถุสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๗๐) เหฎฺฐา กิเลเสน เทสนา อุฎฺฐิตา, อุปริ พฺรหฺมวิหารา อาคตาฯ โกสมฺพกสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๔๙๑) เหฎฺฐา ภณฺฑเนน เทสนา อุฎฺฐิตา, อุปริ สารณียธมฺมา อาคตาฯ กกจูปเม (ม. นิ. ๑.๒๒๒) เหฎฺฐา อกฺขนฺติยา วเสน เทสนา อุฎฺฐิตา, อุปริ กกจูปมา อาคตาติฯ
‘‘Tassa mayhaṃ brāhmaṇa etadahosi ‘yaṃnūnāhaṃ yā tā rattiyo abhiññātā abhilakkhitā cātuddasī pañcadasī aṭṭhamī ca pakkhassa, tathārūpāsu rattīsu yāni tāni ārāmacetiyāni vanacetiyāni rukkhacetiyāni bhiṃsanakāni salomahaṃsāni, tathārūpesu senāsanesu vihareyyaṃ appeva nāmāhaṃ bhayabheravaṃ passeyya’nti’’ (ma. ni. 1.49) evaṃ bhagavatā, ‘‘tatrāvuso lobho ca pāpako doso ca pāpako lobhassa ca pahānāya dosassa ca pahānāya atthi majjhimā paṭipadā, cakkhukaraṇī ñāṇakaraṇī upasamāya abhiññāya sambodhāya nibbānāya saṃvattatī’’ti (ma. ni. 1.33) evaṃ dhammasenāpatinā ca attano ajjhāsayeneva pavattitadesanāvasena attajjhāsayānusandhi veditabbo. Yena pana dhammena ādimhi desanā uṭṭhitā, tassa anurūpadhammavasena vā paṭipakkhadhammavasena vā yesu suttesu upari desanā āgacchati, tesaṃ vasena yathānusandhi veditabbo. Seyyathidaṃ ākaṅkheyyasutte (ma. ni. 1.65) heṭṭhā sīlena desanā uṭṭhitā, upari abhiññā āgatā. Vatthusutte (ma. ni. 1.70) heṭṭhā kilesena desanā uṭṭhitā, upari brahmavihārā āgatā. Kosambakasutte (ma. ni. 1.491) heṭṭhā bhaṇḍanena desanā uṭṭhitā, upari sāraṇīyadhammā āgatā. Kakacūpame (ma. ni. 1.222) heṭṭhā akkhantiyā vasena desanā uṭṭhitā, upari kakacūpamā āgatāti.
วิตฺถารโต ปเนตฺถาติ เอวํ สเงฺขปโต ติวิโธ จตุพฺพิโธ จ อนุสนฺธิ เอตฺถ เอตสฺมิํ มชฺฌิมนิกาเย ตสฺมิํ ตสฺมิํ สุเตฺต ยถารหํ วิตฺถารโต วิภชิตฺวา วิญฺญายมานา นวสตาธิกานิ ตีณิ อนุสนฺธิสหสฺสานิ โหนฺติฯ ยถา เจตํ ปณฺณาสาทิวิภาควจนํ มชฺฌิมสงฺคีติยา สรูปทสฺสนตฺถํ โหติ, เอวํ ปเกฺขปโทสปริหรณตฺถญฺจ โหติฯ เอวญฺหิ ปณฺณาสาทีสุ ววตฺถิเตสุ ตพฺพินิมุตฺตํ กิญฺจิ สุตฺตํ ยาว เอกํ ปทมฺปิ อาเนตฺวา อิมํ มชฺฌิมสงฺคีติยาติ กสฺสจิ วตฺตุํ โอกาโส น สิยาติฯ
Vitthārato panetthāti evaṃ saṅkhepato tividho catubbidho ca anusandhi ettha etasmiṃ majjhimanikāye tasmiṃ tasmiṃ sutte yathārahaṃ vitthārato vibhajitvā viññāyamānā navasatādhikāni tīṇi anusandhisahassāni honti. Yathā cetaṃ paṇṇāsādivibhāgavacanaṃ majjhimasaṅgītiyā sarūpadassanatthaṃ hoti, evaṃ pakkhepadosapariharaṇatthañca hoti. Evañhi paṇṇāsādīsu vavatthitesu tabbinimuttaṃ kiñci suttaṃ yāva ekaṃ padampi ānetvā imaṃ majjhimasaṅgītiyāti kassaci vattuṃ okāso na siyāti.
เอวํ ปณฺณาสวคฺคสุตฺตภาณวารานุสนฺธิพฺยญฺชนโต มชฺฌิมสงฺคีติํ ววตฺถเปตฺวา อิทานิ นํ อาทิโต ปฎฺฐาย สํวเณฺณตุกาโม อตฺตโน สํวณฺณนาย ตสฺสา ปฐมมหาสงฺคีติยํ นิกฺขิตฺตานุกฺกเมเนว ปวตฺตภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ ปณฺณาสาสุ มูลปณฺณาสา อาที’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยถาปจฺจยํ ตตฺถ ตตฺถ เทสิตตฺตา ปญฺญตฺตตฺตา จ วิปฺปกิณฺณานํ ธมฺมวินยานํ สงฺคเหตฺวา คายนํ กถนํ สงฺคีติ, มหาวิสยตฺตา ปูชนียตฺตา จ มหตี สงฺคีตีติ มหาสงฺคีติ, ปฐมา มหาสงฺคีติ ปฐมมหาสงฺคีติ, ตสฺสา ปวตฺติตกาโล ปฐมมหาสงฺคีติกาโล, ตสฺมิํ ปฐมมหาสงฺคีติกาเลฯ นิททาติ เทสนํ เทสกาลาทิวเสน อวิทิตํ วิทิตํ กตฺวา นิทเสฺสตีติ นิทานํ, โย โลกิเยหิ ‘‘อุโปคฺฆาโต’’ติ วุจฺจติ, สฺวายเมตฺถ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทิโก คโนฺถ เวทิตโพฺพ, น ปน ‘‘สนิทานาหํ, ภิกฺขเว, ธมฺมํ เทเสมี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๑๒๖) วิย อชฺฌาสยาทิเทสนุปฺปตฺติเหตุฯ เตเนวาห ‘‘เอวํ เม สุตนฺติอาทิกํ อายสฺมตา อานเนฺทน ปฐมมหาสงฺคีติกาเล วุตฺตํ นิทานมาที’’ติฯ กามเญฺจตฺถ ยสฺสํ ปฐมมหาสงฺคีติยํ นิกฺขิตฺตานุกฺกเมน สํวณฺณนํ กตฺตุกาโม, สา วิตฺถารโต วตฺตพฺพาฯ สุมงฺคลวิลาสินิยํ (ที. นิ. ฎี. ๑.นิทานกถาวณฺณนา) ปน อตฺตนา วิตฺถาริตตฺตา ตเตฺถว คเหตพฺพาติ อิมิสฺสา สํวณฺณนาย มหนฺตตํ ปริหรโนฺต ‘‘สา ปเนสา’’ติอาทิมาหฯ
Evaṃ paṇṇāsavaggasuttabhāṇavārānusandhibyañjanato majjhimasaṅgītiṃ vavatthapetvā idāni naṃ ādito paṭṭhāya saṃvaṇṇetukāmo attano saṃvaṇṇanāya tassā paṭhamamahāsaṅgītiyaṃ nikkhittānukkameneva pavattabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘tattha paṇṇāsāsu mūlapaṇṇāsā ādī’’tiādimāha. Tattha yathāpaccayaṃ tattha tattha desitattā paññattattā ca vippakiṇṇānaṃ dhammavinayānaṃ saṅgahetvā gāyanaṃ kathanaṃ saṅgīti, mahāvisayattā pūjanīyattā ca mahatī saṅgītīti mahāsaṅgīti, paṭhamā mahāsaṅgīti paṭhamamahāsaṅgīti, tassā pavattitakālo paṭhamamahāsaṅgītikālo, tasmiṃ paṭhamamahāsaṅgītikāle. Nidadāti desanaṃ desakālādivasena aviditaṃ viditaṃ katvā nidassetīti nidānaṃ, yo lokiyehi ‘‘upogghāto’’ti vuccati, svāyamettha ‘‘evaṃ me suta’’ntiādiko gantho veditabbo, na pana ‘‘sanidānāhaṃ, bhikkhave, dhammaṃ desemī’’tiādīsu (a. ni. 3.126) viya ajjhāsayādidesanuppattihetu. Tenevāha ‘‘evaṃ me sutantiādikaṃ āyasmatā ānandena paṭhamamahāsaṅgītikāle vuttaṃ nidānamādī’’ti. Kāmañcettha yassaṃ paṭhamamahāsaṅgītiyaṃ nikkhittānukkamena saṃvaṇṇanaṃ kattukāmo, sā vitthārato vattabbā. Sumaṅgalavilāsiniyaṃ (dī. ni. ṭī. 1.nidānakathāvaṇṇanā) pana attanā vitthāritattā tattheva gahetabbāti imissā saṃvaṇṇanāya mahantataṃ pariharanto ‘‘sā panesā’’tiādimāha.
นิทานกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Nidānakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
๑. มูลปริยายวโคฺค
1. Mūlapariyāyavaggo
๑. มูลปริยายสุตฺตวณฺณนา
1. Mūlapariyāyasuttavaṇṇanā
อพฺภนฺตรนิทานวณฺณนา
Abbhantaranidānavaṇṇanā
๑. เอวํ พาหิรนิทาเน วตฺตพฺพํ อติทิสิตฺวา อิทานิ อภนฺตรนิทานํ อาทิโต ปฎฺฐาย สํวเณฺณตุํ ‘‘ยํ ปเนต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยสฺมา สํวณฺณนํ กโรเนฺตน สํวเณฺณตเพฺพ ธเมฺม ปทวิภาคํ ปทตฺถญฺจ ทเสฺสตฺวา ตโต ปรํ ปิณฺฑตฺตาทิทสฺสนวเสน สํวณฺณนา กาตพฺพา, ตสฺมา ปทานิ ตาว ทเสฺสโนฺต ‘‘เอวนฺติ นิปาตปท’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปทวิภาโคติ ปทานํ วิเสโส, น ปทวิคฺคโหฯ อถ วา ปทานิ จ ปทวิภาโค จ ปทวิภาโค, ปทวิคฺคโห จ ปทวิภาโค จ ปทวิภาโคติ วา เอกเสสวเสน ปทปทวิคฺคหา ปทวิภาคสเทฺทน วุตฺตาติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ ปทวิคฺคโห ‘‘สุภคญฺจ ตํ วนญฺจาติ สุภควนํ, สาลานํ ราชา, สาโล จ โส ราชา จ อิติปิ สาลราชา’’ติอาทิวเสน สมาสปเทสุ ทฎฺฐโพฺพฯ
1. Evaṃ bāhiranidāne vattabbaṃ atidisitvā idāni abhantaranidānaṃ ādito paṭṭhāya saṃvaṇṇetuṃ ‘‘yaṃ paneta’’ntiādi vuttaṃ. Tattha yasmā saṃvaṇṇanaṃ karontena saṃvaṇṇetabbe dhamme padavibhāgaṃ padatthañca dassetvā tato paraṃ piṇḍattādidassanavasena saṃvaṇṇanā kātabbā, tasmā padāni tāva dassento ‘‘evanti nipātapada’’ntiādimāha. Tattha padavibhāgoti padānaṃ viseso, na padaviggaho. Atha vā padāni ca padavibhāgo ca padavibhāgo, padaviggaho ca padavibhāgo ca padavibhāgoti vā ekasesavasena padapadaviggahā padavibhāgasaddena vuttāti veditabbaṃ. Tattha padaviggaho ‘‘subhagañca taṃ vanañcāti subhagavanaṃ, sālānaṃ rājā, sālo ca so rājā ca itipi sālarājā’’tiādivasena samāsapadesu daṭṭhabbo.
อตฺถโตติ ปทตฺถโตฯ ตํ ปน ปทตฺถํ อตฺถุทฺธารกฺกเมน ปฐมํ เอวํสทฺทสฺส ทเสฺสโนฺต ‘‘เอวํ-สโทฺท ตาวา’’ติอาทิมาหฯ อวธารณาทีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน อิทมตฺถปุจฺฉาปริมาณาทิอตฺถานํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ ตถา หิ ‘‘เอวํคตานิ ปุถุสิปฺปายตนานิ (ที. นิ. ๑.๑๖๓), เอววิโธ เอวมากาโร’’ติ จ อาทีสุ อิทํ-สทฺทสฺส อเตฺถ เอวํ-สโทฺทฯ คต-สโทฺท หิ ปการปริยาโย, ตถา วิธาการ-สทฺทา จฯ ตถา หิ วิธยุตฺตคต-สเทฺท โลกิยา ปการเตฺถ วทนฺติฯ ‘‘เอวํ สุ เต สุนฺหาตา สุวิลิตฺตา กปฺปิตเกสมสฺสู อามุกฺกมณิกุณฺฑลาภรณา โอทาตวตฺถวสนา ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิตา สมงฺคีภูตา ปริจาเรนฺติ, เสยฺยถาปิ ตฺวํ เอตรหิ สาจริยโกติฯ โน หิทํ, โภ โคตมา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๘๖) ปุจฺฉายํฯ ‘‘เอวํลหุปริวตฺตํ (อ. นิ. ๑.๔๘) เอวมายุปริยโนฺต’’ติ (ปารา. ๑๒) จ อาทีสุ ปริมาเณฯ
Atthatoti padatthato. Taṃ pana padatthaṃ atthuddhārakkamena paṭhamaṃ evaṃsaddassa dassento ‘‘evaṃ-saddo tāvā’’tiādimāha. Avadhāraṇādīti ettha ādi-saddena idamatthapucchāparimāṇādiatthānaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Tathā hi ‘‘evaṃgatāni puthusippāyatanāni (dī. ni. 1.163), evavidho evamākāro’’ti ca ādīsu idaṃ-saddassa atthe evaṃ-saddo. Gata-saddo hi pakārapariyāyo, tathā vidhākāra-saddā ca. Tathā hi vidhayuttagata-sadde lokiyā pakāratthe vadanti. ‘‘Evaṃ su te sunhātā suvilittā kappitakesamassū āmukkamaṇikuṇḍalābharaṇā odātavatthavasanā pañcahi kāmaguṇehi samappitā samaṅgībhūtā paricārenti, seyyathāpi tvaṃ etarahi sācariyakoti. No hidaṃ, bho gotamā’’tiādīsu (dī. ni. 1.286) pucchāyaṃ. ‘‘Evaṃlahuparivattaṃ (a. ni. 1.48) evamāyupariyanto’’ti (pārā. 12) ca ādīsu parimāṇe.
นนุ จ ‘‘เอวํ สุ เต สุนฺหาตา สุวิลิตฺตา, เอวมายุปริยโนฺต’’ติ เอตฺถ เอวํ-สเทฺทน ปุจฺฉนาการปริมาณาการานํ วุตฺตตฺตา อาการโตฺถ เอว เอวํ-สโทฺทติ? น, วิเสสสพฺภาวโตฯ อาการมตฺตวาจโก หิ เอวํ-สโทฺท อาการโตฺถติ อธิเปฺปโต ยถา ‘‘เอวํ พฺยา โข’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๓๔, ๓๙๖), น ปน อาการวิเสสวาจโกฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘เอวํ ชาเตน มเจฺจนา’’ติอาทีนิ อุปมาทิอุทาหรณานิ อุปปนฺนานิ โหนฺติฯ ตถา หิ ‘‘ยถาปิ…เป.… พหุ’’นฺติ (ธ. ป. ๕๓) เอตฺถ ปุปฺผราสิฎฺฐานิยโต มนุสฺสูปปตฺติ-สปฺปุริสูปนิสฺสย-สทฺธมฺมสฺสวน-โยนิโสมนสิการ- โภคสมฺปตฺติ-อาทิทานาทิ-ปุญฺญกิริยเหตุสมุทายโต โสภา-สุคนฺธตาทิคุณโยคโต มาลาคุณสทิสิโย ปหูตา ปุญฺญกิริยา มริตพฺพสภาวตาย มเจฺจน สเตฺตน กตฺตพฺพาติ โชติตตฺตา ปุปฺผราสิมาลาคุณาว อุปมา, เตสํ อุปมากาโร ยถา-สเทฺทน อนิยมโต วุโตฺตติ ‘‘เอวํ-สโทฺท อุปมาการนิคมนโตฺถ’’ติ วตฺตุํ ยุตฺตํฯ โส ปน อุปมากาโร นิยมิยมาโน อตฺถโต อุปมาว โหตีติ อาห ‘‘อุปมายํ อาคโต’’ติฯ ตถา ‘‘เอวํ อิมินา อากาเรน อภิกฺกมิตพฺพ’’นฺติอาทินา อุปทิสิยมานาย สมณสารุปฺปาย อากปฺปสมฺปตฺติยา โย ตตฺถ อุปทิสนากาโร, โส อตฺถโต อุปเทโส เอวาติ วุตฺตํ ‘‘เอวํ เต…เป.… อุปเทเส’’ติฯ ตถา ‘‘เอวเมตํ ภควา, เอวเมตํ สุคตา’’ติ เอตฺถ จ ภควตา ยถาวุตฺตมตฺถํ อวิปรีตโต ชานเนฺตหิ กตํ ตตฺถ สํวิชฺชมานคุณานํ ปกาเรหิ หํสนํ อุทคฺคตากรณํ สมฺปหํสนํฯ โย ตตฺถ สมฺปหํสนากาโรติ โยเชตพฺพํฯ
Nanu ca ‘‘evaṃ su te sunhātā suvilittā, evamāyupariyanto’’ti ettha evaṃ-saddena pucchanākāraparimāṇākārānaṃ vuttattā ākārattho eva evaṃ-saddoti? Na, visesasabbhāvato. Ākāramattavācako hi evaṃ-saddo ākāratthoti adhippeto yathā ‘‘evaṃ byā kho’’tiādīsu (ma. ni. 1.234, 396), na pana ākāravisesavācako. Evañca katvā ‘‘evaṃ jātena maccenā’’tiādīni upamādiudāharaṇāni upapannāni honti. Tathā hi ‘‘yathāpi…pe… bahu’’nti (dha. pa. 53) ettha puppharāsiṭṭhāniyato manussūpapatti-sappurisūpanissaya-saddhammassavana-yonisomanasikāra- bhogasampatti-ādidānādi-puññakiriyahetusamudāyato sobhā-sugandhatādiguṇayogato mālāguṇasadisiyo pahūtā puññakiriyā maritabbasabhāvatāya maccena sattena kattabbāti jotitattā puppharāsimālāguṇāva upamā, tesaṃ upamākāro yathā-saddena aniyamato vuttoti ‘‘evaṃ-saddo upamākāranigamanattho’’ti vattuṃ yuttaṃ. So pana upamākāro niyamiyamāno atthato upamāva hotīti āha ‘‘upamāyaṃ āgato’’ti. Tathā ‘‘evaṃ iminā ākārena abhikkamitabba’’ntiādinā upadisiyamānāya samaṇasāruppāya ākappasampattiyā yo tattha upadisanākāro, so atthato upadeso evāti vuttaṃ ‘‘evaṃ te…pe… upadese’’ti. Tathā ‘‘evametaṃ bhagavā, evametaṃ sugatā’’ti ettha ca bhagavatā yathāvuttamatthaṃ aviparītato jānantehi kataṃ tattha saṃvijjamānaguṇānaṃ pakārehi haṃsanaṃ udaggatākaraṇaṃ sampahaṃsanaṃ. Yo tattha sampahaṃsanākāroti yojetabbaṃ.
เอวเมวํ ปนายนฺติ เอตฺถ ครหณากาโรติ โยเชตพฺพํ, โส จ ครหณากาโร ‘‘วสลี’’ติอาทิขุํสนสทฺทสนฺนิธานโต อิธ เอวํ-สเทฺทน ปกาสิโตติ วิญฺญายติฯ ยถา เจตฺถ, เอวํ อุปมาการาทโยปิ อุปมาทิวเสน วุตฺตานํ ปุปฺผราสิอาทิสทฺทานํ สนฺนิธานโต ทฎฺฐพฺพํฯ เอวํ, ภเนฺตติ ปน ธมฺมสฺส สาธุกํ สวนมนสิกาเร สนฺนิโยชิเตหิ ภิกฺขูหิ อตฺตโน ตตฺถ ฐิตภาวสฺส ปฎิชานนวเสน วุตฺตตฺตา เอตฺถ เอวํ-สโทฺท วจนสมฺปฎิจฺฉนโตฺถ วุโตฺตฯ เตน เอวํ, ภเนฺต สาธุ, ภเนฺต, สุฎฺฐุ, ภเนฺตติ วุตฺตํ โหติฯ เอวญฺจ วเทหีติ ‘‘ยถาหํ วทามิ, เอวํ สมณํ อานนฺทํ วเทหี’’ติ โย เอวํ วทนากาโร อิทานิ วตฺตโพฺพฯ โส เอวํสเทฺทน นิทสฺสียตีติ ‘‘นิทสฺสเน’’ติ วุโตฺตติฯ เอวํ โนติ เอตฺถาปิ เตสํ ยถาวุตฺตธมฺมานํ อหิตทุกฺขาวหภาเว สนฺนิฎฺฐานชนนตฺถํ อนุมติคหณวเสน ‘‘สํวตฺตนฺติ วา โน วา, กถํ โว เอตฺถ โหตี’’ติ ปุจฺฉาย กตาย ‘‘เอวํ โน เอตฺถ โหตี’’ติ วุตฺตตฺตา ตทาการสนฺนิฎฺฐานํ เอวํ-สเทฺทน วิภาวิตนฺติ วิญฺญายติฯ โส ปน เตสํ ธมฺมานํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนากาโร นิยมิยมาโน อวธารณโตฺถ โหตีติ อาห ‘‘เอวํ โน เอตฺถ โหตีติอาทีสุ อวธารเณ’’ติฯ
Evamevaṃ panāyanti ettha garahaṇākāroti yojetabbaṃ, so ca garahaṇākāro ‘‘vasalī’’tiādikhuṃsanasaddasannidhānato idha evaṃ-saddena pakāsitoti viññāyati. Yathā cettha, evaṃ upamākārādayopi upamādivasena vuttānaṃ puppharāsiādisaddānaṃ sannidhānato daṭṭhabbaṃ. Evaṃ, bhanteti pana dhammassa sādhukaṃ savanamanasikāre sanniyojitehi bhikkhūhi attano tattha ṭhitabhāvassa paṭijānanavasena vuttattā ettha evaṃ-saddo vacanasampaṭicchanattho vutto. Tena evaṃ, bhante sādhu, bhante, suṭṭhu, bhanteti vuttaṃ hoti. Evañca vadehīti ‘‘yathāhaṃ vadāmi, evaṃ samaṇaṃ ānandaṃ vadehī’’ti yo evaṃ vadanākāro idāni vattabbo. So evaṃsaddena nidassīyatīti ‘‘nidassane’’ti vuttoti. Evaṃ noti etthāpi tesaṃ yathāvuttadhammānaṃ ahitadukkhāvahabhāve sanniṭṭhānajananatthaṃ anumatigahaṇavasena ‘‘saṃvattanti vā no vā, kathaṃ vo ettha hotī’’ti pucchāya katāya ‘‘evaṃ no ettha hotī’’ti vuttattā tadākārasanniṭṭhānaṃ evaṃ-saddena vibhāvitanti viññāyati. So pana tesaṃ dhammānaṃ ahitāya dukkhāya saṃvattanākāro niyamiyamāno avadhāraṇattho hotīti āha ‘‘evaṃ no ettha hotītiādīsu avadhāraṇe’’ti.
นานานยนิปุณนฺติ เอกตฺตนานตฺตอพฺยาปารเอวํธมฺมตาสงฺขาตา, นนฺทิยาวตฺตติปุกฺขลสีหวิกฺกีฬิตองฺกุสทิสาโลจนสงฺขาตา วา อาธาราทิเภทวเสน นานาวิธา นยา นานานยา, นยา วา ปาฬิคติโย, ตา จ ปญฺญตฺติอนุปญฺญตฺติอาทิวเสน สํกิเลสภาคิยาทิโลกิยาทิตทุภยโวมิสฺสกาทิวเสน กุสลาทิวเสน ขนฺธาทิวเสน สงฺคหาทิวเสน สมยวิมุตฺตาทิวเสน ฐปนาทิวเสน กุสลมูลาทิวเสน ติกปฺปฎฺฐานาทิวเสน จ นานปฺปการาติ นานานยาฯ เตหิ นิปุณํ สณฺหํ สุขุมนฺติ นานานยนิปุณํฯ อาสโยว อชฺฌาสโย, เต จ สสฺสตาทิเภเทน, ตตฺถ จ อปฺปรชกฺขตาทิเภเทน อเนเก, อตฺตชฺฌาสยาทโย เอว วา สมุฎฺฐานํ อุปฺปตฺติเหตุ เอตสฺสาติ อเนกชฺฌาสยสมุฎฺฐานํฯ อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนนฺติ อตฺถพฺยญฺชนปริปุณฺณํ อุปเนตพฺพาภาวโต, สงฺกาสนปกาสน-วิวรณ-วิภชน-อุตฺตานีกรณ-ปญฺญตฺติวเสน ฉหิ อตฺถปเทหิ, อกฺขร-ปทพฺยญฺชนาการนิรุตฺตินิเทฺทสวเสน ฉหิ พฺยญฺชนปเทหิ จ สมนฺนาคตนฺติ วา อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Nānānayanipuṇanti ekattanānattaabyāpāraevaṃdhammatāsaṅkhātā, nandiyāvattatipukkhalasīhavikkīḷitaaṅkusadisālocanasaṅkhātā vā ādhārādibhedavasena nānāvidhā nayā nānānayā, nayā vā pāḷigatiyo, tā ca paññattianupaññattiādivasena saṃkilesabhāgiyādilokiyāditadubhayavomissakādivasena kusalādivasena khandhādivasena saṅgahādivasena samayavimuttādivasena ṭhapanādivasena kusalamūlādivasena tikappaṭṭhānādivasena ca nānappakārāti nānānayā. Tehi nipuṇaṃ saṇhaṃ sukhumanti nānānayanipuṇaṃ. Āsayova ajjhāsayo, te ca sassatādibhedena, tattha ca apparajakkhatādibhedena aneke, attajjhāsayādayo eva vā samuṭṭhānaṃ uppattihetu etassāti anekajjhāsayasamuṭṭhānaṃ. Atthabyañjanasampannanti atthabyañjanaparipuṇṇaṃ upanetabbābhāvato, saṅkāsanapakāsana-vivaraṇa-vibhajana-uttānīkaraṇa-paññattivasena chahi atthapadehi, akkhara-padabyañjanākāraniruttiniddesavasena chahi byañjanapadehi ca samannāgatanti vā attho daṭṭhabbo.
วิวิธปาฎิหาริยนฺติ เอตฺถ ปาฎิหาริยปทสฺส วจนตฺถํ (อุทา. อฎฺฐ. ๑; อิติวุ. อฎฺฐ. นิทานวณฺณนา; สํ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑ เทวตาสํยุตฺต) ‘‘ปฎิปกฺขหรณโต, ราคาทิกิเลสาปนยนโต จ ปาฎิหาริย’’นฺติ วทนฺติ, ภควโต ปน ปฎิปกฺขา ราคาทโย น สนฺติ, เย หริตพฺพาฯ ปุถุชฺชนานมฺปิ วิคตูปกฺกิเลเส อฎฺฐคุณสมนฺนาคเต จิเตฺต หตปฎิปเกฺข อิทฺธิวิธํ ปวตฺตติ, ตสฺมา ตตฺถ ปวตฺตโวหาเรน จ น สกฺกา อิธ ‘‘ปาฎิหาริย’’นฺติ วตฺตุํฯ สเจ ปน มหาการุณิกสฺส ภควโต เวเนยฺยคตา จ กิเลสา ปฎิปกฺขา, เตสํ หรณโต ‘‘ปาฎิหาริย’’นฺติ วุตฺตํ, เอวํ สติ ยุตฺตเมตํฯ อถ วา ภควโต จ สาสนสฺส จ ปฎิปกฺขา ติตฺถิยา, เตสํ หรณโต ปาฎิหาริยํฯ เต หิ ทิฎฺฐิหรณวเสน ทิฎฺฐิปกาสเน อสมตฺถภาเวน จ อิทฺธิอาเทสนานุสาสนีหิ หริตา อปนีตา โหนฺตีติ ฯ ‘‘ปฎี’’ติ วา อยํ สโทฺท ‘‘ปจฺฉา’’ติ เอตสฺส อตฺถํ โพเธติ ‘‘ตสฺมิํ ปฎิปวิฎฺฐมฺหิ, อโญฺญ อาคญฺฉิ พฺราหฺมโณ’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๙๘๕; จูฬนิ. ๔) วิย, ตสฺมา สมาหิเต จิเตฺต วิคตูปกฺกิเลเส จ กตกิเจฺจน ปจฺฉา หริตพฺพํ ปวเตฺตตพฺพนฺติ ปาฎิหาริยํ, อตฺตโน วา อุปกฺกิเลเสสุ จตุตฺถชฺฌานมเคฺคหิ หริเตสุ ปจฺฉา หรณํ ปาฎิหาริยํ, อิทฺธิอาเทสนานุสาสนิโย จ วิคตูปกฺกิเลเสน กตกิเจฺจน จ สตฺตหิตตฺถํ ปุน ปวเตฺตตพฺพา, หริเตสุ จ อตฺตโน อุปกฺกิเลเสสุ ปรสตฺตานํ อุปกิเลสหรณานิ โหนฺตีติ ปาฎิหาริยานิ ภวนฺติฯ ปาฎิหาริยเมว ปาฎิหาริยํ, ปาฎิหาริเย วา อิทฺธิอาเทสนานุสาสนิสมุทาเย ภวํ เอกเมกํ ปาฎิหาริยนฺติ วุจฺจติฯ ปาฎิหาริยํ วา จตุตฺถชฺฌานํ มโคฺค จ ปฎิปกฺขหรณโต, ตตฺถ ชาตํ, ตสฺมิํ วา นิมิตฺตภูเต, ตโต วา อาคตนฺติ ปาฎิหาริยํฯ ตสฺส ปน อิทฺธิอาทิเภเทน วิสยเภเทน จ พหุวิธสฺส ภควโต เทสนายํ ลพฺภมานตฺตา อาห ‘‘วิวิธปาฎิหาริย’’นฺติฯ
Vividhapāṭihāriyanti ettha pāṭihāriyapadassa vacanatthaṃ (udā. aṭṭha. 1; itivu. aṭṭha. nidānavaṇṇanā; saṃ. ni. ṭī. 1.1.1 devatāsaṃyutta) ‘‘paṭipakkhaharaṇato, rāgādikilesāpanayanato ca pāṭihāriya’’nti vadanti, bhagavato pana paṭipakkhā rāgādayo na santi, ye haritabbā. Puthujjanānampi vigatūpakkilese aṭṭhaguṇasamannāgate citte hatapaṭipakkhe iddhividhaṃ pavattati, tasmā tattha pavattavohārena ca na sakkā idha ‘‘pāṭihāriya’’nti vattuṃ. Sace pana mahākāruṇikassa bhagavato veneyyagatā ca kilesā paṭipakkhā, tesaṃ haraṇato ‘‘pāṭihāriya’’nti vuttaṃ, evaṃ sati yuttametaṃ. Atha vā bhagavato ca sāsanassa ca paṭipakkhā titthiyā, tesaṃ haraṇato pāṭihāriyaṃ. Te hi diṭṭhiharaṇavasena diṭṭhipakāsane asamatthabhāvena ca iddhiādesanānusāsanīhi haritā apanītā hontīti . ‘‘Paṭī’’ti vā ayaṃ saddo ‘‘pacchā’’ti etassa atthaṃ bodheti ‘‘tasmiṃ paṭipaviṭṭhamhi, añño āgañchi brāhmaṇo’’tiādīsu (su. ni. 985; cūḷani. 4) viya, tasmā samāhite citte vigatūpakkilese ca katakiccena pacchā haritabbaṃ pavattetabbanti pāṭihāriyaṃ, attano vā upakkilesesu catutthajjhānamaggehi haritesu pacchā haraṇaṃ pāṭihāriyaṃ, iddhiādesanānusāsaniyo ca vigatūpakkilesena katakiccena ca sattahitatthaṃ puna pavattetabbā, haritesu ca attano upakkilesesu parasattānaṃ upakilesaharaṇāni hontīti pāṭihāriyāni bhavanti. Pāṭihāriyameva pāṭihāriyaṃ, pāṭihāriye vā iddhiādesanānusāsanisamudāye bhavaṃ ekamekaṃ pāṭihāriyanti vuccati. Pāṭihāriyaṃ vā catutthajjhānaṃ maggo ca paṭipakkhaharaṇato, tattha jātaṃ, tasmiṃ vā nimittabhūte, tato vā āgatanti pāṭihāriyaṃ. Tassa pana iddhiādibhedena visayabhedena ca bahuvidhassa bhagavato desanāyaṃ labbhamānattā āha ‘‘vividhapāṭihāriya’’nti.
น อญฺญถาติ ภควโต สมฺมุขา สุตาการโต น อญฺญถาติ อโตฺถ, น ปน ภควโต เทสิตาการโตฯ อจิเนฺตยฺยานุภาวา หิ ภควโต เทสนาฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘สพฺพปฺปกาเรน โก สมโตฺถ วิญฺญาตุ’’นฺติ อิทํ วจนํ สมตฺถิตํ ภวติ, ธารณพลทสฺสนญฺจ น วิรุชฺฌติ สุตาการาวิรชฺฌนสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ น เหตฺถ อตฺถนฺตรตาปริหาโร ทฺวินฺนมฺปิ อตฺถานํ เอกวิสยตฺตาฯ อิตรถา เถโร ภควโต เทสนาย สพฺพถา ปฎิคฺคหเณ สมโตฺถ อสมโตฺถ จาติ อาปเชฺชยฺยาติฯ
Na aññathāti bhagavato sammukhā sutākārato na aññathāti attho, na pana bhagavato desitākārato. Acinteyyānubhāvā hi bhagavato desanā. Evañca katvā ‘‘sabbappakārena ko samattho viññātu’’nti idaṃ vacanaṃ samatthitaṃ bhavati, dhāraṇabaladassanañca na virujjhati sutākārāvirajjhanassa adhippetattā. Na hettha atthantaratāparihāro dvinnampi atthānaṃ ekavisayattā. Itarathā thero bhagavato desanāya sabbathā paṭiggahaṇe samattho asamattho cāti āpajjeyyāti.
‘‘โย ปโร น โหติ, โส อตฺตา’’ติ เอวํ วุตฺตาย นิยกชฺฌตฺตสงฺขาตาย สสนฺตติยา วตฺตนโต ติวิโธปิ เม-สโทฺท กิญฺจาปิ เอกสฺมิํเยว อเตฺถ ทิสฺสติ, กรณสมฺปทานสามินิเทฺทสวเสน ปน วิชฺชมานํ เภทํ สนฺธายาห ‘‘เม-สโทฺท ตีสุ อเตฺถสุ ทิสฺสตี’’ติฯ
‘‘Yo paro na hoti, so attā’’ti evaṃ vuttāya niyakajjhattasaṅkhātāya sasantatiyā vattanato tividhopi me-saddo kiñcāpi ekasmiṃyeva atthe dissati, karaṇasampadānasāminiddesavasena pana vijjamānaṃ bhedaṃ sandhāyāha ‘‘me-saddo tīsu atthesu dissatī’’ti.
กิญฺจาปิ อุปสโคฺค กิริยํ วิเสเสติ, โชตกภาวโต ปน สติปิ ตสฺมิํ สุตสโทฺท เอว ตํ ตมตฺถํ วทตีติ อนุปสคฺคสฺส สุตสทฺทสฺส อตฺถุทฺธาเร สอุปสคฺคสฺส คหณํ น วิรุชฺฌตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สอุปสโคฺค จ อนุปสโคฺค จา’’ติอาทิมาหฯ อสฺสาติ สุตสทฺทสฺสฯ กมฺมภาวสาธนานิ อิธ สุตสเทฺท สมฺภวนฺตีติ วุตฺตํ ‘‘อุปธาริตนฺติ วา อุปธารณนฺติ วา อโตฺถ’’ติฯ มยาติ อเตฺถ สตีติ ยทา เม-สทฺทสฺส กตฺตุวเสน กรณนิเทฺทโส, ตทาติ อโตฺถฯ มมาติ อเตฺถ สตีติ ยทา สมฺพนฺธวเสน สามินิเทฺทโส, ตทาฯ
Kiñcāpi upasaggo kiriyaṃ viseseti, jotakabhāvato pana satipi tasmiṃ sutasaddo eva taṃ tamatthaṃ vadatīti anupasaggassa sutasaddassa atthuddhāre saupasaggassa gahaṇaṃ na virujjhatīti dassento ‘‘saupasaggo ca anupasaggo cā’’tiādimāha. Assāti sutasaddassa. Kammabhāvasādhanāni idha sutasadde sambhavantīti vuttaṃ ‘‘upadhāritanti vā upadhāraṇanti vā attho’’ti. Mayāti atthe satīti yadā me-saddassa kattuvasena karaṇaniddeso, tadāti attho. Mamāti atthe satīti yadā sambandhavasena sāminiddeso, tadā.
สุต-สทฺทสนฺนิธาเน ปยุเตฺตน เอวํ-สเทฺทน สวนกิริยาโชตเกน ภวิตพฺพนฺติ วุตฺตํ ‘‘เอวนฺติ โสตวิญฺญาณาทิวิญฺญาณกิจฺจนิทสฺสน’’นฺติฯ อาทิ-สเทฺทน สมฺปฎิจฺฉนาทีนํ ปญฺจทฺวาริกวิญฺญาณานํ ตทภินีหฎานญฺจ มโนทฺวาริกวิญฺญาณานํ คหณํ เวทิตพฺพํฯ สเพฺพสมฺปิ วากฺยานํ เอว-การตฺถสหิตตฺตา ‘‘สุต’’นฺติ เอตสฺส สุตเมวาติ อยมโตฺถ ลพฺภตีติ อาห ‘‘อสฺสวนภาวปฎิเกฺขปโต’’ติฯ เอเตน อวธารเณน นิราสงฺกตํ ทเสฺสติฯ ยถา จ สุตํ สุตเมวาติ นิยเมตพฺพํ, ตํ สมฺมา สุตํ โหตีติ อาห ‘‘อนูนานธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสน’’นฺติฯ อถ วา สทฺทนฺตรตฺถาโปหนวเสน สโทฺท อตฺถํ วทตีติ สุตนฺติ อสุตํ น โหตีติ อยเมตสฺส อโตฺถติ วุตฺตํ ‘‘อสฺสวนภาวปฎิเกฺขปโต’’ติ ฯ อิมินา ทิฎฺฐาทิวินิวตฺตนํ กโรติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ ‘‘น อิทํ มยา ทิฎฺฐํ, น สยมฺภุญาเณน สจฺฉิกตํ, อถ โข สุตํ, ตญฺจ โข สมฺมเทวา’’ติฯ เตเนวาห – ‘‘อนูนานธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสน’’นฺติฯ อวธารณเตฺถ วา เอวํ-สเทฺท อยมตฺถโยชนา กรียตีติ ตทเปกฺขสฺส สุต-สทฺทสฺส อยมโตฺถ วุโตฺต ‘‘อสฺสวนภาวปฎิเกฺขปโต’’ติฯ เตเนวาห ‘‘อนูนานธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสน’’นฺติฯ สวนสโทฺท เจตฺถ กมฺมโตฺถ เวทิตโพฺพ ‘‘สุยฺยตี’’ติฯ
Suta-saddasannidhāne payuttena evaṃ-saddena savanakiriyājotakena bhavitabbanti vuttaṃ ‘‘evanti sotaviññāṇādiviññāṇakiccanidassana’’nti. Ādi-saddena sampaṭicchanādīnaṃ pañcadvārikaviññāṇānaṃ tadabhinīhaṭānañca manodvārikaviññāṇānaṃ gahaṇaṃ veditabbaṃ. Sabbesampi vākyānaṃ eva-kāratthasahitattā ‘‘suta’’nti etassa sutamevāti ayamattho labbhatīti āha ‘‘assavanabhāvapaṭikkhepato’’ti. Etena avadhāraṇena nirāsaṅkataṃ dasseti. Yathā ca sutaṃ sutamevāti niyametabbaṃ, taṃ sammā sutaṃ hotīti āha ‘‘anūnānadhikāviparītaggahaṇanidassana’’nti. Atha vā saddantaratthāpohanavasena saddo atthaṃ vadatīti sutanti asutaṃ na hotīti ayametassa atthoti vuttaṃ ‘‘assavanabhāvapaṭikkhepato’’ti . Iminā diṭṭhādivinivattanaṃ karoti. Idaṃ vuttaṃ hoti ‘‘na idaṃ mayā diṭṭhaṃ, na sayambhuñāṇena sacchikataṃ, atha kho sutaṃ, tañca kho sammadevā’’ti. Tenevāha – ‘‘anūnānadhikāviparītaggahaṇanidassana’’nti. Avadhāraṇatthe vā evaṃ-sadde ayamatthayojanā karīyatīti tadapekkhassa suta-saddassa ayamattho vutto ‘‘assavanabhāvapaṭikkhepato’’ti. Tenevāha ‘‘anūnānadhikāviparītaggahaṇanidassana’’nti. Savanasaddo cettha kammattho veditabbo ‘‘suyyatī’’ti.
เอวํ สวนเหตุสุณนฺตปุคฺคลสวนวิเสสวเสน ปทตฺตยสฺส เอเกน ปกาเรน อตฺถโยชนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ปการนฺตเรหิปิ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตถา เอว’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ตสฺสาติ ยา สา ภควโต สมฺมุขา ธมฺมสฺสวนากาเรน ปวตฺตา มโนทฺวารวิญฺญาณวีถิ, ตสฺสาฯ สา หิ นานปฺปกาเรน อารมฺมเณ ปวตฺติตุํ สมตฺถาฯ ตถา จ วุตฺตํ ‘‘โสตทฺวารานุสาเรนา’’ติฯ นานปฺปกาเรนาติ วกฺขมานานํ อเนกวิหิตานํ พฺยญฺชนตฺถคฺคหณานํ นานากาเรนฯ เอเตน อิมิสฺสา โยชนาย อาการโตฺถ เอวํ-สโทฺท คหิโตติ ทีเปติฯ ปวตฺติภาวปฺปกาสนนฺติ ปวตฺติยา อตฺถิภาวปฺปกาสนํฯ สุตนฺติ ธมฺมปฺปกาสนนฺติ ยสฺมิํ อารมฺมเณ วุตฺตปฺปการา วิญฺญาณวีถิ นานปฺปกาเรน ปวตฺตา, ตสฺส ธมฺมตฺตา วุตฺตํ, น สุตสทฺทสฺส ธมฺมตฺถตฺตาฯ วุตฺตเสฺสวตฺถสฺส ปากฎีกรณํ ‘‘อยเญฺหตฺถา’’ติอาทิฯ ตตฺถ วิญฺญาณวีถิยาติ กรณเตฺถ กรณวจนํฯ มยาติ กตฺตุอเตฺถฯ
Evaṃ savanahetusuṇantapuggalasavanavisesavasena padattayassa ekena pakārena atthayojanaṃ dassetvā idāni pakārantarehipi taṃ dassetuṃ ‘‘tathā eva’’ntiādi vuttaṃ. Tattha tassāti yā sā bhagavato sammukhā dhammassavanākārena pavattā manodvāraviññāṇavīthi, tassā. Sā hi nānappakārena ārammaṇe pavattituṃ samatthā. Tathā ca vuttaṃ ‘‘sotadvārānusārenā’’ti. Nānappakārenāti vakkhamānānaṃ anekavihitānaṃ byañjanatthaggahaṇānaṃ nānākārena. Etena imissā yojanāya ākārattho evaṃ-saddo gahitoti dīpeti. Pavattibhāvappakāsananti pavattiyā atthibhāvappakāsanaṃ. Sutanti dhammappakāsananti yasmiṃ ārammaṇe vuttappakārā viññāṇavīthi nānappakārena pavattā, tassa dhammattā vuttaṃ, na sutasaddassa dhammatthattā. Vuttassevatthassa pākaṭīkaraṇaṃ ‘‘ayañhetthā’’tiādi. Tattha viññāṇavīthiyāti karaṇatthe karaṇavacanaṃ. Mayāti kattuatthe.
เอวนฺติ นิทฺทิสิตพฺพปฺปกาสนนฺติ นิทสฺสนตฺถํ เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา วุตฺตํ นิทเสฺสตพฺพสฺส นิทฺทิสิตพฺพตฺตาภาวาภาวโตฯ เตน เอวํ-สเทฺทน สกลมฺปิ สุตฺตํ ปจฺจามฎฺฐนฺติ ทเสฺสติฯ สุต-สทฺทสฺส กิริยาสทฺทตฺตา สวนกิริยาย จ สาธารณวิญฺญาณปพนฺธปฎิพทฺธตฺตา ตตฺถ จ ปุคฺคลโวหาโรติ วุตฺตํ ‘‘สุตนฺติ ปุคฺคลกิจฺจปฺปกาสน’’นฺติฯ น หิ ปุคฺคลโวหารรหิเต ธมฺมปพเนฺธ สวนกิริยา ลพฺภตีติฯ
Evanti niddisitabbappakāsananti nidassanatthaṃ evaṃ-saddaṃ gahetvā vuttaṃ nidassetabbassa niddisitabbattābhāvābhāvato. Tena evaṃ-saddena sakalampi suttaṃ paccāmaṭṭhanti dasseti. Suta-saddassa kiriyāsaddattā savanakiriyāya ca sādhāraṇaviññāṇapabandhapaṭibaddhattā tattha ca puggalavohāroti vuttaṃ ‘‘sutanti puggalakiccappakāsana’’nti. Na hi puggalavohārarahite dhammapabandhe savanakiriyā labbhatīti.
ยสฺส จิตฺตสนฺตานสฺสาติอาทิปิ อาการตฺถเมว เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา ปุริมโยชนาย อญฺญถา อตฺถโยชนํ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ตตฺถ อาการปญฺญตฺตีติ อุปาทาปญฺญตฺติ เอว ธมฺมานํ ปวตฺติอาการูปาทานวเสน ตถา วุตฺตาฯ สุตนฺติ วิสยนิเทฺทโสติ โสตพฺพภูโต ธโมฺม สวนกิริยากตฺตุปุคฺคลสฺส สวนกิริยาวเสน ปวตฺติฎฺฐานนฺติ กตฺวา วุตฺตํฯ จิตฺตสนฺตานวินิมุตฺตสฺส ปรมตฺถโต กสฺสจิ กตฺตุ อภาเวปิ สทฺทโวหาเรน พุทฺธิปริกปฺปิตเภทวจนิจฺฉาย จิตฺตสนฺตานโต อญฺญํ วิย ตํสมงฺคิํ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘จิตฺตสนฺตาเนน ตํสมงฺคิโน’’ติฯ สวนกิริยาวิสโยปิ โสตพฺพธโมฺม สวนกิริยาวเสน ปวตฺตจิตฺตสนฺตานสฺส อิธ ปรมตฺถโต กตฺตุภาวโต, สวนวเสน จิตฺตปฺปวตฺติยา เอว วา สวนกิริยาภาวโต ตํกิริยากตฺตุ จ วิสโย โหตีติ วุตฺตํ ‘‘ตํสมงฺคิโน กตฺตุวิสเย’’ติฯ สุตาการสฺส จ เถรสฺส สมฺมานิจฺฉิตภาวโต อาห ‘‘คหณสนฺนิฎฺฐาน’’นฺติฯ เอเตน วา อวธารณตฺถํ เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา อยมตฺถโยชนา กตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Yassa cittasantānassātiādipi ākāratthameva evaṃ-saddaṃ gahetvā purimayojanāya aññathā atthayojanaṃ dassetuṃ vuttaṃ. Tattha ākārapaññattīti upādāpaññatti eva dhammānaṃ pavattiākārūpādānavasena tathā vuttā. Sutanti visayaniddesoti sotabbabhūto dhammo savanakiriyākattupuggalassa savanakiriyāvasena pavattiṭṭhānanti katvā vuttaṃ. Cittasantānavinimuttassa paramatthato kassaci kattu abhāvepi saddavohārena buddhiparikappitabhedavacanicchāya cittasantānato aññaṃ viya taṃsamaṅgiṃ katvā vuttaṃ ‘‘cittasantānenataṃsamaṅgino’’ti. Savanakiriyāvisayopi sotabbadhammo savanakiriyāvasena pavattacittasantānassa idha paramatthato kattubhāvato, savanavasena cittappavattiyā eva vā savanakiriyābhāvato taṃkiriyākattu ca visayo hotīti vuttaṃ ‘‘taṃsamaṅgino kattuvisaye’’ti. Sutākārassa ca therassa sammānicchitabhāvato āha ‘‘gahaṇasanniṭṭhāna’’nti. Etena vā avadhāraṇatthaṃ evaṃ-saddaṃ gahetvā ayamatthayojanā katāti daṭṭhabbaṃ.
ปุเพฺพ สุตานํ นานาวิหิตานํ สุตฺตสงฺขาตานํ อตฺถพฺยญฺชนานํ อุปธาริตรูปสฺส อาการสฺส นิทสฺสนสฺส, อวธารณสฺส วา ปกาสนสภาโว เอวํ-สโทฺทติ ตทาการาทิอุปธารณสฺส ปุคฺคลปญฺญตฺติยา อุปาทานภูตธมฺมปพนฺธพฺยาปารตาย วุตฺตํ – ‘‘เอวนฺติ ปุคฺคลกิจฺจนิเทฺทโส’’ติฯ สวนกิริยา ปน ปุคฺคลวาทิโนปิ วิญฺญาณนิรเปกฺขา นตฺถีติ วิเสสโต วิญฺญาณพฺยาปาโรติ อาห ‘‘สุตนฺติ วิญฺญาณกิจฺจนิเทฺทโส’’ติฯ ‘‘เม’’ติ สทฺทปฺปวตฺติยา เอกเนฺตเนว สตฺตวิสยตฺตา วิญฺญาณกิจฺจสฺส จ ตเตฺถว สโมทหิตพฺพโต ‘‘เมติ อุภยกิจฺจยุตฺตปุคฺคลนิเทฺทโส’’ติ วุตฺตํฯ อวิชฺชมานปญฺญตฺติวิชฺชมานปญฺญตฺติสภาวา ยถากฺกมํ เอวํ-สทฺท – สุต-สทฺทานํ อตฺถาติ เต ตถารูป-ปญฺญตฺติ-อุปาทานภูต-ธมฺมปพนฺธพฺยาปารภาเวน ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘เอวนฺติ ปุคฺคลกิจฺจนิเทฺทโส, สุตนฺติ วิญฺญาณกิจฺจนิเทฺทโส’’ติฯ เอตฺถ จ กรณกิริยากตฺตุกมฺมวิเสสปฺปกาสนวเสน ปุคฺคลพฺยาปารวิสยปุคฺคลพฺยาปารนิทสฺสนวเสน คหณาการคาหกตพฺพิสยวิเสสนิเทฺทสวเสน กตฺตุกรณพฺยาปารกตฺตุนิเทฺทสวเสน จ ทุติยาทโย จตโสฺส อตฺถโยชนา ทสฺสิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Pubbe sutānaṃ nānāvihitānaṃ suttasaṅkhātānaṃ atthabyañjanānaṃ upadhāritarūpassa ākārassa nidassanassa, avadhāraṇassa vā pakāsanasabhāvo evaṃ-saddoti tadākārādiupadhāraṇassa puggalapaññattiyā upādānabhūtadhammapabandhabyāpāratāya vuttaṃ – ‘‘evanti puggalakiccaniddeso’’ti. Savanakiriyā pana puggalavādinopi viññāṇanirapekkhā natthīti visesato viññāṇabyāpāroti āha ‘‘sutanti viññāṇakiccaniddeso’’ti. ‘‘Me’’ti saddappavattiyā ekanteneva sattavisayattā viññāṇakiccassa ca tattheva samodahitabbato ‘‘meti ubhayakiccayuttapuggalaniddeso’’ti vuttaṃ. Avijjamānapaññattivijjamānapaññattisabhāvā yathākkamaṃ evaṃ-sadda – suta-saddānaṃ atthāti te tathārūpa-paññatti-upādānabhūta-dhammapabandhabyāpārabhāvena dassento āha – ‘‘evanti puggalakiccaniddeso, sutanti viññāṇakiccaniddeso’’ti. Ettha ca karaṇakiriyākattukammavisesappakāsanavasena puggalabyāpāravisayapuggalabyāpāranidassanavasena gahaṇākāragāhakatabbisayavisesaniddesavasena kattukaraṇabyāpārakattuniddesavasena ca dutiyādayo catasso atthayojanā dassitāti daṭṭhabbaṃ.
สพฺพสฺสปิ สทฺทาธิคมนียสฺส อตฺถสฺส ปญฺญตฺติมุเขเนว ปฎิปชฺชิตพฺพตฺตา สพฺพปญฺญตฺตีนญฺจ วิชฺชมานาทิวเสน ฉสุ ปญฺญตฺติเภเทสุ อโนฺตคธตฺตา เตสุ ‘‘เอว’’นฺติอาทีนํ ปญฺญตฺตีนํ สรูปํ นิทฺธาเรโนฺต อาห – ‘‘เอวนฺติ จ เมติ จา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ‘‘เอว’’นฺติ จ ‘‘เม’’ติ จ วุจฺจมานสฺสตฺถสฺส อาการาทิโน ธมฺมานํ อสลฺลกฺขณภาวโต อวิชฺชมานปญฺญตฺติภาโวติ อาห – ‘‘สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถวเสน อวิชฺชมานปญฺญตฺตี’’ติฯ ตตฺถ สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถวเสนาติ ภูตตฺถอุตฺตมตฺถวเสนฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – โย มายามรีจิอาทโย วิย อภูตโตฺถ, อนุสฺสวาทีหิ คเหตโพฺพ วิย อนุตฺตมโตฺถ จ น โหติ, โส รูปสทฺทาทิสภาโว, รุปฺปนานุภวนาทิสภาโว วา อโตฺถ สจฺจิกโฎฺฐ ปรมโตฺถ จาติ วุจฺจติ, น ตถา ‘‘เอวํ เม’’ติ ปทานํ อโตฺถติฯ เอตเมวตฺถํ ปากฎตรํ กาตุํ ‘‘กิเญฺหตฺถ ต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ สุตนฺติ ปน สทฺทายตนํ สนฺธายาห ‘‘วิชฺชมานปญฺญตฺตี’’ติฯ เตเนว หิ ‘‘ยญฺหิ ตํ เอตฺถ โสเตน อุปลทฺธ’’นฺติ วุตฺตํ, ‘‘โสตทฺวารานุสาเรน อุปลทฺธ’’นฺติ ปน วุเตฺต อตฺถพฺยญฺชนาทิสพฺพํ ลพฺภติฯ
Sabbassapi saddādhigamanīyassa atthassa paññattimukheneva paṭipajjitabbattā sabbapaññattīnañca vijjamānādivasena chasu paññattibhedesu antogadhattā tesu ‘‘eva’’ntiādīnaṃ paññattīnaṃ sarūpaṃ niddhārento āha – ‘‘evanti ca meti cā’’tiādi. Tattha ‘‘eva’’nti ca ‘‘me’’ti ca vuccamānassatthassa ākārādino dhammānaṃ asallakkhaṇabhāvato avijjamānapaññattibhāvoti āha – ‘‘saccikaṭṭhaparamatthavasena avijjamānapaññattī’’ti. Tattha saccikaṭṭhaparamatthavasenāti bhūtatthauttamatthavasena. Idaṃ vuttaṃ hoti – yo māyāmarīciādayo viya abhūtattho, anussavādīhi gahetabbo viya anuttamattho ca na hoti, so rūpasaddādisabhāvo, ruppanānubhavanādisabhāvo vā attho saccikaṭṭho paramattho cāti vuccati, na tathā ‘‘evaṃ me’’ti padānaṃ atthoti. Etamevatthaṃ pākaṭataraṃ kātuṃ ‘‘kiñhettha ta’’ntiādi vuttaṃ. Sutanti pana saddāyatanaṃ sandhāyāha ‘‘vijjamānapaññattī’’ti. Teneva hi ‘‘yañhi taṃ ettha sotena upaladdha’’nti vuttaṃ, ‘‘sotadvārānusārena upaladdha’’nti pana vutte atthabyañjanādisabbaṃ labbhati.
ตํ ตํ อุปาทาย วตฺตพฺพโตติ โสตปถมาคเต ธเมฺม อุปาทาย เตสํ อุปธาริตาการาทิโน ปจฺจามสนวเสน ‘‘เอว’’นฺติ, สสนฺตติปริยาปเนฺน ขเนฺธ อุปาทาย ‘‘เม’’ติ วตฺตพฺพตฺตาติ อโตฺถฯ ทิฎฺฐาทิสภาวรหิเต สทฺทายตเน ปวตฺตมาโนปิ สุตโวหาโร ‘‘ทุติยํ ตติย’’นฺติอาทิโก วิย ปฐมาทีนิ ทิฎฺฐมุตวิญฺญาเต อเปกฺขิตฺวาว ปวโตฺตติ อาห ‘‘ทิฎฺฐาทีนิ อุปนิธาย วตฺตพฺพโต’’ติ อสุตํ น โหตีติ หิ สุตนฺติ ปกาสิโตยมโตฺถติฯ อตฺตนา ปฎิวิทฺธา สุตฺตสฺส ปการวิเสสา ‘‘เอว’’นฺติ เถเรน ปจฺจามฎฺฐาติ อาห ‘‘อสโมฺมหํ ทีเปตี’’ติฯ นานปฺปการปฎิเวธสมโตฺถ โหตีติ เอเตน วกฺขมานสฺส สุตฺตสฺส นานปฺปการตํ ทุปฺปฎิวิชฺฌตญฺจ ทเสฺสติฯ สุตสฺส อสโมฺมสํ ทีเปตีติ สุตาการสฺส ยาถาวโต ทสฺสิยมานตฺตา วุตฺตํฯ อสโมฺมเหนาติ สโมฺมหาภาเวน, ปญฺญาย เอว วา สวนกาลสมฺภูตาย ตทุตฺตรกาลปญฺญาสิทฺธิฯ เอวํ อสโมฺมเสนาติ เอตฺถาปิ วตฺตพฺพํฯ พฺยญฺชนานํ ปฎิวิชฺฌิตโพฺพ อากาโร นาติคมฺภีโร, ยถาสุตธารณเมว ตตฺถ กรณียนฺติ สติยา พฺยาปาโร อธิโก, ปญฺญา ตตฺถ คุณีภูตาติ วุตฺตํ ‘‘ปญฺญาปุพฺพงฺคมายา’’ติอาทิ ‘‘ปญฺญาย ปุพฺพงฺคมา’’ติ กตฺวาฯ ปุพฺพงฺคมตา เจตฺถ ปธานตา ‘‘มโนปุพฺพงฺคมา’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๑, ๒) วิยฯ ปุพฺพงฺคมตาย วา จกฺขุวิญฺญาณาทีสุ อาวชฺชนาทีนํ วิย อปฺปธานเตฺต ปญฺญา ปุพฺพงฺคมา เอติสฺสาติ อยมฺปิ อโตฺถ ยุชฺชติฯ เอวํ สติปุพฺพงฺคมายาติ เอตฺถาปิ วุตฺตนยานุสาเรน ยถาสมฺภวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนสฺสาติ อตฺถพฺยญฺชนปริปุณฺณสฺส, สงฺกาสนปกาสนวิวรณวิภชนอุตฺตานีกรณปญฺญตฺติวเสน ฉหิ อตฺถปเทหิ, อกฺขรปทพฺยญฺชนาการนิรุตฺตินิเทฺทสวเสน ฉหิ พฺยญฺชนปเทหิ จ สมนฺนาคตสฺสาติ วา อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Taṃtaṃ upādāya vattabbatoti sotapathamāgate dhamme upādāya tesaṃ upadhāritākārādino paccāmasanavasena ‘‘eva’’nti, sasantatipariyāpanne khandhe upādāya ‘‘me’’ti vattabbattāti attho. Diṭṭhādisabhāvarahite saddāyatane pavattamānopi sutavohāro ‘‘dutiyaṃ tatiya’’ntiādiko viya paṭhamādīni diṭṭhamutaviññāte apekkhitvāva pavattoti āha ‘‘diṭṭhādīni upanidhāya vattabbato’’ti asutaṃ na hotīti hi sutanti pakāsitoyamatthoti. Attanā paṭividdhā suttassa pakāravisesā ‘‘eva’’nti therena paccāmaṭṭhāti āha ‘‘asammohaṃ dīpetī’’ti. Nānappakārapaṭivedhasamattho hotīti etena vakkhamānassa suttassa nānappakārataṃ duppaṭivijjhatañca dasseti. Sutassa asammosaṃ dīpetīti sutākārassa yāthāvato dassiyamānattā vuttaṃ. Asammohenāti sammohābhāvena, paññāya eva vā savanakālasambhūtāya taduttarakālapaññāsiddhi. Evaṃ asammosenāti etthāpi vattabbaṃ. Byañjanānaṃ paṭivijjhitabbo ākāro nātigambhīro, yathāsutadhāraṇameva tattha karaṇīyanti satiyā byāpāro adhiko, paññā tattha guṇībhūtāti vuttaṃ ‘‘paññāpubbaṅgamāyā’’tiādi ‘‘paññāya pubbaṅgamā’’ti katvā. Pubbaṅgamatā cettha padhānatā ‘‘manopubbaṅgamā’’tiādīsu (dha. pa. 1, 2) viya. Pubbaṅgamatāya vā cakkhuviññāṇādīsu āvajjanādīnaṃ viya appadhānatte paññā pubbaṅgamā etissāti ayampi attho yujjati. Evaṃ satipubbaṅgamāyāti etthāpi vuttanayānusārena yathāsambhavamattho veditabbo. Atthabyañjanasampannassāti atthabyañjanaparipuṇṇassa, saṅkāsanapakāsanavivaraṇavibhajanauttānīkaraṇapaññattivasena chahi atthapadehi, akkharapadabyañjanākāraniruttiniddesavasena chahi byañjanapadehi ca samannāgatassāti vā attho daṭṭhabbo.
โยนิโสมนสิการํ ทีเปติ เอวํ-สเทฺทน วุจฺจมานานํ อาการนิทสฺสนาวธารณตฺถานํ อวิปรีตสทฺธมฺมวิสยตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ อวิเกฺขปํ ทีเปตีติ ‘‘มูลปริยายํ กตฺถ ภาสิต’’นฺติอาทิปุจฺฉาวเสน ปกรณปฺปตฺตสฺส วกฺขมานสฺส สุตฺตสฺส สวนํ สมาธานมนฺตเรน น สมฺภวตีติ กตฺวา วุตฺตํฯ วิกฺขิตฺตจิตฺตสฺสาติอาทิ ตเสฺสวตฺถสฺส สมตฺถนวเสน วุตฺตํฯ สพฺพสมฺปตฺติยาติ อตฺถพฺยญฺชนเทสกปโยชนาทิสมฺปตฺติยาฯ อวิปรีตสทฺธมฺมวิสเยหิ วิย อาการนิทสฺสนาวธารณเตฺถหิ โยนิโสมนสิการสฺส, สทฺธมฺมสฺสวเนน วิย จ อวิเกฺขปสฺส ยถา โยนิโสมนสิกาเรน ผลภูเตน อตฺตสมฺมาปณิธิปุเพฺพกตปุญฺญตานํ สิทฺธิ วุตฺตา ตทวินาภาวโต, เอวํ อวิเกฺขเปน ผลภูเตน การณภูตานํ สทฺธมฺมสฺสวนสปฺปุริสูปนิสฺสยานํ สิทฺธิ ทเสฺสตพฺพา สิยา อสฺสุตวโต สปฺปุริสูปนิสฺสยรหิตสฺส จ ตทภาวโตฯ น หิ วิกฺขิตฺตจิโตฺตติอาทินา สมตฺถนวจเนน ปน อวิเกฺขเปน การณภูเตน สปฺปุริสูปนิสฺสเยน จ ผลภูตสฺส สทฺธมฺมสฺสวนสฺส สิทฺธิ ทสฺสิตาฯ อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปาโย ยุโตฺต สิยา – สทฺธมฺมสฺสวนสปฺปุริสูปนิสฺสยา น เอกเนฺตน อวิเกฺขปสฺส การณํ พาหิรงฺคตฺตา, อวิเกฺขโป ปน สปฺปุริสูปนิสฺสโย วิย สทฺธมฺมสฺสวนสฺส เอกนฺตการณนฺติฯ เอวมฺปิ อวิเกฺขเปน สปฺปุริสูปนิสฺสยสิทฺธิโชตนา น สมตฺถิตาว, โน น สมตฺถิตา วิกฺขิตฺตจิตฺตานํ สปฺปุริสปยิรุปาสนาภาวสฺส อตฺถสิทฺธตฺตาฯ เอตฺถ จ ปุริมํ ผเลน การณสฺส สิทฺธิทสฺสนํ นทีปูเรน วิย อุปริ วุฎฺฐิสพฺภาวสฺส, ทุติยํ การเณน ผลสฺส สิทฺธิทสฺสนํ ทฎฺฐพฺพํ เอกนฺตวสฺสินา วิย เมฆวุฎฺฐาเนน วุฎฺฐิปฺปวตฺติยาฯ
Yonisomanasikāraṃ dīpeti evaṃ-saddena vuccamānānaṃ ākāranidassanāvadhāraṇatthānaṃ aviparītasaddhammavisayattāti adhippāyo. Avikkhepaṃ dīpetīti ‘‘mūlapariyāyaṃ kattha bhāsita’’ntiādipucchāvasena pakaraṇappattassa vakkhamānassa suttassa savanaṃ samādhānamantarena na sambhavatīti katvā vuttaṃ. Vikkhittacittassātiādi tassevatthassa samatthanavasena vuttaṃ. Sabbasampattiyāti atthabyañjanadesakapayojanādisampattiyā. Aviparītasaddhammavisayehi viya ākāranidassanāvadhāraṇatthehi yonisomanasikārassa, saddhammassavanena viya ca avikkhepassa yathā yonisomanasikārena phalabhūtena attasammāpaṇidhipubbekatapuññatānaṃ siddhi vuttā tadavinābhāvato, evaṃ avikkhepena phalabhūtena kāraṇabhūtānaṃ saddhammassavanasappurisūpanissayānaṃ siddhi dassetabbā siyā assutavato sappurisūpanissayarahitassa ca tadabhāvato. Na hi vikkhittacittotiādinā samatthanavacanena pana avikkhepena kāraṇabhūtena sappurisūpanissayena ca phalabhūtassa saddhammassavanassa siddhi dassitā. Ayaṃ panettha adhippāyo yutto siyā – saddhammassavanasappurisūpanissayā na ekantena avikkhepassa kāraṇaṃ bāhiraṅgattā, avikkhepo pana sappurisūpanissayo viya saddhammassavanassa ekantakāraṇanti. Evampi avikkhepena sappurisūpanissayasiddhijotanā na samatthitāva, no na samatthitā vikkhittacittānaṃ sappurisapayirupāsanābhāvassa atthasiddhattā. Ettha ca purimaṃ phalena kāraṇassa siddhidassanaṃ nadīpūrena viya upari vuṭṭhisabbhāvassa, dutiyaṃ kāraṇena phalassa siddhidassanaṃ daṭṭhabbaṃ ekantavassinā viya meghavuṭṭhānena vuṭṭhippavattiyā.
ภควโต วจนสฺส อตฺถพฺยญฺชนปเภทปริเจฺฉทวเสน สกลสาสนสมฺปตฺติโอคาหนากาโร นิรวเสสปรหิตปาริปูริการณนฺติ วุตฺตํ ‘‘เอวํ ภทฺทโก อากาโร’’ติฯ ยสฺมา น โหตีติ สมฺพโนฺธฯ ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสมฺปตฺตินฺติ อตฺตสมฺมาปณิธิปุเพฺพกตปุญฺญตาสงฺขาตํ คุณทฺวยํฯ อปราปรวุตฺติยา เจตฺถ จกฺกภาโว, จรนฺติ เอเตหิ สตฺตา สมฺปตฺติภเวสูติ วาฯ เย สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, จกฺกานิ, เยหิ สมนฺนาคตานํ เทวมนุสฺสานํ จตุจกฺกํ วตฺตตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๔.๓๑)ฯ ปุริมปจฺฉิมภาโว เจตฺถ เทสนากฺกมวเสน ทฎฺฐโพฺพฯ ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสิทฺธิยาติ ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสฺส อตฺถิตายฯ สมฺมาปณิหิตโตฺต ปุเพฺพ จ กตปุโญฺญ สุทฺธาสโย โหติ ตทสุทฺธิเหตูนํ กิเลสานํ ทูรีภาวโตติ อาห – ‘‘อาสยสุทฺธิ สิทฺธา โหตี’’ติฯ ตถา หิ วุตฺตํ ‘‘สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ, เสยฺยโส นํ ตโต กเร’’ติ (ธ. ป. ๔๓), ‘‘กตปุโญฺญสิ ตฺวํ อานนฺท, ปธานมนุยุญฺช, ขิปฺปํ โหหิสิ อนาสโว’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๐๗) จฯ เตเนวาห ‘‘อาสยสุทฺธิยา อธิคมพฺยตฺติสิทฺธี’’ติฯ ปโยคสุทฺธิยาติ โยนิโสมนสิการปุพฺพงฺคมสฺส ธมฺมสฺสวนปโยคสฺส วิสทภาเวนฯ ตถา จาห ‘‘อาคมพฺยตฺติสิทฺธี’’ติฯ สพฺพสฺส วา กายวจีปโยคสฺส นิโทฺทสภาเวนฯ ปริสุทฺธกายวจีปโยโค หิ วิปฺปฎิสาราภาวโต อวิกฺขิตฺตจิโตฺต ปริยตฺติยํ วิสารโท โหตีติฯ
Bhagavato vacanassa atthabyañjanapabhedaparicchedavasena sakalasāsanasampattiogāhanākāro niravasesaparahitapāripūrikāraṇanti vuttaṃ ‘‘evaṃ bhaddako ākāro’’ti. Yasmā na hotīti sambandho. Pacchimacakkadvayasampattinti attasammāpaṇidhipubbekatapuññatāsaṅkhātaṃ guṇadvayaṃ. Aparāparavuttiyā cettha cakkabhāvo, caranti etehi sattā sampattibhavesūti vā. Ye sandhāya vuttaṃ ‘‘cattārimāni, bhikkhave, cakkāni, yehi samannāgatānaṃ devamanussānaṃ catucakkaṃ vattatī’’tiādi (a. ni. 4.31). Purimapacchimabhāvo cettha desanākkamavasena daṭṭhabbo. Pacchimacakkadvayasiddhiyāti pacchimacakkadvayassa atthitāya. Sammāpaṇihitatto pubbe ca katapuñño suddhāsayo hoti tadasuddhihetūnaṃ kilesānaṃ dūrībhāvatoti āha – ‘‘āsayasuddhi siddhā hotī’’ti. Tathā hi vuttaṃ ‘‘sammāpaṇihitaṃ cittaṃ, seyyaso naṃ tato kare’’ti (dha. pa. 43), ‘‘katapuññosi tvaṃ ānanda, padhānamanuyuñja, khippaṃ hohisi anāsavo’’ti (dī. ni. 2.207) ca. Tenevāha ‘‘āsayasuddhiyā adhigamabyattisiddhī’’ti. Payogasuddhiyāti yonisomanasikārapubbaṅgamassa dhammassavanapayogassa visadabhāvena. Tathā cāha ‘‘āgamabyattisiddhī’’ti. Sabbassa vā kāyavacīpayogassa niddosabhāvena. Parisuddhakāyavacīpayogo hi vippaṭisārābhāvato avikkhittacitto pariyattiyaṃ visārado hotīti.
นานปฺปการปฎิเวธทีปเกนาติอาทินา อตฺถพฺยญฺชเนสุ เถรสฺส เอวํสทฺทสุต-สทฺทานํ อสโมฺมหาสโมฺมสทีปนโต จตุปฎิสมฺภิทาวเสน อตฺถโยชนํ ทเสฺสติฯ ตตฺถ โสตพฺพเภทปฎิเวธทีปเกนาติ เอเตน อยํ สุต-สโทฺท เอวํ-สทฺทสนฺนิธานโต, วกฺขมานาเปกฺขาย วา สามเญฺญเนว โสตพฺพธมฺมวิเสสํ อามสตีติ ทเสฺสติฯ มโนทิฎฺฐิกรณา ปริยตฺติธมฺมานํ อนุเปกฺขนสุปฺปฎิเวธา วิเสสโต มนสิการปฎิพทฺธาติ เต วุตฺตนเยน โยนิโสมนสิการทีปเกน เอวํสเทฺทน โยเชตฺวา, สวนธารณวจีปริจยา ปริยตฺติธมฺมานํ วิเสเสน โสตาวธานปฎิพทฺธาติ เต อวิเกฺขปทีปเกน สุต-สเทฺทน โยเชตฺวา ทเสฺสโนฺต สาสนสมฺปตฺติยา ธมฺมสฺสวเน อุสฺสาหํ ชเนติฯ ตตฺถ ธมฺมาติ ปริยตฺติธมฺมาฯ มนสานุเปกฺขิตาติ ‘‘อิธ สีลํ กถิตํ, อิธ สมาธิ, อิธ ปญฺญา, เอตฺตกา เอตฺถ อนุสนฺธิโย’’ติอาทินา นเยน มนสา อนุ อนุ เปกฺขิตาฯ ทิฎฺฐิยา สุปฺปฎิวิทฺธาติ นิชฺฌานกฺขนฺติภูตาย, ญาตปริญฺญาสงฺขาตาย วา ทิฎฺฐิยา ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตรูปารูปธเมฺม ‘‘อิติ รูปํ, เอตฺตกํ รูป’’นฺติอาทินา สุฎฺฐุ ววตฺถเปตฺวา ปฎิวิทฺธาฯ
Nānappakārapaṭivedhadīpakenātiādinā atthabyañjanesu therassa evaṃsaddasuta-saddānaṃ asammohāsammosadīpanato catupaṭisambhidāvasena atthayojanaṃ dasseti. Tattha sotabbabhedapaṭivedhadīpakenāti etena ayaṃ suta-saddo evaṃ-saddasannidhānato, vakkhamānāpekkhāya vā sāmaññeneva sotabbadhammavisesaṃ āmasatīti dasseti. Manodiṭṭhikaraṇā pariyattidhammānaṃ anupekkhanasuppaṭivedhā visesato manasikārapaṭibaddhāti te vuttanayena yonisomanasikāradīpakena evaṃsaddena yojetvā, savanadhāraṇavacīparicayā pariyattidhammānaṃ visesena sotāvadhānapaṭibaddhāti te avikkhepadīpakena suta-saddena yojetvā dassento sāsanasampattiyā dhammassavane ussāhaṃ janeti. Tattha dhammāti pariyattidhammā. Manasānupekkhitāti ‘‘idha sīlaṃ kathitaṃ, idha samādhi, idha paññā, ettakā ettha anusandhiyo’’tiādinā nayena manasā anu anu pekkhitā. Diṭṭhiyā suppaṭividdhāti nijjhānakkhantibhūtāya, ñātapariññāsaṅkhātāya vā diṭṭhiyā tattha tattha vuttarūpārūpadhamme ‘‘iti rūpaṃ, ettakaṃ rūpa’’ntiādinā suṭṭhu vavatthapetvā paṭividdhā.
สกเลน วจเนนาติ ปุเพฺพ ตีหิ ปเทหิ วิสุํ วิสุํ โยชิตตฺตา วุตฺตํฯ อตฺตโน อทหโนฺตติ ‘‘มเมท’’นฺติ อตฺตนิ อฎฺฐเปโนฺตฯ อสปฺปุริสภูมินฺติ อกตญฺญุตํ ‘‘อิเธกโจฺจ ปาปภิกฺขุ ตถาคตปฺปเวทิตํ ธมฺมวินยํ ปริยาปุณิตฺวา อตฺตโน ทหตี’’ติ (ปารา. ๑๙๕) เอวํ วุตฺตํ อนริยโวหาราวตฺถํ, สา เอว อนริยโวหาราวตฺถา อสทฺธโมฺมฯ นนุ จ อานนฺทเตฺถรสฺส ‘‘มเมทํ วจน’’นฺติ อธิมานสฺส, มหากสฺสปเตฺถราทีนญฺจ ตทาสงฺกาย อภาวโต อสปฺปุริสภูมิสมติกฺกมาทิวจนํ นิรตฺถกนฺติ? นยิทเมวํ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติ วทเนฺตน อยมฺปิ อโตฺถ วิภาวิโตติ ทสฺสนโตฯ เกจิ ปน ‘‘เทวตานํ ปริวิตกฺกาเปกฺขํ ตถาวจนนฺติ เอทิสี โจทนา อนวกาสาวา’’ติ วทนฺติฯ ตสฺมิํ กิร ขเณ เอกจฺจานํ เทวตานํ เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ ‘‘ภควา จ ปรินิพฺพุโต, อยญฺจ อายสฺมา เทสนากุสโล, อิทานิ ธมฺมํ เทเสติ สกฺยกุลปฺปสุโต ตถาคตสฺส ภาตา จูฬปิตุปุโตฺต, กิํ นุ โข สยํ สจฺฉิกตํ ธมฺมํ เทเสติ, อุทาหุ ภควโตเยว วจนํ ยถาสุต’’นฺติฯ เอวํ ตทาสงฺกิตปฺปการโต อสปฺปุริสภูมิสโมกฺกมาทิโต อติกฺกมาทิ วิภาวิตนฺติฯ อเปฺปตีติ นิทเสฺสติฯ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมเตฺถสุ ยถารหํ สเตฺต เนตีติ เนตฺติ, ธโมฺมเยว เนตฺติ ธมฺมเนตฺติฯ
Sakalena vacanenāti pubbe tīhi padehi visuṃ visuṃ yojitattā vuttaṃ. Attano adahantoti ‘‘mameda’’nti attani aṭṭhapento. Asappurisabhūminti akataññutaṃ ‘‘idhekacco pāpabhikkhu tathāgatappaveditaṃ dhammavinayaṃ pariyāpuṇitvā attano dahatī’’ti (pārā. 195) evaṃ vuttaṃ anariyavohārāvatthaṃ, sā eva anariyavohārāvatthā asaddhammo. Nanu ca ānandattherassa ‘‘mamedaṃ vacana’’nti adhimānassa, mahākassapattherādīnañca tadāsaṅkāya abhāvato asappurisabhūmisamatikkamādivacanaṃ niratthakanti? Nayidamevaṃ ‘‘evaṃ me suta’’nti vadantena ayampi attho vibhāvitoti dassanato. Keci pana ‘‘devatānaṃ parivitakkāpekkhaṃ tathāvacananti edisī codanā anavakāsāvā’’ti vadanti. Tasmiṃ kira khaṇe ekaccānaṃ devatānaṃ evaṃ cetaso parivitakko udapādi ‘‘bhagavā ca parinibbuto, ayañca āyasmā desanākusalo, idāni dhammaṃ deseti sakyakulappasuto tathāgatassa bhātā cūḷapituputto, kiṃ nu kho sayaṃ sacchikataṃ dhammaṃ deseti, udāhu bhagavatoyeva vacanaṃ yathāsuta’’nti. Evaṃ tadāsaṅkitappakārato asappurisabhūmisamokkamādito atikkamādi vibhāvitanti. Appetīti nidasseti. Diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthesu yathārahaṃ satte netīti netti, dhammoyeva netti dhammanetti.
ทฬฺหตรนิวิฎฺฐา วิจิกิจฺฉา กงฺขาฯ นาติสํสปฺปนา มติเภทมตฺตา วิมติฯ อสฺสทฺธิยํ วินาเสติ ภควตา เทสิตตฺตา, สมฺมุขาวสฺส ปฎิคฺคหิตตฺตา, ขลิตทุรุตฺตาทิคหณโทสาภาวโต จฯ เอตฺถ จ ปฐมาทโย ติโสฺส อตฺถโยชนา อาการาทิอเตฺถสุ อคฺคหิตวิเสสเมว เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา ทสฺสิตา, ตโต ปรา จตโสฺส อาการตฺถเมว เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา วิภาวิตา, ปจฺฉิมา ปน ติโสฺส ยถากฺกมํ อาการตฺถํ นิทสฺสนตฺถํ อวธารณตฺถญฺจ เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา โยชิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Daḷhataraniviṭṭhā vicikicchā kaṅkhā. Nātisaṃsappanā matibhedamattā vimati. Assaddhiyaṃ vināseti bhagavatā desitattā, sammukhāvassa paṭiggahitattā, khalitaduruttādigahaṇadosābhāvato ca. Ettha ca paṭhamādayo tisso atthayojanā ākārādiatthesu aggahitavisesameva evaṃ-saddaṃ gahetvā dassitā, tato parā catasso ākāratthameva evaṃ-saddaṃ gahetvā vibhāvitā, pacchimā pana tisso yathākkamaṃ ākāratthaṃ nidassanatthaṃ avadhāraṇatthañca evaṃ-saddaṃ gahetvā yojitāti daṭṭhabbaṃ.
เอก-สโทฺท อญฺญเสฎฺฐาสหายสงฺขฺยาทีสุ ทิสฺสติฯ ตถา เหส ‘‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺติ อิเตฺถเก อภิวทนฺตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๒๗) อญฺญเตฺถ ทิสฺสติ , ‘‘เจตโส เอโกทิภาว’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๒๘) เสฎฺฐเตฺถ, ‘‘เอโก วูปกโฎฺฐ’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๔๐๕) อสหาเย, ‘‘เอโกว โข, ภิกฺขเว, ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสายา’’ติอาทีสุ สงฺขฺยายํฯ อิธาปิ สงฺขฺยายนฺติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เอกนฺติ คณนปริเจฺฉทนิเทฺทโส’’ติฯ กาลญฺจ สมยญฺจาติ ยุตฺตกาลญฺจ ปจฺจยสามคฺคิญฺจ ขโณติ โอกาโสฯ ตถาคตุปฺปาทาทิโก หิ มคฺคพฺรหฺมจริยสฺส โอกาโส ตปฺปจฺจยปฎิลาภเหตุตฺตาฯ ขโณ เอว จ สมโยฯ โย ‘‘ขโณ’’ติ จ ‘‘สมโย’’ติ จ วุจฺจติ, โส เอโกวาติ หิ อโตฺถ มหาสมโยติ มหาสมูโหฯ สมโยปิ โขติ สิกฺขาปทปูรณสฺส เหตุปิฯ สมยปฺปวาทเกติ ทิฎฺฐิปฺปวาทเกฯ ตตฺถ หิ นิสินฺนา ติตฺถิยา อตฺตโน อตฺตโน สมยํ ปวทนฺตีติฯ อตฺถาภิสมยาติ หิตปฎิลาภาฯ อภิสเมตโพฺพติ อภิสมโย, อภิสมโย อโตฺถ อภิสมยโฎฺฐติ ปีฬนาทีนิ อภิสเมตพฺพภาเวน เอกีภาวํ อุปเนตฺวา วุตฺตานิฯ อภิสมยสฺส วา ปฎิเวธสฺส วิสยภูโต อโตฺถ อภิสมยโฎฺฐติฯ ตาเนว ตถา เอกเตฺตน วุตฺตานิฯ ตตฺถ ปีฬนํ ทุกฺขสจฺจสฺส ตํสมงฺคิโน หิํสนํ อวิปฺผาริกตากรณํฯ สนฺตาโป ทุกฺขทุกฺขตาทิวเสน สนฺตาปนํ ปริทหนํฯ
Eka-saddo aññaseṭṭhāsahāyasaṅkhyādīsu dissati. Tathā hesa ‘‘sassato attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamaññanti ittheke abhivadantī’’tiādīsu (ma. ni. 3.27) aññatthe dissati , ‘‘cetaso ekodibhāva’’ntiādīsu (dī. ni. 1.228) seṭṭhatthe, ‘‘eko vūpakaṭṭho’’tiādīsu (dī. ni. 1.405) asahāye, ‘‘ekova kho, bhikkhave, khaṇo ca samayo ca brahmacariyavāsāyā’’tiādīsu saṅkhyāyaṃ. Idhāpi saṅkhyāyanti dassento āha ‘‘ekanti gaṇanaparicchedaniddeso’’ti. Kālañca samayañcāti yuttakālañca paccayasāmaggiñca khaṇoti okāso. Tathāgatuppādādiko hi maggabrahmacariyassa okāso tappaccayapaṭilābhahetuttā. Khaṇo eva ca samayo. Yo ‘‘khaṇo’’ti ca ‘‘samayo’’ti ca vuccati, so ekovāti hi attho mahāsamayoti mahāsamūho. Samayopi khoti sikkhāpadapūraṇassa hetupi. Samayappavādaketi diṭṭhippavādake. Tattha hi nisinnā titthiyā attano attano samayaṃ pavadantīti. Atthābhisamayāti hitapaṭilābhā. Abhisametabboti abhisamayo, abhisamayo attho abhisamayaṭṭhoti pīḷanādīni abhisametabbabhāvena ekībhāvaṃ upanetvā vuttāni. Abhisamayassa vā paṭivedhassa visayabhūto attho abhisamayaṭṭhoti. Tāneva tathā ekattena vuttāni. Tattha pīḷanaṃ dukkhasaccassa taṃsamaṅgino hiṃsanaṃ avipphārikatākaraṇaṃ. Santāpo dukkhadukkhatādivasena santāpanaṃ paridahanaṃ.
ตตฺถ สหการีการณํ สนฺนิชฺฌํ สเมติ สมเวตีติ สมโย, สมวาโยฯ สเมติ สมาคจฺฉติ มคฺคพฺรหฺมจริยํ เอตฺถ ตทาธารปุคฺคเลหีติ สมโย, ขโณฯ สเมติ เอตฺถ, เอเตน วา สํคจฺฉติ สโตฺต, สภาวธโมฺม วา สหชาตาทีหิ อุปฺปาทาทีหิ วาติ สมโย, กาโลฯ ธมฺมปฺปวตฺติมตฺตตาย อตฺถโต อภูโตปิ หิ กาโล ธมฺมปฺปวตฺติยา อธิกรณํ กรณํ วิย จ กปฺปนามตฺตสิเทฺธน รูเปน โวหรียตีติฯ สมํ, สห วา อวยวานํ อยนํ ปวตฺติ อวฎฺฐานนฺติ สมโย, สมูโห ยถา ‘‘สมุทาโย’’ติฯ อวยวสหาวฎฺฐานเมว หิ สมูโหติฯ อวเสสปจฺจยานํ สมาคเม เอติ ผลํ เอตสฺมา อุปฺปชฺชติ ปวตฺตติ จาติ สมโย, เหตุ ยถา ‘‘สมุทโย’’ติฯ สเมติ สํโยชนภาวโต สมฺพโนฺธ เอติ อตฺตโน วิสเย ปวตฺตติ, ทฬฺหคฺคหณภาวโต วา สํยุตฺตา อยนฺติ ปวตฺตนฺติ สตฺตา ยถาภินิเวสํ เอเตนาติ สมโย, ทิฎฺฐิ; ทิฎฺฐิสโญฺญชเนน หิ สตฺตา อติวิย พชฺฌนฺตีติฯ สมิติ สงฺคติ สโมธานนฺติ สมโย, ปฎิลาโภฯ สมยนํ, สมฺมา วา อยนํ อปคโมติ สมโย, ปหานํฯ อภิมุขํ ญาเณน สมฺมา เอตโพฺพ อภิสเมตโพฺพติ อภิสมโย, ธมฺมานํ อวิปรีโต สภาโวฯ อภิมุขภาเวน สมฺมา เอติ คจฺฉติ พุชฺฌตีติ อภิสมโย, ธมฺมานํ อวิปรีตสภาวาวโพโธฯ เอวํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ อเตฺถ สมย-สทฺทสฺส ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ สมยสทฺทสฺส อตฺถุทฺธาเร อภิสมยสทฺทสฺส อุทาหรณํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อสฺสาติ สมยสทฺทสฺส ฯ กาโล อโตฺถ สมวายาทีนํ อตฺถานํ อิธ อสมฺภวโต, เทสเทสกปริสานํ วิย สุตฺตสฺส นิทานภาเวน กาลสฺส อปทิสิตพฺพโต จฯ
Tattha sahakārīkāraṇaṃ sannijjhaṃ sameti samavetīti samayo, samavāyo. Sameti samāgacchati maggabrahmacariyaṃ ettha tadādhārapuggalehīti samayo, khaṇo. Sameti ettha, etena vā saṃgacchati satto, sabhāvadhammo vā sahajātādīhi uppādādīhi vāti samayo, kālo. Dhammappavattimattatāya atthato abhūtopi hi kālo dhammappavattiyā adhikaraṇaṃ karaṇaṃ viya ca kappanāmattasiddhena rūpena voharīyatīti. Samaṃ, saha vā avayavānaṃ ayanaṃ pavatti avaṭṭhānanti samayo, samūho yathā ‘‘samudāyo’’ti. Avayavasahāvaṭṭhānameva hi samūhoti. Avasesapaccayānaṃ samāgame eti phalaṃ etasmā uppajjati pavattati cāti samayo, hetu yathā ‘‘samudayo’’ti. Sameti saṃyojanabhāvato sambandho eti attano visaye pavattati, daḷhaggahaṇabhāvato vā saṃyuttā ayanti pavattanti sattā yathābhinivesaṃ etenāti samayo, diṭṭhi; diṭṭhisaññojanena hi sattā ativiya bajjhantīti. Samiti saṅgati samodhānanti samayo, paṭilābho. Samayanaṃ, sammā vā ayanaṃ apagamoti samayo, pahānaṃ. Abhimukhaṃ ñāṇena sammā etabbo abhisametabboti abhisamayo, dhammānaṃ aviparīto sabhāvo. Abhimukhabhāvena sammā eti gacchati bujjhatīti abhisamayo, dhammānaṃ aviparītasabhāvāvabodho. Evaṃ tasmiṃ tasmiṃ atthe samaya-saddassa pavatti veditabbā. Samayasaddassa atthuddhāre abhisamayasaddassa udāharaṇaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. Assāti samayasaddassa . Kālo attho samavāyādīnaṃ atthānaṃ idha asambhavato, desadesakaparisānaṃ viya suttassa nidānabhāvena kālassa apadisitabbato ca.
กสฺมา ปเนตฺถ อนิยมิตวเสเนว กาโล นิทฺทิโฎฺฐ, น อุตุสํวจฺฉราทิวเสน นิยเมตฺวาติ? อาห – ‘‘ตตฺถ กิญฺจาปี’’ติอาทิฯ อุตุสํวจฺฉราทิวเสน นิยมํ อกตฺวา สมยสทฺทสฺส วจเนน อยมฺปิ คุโณ ลโทฺธ โหตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘เย วา อิเม’’ติอาทิมาหฯ สามญฺญโชตนา หิ วิเสเส อวติฎฺฐตีติฯ ตตฺถ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารสมโย เทวสิกํ ฌานผลสมาปตฺตีหิ วีตินามนกาโล, วิเสสโต สตฺตสตฺตาหานิฯ สุปฺปกาสาติ ทสสหสฺสิโลกธาตุสํกมฺปนโอภาสปาตุภาวาทีหิ ปากฎาฯ ยถาวุตฺตเภเทสุ เอว สมเยสุ เอกเทสํ ปการนฺตเรหิ สงฺคเหตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘โย จาย’’นฺติอาทิมาหฯ ตถา หิ ญาณกิจฺจสมโย อตฺตหิตปฎิปตฺติสมโย จ อภิสโมฺพธิสมโย, อริยตุณฺหีภาวสมโย ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารสมโย, กรุณากิจฺจปรหิตปฎิปตฺติธมฺมิกถาสมโย เทสนาสมโย เอวฯ
Kasmā panettha aniyamitavaseneva kālo niddiṭṭho, na utusaṃvaccharādivasena niyametvāti? Āha – ‘‘tattha kiñcāpī’’tiādi. Utusaṃvaccharādivasena niyamaṃ akatvā samayasaddassa vacanena ayampi guṇo laddho hotīti dassento ‘‘ye vā ime’’tiādimāha. Sāmaññajotanā hi visese avatiṭṭhatīti. Tattha diṭṭhadhammasukhavihārasamayo devasikaṃ jhānaphalasamāpattīhi vītināmanakālo, visesato sattasattāhāni. Suppakāsāti dasasahassilokadhātusaṃkampanaobhāsapātubhāvādīhi pākaṭā. Yathāvuttabhedesu eva samayesu ekadesaṃ pakārantarehi saṅgahetvā dassetuṃ ‘‘yo cāya’’ntiādimāha. Tathā hi ñāṇakiccasamayo attahitapaṭipattisamayo ca abhisambodhisamayo, ariyatuṇhībhāvasamayo diṭṭhadhammasukhavihārasamayo, karuṇākiccaparahitapaṭipattidhammikathāsamayo desanāsamayo eva.
กรณวจเนน นิเทฺทโส กโตติ สมฺพโนฺธฯ ตตฺถาติ อภิธมฺมตทญฺญสุตฺตปทวินเยสุฯ ตถาติ ภุมฺมกรเณหิฯ อธิกรณโตฺถ อาธารโตฺถฯ ภาโว นาม กิริยา, ตาย กิริยนฺตรลกฺขณํ ภาเวนภาวลกฺขณํฯ ตตฺถ ยถา กาโล สภาวธมฺมปริจฺฉิโนฺน สยํ ปรมตฺถโต อวิชฺชมาโนปิ อาธารภาเวน ปญฺญาโต ตงฺขณปฺปวตฺตานํ ตโต ปุเพฺพ ปรโต จ อภาวโต ‘‘ปุพฺพเณฺห ชาโต, สายเนฺห คจฺฉตี’’ติ จ อาทีสุ, สมูโห จ อวยววินิมุโตฺต อวิชฺชมาโนปิ กปฺปนามตฺตสิโทฺธ อวยวานํ อาธารภาเวน ปญฺญาปียติ ‘‘รุเกฺข สาขา, ยวราสิยํ สมฺภูโต’’ติอาทีสุ, เอวํ อิธาปีติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อธิกรณญฺหิ…เป.… ธมฺมาน’’นฺติฯ ยสฺมิํ กาเล ธมฺมปุเญฺช วา กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, ตสฺมิํ เอว กาเล ธมฺมปุเญฺช จ ผสฺสาทโยปิ โหนฺตีติ อยญฺหิ ตตฺถ อโตฺถฯ ยถา จ ‘‘คาวีสุ ทุยฺหมานาสุ คโต, ทุทฺธาสุ อาคโต’’ติ โทหนกิริยาย คมนกิริยา ลกฺขียติ, เอวํ อิธาปิ ‘‘ยสฺมิํ สมเย, ตสฺมิํ สมเย’’ติ จ วุเตฺต ‘‘สตี’’ติ อยมโตฺถ วิญฺญายมาโน เอว โหติ ปทตฺถสฺส สตฺตาวิรหาภาวโตติ สมยสฺส สตฺตากิริยาย จิตฺตสฺส อุปฺปาทกิริยา ผสฺสาทีนํ ภวนกิริยา จ ลกฺขียติฯ ยสฺมิํ สมเยติ ยสฺมิํ นวเม ขเณ, ยสฺมิํ โยนิโสมนสิการาทิเหตุมฺหิ, ปจฺจยสมวาเย วา สติ กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, ตสฺมิํเยว ขเณ, เหตุมฺหิ, ปจฺจยสมวาเย วา ผสฺสาทโยปิ โหนฺตีติ อุภยตฺถ สมยสเทฺท ภุมฺมนิเทฺทโส กโต ลกฺขณภูตภาวยุโตฺตติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ขณ…เป.… ลกฺขียตี’’ติฯ
Karaṇavacanena niddeso katoti sambandho. Tatthāti abhidhammatadaññasuttapadavinayesu. Tathāti bhummakaraṇehi. Adhikaraṇattho ādhārattho. Bhāvo nāma kiriyā, tāya kiriyantaralakkhaṇaṃ bhāvenabhāvalakkhaṇaṃ. Tattha yathā kālo sabhāvadhammaparicchinno sayaṃ paramatthato avijjamānopi ādhārabhāvena paññāto taṅkhaṇappavattānaṃ tato pubbe parato ca abhāvato ‘‘pubbaṇhe jāto, sāyanhe gacchatī’’ti ca ādīsu, samūho ca avayavavinimutto avijjamānopi kappanāmattasiddho avayavānaṃ ādhārabhāvena paññāpīyati ‘‘rukkhe sākhā, yavarāsiyaṃ sambhūto’’tiādīsu, evaṃ idhāpīti dassento āha ‘‘adhikaraṇañhi…pe… dhammāna’’nti. Yasmiṃ kāle dhammapuñje vā kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti, tasmiṃ eva kāle dhammapuñje ca phassādayopi hontīti ayañhi tattha attho. Yathā ca ‘‘gāvīsu duyhamānāsu gato, duddhāsu āgato’’ti dohanakiriyāya gamanakiriyā lakkhīyati, evaṃ idhāpi ‘‘yasmiṃ samaye, tasmiṃ samaye’’ti ca vutte ‘‘satī’’ti ayamattho viññāyamāno eva hoti padatthassa sattāvirahābhāvatoti samayassa sattākiriyāya cittassa uppādakiriyā phassādīnaṃ bhavanakiriyā ca lakkhīyati. Yasmiṃ samayeti yasmiṃ navame khaṇe, yasmiṃ yonisomanasikārādihetumhi, paccayasamavāye vā sati kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti, tasmiṃyeva khaṇe, hetumhi, paccayasamavāye vā phassādayopi hontīti ubhayattha samayasadde bhummaniddeso kato lakkhaṇabhūtabhāvayuttoti dassento āha ‘‘khaṇa…pe… lakkhīyatī’’ti.
เหตุอโตฺถ กรณโตฺถ จ สมฺภวติ ‘‘อเนฺนน วสติ, อเชฺฌเนน วสติ, ผรสุนา ฉินฺทติ, กุทาเลน ขณตี’’ติอาทีสุ วิยฯ วีติกฺกมญฺหิ สุตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาตาเปตฺวา โอติณฺณวตฺถุกํ ปุคฺคลํ ปฎิปุจฺฉิตฺวา วิครหิตฺวา จ ตํ ตํ วตฺถุํ โอติณฺณกาลํ อนติกฺกมิตฺวา เตเนว กาเลน สิกฺขาปทานิ ปญฺญเปโนฺต ภควา วิหรติ สิกฺขาปทปญฺญตฺติเหตุญฺจ อเปกฺขมาโน ตติยปาราชิกาทีสุ วิยฯ
Hetuatthokaraṇattho ca sambhavati ‘‘annena vasati, ajjhenena vasati, pharasunā chindati, kudālena khaṇatī’’tiādīsu viya. Vītikkamañhi sutvā bhikkhusaṅghaṃ sannipātāpetvā otiṇṇavatthukaṃ puggalaṃ paṭipucchitvā vigarahitvā ca taṃ taṃ vatthuṃ otiṇṇakālaṃ anatikkamitvā teneva kālena sikkhāpadāni paññapento bhagavā viharati sikkhāpadapaññattihetuñca apekkhamāno tatiyapārājikādīsu viya.
อจฺจนฺตเมว อารมฺภโต ปฎฺฐาย ยาว เทสนานิฎฺฐานํ ปรหิตปฎิปตฺติสงฺขาเตน กรุณาวิหาเรนฯ ตทตฺถโชตนตฺถนฺติ อจฺจนฺตสํโยคตฺถโชตนตฺถํฯ อุปโยควจนนิเทฺทโส กโต ยถา ‘‘มาสํ อเชฺฌตี’’ติฯ
Accantameva ārambhato paṭṭhāya yāva desanāniṭṭhānaṃ parahitapaṭipattisaṅkhātena karuṇāvihārena. Tadatthajotanatthanti accantasaṃyogatthajotanatthaṃ. Upayogavacananiddeso kato yathā ‘‘māsaṃ ajjhetī’’ti.
โปราณาติ อฎฺฐกถาจริยาฯ อภิลาปมตฺตเภโทติ วจนมเตฺตน วิเสโสฯ เตน สุตฺตวินเยสุ วิภตฺติพฺยตฺตโย กโตติ ทเสฺสติฯ
Porāṇāti aṭṭhakathācariyā. Abhilāpamattabhedoti vacanamattena viseso. Tena suttavinayesu vibhattibyattayo katoti dasseti.
เสฎฺฐนฺติ เสฎฺฐวาจกํ วจนํ ‘‘เสฎฺฐ’’นฺติ วุตฺตํ เสฎฺฐคุณสหจรณโตฯ ตถา อุตฺตมนฺติ เอตฺถาปิฯ คารวยุโตฺตติ ครุภาวยุโตฺต ครุคุณโยคโต, ครุกรณารหตาย วา คารวยุโตฺตฯ วุโตฺตเยว, น ปน อิธ วตฺตโพฺพ วิสุทฺธิมคฺคสฺส อิมิสฺสา อฎฺฐกถาย เอกเทสภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ
Seṭṭhanti seṭṭhavācakaṃ vacanaṃ ‘‘seṭṭha’’nti vuttaṃ seṭṭhaguṇasahacaraṇato. Tathā uttamanti etthāpi. Gāravayuttoti garubhāvayutto garuguṇayogato, garukaraṇārahatāya vā gāravayutto. Vuttoyeva, na pana idha vattabbo visuddhimaggassa imissā aṭṭhakathāya ekadesabhāvatoti adhippāyo.
อปโร นโย (สํ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑; สารตฺถ. ฎี. ๑.วินยานิสํสกถาวณฺณนา; วิสุทฺธิ. มหาฎี. ๑.๑๔๔; อิติวุ. อฎฺฐ. คนฺถารมฺภกถา) – ภาควาติ ภควา, ภตวาติ ภควา, ภาเค วนีติ ภควา, ภเค วนีติ ภควา, ภตฺตวาติ ภควา, ภเค วมีติ ภควา, ภาเค วมีติ ภควาฯ
Aparo nayo (saṃ. ni. ṭī. 1.1.1; sārattha. ṭī. 1.vinayānisaṃsakathāvaṇṇanā; visuddhi. mahāṭī. 1.144; itivu. aṭṭha. ganthārambhakathā) – bhāgavāti bhagavā, bhatavāti bhagavā, bhāge vanīti bhagavā, bhage vanīti bhagavā, bhattavāti bhagavā, bhage vamīti bhagavā, bhāge vamīti bhagavā.
ภควา ภตวา ภาเค, ภเค จ วนิ ภตฺตวา;
Bhagavā bhatavā bhāge, bhage ca vani bhattavā;
ภเค วมิ ตถา ภาเค, วมีติ ภควา ชิโนฯ
Bhage vami tathā bhāge, vamīti bhagavā jino.
ตตฺถ กถํ ภาควาติ ภควา? เย เต สีลาทโย ธมฺมกฺขนฺธา คุณภาคา คุณโกฎฺฐาสา, เต อนญฺญสาธารณา นิรติสยา ตถาคตสฺส อตฺถิ อุปลพฺภนฺติฯ ตถา หิสฺส สีลํ, สมาธิ, ปญฺญา, วิมุตฺติ, วิมุตฺติญาณทสฺสนํ, หิรี, โอตฺตปฺปํ, สทฺธา, วีริยํ, สติ สมฺปชญฺญํ, สีลวิสุทฺธิ, ทิฎฺฐิวิสุทฺธิ, สมโถ, วิปสฺสนา, ตีณิ กุสลมูลานิ, ตีณิ สุจริตานิ, ตโย สมฺมาวิตกฺกา, ติโสฺส อนวชฺชสญฺญา, ติโสฺส ธาตุโย, จตฺตาโร สติปฎฺฐานา, จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา, จตฺตาโร อริยมคฺคา, จตฺตาริ อริยผลานิ, จตโสฺส ปฎิสมฺภิทา, จตุโยนิปฎิเจฺฉทกญาณํ, จตฺตาโร อริยวํสา, จตฺตาริ เวสารชฺชญาณานิ, ปญฺจ ปธานิยงฺคานิ, ปญฺจงฺคิโก สมฺมาสมาธิ, ปญฺจญาณิโก สมฺมาสมาธิ, ปญฺจินฺทฺริยานิ, ปญฺจ พลานิ, ปญฺจ นิสฺสารณียา ธาตุโย, ปญฺจ วิมุตฺตายตนญาณานิ, ปญฺจ วิมุตฺติปริปาจนียา สญฺญา, ฉ อนุสฺสติฎฺฐานานิ, ฉ คารวา, ฉ นิสฺสารณียา ธาตุโย, ฉ สตตวิหารา, ฉ อนุตฺตริยานิ, ฉ นิเพฺพธภาคิยา สญฺญา, ฉ อภิญฺญา, ฉ อสาธารณญาณานิ, สตฺต อปริหานิยา ธมฺมา, สตฺต อริยธมฺมา, สตฺต อริยธนานิ, สตฺต โพชฺฌงฺคา, สตฺต สปฺปุริสธมฺมา, สตฺต นิชฺชรวตฺถูนิ, สตฺต สญฺญา, สตฺต ทกฺขิเณยฺยปุคฺคลเทสนา, สตฺต ขีณาสวพลเทสนา, อฎฺฐ ปญฺญาปฎิลาภเหตุเทสนา, อฎฺฐ สมฺมตฺตานิ, อฎฺฐ โลกธมฺมาติกฺกมา, อฎฺฐ อารมฺภวตฺถูนิ, อฎฺฐ อกฺขณเทสนา, อฎฺฐ มหาปุริสวิตกฺกา, อฎฺฐ อภิภายตนเทสนา, อฎฺฐ วิโมกฺขา, นว โยนิโสมนสิการมูลกา ธมฺมา, นว ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคานิ, นว สตฺตาวาสเทสนา, นว อาฆาตปฎิวินยา, นว สญฺญา, นว นานตฺตา, นว อนุปุพฺพวิหารา, ทส นาถกรณา ธมฺมา, ทส กสิณายตนานิ, ทส กุสลกมฺมปถา, ทส สมฺมตฺตานิ, ทส อริยวาสา, ทส อเสกฺขธมฺมา, ทส ตถาคตพลานิ, เอกาทส เมตฺตานิสํสา, ทฺวาทส ธมฺมจกฺกาการา, เตรส ธุตคุณา, จุทฺทส พุทฺธญาณานิ, ปญฺจทส วิมุตฺติปริปาจนียา ธมฺมา, โสฬสวิธา อานาปานสฺสติ, โสฬส อปรนฺตปนียา ธมฺมา, อฎฺฐารส พุทฺธธมฺมา, เอกูนวีสติ ปจฺจเวกฺขณญาณานิ, จตุจตฺตาลีส ญาณวตฺถูนิ, ปญฺญาส อุทยพฺพยญาณานิ, ปโรปณฺณาส กุสลธมฺมา, สตฺตสตฺตติ ญาณวตฺถูนิ, จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสสงฺขาสมาปตฺติสญฺจาริมหาวชิรญาณํ, อนนฺตนยสมนฺตปฎฺฐานปวิจยปจฺจเวกฺขณเทสนาญาณานิ ตถา อนนฺตาสุ โลกธาตูสุ อนนฺตานํ สตฺตานํ อาสยาทิวิภาวนญาณานิ จาติ เอวมาทโย อนนฺตาปริมาณเภทา อนญฺญสาธารณา นิรติสยา คุณภาคา คุณโกฎฺฐาสา สํวิชฺชนฺติ อุปลพฺภนฺติ, ตสฺมา ยถาวุตฺตวิภาคา คุณภาคา อสฺส อตฺถีติ ‘‘ภาควา’’ติ วตฺตเพฺพ อา-การสฺส รสฺสตฺตํ กตฺวา ‘‘ภควา’’ติ วุโตฺตฯ เอวํ ตาว ภาควาติ ภควาฯ
Tattha kathaṃ bhāgavāti bhagavā? Ye te sīlādayo dhammakkhandhā guṇabhāgā guṇakoṭṭhāsā, te anaññasādhāraṇā niratisayā tathāgatassa atthi upalabbhanti. Tathā hissa sīlaṃ, samādhi, paññā, vimutti, vimuttiñāṇadassanaṃ, hirī, ottappaṃ, saddhā, vīriyaṃ, sati sampajaññaṃ, sīlavisuddhi, diṭṭhivisuddhi, samatho, vipassanā, tīṇi kusalamūlāni, tīṇi sucaritāni, tayo sammāvitakkā, tisso anavajjasaññā, tisso dhātuyo, cattāro satipaṭṭhānā, cattāro sammappadhānā, cattāro iddhipādā, cattāro ariyamaggā, cattāri ariyaphalāni, catasso paṭisambhidā, catuyonipaṭicchedakañāṇaṃ, cattāro ariyavaṃsā, cattāri vesārajjañāṇāni, pañca padhāniyaṅgāni, pañcaṅgiko sammāsamādhi, pañcañāṇiko sammāsamādhi, pañcindriyāni, pañca balāni, pañca nissāraṇīyā dhātuyo, pañca vimuttāyatanañāṇāni, pañca vimuttiparipācanīyā saññā, cha anussatiṭṭhānāni, cha gāravā, cha nissāraṇīyā dhātuyo, cha satatavihārā, cha anuttariyāni, cha nibbedhabhāgiyā saññā, cha abhiññā, cha asādhāraṇañāṇāni, satta aparihāniyā dhammā, satta ariyadhammā, satta ariyadhanāni, satta bojjhaṅgā, satta sappurisadhammā, satta nijjaravatthūni, satta saññā, satta dakkhiṇeyyapuggaladesanā, satta khīṇāsavabaladesanā, aṭṭha paññāpaṭilābhahetudesanā, aṭṭha sammattāni, aṭṭha lokadhammātikkamā, aṭṭha ārambhavatthūni, aṭṭha akkhaṇadesanā, aṭṭha mahāpurisavitakkā, aṭṭha abhibhāyatanadesanā, aṭṭha vimokkhā, nava yonisomanasikāramūlakā dhammā, nava pārisuddhipadhāniyaṅgāni, nava sattāvāsadesanā, nava āghātapaṭivinayā, nava saññā, nava nānattā, nava anupubbavihārā, dasa nāthakaraṇā dhammā, dasa kasiṇāyatanāni, dasa kusalakammapathā, dasa sammattāni, dasa ariyavāsā, dasa asekkhadhammā, dasa tathāgatabalāni, ekādasa mettānisaṃsā, dvādasa dhammacakkākārā, terasa dhutaguṇā, cuddasa buddhañāṇāni, pañcadasa vimuttiparipācanīyā dhammā, soḷasavidhā ānāpānassati, soḷasa aparantapanīyā dhammā, aṭṭhārasa buddhadhammā, ekūnavīsati paccavekkhaṇañāṇāni, catucattālīsa ñāṇavatthūni, paññāsa udayabbayañāṇāni, paropaṇṇāsa kusaladhammā, sattasattati ñāṇavatthūni, catuvīsatikoṭisatasahassasaṅkhāsamāpattisañcārimahāvajirañāṇaṃ, anantanayasamantapaṭṭhānapavicayapaccavekkhaṇadesanāñāṇāni tathā anantāsu lokadhātūsu anantānaṃ sattānaṃ āsayādivibhāvanañāṇāni cāti evamādayo anantāparimāṇabhedā anaññasādhāraṇā niratisayā guṇabhāgā guṇakoṭṭhāsā saṃvijjanti upalabbhanti, tasmā yathāvuttavibhāgā guṇabhāgā assa atthīti ‘‘bhāgavā’’ti vattabbe ā-kārassa rassattaṃ katvā ‘‘bhagavā’’ti vutto. Evaṃ tāva bhāgavāti bhagavā.
ยสฺมา สีลาทโย สเพฺพ, คุณภาคา อเสสโต;
Yasmā sīlādayo sabbe, guṇabhāgā asesato;
วิชฺชนฺติ สุคเต ตสฺมา, ภควาติ ปวุจฺจตีติฯ
Vijjanti sugate tasmā, bhagavāti pavuccatīti.
กถํ ภตวาติ ภควา? เย เต สพฺพโลกหิตาย อุสฺสุกฺกมาปเนฺนหิ มนุสฺสตฺตาทิเก อฎฺฐ ธเมฺม สโมธาเนตฺวา สมฺมาสโมฺพธิยา กตมหาภินีหาเรหิ มหาโพธิสเตฺตหิ ปริปูริตพฺพา ทานปารมี, สีล, เนกฺขมฺม, ปญฺญา, วีริย, ขนฺติ, สจฺจ, อธิฎฺฐาน, เมตฺตา, อุเปกฺขาปารมีติ ทส ปารมิโย ทส อุปปารมิโย ทส ปรมตฺถปารมิโยติ สมติํส ปารมิโย, ทานาทีนิ จตฺตาริ สงฺคหวตฺถูนิ, สจฺจาทีนิ จตฺตาริ อธิฎฺฐานานิ, องฺคปริจฺจาโค นยนธนรชฺชปุตฺตทารปริจฺจาโคติ ปญฺจ มหาปริจาคา, ปุพฺพโยโค, ปุพฺพจริยา, ธมฺมกฺขานํ, ญาตตฺถจริยา, โลกตฺถจริยา, พุทฺธิจริยาติ เอวมาทโย, สเงฺขปโต วา สเพฺพ ปุญฺญญาณสมฺภารา พุทฺธกรธมฺมา, เต มหาภินีหารโต ปฎฺฐาย กปฺปานํ สตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขยฺยานิ ยถา หานภาคิยา สํกิเลสภาคิยา ฐิติภาคิยา วา น โหนฺติ, อถ โข อุตฺตรุตฺตริ วิเสสภาคิยาว โหนฺติ, เอวํ สกฺกจฺจํ นิรนฺตรํ อนวเสสโต ภตา สมฺภตา อสฺส อตฺถีติ ‘‘ภตวา’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘ภควา’’ติ วุโตฺต นิรุตฺตินเยน ต-การสฺส ค-การํ กตฺวาฯ อถ วา ภตวาติ เตเยว ยถาวุเตฺต พุทฺธกรธเมฺม วุตฺตนเยเนว ภริ สมฺภริ, ปริปูเรสีติ อโตฺถฯ เอวมฺปิ ภตวาติ ภควาฯ
Kathaṃ bhatavāti bhagavā? Ye te sabbalokahitāya ussukkamāpannehi manussattādike aṭṭha dhamme samodhānetvā sammāsambodhiyā katamahābhinīhārehi mahābodhisattehi paripūritabbā dānapāramī, sīla, nekkhamma, paññā, vīriya, khanti, sacca, adhiṭṭhāna, mettā, upekkhāpāramīti dasa pāramiyo dasa upapāramiyo dasa paramatthapāramiyoti samatiṃsa pāramiyo, dānādīni cattāri saṅgahavatthūni, saccādīni cattāri adhiṭṭhānāni, aṅgapariccāgo nayanadhanarajjaputtadārapariccāgoti pañca mahāparicāgā, pubbayogo, pubbacariyā, dhammakkhānaṃ, ñātatthacariyā, lokatthacariyā, buddhicariyāti evamādayo, saṅkhepato vā sabbe puññañāṇasambhārā buddhakaradhammā, te mahābhinīhārato paṭṭhāya kappānaṃ satasahassādhikāni cattāri asaṅkheyyāni yathā hānabhāgiyā saṃkilesabhāgiyā ṭhitibhāgiyā vā na honti, atha kho uttaruttari visesabhāgiyāva honti, evaṃ sakkaccaṃ nirantaraṃ anavasesato bhatā sambhatā assa atthīti ‘‘bhatavā’’ti vattabbe ‘‘bhagavā’’ti vutto niruttinayena ta-kārassa ga-kāraṃ katvā. Atha vā bhatavāti teyeva yathāvutte buddhakaradhamme vuttanayeneva bhari sambhari, paripūresīti attho. Evampi bhatavāti bhagavā.
สมฺมาสโมฺพธิยา สเพฺพ, ทานปารมิอาทิเก;
Sammāsambodhiyā sabbe, dānapāramiādike;
สมฺภาเร ภตวา นาโถ, เตนาปิ ภควา มโตติฯ
Sambhāre bhatavā nātho, tenāpi bhagavā matoti.
กถํ ภาเค วนีติ ภควา? เย เต จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสสงฺขา เทวสิกํ วฬญฺชนกสมาปตฺติภาคา, เต อนวเสสโต โลกหิตตฺถํ อตฺตโน จ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารตฺถํ นิจฺจกปฺปํ วนิ ภชิ เสวิ พหุลมกาสีติ ภาเค วนีติ ภควาฯ อถ วา อภิเญฺญยฺยธเมฺมสุ กุสลาทีสุ ขนฺธาทีสุ จ เย เต ปริเญฺญยฺยาทิวเสน สเงฺขปโต วา จตุพฺพิธา อภิสมยภาคา, วิตฺถารโต ปน ‘‘จกฺขุ ปริเญฺญยฺยํ โสตํ…เป.… ชรามรณํ ปริเญฺญยฺย’’นฺติอาทินา (ปฎิ. ม. ๑.๒๑) อเนเก ปริเญฺญยฺยภาคา, ‘‘จกฺขุสฺส สมุทโย ปหาตโพฺพ…เป.… ชรามรณสฺส สมุทโย ปหาตโพฺพ’’ติอาทินา ปหาตพฺพภาคา, ‘‘จกฺขุสฺส นิโรโธ…เป.… ชรามรณสฺส นิโรโธ สจฺฉิกาตโพฺพ’’ติอาทินา สจฺฉิกาตพฺพภาคา, ‘‘จกฺขุสฺส นิโรธคามินี ปฎิปทา’’ติอาทินา, ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’’ติอาทินา จ อเนกเภทา ภาเวตพฺพภาคา จ ธมฺมา, เต สเพฺพ วนิ ภชิ ยถารหํ โคจรภาวนาเสวนานํ วเสน เสวิฯ เอวมฺปิ ภาเค วนีติ ภควาฯ อถ วา ‘‘เย อิเม สีลาทโย ธมฺมกฺขนฺธา สาวเกหิ สาธารณา คุณภาคา คุณโกฎฺฐาสา, กินฺติ นุ โข เต วิเนยฺยสนฺตาเนสุ ปติฎฺฐเปยฺย’’นฺติ มหากรุณาย วนิ อภิปตฺถยิ, สา จสฺส อภิปตฺถนา ยถาธิเปฺปตผลาวหา อโหสิฯ เอวมฺปิ ภาเค วนีติ ภควาฯ
Kathaṃ bhāge vanīti bhagavā? Ye te catuvīsatikoṭisatasahassasaṅkhā devasikaṃ vaḷañjanakasamāpattibhāgā, te anavasesato lokahitatthaṃ attano ca diṭṭhadhammasukhavihāratthaṃ niccakappaṃ vani bhaji sevi bahulamakāsīti bhāge vanīti bhagavā. Atha vā abhiññeyyadhammesu kusalādīsu khandhādīsu ca ye te pariññeyyādivasena saṅkhepato vā catubbidhā abhisamayabhāgā, vitthārato pana ‘‘cakkhu pariññeyyaṃ sotaṃ…pe… jarāmaraṇaṃ pariññeyya’’ntiādinā (paṭi. ma. 1.21) aneke pariññeyyabhāgā, ‘‘cakkhussa samudayo pahātabbo…pe… jarāmaraṇassa samudayo pahātabbo’’tiādinā pahātabbabhāgā, ‘‘cakkhussa nirodho…pe… jarāmaraṇassa nirodho sacchikātabbo’’tiādinā sacchikātabbabhāgā, ‘‘cakkhussa nirodhagāminī paṭipadā’’tiādinā, ‘‘cattāro satipaṭṭhānā’’tiādinā ca anekabhedā bhāvetabbabhāgā ca dhammā, te sabbe vani bhaji yathārahaṃ gocarabhāvanāsevanānaṃ vasena sevi. Evampi bhāge vanīti bhagavā. Atha vā ‘‘ye ime sīlādayo dhammakkhandhā sāvakehi sādhāraṇā guṇabhāgā guṇakoṭṭhāsā, kinti nu kho te vineyyasantānesu patiṭṭhapeyya’’nti mahākaruṇāya vani abhipatthayi, sā cassa abhipatthanā yathādhippetaphalāvahā ahosi. Evampi bhāge vanīti bhagavā.
ยสฺมา เญยฺยสมาปตฺติคุณภาเค อเสสโต;
Yasmā ñeyyasamāpattiguṇabhāge asesato;
ภชิ ปตฺถยิ สตฺตานํ, หิตาย ภควา ตโตติฯ
Bhaji patthayi sattānaṃ, hitāya bhagavā tatoti.
กถํ ภเค วนีติ ภควา? สมาสโต ตาว กตปุเญฺญหิ ปโยคสมฺปเนฺนหิ ยถาวิภวํ ภชียนฺตีติ ภคา, โลกิยโลกุตฺตรา สมฺปตฺติโยฯ ตตฺถ โลกิเย ตาว ตถาคโต สโมฺพธิโต ปุเพฺพ โพธิสตฺตภูโต ปรมุกฺกํสคเต วนิ ภชิ เสวิ, ยตฺถ ปติฎฺฐาย นิรวเสสโต พุทฺธกรธเมฺม สมนฺนาเนโนฺต พุทฺธธเมฺม ปริปาเจสิ, พุทฺธภูโต ปน เต นิรวชฺชสุขูปสํหิเต อนญฺญสาธารเณ โลกุตฺตเรปิ วนิ ภชิ เสวิ, วิตฺถารโต ปน ปเทสรชฺชอิสฺสริยจกฺกวตฺติสมฺปตฺติ-เทวรชฺชสมฺปตฺติอาทิวเสน- ฌานวิโมกฺขสมาธิสมาปตฺติญาณทสฺสน-มคฺคภาวนาผลสจฺฉิ- กิริยาทิ-อุตฺตริมนุสฺสธมฺมวเสน จ อเนกวิหิเต อนญฺญสาธารเณ ภเค วนิ ภชิ เสวิฯ เอวมฺปิ ภเค วนีติ ภควาฯ
Kathaṃ bhage vanīti bhagavā? Samāsato tāva katapuññehi payogasampannehi yathāvibhavaṃ bhajīyantīti bhagā, lokiyalokuttarā sampattiyo. Tattha lokiye tāva tathāgato sambodhito pubbe bodhisattabhūto paramukkaṃsagate vani bhaji sevi, yattha patiṭṭhāya niravasesato buddhakaradhamme samannānento buddhadhamme paripācesi, buddhabhūto pana te niravajjasukhūpasaṃhite anaññasādhāraṇe lokuttarepi vani bhaji sevi, vitthārato pana padesarajjaissariyacakkavattisampatti-devarajjasampattiādivasena- jhānavimokkhasamādhisamāpattiñāṇadassana-maggabhāvanāphalasacchi- kiriyādi-uttarimanussadhammavasena ca anekavihite anaññasādhāraṇe bhage vani bhaji sevi. Evampi bhage vanīti bhagavā.
ยา ตา สมฺปตฺติโย โลเก, ยา จ โลกุตฺตรา ปุถุ;
Yā tā sampattiyo loke, yā ca lokuttarā puthu;
สพฺพา ตา ภชิ สมฺพุโทฺธ, ตสฺมาปิ ภควา มโตติฯ
Sabbā tā bhaji sambuddho, tasmāpi bhagavā matoti.
กถํ ภตฺตวาติ ภควา? ภตฺตา ทฬฺหภตฺติกา อสฺส พหู อตฺถีติ ภตฺตวาฯ ตถาคโต หิ มหากรุณาสพฺพญฺญุตญฺญาณาทิอปริมิตนิรุปมปภาวคุณวิเสสสมงฺคิภาวโต สพฺพสตฺตุตฺตโม, สพฺพานตฺถปริหารปุพฺพงฺคมาย นิรวเสสหิตสุขวิธานตปฺปราย นิรติสยาย ปโยคสมฺปตฺติยา สเทวมนุสฺสาย ปชาย อจฺจนฺตูปการิตาย ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณ-อสีติอนุพฺยญฺชน-พฺยามปฺปภาทิอนญฺญสาธารณ- วิเสสปฎิมณฺฑิต-รูปกายตาย ยถาภุจฺจ-คุณาธิคเตน ‘‘อิติปิ โส ภควา’’ติอาทินยปฺปวเตฺตน โลกตฺตยพฺยาปินา สุวิปุเลน สุวิสุเทฺธน จ ถุติโฆเสน สมนฺนาคตตฺตา อุกฺกํสปารมิปฺปตฺตาสุ อปฺปิจฺฉตาสนฺตุฎฺฐิอาทีสุ สุปฺปติฎฺฐิตภาวโต ทสพลจตุเวสารชฺชาทินิรติสยคุณวิเสส-สมงฺคิภาวโต จ รูปปฺปมาโณ รูปปฺปสโนฺน, โฆสปฺปมาโณ โฆสปฺปสโนฺน, ลูขปฺปมาโณ ลูขปฺปสโนฺน, ธมฺมปฺปมาโณ ธมฺมปฺปสโนฺนติ เอวํ จตุปฺปมาณิเก โลกสนฺนิวาเส สพฺพถาปิ ปสาทาวหภาเวน สมนฺตปาสาทิกตฺตา อปริมาณานํ สตฺตานํ สเทวมนุสฺสานํ อาทรพหุมานคารวายตนตาย ปรมเปมสมฺภตฺติฎฺฐานํฯ เย ตสฺส โอวาเท ปติฎฺฐิตา อเวจฺจปฺปสาเทน สมนฺนาคตา โหนฺติ, เกนจิ อสํหาริยา เตสํ ปสาทภตฺติ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วาฯ ตถา หิ เต อตฺตโน ชีวิตปริจฺจาเคปิ ตตฺถ ปสาทํ น ปริจฺจชนฺติ, ตสฺส วา อาณํ ทฬฺหภตฺติภาวโตฯ เตเนวาห –
Kathaṃ bhattavāti bhagavā? Bhattā daḷhabhattikā assa bahū atthīti bhattavā. Tathāgato hi mahākaruṇāsabbaññutaññāṇādiaparimitanirupamapabhāvaguṇavisesasamaṅgibhāvato sabbasattuttamo, sabbānatthaparihārapubbaṅgamāya niravasesahitasukhavidhānatapparāya niratisayāya payogasampattiyā sadevamanussāya pajāya accantūpakāritāya dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇa-asītianubyañjana-byāmappabhādianaññasādhāraṇa- visesapaṭimaṇḍita-rūpakāyatāya yathābhucca-guṇādhigatena ‘‘itipi so bhagavā’’tiādinayappavattena lokattayabyāpinā suvipulena suvisuddhena ca thutighosena samannāgatattā ukkaṃsapāramippattāsu appicchatāsantuṭṭhiādīsu suppatiṭṭhitabhāvato dasabalacatuvesārajjādiniratisayaguṇavisesa-samaṅgibhāvato ca rūpappamāṇo rūpappasanno, ghosappamāṇo ghosappasanno, lūkhappamāṇo lūkhappasanno, dhammappamāṇo dhammappasannoti evaṃ catuppamāṇike lokasannivāse sabbathāpi pasādāvahabhāvena samantapāsādikattā aparimāṇānaṃ sattānaṃ sadevamanussānaṃ ādarabahumānagāravāyatanatāya paramapemasambhattiṭṭhānaṃ. Ye tassa ovāde patiṭṭhitā aveccappasādena samannāgatā honti, kenaci asaṃhāriyā tesaṃ pasādabhatti samaṇena vā brāhmaṇena vā devena vā mārena vā brahmunā vā. Tathā hi te attano jīvitapariccāgepi tattha pasādaṃ na pariccajanti, tassa vā āṇaṃ daḷhabhattibhāvato. Tenevāha –
‘‘โย เว กตญฺญู กตเวทิ ธีโร;
‘‘Yo ve kataññū katavedi dhīro;
กลฺยาณมิโตฺต ทฬฺหภตฺติ จ โหตี’’ติฯ (ชา. ๒.๑๗.๗๘);
Kalyāṇamitto daḷhabhatti ca hotī’’ti. (jā. 2.17.78);
‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, มหาสมุโทฺท ฐิตธโมฺม เวลํ นาติวตฺตติ, เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ยํ มยา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, ตํ มม สาวกา ชีวิตเหตุปิ นาติกฺกมนฺตี’’ติ (อ. นิ. ๘.๒๐; อุทา. ๔๕; จูฬว. ๓๘๕) จฯ
‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, mahāsamuddo ṭhitadhammo velaṃ nātivattati, evameva kho, bhikkhave, yaṃ mayā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ, taṃ mama sāvakā jīvitahetupi nātikkamantī’’ti (a. ni. 8.20; udā. 45; cūḷava. 385) ca.
เอวํ ภตฺตวาติ ภควา นิรุตฺตินเยน เอกสฺส ต-การสฺส โลปํ กตฺวา อิตรสฺส ค-การํ กตฺวาฯ
Evaṃ bhattavāti bhagavā niruttinayena ekassa ta-kārassa lopaṃ katvā itarassa ga-kāraṃ katvā.
คุณาติสยยุตฺตสฺส, ยสฺมา โลกหิเตสิโน;
Guṇātisayayuttassa, yasmā lokahitesino;
สมฺภตฺตา พหโว สตฺถุ, ภควา เตน วุจฺจตีติฯ
Sambhattā bahavo satthu, bhagavā tena vuccatīti.
กถํ ภเค วมีติ ภควา? ยสฺมา ตถาคโต โพธิสตฺตภูโตปิ ปุริมาสุ ชาตีสุ ปารมิโย ปูเรโนฺต ภคสงฺขาตํ สิริํ อิสฺสริยํ ยสญฺจ วมิ, อุคฺคิริ, เขฬปิณฺฑํ วิย อนเปโกฺข ฉฑฺฑยิ; ปจฺฉิมตฺตภาเวปิ หตฺถาคตํ จกฺกวตฺติสิริํ เทวโลกาธิปจฺจสทิสํ จตุทีปิสฺสริยํ จกฺกวตฺติสมฺปตฺติสนฺนิสฺสยํ สตฺตรตนสมุชฺชลํ ยสญฺจ ติณายปิ อมญฺญมาโน นิรเปโกฺข ปหาย อภินิกฺขมิตฺวา สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ, ตสฺมา อิเม สิริอาทิเก ภเค วมีติ ภควาฯ อถ วา ภานิ นาม นกฺขตฺตานิ, เตหิ สมํ คจฺฉนฺติ ปวตฺตนฺตีติ ภคา, สิเนรุยุคนฺธรอุตฺตรกุรุหิมวนฺตาทิภาชนโลกวิเสสสนฺนิสฺสยา โสภา กปฺปฎฺฐิยภาวโต, เตปิ ภเค วมิ ตนฺนิวาสิสตฺตาวาสสมติกฺกมนโต, ตปฺปฎิพทฺธฉนฺทราคปหาเนน ปชหีติฯ เอวมฺปิ ภเค วมีติ ภควาฯ
Kathaṃ bhage vamīti bhagavā? Yasmā tathāgato bodhisattabhūtopi purimāsu jātīsu pāramiyo pūrento bhagasaṅkhātaṃ siriṃ issariyaṃ yasañca vami, uggiri, kheḷapiṇḍaṃ viya anapekkho chaḍḍayi; pacchimattabhāvepi hatthāgataṃ cakkavattisiriṃ devalokādhipaccasadisaṃ catudīpissariyaṃ cakkavattisampattisannissayaṃ sattaratanasamujjalaṃ yasañca tiṇāyapi amaññamāno nirapekkho pahāya abhinikkhamitvā sammāsambodhiṃ abhisambuddho, tasmā ime siriādike bhage vamīti bhagavā. Atha vā bhāni nāma nakkhattāni, tehi samaṃ gacchanti pavattantīti bhagā, sineruyugandharauttarakuruhimavantādibhājanalokavisesasannissayā sobhā kappaṭṭhiyabhāvato, tepi bhage vami tannivāsisattāvāsasamatikkamanato, tappaṭibaddhachandarāgapahānena pajahīti. Evampi bhage vamīti bhagavā.
จกฺกวตฺติสิริํ ยสฺมา, ยสํ อิสฺสริยํ สุขํ;
Cakkavattisiriṃ yasmā, yasaṃ issariyaṃ sukhaṃ;
ปหาสิ โลกจิตฺตญฺจ, สุคโต ภควา ตโตติฯ
Pahāsi lokacittañca, sugato bhagavā tatoti.
กถํ ภาเค วมีติ ภควา? ภาคา นาม สภาคธมฺมโกฎฺฐาสา, เต ขนฺธายตนธาตาทิวเสน, ตตฺถาปิ รูปเวทนาทิวเสน, ปถวิยาทิอตีตาทิวเสน จ อเนกวิธาฯ เต ภควา สพฺพํ ปปญฺจํ สพฺพํ โยคํ สพฺพํ คนฺถํ สพฺพํ สํโยชนํ สมุจฺฉินฺทิตฺวา อมตํ ธาตุํ สมธิคจฺฉโนฺต วมิ อุคฺคิริ, อนเปโกฺข ฉฑฺฑยิ น ปจฺจาคมิฯ ตถา เหส ‘‘สพฺพตฺถเมว ปถวิํ อาปํ เตชํ วายํ, จกฺขุํ โสตํ ฆานํ ชิวฺหํ กายํ มนํ, รูเป สเทฺท คเนฺธ รเส โผฎฺฐเพฺพ ธเมฺม, จกฺขุวิญฺญาณํ…เป.… มโนวิญฺญาณํ, จกฺขุสมฺผสฺสํ…เป.… มโนสมฺผสฺสํ, จกฺขุสมฺผสฺสชํ เวทนํ…เป.… มโนสมฺผสฺสชํ เวทนํ, จกฺขุสมฺผสฺสชํ สญฺญํ…เป.… มโนสมฺผสฺสชํ สญฺญํ, จกฺขุสมฺผสฺสชํ เจตนํ…เป.… มโนสมฺผสฺสชํ เจตนํ, รูปตณฺหํ…เป.… ธมฺมตณฺหํ, รูปวิตกฺกํ…เป.… ธมฺมวิตกฺกํ, รูปวิจารํ…เป.… ธมฺมวิจาร’’นฺติอาทินา อนุปทธมฺมวิภาควเสนปิ สเพฺพว ธมฺมโกฎฺฐาเส อนวเสสโต วมิ อุคฺคิริ, อนเปกฺขปริจฺจาเคน ฉฑฺฑยิฯ วุตฺตํ เหตํ ‘‘ยํ ตํ, อานนฺท, จตฺตํ วนฺตํ มุตฺตํ ปหีนํ ปฎินิสฺสฎฺฐํ, ตํ ตถาคโต ปุน ปจฺจาคมิสฺสตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๘๓)ฯ เอวมฺปิ ภาเค วมีติ ภควาฯ อถ วา ภาเค วมีติ สเพฺพปิ กุสลากุสเล สาวชฺชานวเชฺช หีนปณีเต กณฺหสุกฺกสปฺปฎิภาเค ธเมฺม อริยมคฺคญาณมุเขน วมิ อุคฺคิริ อนเปโกฺข ปริจฺจชิ ปชหิ, ปเรสญฺจ ตถตฺตาย ธมฺมํ เทเสสิฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘ธมฺมาปิ โว, ภิกฺขเว, ปหาตพฺพา, ปเคว อธมฺมา (ม. นิ. ๑.๒๔๐), กุลฺลูปมํ โว, ภิกฺขเว, ธมฺมํ เทเสสฺสามิ นิตฺถรณตฺถาย, โน คหณตฺถายา’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๒๔๐)ฯ เอวมฺปิ ภาเค วมีติ ภควาฯ
Kathaṃ bhāge vamīti bhagavā? Bhāgā nāma sabhāgadhammakoṭṭhāsā, te khandhāyatanadhātādivasena, tatthāpi rūpavedanādivasena, pathaviyādiatītādivasena ca anekavidhā. Te bhagavā sabbaṃ papañcaṃ sabbaṃ yogaṃ sabbaṃ ganthaṃ sabbaṃ saṃyojanaṃ samucchinditvā amataṃ dhātuṃ samadhigacchanto vami uggiri, anapekkho chaḍḍayi na paccāgami. Tathā hesa ‘‘sabbatthameva pathaviṃ āpaṃ tejaṃ vāyaṃ, cakkhuṃ sotaṃ ghānaṃ jivhaṃ kāyaṃ manaṃ, rūpe sadde gandhe rase phoṭṭhabbe dhamme, cakkhuviññāṇaṃ…pe… manoviññāṇaṃ, cakkhusamphassaṃ…pe… manosamphassaṃ, cakkhusamphassajaṃ vedanaṃ…pe… manosamphassajaṃ vedanaṃ, cakkhusamphassajaṃ saññaṃ…pe… manosamphassajaṃ saññaṃ, cakkhusamphassajaṃ cetanaṃ…pe… manosamphassajaṃ cetanaṃ, rūpataṇhaṃ…pe… dhammataṇhaṃ, rūpavitakkaṃ…pe… dhammavitakkaṃ, rūpavicāraṃ…pe… dhammavicāra’’ntiādinā anupadadhammavibhāgavasenapi sabbeva dhammakoṭṭhāse anavasesato vami uggiri, anapekkhapariccāgena chaḍḍayi. Vuttaṃ hetaṃ ‘‘yaṃ taṃ, ānanda, cattaṃ vantaṃ muttaṃ pahīnaṃ paṭinissaṭṭhaṃ, taṃ tathāgato puna paccāgamissatīti netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti (dī. ni. 2.183). Evampi bhāge vamīti bhagavā. Atha vā bhāge vamīti sabbepi kusalākusale sāvajjānavajje hīnapaṇīte kaṇhasukkasappaṭibhāge dhamme ariyamaggañāṇamukhena vami uggiri anapekkho pariccaji pajahi, paresañca tathattāya dhammaṃ desesi. Vuttampi cetaṃ ‘‘dhammāpi vo, bhikkhave, pahātabbā, pageva adhammā (ma. ni. 1.240), kullūpamaṃ vo, bhikkhave, dhammaṃ desessāmi nittharaṇatthāya, no gahaṇatthāyā’’tiādi (ma. ni. 1.240). Evampi bhāge vamīti bhagavā.
ขนฺธายตนธาตาทิ-ธมฺมภาคามเหสินา;
Khandhāyatanadhātādi-dhammabhāgāmahesinā;
กณฺหสุกฺกา ยโต วนฺตา, ตโตปิ ภควา มโตติฯ
Kaṇhasukkā yato vantā, tatopi bhagavā matoti.
เตน วุตฺตํ –
Tena vuttaṃ –
‘‘ภาควา ภตวา ภาเค, ภเค จ วนิ ภตฺตวา;
‘‘Bhāgavā bhatavā bhāge, bhage ca vani bhattavā;
ภเค วมิ ตถา ภาเค, วมีติ ภควา ชิโน’’ติฯ
Bhage vami tathā bhāge, vamīti bhagavā jino’’ti.
ธมฺมสรีรํ ปจฺจกฺขํ กโรตีติ ‘‘โย โว, อานนฺท, มยา ธโมฺม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญโตฺต, โส โว มมจฺจเยน สตฺถา’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๑๖) วจนโต ธมฺมสฺส สตฺถุภาวปริยาโย วิชฺชตีติ กตฺวา วุตฺตํฯ วชิรสงฺฆาตสมานกาโย ปเรหิ อเภชฺชสรีรตฺตาฯ น หิ ภควโต รูปกาเย เกนจิ สกฺกา อนฺตราโย กาตุนฺติฯ
Dhammasarīraṃ paccakkhaṃ karotīti ‘‘yo vo, ānanda, mayā dhammo ca vinayo ca desito paññatto, so vo mamaccayena satthā’’ti (dī. ni. 2.216) vacanato dhammassa satthubhāvapariyāyo vijjatīti katvā vuttaṃ. Vajirasaṅghātasamānakāyo parehi abhejjasarīrattā. Na hi bhagavato rūpakāye kenaci sakkā antarāyo kātunti.
เทสนาสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ วกฺขมานสฺส สกลสฺส สุตฺตสฺส ‘‘เอว’’นฺติ นิทสฺสนโตฯ สาวกสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ ปฎิสมฺภิทาปฺปเตฺตน ปญฺจสุ ฐาเนสุ ภควตา เอตทเคฺค ฐปิเตน มยา มหาสาวเกน สุตํ, ตญฺจ โข มยาว สุตํ, น อนุสฺสุติกํ, น ปรมฺปราภตนฺติ อิมสฺส อตฺถสฺส ทีปนโตฯ กาลสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ ภควา-สทฺทสนฺนิธาเน ปยุตฺตสฺส สมย-สทฺทสฺส กาลสฺส พุทฺธุปฺปาทปฎิมณฺฑิตภาวทีปนโตฯ พุทฺธุปฺปาทปรมา หิ กาลสมฺปทาฯ เตเนตํ วุจฺจติ –
Desanāsampattiṃ niddisati vakkhamānassa sakalassa suttassa ‘‘eva’’nti nidassanato. Sāvakasampattiṃ niddisati paṭisambhidāppattena pañcasu ṭhānesu bhagavatā etadagge ṭhapitena mayā mahāsāvakena sutaṃ, tañca kho mayāva sutaṃ, na anussutikaṃ, na paramparābhatanti imassa atthassa dīpanato. Kālasampattiṃ niddisati bhagavā-saddasannidhāne payuttassa samaya-saddassa kālassa buddhuppādapaṭimaṇḍitabhāvadīpanato. Buddhuppādaparamā hi kālasampadā. Tenetaṃ vuccati –
‘‘กปฺปกสาเย กลิยุเค, พุทฺธุปฺปาโท อโห มหจฺฉริยํ;
‘‘Kappakasāye kaliyuge, buddhuppādo aho mahacchariyaṃ;
หุตาวหมเชฺฌ ชาตํ, สมุทิตมกรนฺทมรวินฺท’’นฺติฯ (ที. นิ. ฎี. ๑.๑; สํ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑; อ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑ รูปาทิวคฺควณฺณนา);
Hutāvahamajjhe jātaṃ, samuditamakarandamaravinda’’nti. (dī. ni. ṭī. 1.1; saṃ. ni. ṭī. 1.1.1; a. ni. ṭī. 1.1.1 rūpādivaggavaṇṇanā);
ภควาติ เทสกสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ คุณวิสิฎฺฐสตฺตุตฺตมครุคารวาธิวจนภาวโตฯ
Bhagavāti desakasampattiṃ niddisati guṇavisiṭṭhasattuttamagarugāravādhivacanabhāvato.
มงฺคลทิวโส สุขโณ สุนกฺขตฺตนฺติ อชฺช มงฺคลทิวโส, ตสฺมา สุนกฺขตฺตํ, ตตฺถาปิ อยํ สุขโณฯ มา อติกฺกมีติ มา รตฺติวิภายนํ อนุทิกฺขนฺตานํ รตฺติ อติกฺกมีติ เอวํ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ อุกฺกาสุ ฐิตาสุ ฐิตาติ อุกฺกฎฺฐา (ที. นิ. ฎี. ๑.๒๕๕; อ. นิ. ฎี. ๒.๔.๓๖)ฯ อุกฺกาสุ วิโชฺชตลนฺตีสุ ฐิตา ปติฎฺฐิตาติ มูลวิภูชาทิปเกฺขเปน (ปาณินิ ๓.๒.๕) สทฺทสิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ นิรุตฺตินเยน วา อุกฺกาสุ ฐิตาสุ ฐิตา อาสีติ อุกฺกฎฺฐาฯ อปเร ปน ภณนฺติ ‘‘ภูมิภาคสมฺปตฺติยา มนุสฺสสมฺปตฺติยา อุปกรณสมฺปตฺติยา จ สา นครี อุกฺกฎฺฐคุณโยคโต ‘อุกฺกฎฺฐา’ติ นามํ ลภี’’ติฯ
Maṅgaladivaso sukhaṇo sunakkhattanti ajja maṅgaladivaso, tasmā sunakkhattaṃ, tatthāpi ayaṃ sukhaṇo. Mā atikkamīti mā rattivibhāyanaṃ anudikkhantānaṃ ratti atikkamīti evaṃ sambandho veditabbo. Ukkāsu ṭhitāsu ṭhitāti ukkaṭṭhā (dī. ni. ṭī. 1.255; a. ni. ṭī. 2.4.36). Ukkāsu vijjotalantīsu ṭhitā patiṭṭhitāti mūlavibhūjādipakkhepena (pāṇini 3.2.5) saddasiddhi veditabbā. Niruttinayena vā ukkāsu ṭhitāsu ṭhitā āsīti ukkaṭṭhā. Apare pana bhaṇanti ‘‘bhūmibhāgasampattiyā manussasampattiyā upakaraṇasampattiyā ca sā nagarī ukkaṭṭhaguṇayogato ‘ukkaṭṭhā’ti nāmaṃ labhī’’ti.
อวิเสเสนาติ น วิเสเสน, วิหารภาวสามเญฺญนาติ อโตฺถฯ อิริยาปถ…เป.… วิหาเรสูติ อิริยาปถวิหาโร ทิพฺพวิหาโร พฺรหฺมวิหาโร อริยวิหาโรติ เอเตสุ จตูสุ วิหาเรสุฯ สมงฺคิปริทีปนนฺติ สมงฺคีภาวปริทีปนํฯ เอตนฺติ ‘‘วิหรตี’’ติ เอตํ ปทํฯ ตถา หิ ตํ ‘‘อิเธกโจฺจ คิหีหิ สํสโฎฺฐ วิหรติ สหนนฺที สหโสกี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๒๔๑) อิริยาปถวิหาเร อาคตํ; ‘‘ยสฺมิํ สมเย, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหิ…เป.… ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรตี’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๖๐; วิภ. ๖๒๔) ทิพฺพวิหาเร; ‘‘โส เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๕๕๖; ๓.๓๐๘; ม. นิ. ๑.๗๗; ๒.๓๐๙; ๓.๒๓๐) พฺรหฺมวิหาเร; ‘‘โส โข อหํ อคฺคิเวสฺสน ตสฺสาเยว กถาย ปริโยสาเน ตสฺมิํ เอว ปุริมสฺมิํ สมาธินิมิเตฺต อชฺฌตฺตเมว จิตฺตํ สณฺฐเปมิ สนฺนิสาเทมิ เอโกทิํ กโรมิ สมาทหามิ, เยน สุทํ นิจฺจกปฺปํ วิหรามี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๘๗) อริยวิหาเรฯ
Avisesenāti na visesena, vihārabhāvasāmaññenāti attho. Iriyāpatha…pe… vihāresūti iriyāpathavihāro dibbavihāro brahmavihāro ariyavihāroti etesu catūsu vihāresu. Samaṅgiparidīpananti samaṅgībhāvaparidīpanaṃ. Etanti ‘‘viharatī’’ti etaṃ padaṃ. Tathā hi taṃ ‘‘idhekacco gihīhi saṃsaṭṭho viharati sahanandī sahasokī’’tiādīsu (saṃ. ni. 4.241) iriyāpathavihāre āgataṃ; ‘‘yasmiṃ samaye, bhikkhave, bhikkhu vivicceva kāmehi…pe… paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharatī’’tiādīsu (dha. sa. 160; vibha. 624) dibbavihāre; ‘‘so mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharatī’’tiādīsu (dī. ni. 1.556; 3.308; ma. ni. 1.77; 2.309; 3.230) brahmavihāre; ‘‘so kho ahaṃ aggivessana tassāyeva kathāya pariyosāne tasmiṃ eva purimasmiṃ samādhinimitte ajjhattameva cittaṃ saṇṭhapemi sannisādemi ekodiṃ karomi samādahāmi, yena sudaṃ niccakappaṃ viharāmī’’tiādīsu (ma. ni. 1.387) ariyavihāre.
ตตฺถ อิริยนํ วตฺตนํ อิริยา, กายปฺปโยโคฯ ตสฺสา ปวตฺตนุปายภาวโต ฐานาทิ อิริยาปโถฯ ฐานสมงฺคี วา หิ กาเยน กิญฺจิ กเรยฺย คมนาทีสุ อญฺญตรสมงฺคี วาฯ อถ วา อิริยติ ปวตฺตติ เอเตน อตฺตภาโว, กายกิจฺจํ วาติ อิริยา, ตสฺสา ปวตฺติยา อุปายภาวโต ปโถติ อิริยาปโถ, ฐานาทิ เอวฯ โส จ อตฺถโต คตินิวตฺติอาทิอากาเรน ปวโตฺต จตุสนฺตติรูปปพโนฺธ เอวฯ วิหรณํ, วิหรติ เอเตนาติ วา วิหาโร, อิริยาปโถ เอว วิหาโร อิริยาปถวิหาโรฯ ทิวิ ภโวติ ทิโพฺพฯ ตตฺถ พหุลปฺปวตฺติยา พฺรหฺมปาริสชฺชาทิเทวโลเก ภโวติ อโตฺถฯ ตตฺถ โย ทิพฺพานุภาโว, ตทตฺถาย สํวตฺตตีติ วา ทิโพฺพ, อภิญฺญาภินีหารวเสน มหาคติกตฺตา วา ทิโพฺพ, ทิโพฺพ จ โส วิหาโร จาติ ทิพฺพวิหาโร, จตโสฺส รูปาวจรสมาปตฺติโยฯ อารุปฺปสมาปตฺติโยปิ เอเตฺถว สงฺคหํ คจฺฉนฺติฯ พฺรหฺมูนํ, พฺรหฺมาโน วา วิหารา พฺรหฺมวิหารา, จตโสฺส อปฺปมญฺญาโยฯ อริยานํ, อริยา วา วิหารา อริยวิหารา, จตฺตาริ สามญฺญผลานิฯ โส หิ ภควา เอกํ อิริยาปถพาธนนฺติอาทิ ยทิปิ ภควา เอเกนปิ อิริยาปเถน จิรตรํ กาลํ อตฺตภาวํ ปวเตฺตตุํ สโกฺกติ, ตถาปิ ‘‘อุปาทินฺนกสรีรสฺส นาม อยํ สภาโว’’ติ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ยสฺมา วา ภควา ยตฺถ กตฺถจิ วสโนฺต เวเนยฺยานํ ธมฺมํ เทเสโนฺต, นานาสมาปตฺตีหิ จ กาลํ วีตินาเมโนฺต วสตีติ เวเนยฺยสตฺตานํ อตฺตโน จ วิวิธํ หิตสุขํ หรติ อุปเนติ อุปฺปาเทติ, ตสฺมา วิวิธํ หรตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Tattha iriyanaṃ vattanaṃ iriyā, kāyappayogo. Tassā pavattanupāyabhāvato ṭhānādi iriyāpatho. Ṭhānasamaṅgī vā hi kāyena kiñci kareyya gamanādīsu aññatarasamaṅgī vā. Atha vā iriyati pavattati etena attabhāvo, kāyakiccaṃ vāti iriyā, tassā pavattiyā upāyabhāvato pathoti iriyāpatho, ṭhānādi eva. So ca atthato gatinivattiādiākārena pavatto catusantatirūpapabandho eva. Viharaṇaṃ, viharati etenāti vā vihāro, iriyāpatho eva vihāro iriyāpathavihāro. Divi bhavoti dibbo. Tattha bahulappavattiyā brahmapārisajjādidevaloke bhavoti attho. Tattha yo dibbānubhāvo, tadatthāya saṃvattatīti vā dibbo, abhiññābhinīhāravasena mahāgatikattā vā dibbo, dibbo ca so vihāro cāti dibbavihāro, catasso rūpāvacarasamāpattiyo. Āruppasamāpattiyopi ettheva saṅgahaṃ gacchanti. Brahmūnaṃ, brahmāno vā vihārā brahmavihārā, catasso appamaññāyo. Ariyānaṃ, ariyā vā vihārā ariyavihārā, cattāri sāmaññaphalāni. So hi bhagavā ekaṃ iriyāpathabādhanantiādi yadipi bhagavā ekenapi iriyāpathena cirataraṃ kālaṃ attabhāvaṃ pavattetuṃ sakkoti, tathāpi ‘‘upādinnakasarīrassa nāma ayaṃ sabhāvo’’ti dassetuṃ vuttaṃ. Yasmā vā bhagavā yattha katthaci vasanto veneyyānaṃ dhammaṃ desento, nānāsamāpattīhi ca kālaṃ vītināmento vasatīti veneyyasattānaṃ attano ca vividhaṃ hitasukhaṃ harati upaneti uppādeti, tasmā vividhaṃ haratīti evamettha attho veditabbo.
สุภคตฺตาติ สิรีกามานวเสน โสภนตฺตาฯ เตเนวาห ‘‘สุนฺทรสิริกตฺตา สุนฺทรกามตฺตา จา’’ติฯ ฉณสมชฺชอุสฺสเวติ เอตฺถ ฉณํ นาม ผคฺคุนมาสาทีสุ อุตฺตรผคฺคุนาทิ-อภิลกฺขิตทิวเสสุ สปริชนานํ มนุสฺสานํ มงฺคลกรณํฯ สมชฺชํ นาม นฎสมชฺชาทิฯ อุสฺสโว นกฺขตฺตํฯ ยตฺถ คามนิคมวาสิโน ตโย สตฺต วา ทิวเส นกฺขตฺตโฆสนํ กตฺวา ยถาวิภวํ อลงฺกตปฎิยตฺตา โภเค ปริภุญฺชนฺตา นกฺขตฺตกีฬนํ กีฬนฺติฯ เตสํ ตํ ตเถว โหตีติ เตสํ มนุสฺสานํ ตํ ปตฺถนํ ตนฺนิวาสิเทวตานุภาเวน เยภุเยฺยน ตเถว โหติ, ปตฺถนา สมิชฺฌตีติ อโตฺถฯ พหุชนกนฺตตายาติ อิมินา ‘‘สุนฺทรกามตฺตา’’ติ เอตเสฺสว ปทสฺส ปการนฺตเรน อตฺถํ วิภาเวติฯ ตตฺรายํ วจนโตฺถ – กมนียเฎฺฐน สุฎฺฐุ ภชียตีติ สุภคํ, สุภา อคา รุกฺขา เอตฺถาติ วา สุภคํ, สุนฺทรกิตฺติโยคโต วา ‘‘สุภค’’นฺติ เอวเมฺปตฺถ อตฺถํ วเณฺณนฺติฯ เกจิ ปน ‘‘สุภาควเน’’ติ ปฐนฺติ, ‘‘สุนฺทรภูมิภาเค วเน’’ติ จสฺส อตฺถํ วทนฺติฯ สุภคสฺส นาม ยกฺขสฺส วนํ เตน ปริคฺคหิตตฺตาติ ‘‘สุภควน’’นฺติ อเญฺญฯ วนนํ ภตฺตีติอเตฺถ ตํ วนนํ กาเรตีติ เอตสฺมิํ อเตฺถ วนยตีติ ปทสิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ เตเนวาห ‘‘อตฺตนิ สิเนหํ อุปฺปาเทตี’’ติฯ ยาจนเตฺถ วนุเต อิติ วนนฺติ อุปจารกปฺปนาวเสน วน-สโทฺท เวทิตโพฺพฯ
Subhagattāti sirīkāmānavasena sobhanattā. Tenevāha ‘‘sundarasirikattā sundarakāmattā cā’’ti. Chaṇasamajjaussaveti ettha chaṇaṃ nāma phaggunamāsādīsu uttaraphaggunādi-abhilakkhitadivasesu saparijanānaṃ manussānaṃ maṅgalakaraṇaṃ. Samajjaṃ nāma naṭasamajjādi. Ussavo nakkhattaṃ. Yattha gāmanigamavāsino tayo satta vā divase nakkhattaghosanaṃ katvā yathāvibhavaṃ alaṅkatapaṭiyattā bhoge paribhuñjantā nakkhattakīḷanaṃ kīḷanti. Tesaṃ taṃ tatheva hotīti tesaṃ manussānaṃ taṃ patthanaṃ tannivāsidevatānubhāvena yebhuyyena tatheva hoti, patthanā samijjhatīti attho. Bahujanakantatāyāti iminā ‘‘sundarakāmattā’’ti etasseva padassa pakārantarena atthaṃ vibhāveti. Tatrāyaṃ vacanattho – kamanīyaṭṭhena suṭṭhu bhajīyatīti subhagaṃ, subhā agā rukkhā etthāti vā subhagaṃ, sundarakittiyogato vā ‘‘subhaga’’nti evampettha atthaṃ vaṇṇenti. Keci pana ‘‘subhāgavane’’ti paṭhanti, ‘‘sundarabhūmibhāge vane’’ti cassa atthaṃ vadanti. Subhagassa nāma yakkhassa vanaṃ tena pariggahitattāti ‘‘subhagavana’’nti aññe. Vananaṃ bhattītiatthe taṃ vananaṃ kāretīti etasmiṃ atthe vanayatīti padasiddhi veditabbā. Tenevāha ‘‘attani sinehaṃ uppādetī’’ti. Yācanatthe vanute iti vananti upacārakappanāvasena vana-saddo veditabbo.
อุชุวํสาติ อุชุภูตวิฎปาฯ มหาสาลาติ มหารุกฺขาฯ อญฺญตรสฺมิํ สาลมูเลติ อญฺญตรสฺส รุกฺขสฺส มูเลฯ วนปฺปติเชฎฺฐกรุโกฺขติ วนปฺปติภูโต เชฎฺฐกรุโกฺขฯ ตเมว เชฎฺฐกภาวนฺติ วนปฺปติภาเวนาคตํ เสฎฺฐภาวํ ปธานภาวํฯ เตน หิ โส ‘‘สาลราชา’’ติ วุโตฺตฯ อุปคตานํ รญฺชนเฎฺฐน ราชา, อญฺญสฺมิมฺปิ ตาทิเส รุเกฺข ราชโวหารํ ทเสฺสตุํ ‘‘สุปติฎฺฐิตสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ พฺราหฺมณ ธมฺมิกาติ อาลปนํฯ นิปฺปริยาเยน สาขาทิมโต สงฺฆาตสฺส สุปฺปติฎฺฐิตภาวสาธเน อวยววิเสเส ปวตฺตมาโน มูล-สโทฺทฯ ยสฺมา ตํสทิเสสุ ตนฺนิสฺสเย ปเทเส จ รุฬฺหีวเสน ปริยายโต ปวตฺตติ, ตสฺมา ‘‘มูลานิ อุทฺธเรยฺยา’’ติ เอตฺถ นิปฺปริยายมูลํ อธิเปฺปตนฺติ เอเกน มูล-สเทฺทน วิเสเสตฺวา อาห ‘‘มูลมูเล ทิสฺสตี’’ติ ยถา ‘‘ทุกฺขทุกฺขํ (สํ. นิ. ๔.๓๒๗), รูปรูป’’นฺติ (วิสุทฺธิ. ๒.๔๔๙) จฯ อสาธารณเหตุมฺหีติ อสาธารณการเณฯ โลภสหคตจิตฺตุปฺปาทานํ เอว อาเวณิเก เนสํ สุปฺปติฎฺฐิตภาวสาธนโต มูลเฎฺฐน อุปการเก ปจฺจยธเมฺม ทิสฺสตีติ อโตฺถฯ
Ujuvaṃsāti ujubhūtaviṭapā. Mahāsālāti mahārukkhā. Aññatarasmiṃ sālamūleti aññatarassa rukkhassa mūle. Vanappatijeṭṭhakarukkhoti vanappatibhūto jeṭṭhakarukkho. Tameva jeṭṭhakabhāvanti vanappatibhāvenāgataṃ seṭṭhabhāvaṃ padhānabhāvaṃ. Tena hi so ‘‘sālarājā’’ti vutto. Upagatānaṃ rañjanaṭṭhena rājā, aññasmimpi tādise rukkhe rājavohāraṃ dassetuṃ ‘‘supatiṭṭhitassā’’tiādi vuttaṃ. Tattha brāhmaṇa dhammikāti ālapanaṃ. Nippariyāyena sākhādimato saṅghātassa suppatiṭṭhitabhāvasādhane avayavavisese pavattamāno mūla-saddo. Yasmā taṃsadisesu tannissaye padese ca ruḷhīvasena pariyāyato pavattati, tasmā ‘‘mūlāni uddhareyyā’’ti ettha nippariyāyamūlaṃ adhippetanti ekena mūla-saddena visesetvā āha ‘‘mūlamūle dissatī’’ti yathā ‘‘dukkhadukkhaṃ (saṃ. ni. 4.327), rūparūpa’’nti (visuddhi. 2.449) ca. Asādhāraṇahetumhīti asādhāraṇakāraṇe. Lobhasahagatacittuppādānaṃ eva āveṇike nesaṃ suppatiṭṭhitabhāvasādhanato mūlaṭṭhena upakārake paccayadhamme dissatīti attho.
ตตฺถาติ ‘‘เอกํ สมยํ ภควา อุกฺกฎฺฐายํ วิหรติ สุภควเน สาลราชมูเล’’ติ ยํ วุตฺตํ วากฺยํ, ตตฺตฯ สิยาติ กสฺสจิ เอวํ ปริวิตโกฺก สิยา, วกฺขมานากาเรน กทาจิ โจเทยฺย วาติ อโตฺถฯ อถ ตตฺถ วิหรตีติ ยทิ สุภควเน สาลราชมูเล วิหรติฯ น วตฺตพฺพนฺติ นานาฐานภูตตฺตา อุกฺกฎฺฐาสุภควนานํ, เอกํ สมยนฺติ จ วุตฺตตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ อิทานิ โจทโก ตเมว อตฺตโน อธิปฺปายํ ‘‘น หิ สกฺกา’’ติอาทินา วิวรติฯ อิตโร สพฺพเมตํ อวิปรีตํ อตฺถํ อชานเนฺตน วุตฺตนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘น โข ปเนตํ เอวํ ทฎฺฐพฺพ’’นฺติ อาหฯ ตตฺถ เอตนฺติ ‘‘อุกฺกฎฺฐายํ วิหรติ สุภควเน สาลราชมูเล’’ติ เอตํ วจนํฯ เอวนฺติ ‘‘ยทิ ตาว ภควา’’ติอาทินา ยํ ตํ ภวตา โจทิตํ, ตํ อตฺถโต เอวํ น โข ปน ทฎฺฐพฺพํ, น อุภยตฺถ อปุพฺพอจริมํ วิหารทสฺสนตฺถนฺติ อโตฺถฯ
Tatthāti ‘‘ekaṃ samayaṃ bhagavā ukkaṭṭhāyaṃ viharati subhagavane sālarājamūle’’ti yaṃ vuttaṃ vākyaṃ, tatta. Siyāti kassaci evaṃ parivitakko siyā, vakkhamānākārena kadāci codeyya vāti attho. Atha tattha viharatīti yadi subhagavane sālarājamūle viharati. Na vattabbanti nānāṭhānabhūtattā ukkaṭṭhāsubhagavanānaṃ, ekaṃ samayanti ca vuttattāti adhippāyo. Idāni codako tameva attano adhippāyaṃ ‘‘na hi sakkā’’tiādinā vivarati. Itaro sabbametaṃ aviparītaṃ atthaṃ ajānantena vuttanti dassento ‘‘na kho panetaṃ evaṃ daṭṭhabba’’nti āha. Tattha etanti ‘‘ukkaṭṭhāyaṃ viharati subhagavane sālarājamūle’’ti etaṃ vacanaṃ. Evanti ‘‘yadi tāva bhagavā’’tiādinā yaṃ taṃ bhavatā coditaṃ, taṃ atthato evaṃ na kho pana daṭṭhabbaṃ, na ubhayattha apubbaacarimaṃ vihāradassanatthanti attho.
อิทานิ อตฺตโน ยถาธิเปฺปตํ อวิปรีตํ อตฺถํ, ตสฺส จ ปฎิกเจฺจว วุตฺตภาวํ, เตน จ อปฺปฎิวิทฺธตฺตํ ปกาเสโนฺต ‘‘นนุ อโวจุมฺห…เป.… สาลราชมูเล’’ติ อาหฯ เอวมฺปิ ‘‘สุภควเน สาลราชมูเล วิหรตี’’เจฺจว วตฺตพฺพํ, น ‘‘อุกฺกฎฺฐาย’’นฺติ โจทนํ มนสิ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘โคจรคามนิทสฺสนตฺถ’’นฺติอาทิฯ
Idāni attano yathādhippetaṃ aviparītaṃ atthaṃ, tassa ca paṭikacceva vuttabhāvaṃ, tena ca appaṭividdhattaṃ pakāsento ‘‘nanu avocumha…pe… sālarājamūle’’ti āha. Evampi ‘‘subhagavane sālarājamūle viharatī’’cceva vattabbaṃ, na ‘‘ukkaṭṭhāya’’nti codanaṃ manasi katvā vuttaṃ ‘‘gocaragāmanidassanattha’’ntiādi.
อวสฺสํ เจตฺถ โคจรคามกิตฺตนํ กาตพฺพํฯ ตถา หิ ตํ ยถา สุภควนาทิกิตฺตนํ ปพฺพชิตานุคฺคหกรณาทิอเนกปฺปโยชนํ, เอวํ คหฎฺฐานุคฺคหกรณาทิวิวิธปฺปโยชนนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อุกฺกฎฺฐากิตฺตเนนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปจฺจยคฺคหเณน อุปสงฺกมนปยิรุปาสนานํ โอกาสทาเนน ธมฺมเทสนาย สรเณสุ สีเลสุ จ ปติฎฺฐาปเนน ยถูปนิสฺสยํ อุปริวิเสสาธิคมาวหเนน จ คหฎฺฐานคฺคหกรณํ, อุคฺคหปริปุจฺฉานํ กมฺมฎฺฐานานุโยคสฺส จ อนุรูปวสนฎฺฐานปริคฺคเหเนตฺถ ปพฺพชิตานุคฺคหกรณํ เวทิตพฺพํฯ กรุณาย อุปคมนํ, น ลาภาทินิมิตฺตํ, ปญฺญาย อปคมนํ, น วิโรธาทินิมิตฺตนฺติ อุปคมนาปคมนานํ นิรุปกฺกิเลสตํ วิภาเวติฯ ธมฺมิกสุขํ นาม อนวชฺชสุขํฯ เทวานํ อุปการพหุลตา ชนวิวิตฺตตายฯ ปจุรชนวิวิตฺตํ หิ ฐานํ เทวา อุปสงฺกมิตพฺพํ มญฺญนฺติฯ ตทตฺถปรินิปฺผาทนนฺติ โลกตฺถนิปฺผาทนํ, พุทฺธกิจฺจสมฺปาทนนฺติ อโตฺถฯ เอวมาทินาติ อาทิ-สเทฺทน อุกฺกฎฺฐากิตฺตนโต รูปกายสฺส อนุคฺคณฺหนํ ทเสฺสติ, สุภควนาทิกิตฺตนโต ธมฺมกายสฺสฯ ตถา ปุริเมน ปราธีนกิริยากรณํ, ทุติเยน อตฺตาธีนกิริยากรณํฯ ปุริเมน วา กรุณากิจฺจํ, อิตเรน ปญฺญากิจฺจํฯ ปุริเมน จสฺส ปรมาย อนุกมฺปาย สมนฺนาคมํ, ปจฺฉิเมน ปรมาย อุเปกฺขาย สมนฺนาคมํ ทีเปติฯ ภควา หิ สพฺพสเตฺต ปรมาย อนุกมฺปาย อนุกมฺปติ, น จ ตตฺถ สิเนหโทสานุปติโต ปรมุเปกฺขกภาวโต, อุเปกฺขโก จ น จ ปรหิตสุขกรเณ อโปฺปสุโกฺก มหาการุณิกภาวโตฯ
Avassaṃ cettha gocaragāmakittanaṃ kātabbaṃ. Tathā hi taṃ yathā subhagavanādikittanaṃ pabbajitānuggahakaraṇādianekappayojanaṃ, evaṃ gahaṭṭhānuggahakaraṇādivividhappayojananti dassento ‘‘ukkaṭṭhākittanenā’’tiādimāha. Tattha paccayaggahaṇena upasaṅkamanapayirupāsanānaṃ okāsadānena dhammadesanāya saraṇesu sīlesu ca patiṭṭhāpanena yathūpanissayaṃ uparivisesādhigamāvahanena ca gahaṭṭhānaggahakaraṇaṃ, uggahaparipucchānaṃ kammaṭṭhānānuyogassa ca anurūpavasanaṭṭhānapariggahenettha pabbajitānuggahakaraṇaṃ veditabbaṃ. Karuṇāya upagamanaṃ, na lābhādinimittaṃ, paññāya apagamanaṃ, na virodhādinimittanti upagamanāpagamanānaṃ nirupakkilesataṃ vibhāveti. Dhammikasukhaṃ nāma anavajjasukhaṃ. Devānaṃ upakārabahulatā janavivittatāya. Pacurajanavivittaṃ hi ṭhānaṃ devā upasaṅkamitabbaṃ maññanti. Tadatthaparinipphādananti lokatthanipphādanaṃ, buddhakiccasampādananti attho. Evamādināti ādi-saddena ukkaṭṭhākittanato rūpakāyassa anuggaṇhanaṃ dasseti, subhagavanādikittanato dhammakāyassa. Tathā purimena parādhīnakiriyākaraṇaṃ, dutiyena attādhīnakiriyākaraṇaṃ. Purimena vā karuṇākiccaṃ, itarena paññākiccaṃ. Purimena cassa paramāya anukampāya samannāgamaṃ, pacchimena paramāya upekkhāya samannāgamaṃ dīpeti. Bhagavā hi sabbasatte paramāya anukampāya anukampati, na ca tattha sinehadosānupatito paramupekkhakabhāvato, upekkhako ca na ca parahitasukhakaraṇe apposukko mahākāruṇikabhāvato.
ตสฺส มหาการุณิกตาย โลกนาถตา, อุเปกฺขกตาย อตฺตนาถตาฯ ตถา เหส โพธิสตฺตภูโต มหากรุณาย สโญฺจทิตมานโส สกลโลกหิตาย อุสฺสุกฺกมาปโนฺน มหาภินีหารโต ปฎฺฐาย ตทตฺถนิปฺผาทนตฺถํ ปุญฺญญาณสมฺภาเร สมฺปาเทโนฺต อปริมิตํ กาลํ อนปฺปกํ ทุกฺขมนุโภสิ, อุเปกฺขกตาย สมฺมา ปติเตหิ ทุเกฺขหิ น วิกมฺปิฯ ตถา มหาการุณิกตาย สํสาราภิมุขตา, อุเปกฺขกตาย ตโต นิพฺพินฺทนาฯ ตถา อุเปกฺขกตาย นิพฺพานาภิมุขตา, มหาการุณิกตาย ตทธิคโมฯ ตถา มหาการุณิกตาย ปเรสํ อภิํสาปนํ, อุเปกฺขกตาย สยํ ปเรหิ อภายนํฯ มหาการุณิกตาย ปรํ รกฺขโต อตฺตโน รกฺขณํ, อุเปกฺขกตาย อตฺตานํ รกฺขโต ปเรสํ รกฺขณํฯ เตนสฺส อตฺตหิตาย ปฎิปนฺนาทีสุ จตุตฺถปุคฺคลภาโว สิโทฺธ โหติฯ ตถา มหาการุณิกตาย สจฺจาธิฎฺฐานสฺส จาคาธิฎฺฐานสฺส จ ปาริปูริ, อุเปกฺขกตาย อุปสมาธิฎฺฐานสฺส ปญฺญาธิฎฺฐานสฺส จ ปาริปูริฯ เอวํ ปริสุทฺธาสยปโยคสฺส มหาการุณิกตาย โลกหิตตฺถเมว รชฺชสมฺปทาทิภวสมฺปตฺติยา อุปคมนํ, อุเปกฺขกตาย ติณายปิ อมญฺญมานสฺส ตโต อปคมนํฯ อิติ สุวิสุทฺธอุปคมาปคมสฺส มหาการุณิกตาย โลกหิตตฺถเมว ทานวเสน สมฺปตฺตีนํ ปริจฺจชนา, อุเปกฺขกตาย จสฺส ผลสฺส อตฺตโน อปจฺจาสีสนาฯ เอวํ สมุทาคมนโต ปฎฺฐาย อจฺฉริยพฺภุตคุณสมนฺนาคตสฺส มหาการุณิกตาย ปเรสํ หิตสุขตฺถํ อติทุกฺกรการิตา, อุเปกฺขกตาย กายมฺปิ อนลํการิตาฯ
Tassa mahākāruṇikatāya lokanāthatā, upekkhakatāya attanāthatā. Tathā hesa bodhisattabhūto mahākaruṇāya sañcoditamānaso sakalalokahitāya ussukkamāpanno mahābhinīhārato paṭṭhāya tadatthanipphādanatthaṃ puññañāṇasambhāre sampādento aparimitaṃ kālaṃ anappakaṃ dukkhamanubhosi, upekkhakatāya sammā patitehi dukkhehi na vikampi. Tathā mahākāruṇikatāya saṃsārābhimukhatā, upekkhakatāya tato nibbindanā. Tathā upekkhakatāya nibbānābhimukhatā, mahākāruṇikatāya tadadhigamo. Tathā mahākāruṇikatāya paresaṃ abhiṃsāpanaṃ, upekkhakatāya sayaṃ parehi abhāyanaṃ. Mahākāruṇikatāya paraṃ rakkhato attano rakkhaṇaṃ, upekkhakatāya attānaṃ rakkhato paresaṃ rakkhaṇaṃ. Tenassa attahitāya paṭipannādīsu catutthapuggalabhāvo siddho hoti. Tathā mahākāruṇikatāya saccādhiṭṭhānassa cāgādhiṭṭhānassa ca pāripūri, upekkhakatāya upasamādhiṭṭhānassa paññādhiṭṭhānassa ca pāripūri. Evaṃ parisuddhāsayapayogassa mahākāruṇikatāya lokahitatthameva rajjasampadādibhavasampattiyā upagamanaṃ, upekkhakatāya tiṇāyapi amaññamānassa tato apagamanaṃ. Iti suvisuddhaupagamāpagamassa mahākāruṇikatāya lokahitatthameva dānavasena sampattīnaṃ pariccajanā, upekkhakatāya cassa phalassa attano apaccāsīsanā. Evaṃ samudāgamanato paṭṭhāya acchariyabbhutaguṇasamannāgatassa mahākāruṇikatāya paresaṃ hitasukhatthaṃ atidukkarakāritā, upekkhakatāya kāyampi analaṃkāritā.
ตถา มหาการุณิกตาย จริมตฺตภาเว ชิณฺณาตุรมตทสฺสเนน สญฺชาตสํเวโค, อุเปกฺขกตาย อุฬาเรสุ เทวโภคสทิเสสุ โภเคสุ นิรเปโกฺข มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิฯ ตถา มหาการุณิกตาย ‘‘กิจฺฉํ วตายํ โลโก อาปโนฺน’’ติอาทินา (ที. นิ. ๒.๕๗; สํ. นิ. ๒.๔, ๑๐) กรุณามุเขเนว วิปสฺสนารโมฺภ , อุเปกฺขกตาย พุทฺธภูตสฺส สตฺต สตฺตาหานิ วิเวกสุเขเนว วีตินามนํฯ มหาการุณิกตาย ธมฺมคมฺภีรตํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ธมฺมเทสนาย อโปฺปสุกฺกตํ อาปชฺชิตฺวาปิ มหาพฺรหฺมุโน อเชฺฌสนาปเทเสน โอกาสกรณํ, อุเปกฺขกตาย ปญฺจวคฺคิยาทิ เวเนยฺยานํ อนนุรูปสมุทาจาเรปิ อนญฺญถาภาโวฯ มหาการุณิกตาย กตฺถจิ ปฎิฆาตาภาเวนสฺส สพฺพตฺถ อมิตฺตสญฺญาย อภาโว, อุเปกฺขกตาย กตฺถจิปิ อนุโรธาภาเวน สพฺพตฺถ สิเนหสนฺถวาภาโวฯ มหาการุณิกตาย คามาทีนํ อาสนฺนฎฺฐาเน วสนฺตสฺสปิ อุเปกฺขกตาย อรญฺญฎฺฐาเน เอว วิหรณํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปุริเมน จสฺส ปรมาย อนฺนุกมฺปาย สมนฺนาคมํ, ปจฺฉิเมน ปรมาย อุเปกฺขาย สมนฺนาคมํ ทีเปตี’’ติฯ
Tathā mahākāruṇikatāya carimattabhāve jiṇṇāturamatadassanena sañjātasaṃvego, upekkhakatāya uḷāresu devabhogasadisesu bhogesu nirapekkho mahābhinikkhamanaṃ nikkhami. Tathā mahākāruṇikatāya ‘‘kicchaṃ vatāyaṃ loko āpanno’’tiādinā (dī. ni. 2.57; saṃ. ni. 2.4, 10) karuṇāmukheneva vipassanārambho , upekkhakatāya buddhabhūtassa satta sattāhāni vivekasukheneva vītināmanaṃ. Mahākāruṇikatāya dhammagambhīrataṃ paccavekkhitvā dhammadesanāya apposukkataṃ āpajjitvāpi mahābrahmuno ajjhesanāpadesena okāsakaraṇaṃ, upekkhakatāya pañcavaggiyādi veneyyānaṃ ananurūpasamudācārepi anaññathābhāvo. Mahākāruṇikatāya katthaci paṭighātābhāvenassa sabbattha amittasaññāya abhāvo, upekkhakatāya katthacipi anurodhābhāvena sabbattha sinehasanthavābhāvo. Mahākāruṇikatāya gāmādīnaṃ āsannaṭṭhāne vasantassapi upekkhakatāya araññaṭṭhāne eva viharaṇaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘purimena cassa paramāya annukampāya samannāgamaṃ, pacchimena paramāya upekkhāya samannāgamaṃ dīpetī’’ti.
ตนฺติ ‘‘ตตฺรา’’ติ ปทํฯ เทสกาลปริทีปนนฺติ เย เทสกาลา อิธ วิหรณกิริยาวิเสสนภาเวน วุตฺตา, เตสํ ปริทีปนนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยํ สมยํ…เป.… ทีเปตี’’ติ อาหฯ ตํ-สโทฺท หิ วุตฺตสฺส อตฺถสฺส ปฎินิเทฺทโส, ตสฺมา อิธ กาลสฺส, เทสสฺส วา ปฎินิเทฺทโส ภวิตุํ อรหติ, น อญฺญสฺสฯ อยํ ตาว ตตฺร-สทฺทสฺส ปฎินิเทฺทสภาเว อตฺถวิภาวนาฯ ยสฺมา ปน อีทิเสสุ ฐาเนสุ ตตฺร-สโทฺท ธมฺมเทสนาวิสิฎฺฐํ เทสํ กาลญฺจ วิภาเวติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ภาสิตพฺพยุเตฺต วา เทสกาเล ทีเปตี’’ติฯ เตน ตตฺราติ ยตฺถ ภควา ธมฺมเทสนตฺถํ ภิกฺขู อาลปิ อภาสิ, ตาทิเส เทเส, กาเล วาติ อโตฺถฯ น หีติอาทินา ตเมวตฺถํ สมเตฺถติฯ นนุ จ ยตฺถ ฐิโต ภควา ‘‘อกาโล โข ตาวา’’ติอาทินา พาหิยสฺส ธมฺมเทสนํ ปฎิกฺขิปิ, ตเตฺถว อนฺตรวีถิยํ ฐิโต ตสฺส ธมฺมํ เทเสตีติ? สจฺจเมตํ, อเทเสตพฺพกาเล อเทสนาย อิทํ อุทาหรณํฯ เตเนวาห ‘‘อกาโล โข ตาวา’’ติฯ ยํ ปน ตตฺถ วุตฺตํ ‘‘อนฺตรฆรํ ปวิฎฺฐมฺหา’’ติ (อุทา. ๑๐), ตมฺปิ ตสฺส อกาลภาวเสฺสว ปริยาเยน ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ตสฺส หิ ตทา อทฺธานปริสฺสเมน รูปกาเย อกมฺมญฺญตา อโหสิ, พลวปีติเวเคน นามกาเย, ตทุภยสฺส วูปสมํ อาคเมโนฺต ปปญฺจปริหารตฺถํ ภควา ‘‘อกาโล โข’’ติ ปริยาเยน ปฎิกฺขิปิฯ อเทเสตพฺพเทเส อเทสนาย ปน อุทาหรณํ ‘‘อถ โข ภควา มคฺคา โอกฺกมฺม อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล นิสีทิ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔), วิหารโต นิกฺขมิตฺวา วิหารปจฺฉายายํ ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีที’’ติ (ที. นิ. ๑.๓๖๓) จ เอวมาทิกํ อิธ อาทิ-สเทฺทน สงฺคหิตํฯ
Tanti ‘‘tatrā’’ti padaṃ. Desakālaparidīpananti ye desakālā idha viharaṇakiriyāvisesanabhāvena vuttā, tesaṃ paridīpananti dassento ‘‘yaṃ samayaṃ…pe… dīpetī’’ti āha. Taṃ-saddo hi vuttassa atthassa paṭiniddeso, tasmā idha kālassa, desassa vā paṭiniddeso bhavituṃ arahati, na aññassa. Ayaṃ tāva tatra-saddassa paṭiniddesabhāve atthavibhāvanā. Yasmā pana īdisesu ṭhānesu tatra-saddo dhammadesanāvisiṭṭhaṃ desaṃ kālañca vibhāveti, tasmā vuttaṃ ‘‘bhāsitabbayutte vā desakāle dīpetī’’ti. Tena tatrāti yattha bhagavā dhammadesanatthaṃ bhikkhū ālapi abhāsi, tādise dese, kāle vāti attho. Na hītiādinā tamevatthaṃ samattheti. Nanu ca yattha ṭhito bhagavā ‘‘akālo kho tāvā’’tiādinā bāhiyassa dhammadesanaṃ paṭikkhipi, tattheva antaravīthiyaṃ ṭhito tassa dhammaṃ desetīti? Saccametaṃ, adesetabbakāle adesanāya idaṃ udāharaṇaṃ. Tenevāha ‘‘akālo kho tāvā’’ti. Yaṃ pana tattha vuttaṃ ‘‘antaragharaṃ paviṭṭhamhā’’ti (udā. 10), tampi tassa akālabhāvasseva pariyāyena dassanatthaṃ vuttaṃ. Tassa hi tadā addhānaparissamena rūpakāye akammaññatā ahosi, balavapītivegena nāmakāye, tadubhayassa vūpasamaṃ āgamento papañcaparihāratthaṃ bhagavā ‘‘akālo kho’’ti pariyāyena paṭikkhipi. Adesetabbadese adesanāya pana udāharaṇaṃ ‘‘atha kho bhagavā maggā okkamma aññatarasmiṃ rukkhamūle nisīdi (saṃ. ni. 2.154), vihārato nikkhamitvā vihārapacchāyāyaṃ paññatte āsane nisīdī’’ti (dī. ni. 1.363) ca evamādikaṃ idha ādi-saddena saṅgahitaṃ.
‘‘อถ โข โส, ภิกฺขเว, พาโล อิธ ปุเพฺพ รสาโท อิธ ปาปานิ กมฺมานิ กริตฺวา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๒๕๑) ปทปูรณมเตฺต โข-สโทฺท, ‘‘ทุกฺขํ โข อคารโว วิหรติ อปฺปติโสฺส’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๒๑) อวธารเณ, ‘‘กิตฺตาวตา นุ โข, อาวุโส, สตฺถุ ปวิวิตฺตสฺส วิหรโต สาวกา วิเวกํ นานุสิกฺขนฺตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๑) อาทิกาลเตฺถฯ วากฺยารเมฺภติ อโตฺถฯ ตตฺถ ปทปูรเณน วจนาลงฺการมตฺตํ กตํ โหติ, อาทิกาลเตฺถน วากฺยสฺส อุปญฺญาสมตฺตํ, อวธารเตฺถน ปน นิยมทสฺสนํ, ตสฺมา อามเนฺตสิ เอวาติ อามนฺตเน นิยโม ทสฺสิโต โหตีติฯ
‘‘Atha kho so, bhikkhave, bālo idha pubbe rasādo idha pāpāni kammāni karitvā’’tiādīsu (ma. ni. 3.251) padapūraṇamatte kho-saddo, ‘‘dukkhaṃ kho agāravo viharati appatisso’’tiādīsu (a. ni. 4.21) avadhāraṇe, ‘‘kittāvatā nu kho, āvuso, satthu pavivittassa viharato sāvakā vivekaṃ nānusikkhantī’’tiādīsu (ma. ni. 1.31) ādikālatthe. Vākyārambheti attho. Tattha padapūraṇena vacanālaṅkāramattaṃ kataṃ hoti, ādikālatthena vākyassa upaññāsamattaṃ, avadhāratthena pana niyamadassanaṃ, tasmā āmantesi evāti āmantane niyamo dassito hotīti.
‘‘ภควาติ โลกครุทีปน’’นฺติ กสฺมา วุตฺตํ, นนุ ปุเพฺพปิ ภควา-สทฺทสฺส อโตฺถ วุโตฺตติ? ยทิปิ ปุเพฺพ วุโตฺต, ตํ ปนสฺส ยถาวุเตฺต ฐาเน วิหรณกิริยาย กตฺตุวิเสสทสฺสนตฺถํ กตํ, น อามนฺตนกิริยาย, อิธ ปน อามนฺตนกิริยาย, ตสฺมา ตทตฺถํ ปุน ‘‘ภควา’’ติ ปาฬิยํ วุตฺตนฺติ ตสฺสตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘ภควาติ โลกครุทีปน’’นฺติ อาหฯ กถาสวนยุตฺตปุคฺคลวจนนฺติ วกฺขมานาย มูลปริยายเทสนาย สวนโยคฺยปุคฺคลวจนํฯ จตูสุปิ ปริสาสุ ภิกฺขู เอว เอทิสานํ เทสนานํ วิเสเสน ภาชนภูตา, อิติ สาติสยสาสนสมฺปฎิคฺคาหกภาวทสฺสนตฺถํ อิธ ภิกฺขุคหณนฺติ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สทฺทตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘อปิจา’’ติอาทิมาหฯ
‘‘Bhagavāti lokagarudīpana’’nti kasmā vuttaṃ, nanu pubbepi bhagavā-saddassa attho vuttoti? Yadipi pubbe vutto, taṃ panassa yathāvutte ṭhāne viharaṇakiriyāya kattuvisesadassanatthaṃ kataṃ, na āmantanakiriyāya, idha pana āmantanakiriyāya, tasmā tadatthaṃ puna ‘‘bhagavā’’ti pāḷiyaṃ vuttanti tassatthaṃ dassetuṃ ‘‘bhagavāti lokagarudīpana’’nti āha. Kathāsavanayuttapuggalavacananti vakkhamānāya mūlapariyāyadesanāya savanayogyapuggalavacanaṃ. Catūsupi parisāsu bhikkhū eva edisānaṃ desanānaṃ visesena bhājanabhūtā, iti sātisayasāsanasampaṭiggāhakabhāvadassanatthaṃ idha bhikkhugahaṇanti dassetvā idāni saddatthaṃ dassetuṃ ‘‘apicā’’tiādimāha.
ตตฺถ ภิกฺขโกติ ภิกฺขูติ ภิกฺขนธมฺมตาย ภิกฺขูติ อโตฺถฯ ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคโตติ พุทฺธาทีหิปิ อชฺฌุปคตํ ภิกฺขาจริยํ อุญฺฉาจริยํ อชฺฌุปคตตฺตา อนุฎฺฐิตตฺตา ภิกฺขูฯ โย หิ โกจิ อปฺปํ วา มหนฺตํ วา โภคกฺขนฺธํ ปหาย อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต, โส กสิโครกฺขาทีหิ ชีวิกากปฺปนํ หิตฺวา ลิงฺคสมฺปฎิจฺฉเนเนว ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคตตฺตา ภิกฺขุ, ปรปฎิพทฺธชีวิกตฺตา วา วิหารมเชฺฌ กาชภตฺตํ ภุญฺชมาโนปิ ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคโตติ ภิกฺขุ, ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชาย อุสฺสาหชาตตฺตา วา ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคโตติ ภิกฺขูติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อาทินา นเยนาติ ‘‘ภินฺนปฎธโรติ ภิกฺขุ, ภินฺทติ ปาปเก อกุสเล ธเมฺมติ ภิกฺขุ, ภินฺนตฺตา ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ ภิกฺขู’’ติอาทินา วิภเงฺค (วิภ. ๕๑๐) อาคตนเยนฯ ญาปเนติ อวโพธเน, ปฎิเวทเนติ อโตฺถฯ
Tattha bhikkhakoti bhikkhūti bhikkhanadhammatāya bhikkhūti attho. Bhikkhācariyaṃ ajjhupagatoti buddhādīhipi ajjhupagataṃ bhikkhācariyaṃ uñchācariyaṃ ajjhupagatattā anuṭṭhitattā bhikkhū. Yo hi koci appaṃ vā mahantaṃ vā bhogakkhandhaṃ pahāya agārasmā anagāriyaṃ pabbajito, so kasigorakkhādīhi jīvikākappanaṃ hitvā liṅgasampaṭicchaneneva bhikkhācariyaṃ ajjhupagatattā bhikkhu, parapaṭibaddhajīvikattā vā vihāramajjhe kājabhattaṃ bhuñjamānopi bhikkhācariyaṃ ajjhupagatoti bhikkhu, piṇḍiyālopabhojanaṃ nissāya pabbajjāya ussāhajātattā vā bhikkhācariyaṃ ajjhupagatoti bhikkhūti evampettha attho daṭṭhabbo. Ādinā nayenāti ‘‘bhinnapaṭadharoti bhikkhu, bhindati pāpake akusale dhammeti bhikkhu, bhinnattā pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ bhikkhū’’tiādinā vibhaṅge (vibha. 510) āgatanayena. Ñāpaneti avabodhane, paṭivedaneti attho.
ภิกฺขนสีลตาติอาทีสุ ภิกฺขนสีลตา ภิกฺขเนน อาชีวนสีลตา, น กสิวณิชฺชาทีหิ อาชีวนสีลตาฯ ภิกฺขนธมฺมตา ‘‘อุทฺทิสฺส อริยา ติฎฺฐนฺตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑๕๓; มิ. ป. ๔.๕.๙) เอวํ วุตฺตภิกฺขนสภาวตา, น สมฺภาวนาโกหญฺญสภาวตาฯ ภิกฺขเน สาธุการิตา ‘‘อุตฺติเฎฺฐ นปฺปมเชฺชยฺยา’’ติ (ธ. ป. ๑๖๘) วจนํ อนุสฺสริตฺวา ตตฺถ อปฺปมชฺชนาฯ อถ วา สีลํ นาม ปกติสภาโว, อิธ ปน ตทธิฎฺฐานํฯ ธโมฺมติ วตํฯ อปเร ปน ‘‘สีลํ นาม วตสมาทานํ, ธโมฺม นาม ปเวณีอาคตํ จาริตฺตํ, สาธุการิตาติ สกฺกจฺจการิตา อาทรกิริยา’’ติ วเณฺณนฺติฯ หีนาธิกชนเสวิตนฺติ เย ภิกฺขุภาเว ฐิตาปิ ชาติมทาทิวเสน อุทฺธตา อุนฺนฬาฯ เย จ คิหิภาเว ปเรสุ อตฺถิกภาวมฺปิ อนุปคตตาย ภิกฺขาจริยํ ปรมกาปญฺญตํ มญฺญนฺติ, เตสํ อุภเยสมฺปิ ยถากฺกมํ ‘‘ภิกฺขโว’’ติ วจเนน หีนชเนหิ ทลิเทฺทหิ ปรมกาปญฺญตํ ปเตฺตหิ ปรกุเลสุ ภิกฺขาจริยาย ชีวิกํ กเปฺปเนฺตหิ เสวิตํ วุตฺติํ ปกาเสโนฺต อุทฺธตภาวนิคฺคหํ กโรติ, อธิกชเนหิ อุฬารโภคขตฺติยกุลาทิโต ปพฺพชิเตหิ พุทฺธาทีหิ อาชีววิโสธนตฺถํ เสวิตํ วุตฺติํ ปกาเสโนฺต ทีนภาวนิคฺคหํ กโรตีติ โยเชตพฺพํฯ ยสฺมา ‘‘ภิกฺขโว’’ติ วจนํ อามนฺตนภาวโต อภิมุขีกรณํ, ปกรณโต สามตฺถิยโต จ สุสฺสูสาชนนํ สกฺกจฺจสวนมนสิการนิโยชนญฺจ โหติฯ ตสฺมา ตมตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ภิกฺขโวติ อิมินา’’ติอาทิมาหฯ
Bhikkhanasīlatātiādīsu bhikkhanasīlatā bhikkhanena ājīvanasīlatā, na kasivaṇijjādīhi ājīvanasīlatā. Bhikkhanadhammatā ‘‘uddissa ariyā tiṭṭhantī’’ti (paṭi. ma. 153; mi. pa. 4.5.9) evaṃ vuttabhikkhanasabhāvatā, na sambhāvanākohaññasabhāvatā. Bhikkhane sādhukāritā ‘‘uttiṭṭhe nappamajjeyyā’’ti (dha. pa. 168) vacanaṃ anussaritvā tattha appamajjanā. Atha vā sīlaṃ nāma pakatisabhāvo, idha pana tadadhiṭṭhānaṃ. Dhammoti vataṃ. Apare pana ‘‘sīlaṃ nāma vatasamādānaṃ, dhammo nāma paveṇīāgataṃ cārittaṃ, sādhukāritāti sakkaccakāritā ādarakiriyā’’ti vaṇṇenti. Hīnādhikajanasevitanti ye bhikkhubhāve ṭhitāpi jātimadādivasena uddhatā unnaḷā. Ye ca gihibhāve paresu atthikabhāvampi anupagatatāya bhikkhācariyaṃ paramakāpaññataṃ maññanti, tesaṃ ubhayesampi yathākkamaṃ ‘‘bhikkhavo’’ti vacanena hīnajanehi daliddehi paramakāpaññataṃ pattehi parakulesu bhikkhācariyāya jīvikaṃ kappentehi sevitaṃ vuttiṃ pakāsento uddhatabhāvaniggahaṃ karoti, adhikajanehi uḷārabhogakhattiyakulādito pabbajitehi buddhādīhi ājīvavisodhanatthaṃ sevitaṃ vuttiṃ pakāsento dīnabhāvaniggahaṃ karotīti yojetabbaṃ. Yasmā ‘‘bhikkhavo’’ti vacanaṃ āmantanabhāvato abhimukhīkaraṇaṃ, pakaraṇato sāmatthiyato ca sussūsājananaṃ sakkaccasavanamanasikāraniyojanañca hoti. Tasmā tamatthaṃ dassento ‘‘bhikkhavoti iminā’’tiādimāha.
ตตฺถ สาธุกสวนมนสิกาเรติ สาธุกสวเน สาธุกมนสิกาเร จฯ กถํ ปน ปวตฺติตา สวนาทโย สาธุกํ ปวตฺติตา โหนฺตีติ? ‘‘อทฺธา อิมาย สมฺมาปฎิปตฺติยา สกลสาสนสมฺปตฺติ หตฺถคตา ภวิสฺสตี’’ติ อาทรคารวโยเคน, กถาทีสุ อปริภวนาทินา จฯ วุตฺตํ หิ ‘‘ปญฺจหิ, ภิกฺขเว, ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต สุณโนฺต สทฺธมฺมํ ภโพฺพ นิยามํ โอกฺกมิตุํ กุสเลสุ ธเมฺมสุ สมฺมตฺตํฯ กตเมหิ ปญฺจหิ? น กถํ ปริโภติ, น กถิกํ ปริโภติ, น อตฺตานํ ปริโภติ, อวิกฺขิตฺตจิโตฺต ธมฺมํ สุณาติ เอกคฺคจิโตฺต, โยนิโส จ มนสิ กโรติฯ อิเมหิ โข, ภิกฺขเว , ปญฺจหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต สุณโนฺต สทฺธมฺมํ ภโพฺพ นิยามํ โอกฺกมิตุํ กุสเลสุ ธเมฺมสุ สมฺมตฺต’’นฺติ (อ. นิ. ๕.๑๕๑)ฯ เตเนวาห ‘‘สาธุกสวนมนสิการายตฺตา หิ สาสนสมฺปตฺตี’’ติฯ สาสนสมฺปตฺติ นาม สีลาทินิปฺผตฺติฯ
Tattha sādhukasavanamanasikāreti sādhukasavane sādhukamanasikāre ca. Kathaṃ pana pavattitā savanādayo sādhukaṃ pavattitā hontīti? ‘‘Addhā imāya sammāpaṭipattiyā sakalasāsanasampatti hatthagatā bhavissatī’’ti ādaragāravayogena, kathādīsu aparibhavanādinā ca. Vuttaṃ hi ‘‘pañcahi, bhikkhave, dhammehi samannāgato suṇanto saddhammaṃ bhabbo niyāmaṃ okkamituṃ kusalesu dhammesu sammattaṃ. Katamehi pañcahi? Na kathaṃ paribhoti, na kathikaṃ paribhoti, na attānaṃ paribhoti, avikkhittacitto dhammaṃ suṇāti ekaggacitto, yoniso ca manasi karoti. Imehi kho, bhikkhave , pañcahi dhammehi samannāgato suṇanto saddhammaṃ bhabbo niyāmaṃ okkamituṃ kusalesu dhammesu sammatta’’nti (a. ni. 5.151). Tenevāha ‘‘sādhukasavanamanasikārāyattā hi sāsanasampattī’’ti. Sāsanasampatti nāma sīlādinipphatti.
ปฐมํ อุปฺปนฺนตฺตา อธิคมวเสนฯ สตฺถุจริยานุวิธายกตฺตา สีลาทิคุณานุฎฺฐาเนนฯ ติณฺณํ ยานานํ วเสน อนุธมฺมปฎิปตฺติสพฺภาวโต สกลสาสนปฎิคฺคาหกตฺตาฯ สนฺติกตฺตาติ สมีปภาวโตฯ สนฺติกาวจรตฺตาติ สพฺพกาลํ สมฺปยุตฺตภาวโตฯ ยถานุสิฎฺฐนฺติ อนุสาสนิอนุรูปํ, อนุสาสนิํ อนวเสสโต ปฎิคฺคเหตฺวาติ อโตฺถฯ เอกเจฺจ ภิกฺขูเยว สนฺธายาติ เย สุตฺตปริโยสาเน ‘‘เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุ’’นฺติ วุตฺตา ปญฺจสตา พฺราหฺมณปพฺพชิตา, เต สนฺธายฯ
Paṭhamaṃ uppannattā adhigamavasena. Satthucariyānuvidhāyakattā sīlādiguṇānuṭṭhānena. Tiṇṇaṃ yānānaṃ vasena anudhammapaṭipattisabbhāvato sakalasāsanapaṭiggāhakattā. Santikattāti samīpabhāvato. Santikāvacarattāti sabbakālaṃ sampayuttabhāvato. Yathānusiṭṭhanti anusāsanianurūpaṃ, anusāsaniṃ anavasesato paṭiggahetvāti attho. Ekacce bhikkhūyeva sandhāyāti ye suttapariyosāne ‘‘te bhikkhū bhagavato bhāsitaṃ abhinandu’’nti vuttā pañcasatā brāhmaṇapabbajitā, te sandhāya.
ปุเพฺพ สพฺพปริสสาธารณเตฺตปิ ภควโต ธมฺมเทสนาย ‘‘เชฎฺฐเสฎฺฐา’’ติอาทินา ภิกฺขูนํ เอว อามนฺตเน การณํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ภิกฺขู อามเนฺตตฺวาว ธมฺมเทสนาย ปโยชนํ ทเสฺสตุํ ‘‘กิมตฺถํ ปน ภควา’’ติ โจทนํ สมุฎฺฐาเปสิฯ ตตฺถ อญฺญํ จิเนฺตนฺตาติ อญฺญวิหิตาฯ วิกฺขิตฺตจิตฺตาติ อสมาหิตจิตฺตาฯ ธมฺมํ ปจฺจเวกฺขนฺตาติ ตทา หิโยฺย ตโต ปรทิวเสสุ วา สุตธมฺมํ ปติ ปติ มนสา อเวกฺขนฺตาฯ ภิกฺขู อามเนฺตตฺวา ธเมฺม เทสิยมาเน อาทิโต ปฎฺฐาย เทสนํ สลฺลเกฺขตุํ สโกฺกนฺตีติ อิมเมวตฺถํ พฺยติเรกมุเขน ทเสฺสตุํ ‘‘เต อนามเนฺตตฺวา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Pubbe sabbaparisasādhāraṇattepi bhagavato dhammadesanāya ‘‘jeṭṭhaseṭṭhā’’tiādinā bhikkhūnaṃ eva āmantane kāraṇaṃ dassetvā idāni bhikkhū āmantetvāva dhammadesanāya payojanaṃ dassetuṃ ‘‘kimatthaṃ pana bhagavā’’ti codanaṃ samuṭṭhāpesi. Tattha aññaṃ cintentāti aññavihitā. Vikkhittacittāti asamāhitacittā. Dhammaṃ paccavekkhantāti tadā hiyyo tato paradivasesu vā sutadhammaṃ pati pati manasā avekkhantā. Bhikkhū āmantetvā dhamme desiyamāne ādito paṭṭhāya desanaṃ sallakkhetuṃ sakkontīti imamevatthaṃ byatirekamukhena dassetuṃ ‘‘te anāmantetvā’’tiādi vuttaṃ.
ภิกฺขโวตีติ จ สนฺธิวเสน อิ-การโลโป ทฎฺฐโพฺพ ‘‘ภิกฺขโว อิตี’’ติฯ อยํ หิ อิติ-สโทฺท เหตุ-ปริสมาปนาทิปทตฺถวิปริยาย-ปการาวธารณนิทสฺสนาทิอเนกตฺถปฺปเภโทฯ ตถา เหส ‘‘รุปฺปตีติ โข, ภิกฺขเว, ตสฺมา ‘รูป’นฺติ วุจฺจตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๗๙) เหตุอเตฺถ ทิสฺสติ; ‘‘ตสฺมา ติห เม, ภิกฺขเว, ธมฺมทายาทา ภวถ, มา อามิสทายาทา, อตฺถิ เม ตุเมฺหสุ อนุกมฺปา ‘กินฺติ เม สาวกา ธมฺมทายาทา ภเวยฺยุํ, โน อามิสทายาทา’ติ’’อาทีสุ ปริสมาปเน; ‘‘อิติ วา, อิติ เอวรูปา นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา ปฎิวิรโต’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๑๓) อาทิอเตฺถ; ‘‘มาคณฺฐิโยติ ตสฺส พฺราหฺมณสฺส สงฺขา สมญฺญา ปญฺญตฺติ โวหาโร นามํ นามกมฺมํ นามเธยฺยํ นิรุตฺติ พฺยญฺชนมภิลาโป’’ติอาทีสุ (มหานิ. ๗๓) ปทตฺถวิปริยาเย; ‘‘อิติ โข, ภิกฺขเว, สปฺปฎิภโย พาโล, อปฺปฎิภโย ปณฺฑิโต, สอุปทฺทโว พาโล, อนุปทฺทโว ปณฺฑิโต, สอุปสโคฺค พาโล, อนุปสโคฺค ปณฺฑิโต’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๑๒๔) ปกาเร; ‘‘อตฺถิ อิทปฺปจฺจยา ชรามรณนฺติ อิติ ปุเฎฺฐน สตา, อานนฺท, อตฺถีติสฺส วจนียํ, กิํ ปจฺจยา ชรามรณนฺติ อิติ เจ วเทยฺย, ชาติปจฺจยา ชรามรณนฺติ อิจฺจสฺส วจนีย’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๙๖) อวธารเณ; ‘‘สพฺพมตฺถีติ โข, กจฺจาน, อยเมโก อโนฺต, สพฺพํ นตฺถีติ โข, กจฺจาน, อยํ ทุติโย อโนฺต’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๑๕) นิทสฺสเนฯ อิธาปิ นิทสฺสเนว ทฎฺฐโพฺพฯ ภิกฺขโวติ หิ อามนฺติตากาโร, ตเมส อิติ-สโทฺท นิทเสฺสติ ‘‘ภิกฺขโวติ อามเนฺตสี’’ติฯ อิมินา นเยน ‘‘ภทฺทเนฺต’’ติอาทีสุปิ ยถารหํ อิติ-สทฺทสฺส อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปุเพฺพ ‘‘ภควา อามเนฺตสี’’ติ วุตฺตตฺตา ‘‘ภควโต ปจฺจโสฺสสุ’’นฺติ อิธ ‘‘ภควโต’’ติ สามิวจนํ อามนฺตนเมว สมฺพนฺธีอนฺตรํ อเปกฺขตีติ อิมินา อธิปฺปาเยน ‘‘ภควโต อามนฺตนํ ปฎิอโสฺสสุ’’นฺติ วุตฺตํฯ ‘‘ภควโต’’ติ ปน อิทํ ปฎิสฺสวสมฺพนฺธเนน สมฺปทานวจนํ ยถา ‘‘เทวทตฺตสฺส ปฎิสฺสุโณตี’’ติฯ
Bhikkhavotīti ca sandhivasena i-kāralopo daṭṭhabbo ‘‘bhikkhavo itī’’ti. Ayaṃ hi iti-saddo hetu-parisamāpanādipadatthavipariyāya-pakārāvadhāraṇanidassanādianekatthappabhedo. Tathā hesa ‘‘ruppatīti kho, bhikkhave, tasmā ‘rūpa’nti vuccatī’’tiādīsu (saṃ. ni. 3.79) hetuatthe dissati; ‘‘tasmā tiha me, bhikkhave, dhammadāyādā bhavatha, mā āmisadāyādā, atthi me tumhesu anukampā ‘kinti me sāvakā dhammadāyādā bhaveyyuṃ, no āmisadāyādā’ti’’ādīsu parisamāpane; ‘‘iti vā, iti evarūpā naccagītavāditavisūkadassanā paṭivirato’’tiādīsu (dī. ni. 1.13) ādiatthe; ‘‘māgaṇṭhiyoti tassa brāhmaṇassa saṅkhā samaññā paññatti vohāro nāmaṃ nāmakammaṃ nāmadheyyaṃ nirutti byañjanamabhilāpo’’tiādīsu (mahāni. 73) padatthavipariyāye; ‘‘iti kho, bhikkhave, sappaṭibhayo bālo, appaṭibhayo paṇḍito, saupaddavo bālo, anupaddavo paṇḍito, saupasaggo bālo, anupasaggo paṇḍito’’tiādīsu (ma. ni. 3.124) pakāre; ‘‘atthi idappaccayā jarāmaraṇanti iti puṭṭhena satā, ānanda, atthītissa vacanīyaṃ, kiṃ paccayā jarāmaraṇanti iti ce vadeyya, jātipaccayā jarāmaraṇanti iccassa vacanīya’’ntiādīsu (dī. ni. 2.96) avadhāraṇe; ‘‘sabbamatthīti kho, kaccāna, ayameko anto, sabbaṃ natthīti kho, kaccāna, ayaṃ dutiyo anto’’tiādīsu (saṃ. ni. 2.15) nidassane. Idhāpi nidassaneva daṭṭhabbo. Bhikkhavoti hi āmantitākāro, tamesa iti-saddo nidasseti ‘‘bhikkhavoti āmantesī’’ti. Iminā nayena ‘‘bhaddante’’tiādīsupi yathārahaṃ iti-saddassa attho veditabbo. Pubbe ‘‘bhagavā āmantesī’’ti vuttattā ‘‘bhagavato paccassosu’’nti idha ‘‘bhagavato’’ti sāmivacanaṃ āmantanameva sambandhīantaraṃ apekkhatīti iminā adhippāyena ‘‘bhagavato āmantanaṃ paṭiassosu’’nti vuttaṃ. ‘‘Bhagavato’’ti pana idaṃ paṭissavasambandhanena sampadānavacanaṃ yathā ‘‘devadattassa paṭissuṇotī’’ti.
ยํ นิทานํ ภาสิตนฺติ สมฺพโนฺธฯ เอตฺถาห – กิมตฺถํ ปน ธมฺมวินยสงฺคเห กริยมาเน นิทานวจนํ, นนุ ภควตา ภาสิตวจนเสฺสว สงฺคโห กาตโพฺพติ? วุจฺจเต – เทสนาย ฐิติอสโมฺมสสเทฺธยฺยภาวสมฺปาทนตฺถํฯ กาลเทสเทสกนิมิตฺตปริสาปเทเสหิ อุปนิพนฺธิตฺวา ฐปิตา หิ เทสนา จิรฎฺฐิติกา โหติ อสโมฺมสธมฺมา สเทฺธยฺยา จ, เทสกาลกตฺตุโสตุนิมิเตฺตหิ อุปนิพโทฺธ วิย โวหารวินิจฺฉโยฯ เตเนว จ อายสฺมตา มหากสฺสเปน ‘‘มูลปริยายสุตฺตํ อาวุโส, อานนฺท, กตฺถ ภาสิต’’นฺติอาทินา เทสาทิปุจฺฉาสุ กตาสุ ตาสํ วิสฺสชฺชนํ กโรเนฺตน ธมฺมภณฺฑาคาริเกน ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทินา อิมสฺส สุตฺตสฺส นิทานํ ภาสิตํฯ อปิจ สตฺถุสมฺปตฺติปกาสนตฺถํ นิทานวจนํฯ ตถาคตสฺส หิ ภควโต ปุพฺพรจนานุมานาคมตกฺกาภาวโต สมฺมาสมฺพุทฺธภาวสิทฺธิ ฯ น หิ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปุพฺพรจนาทีหิ อโตฺถ อตฺถิ สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตญาณจารตาย เอกปฺปมาณตฺตา จ เญยฺยธเมฺมสุฯ ตถา อาจริยมุฎฺฐิธมฺมมจฺฉริยสาสนสาวกานุโรธาภาวโต ขีณาสวภาวสิทฺธิฯ น หิ สพฺพโส ขีณาสวสฺส เต สมฺภวนฺตีติ สุวิสุทฺธสฺส ปรานุคฺคหปฺปวตฺติฯ เอวํ เทสกสํกิเลสภูตานํ ทิฎฺฐิสีลสมฺปทาทูสกานํ อวิชฺชาตณฺหานํ อจฺจนฺตาภาวสํสูจเกหิ ญาณสมฺปทาปหานสมฺปทาภิพฺยญฺชเกหิ จ สมฺพุทฺธวิสุทฺธภาเวหิ ปุริมเวสารชฺชทฺวยสิทฺธิ, ตโต เอว จ อนฺตรายิกนิยฺยานิกธเมฺมสุ สโมฺมหาภาวสิทฺธิโต ปจฺฉิมเวสารชฺชทฺวยสิทฺธีติ ภควโต จตุเวสารชฺชสมนฺนาคโม อตฺตหิตปรหิตปฎิปตฺติ จ นิทานวจเนน ปกาสิตา โหติ ตตฺถ ตตฺถ สมฺปตฺตปริยาย อชฺฌาสยานุรูปํ ฐานุปฺปตฺติกปฎิภาเนน ธมฺมเทสนาทีปนโต, อิธ ปน ปถวีอาทีสุ วตฺถูสุ ปุถุชฺชนานํ ปฎิปตฺติวิภาคววตฺถาปกเทสนาทีปนโตติ โยเชตพฺพํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สตฺถุสมฺปตฺติปกาสนตฺถํ นิทานวจน’’นฺติฯ
Yaṃ nidānaṃ bhāsitanti sambandho. Etthāha – kimatthaṃ pana dhammavinayasaṅgahe kariyamāne nidānavacanaṃ, nanu bhagavatā bhāsitavacanasseva saṅgaho kātabboti? Vuccate – desanāya ṭhitiasammosasaddheyyabhāvasampādanatthaṃ. Kāladesadesakanimittaparisāpadesehi upanibandhitvā ṭhapitā hi desanā ciraṭṭhitikā hoti asammosadhammā saddheyyā ca, desakālakattusotunimittehi upanibaddho viya vohāravinicchayo. Teneva ca āyasmatā mahākassapena ‘‘mūlapariyāyasuttaṃ āvuso, ānanda, kattha bhāsita’’ntiādinā desādipucchāsu katāsu tāsaṃ vissajjanaṃ karontena dhammabhaṇḍāgārikena ‘‘evaṃ me suta’’ntiādinā imassa suttassa nidānaṃ bhāsitaṃ. Apica satthusampattipakāsanatthaṃ nidānavacanaṃ. Tathāgatassa hi bhagavato pubbaracanānumānāgamatakkābhāvato sammāsambuddhabhāvasiddhi . Na hi sammāsambuddhassa pubbaracanādīhi attho atthi sabbattha appaṭihatañāṇacāratāya ekappamāṇattā ca ñeyyadhammesu. Tathā ācariyamuṭṭhidhammamacchariyasāsanasāvakānurodhābhāvato khīṇāsavabhāvasiddhi. Na hi sabbaso khīṇāsavassa te sambhavantīti suvisuddhassa parānuggahappavatti. Evaṃ desakasaṃkilesabhūtānaṃ diṭṭhisīlasampadādūsakānaṃ avijjātaṇhānaṃ accantābhāvasaṃsūcakehi ñāṇasampadāpahānasampadābhibyañjakehi ca sambuddhavisuddhabhāvehi purimavesārajjadvayasiddhi, tato eva ca antarāyikaniyyānikadhammesu sammohābhāvasiddhito pacchimavesārajjadvayasiddhīti bhagavato catuvesārajjasamannāgamo attahitaparahitapaṭipatti ca nidānavacanena pakāsitā hoti tattha tattha sampattapariyāya ajjhāsayānurūpaṃ ṭhānuppattikapaṭibhānena dhammadesanādīpanato, idha pana pathavīādīsu vatthūsu puthujjanānaṃ paṭipattivibhāgavavatthāpakadesanādīpanatoti yojetabbaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘satthusampattipakāsanatthaṃ nidānavacana’’nti.
ตถา สาสนสมฺปตฺติปกาสนตฺถํ นิทานวจนํฯ ญาณกรุณาปริคฺคหิตสพฺพกิริยสฺส หิ ภควโต นตฺถิ นิรตฺถิกา ปฎิปตฺติ, อตฺตหิตตฺถา วาฯ ตสฺมา ปเรสํ เอว อตฺถาย ปวตฺตสพฺพกิริยสฺส สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สกลมฺปิ กายวจีมโนกมฺมํ ยถาปวตฺตํ วุจฺจมานํ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมเตฺถหิ ยถารหํ สตฺตานํ อนุสาสนเฎฺฐน สาสนํ, น กพฺยรจนา, ตยิทํ สตฺถุจริตํ กาลเทสเทสกปริสาปเทเสหิ สทฺธิํ ตตฺถ ตตฺถ นิทานวจเนหิ ยถารหํ ปกาสียติ, อิธ ปน ‘‘ปถวิยาทีสุ วตฺถูสู’’ติ สพฺพํ ปุริมสทิสเมวฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สาสนสมฺปตฺติปกาสนตฺถํ นิทานวจน’’นฺติฯ อปิจ สตฺถุโน ปมาณภาวปฺปกาสเนน สาสนสฺส ปมาณภาวทสฺสนตฺถํ นิทานวจนํ, ตญฺจ เทสกปฺปมาณภาวทสฺสนํ เหฎฺฐา วุตฺตนยานุสาเรน ‘‘ภควา’’ติ จ อิมินา ปเทน วิภาวิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘ภควา’’ติ อิมินา ตถาคตสฺส ราคโทสโมหาทิสพฺพกิเลสมลทุจฺจริตาทิโทสปฺปหานทีปเนน วจเนน อนญฺญสาธารณสุปริสุทฺธญาณกรุณาทิคุณวิเสสโยคปริทีปเนน ตโต เอว สพฺพสตฺตุตฺตมภาวทีปเนน อยมโตฺถ สพฺพถา ปกาสิโต โหตีติ อิทเมตฺถ นิทานวจนปฺปโยชนสฺส มุขมตฺตทสฺสนํฯ
Tathā sāsanasampattipakāsanatthaṃ nidānavacanaṃ. Ñāṇakaruṇāpariggahitasabbakiriyassa hi bhagavato natthi niratthikā paṭipatti, attahitatthā vā. Tasmā paresaṃ eva atthāya pavattasabbakiriyassa sammāsambuddhassa sakalampi kāyavacīmanokammaṃ yathāpavattaṃ vuccamānaṃ diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthehi yathārahaṃ sattānaṃ anusāsanaṭṭhena sāsanaṃ, na kabyaracanā, tayidaṃ satthucaritaṃ kāladesadesakaparisāpadesehi saddhiṃ tattha tattha nidānavacanehi yathārahaṃ pakāsīyati, idha pana ‘‘pathaviyādīsu vatthūsū’’ti sabbaṃ purimasadisameva. Tena vuttaṃ ‘‘sāsanasampattipakāsanatthaṃ nidānavacana’’nti. Apica satthuno pamāṇabhāvappakāsanena sāsanassa pamāṇabhāvadassanatthaṃ nidānavacanaṃ, tañca desakappamāṇabhāvadassanaṃ heṭṭhā vuttanayānusārena ‘‘bhagavā’’ti ca iminā padena vibhāvitanti veditabbaṃ. ‘‘Bhagavā’’ti iminā tathāgatassa rāgadosamohādisabbakilesamaladuccaritādidosappahānadīpanena vacanena anaññasādhāraṇasuparisuddhañāṇakaruṇādiguṇavisesayogaparidīpanena tato eva sabbasattuttamabhāvadīpanena ayamattho sabbathā pakāsito hotīti idamettha nidānavacanappayojanassa mukhamattadassanaṃ.
อพฺภนฺตรนิทานวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Abbhantaranidānavaṇṇanā niṭṭhitā.
สุตฺตนิเกฺขปวณฺณนา
Suttanikkhepavaṇṇanā
นิกฺขิตฺตสฺสาติ เทสิตสฺสฯ เทสนาปิ หิ เทเสตพฺพสฺส สีลาทิอตฺถสฺส วิเนยฺยสนฺตาเนสุ นิกฺขิปนโต ‘‘นิเกฺขโป’’ติ วุจฺจติฯ สุตฺตนิเกฺขปํ วิจาเรตฺวา วุจฺจมานา ปากฎา โหตีติ สามญฺญโต ภควโต เทสนาสมุฎฺฐานสฺส วิภาคํ ทเสฺสตฺวา ‘‘เอตฺถายํ เทสนา เอวํสมุฎฺฐานา’’ติ เทสนาย สมุฎฺฐาเน ทสฺสิเต สุตฺตสฺส สมฺมเทว นิทานปริชานเนน วณฺณนาย สุวิเญฺญยฺยตฺตา วุตฺตํฯ เอวญฺหิ ‘‘อสฺสุตวา ภิกฺขเว ปุถุชฺชโน’’ติอาทินา, ‘‘โยปิ โส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อรหํ ขีณาสโว’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๘), ‘‘ตถาคโตปิ โข, ภิกฺขเว, อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๑๒) จ ปวตฺตเทสนา อนุสนฺธิทสฺสนสุขตาย สุวิเญฺญยฺยา โหติฯ ตตฺถ ยถา อเนกสตอเนกสหสฺสเภทานิปิ สุตฺตนฺตานิ สํกิเลสภาคิยาทิปธานนยวเสน โสฬสวิธตํ นาติวตฺตนฺติ, เอวํ อตฺตชฺฌาสยาทิสุตฺตนิเกฺขปวเสน จตุพฺพิธภาวนฺติ อาห ‘‘จตฺตาโร หิ สุตฺตนิเกฺขปา’’ติฯ
Nikkhittassāti desitassa. Desanāpi hi desetabbassa sīlādiatthassa vineyyasantānesu nikkhipanato ‘‘nikkhepo’’ti vuccati. Suttanikkhepaṃ vicāretvā vuccamānā pākaṭā hotīti sāmaññato bhagavato desanāsamuṭṭhānassa vibhāgaṃ dassetvā ‘‘etthāyaṃ desanā evaṃsamuṭṭhānā’’ti desanāya samuṭṭhāne dassite suttassa sammadeva nidānaparijānanena vaṇṇanāya suviññeyyattā vuttaṃ. Evañhi ‘‘assutavā bhikkhave puthujjano’’tiādinā, ‘‘yopi so, bhikkhave, bhikkhu arahaṃ khīṇāsavo’’tiādinā (ma. ni. 1.8), ‘‘tathāgatopi kho, bhikkhave, arahaṃ sammāsambuddho’’tiādinā (ma. ni. 1.12) ca pavattadesanā anusandhidassanasukhatāya suviññeyyā hoti. Tattha yathā anekasataanekasahassabhedānipi suttantāni saṃkilesabhāgiyādipadhānanayavasena soḷasavidhataṃ nātivattanti, evaṃ attajjhāsayādisuttanikkhepavasena catubbidhabhāvanti āha ‘‘cattāro hi suttanikkhepā’’ti.
เอตฺถ จ ยถา อตฺตชฺฌาสยสฺส อฎฺฐุปฺปตฺติยา จ ปรชฺฌาสยปุจฺฉาหิ สทฺธิํ สํสคฺคเภโท สมฺภวติ ‘‘อตฺตชฺฌาสโย จ ปรชฺฌาสโย จ, อตฺตชฺฌาสโย จ ปุจฺฉาวสิโก จ, อฎฺฐุปฺปตฺติโก จ ปรชฺฌาสโย จ, อฎฺฐุปฺปตฺติโก จ ปุจฺฉาวสิโก จา’’ติ อชฺฌาสยปุจฺฉานุสนฺธิสพฺภาวโต, เอวํ ยทิปิ อฎฺฐุปฺปตฺติยา อตฺตชฺฌาสเยนปิ สํสคฺคเภโท สมฺภวติ, อตฺตชฺฌาสยาทีหิ ปน ปุรโต ฐิเตหิ อฎฺฐุปฺปตฺติยา สํสโคฺค นตฺถีติ นยิธ นิรวเสโส วิตฺถารนโย สมฺภวตีติ ‘‘จตฺตาโร สุตฺตนิเกฺขปา’’ติ วุตฺตํ, ตทโนฺตคธตฺตา วา สมฺภวนฺตานํ เสสนิเกฺขปานํ มูลนิเกฺขปวเสน จตฺตาโรว ทสฺสิตาฯ ตถาทสฺสนเญฺจตฺถ อยํ สํสคฺคเภโท คเหตโพฺพติฯ
Ettha ca yathā attajjhāsayassa aṭṭhuppattiyā ca parajjhāsayapucchāhi saddhiṃ saṃsaggabhedo sambhavati ‘‘attajjhāsayo ca parajjhāsayo ca, attajjhāsayo ca pucchāvasiko ca, aṭṭhuppattiko ca parajjhāsayo ca, aṭṭhuppattiko ca pucchāvasiko cā’’ti ajjhāsayapucchānusandhisabbhāvato, evaṃ yadipi aṭṭhuppattiyā attajjhāsayenapi saṃsaggabhedo sambhavati, attajjhāsayādīhi pana purato ṭhitehi aṭṭhuppattiyā saṃsaggo natthīti nayidha niravaseso vitthāranayo sambhavatīti ‘‘cattāro suttanikkhepā’’ti vuttaṃ, tadantogadhattā vā sambhavantānaṃ sesanikkhepānaṃ mūlanikkhepavasena cattārova dassitā. Tathādassanañcettha ayaṃ saṃsaggabhedo gahetabboti.
ตตฺรายํ วจนโตฺถ – นิกฺขิปียตีติ นิเกฺขโป, สุตฺตํ เอว นิเกฺขโป สุตฺตนิเกฺขโปฯ อถ วา นิกฺขิปนํ นิเกฺขโป, สุตฺตสฺส นิเกฺขโป สุตฺตนิเกฺขโป, สุตฺตเทสนาติ อโตฺถฯ อตฺตโน อชฺฌาสโย อตฺตชฺฌาสโย, โส อสฺส อตฺถิ การณภูโตติ อตฺตชฺฌาสโยฯ อตฺตโน อชฺฌาสโย เอตสฺสาติ วา อตฺตชฺฌาสโยฯ ปรชฺฌาสเยปิ เอเสว นโยฯ ปุจฺฉาย วโส ปุจฺฉาวโส, โส เอตสฺส อตฺถีติ ปุจฺฉาวสิโกฯ สุตฺตเทสนาวตฺถุภูตสฺส อตฺถสฺส อุปฺปตฺติ อตฺถุปฺปตฺติ, อตฺถุปฺปตฺติเยว อฎฺฐุปฺปตฺติ ตฺถ-การสฺส ฎฺฐ-การํ กตฺวาฯ สา เอตสฺส อตฺถีติ อฎฺฐุปฺปตฺติโกฯ อถ วา นิกฺขิปียติ สุตฺตํ เอเตนาติ สุตฺตนิเกฺขโป, อตฺตชฺฌาสยาทิ เอวฯ เอตสฺมิํ ปน อตฺตวิกเปฺป อตฺตโน อชฺฌาสโย อตฺตชฺฌาสโยฯ ปเรสํ อชฺฌาสโย ปรชฺฌาสโยฯ ปุจฺฉียตีติ ปุจฺฉา, ปุจฺฉิตโพฺพ อโตฺถฯ ปุจฺฉนวเสน ปวตฺตํ ธมฺมปฎิคฺคาหกานํ วจนํ ปุจฺฉาวสิกํ, ตเทว นิเกฺขป-สทฺทาเปกฺขาย ปุลฺลิงฺควเสน ‘‘ปุจฺฉาวสิโก’’ติ วุตฺตํฯ ตถา อฎฺฐุปฺปตฺติ เอว อฎฺฐุปฺปตฺติโกติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Tatrāyaṃ vacanattho – nikkhipīyatīti nikkhepo, suttaṃ eva nikkhepo suttanikkhepo. Atha vā nikkhipanaṃ nikkhepo, suttassa nikkhepo suttanikkhepo, suttadesanāti attho. Attano ajjhāsayo attajjhāsayo, so assa atthi kāraṇabhūtoti attajjhāsayo. Attano ajjhāsayo etassāti vā attajjhāsayo. Parajjhāsayepi eseva nayo. Pucchāya vaso pucchāvaso, so etassa atthīti pucchāvasiko. Suttadesanāvatthubhūtassa atthassa uppatti atthuppatti, atthuppattiyeva aṭṭhuppatti ttha-kārassa ṭṭha-kāraṃ katvā. Sā etassa atthīti aṭṭhuppattiko. Atha vā nikkhipīyati suttaṃ etenāti suttanikkhepo, attajjhāsayādi eva. Etasmiṃ pana attavikappe attano ajjhāsayo attajjhāsayo. Paresaṃ ajjhāsayo parajjhāsayo. Pucchīyatīti pucchā, pucchitabbo attho. Pucchanavasena pavattaṃ dhammapaṭiggāhakānaṃ vacanaṃ pucchāvasikaṃ, tadeva nikkhepa-saddāpekkhāya pulliṅgavasena ‘‘pucchāvasiko’’ti vuttaṃ. Tathā aṭṭhuppatti eva aṭṭhuppattikoti evampettha attho veditabbo.
อปิเจตฺถ ปเรสํ อินฺทฺริยปริปากาทิการณนิรเปกฺขตฺตา อตฺตชฺฌาสยสฺส วิสุํ สุตฺตนิเกฺขปภาโว ยุโตฺต เกวลํ อตฺตโน อชฺฌาสเยเนว ธมฺมตนฺติฐปนตฺถํ ปวตฺติตเทสนตฺตาฯ ปรชฺฌาสยปุจฺฉาวสิกานํ ปน ปเรสํ อชฺฌาสยปุจฺฉานํ เทสนาปวตฺติเหตุภูตานํ อุปฺปตฺติยํ ปวตฺติตานํ กถมฎฺฐุปฺปตฺติยํ อนวโรโธ, ปุจฺฉาวสิกอฎฺฐุปฺปตฺติกานํ วา ปรชฺฌาสยานุโรเธน ปวตฺติกานํ กถํ ปรชฺฌาสเย อนวโรโธติ? น โจเทตพฺพเมตํฯ ปเรสญฺหิ อภินีหารปริปุจฺฉาทิวินิมุตฺตเสฺสว สุตฺตเทสนาการณุปฺปาทสฺส อฎฺฐุปฺปตฺติภาเวน คหิตตฺตา ปรชฺฌาสยปุจฺฉาวสิกานํ วิสุํ คหณํฯ ตถา หิ พฺรหฺมชาล (ที. นิ. ๑.๑) ธมฺมทายาทสุตฺตาทีนํ (ม. นิ. ๑.๒๙) วณฺณาวณฺณอามิสุปฺปาทาทิเทสนานิมิตฺตํ ‘‘อฎฺฐุปฺปตฺตี’’ติ วุจฺจติฯ ปเรสํ ปุจฺฉํ วินา อชฺฌาสยํ เอว นิมิตฺตํ กตฺวา เทสิโต ปรชฺฌาสโย, ปุจฺฉาวเสน เทสิโต ปุจฺฉาวสิโกติ ปากโฎยมโตฺถติฯ
Apicettha paresaṃ indriyaparipākādikāraṇanirapekkhattā attajjhāsayassa visuṃ suttanikkhepabhāvo yutto kevalaṃ attano ajjhāsayeneva dhammatantiṭhapanatthaṃ pavattitadesanattā. Parajjhāsayapucchāvasikānaṃ pana paresaṃ ajjhāsayapucchānaṃ desanāpavattihetubhūtānaṃ uppattiyaṃ pavattitānaṃ kathamaṭṭhuppattiyaṃ anavarodho, pucchāvasikaaṭṭhuppattikānaṃ vā parajjhāsayānurodhena pavattikānaṃ kathaṃ parajjhāsaye anavarodhoti? Na codetabbametaṃ. Paresañhi abhinīhāraparipucchādivinimuttasseva suttadesanākāraṇuppādassa aṭṭhuppattibhāvena gahitattā parajjhāsayapucchāvasikānaṃ visuṃ gahaṇaṃ. Tathā hi brahmajāla (dī. ni. 1.1) dhammadāyādasuttādīnaṃ (ma. ni. 1.29) vaṇṇāvaṇṇaāmisuppādādidesanānimittaṃ ‘‘aṭṭhuppattī’’ti vuccati. Paresaṃ pucchaṃ vinā ajjhāsayaṃ eva nimittaṃ katvā desito parajjhāsayo, pucchāvasena desito pucchāvasikoti pākaṭoyamatthoti.
อตฺตโน อชฺฌาสเยเนว กเถสิ ธมฺมตนฺติฐปนตฺถนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ สมฺมปฺปธานสุตฺตนฺตหารโกติ อนุปุเพฺพน นิกฺขิตฺตานํ สํยุตฺตเก สมฺมปฺปธานปฎิสํยุตฺตานํ สุตฺตานํ อาวฬิฯ ตถา อิทฺธิปาทหารกาทโยฯ
Attanoajjhāsayeneva kathesi dhammatantiṭhapanatthanti daṭṭhabbaṃ. Sammappadhānasuttantahārakoti anupubbena nikkhittānaṃ saṃyuttake sammappadhānapaṭisaṃyuttānaṃ suttānaṃ āvaḷi. Tathā iddhipādahārakādayo.
วิมุตฺติปริปาจนียา ธมฺมา สทฺธินฺทฺริยาทโยฯ อชฺฌาสยนฺติ อธิมุตฺติํฯ ขนฺตินฺติ ทิฎฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติํฯ มนนฺติ จิตฺตํฯ อภินิหารนฺติ ปณิธานํฯ พุชฺฌนภาวนฺติ พุชฺฌนสภาวํ, ปฎิวิชฺฌนาการํ วาฯ
Vimuttiparipācanīyā dhammā saddhindriyādayo. Ajjhāsayanti adhimuttiṃ. Khantinti diṭṭhinijjhānakkhantiṃ. Mananti cittaṃ. Abhinihāranti paṇidhānaṃ. Bujjhanabhāvanti bujjhanasabhāvaṃ, paṭivijjhanākāraṃ vā.
อุปฺปเนฺน มาเน นิกฺขิตฺตนฺติ สมฺพโนฺธฯ อิตฺถิลิงฺคาทีนิ ตีณิ ลิงฺคานิฯ นามาทีนิ จตฺตาริ ปทานิฯ ปฐมาทโย สตฺต วิภตฺติโยฯ มุญฺจิตฺวา น กิญฺจิ กเถติ สภาวนิรุตฺติยา ตเถว ปวตฺตนโตฯ คณฺฐิภูตํ ปทํฯ ยถา หิ รุกฺขสฺส คณฺฐิฎฺฐานํ ทุพฺพินิเพฺพธํ ทุตฺตจฺฉิตญฺจ โหติ, เอวเมวํ ยํ ปทํ อตฺถโต วิวริตุํ น สกฺกา, ตํ ‘‘คณฺฐิปท’’นฺติ วุจฺจติฯ อนุปหจฺจาติ อนุทฺธริตฺวาฯ
Uppanne māne nikkhittanti sambandho. Itthiliṅgādīni tīṇi liṅgāni. Nāmādīni cattāri padāni. Paṭhamādayo satta vibhattiyo. Muñcitvā na kiñci katheti sabhāvaniruttiyā tatheva pavattanato. Gaṇṭhibhūtaṃ padaṃ. Yathā hi rukkhassa gaṇṭhiṭṭhānaṃ dubbinibbedhaṃ duttacchitañca hoti, evamevaṃ yaṃ padaṃ atthato vivarituṃ na sakkā, taṃ ‘‘gaṇṭhipada’’nti vuccati. Anupahaccāti anuddharitvā.
เยน เยน สมฺพนฺธํ คจฺฉติ, ตสฺส ตสฺส อนวเสสตํ ทีเปตีติ อิมินา อิมสฺส สพฺพ-สทฺทสฺส สปฺปเทสตํ ทเสฺสติฯ สพฺพ-สโทฺท หิ สพฺพสพฺพํ ปเทสสพฺพํ อายตนสพฺพํ สกฺกายสพฺพนฺติ จตูสุ วิสเยสุ ทิฎฺฐปฺปโยโคฯ ตถา เหส ‘‘สเพฺพ ธมฺมา สพฺพากาเรน พุทฺธสฺส ภควโต ญาณมุเข อาปาถมาคจฺฉนฺตี’’ติอาทีสุ (มหานิ. ๑๕๖; จูฬนิ. ๘๕; ปฎิ. ม. ๓.๖) สพฺพสพฺพสฺมิํ อาคโตฯ ‘‘สเพฺพสํ โว, สาริปุตฺต, สุภาสิตํ ปริยาเยนา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๔๕) ปเทสสพฺพสฺมิํฯ ‘‘สพฺพํ โว, ภิกฺขเว, เทเสสฺสามิ…เป.… จกฺขุเญฺจว รูปา จ…เป.… มโน เจว ธมฺมา จา’’ติ (สํ. นิ. ๔.๒๓) เอตฺถ อายตนสพฺพสฺมิํฯ ‘‘สพฺพํ สพฺพโต สญฺชานาตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๕) สกฺกายสพฺพสฺมิํฯ ตตฺถ สพฺพสพฺพสฺมิํ อาคโต นิปฺปเทโส, อิตเรสุ ตีสุปิ อาคโต สปฺปเทโส, อิธ ปน สกฺกายสพฺพสฺมิํ เวทิตโพฺพฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘สกฺกายปริยาปนฺนา ปน เตภูมกธมฺมาว อนวเสสโต เวทิตพฺพา’’ติ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑ สุตฺตนิเกฺขปวณฺณนา)ฯ
Yena yena sambandhaṃ gacchati, tassa tassa anavasesataṃ dīpetīti iminā imassa sabba-saddassa sappadesataṃ dasseti. Sabba-saddo hi sabbasabbaṃ padesasabbaṃ āyatanasabbaṃ sakkāyasabbanti catūsu visayesu diṭṭhappayogo. Tathā hesa ‘‘sabbe dhammā sabbākārena buddhassa bhagavato ñāṇamukhe āpāthamāgacchantī’’tiādīsu (mahāni. 156; cūḷani. 85; paṭi. ma. 3.6) sabbasabbasmiṃ āgato. ‘‘Sabbesaṃ vo, sāriputta, subhāsitaṃ pariyāyenā’’tiādīsu (ma. ni. 1.345) padesasabbasmiṃ. ‘‘Sabbaṃ vo, bhikkhave, desessāmi…pe… cakkhuñceva rūpā ca…pe… mano ceva dhammā cā’’ti (saṃ. ni. 4.23) ettha āyatanasabbasmiṃ. ‘‘Sabbaṃ sabbato sañjānātī’’tiādīsu (ma. ni. 1.5) sakkāyasabbasmiṃ. Tattha sabbasabbasmiṃ āgato nippadeso, itaresu tīsupi āgato sappadeso, idha pana sakkāyasabbasmiṃ veditabbo. Tathā hi vakkhati ‘‘sakkāyapariyāpannā pana tebhūmakadhammāva anavasesato veditabbā’’ti (ma. ni. aṭṭha. 1.1 suttanikkhepavaṇṇanā).
สเจฺจสูติ อริยสเจฺจสุฯ เอเต จตุโร ธมฺมาติ อิทานิ วุจฺจมาเน สจฺจาทิเก จตฺตาโร ธเมฺม สนฺธาย วทติฯ ตตฺถ สจฺจนฺติ วจีสจฺจํฯ ฐิตีติ วีริยํ, ‘‘ธิตี’’ติ วา ปาโฐ, โส เอวโตฺถฯ จาโคติ อโลโภฯ ทิฎฺฐํ โส อติวตฺตตีติ ยสฺมิํ เอเต สจฺจาทโย ธมฺมา อุปลพฺภนฺติ, โส ทิฎฺฐํ อตฺตโน อมิตฺตํ อติกฺกมติ, น ตสฺส หตฺถตํ คจฺฉติ, อถ โข นํ อภิภวติ เอวาติ อโตฺถฯ สภาเว วตฺตติ อสภาวธมฺมสฺส การณาสมฺภวโตฯ น หิ นิสฺสภาวา ธมฺมา เกนจิ นิพฺพตฺตียนฺติฯ อตฺตโน ลกฺขณํ ธาเรนฺตีติ ยทิปิ ลกฺขณวินิมุตฺตา ธมฺมา นาม นตฺถิ, ตถาปิ ยถา ทิฎฺฐิตณฺหาปริกปฺปิตาการมตฺตา อตฺตสุภสุขสสฺสตาทโย, ปกติยาทโย, ทพฺพาทโย, ชีวาทโย, กายาทโย โลกโวหารมตฺตสิทฺธา คคณกุสุมาทโยว สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถโต น อุปลพฺภนฺติ, น เอวเมเต, เอเต ปน สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถภูตา อุปลพฺภนฺติ, ตโต เอว สตฺตาทิวิเสสวิรหโต ธมฺมมตฺตา สภาววโนฺตติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘อตฺตโน ลกฺขณํ ธาเรนฺตี’’ติ วุตฺตํ ฯ ภวติ หิ เภทาภาเวปิ สุขาวโพธนตฺถํ อุปจารมตฺตสิเทฺธน เภเทน นิเทฺทโส ยถา ‘‘สิลาปุตฺตกสฺส สรีร’’นฺติฯ ธารียนฺติ วา ยถาสภาวโต อวธารียนฺติ ญายนฺตีติ ธมฺมา, กกฺขฬผุสนาทโยฯ
Saccesūti ariyasaccesu. Ete caturo dhammāti idāni vuccamāne saccādike cattāro dhamme sandhāya vadati. Tattha saccanti vacīsaccaṃ. Ṭhitīti vīriyaṃ, ‘‘dhitī’’ti vā pāṭho, so evattho. Cāgoti alobho. Diṭṭhaṃ so ativattatīti yasmiṃ ete saccādayo dhammā upalabbhanti, so diṭṭhaṃ attano amittaṃ atikkamati, na tassa hatthataṃ gacchati, atha kho naṃ abhibhavati evāti attho. Sabhāve vattati asabhāvadhammassa kāraṇāsambhavato. Na hi nissabhāvā dhammā kenaci nibbattīyanti. Attano lakkhaṇaṃ dhārentīti yadipi lakkhaṇavinimuttā dhammā nāma natthi, tathāpi yathā diṭṭhitaṇhāparikappitākāramattā attasubhasukhasassatādayo, pakatiyādayo, dabbādayo, jīvādayo, kāyādayo lokavohāramattasiddhā gagaṇakusumādayova saccikaṭṭhaparamatthato na upalabbhanti, na evamete, ete pana saccikaṭṭhaparamatthabhūtā upalabbhanti, tato eva sattādivisesavirahato dhammamattā sabhāvavantoti dassanatthaṃ ‘‘attano lakkhaṇaṃ dhārentī’’ti vuttaṃ . Bhavati hi bhedābhāvepi sukhāvabodhanatthaṃ upacāramattasiddhena bhedena niddeso yathā ‘‘silāputtakassa sarīra’’nti. Dhārīyanti vā yathāsabhāvato avadhārīyanti ñāyantīti dhammā, kakkhaḷaphusanādayo.
อสาธารณเหตุมฺหีติ อสาธารณการเณ, สกฺกายธเมฺมสุ ตสฺส ตสฺส อาเวณิกปจฺจเยติ อโตฺถฯ กิํ ปน ตนฺติ? ตณฺหามานทิฎฺฐิโย, อวิชฺชาทโยปิ วาฯ ยเถว หิ ปถวีอาทีสุ มญฺญนาวตฺถูสุ อุปฺปชฺชมานา ตณฺหาทโย มญฺญนา เตสํ ปวตฺติยา มูลการณํ, เอวํ อวิชฺชาทโยปิฯ ตถา หิ ‘‘อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน’’ติอาทินา ‘‘อปริญฺญาตํ ตสฺสาติ วทามี’’ติ (ม. นิ. ๑.๒) ‘‘นนฺที ทุกฺขสฺส มูล’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๑๓) จ อนฺวยโต, ‘‘ขยา ราคสฺส…เป.… วีตโมหตฺตา’’ติ พฺยติเรกโต จ เตสํ มูลการณภาโว วิภาวิโตฯ
Asādhāraṇahetumhīti asādhāraṇakāraṇe, sakkāyadhammesu tassa tassa āveṇikapaccayeti attho. Kiṃ pana tanti? Taṇhāmānadiṭṭhiyo, avijjādayopi vā. Yatheva hi pathavīādīsu maññanāvatthūsu uppajjamānā taṇhādayo maññanā tesaṃ pavattiyā mūlakāraṇaṃ, evaṃ avijjādayopi. Tathā hi ‘‘assutavā puthujjano’’tiādinā ‘‘apariññātaṃ tassāti vadāmī’’ti (ma. ni. 1.2) ‘‘nandī dukkhassa mūla’’nti (ma. ni. 1.13) ca anvayato, ‘‘khayā rāgassa…pe… vītamohattā’’ti byatirekato ca tesaṃ mūlakāraṇabhāvo vibhāvito.
ปริยาเยติ เทเสตพฺพมตฺถํ อวคเมติ โพธยตีติ ปริยาโย, เทสนาฯ ปริยายติ อตฺตโน ผลํ ปริคฺคเหตฺวา วตฺตติ ตสฺส วา การณภาวํ คจฺฉตีติ ปริยาโย, การณํฯ ปริยายติ อปราปรํ ปริวตฺตตีติ ปริยาโย, วาโรฯ เอวํ ปริยายสทฺทสฺส เทสนาการณวาเรสุ ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ ยถารุตวเสน อคฺคเหตฺวา นิทฺธาเรตฺวา คเหตพฺพตฺถํ เนยฺยตฺถํฯ เตภูมกา ธมฺมาว อนวเสสโต เวทิตพฺพา มญฺญนาวตฺถุภูตานํ สเพฺพสํ ปถวีอาทิธมฺมานํ อธิเปฺปตตฺตาฯ
Pariyāyeti desetabbamatthaṃ avagameti bodhayatīti pariyāyo, desanā. Pariyāyati attano phalaṃ pariggahetvā vattati tassa vā kāraṇabhāvaṃ gacchatīti pariyāyo, kāraṇaṃ. Pariyāyati aparāparaṃ parivattatīti pariyāyo, vāro. Evaṃ pariyāyasaddassa desanākāraṇavāresu pavatti veditabbā. Yathārutavasena aggahetvā niddhāretvā gahetabbatthaṃ neyyatthaṃ. Tebhūmakā dhammāva anavasesato veditabbā maññanāvatthubhūtānaṃ sabbesaṃ pathavīādidhammānaṃ adhippetattā.
การณเทสนนฺติ การณญาปนํ เทสนํฯ ตํ อตฺถนฺติ ตํ สพฺพธมฺมานํ มูลการณสงฺขาตํ, การณเทสนาสงฺขาตํ วา อตฺถํฯ เตเนวาห ‘‘ตํ การณํ ตํ เทสน’’นฺติฯ เอกตฺถเมตนฺติ เอตํ ปททฺวยํ เอกตฺถํฯ สาธุ-สโทฺท เอว หิ ก-กาเรน วเฑฺฒตฺวา ‘‘สาธุก’’นฺติ วุโตฺตฯ เตเนว หิ สาธุสทฺทสฺส อตฺถํ วทเนฺตน อตฺถุทฺธารวเสน สาธุกสโทฺท อุทาหโฎฯ ธมฺมรุจีติ ปุญฺญกาโมฯ ปญฺญาณวาติ ปญฺญวาฯ อทฺทุโพฺภติ อทูสโก, อนุปฆาตโกติ อโตฺถฯ อิธาปีติ อิมสฺมิํ มูลปริยายสุเตฺตปิฯ อยนฺติ สาธุกสโทฺทฯ เอเตฺถว ทฬฺหีกเมฺมติ สกฺกจฺจกิริยายํฯ อาณตฺติยนฺติ อาณาปเนฯ ‘‘สุณาถ สาธุกํ มนสิ กโรถา’’ติ หิ วุเตฺต สาธุกสเทฺทน สวนมนสิการานํ สกฺกจฺจกิริยา วิย ตทาณาปนมฺปิ วุตฺตํ โหติฯ อายาจนตฺถตา วิย จสฺส อาณาปนตฺถตา เวทิตพฺพาฯ
Kāraṇadesananti kāraṇañāpanaṃ desanaṃ. Taṃ atthanti taṃ sabbadhammānaṃ mūlakāraṇasaṅkhātaṃ, kāraṇadesanāsaṅkhātaṃ vā atthaṃ. Tenevāha ‘‘taṃ kāraṇaṃ taṃ desana’’nti. Ekatthametanti etaṃ padadvayaṃ ekatthaṃ. Sādhu-saddo eva hi ka-kārena vaḍḍhetvā ‘‘sādhuka’’nti vutto. Teneva hi sādhusaddassa atthaṃ vadantena atthuddhāravasena sādhukasaddo udāhaṭo. Dhammarucīti puññakāmo. Paññāṇavāti paññavā. Addubbhoti adūsako, anupaghātakoti attho. Idhāpīti imasmiṃ mūlapariyāyasuttepi. Ayanti sādhukasaddo. Ettheva daḷhīkammeti sakkaccakiriyāyaṃ. Āṇattiyanti āṇāpane. ‘‘Suṇātha sādhukaṃ manasi karothā’’ti hi vutte sādhukasaddena savanamanasikārānaṃ sakkaccakiriyā viya tadāṇāpanampi vuttaṃ hoti. Āyācanatthatā viya cassa āṇāpanatthatā veditabbā.
อิทาเนตฺถ เอวํ โยชนา เวทิตพฺพาติ สมฺพโนฺธฯ โสตินฺทฺริยวิเกฺขปวารณํ สวเน นิโยชนวเสน กิริยนฺตรปฎิเสธนภาวโต, โสตํ โอทหถาติ อโตฺถฯ มนินฺทฺริยวิเกฺขปนิวารณํ อญฺญจินฺตาปฎิเสธนโตฯ ปุริมนฺติ ‘‘สุณาถา’’ติ ปทํฯ เอตฺถาติ สุณาถ, มนสิ กโรถา’’ติ ปททฺวเย, เอตสฺมิํ วา อธิกาเรฯ พฺยญฺชนวิปลฺลาสคฺคาหวารณํ โสตทฺวาเร วิเกฺขปปฎิพาหกตฺตาฯ น หิ ยาถาวโต สุณนฺตสฺส สทฺทโต วิปลฺลาสคฺคาโห โหติฯ อตฺถวิปลฺลาสคฺคาหวารณํ มนินฺทฺริยวิเกฺขปปฎิพาหกตฺตาฯ น หิ สกฺกจฺจํ ธมฺมํ อุปธาเรนฺตสฺส อตฺถโต วิปลฺลาสคฺคาโห โหติฯ ธมฺมสฺสวเน นิโยเชติ สุณาถาติ วิทหนโตฯ ธารณูปปริกฺขาสูติ อุปปริกฺขคฺคหเณน ตุลนตีรณาทิเก ทิฎฺฐิยา จ สุปฺปฎิเวธํ สงฺคณฺหาติฯ
Idānettha evaṃ yojanā veditabbāti sambandho. Sotindriyavikkhepavāraṇaṃ savane niyojanavasena kiriyantarapaṭisedhanabhāvato, sotaṃ odahathāti attho. Manindriyavikkhepanivāraṇaṃ aññacintāpaṭisedhanato. Purimanti ‘‘suṇāthā’’ti padaṃ. Etthāti suṇātha, manasi karothā’’ti padadvaye, etasmiṃ vā adhikāre. Byañjanavipallāsaggāhavāraṇaṃ sotadvāre vikkhepapaṭibāhakattā. Na hi yāthāvato suṇantassa saddato vipallāsaggāho hoti. Atthavipallāsaggāhavāraṇaṃ manindriyavikkhepapaṭibāhakattā. Na hi sakkaccaṃ dhammaṃ upadhārentassa atthato vipallāsaggāho hoti. Dhammassavane niyojeti suṇāthāti vidahanato. Dhāraṇūpaparikkhāsūti upaparikkhaggahaṇena tulanatīraṇādike diṭṭhiyā ca suppaṭivedhaṃ saṅgaṇhāti.
สพฺยญฺชโนติ เอตฺถ ยถาธิเปฺปตมตฺถํ พฺยญฺชยตีติ พฺยญฺชนํ, สภาวนิรุตฺติฯ สห พฺยญฺชเนนาติ สพฺยญฺชโน, พฺยญฺชนสมฺปโนฺนติ อโตฺถฯ อรณียโต อุปคนฺธพฺพโต อนุฎฺฐาตพฺพโต อโตฺถ, จตุปาริสุทฺธิสีลาทิโกฯ สห อเตฺถนาติ สาโตฺถ, อตฺถสมฺปโนฺนติ อโตฺถฯ ธมฺมคมฺภีโรติอาทีสุ ธโมฺม นาม ตนฺติฯ เทสนา นาม ตสฺสา มนสา ววตฺถาปิตาย ตนฺติยา เทสนาฯ อโตฺถ นาม ตนฺติยา อโตฺถฯ ปฎิเวโธ นาม ตนฺติยา ตนฺติอตฺถสฺส จ ยถาภูตาวโพโธฯ ยสฺมา เจเต ธมฺมเทสนาอตฺถปฎิเวธา สสาทีหิ วิย มหาสมุโทฺท มนฺทพุทฺธีหิ ทุโกฺขคาฬฺหา อลพฺภเนยฺยปติฎฺฐา จ, ตสฺมา คมฺภีราฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ยสฺมา อยํ ธโมฺม…เป.… สาธุกํ มนสิ กโรถา’’ติฯ เอตฺถ จ ปฎิเวธสฺส ทุกฺกรภาวโต ธมฺมตฺถานํ เทสนาญาณสฺส ทุกฺกรภาวโต เทสนาย ทุโกฺขคาหตา, ปฎิเวธสฺส ปน อุปฺปาเทตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา ตพฺพิสยญาณุปฺปตฺติยา จ ทุกฺกรภาวโต ทุโกฺขคาหตา เวทิตพฺพาฯ
Sabyañjanoti ettha yathādhippetamatthaṃ byañjayatīti byañjanaṃ, sabhāvanirutti. Saha byañjanenāti sabyañjano, byañjanasampannoti attho. Araṇīyato upagandhabbato anuṭṭhātabbato attho, catupārisuddhisīlādiko. Saha atthenāti sāttho, atthasampannoti attho. Dhammagambhīrotiādīsu dhammo nāma tanti. Desanā nāma tassā manasā vavatthāpitāya tantiyā desanā. Attho nāma tantiyā attho. Paṭivedho nāma tantiyā tantiatthassa ca yathābhūtāvabodho. Yasmā cete dhammadesanāatthapaṭivedhā sasādīhi viya mahāsamuddo mandabuddhīhi dukkhogāḷhā alabbhaneyyapatiṭṭhā ca, tasmā gambhīrā. Tena vuttaṃ ‘‘yasmā ayaṃ dhammo…pe… sādhukaṃ manasi karothā’’ti. Ettha ca paṭivedhassa dukkarabhāvato dhammatthānaṃ desanāñāṇassa dukkarabhāvato desanāya dukkhogāhatā, paṭivedhassa pana uppādetuṃ asakkuṇeyyattā tabbisayañāṇuppattiyā ca dukkarabhāvato dukkhogāhatā veditabbā.
เทสนํ นาม อุทฺทิสนํฯ ตสฺส นิทฺทิสนํ ภาสนนฺติ อิธาธิเปฺปตนฺติ อาห ‘‘วิตฺถารโตปิ นํ ภาสิสฺสามีติ วุตฺตํ โหตี’’ติฯ ปริพฺยตฺตํ กถนํ วา ภาสนํฯ สาฬิกายิว นิโคฺฆโสติ สาฬิกาย อาลาโป วิย มธุโร กณฺณสุโข เปมนีโยฯ ปฎิภานนฺติ สโทฺทฯ อุทีรยีติ อุจฺจารียติ, วุจฺจติ วาฯ
Desanaṃ nāma uddisanaṃ. Tassa niddisanaṃ bhāsananti idhādhippetanti āha ‘‘vitthāratopi naṃ bhāsissāmīti vuttaṃ hotī’’ti. Paribyattaṃ kathanaṃ vā bhāsanaṃ. Sāḷikāyiva nigghosoti sāḷikāya ālāpo viya madhuro kaṇṇasukho pemanīyo. Paṭibhānanti saddo. Udīrayīti uccārīyati, vuccati vā.
เอวํ วุเตฺต อุสฺสาหชาตาติ เอวํ ‘‘สุณาถ สาธุกํ มนสิ กโรถ ภาสิสฺสามี’’ติ วุเตฺต น กิร สตฺถา สเงฺขเปเนว เทเสสฺสติ, วิตฺถาเรนปิ ภาสิสฺสตีติ สญฺชาตุสฺสาหา หฎฺฐตุฎฺฐา หุตฺวาฯ อิธาติ อิมินา วุจฺจมานอธิกรณํ ตสฺส ปุคฺคลสฺส อุปฺปตฺติฎฺฐานภูตํ อธิเปฺปตนฺติ อาห ‘‘เทสาปเทเส นิปาโต’’ติฯ โลกนฺติ โอกาสโลกํฯ อิธ ตถาคโต โลเกติ หิ ชาติเขตฺตํ, ตตฺถาปิ อยํ จกฺกวาโฬ อธิเปฺปโตฯ สมโณติ โสตาปโนฺนฯ ทุติโย สมโณติ สกทาคามีฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘กตโม จ, ภิกฺขเว, สมโณ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โสตาปโนฺน โหตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔๑) ‘‘กตโม จ, ภิกฺขเว, ทุติโย สมโณ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา ราคโทสโมหานํ ตนุตฺตา สกทาคามี โหตี’’ติ จ (อ. นิ. ๔.๒๔๑)ฯ อิเธว ติฎฺฐมานสฺสาติ อิมิสฺสา เอว อินฺทสาลคุหายํ ติฎฺฐมานสฺสฯ
Evaṃvutte ussāhajātāti evaṃ ‘‘suṇātha sādhukaṃ manasi karotha bhāsissāmī’’ti vutte na kira satthā saṅkhepeneva desessati, vitthārenapi bhāsissatīti sañjātussāhā haṭṭhatuṭṭhā hutvā. Idhāti iminā vuccamānaadhikaraṇaṃ tassa puggalassa uppattiṭṭhānabhūtaṃ adhippetanti āha ‘‘desāpadese nipāto’’ti. Lokanti okāsalokaṃ. Idha tathāgato loketi hi jātikhettaṃ, tatthāpi ayaṃ cakkavāḷo adhippeto. Samaṇoti sotāpanno. Dutiyo samaṇoti sakadāgāmī. Vuttañhetaṃ ‘‘katamo ca, bhikkhave, samaṇo? Idha, bhikkhave, bhikkhu tiṇṇaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā sotāpanno hotī’’ti (a. ni. 4.241) ‘‘katamo ca, bhikkhave, dutiyo samaṇo? Idha, bhikkhave, bhikkhu tiṇṇaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā rāgadosamohānaṃ tanuttā sakadāgāmī hotī’’ti ca (a. ni. 4.241). Idheva tiṭṭhamānassāti imissā eva indasālaguhāyaṃ tiṭṭhamānassa.
๒. อสฺสุตวาติ เอตฺถ (อ. นิ. ฎี. ๑.๑.๕๑) สุตนฺติ โสตทฺวารานุสาเรน อุปธาริตํ, อุปธารณํ วา, สุตํ อสฺสตฺถีติ สุตวาฯ วา-สทฺทสฺส หิ อโตฺถ อตฺถิตามตฺตาทิวเสน อเนกวิโธฯ ตถา หิ ‘‘อนฺตวา อยํ โลโก ปริวฎุโม’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๕๔; ปฎิ. ม. ๑.๑๔๐) อตฺถิตามตฺตํ อโตฺถฯ ‘‘ธนวา โภควา, ลาภี อนฺนสฺสา’’ติ จ อาทีสุ พหุภาโวฯ ‘‘โรควา โหติ โรคาภิภูโต’’ติอาทีสุ กายาพาโธฯ ‘‘กุฎฺฐี กุฎฺฐจีวเรนา’’ติอาทีสุ นินฺทา, ‘‘อิสฺสุกี มจฺฉรี สโฐ มายาวิโน เกฎุภิโน’’ติอาทีสุ อภิณฺหโยโคฯ ‘‘ทณฺฑี ฉตฺตี อลมฺพรี’’ติอาทีสุ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๔๒) สํสโคฺคฯ ‘‘ปณฺฑิโต วาปิ เตน โส’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๖๓) อุปมานํ, สทิสภาโวติ อโตฺถฯ ‘‘ตํ วาปิ ธีรา มุนิํ เวทยนฺตี’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๒๑๓) สมุจฺจโยฯ ‘‘เก วา อิเม กสฺส วา’’ติอาทีสุ (ปารา. ๒๙๖) สํสโยฯ ‘‘อยํ วา อิเมสํ สมณพฺราหฺมณานํ สพฺพพาโล สพฺพมูโฬฺห’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๑๘๑) วิภาวโนฯ ‘‘น วายํ กุมาโร มตฺตมญฺญาสี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔) ปทปูรณํฯ ‘‘เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑๗๐) วิกโปฺปฯ ‘‘สกฺยปุตฺตสฺส สิรีมโต (ที. นิ. ๓.๒๗๗), สีลวโต สีลสมฺปตฺติยา กลฺยาโณ กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคจฺฉตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๕๐; ๓.๓๑๖; อ. นิ. ๕.๒๑๓; มหาว. ๒๘๕) จ อาทีสุ ปสํสาฯ ‘‘ปญฺญวา โหติ อุทยตฺถคามินิยา ปญฺญาย สมนฺนาคโต อริยาย นิเพฺพธิกาย สมฺมา ทุกฺขกฺขยคามินิยา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๓๑๗, ๓๕๕) อติสโยฯ อิธาปิ อติสโย, ปสํสา วา อโตฺถ, ตสฺมา ยสฺส ปสํสิตํ, อติสเยน วา สุตํ อตฺถิ, โส สุตวาติ สํกิเลสวิทฺธํสนสมตฺถํ ปริยตฺติธมฺมสฺสวนํ, ตํ สุตฺวา ตถตฺตาย ปฎิปตฺติ จ ‘‘สุตวา’’ติ อิมินา สเทฺทน ปกาสิตาฯ อถ วา โสตพฺพยุตฺตํ สุตฺวา กตฺตพฺพนิปฺผตฺติวเสน สุณีติ สุตวา, ตปฺปฎิเกฺขเปน น สุตวาติ อสฺสุตวาฯ
2.Assutavāti ettha (a. ni. ṭī. 1.1.51) sutanti sotadvārānusārena upadhāritaṃ, upadhāraṇaṃ vā, sutaṃ assatthīti sutavā. Vā-saddassa hi attho atthitāmattādivasena anekavidho. Tathā hi ‘‘antavā ayaṃ loko parivaṭumo’’tiādīsu (dī. ni. 1.54; paṭi. ma. 1.140) atthitāmattaṃ attho. ‘‘Dhanavā bhogavā, lābhī annassā’’ti ca ādīsu bahubhāvo. ‘‘Rogavā hoti rogābhibhūto’’tiādīsu kāyābādho. ‘‘Kuṭṭhī kuṭṭhacīvarenā’’tiādīsu nindā, ‘‘issukī maccharī saṭho māyāvino keṭubhino’’tiādīsu abhiṇhayogo. ‘‘Daṇḍī chattī alambarī’’tiādīsu (visuddhi. 1.142) saṃsaggo. ‘‘Paṇḍito vāpi tena so’’tiādīsu (dha. pa. 63) upamānaṃ, sadisabhāvoti attho. ‘‘Taṃ vāpi dhīrā muniṃ vedayantī’’tiādīsu (su. ni. 213) samuccayo. ‘‘Ke vā ime kassa vā’’tiādīsu (pārā. 296) saṃsayo. ‘‘Ayaṃ vā imesaṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ sabbabālo sabbamūḷho’’tiādīsu (dī. ni. 1.181) vibhāvano. ‘‘Na vāyaṃ kumāro mattamaññāsī’’tiādīsu (saṃ. ni. 2.154) padapūraṇaṃ. ‘‘Ye hi keci, bhikkhave, samaṇā vā brāhmaṇā vā’’tiādīsu (ma. ni. 1.170) vikappo. ‘‘Sakyaputtassa sirīmato (dī. ni. 3.277), sīlavato sīlasampattiyā kalyāṇo kittisaddo abbhuggacchatī’’ti (dī. ni. 2.150; 3.316; a. ni. 5.213; mahāva. 285) ca ādīsu pasaṃsā. ‘‘Paññavā hoti udayatthagāminiyā paññāya samannāgato ariyāya nibbedhikāya sammā dukkhakkhayagāminiyā’’tiādīsu (dī. ni. 3.317, 355) atisayo. Idhāpi atisayo, pasaṃsā vā attho, tasmā yassa pasaṃsitaṃ, atisayena vā sutaṃ atthi, so sutavāti saṃkilesaviddhaṃsanasamatthaṃ pariyattidhammassavanaṃ, taṃ sutvā tathattāya paṭipatti ca ‘‘sutavā’’ti iminā saddena pakāsitā. Atha vā sotabbayuttaṃ sutvā kattabbanipphattivasena suṇīti sutavā, tappaṭikkhepena na sutavāti assutavā.
อยญฺหิ อ-กาโร ‘‘อเหตุกา ธมฺมา (ธ. ส. ๒.ทุกมาติกา), อภิกฺขุโก อาวาโส’’ติอาทีสุ (ปาจิ. ๑๐๔๖, ๑๐๔๗) ตํสหโยคนิวตฺติยํ อิจฺฉิโตฯ ‘‘อปจฺจยา ธมฺมา’’ติ (ธ. ส. ๗.ทุกมาติกา) ตํสมฺพนฺธีภาวนิวตฺติยํฯ ปจฺจยุปฺปนฺนญฺหิ ปจฺจยสมฺพนฺธีติ อปฺปจฺจยุปฺปนฺนตฺตา อตํสมฺพนฺธิตา เอตฺถ โชติตาฯ ‘‘อนิทสฺสนา ธมฺมา’’ติ (ธ. ส. ๙.ทุกมาติกา) ตํสภาวนิวตฺติยํฯ นิทสฺสนญฺหิ ทฎฺฐพฺพตาฯ อถ วา ปสฺสตีติ นิทสฺสนํ, จกฺขุวิญฺญาณํ, ตคฺคเหตพฺพภาวนิวตฺติยํ ยถา ‘‘อนาสวา ธมฺมา’’ติ (ธ. ส. ๑๕.ทุกมาติกา), ‘‘อปฺปฎิฆา ธมฺมา (ธ. ส. ๑๐.ทุกมาติกา), อนารมฺมณา ธมฺมา’’ติ (ธ. ส. ๕๕.ทุกมาติกา) ตํกิจฺจนิวตฺติยํ, ‘‘อรูปิโน ธมฺมา (ธ. ส. ๑๑.ทุกมาติกา) อเจตสิกา ธมฺมา’’ติ (ธ. ส. ๕๗.ทุกมาติกา) ตพฺภาวนิวตฺติยํฯ ตทญฺญถา หิ เอตฺถ ปกาสิตาฯ ‘‘อมนุโสฺส’’ติ ตพฺภาวมตฺตนิวตฺติยํฯ มนุสฺสมตฺตํ นตฺถิ, อญฺญํ สมานนฺติฯ สทิสตา หิ เอตฺถ สูจิตาฯ ‘‘อสฺสมโณ สมณปฎิโญฺญ, อนริโย’’ติ (อ. นิ. ๓.๑๓) จ ตํสมฺภาวนียคุณนิวตฺติยํฯ ครหา หิ อิธ ญายติฯ ‘‘กจฺจิ โภโต อนามยํ, อนุทรา กญฺญา’’ติ (ชา. ๒.๒๐.๑๒๙) ตทนปฺปภาวนิวตฺติยํ, ‘‘อนุปฺปนฺนา ธมฺมา’’ติ (ธ. ส. ๑๗.ติกมาติกา) ตํสทิสภาวนิวตฺติยํฯ อตีตานญฺหิ อุปฺปนฺนปุพฺพตฺตา อุปฺปาทิธมฺมานญฺจ ปจฺจเยกเทสนิปฺผตฺติยา อารทฺธุปฺปาทิภาวโต กาลวิมุตฺตสฺส จ วิชฺชมานตฺตา อุปฺปนฺนานุกูลตา ปเคว ปจฺจุปฺปนฺนานนฺติ ตพฺพิทูรตาว เอตฺถ วิญฺญายติ ‘‘อเสกฺขา ธมฺมา’’ติ (ธ. ส. ๑๑.ติกมาติกา) ตทปริโยสานนิวตฺติยํฯ ตนฺนิฎฺฐานญฺหิ เอตฺถ ปกาสิตนฺติฯ เอวมเนเกสํ อตฺถานํ โชตโกฯ อิธ ปน ‘‘อรูปิโน ธมฺมา อเจตสิกา ธมฺมา’’ติอาทีสุ วิย ตพฺภาวนิวตฺติยํ ทฎฺฐโพฺพ, อญฺญเตฺถติ อโตฺถฯ เอเตนสฺส สุตาทิญาณวิรหตํ ทเสฺสติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อาคมาธิคมาภาวา เญโยฺย อสฺสุตวา อิตี’’ติฯ
Ayañhi a-kāro ‘‘ahetukā dhammā (dha. sa. 2.dukamātikā), abhikkhuko āvāso’’tiādīsu (pāci. 1046, 1047) taṃsahayoganivattiyaṃ icchito. ‘‘Apaccayā dhammā’’ti (dha. sa. 7.dukamātikā) taṃsambandhībhāvanivattiyaṃ. Paccayuppannañhi paccayasambandhīti appaccayuppannattā ataṃsambandhitā ettha jotitā. ‘‘Anidassanā dhammā’’ti (dha. sa. 9.dukamātikā) taṃsabhāvanivattiyaṃ. Nidassanañhi daṭṭhabbatā. Atha vā passatīti nidassanaṃ, cakkhuviññāṇaṃ, taggahetabbabhāvanivattiyaṃ yathā ‘‘anāsavā dhammā’’ti (dha. sa. 15.dukamātikā), ‘‘appaṭighā dhammā (dha. sa. 10.dukamātikā), anārammaṇā dhammā’’ti (dha. sa. 55.dukamātikā) taṃkiccanivattiyaṃ, ‘‘arūpino dhammā (dha. sa. 11.dukamātikā) acetasikā dhammā’’ti (dha. sa. 57.dukamātikā) tabbhāvanivattiyaṃ. Tadaññathā hi ettha pakāsitā. ‘‘Amanusso’’ti tabbhāvamattanivattiyaṃ. Manussamattaṃ natthi, aññaṃ samānanti. Sadisatā hi ettha sūcitā. ‘‘Assamaṇo samaṇapaṭiñño, anariyo’’ti (a. ni. 3.13) ca taṃsambhāvanīyaguṇanivattiyaṃ. Garahā hi idha ñāyati. ‘‘Kacci bhoto anāmayaṃ, anudarā kaññā’’ti (jā. 2.20.129) tadanappabhāvanivattiyaṃ, ‘‘anuppannā dhammā’’ti (dha. sa. 17.tikamātikā) taṃsadisabhāvanivattiyaṃ. Atītānañhi uppannapubbattā uppādidhammānañca paccayekadesanipphattiyā āraddhuppādibhāvato kālavimuttassa ca vijjamānattā uppannānukūlatā pageva paccuppannānanti tabbidūratāva ettha viññāyati ‘‘asekkhā dhammā’’ti (dha. sa. 11.tikamātikā) tadapariyosānanivattiyaṃ. Tanniṭṭhānañhi ettha pakāsitanti. Evamanekesaṃ atthānaṃ jotako. Idha pana ‘‘arūpino dhammā acetasikā dhammā’’tiādīsu viya tabbhāvanivattiyaṃ daṭṭhabbo, aññattheti attho. Etenassa sutādiñāṇavirahataṃ dasseti. Tena vuttaṃ ‘‘āgamādhigamābhāvā ñeyyo assutavā itī’’ti.
อิทานิ ตสฺส อตฺถํ วิวรโนฺต ยสฺมา ขนฺธธาตฺวาทิโกสเลฺลนปิ มญฺญนาปฎิเสธนสมตฺถํ พาหุสจฺจํ โหติฯ ยถาห ‘‘กิตฺตาวตา นุ โข, ภเนฺต, พหุสฺสุโต โหติ? ยโต โข ภิกฺขุ ขนฺธกุสโล โหติ ธาตุ, อายตน, ปฎิจฺจสมุปฺปาทกุสโล โหติ, เอตฺตาวตา โข ภิกฺขุ พหุสฺสุโต โหตี’’ติ, ตสฺมา ‘‘ยสฺส หิ ขนฺธธาตุอายตนสจฺจปจฺจยาการสติปฎฺฐานาทีสูติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ วาจุคฺคตกรณํ อุคฺคโหฯ อตฺถปริปุจฺฉนํ ปริปุจฺฉาฯ กุสเลหิ สห โจทนาปริหรณวเสน วินิจฺฉยกรณํ วินิจฺฉโยฯ มคฺคผลนิพฺพานานิ อธิคโมฯ
Idāni tassa atthaṃ vivaranto yasmā khandhadhātvādikosallenapi maññanāpaṭisedhanasamatthaṃ bāhusaccaṃ hoti. Yathāha ‘‘kittāvatā nu kho, bhante, bahussuto hoti? Yato kho bhikkhu khandhakusalo hoti dhātu, āyatana, paṭiccasamuppādakusalo hoti, ettāvatā kho bhikkhu bahussuto hotī’’ti, tasmā ‘‘yassa hi khandhadhātuāyatanasaccapaccayākārasatipaṭṭhānādīsūtiādi vuttaṃ. Tattha vācuggatakaraṇaṃ uggaho. Atthaparipucchanaṃ paripucchā. Kusalehi saha codanāpariharaṇavasena vinicchayakaraṇaṃ vinicchayo. Maggaphalanibbānāni adhigamo.
พหูนํ (ธ. ส. มูลฎี. ๑๐๐๗) นานปฺปการานํ กิเลสสกฺกายทิฎฺฐีนํ อวิหตตฺตา ตา ชเนนฺติ, ตาหิ วา ชนิตาติ ปุถุชฺชนาฯ อวิฆาตเมว วา ชน-สโทฺท วทติฯ ปุถุ สตฺถารานํ มุขมุโลฺลกิกาติ เอตฺถ ปุถุ ชนา สตฺถุปฎิญฺญา เอเตสนฺติ ปุถุชฺชนาติ วจนโตฺถฯ ปุถุ สพฺพคตีหิ อวุฎฺฐิตาติ เอตฺถ ชเนตพฺพา, ชายนฺติ วา เอตฺถ สตฺตาติ ชนา, นานาคติโย, ตา ปุถู เอเตสนฺติ ปุถุชฺชนาฯ อิโต ปเร ชายนฺติ เอเตหีติ ชนา, อภิสงฺขาราทโย, เต เอเตสํ ปุถู วิชฺชนฺตีติ ปุถุชฺชนาฯ อภิสงฺขรณาทิอโตฺถ เอว วา ชน-สโทฺท ทฎฺฐโพฺพฯ โอฆา กาโมฆาทโยฯ ราคคฺคิอาทโย สนฺตาปาฯ เต เอว, สเพฺพปิ วา กิเลสา ปริฬาหาฯ ปุถุ ปญฺจสุ กามคุเณสุ รตฺตาติ เอตฺถ ชายตีติ ชโน, ราโค เคโธติ เอวมาทิโก, ปุถุ ชโน เอเตสนฺติ ปุถุชฺชนาฯ ปุถูสุ วา ชนา ชาตา รตฺตาติ เอวํ ราคาทิอโตฺถ เอว วา ชนสโทฺท ทฎฺฐโพฺพฯ รตฺตาติ วตฺถํ วิย รงฺคชาเตน จิตฺตสฺส วิปริณามกเรน ฉนฺทราเคน รตฺตา สารตฺตาฯ คิทฺธาติ อภิกงฺขนสภาเวน อภิชฺฌาเนน คิทฺธา เคธํ อาปนฺนาฯ คธิตาติ คนฺถิตา วิย ทุโมฺมจนียภาเวน ตตฺถ ปฎิพทฺธาฯ มุจฺฉิตาติ กิเลสวเสน วิสญฺญีภูตา วิย อนญฺญกิจฺจา มุจฺฉํ โมหมาปนฺนาฯ อโชฺฌสนฺนาติ อนญฺญสาธารเณ วิย กตฺวา คิลิตฺวา ปรินิฎฺฐเปตฺวา ฐิตาฯ ลคฺคาติ วงฺกทณฺฑเก วิย อาสตฺตา มหาปลิเป วา ยาว นาสิกคฺคา ปลิปนฺนปุริโส วิย อุทฺธริตุํ อสกฺกุเณยฺยภาเวน นิมุคฺคา , ลคิตาติ มกฺกฎาเลเป อาลคฺคภาเวน ปจฺจุฑฺฑิโต วิย มกฺกโฎ ปญฺจนฺนํ อินฺทฺริยานํ วเสน อาลคฺคิตาฯ ปลิพุทฺธาติ พทฺธา, อุปทฺทุตา วาฯ อาวุฎาติ อาวุนิตา, นิวุตาติ นิวาริตาฯ โอวุตาติ ปลิคุณฺฐิตา, ปริโยนทฺธา วาฯ ปิหิตาติ ปิทหิตา, ปฎิจฺฉนฺนาติ ปฎิจฺฉาทิตาฯ ปฎิกุชฺชิตาติ เหฎฺฐามุขชาตาฯ ปุถูนํ วา คณนปถมตีตานนฺติอาทินา ปุถุ ชโน ปุถุชฺชโนติ ทเสฺสติฯ
Bahūnaṃ (dha. sa. mūlaṭī. 1007) nānappakārānaṃ kilesasakkāyadiṭṭhīnaṃ avihatattā tā janenti, tāhi vā janitāti puthujjanā. Avighātameva vā jana-saddo vadati. Puthu satthārānaṃ mukhamullokikāti ettha puthu janā satthupaṭiññā etesanti puthujjanāti vacanattho. Puthu sabbagatīhi avuṭṭhitāti ettha janetabbā, jāyanti vā ettha sattāti janā, nānāgatiyo, tā puthū etesanti puthujjanā. Ito pare jāyanti etehīti janā, abhisaṅkhārādayo, te etesaṃ puthū vijjantīti puthujjanā. Abhisaṅkharaṇādiattho eva vā jana-saddo daṭṭhabbo. Oghā kāmoghādayo. Rāgaggiādayo santāpā. Te eva, sabbepi vā kilesā pariḷāhā. Puthu pañcasu kāmaguṇesu rattāti ettha jāyatīti jano, rāgo gedhoti evamādiko, puthu jano etesanti puthujjanā. Puthūsu vā janā jātā rattāti evaṃ rāgādiattho eva vā janasaddo daṭṭhabbo. Rattāti vatthaṃ viya raṅgajātena cittassa vipariṇāmakarena chandarāgena rattā sārattā. Giddhāti abhikaṅkhanasabhāvena abhijjhānena giddhā gedhaṃ āpannā. Gadhitāti ganthitā viya dummocanīyabhāvena tattha paṭibaddhā. Mucchitāti kilesavasena visaññībhūtā viya anaññakiccā mucchaṃ mohamāpannā. Ajjhosannāti anaññasādhāraṇe viya katvā gilitvā pariniṭṭhapetvā ṭhitā. Laggāti vaṅkadaṇḍake viya āsattā mahāpalipe vā yāva nāsikaggā palipannapuriso viya uddharituṃ asakkuṇeyyabhāvena nimuggā , lagitāti makkaṭālepe ālaggabhāvena paccuḍḍito viya makkaṭo pañcannaṃ indriyānaṃ vasena ālaggitā. Palibuddhāti baddhā, upaddutā vā. Āvuṭāti āvunitā, nivutāti nivāritā. Ovutāti paliguṇṭhitā, pariyonaddhā vā. Pihitāti pidahitā, paṭicchannāti paṭicchāditā. Paṭikujjitāti heṭṭhāmukhajātā. Puthūnaṃ vā gaṇanapathamatītānantiādinā puthu jano puthujjanoti dasseti.
‘‘อสฺสุตวา’’ติ เอเตน อวิชฺชนฺธตา วุตฺตาติ อาห ‘‘อนฺธปุถุชฺชโน วุโตฺต โหตี’’ติฯ อารกตฺตา (สํ. นิ. ฎี. ๒.๓.๑) กิเลเสหิ มเคฺคน สมุจฺฉินฺนตฺตาฯ อนเยติ อวฑฺฒิยํ, อนเตฺถติ อโตฺถฯ อนเย วา อนุปาเยฯ นอิริยนโต อวตฺตนโตฯ อเยติ วฑฺฒิยํ, อเตฺถ, อุปาเย วาฯ อรณียโตติ ปยิรุปาสิตพฺพโตฯ นิรุตฺตินเยน ปทสิทฺธิ เวทิตพฺพา ปุริเมสุ อตฺถวิกเปฺปสุฯ ปจฺฉิเม ปน สทฺทสตฺถวเสนปิฯ ยทิปิ อริย-สโทฺท ‘‘เย หิ โว อริยา ปริสุทฺธกายกมฺมนฺตา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๕) วิสุทฺธาสยปโยเคสุ ปุถุชฺชเนสุปิ วตฺตติฯ อิธ ปน อริยมคฺคาธิคเมน สพฺพโลกุตฺตรภาเวน จ อริยภาโว อธิเปฺปโตติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘พุทฺธา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ‘‘ปเจฺจกพุทฺธา ตถาคตสาวกา จ สปฺปุริสา’’ติ อิทํ อริยา สปฺปุริสาติ อิธ วุตฺตปทานํ อตฺถํ อสงฺกรโต ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน นิปฺปริยายโต อริยสปฺปุริสภาวา อภินฺนสภาวาฯ ตสฺมา ‘‘สเพฺพว วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
‘‘Assutavā’’ti etena avijjandhatā vuttāti āha ‘‘andhaputhujjano vutto hotī’’ti. Ārakattā (saṃ. ni. ṭī. 2.3.1) kilesehi maggena samucchinnattā. Anayeti avaḍḍhiyaṃ, anattheti attho. Anaye vā anupāye. Nairiyanato avattanato. Ayeti vaḍḍhiyaṃ, atthe, upāye vā. Araṇīyatoti payirupāsitabbato. Niruttinayena padasiddhi veditabbā purimesu atthavikappesu. Pacchime pana saddasatthavasenapi. Yadipi ariya-saddo ‘‘ye hi vo ariyā parisuddhakāyakammantā’’tiādīsu (ma. ni. 1.35) visuddhāsayapayogesu puthujjanesupi vattati. Idha pana ariyamaggādhigamena sabbalokuttarabhāvena ca ariyabhāvo adhippetoti dassento āha ‘‘buddhā’’tiādi. Tattha ‘‘paccekabuddhā tathāgatasāvakā ca sappurisā’’ti idaṃ ariyā sappurisāti idha vuttapadānaṃ atthaṃ asaṅkarato dassetuṃ vuttaṃ. Yasmā pana nippariyāyato ariyasappurisabhāvā abhinnasabhāvā. Tasmā ‘‘sabbeva vā’’tiādi vuttaṃ.
เอตฺตาวตา หิ พุทฺธสาวโก วุโตฺตฯ ตสฺส หิ เอกเนฺตน กลฺยาณมิโตฺต อิจฺฉิตโพฺพ ปรโตโฆสมนฺตเรน ปฐมมคฺคสฺส อนุปฺปชฺชนโตฯ วิเสสโต จสฺส ภควาว กลฺยาณมิโตฺต อธิเปฺปโตฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘มมญฺหิ, อานนฺท, กลฺยาณมิตฺตํ อาคมฺม ชาติธมฺมา สตฺตา ชาติยา ปริมุจฺจนฺตี’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๕.๒)ฯ โส เอว จ อเวจฺจปสาทาธิคเมน ทฬฺหภตฺติ นามฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘ยํ มยา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, ตํ มม สาวกา ชีวิตเหตุปิ นาติกฺกมนฺตี’’ติ (อุทา. ๔๕)ฯ กตญฺญุตาทีหิ ปเจฺจกพุทฺธา พุทฺธาติ เอตฺถ กตํ ชานาตีติ กตญฺญูฯ กตํ วิทิตํ ปากฎํ กโรตีติ กตเวทีฯ อเนเกสุปิ หิ กปฺปสตสหเสฺสสุ กตํ อุปการํ ชานนฺติ ปเจฺจกพุทฺธา ปากฎญฺจ กโรนฺติ สติชนนอามิสปฎิคฺคหณาทินา , ตถา สํสารทุกฺขทุกฺขิตสฺส สกฺกจฺจํ กโรนฺติ กิจฺจํ, ยํ อตฺตนา กาตุํ สกฺกาฯ สมฺมาสมฺพุโทฺธ ปน กปฺปานํ อสเงฺขฺยยฺยสหเสฺสสุปิ กตํ อุปการํ มคฺคผลานํ อุปนิสฺสยญฺจ ชานาติ, ปากฎญฺจ กโรติ, สีโห วิย จ เอวํ สพฺพตฺถ สกฺกจฺจเมว ธมฺมเทสนํ กโรโนฺต พุทฺธกิจฺจํ กโรติฯ ยาย ปฎิปตฺติยา ทิฎฺฐา นาม โหนฺติ, ตสฺสา อปฺปฎิปชฺชนภาโว, ตตฺถ จ อาทราภาโว อริยานํ อทสฺสนสีลตา จ, น จ ทสฺสเน สาธุการิตา จ เวทิตพฺพาฯ จกฺขุนา อทสฺสาวีติ เอตฺต จกฺขุ นาม น มํสจกฺขุ เอว, อถ โข ทิพฺพจกฺขุปีติ อาห ‘‘ทิพฺพจกฺขุนา วา’’ติฯ อริยภาโวติ เยหิ โยคโต ‘‘อริยา’’ติ วุจฺจนฺติฯ เต มคฺคผลธมฺมา ทฎฺฐพฺพาฯ
Ettāvatāhi buddhasāvako vutto. Tassa hi ekantena kalyāṇamitto icchitabbo paratoghosamantarena paṭhamamaggassa anuppajjanato. Visesato cassa bhagavāva kalyāṇamitto adhippeto. Vuttañhetaṃ ‘‘mamañhi, ānanda, kalyāṇamittaṃ āgamma jātidhammā sattā jātiyā parimuccantī’’tiādi (saṃ. ni. 5.2). So eva ca aveccapasādādhigamena daḷhabhatti nāma. Vuttampi cetaṃ ‘‘yaṃ mayā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ, taṃ mama sāvakā jīvitahetupi nātikkamantī’’ti (udā. 45). Kataññutādīhi paccekabuddhā buddhāti ettha kataṃ jānātīti kataññū. Kataṃ viditaṃ pākaṭaṃ karotīti katavedī. Anekesupi hi kappasatasahassesu kataṃ upakāraṃ jānanti paccekabuddhā pākaṭañca karonti satijananaāmisapaṭiggahaṇādinā , tathā saṃsāradukkhadukkhitassa sakkaccaṃ karonti kiccaṃ, yaṃ attanā kātuṃ sakkā. Sammāsambuddho pana kappānaṃ asaṅkhyeyyasahassesupi kataṃ upakāraṃ maggaphalānaṃ upanissayañca jānāti, pākaṭañca karoti, sīho viya ca evaṃ sabbattha sakkaccameva dhammadesanaṃ karonto buddhakiccaṃ karoti. Yāya paṭipattiyā diṭṭhā nāma honti, tassā appaṭipajjanabhāvo, tattha ca ādarābhāvo ariyānaṃ adassanasīlatā ca, na ca dassane sādhukāritā ca veditabbā. Cakkhunā adassāvīti etta cakkhu nāma na maṃsacakkhu eva, atha kho dibbacakkhupīti āha ‘‘dibbacakkhunā vā’’ti. Ariyabhāvoti yehi yogato ‘‘ariyā’’ti vuccanti. Te maggaphaladhammā daṭṭhabbā.
ตตฺราติ ญาณทสฺสนเสฺสว ทสฺสนภาเวฯ วตฺถูติ อธิเปฺปตตฺถญาปนการณํฯ เอวํ วุเตฺตปีติ เอวํ อญฺญาปเทเสน อตฺตูปนายิกํ กตฺวา วุเตฺตปิฯ ธมฺมนฺติ โลกุตฺตรธมฺมํ, จตุสจฺจธมฺมํ วาฯ อริยกรธมฺมา อนิจฺจานุปสฺสนาทโย วิปสฺสิยมานา อนิจฺจาทโย, จตฺตาริ วา อริยสจฺจานิฯ
Tatrāti ñāṇadassanasseva dassanabhāve. Vatthūti adhippetatthañāpanakāraṇaṃ. Evaṃ vuttepīti evaṃ aññāpadesena attūpanāyikaṃ katvā vuttepi. Dhammanti lokuttaradhammaṃ, catusaccadhammaṃ vā. Ariyakaradhammā aniccānupassanādayo vipassiyamānā aniccādayo, cattāri vā ariyasaccāni.
อวินีโตติ น วินีโต, อธิสีลสิกฺขาทิวเสน น สิกฺขิโตฯ เยสํ สํวรวินยาทีนํ อภาเวน อยํ อวินีโตติ วุจฺจติ, เต ตาว ทเสฺสตุํ ‘‘ทุวิโธ วินโย นามา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สีลสํวโรติ ปาติโมกฺขสํวโร เวทิตโพฺพ, โส จ อตฺถโต กายิกวาจสิโก อวีติกฺกโมฯ สติสํวโรติ อินฺทฺริยรกฺขา, สา จ ตถาปวตฺตา สติ เอวฯ ญาณสํวโรติ ‘‘โสตานํ สํวรํ พฺรูมี’’ติ (สุ. นิ. ๑๐๔๐) วตฺวา ‘‘ปญฺญาเยเต ปิธียเร’’ติ วจนโต โสตสงฺขาตานํ ตณฺหาทิฎฺฐิทุจฺจริตอวิชฺชาอวสิฎฺฐกิเลสานํ สํวโร ปิทหนํ สมุเจฺฉทญาณนฺติ เวทิตพฺพํฯ ขนฺติสํวโรติ อธิวาสนา, สา จ ตถาปวตฺตา ขนฺธา, อโทโส วาฯ ปญฺญาติ เอเก, ตํ อฎฺฐกถาย วิรุชฺฌติฯ วีริยสํวโร กามวิตกฺกาทีนํ วิโนทนวเสน ปวตฺตํ วีริยเมวฯ เตน เตน คุณเงฺคน ตสฺส ตสฺส อคุณงฺคสฺส ปหานํ ตทงฺคปหานํฯ วิกฺขมฺภเนน ปหานํ วิกฺขมฺภนปหานํฯ เสสปทตฺถเยปิ เอเสว นโยฯ
Avinītoti na vinīto, adhisīlasikkhādivasena na sikkhito. Yesaṃ saṃvaravinayādīnaṃ abhāvena ayaṃ avinītoti vuccati, te tāva dassetuṃ ‘‘duvidho vinayo nāmā’’tiādimāha. Tattha sīlasaṃvaroti pātimokkhasaṃvaro veditabbo, so ca atthato kāyikavācasiko avītikkamo. Satisaṃvaroti indriyarakkhā, sā ca tathāpavattā sati eva. Ñāṇasaṃvaroti ‘‘sotānaṃ saṃvaraṃ brūmī’’ti (su. ni. 1040) vatvā ‘‘paññāyete pidhīyare’’ti vacanato sotasaṅkhātānaṃ taṇhādiṭṭhiduccaritaavijjāavasiṭṭhakilesānaṃ saṃvaro pidahanaṃ samucchedañāṇanti veditabbaṃ. Khantisaṃvaroti adhivāsanā, sā ca tathāpavattā khandhā, adoso vā. Paññāti eke, taṃ aṭṭhakathāya virujjhati. Vīriyasaṃvaro kāmavitakkādīnaṃ vinodanavasena pavattaṃ vīriyameva. Tena tena guṇaṅgena tassa tassa aguṇaṅgassa pahānaṃ tadaṅgapahānaṃ. Vikkhambhanena pahānaṃ vikkhambhanapahānaṃ. Sesapadatthayepi eseva nayo.
อิมินา ปาติโมกฺขสํวเรนาติอาทิ สีลสํวราทีนํ วิวรณํฯ ตตฺถ สมุเปโตติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท อาทิสโตฺถฯ เตน ‘‘สหคโต สมุปคโต’’ติอาทินา วิภเงฺค (วิภ. ๕๑๑) อาคตํ สํวรวิภงฺคํ ทเสฺสติฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ ยํ ปเนตฺถ วตฺตพฺพํ, ตํ อนนฺตรสุเตฺต อาวิ ภวิสฺสติฯ
Iminā pātimokkhasaṃvarenātiādi sīlasaṃvarādīnaṃ vivaraṇaṃ. Tattha samupetoti ettha iti-saddo ādisattho. Tena ‘‘sahagato samupagato’’tiādinā vibhaṅge (vibha. 511) āgataṃ saṃvaravibhaṅgaṃ dasseti. Esa nayo sesesupi. Yaṃ panettha vattabbaṃ, taṃ anantarasutte āvi bhavissati.
กายทุจฺจริตาทีนนฺติ ทุสฺสีลฺยสงฺขาตานํ กายวจีทุจฺจริตาทีนํ มุฎฺฐสฺสจฺจสงฺขาตสฺส ปมาทสฺส อภิชฺฌาทีนํ วา อกฺขนฺติอญฺญาณโกสชฺชานญฺจฯ สํวรณโตติ ปิทหนโต ถกนโตฯ วินยนโตติ กายวาจาจิตฺตานํ วิรูปปฺปวตฺติยา วินยนโต อปนยนโต, กายทุจฺจริตาทีนํ วา วินยนโต, กายาทีนํ วา ชิมฺหปฺปวตฺติํ วิจฺฉินฺทิตฺวา อุชุกํ นยนโตติ อโตฺถฯ ปจฺจยสมวาเย อุปฺปชฺชนารหานํ กายทุจฺจริตาทีนํ ตถา ตถา อนุปฺปาทนเมว สํวรณํ วินยนญฺจ เวทิตพฺพํฯ
Kāyaduccaritādīnanti dussīlyasaṅkhātānaṃ kāyavacīduccaritādīnaṃ muṭṭhassaccasaṅkhātassa pamādassa abhijjhādīnaṃ vā akkhantiaññāṇakosajjānañca. Saṃvaraṇatoti pidahanato thakanato. Vinayanatoti kāyavācācittānaṃ virūpappavattiyā vinayanato apanayanato, kāyaduccaritādīnaṃ vā vinayanato, kāyādīnaṃ vā jimhappavattiṃ vicchinditvā ujukaṃ nayanatoti attho. Paccayasamavāye uppajjanārahānaṃ kāyaduccaritādīnaṃ tathā tathā anuppādanameva saṃvaraṇaṃ vinayanañca veditabbaṃ.
ยํ ปหานนฺติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘นามรูปปริเจฺฉทาทีสุ วิปสฺสนาญาเณสู’’ติ กสฺมา วุตฺตํ, นนุ นามรูปปริเจฺฉทปจฺจยปริคฺคหกงฺขาวิตรณานิ น วิปสฺสนาญาณานิ สมฺมสนากาเรน อปฺปวตฺตนโต? สจฺจเมตํฯ วิปสฺสนาญาณสฺส ปน อธิฎฺฐานภาวโต เอวํ วุตฺตํฯ ‘‘นามรูปมตฺตมิทํ, นตฺถิ เอตฺถ อตฺตา วา อตฺตนิยํ วา’’ติ เอวํ ปวตฺตญาณํ นามรูปววตฺถานํฯ สติ วิชฺชมาเน ขนฺธปญฺจกสงฺขาเต กาเย, สยํ วา สตี ตสฺมิํ กาเย ทิฎฺฐีติ สกฺกายทิฎฺฐิฯ ‘‘รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๘๑; ๔.๓๔๕) เอวํ ปวตฺตา มิจฺฉาทิฎฺฐิฯ ตเสฺสว รูปารูปสฺส กมฺมาวิชฺชาทิปจฺจยปริคฺคณฺหนญาณํ ปจฺจยปริคฺคโหฯ ‘‘นตฺถิ เหตุ นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ สํกิเลสายา’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๖๘) อาทินยปฺปวตฺตา อเหตุกทิฎฺฐิฯ ‘‘อิสฺสรปุริสปชาปติปกติอณุกาลาทีหิ โลโก ปวตฺตติ นิวตฺตติ จา’’ติ ปวตฺตา วิสมเหตุทิฎฺฐิฯ ตเสฺสวาติ ปจฺจยปริคฺคหเสฺสวฯ กงฺขาวิตรเณนาติ ยถา เอตรหิ นามรูปสฺส กมฺมาทิปจฺจยโต อุปฺปตฺติ, เอวํ อตีตานาคเตสุปีติ ตีสุปิ กาเลสุ วิจิกิจฺฉาปนยนญาเณนฯ กถํกถีภาวสฺสาติ ‘‘อโหสิํ นุ โข อหมตีตมทฺธาน’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๑๘; สํ. นิ. ๒.๒๐) อาทินยปฺปวตฺตาย สํสยปฺปวตฺติยาฯ กลาปสมฺมสเนนาติ ‘‘ยํ กิญฺจิ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺน’’นฺติอาทินา (ม. นิ. ๑.๓๖๑; ๒.๑๑๓; ๓.๘๖, ๘๙) ขนฺธปญฺจกํ เอกาทสสุ โอกาเสสุ ปกฺขิปิตฺวา สมฺมสนวเสน ปวเตฺตน นยวิปสฺสนาญาเณน ฯ อหํ มมาติ คาหสฺสาติ อตฺตตฺตนิยคหณสฺสฯ มคฺคามคฺคววตฺถาเนนาติ มคฺคามคฺคญาณวิสุทฺธิยาฯ อมเคฺค มคฺคสญฺญายาติ โอภาสาทิเก อมเคฺค ‘‘มโคฺค’’ติ อุปฺปนฺนสญฺญายฯ
Yaṃ pahānanti sambandho. ‘‘Nāmarūpaparicchedādīsu vipassanāñāṇesū’’ti kasmā vuttaṃ, nanu nāmarūpaparicchedapaccayapariggahakaṅkhāvitaraṇāni na vipassanāñāṇāni sammasanākārena appavattanato? Saccametaṃ. Vipassanāñāṇassa pana adhiṭṭhānabhāvato evaṃ vuttaṃ. ‘‘Nāmarūpamattamidaṃ, natthi ettha attā vā attaniyaṃ vā’’ti evaṃ pavattañāṇaṃ nāmarūpavavatthānaṃ. Sati vijjamāne khandhapañcakasaṅkhāte kāye, sayaṃ vā satī tasmiṃ kāye diṭṭhīti sakkāyadiṭṭhi. ‘‘Rūpaṃ attato samanupassatī’’ti (saṃ. ni. 3.81; 4.345) evaṃ pavattā micchādiṭṭhi. Tasseva rūpārūpassa kammāvijjādipaccayapariggaṇhanañāṇaṃ paccayapariggaho. ‘‘Natthi hetu natthi paccayo sattānaṃ saṃkilesāyā’’ti (dī. ni. 1.168) ādinayappavattā ahetukadiṭṭhi. ‘‘Issarapurisapajāpatipakatiaṇukālādīhi loko pavattati nivattati cā’’ti pavattā visamahetudiṭṭhi. Tassevāti paccayapariggahasseva. Kaṅkhāvitaraṇenāti yathā etarahi nāmarūpassa kammādipaccayato uppatti, evaṃ atītānāgatesupīti tīsupi kālesu vicikicchāpanayanañāṇena. Kathaṃkathībhāvassāti ‘‘ahosiṃ nu kho ahamatītamaddhāna’’nti (ma. ni. 1.18; saṃ. ni. 2.20) ādinayappavattāya saṃsayappavattiyā. Kalāpasammasanenāti ‘‘yaṃ kiñci rūpaṃ atītānāgatapaccuppanna’’ntiādinā (ma. ni. 1.361; 2.113; 3.86, 89) khandhapañcakaṃ ekādasasu okāsesu pakkhipitvā sammasanavasena pavattena nayavipassanāñāṇena . Ahaṃ mamāti gāhassāti attattaniyagahaṇassa. Maggāmaggavavatthānenāti maggāmaggañāṇavisuddhiyā. Amagge maggasaññāyāti obhāsādike amagge ‘‘maggo’’ti uppannasaññāya.
ยสฺมา สมฺมเทว สงฺขารานํ อุทยํ ปสฺสโนฺต ‘‘เอวเมว สงฺขารา อนุรูปการณโต อุปฺปชฺชนฺติ, น ปน อุจฺฉิชฺชนฺตี’’ติ คณฺหาติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘อุทยทสฺสเนน อุเจฺฉททิฎฺฐิยา’’ติฯ ยสฺมา ปน สงฺขารานํ วยํ ปสฺสโนฺต ‘‘ยทิปิเม สงฺขารา อวิจฺฉินฺนา วตฺตนฺติ, อุปฺปนฺนุปฺปนฺนา ปน อปฺปฎิสนฺธิกา นิรุชฺฌเนฺต วา’’ติ ปสฺสติ, ตเสฺสวํ ปสฺสโต กุโต สสฺสตคฺคาโห, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘วยทสฺสเนน สสฺสตทิฎฺฐิยา’’ติฯ ภยทสฺสเนนาติ ภยตุปฎฺฐานญาเณนฯ สภเยติ สพฺพภยานํ อากรภาวโต สกลทุกฺขวูปสมสงฺขาตสฺส ปรมสฺสาสสฺส ปฎิปกฺขภาวโต จ สภเย ขนฺธปญฺจเกฯ อภยสญฺญายาติ ‘‘อภยํ เขม’’นฺติ อุปฺปนฺนสญฺญายฯ อสฺสาทสญฺญา นาม ปญฺจุปาทานกฺขเนฺธสุ อสฺสาทวเสน ปวตฺตสญฺญา, ยา ‘‘อาลยาภินิเวโส’’ติปิ วุจฺจติฯ อภิรติสญฺญา ตเตฺถว อภิรติวเสน ปวตฺตสญฺญา, ยา ‘‘นนฺที’’ติปิ วุจฺจติฯ อมุจฺจิตุกมฺยตา อาทานํฯ อนุเปกฺขา สงฺขาเรหิ อนิพฺพินฺทนํ, สาลยตาติ อโตฺถฯ ธมฺมฎฺฐิติยํ ปฎิจฺจสมุปฺปาเท ปฎิโลมภาโว สสฺสตุเจฺฉทคฺคาโห, ปจฺจยาการปฎิจฺฉาทกโมโห วา, นิพฺพาเน ปฎิโลมภาโว สงฺขาเรสุ รติ, นิพฺพานปฎิจฺฉาทกโมโห วาฯ สงฺขารนิมิตฺตคฺคาโหติ ยาทิสสฺส กิเลสสฺส อปฺปหีนตฺตา วิปสฺสนา สงฺขารนิมิตฺตํ น มุญฺจติ, โส กิเลโส, โย ‘‘สํโยคาภินิเวโส’’ติปิ วุจฺจติฯ สงฺขารนิมิตฺตคฺคหณสฺส อติกฺกมนเมว วา ปหานํฯ
Yasmā sammadeva saṅkhārānaṃ udayaṃ passanto ‘‘evameva saṅkhārā anurūpakāraṇato uppajjanti, na pana ucchijjantī’’ti gaṇhāti, tasmā vuttaṃ ‘‘udayadassanena ucchedadiṭṭhiyā’’ti. Yasmā pana saṅkhārānaṃ vayaṃ passanto ‘‘yadipime saṅkhārā avicchinnā vattanti, uppannuppannā pana appaṭisandhikā nirujjhante vā’’ti passati, tassevaṃ passato kuto sassataggāho, tasmā vuttaṃ ‘‘vayadassanena sassatadiṭṭhiyā’’ti. Bhayadassanenāti bhayatupaṭṭhānañāṇena. Sabhayeti sabbabhayānaṃ ākarabhāvato sakaladukkhavūpasamasaṅkhātassa paramassāsassa paṭipakkhabhāvato ca sabhaye khandhapañcake. Abhayasaññāyāti ‘‘abhayaṃ khema’’nti uppannasaññāya. Assādasaññā nāma pañcupādānakkhandhesu assādavasena pavattasaññā, yā ‘‘ālayābhiniveso’’tipi vuccati. Abhiratisaññā tattheva abhirativasena pavattasaññā, yā ‘‘nandī’’tipi vuccati. Amuccitukamyatā ādānaṃ. Anupekkhā saṅkhārehi anibbindanaṃ, sālayatāti attho. Dhammaṭṭhitiyaṃ paṭiccasamuppāde paṭilomabhāvo sassatucchedaggāho, paccayākārapaṭicchādakamoho vā, nibbāne paṭilomabhāvo saṅkhāresu rati, nibbānapaṭicchādakamoho vā. Saṅkhāranimittaggāhoti yādisassa kilesassa appahīnattā vipassanā saṅkhāranimittaṃ na muñcati, so kileso, yo ‘‘saṃyogābhiniveso’’tipi vuccati. Saṅkhāranimittaggahaṇassa atikkamanameva vā pahānaṃ.
ปวตฺติ เอว ปวตฺติภาโว, ปริยุฎฺฐานนฺติ อโตฺถฯ นีวรณาทิธมฺมานนฺติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน นีวรณปกฺขิยา กิเลสา วิตกฺกวิจาราทโย จ คยฺหนฺติฯ
Pavatti eva pavattibhāvo, pariyuṭṭhānanti attho. Nīvaraṇādidhammānanti ettha ādi-saddena nīvaraṇapakkhiyā kilesā vitakkavicārādayo ca gayhanti.
จตุนฺนํ อริยมคฺคานํ ภาวิตตฺตา อจฺจนฺตํ อปฺปวตฺติภาเวน ยํ ปหานนฺติ สมฺพโนฺธฯ เกน ปหานนฺติ? อริยมเคฺคเหวาติ วิญฺญายมาโนยมโตฺถ เตสํ ภาวิตตฺตา อปฺปวตฺติวจนโตฯ สมุทยปกฺขิกสฺสาติ เอตฺถ จตฺตาโรปิ มคฺคา จตุสจฺจาภิสมยาติ กตฺวา เตหิ ปหาตเพฺพน เตน เตน สมุทเยน สห ปหาตพฺพตฺตา สมุทยสภาคตฺตา, สจฺจวิภเงฺค จ สพฺพกิเลสานํ สมุทยภาวสฺส วุตฺตตฺตา ‘‘สมุทยปกฺขิกา’’ติ ทิฎฺฐิอาทโย วุจฺจนฺติฯ ปฎิปฺปสฺสทฺธตฺตํ วุปสนฺตตาฯ สงฺขตนิสฺสฎตา สงฺขารสภาวาภาโวฯ ปหีนสพฺพสงฺขตนฺติ วิรหิตสพฺพสงฺขตํ, วิสงฺขารนฺติ อโตฺถฯ ปหานญฺจ ตํ วินโย จาติ ปหานวินโย ปุริเมน อเตฺถน, ทุติเยน ปน ปหียตีติ ปหานํ, ตสฺส วินโยติ โยเชตพฺพํฯ
Catunnaṃ ariyamaggānaṃ bhāvitattā accantaṃ appavattibhāvena yaṃ pahānanti sambandho. Kena pahānanti? Ariyamaggehevāti viññāyamānoyamattho tesaṃ bhāvitattā appavattivacanato. Samudayapakkhikassāti ettha cattāropi maggā catusaccābhisamayāti katvā tehi pahātabbena tena tena samudayena saha pahātabbattā samudayasabhāgattā, saccavibhaṅge ca sabbakilesānaṃ samudayabhāvassa vuttattā ‘‘samudayapakkhikā’’ti diṭṭhiādayo vuccanti. Paṭippassaddhattaṃ vupasantatā. Saṅkhatanissaṭatā saṅkhārasabhāvābhāvo. Pahīnasabbasaṅkhatanti virahitasabbasaṅkhataṃ, visaṅkhāranti attho. Pahānañca taṃ vinayo cāti pahānavinayo purimena atthena, dutiyena pana pahīyatīti pahānaṃ, tassa vinayoti yojetabbaṃ.
ภินฺนสํวรตฺตาติ นฎฺฐสํวรตฺตา, สํวราภาวโตติ อโตฺถฯ เตน อสมาทินฺนสํวโรปิ สงฺคหิโต โหติฯ สมาทาเนน หิ สมฺปาเทตโพฺพ สํวโร ตทภาเว น โหตีติฯ เอวญฺหิ โลเก วตฺตาโร โหนฺติ ‘‘มหา วต โน โภโค, โส นโฎฺฐ ตถา อกตตฺตา’’ติฯ อริเยติ อริโยฯ ปจฺจตฺตวจนเญฺหตํฯ เอเสเสติ เอโส โส เอว, อตฺถโต อนโญฺญติ อโตฺถฯ ตชฺชาเตติ อตฺถโต ตํสภาโว, สปฺปุริโส อริยสภาโว, อริโย จ สปฺปุริสสภาโวติ อโตฺถฯ
Bhinnasaṃvarattāti naṭṭhasaṃvarattā, saṃvarābhāvatoti attho. Tena asamādinnasaṃvaropi saṅgahito hoti. Samādānena hi sampādetabbo saṃvaro tadabhāve na hotīti. Evañhi loke vattāro honti ‘‘mahā vata no bhogo, so naṭṭho tathā akatattā’’ti. Ariyeti ariyo. Paccattavacanañhetaṃ. Eseseti eso so eva, atthato anaññoti attho. Tajjāteti atthato taṃsabhāvo, sappuriso ariyasabhāvo, ariyo ca sappurisasabhāvoti attho.
ตํ อตฺถนฺติ ‘‘สพฺพธมฺมมูลปริยาย’’นฺติ เอวํ วุตฺตมตฺถํฯ กสฺมา ปเนตฺถ ปุคฺคลาธิฎฺฐานา เทสนา กตาติ? ยเทตฺถ วตฺตพฺพํ, ตํ ‘‘ยสฺมา ปุถุชฺชโน อปริญฺญาตวตฺถุโก’’ติอาทินา (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒) สยเมว วกฺขติฯ ธโมฺม อธิฎฺฐานํ เอติสฺสาติ ธมฺมาธิฎฺฐานา, สภาวธเมฺม นิสฺสาย ปวตฺติตเทสนาฯ ธมฺมวเสเนว ปวตฺตา ปฐมา, ปุคฺคลวเสน อุฎฺฐหิตฺวา ปุคฺคลวเสเนว คตา ตติยา, อิตรา ธมฺมปุคฺคลานํ โวมิสฺสกวเสนฯ กสฺมา ปน ภควา เอวํ วิภาเคน ธมฺมํ เทเสตีติ? เวเนยฺยชฺฌาสเยน เทสนาวิลาเสน จฯ เย หิ เวเนยฺยา ธมฺมาธิฎฺฐานาย ธมฺมเทสนาย สุเขน อตฺถํ ปฎิวิชฺฌนฺติ, เตสํ ตถา ธมฺมํ เทเสติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ ยสฺสา จ ธมฺมธาตุยา สุปฺปฎิวิทฺธตฺตา เทสนาวิลาสปฺปโตฺต โหติ, สายํ สุปฺปฎิวิทฺธา, ตสฺมา เทสนาวิลาสปฺปโตฺต ธมฺมิสฺสโร ธมฺมราชา ยถา ยถา อิจฺฉติ, ตถา ตถา ธมฺมํ เทเสตีติ เอวํ อิมินา เวเนยฺยชฺฌาสเยน เทสนาวิลาเสน จ เอวํ วิภาเคน ธมฺมํ เทเสตีติ เวทิตโพฺพฯ
Taṃ atthanti ‘‘sabbadhammamūlapariyāya’’nti evaṃ vuttamatthaṃ. Kasmā panettha puggalādhiṭṭhānā desanā katāti? Yadettha vattabbaṃ, taṃ ‘‘yasmā puthujjano apariññātavatthuko’’tiādinā (ma. ni. aṭṭha. 1.2) sayameva vakkhati. Dhammo adhiṭṭhānaṃ etissāti dhammādhiṭṭhānā, sabhāvadhamme nissāya pavattitadesanā. Dhammavaseneva pavattā paṭhamā, puggalavasena uṭṭhahitvā puggalavaseneva gatā tatiyā, itarā dhammapuggalānaṃ vomissakavasena. Kasmā pana bhagavā evaṃ vibhāgena dhammaṃ desetīti? Veneyyajjhāsayena desanāvilāsena ca. Ye hi veneyyā dhammādhiṭṭhānāya dhammadesanāya sukhena atthaṃ paṭivijjhanti, tesaṃ tathā dhammaṃ deseti. Esa nayo sabbattha. Yassā ca dhammadhātuyā suppaṭividdhattā desanāvilāsappatto hoti, sāyaṃ suppaṭividdhā, tasmā desanāvilāsappatto dhammissaro dhammarājā yathā yathā icchati, tathā tathā dhammaṃ desetīti evaṃ iminā veneyyajjhāsayena desanāvilāsena ca evaṃ vibhāgena dhammaṃ desetīti veditabbo.
ฉธาตุโรติ ปถวิธาตุ อาโป-เตโช-วาโย-อากาสธาตุ วิญฺญาณธาตูติ อิเมสํ ฉนฺนํ ธาตูนํ วเสน ฉธาตุโรฯ ‘‘จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา โสมนสฺสฎฺฐานิยํ รูปํ อุปวิจรตี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๓.๓๒๔) วุตฺตานํ ฉนฺนํ โสมนสฺสูปวิจารานํ, ฉนฺนํ โทมนสฺสอุเปกฺขูปวิจารานญฺจ วเสน อฎฺฐารสมโนปวิจาโรฯ สจฺจาธิฎฺฐานาทิวเสน จตุราธิฎฺฐาโนฯ ปญฺญาจกฺขุนา ทิฎฺฐธมฺมิกสฺส สมฺปรายิกสฺส จ อตฺถสฺส อทสฺสนโต อโนฺธ, ทิฎฺฐธมฺมิกเสฺสว ทสฺสนโต เอกจกฺขุ, ทฺวินฺนมฺปิ ทสฺสนโต ทฺวิจกฺขุ, เวทิตโพฺพฯ
Chadhāturoti pathavidhātu āpo-tejo-vāyo-ākāsadhātu viññāṇadhātūti imesaṃ channaṃ dhātūnaṃ vasena chadhāturo. ‘‘Cakkhunā rūpaṃ disvā somanassaṭṭhāniyaṃ rūpaṃ upavicaratī’’tiādinā (dī. ni. 3.324) vuttānaṃ channaṃ somanassūpavicārānaṃ, channaṃ domanassaupekkhūpavicārānañca vasena aṭṭhārasamanopavicāro. Saccādhiṭṭhānādivasena caturādhiṭṭhāno. Paññācakkhunā diṭṭhadhammikassa samparāyikassa ca atthassa adassanato andho, diṭṭhadhammikasseva dassanato ekacakkhu, dvinnampi dassanato dvicakkhu, veditabbo.
สฺวายํ นิทฺทิสีติ สมฺพโนฺธฯ สฺวายนฺติ จ โส อยํ, ยถาวุตฺตเทสนาวิภาคกุสโล ภควาติ อโตฺถฯ อปริญฺญาตวตฺถุโกติ ตีหิ ปริญฺญาหิ อปริญฺญาตกฺขโนฺธฯ ขนฺธา หิ ปริญฺญาตวตฺถุฯ อปริญฺญามูลิกาติ ปริชานนาภาวนิมิตฺตา ตสฺมิํ สติ ภาวโตฯ ปริญฺญานญฺหิ อวิชฺชาทโย กิเลสา ปฎิปกฺขา ตมฺมูลิกา จ สพฺพมญฺญนาติฯ อริยานํ อทสฺสาวีติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท อาทิอโตฺถฯ เตน ‘‘อริยธมฺมสฺส อโกวิโท’’ติอาทิกํ ปุถุชนสฺส วิเสสนภาเวน ปวตฺตํ ปาฬิเสสํ คณฺหาติ ปุถุชฺชนนิเทฺทสภาวโตฯ เตนาห ‘‘เอวํ ปุถุชฺชนํ นิทฺทิสี’’ติฯ
Svāyaṃ niddisīti sambandho. Svāyanti ca so ayaṃ, yathāvuttadesanāvibhāgakusalo bhagavāti attho. Apariññātavatthukoti tīhi pariññāhi apariññātakkhandho. Khandhā hi pariññātavatthu. Apariññāmūlikāti parijānanābhāvanimittā tasmiṃ sati bhāvato. Pariññānañhi avijjādayo kilesā paṭipakkhā tammūlikā ca sabbamaññanāti. Ariyānaṃ adassāvīti ettha iti-saddo ādiattho. Tena ‘‘ariyadhammassa akovido’’tiādikaṃ puthujanassa visesanabhāvena pavattaṃ pāḷisesaṃ gaṇhāti puthujjananiddesabhāvato. Tenāha ‘‘evaṃ puthujjanaṃ niddisī’’ti.
สุตฺตนิเกฺขปวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanikkhepavaṇṇanā niṭṭhitā.
ปถวีวารวณฺณนา
Pathavīvāravaṇṇanā
ตสฺสาติ ปุถุชฺชนสฺสฯ วสติ เอตฺถ อารมฺมณกรณวเสนาติ อารมฺมณมฺปิ วตฺถูติ วุจฺจติ ปวตฺติฎฺฐานภาวโตติ อาห ‘‘ปถวีอาทีสุ วตฺถูสู’’ติฯ สกฺกายธมฺมานมฺปิ อารมฺมณาทินา สติปิ มญฺญนาเหตุภาเว มญฺญนาเหตุกเตฺตเนว เตสํ นิพฺพตฺติโตติ วุตฺตํ ‘‘สพฺพสกฺกายธมฺมชนิตํ มญฺญน’’นฺติฯ เอตฺถ จ ปถวีธาตุ เสสธาตูนํ สสมฺภาราสมฺภารภาวา สติปิ ปมาณโต สมภาเว สามตฺถิยโต อธิกานธิกภาเวน เวทิตพฺพาฯ สมฺภารนฺตีติ สมฺภารา, ปริวาราฯ ตํตํกลาเปหิ ลกฺขณปถวิยา เสสธมฺมา ยถารหํ ปจฺจยภาเวน ปริวารภาเวน จ ปวตฺตนฺติฯ เตนาห ‘‘สา หิ วณฺณาทีหิ สมฺภาเรหิ สทฺธิํ ปถวีติ สสมฺภารปถวี’’ติฯ ปถวิโตติ เอตฺถ ปุถุลเฎฺฐน ปุถุวี, ปุถุวี เอว ปถวีฯ สา หิ สติปิ ปริจฺฉินฺนวุตฺติยํ สเพฺพสํ สกลาปภาวานํ อาธารภาเวน ปวตฺตมานา ปุถุลา ปตฺถฎา วิตฺถิณฺณาติ วตฺตพฺพตํ อรหติ, น ปน ตํ อนุปวิสิตฺวา ปวตฺตมานา อาปาทโยฯ สสมฺภารปถวิยา ปน ปุถุลภาเว วตฺตพฺพเมว นตฺถิฯ อารมฺมณปถวิยํ วฑฺฒนผรณเฎฺฐหิ ปุถุลโฎฺฐ, อิตรสฺมิํ รุฬฺหิยาว ทฎฺฐโพฺพฯ อารมฺมณปถวีติ ฌานสฺส อารมฺมณภูตํ ปถวีสงฺขาตํ ปฎิภาคนิมิตฺตํฯ เตนาห ‘‘นิมิตฺตปถวีติปิ วุจฺจตี’’ติฯ อาคมนวเสนาติ ปถวีกสิณภาวนาคมนวเสนฯ ตถา หิ วุตฺตํ ‘‘อาโป จ เทวา ปถวี, เตโช วาโย ตทาคมุ’’นฺติ (ที. นิ. ๒.๓๔๐)ฯ
Tassāti puthujjanassa. Vasati ettha ārammaṇakaraṇavasenāti ārammaṇampi vatthūti vuccati pavattiṭṭhānabhāvatoti āha ‘‘pathavīādīsu vatthūsū’’ti. Sakkāyadhammānampi ārammaṇādinā satipi maññanāhetubhāve maññanāhetukatteneva tesaṃ nibbattitoti vuttaṃ ‘‘sabbasakkāyadhammajanitaṃ maññana’’nti. Ettha ca pathavīdhātu sesadhātūnaṃ sasambhārāsambhārabhāvā satipi pamāṇato samabhāve sāmatthiyato adhikānadhikabhāvena veditabbā. Sambhārantīti sambhārā, parivārā. Taṃtaṃkalāpehi lakkhaṇapathaviyā sesadhammā yathārahaṃ paccayabhāvena parivārabhāvena ca pavattanti. Tenāha ‘‘sā hi vaṇṇādīhi sambhārehi saddhiṃ pathavīti sasambhārapathavī’’ti. Pathavitoti ettha puthulaṭṭhena puthuvī, puthuvī eva pathavī. Sā hi satipi paricchinnavuttiyaṃ sabbesaṃ sakalāpabhāvānaṃ ādhārabhāvena pavattamānā puthulā patthaṭā vitthiṇṇāti vattabbataṃ arahati, na pana taṃ anupavisitvā pavattamānā āpādayo. Sasambhārapathaviyā pana puthulabhāve vattabbameva natthi. Ārammaṇapathaviyaṃ vaḍḍhanapharaṇaṭṭhehi puthulaṭṭho, itarasmiṃ ruḷhiyāva daṭṭhabbo. Ārammaṇapathavīti jhānassa ārammaṇabhūtaṃ pathavīsaṅkhātaṃ paṭibhāganimittaṃ. Tenāha ‘‘nimittapathavītipi vuccatī’’ti. Āgamanavasenāti pathavīkasiṇabhāvanāgamanavasena. Tathā hi vuttaṃ ‘‘āpo ca devā pathavī, tejo vāyo tadāgamu’’nti (dī. ni. 2.340).
สพฺพาปีติ จตุพฺพิธา ปถวีปิฯ อนุสฺสวาทิมตฺตลทฺธา มญฺญนา วตฺถุ โหติเยวฯ ตถา หิ ‘‘กกฺขฬํ ขริคต’’นฺติอาทินา (วิภ. ๑๗๓) ลกฺขณปถวีปิ อุทฺธรียติฯ ยํ ปเนเก วทนฺติ ‘‘ลกฺขเณ ทิเฎฺฐ มญฺญนา นตฺถิ, สญฺชานาตีติ วุตฺตสญฺญา จ ทิฎฺฐิคฺคาหสฺส มูลภูตา ปิณฺฑคฺคาหิตา, สา ลกฺขเณ นกฺขมติ, ตสฺมา ลกฺขณปถวี น คเหตพฺพา’’ติ, ตทยุตฺตํ ลกฺขณปฎิเวธสฺส อิธ อนธิเปฺปตตฺตาฯ เตนาห ‘‘โลกโวหารํ คเหตฺวา’’ติฯ น จ สพฺพสญฺญา ปิณฺฑคฺคาหิกา , นาปิ ทิฎฺฐิคฺคาหเสฺสว มูลภูตา, ตสฺมา ลกฺขณปถวิยาปิ กายทฺวารานุสาเรน อญฺญถา จ อุปฎฺฐิตาย มญฺญนา ปวตฺตเตวฯ เตเนว จ ‘‘อนุสฺสวาทิมตฺตลทฺธา’’ติ วุตฺตํฯ ปถวิโตติ ปจฺจเต นิสฺสกฺกวจนนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปถวีติ สญฺชานาตี’’ติ อาหฯ ยสฺมา จตุพฺพิธมฺปิ ปถวิํ ‘‘ปถวี’ติ สญฺชานโนฺต เตน เตน นเยน ปถวีโกฎฺฐาเสเนว สญฺชานาตีติ วุจฺจติ, น อาปาทิโกฎฺฐาเสน, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ปถวิภาเคน สญฺชานาตี’’ติฯ โลกโวหารํ คเหตฺวาติ โลกสมญฺญํ อวิชหิตฺวาฯ เอเตน ลกฺขณปถวิยมฺปิ โวหารมุเขเนวสฺสา ปวตฺตีติ ทเสฺสติฯ
Sabbāpīti catubbidhā pathavīpi. Anussavādimattaladdhā maññanā vatthu hotiyeva. Tathā hi ‘‘kakkhaḷaṃ kharigata’’ntiādinā (vibha. 173) lakkhaṇapathavīpi uddharīyati. Yaṃ paneke vadanti ‘‘lakkhaṇe diṭṭhe maññanā natthi, sañjānātīti vuttasaññā ca diṭṭhiggāhassa mūlabhūtā piṇḍaggāhitā, sā lakkhaṇe nakkhamati, tasmā lakkhaṇapathavī na gahetabbā’’ti, tadayuttaṃ lakkhaṇapaṭivedhassa idha anadhippetattā. Tenāha ‘‘lokavohāraṃ gahetvā’’ti. Na ca sabbasaññā piṇḍaggāhikā , nāpi diṭṭhiggāhasseva mūlabhūtā, tasmā lakkhaṇapathaviyāpi kāyadvārānusārena aññathā ca upaṭṭhitāya maññanā pavattateva. Teneva ca ‘‘anussavādimattaladdhā’’ti vuttaṃ. Pathavitoti paccate nissakkavacananti dassento ‘‘pathavīti sañjānātī’’ti āha. Yasmā catubbidhampi pathaviṃ ‘‘pathavī’ti sañjānanto tena tena nayena pathavīkoṭṭhāseneva sañjānātīti vuccati, na āpādikoṭṭhāsena, tasmā vuttaṃ ‘‘pathavibhāgena sañjānātī’’ti. Lokavohāraṃ gahetvāti lokasamaññaṃ avijahitvā. Etena lakkhaṇapathaviyampi vohāramukhenevassā pavattīti dasseti.
ยทิ โลกโวหาเรน ตตฺถ ปวตฺติ, โก เอตฺถ โทโส, นนุ อริยาปิ ‘‘อยญฺหิ ภเนฺต มหาปถวี’’ติอาทินา โลกโวหาเรน ปวตฺตนฺตีติ? น เอตฺถ โวหารมเตฺต อวฎฺฐานํ อธิเปฺปตํ, อถ โข โวหารมุเขน มิจฺฉาภินิเวโสติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สญฺญาวิปลฺลาเสน สญฺชานาตี’’ติ อาหฯ ตสฺสโตฺถ – อโยนิโสมนสิการสมฺภูตาย ‘‘สุภ’’นฺติอาทินยปฺปวตฺตาย วิปรีตสญฺญาย สญฺชานาตีติฯ เอเตน ทุพฺพลา ตณฺหามานทิฎฺฐิมญฺญนา ทสฺสิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ยทิ เอวํ กสฺมา สญฺญา คหิตาติ? ปากฎภาวโตฯ ยถา นาม อคฺคิมฺหิ มถิยมาเน ยทา ธูโม อุปลพฺภติ, กิญฺจาปิ ตทา วิชฺชเตว ปาวโก อวินาภาวโต, ปากฎภาวโต ปน ธูโม ชาโตติ วุจฺจติ, น อคฺคิ ชาโตติ, เอวํสมฺปทมิทํ ทฎฺฐพฺพํฯ ยทิปิ ตตฺถ มญฺญนากิจฺจํ อตฺถิ, น ปน วิภูตํ อปากฎภาวโต สญฺญากิจฺจเมว วิภูตํ, ตํ ปน มญฺญนานุกูลํ มญฺญนาสหิตํ จาติ อาห ‘‘สญฺญาวิปลฺลาเสน สญฺชานาตี’’ติฯ เอวํ ปถวีภาคํ อมุญฺจโนฺตเยว วา สญฺชานาตีติ สมฺพโนฺธฯ โย หิ วุตฺตปฺปเภทาย ปถวิยา ปถวิภาคํ อมุญฺจโนฺตเยว อวิชหโนฺตเยว สีสปิเณฺฑ สุวณฺณสญฺญี วิย อนตฺตาทิสภาวํเยว ตํ อตฺตาทิวเสน สญฺชานาติ, ตสฺส วเสน วุตฺตํ ‘‘ปถวี’’ติอาทิฯ น วตฺตพฺพํ ปุถุชฺชนคฺคาหสฺส ยุตฺติมคฺคนนิวารณโตติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อุมฺมตฺตโก วิย…เป.… คณฺหาตี’’ติ ฯ อริยานํ อทสฺสาวิตาทิเภทนฺติ อริยานํ อทสฺสาวิตาทิวิเสสํ วทเนฺตน ภควตาว เอตฺถ ยถาวุตฺตสญฺชานเน การณํ วุตฺตนฺติ โยชนาฯ
Yadi lokavohārena tattha pavatti, ko ettha doso, nanu ariyāpi ‘‘ayañhi bhante mahāpathavī’’tiādinā lokavohārena pavattantīti? Na ettha vohāramatte avaṭṭhānaṃ adhippetaṃ, atha kho vohāramukhena micchābhinivesoti dassento ‘‘saññāvipallāsena sañjānātī’’ti āha. Tassattho – ayonisomanasikārasambhūtāya ‘‘subha’’ntiādinayappavattāya viparītasaññāya sañjānātīti. Etena dubbalā taṇhāmānadiṭṭhimaññanā dassitāti daṭṭhabbaṃ. Yadi evaṃ kasmā saññā gahitāti? Pākaṭabhāvato. Yathā nāma aggimhi mathiyamāne yadā dhūmo upalabbhati, kiñcāpi tadā vijjateva pāvako avinābhāvato, pākaṭabhāvato pana dhūmo jātoti vuccati, na aggi jātoti, evaṃsampadamidaṃ daṭṭhabbaṃ. Yadipi tattha maññanākiccaṃ atthi, na pana vibhūtaṃ apākaṭabhāvato saññākiccameva vibhūtaṃ, taṃ pana maññanānukūlaṃ maññanāsahitaṃ cāti āha ‘‘saññāvipallāsena sañjānātī’’ti. Evaṃ pathavībhāgaṃ amuñcantoyeva vā sañjānātīti sambandho. Yo hi vuttappabhedāya pathaviyā pathavibhāgaṃ amuñcantoyeva avijahantoyeva sīsapiṇḍe suvaṇṇasaññī viya anattādisabhāvaṃyeva taṃ attādivasena sañjānāti, tassa vasena vuttaṃ ‘‘pathavī’’tiādi. Na vattabbaṃ puthujjanaggāhassa yuttimaggananivāraṇatoti dassento āha ‘‘ummattako viya…pe… gaṇhātī’’ti . Ariyānaṃ adassāvitādibhedanti ariyānaṃ adassāvitādivisesaṃ vadantena bhagavatāva ettha yathāvuttasañjānane kāraṇaṃ vuttanti yojanā.
เอวนฺติ ‘‘ปถวิภาเคน สญฺชานาตี’’ติอาทินา วุตฺตปฺปกาเรนฯ สญฺชานิตฺวาติ ปุพฺพกาลกิริยานิเทฺทโสติ อาห ‘‘อปรภาเค…เป.… คณฺหาตี’’ติฯ ปปญฺจสงฺขาติ ปปญฺจโกฎฺฐาสาฯ ปปญฺจนฺติ สตฺตา สํสาเร จิรายนฺติ เอเตหีติ ปปญฺจา, มญฺญนฺติ ‘‘เอตํ มมา’’ติอาทินา ปริกเปฺปนฺติ เอตาหีติ มญฺญนาติ ทฺวีหิปิ ปริยาเยหิ ตณฺหาทโยว วุตฺตาติ อาห ‘‘ตณฺหามานทิฎฺฐิปปเญฺจหิ อิธ มญฺญนานาเมน วุเตฺตหี’’ติฯ อชญฺญสฺส ชญฺญโต, อเสยฺยาทิกสฺส เสยฺยาทิโต คหณโต ทิฎฺฐิมญฺญนา วิย ตณฺหามานมญฺญนาปิ อญฺญถา คาโห เอวาติ อาห ‘‘อญฺญถา คณฺหาตี’’ติฯ อารมฺมณาภินิโรปนาทินา ภินฺนสภาวานมฺปิ วิตกฺกาทีนํ สาธารโณ อุปนิชฺฌายนสภาโว วิย อนุคิชฺฌนุณฺณติปรามสนสภาวานมฺปิ ตณฺหาทีนํ สาธารเณน อารมฺมณปริกปฺปนากาเรน ปวตฺติ มญฺญนาติ ทฎฺฐพฺพํฯ เตนาห ‘‘ตีหิ มญฺญนาหิ มญฺญตี’’ติอาทิฯ อสฺสาติ ปุถุชฺชนสฺส, อุทยพฺพยานุปสฺสนาทีสุ วิย สุขุมนเยนปิ มญฺญนาปวตฺติ อตฺถีติ วิภาวนสุขตาย ถูลํเยว ตํ ทเสฺสตุกาโม ‘‘โอฬาริกนเยนา’’ติอาหฯ โอฬาริเก หิ วิภาเค ทสฺสิเต สุขุมวิภาวนา สุกราติ ทเสฺสตุํ อยมตฺถโยชนา วุจฺจตีติ สมฺพโนฺธฯ อชฺฌตฺติกาติ อินฺทฺริยพทฺธา สตฺตสนฺตานปริยาปนฺนา นิยกชฺฌตฺตา วุตฺตา วิภเงฺค ปฎิสมฺภิทามเคฺค จฯ
Evanti ‘‘pathavibhāgena sañjānātī’’tiādinā vuttappakārena. Sañjānitvāti pubbakālakiriyāniddesoti āha ‘‘aparabhāge…pe… gaṇhātī’’ti. Papañcasaṅkhāti papañcakoṭṭhāsā. Papañcanti sattā saṃsāre cirāyanti etehīti papañcā, maññanti ‘‘etaṃ mamā’’tiādinā parikappenti etāhīti maññanāti dvīhipi pariyāyehi taṇhādayova vuttāti āha ‘‘taṇhāmānadiṭṭhipapañcehi idha maññanānāmena vuttehī’’ti. Ajaññassa jaññato, aseyyādikassa seyyādito gahaṇato diṭṭhimaññanā viya taṇhāmānamaññanāpi aññathā gāho evāti āha ‘‘aññathā gaṇhātī’’ti. Ārammaṇābhiniropanādinā bhinnasabhāvānampi vitakkādīnaṃ sādhāraṇo upanijjhāyanasabhāvo viya anugijjhanuṇṇatiparāmasanasabhāvānampi taṇhādīnaṃ sādhāraṇena ārammaṇaparikappanākārena pavatti maññanāti daṭṭhabbaṃ. Tenāha ‘‘tīhi maññanāhi maññatī’’tiādi. Assāti puthujjanassa, udayabbayānupassanādīsu viya sukhumanayenapi maññanāpavatti atthīti vibhāvanasukhatāya thūlaṃyeva taṃ dassetukāmo ‘‘oḷārikanayenā’’tiāha. Oḷārike hi vibhāge dassite sukhumavibhāvanā sukarāti dassetuṃ ayamatthayojanā vuccatīti sambandho. Ajjhattikāti indriyabaddhā sattasantānapariyāpannā niyakajjhattā vuttā vibhaṅge paṭisambhidāmagge ca.
วิภเงฺคติ ธาตุวิภเงฺค (วิภ. ๑๗๓)ฯ พาหิราติ อนินฺทฺริยพทฺธา สงฺขารสนฺตานปริยาปนฺนาฯ กกฺขฬนฺติ ถทฺธํฯ ขริคตนฺติ ผรุสํฯ กกฺขฬภาโว กกฺขฬตฺตํฯ กกฺขฬภาโวติ กกฺขฬสภาโวฯ พหิทฺธาติ อินฺทฺริยพทฺธโต พหิทฺธาภูตํฯ อนุปาทินฺนนฺติ น อุปาทินฺนํฯ อโยติ กาฬโลหํฯ โลหนฺติ ชาติโลหํ วิชาติโลหํ กิตฺติมโลหํ ปิสาจโลหนฺติ จตุพฺพิธํฯ ตตฺถ อโย สชฺฌุ สุวณฺณํ ติปุ สีสํ ตมฺพโลหํ เวกนฺตกโลหนฺติ อิมานิ สตฺต ชาติโลหานิ นามฯ นาคนาสิกาโลหํ วิชาติโลหํ นามฯ กํสโลหํ วฎฺฎโลหํ อารกุฎนฺติ ตีณิ กิตฺติมโลหานิ นามฯ โมรกฺขกํ ปุถุกํ มลินกํ จปลกํ สลกํ อาฎลํ ภตฺตกํ ทุสิโลหนฺติ อฎฺฐ ปิสาจโลหานิ นามฯ เตสุ เวกนฺตกโลหํ นาม สพฺพโลหเจฺฉทนสมตฺถา เอกา โลหชาติฯ ตถา หิ ตํ วิกนฺตติ ฉินฺทตีติ วิกนฺตกนฺติ วุจฺจติฯ วิกนฺตกเมว เวกนฺตกํฯ นาคนาสิกาโลหํ โลหสทิสํ โลหวิชาติ หลิทฺทาทิวิชาติ วิยฯ ตถา หิ ตํ โลหาการํ โลหมลํ วิย ฆนสํหตํ หุตฺวา ติฎฺฐติ, ตาเปตฺวา ตาฬิตํ ปน ภินฺนํ ภินฺนํ หุตฺวา วิสรติ มุทุ มฎฺฐํ กมฺมนิยํ วา น โหติฯ ติปุตเมฺพ มิเสฺสตฺวา กตํ กํสโลหํฯ สีสตเมฺพ มิเสฺสตฺวา กตํ วฎฺฎโลหํฯ ชสตเมฺพ มิเสฺสตฺวา กตํ อารกุฎํฯ เตเนว ตํ กรเณน นิพฺพตฺตตฺตา กิตฺติมโลหนฺติ วุจฺจติฯ ยํ ปน เกวลํ รสกธาตุ วินิคฺคตํ, ตํ ‘‘ปิตฺตล’’นฺติปิ วทนฺติฯ ตํ อิธ นาธิเปฺปตํ, ยถาวุตฺตํ มิสฺสกเมว กตฺวา โยชิตํ กิตฺติมนฺติ วุตฺตํฯ โมรกฺขกาทีนิ เอวํนามาเนเวตานิฯ เตสุ ยสฺมา ปญฺจ ชาติโลหานิ ปาฬิยํ วิสุํ วุตฺตาเนว, ตสฺมา เวกนฺตกโลเหน สทฺธิํ วุตฺตาวเสสํ สพฺพํ อิธ โลหนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Vibhaṅgeti dhātuvibhaṅge (vibha. 173). Bāhirāti anindriyabaddhā saṅkhārasantānapariyāpannā. Kakkhaḷanti thaddhaṃ. Kharigatanti pharusaṃ. Kakkhaḷabhāvo kakkhaḷattaṃ. Kakkhaḷabhāvoti kakkhaḷasabhāvo. Bahiddhāti indriyabaddhato bahiddhābhūtaṃ. Anupādinnanti na upādinnaṃ. Ayoti kāḷalohaṃ. Lohanti jātilohaṃ vijātilohaṃ kittimalohaṃ pisācalohanti catubbidhaṃ. Tattha ayo sajjhu suvaṇṇaṃ tipu sīsaṃ tambalohaṃ vekantakalohanti imāni satta jātilohāni nāma. Nāganāsikālohaṃ vijātilohaṃ nāma. Kaṃsalohaṃ vaṭṭalohaṃ ārakuṭanti tīṇi kittimalohāni nāma. Morakkhakaṃ puthukaṃ malinakaṃ capalakaṃ salakaṃ āṭalaṃ bhattakaṃ dusilohanti aṭṭha pisācalohāni nāma. Tesu vekantakalohaṃ nāma sabbalohacchedanasamatthā ekā lohajāti. Tathā hi taṃ vikantati chindatīti vikantakanti vuccati. Vikantakameva vekantakaṃ. Nāganāsikālohaṃ lohasadisaṃ lohavijāti haliddādivijāti viya. Tathā hi taṃ lohākāraṃ lohamalaṃ viya ghanasaṃhataṃ hutvā tiṭṭhati, tāpetvā tāḷitaṃ pana bhinnaṃ bhinnaṃ hutvā visarati mudu maṭṭhaṃ kammaniyaṃ vā na hoti. Tiputambe missetvā kataṃ kaṃsalohaṃ. Sīsatambe missetvā kataṃ vaṭṭalohaṃ. Jasatambe missetvā kataṃ ārakuṭaṃ. Teneva taṃ karaṇena nibbattattā kittimalohanti vuccati. Yaṃ pana kevalaṃ rasakadhātu viniggataṃ, taṃ ‘‘pittala’’ntipi vadanti. Taṃ idha nādhippetaṃ, yathāvuttaṃ missakameva katvā yojitaṃ kittimanti vuttaṃ. Morakkhakādīni evaṃnāmānevetāni. Tesu yasmā pañca jātilohāni pāḷiyaṃ visuṃ vuttāneva, tasmā vekantakalohena saddhiṃ vuttāvasesaṃ sabbaṃ idha lohanti veditabbaṃ.
ติปูติ เสตติปุฯ สีสนฺติ กาฬติปุฯ สชฺฌนฺติ รชตํฯ มุตฺตาติ หตฺถิกุมฺภชาทิกา อฎฺฐวิธาปิ มุตฺตาฯ ตถา หิ หตฺถิกุมฺภํ วราหทาฐา ภูชงฺคสีสํ วลาหกูฎํ เวฬู มจฺฉสีโร สโงฺข สิปฺปีติ อฎฺฐ มุตฺตาโยนิโยฯ ตตฺถ หตฺถิกุมฺภชา ปีตวณฺณา ปภาหีนาฯ วราหทาฐา วราหทาฐวณฺณาวฯ ภุชงฺคสีสชา นีลาทิวณฺณา สุวิสุทฺธา วฎฺฎลา จฯ วลาหกชา ภาสุรา ทุพฺพิภาครูปา รตฺติภาเค อนฺธการํ วิธมนฺติโย ติฎฺฐนฺติ, เทวูปโภคา เอว จ โหนฺติฯ เวฬุชา กรกุปลสมานวณฺณา น ภาสุรา, เต จ เวฬู อมนุสฺสโคจเร เอว ปเทเส ชายนฺติฯ มจฺฉสีรชา ปาฐีนปิฎฺฐิสมานวณฺณา วฎฺฎลา ลฆโว จ โหนฺติ ปภาวิหีนา, เต จ มจฺฉา สมุทฺทมเชฺฌ เอว ชายนฺติฯ สงฺขชา สโงฺขทรจฺฉวิวณฺณา โกลปฺปมาณาปิ โหนฺติ ปภาวิหีนาวฯ สิปฺปิชา ปภาวิเสสยุตฺตา โหนฺติ นานาสณฺฐานาฯ เอวํ ชาติโต อฎฺฐวิธาสุปิ มุตฺตาสุ ยา มจฺฉสงฺขสิปฺปิชา, ตา สามุทฺทิกา โหนฺติ, ภุชงฺคชาปิ กาจิ สามุทฺทิกา โหนฺติ, อิตรา อสามุทฺทิกาฯ ยสฺมา พหุลํ สามุทฺทิกาว มุตฺตา โลเก ทิสฺสนฺติ, ตตฺถาปิ สิปฺปิชาว, อิตรา กาทาจิกาฯ ตสฺมา สโมฺมหวิโนทนิยํ (วิภ. อฎฺฐ. ๑๗๓) ‘‘มุตฺตาติ สามุทฺทิกา มุตฺตา’’ติ วุตฺตํฯ
Tipūti setatipu. Sīsanti kāḷatipu. Sajjhanti rajataṃ. Muttāti hatthikumbhajādikā aṭṭhavidhāpi muttā. Tathā hi hatthikumbhaṃ varāhadāṭhā bhūjaṅgasīsaṃ valāhakūṭaṃ veḷū macchasīro saṅkho sippīti aṭṭha muttāyoniyo. Tattha hatthikumbhajā pītavaṇṇā pabhāhīnā. Varāhadāṭhā varāhadāṭhavaṇṇāva. Bhujaṅgasīsajā nīlādivaṇṇā suvisuddhā vaṭṭalā ca. Valāhakajā bhāsurā dubbibhāgarūpā rattibhāge andhakāraṃ vidhamantiyo tiṭṭhanti, devūpabhogā eva ca honti. Veḷujā karakupalasamānavaṇṇā na bhāsurā, te ca veḷū amanussagocare eva padese jāyanti. Macchasīrajā pāṭhīnapiṭṭhisamānavaṇṇā vaṭṭalā laghavo ca honti pabhāvihīnā, te ca macchā samuddamajjhe eva jāyanti. Saṅkhajā saṅkhodaracchavivaṇṇā kolappamāṇāpi honti pabhāvihīnāva. Sippijā pabhāvisesayuttā honti nānāsaṇṭhānā. Evaṃ jātito aṭṭhavidhāsupi muttāsu yā macchasaṅkhasippijā, tā sāmuddikā honti, bhujaṅgajāpi kāci sāmuddikā honti, itarā asāmuddikā. Yasmā bahulaṃ sāmuddikāva muttā loke dissanti, tatthāpi sippijāva, itarā kādācikā. Tasmā sammohavinodaniyaṃ (vibha. aṭṭha. 173) ‘‘muttāti sāmuddikā muttā’’ti vuttaṃ.
มณีติ ฐเปตฺวา ปาฬิอาคเต เวฬุริยาทิเก เสโส โชติรสาทิเภโท สโพฺพปิ มณิฯ เวฬุริยนฺติ วํสวณฺณมณิฯ สโงฺขติ สามุทฺทิกสโงฺขฯ สิลาติ กาฬสิลา ปณฺฑุสิลา เสตสิลาทิเภทา อฎฺฐปิ สิลาฯ รชตนฺติ กหาปณาทิกํ วุตฺตาวเสสํ รชตสมฺมตํฯ ชาตรูปนฺติ สุวณฺณํฯ โลหิตโงฺคติ รตฺตมณิฯ มสารคลฺลนฺติ กพรมณิ ติณาทีสุ พหิภารา ตาลนาฬิเกราทโยปิ ติณํ นามฯ อโนฺตสารํ ขทิราทิ อนฺตมโส ทารุขณฺฑมฺปิ กฎฺฐํ นามฯ มุคฺคมตฺตโต ยาว มุฎฺฐิปฺปมาณา มรุมฺพา สกฺขรา นามฯ มุคฺคมตฺตโต ปฎฺฐาย เหฎฺฐา วาลิกา นามฯ กฐลนฺติ กปาลขณฺฑํฯ ภูมีติ สสมฺภารปถวีฯ ปาสาโณติ อโนฺตมุฎฺฐิยํ อสณฺฐหนโต ปฎฺฐาย ยาว หตฺถิปฺปมาณํ ปาสาณํ, หตฺถิปฺปมาณโต ปน ปฎฺฐาย อุปริ ปพฺพโตติฯ อยํ อโยอาทีสุ วิภาคนิเทฺทโสฯ นิมิตฺตปถวีติ ปฎิภาคนิมิตฺตภูตํ ปถวิกสิณํฯ ตมฺปิ หิ ‘‘รูปาวจรติกจตุกฺกชฺฌานํ กุสลโต จ วิปากโต จ กิริยโต จ จตุตฺถสฺส ฌานสฺส วิปาโก อิเม ธมฺมา พหิทฺธารมฺมณา’’ติ วจนโต ‘‘พาหิรา ปถวี’’ติ วุจฺจติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ยา จ อชฺฌตฺตารมฺมณตฺติเก นิมิตฺตปถวี, ตํ คเหตฺวา’’ติฯ อุคฺคหนิมิตฺตเญฺจตฺถ ตํคติกเมว ทฎฺฐพฺพํ, นิมิตฺตุปฺปตฺติโต ปน ปุเพฺพ ภูมิคฺคหเณเนว คหิตนฺติฯ
Maṇīti ṭhapetvā pāḷiāgate veḷuriyādike seso jotirasādibhedo sabbopi maṇi. Veḷuriyanti vaṃsavaṇṇamaṇi. Saṅkhoti sāmuddikasaṅkho. Silāti kāḷasilā paṇḍusilā setasilādibhedā aṭṭhapi silā. Rajatanti kahāpaṇādikaṃ vuttāvasesaṃ rajatasammataṃ. Jātarūpanti suvaṇṇaṃ. Lohitaṅgoti rattamaṇi. Masāragallanti kabaramaṇi tiṇādīsu bahibhārā tālanāḷikerādayopi tiṇaṃ nāma. Antosāraṃ khadirādi antamaso dārukhaṇḍampi kaṭṭhaṃ nāma. Muggamattato yāva muṭṭhippamāṇā marumbā sakkharā nāma. Muggamattato paṭṭhāya heṭṭhā vālikā nāma. Kaṭhalanti kapālakhaṇḍaṃ. Bhūmīti sasambhārapathavī. Pāsāṇoti antomuṭṭhiyaṃ asaṇṭhahanato paṭṭhāya yāva hatthippamāṇaṃ pāsāṇaṃ, hatthippamāṇato pana paṭṭhāya upari pabbatoti. Ayaṃ ayoādīsu vibhāganiddeso. Nimittapathavīti paṭibhāganimittabhūtaṃ pathavikasiṇaṃ. Tampi hi ‘‘rūpāvacaratikacatukkajjhānaṃ kusalato ca vipākato ca kiriyato ca catutthassa jhānassa vipāko ime dhammā bahiddhārammaṇā’’ti vacanato ‘‘bāhirā pathavī’’ti vuccati. Tena vuttaṃ ‘‘yā ca ajjhattārammaṇattike nimittapathavī, taṃ gahetvā’’ti. Uggahanimittañcettha taṃgatikameva daṭṭhabbaṃ, nimittuppattito pana pubbe bhūmiggahaṇeneva gahitanti.
ตีหิ มญฺญนาหีติ วุตฺตํ มญฺญนาตฺตยํ สปรสนฺตาเนสุ สเงฺขปโต โยเชตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘อหํ ปถวี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อหํ ปถวีติอาทีนา อชฺฌตฺตวิสยํ ทิฎฺฐิมญฺญนํ มานมญฺญนญฺจ ทเสฺสติ อตฺตาภินิเวสาหํการทีปนโตฯ มม ปถวีติ อิมินา ตณฺหามญฺญนํ มานมญฺญนมฺปิ วา ปริคฺคหภูตายปิ ปถวิยา เสยฺยาทิโต มานชปฺปนโตฯ เสสปททฺวเยปิ อิมินานเยน มญฺญนาวิภาโค เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ ปถวิกสิณชฺฌานลาภี ฌานจกฺขุนา คหิตฌานารมฺมณํ ‘‘อตฺตา’’ติ อภินิวิสโนฺต ตญฺจ เสยฺยาทิโต ทหโนฺต อตฺถโต ‘‘อหํ ปถวี’’ติ มญฺญติ นาม, ตเมว ‘‘อยํ มยฺหํ อตฺตา’’ติ คหเณ ปน ‘‘มม ปถวี’’ติ มญฺญติ นามฯ ตถา ตํ ‘‘ปรปุริโส’’ติ วา ‘‘เทโว’’ติ วา วาทวเสน ‘‘อยเมว ปเรสํ อตฺตา’’ติ วา อภินิวิสโนฺต ‘‘ปโร ปถวี, ปรสฺส ปถวี’’ติ มญฺญติ นามฯ อิมินา นเยน เสสปถวีสุปิ ยถารหํ จตุกฺกํ นิทฺธาเรตพฺพํฯ
Tīhi maññanāhīti vuttaṃ maññanāttayaṃ saparasantānesu saṅkhepato yojetvā dassetuṃ ‘‘ahaṃ pathavī’’tiādi vuttaṃ. Tattha ahaṃ pathavītiādīnā ajjhattavisayaṃ diṭṭhimaññanaṃ mānamaññanañca dasseti attābhinivesāhaṃkāradīpanato. Mama pathavīti iminā taṇhāmaññanaṃ mānamaññanampi vā pariggahabhūtāyapi pathaviyā seyyādito mānajappanato. Sesapadadvayepi iminānayena maññanāvibhāgo veditabbo. Tattha pathavikasiṇajjhānalābhī jhānacakkhunā gahitajhānārammaṇaṃ ‘‘attā’’ti abhinivisanto tañca seyyādito dahanto atthato ‘‘ahaṃ pathavī’’ti maññati nāma, tameva ‘‘ayaṃ mayhaṃ attā’’ti gahaṇe pana ‘‘mama pathavī’’ti maññati nāma. Tathā taṃ ‘‘parapuriso’’ti vā ‘‘devo’’ti vā vādavasena ‘‘ayameva paresaṃ attā’’ti vā abhinivisanto ‘‘paro pathavī, parassa pathavī’’ti maññati nāma. Iminā nayena sesapathavīsupi yathārahaṃ catukkaṃ niddhāretabbaṃ.
เอวํ ‘‘ปถวิํ มญฺญตี’’ติ เอตฺถ จตุกฺกวเสน มญฺญนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ มญฺญนาวตฺถุํ มญฺญนาโย จ วิภชิตฺวา อเนกวิหิตํ ตสฺส มญฺญนาการํ ทเสฺสตุํ ‘‘อถ วา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อยนฺติ ยถาวุโตฺต ปุถุชฺชโนฯ ฉนฺทราคนฺติ พหลราคํฯ อสฺสาเทตีติ นิกาเมติ, ‘‘อิเม เกสา มุทุสินิทฺธกุญฺจิตนีโลภาสา’’ติอาทินา ตตฺถ รสํ วินฺทติฯ อภินนฺทตีติ สปฺปีติกาย ตณฺหาย อภิมุโข นนฺทติ ปโมทติฯ อภิวทตีติ อุปฺปนฺนํ ตณฺหาภินนฺทนาเวคํ หทเยน สนฺธาเรตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘อโห เม เกสา’’ติ วาจํ นิจฺฉาเรติฯ อโชฺฌสาย ติฎฺฐตีติ พลวตณฺหาภินิเวเสน คิลิตฺวา ปรินิฎฺฐาเปตฺวา ติฎฺฐติฯ อญฺญตรํ วา ปน รชฺชนียวตฺถุนฺติ เกสาทิโต อญฺญตรํ วา กรจรณาทิปฺปเภทํ นิยกชฺฌตฺตปริยาปนฺนํ ราคุปฺปตฺติเหตุภูตํ วตฺถุํฯ อิตีติ อิมินา สินิทฺธาทิปฺปกาเรนาติ ปตฺถยิตพฺพาการํ ปรามสติฯ ตตฺถ นนฺทิํ สมนฺนาเนตีติ เตสุ ภาวีสุ เกสาทีสุ สิทฺธํ วิย กตฺวา นนฺทิํ ตณฺหํ สมนฺนาหรติ สมุปจาเรติฯ ปณิทหตีติ ปตฺถนํ ฐเปติฯ
Evaṃ ‘‘pathaviṃ maññatī’’ti ettha catukkavasena maññanaṃ dassetvā idāni maññanāvatthuṃ maññanāyo ca vibhajitvā anekavihitaṃ tassa maññanākāraṃ dassetuṃ ‘‘atha vā’’tiādimāha. Tattha ayanti yathāvutto puthujjano. Chandarāganti bahalarāgaṃ. Assādetīti nikāmeti, ‘‘ime kesā mudusiniddhakuñcitanīlobhāsā’’tiādinā tattha rasaṃ vindati. Abhinandatīti sappītikāya taṇhāya abhimukho nandati pamodati. Abhivadatīti uppannaṃ taṇhābhinandanāvegaṃ hadayena sandhāretuṃ asakkonto ‘‘aho me kesā’’ti vācaṃ nicchāreti. Ajjhosāya tiṭṭhatīti balavataṇhābhinivesena gilitvā pariniṭṭhāpetvā tiṭṭhati. Aññataraṃ vā pana rajjanīyavatthunti kesādito aññataraṃ vā karacaraṇādippabhedaṃ niyakajjhattapariyāpannaṃ rāguppattihetubhūtaṃ vatthuṃ. Itīti iminā siniddhādippakārenāti patthayitabbākāraṃ parāmasati. Tattha nandiṃ samannānetīti tesu bhāvīsu kesādīsu siddhaṃ viya katvā nandiṃ taṇhaṃ samannāharati samupacāreti. Paṇidahatīti patthanaṃ ṭhapeti.
สมฺปตฺติํ นิสฺสาย ‘‘เสโยฺยหมสฺมี’’ติ, วิปตฺติํ นิสฺสาย ‘‘หีโนหมสฺมี’’ติ มานํ ชเนตีติ โยชนาฯ ปถวีโกฎฺฐาสภูตานํ เกสาทีนํ สมฺปตฺติวิปตฺตีหิ มานชปฺปนา ปถวิยา มญฺญนา โหตีติ อาห ‘‘เอวํ อชฺฌตฺติกํ ปถวิํ มานมญฺญนาย มญฺญตี’’ติฯ อวยวพฺยติเรเกน สมุทายสฺส อภาวโต สมุทาโย ชีวาภินิเวโส อวยเวปิ โหตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตํ ชีวํ ตํ สรีรนฺติ อาคตนเยน ปน เกสํ ‘ชีโว’ติ อภินิวิสตี’’ติ อาหฯ ‘‘เกสา นาเมเต อิสฺสรวิหิตา ปชาปตินิสฺสิตา อณุสญฺจโย ปกติปริณาโม’’ติอาทินา นเยนเปตฺถ ทิฎฺฐิมญฺญนา เวทิตพฺพาฯ
Sampattiṃ nissāya ‘‘seyyohamasmī’’ti, vipattiṃ nissāya ‘‘hīnohamasmī’’ti mānaṃ janetīti yojanā. Pathavīkoṭṭhāsabhūtānaṃ kesādīnaṃ sampattivipattīhi mānajappanā pathaviyā maññanā hotīti āha ‘‘evaṃ ajjhattikaṃ pathaviṃ mānamaññanāya maññatī’’ti. Avayavabyatirekena samudāyassa abhāvato samudāyo jīvābhiniveso avayavepi hotīti dassento ‘‘taṃ jīvaṃ taṃ sarīranti āgatanayena pana kesaṃ ‘jīvo’ti abhinivisatī’’ti āha. ‘‘Kesā nāmete issaravihitā pajāpatinissitā aṇusañcayo pakatipariṇāmo’’tiādinā nayenapettha diṭṭhimaññanā veditabbā.
อิมิสฺสา ปวตฺติยาติ นิกนฺติมานทิฎฺฐีนํ ปริยาทานสมุคฺฆาฎปฺปวตฺติยาฯ ‘‘เอตํ มมา’’ติอาทินา ยทิปิ ติสฺสนฺนมฺปิ มญฺญนานํ สมฺภโว ทสฺสิโตฯ ตณฺหามานมญฺญนานํ ปน เหฎฺฐา ทสฺสิตตฺตา ทิฎฺฐิมญฺญนา เอเวตฺถ วิเสสโต อุทฺธฎาติ เวทิตพฺพํฯ เตนาห ‘‘เอวมฺปิ อชฺฌตฺติกํ ปถวิํ ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญตี’’ติฯ
Imissā pavattiyāti nikantimānadiṭṭhīnaṃ pariyādānasamugghāṭappavattiyā. ‘‘Etaṃ mamā’’tiādinā yadipi tissannampi maññanānaṃ sambhavo dassito. Taṇhāmānamaññanānaṃ pana heṭṭhā dassitattā diṭṭhimaññanā evettha visesato uddhaṭāti veditabbaṃ. Tenāha ‘‘evampi ajjhattikaṃ pathaviṃ diṭṭhimaññanāya maññatī’’ti.
พาหิรมฺปิ ปถวิํ ตีหิ มญฺญนาหิ มญฺญตีติ โยชนาฯ ตํ ปน มญฺญนาวิธิํ ทเสฺสตุํ ‘‘กถ’’นฺติ อาหฯ ตสฺสโตฺถ เหฎฺฐา วุตฺตนเยน เวทิตโพฺพฯ
Bāhirampi pathaviṃ tīhi maññanāhi maññatīti yojanā. Taṃ pana maññanāvidhiṃ dassetuṃ ‘‘katha’’nti āha. Tassattho heṭṭhā vuttanayena veditabbo.
อยํ ชีโวติ อยํ กาฬโลหํ ‘‘ชีโว อตฺตา’’ติ อภินิวิสติ เอกเจฺจ นิคณฺฐา วิยฯ เอวํ พาหิรํ ปถวิํ ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญตีติ เอตฺถาปิ ‘‘ยา เจว โข ปน อชฺฌตฺติกา ปถวีธาตุ, ยา จ พาหิรา ปถวีธาตู’’ติอาทินา นเยน อาเนตฺวา วตฺตโพฺพฯ
Ayaṃjīvoti ayaṃ kāḷalohaṃ ‘‘jīvo attā’’ti abhinivisati ekacce nigaṇṭhā viya. Evaṃ bāhiraṃ pathaviṃ diṭṭhimaññanāya maññatīti etthāpi ‘‘yā ceva kho pana ajjhattikā pathavīdhātu, yā ca bāhirā pathavīdhātū’’tiādinā nayena ānetvā vattabbo.
ปถวีกสิณํ อตฺตโต สมนุปสฺสตีติอาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ เหฎฺฐา วุตฺตเมวฯ อยมฺปิ จ นโย ‘‘รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’’ติ เอเตฺถว อโนฺตคโธติ ทฎฺฐโพฺพ กสิณานมฺปิ รูปสมญฺญาสมฺภาวโตฯ ปถวิํ มญฺญตีติ เอตฺถ ยาทิโส มญฺญนาวตฺถุมญฺญนานํ วิตฺถารนโย วุโตฺต, ตาทิโส อิโต ปรํ วุตฺตนโยวาติ อาห ‘‘อิโต ปรํ สเงฺขเปเนว กถยิสฺสามา’’ติ, อตาทิโส ปน วิตฺถารโตปิ กถยิสฺสตีติ อโตฺถฯ
Pathavīkasiṇaṃ attato samanupassatītiādīsu yaṃ vattabbaṃ, taṃ heṭṭhā vuttameva. Ayampi ca nayo ‘‘rūpaṃ attato samanupassatī’’ti ettheva antogadhoti daṭṭhabbo kasiṇānampi rūpasamaññāsambhāvato. Pathaviṃ maññatīti ettha yādiso maññanāvatthumaññanānaṃ vitthāranayo vutto, tādiso ito paraṃ vuttanayovāti āha ‘‘ito paraṃ saṅkhepeneva kathayissāmā’’ti, atādiso pana vitthāratopi kathayissatīti attho.
ตสฺมาติ ยสฺมา ‘‘ปถวิยา’’ติ อิทํ ภุมฺมวจนํ, ตสฺมา, โส อตฺตปรตฺตทุปกรณานํ อาธารภาเวน ตํ มญฺญนาวตฺถุํ กเปฺปตีติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘อหํ ปถวิยา’’ติอาทิฯ นนุ จ อินฺทฺริยพทฺธานินฺทฺริยพทฺธปเภทสฺส ธมฺมปฺปพนฺธสฺส สสมฺภารปถวี จ อาธารนิสฺสโย, อิตรา อารมฺมณนิสฺสโย ตทารมฺมณสฺสาติ เอตฺถ นิพฺพิโรโธติ? น, มญฺญนาวตฺถุํ นิสฺสยภาเวน ปริกปฺปนโตฯ อยญฺหิ ‘‘อห’’นฺติ ทิฎฺฐิมญฺญนาย มานมญฺญนาย จ วตฺถุภูตสฺส อตฺตโน ปถวิสนฺนิสฺสยํ กตฺวา ‘‘อหํ ปถวิยา’’ติ มญฺญติ, ตณฺหามญฺญนาย วตฺถุภูตสฺส อุปกรณสฺส ปถวิํ สนฺนิสฺสยํ กตฺวา ‘‘มยฺหํ กิญฺจนํ ปลิโพโธ ปถวิยา’’ติ มญฺญติฯ ปโรติอาทีสุปิ อิมินา นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Tasmāti yasmā ‘‘pathaviyā’’ti idaṃ bhummavacanaṃ, tasmā, so attaparattadupakaraṇānaṃ ādhārabhāvena taṃ maññanāvatthuṃ kappetīti attho. Tenāha ‘‘ahaṃ pathaviyā’’tiādi. Nanu ca indriyabaddhānindriyabaddhapabhedassa dhammappabandhassa sasambhārapathavī ca ādhāranissayo, itarā ārammaṇanissayo tadārammaṇassāti ettha nibbirodhoti? Na, maññanāvatthuṃ nissayabhāvena parikappanato. Ayañhi ‘‘aha’’nti diṭṭhimaññanāya mānamaññanāya ca vatthubhūtassa attano pathavisannissayaṃ katvā ‘‘ahaṃ pathaviyā’’ti maññati, taṇhāmaññanāya vatthubhūtassa upakaraṇassa pathaviṃ sannissayaṃ katvā ‘‘mayhaṃ kiñcanaṃ palibodho pathaviyā’’ti maññati. Parotiādīsupi iminā nayena attho veditabbo.
ยฺวายํ อตฺถนโยติ สมฺพโนฺธฯ วุโตฺต ปฎิสมฺภิทามเคฺคฯ เอเตเนว นเยนาติ ยฺวายํ ‘‘โส โข ปน เม อตฺตา อิมสฺมิํ รูเป’’ติ สมุทายสฺส อาธารภาวทีปโน อตฺถนโย วุโตฺต, เอเตเนว นเยนฯ น หิ อวยวพฺยติเรเกน สมุทาโย ลพฺภติ, ตสฺมา สมุทาเย วุตฺตวิธิ อวยเวปิ ลพฺภตีติ อธิปฺปาโยฯ เตนาห โส โข ปน เม อยํ อตฺตา อิมิสฺสา ปถวิยาติ มญฺญโนฺตติฯ ตสฺมิํเยว ปนสฺส อตฺตนีติ เอตฺถ อสฺสาติ ปุถุชฺชนสฺสฯ ตสฺมิํเยว อตฺตนีติ อชฺฌตฺติกพาหิรปถวีสนฺนิสฺสเย อตฺตนิฯ ‘‘ปถวิยา มญฺญตี’’ติ ปทสฺสายํ วณฺณนาฯ เอวํ ‘‘ปถวิยา มญฺญตี’’ติ เอตฺถ อตฺตวเสน ทิฎฺฐิมานตณฺหามญฺญนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ปรวเสน ทเสฺสตุํ ‘‘ยทา ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อสฺสาติ ปรสฺสฯ ตทาติ ปรวเสน มญฺญนายํฯ ทิฎฺฐิมญฺญนา เอว ยุชฺชติ ตตฺถ นิจฺจาภินิเวสาทโย สมฺภวนฺตีติ กตฺวาฯ อวธารเณน มานตณฺหามญฺญนา นิวเตฺตติฯ น หิ ‘‘เสโยฺยหมสฺมี’’ติอาทินา, ‘‘มยฺห’’นฺติ จ ปวตฺตลกฺขณา มานตณฺหา ปรสฺมิํ ปรสฺส สนฺตกภาเวน คหิเต จ ปวตฺตนฺตีติ อธิปฺปาโยฯ อิตราโยปีติ มานตณฺหามญฺญนาโยปิฯ อิจฺฉนฺติ อฎฺฐกถาจริยาฯ ปรสฺสปิ หิ ปถวีสนฺนิสฺสเยน สมฺปตฺติอิสฺสริยาทิกสฺส วเสน อตฺตนิ เสยฺยาทิภาวํ ทหโต ปณิทหโต จ จิตฺตํ ตถาภาวาย มานตณฺหามญฺญนา สมฺภวนฺตีติ อาจริยานํ อธิปฺปาโยฯ ‘‘ปโร ปถวี ปรสฺส ปถวี’’ติ เอตฺถาปิ อิเม เทฺว ปการา สาธิปฺปายา นิทฺธาเรตพฺพาฯ
Yvāyaṃ atthanayoti sambandho. Vutto paṭisambhidāmagge. Eteneva nayenāti yvāyaṃ ‘‘so kho pana me attā imasmiṃ rūpe’’ti samudāyassa ādhārabhāvadīpano atthanayo vutto, eteneva nayena. Na hi avayavabyatirekena samudāyo labbhati, tasmā samudāye vuttavidhi avayavepi labbhatīti adhippāyo. Tenāha so kho pana me ayaṃ attā imissā pathaviyāti maññantoti. Tasmiṃyeva panassa attanīti ettha assāti puthujjanassa. Tasmiṃyeva attanīti ajjhattikabāhirapathavīsannissaye attani. ‘‘Pathaviyā maññatī’’ti padassāyaṃ vaṇṇanā. Evaṃ ‘‘pathaviyā maññatī’’ti ettha attavasena diṭṭhimānataṇhāmaññanaṃ dassetvā idāni paravasena dassetuṃ ‘‘yadā panā’’tiādi vuttaṃ. Tattha assāti parassa. Tadāti paravasena maññanāyaṃ. Diṭṭhimaññanā eva yujjati tattha niccābhinivesādayo sambhavantīti katvā. Avadhāraṇena mānataṇhāmaññanā nivatteti. Na hi ‘‘seyyohamasmī’’tiādinā, ‘‘mayha’’nti ca pavattalakkhaṇā mānataṇhā parasmiṃ parassa santakabhāvena gahite ca pavattantīti adhippāyo. Itarāyopīti mānataṇhāmaññanāyopi. Icchanti aṭṭhakathācariyā. Parassapi hi pathavīsannissayena sampattiissariyādikassa vasena attani seyyādibhāvaṃ dahato paṇidahato ca cittaṃ tathābhāvāya mānataṇhāmaññanā sambhavantīti ācariyānaṃ adhippāyo. ‘‘Paro pathavī parassa pathavī’’ti etthāpi ime dve pakārā sādhippāyā niddhāretabbā.
‘‘ปถวิโต สญฺชานาตี’’ติ, ‘‘อาทิโต’’ติ จ อาทีสุ อนิสฺสกฺกวจเนปิ โต-สโทฺท ทิโฎฺฐติ อาห ‘‘ปถวิโตติ นิสฺสกฺกวจน’’นฺติฯ สอุปกรณสฺสาติ หิรญฺญสุวณฺณคตสฺส ทาสโปริสาทินา วิตฺตุปกรเณน สอุปกรณสฺส, อตฺตโน วา ปรสฺส วา เตสํ อุปกรณสฺส วาติ อโตฺถฯ ยถาวุตฺตปฺปเภทโตติ ลกฺขณาทิอชฺฌตฺติกาทิวุตฺตปฺปการวิภาคโตฯ อุปฺปตฺติํ วา นิคฺคมนํ วาติ ‘‘ตํ อณฺฑํ อโหสิ เหมมยํ, ตสฺมิํ สยํ พฺรหฺมา อุปฺปโนฺน’’ติ พฺรหฺมณฺฑวาทวเสน วา ‘‘ทฺวีหิ อณูหิ ทฺวิอณุก’’นฺติ เอวํ ปวตฺตอณุกวาทวเสน วา ปถวิโต อุปฺปตฺติํ วา ‘‘สโพฺพยํ โลโก อิสฺสรโต วินิคฺคโต’’ติ อิสฺสรวาทวเสน อิสฺสรกุตฺตโต ปถวิโต นิคฺคมนํ วา มญฺญมาโนติ โยชนาฯ ปถวิโต วา อโญฺญ อาปาทิโก อตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ เอตฺถ จ ปุริมสฺมิํ อตฺถวิกเปฺป การกลกฺขณํ นิสฺสกฺกวจนํ, ทุติยสฺมิํ อุปปทลกฺขณนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อตฺตโน ปริคฺคหภูตปถวิโต สุขปฺปตฺติํ ตโต เอว จ ปเรหิ เสยฺยาทิภาวํ กเปฺปนฺตสฺส วเสนเปตฺถ ตณฺหามานมญฺญนา เวทิตพฺพาฯ อปเรติ สารสมาสาจริยาฯ ตโต อญฺญํ อปฺปมาณํ อตฺตานํ คเหตฺวาติ ปุเพฺพ ภาวิตอาปาทิอปฺปมาณกสิณวเสน วา กาปิลกาณาททิฎฺฐิวเสน วา อปฺปมาณํ พฺยาปินํ อตฺตานํ คเหตฺวาฯ ปถวิโตติ ปจฺฉา อภาวิตอวฑฺฒิตปถวีกสิณสงฺขาตปถวิโตฯ พหิทฺธาปิ เม อตฺตาติ อิโต ปถวิโต พหิปิ เม อตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ
‘‘Pathavito sañjānātī’’ti, ‘‘ādito’’ti ca ādīsu anissakkavacanepi to-saddo diṭṭhoti āha ‘‘pathavitoti nissakkavacana’’nti. Saupakaraṇassāti hiraññasuvaṇṇagatassa dāsaporisādinā vittupakaraṇena saupakaraṇassa, attano vā parassa vā tesaṃ upakaraṇassa vāti attho. Yathāvuttappabhedatoti lakkhaṇādiajjhattikādivuttappakāravibhāgato. Uppattiṃ vā niggamanaṃ vāti ‘‘taṃ aṇḍaṃ ahosi hemamayaṃ, tasmiṃ sayaṃ brahmā uppanno’’ti brahmaṇḍavādavasena vā ‘‘dvīhi aṇūhi dviaṇuka’’nti evaṃ pavattaaṇukavādavasena vā pathavito uppattiṃ vā ‘‘sabboyaṃ loko issarato viniggato’’ti issaravādavasena issarakuttato pathavito niggamanaṃ vā maññamānoti yojanā. Pathavito vā añño āpādiko attāti adhippāyo. Ettha ca purimasmiṃ atthavikappe kārakalakkhaṇaṃ nissakkavacanaṃ, dutiyasmiṃ upapadalakkhaṇanti daṭṭhabbaṃ. Attano pariggahabhūtapathavito sukhappattiṃ tato eva ca parehi seyyādibhāvaṃ kappentassa vasenapettha taṇhāmānamaññanā veditabbā. Apareti sārasamāsācariyā. Tato aññaṃ appamāṇaṃ attānaṃ gahetvāti pubbe bhāvitaāpādiappamāṇakasiṇavasena vā kāpilakāṇādadiṭṭhivasena vā appamāṇaṃ byāpinaṃ attānaṃ gahetvā. Pathavitoti pacchā abhāvitaavaḍḍhitapathavīkasiṇasaṅkhātapathavito. Bahiddhāpi me attāti ito pathavito bahipi me attāti adhippāyo.
เกวลนฺติ อนวเสสํฯ มหาปถวิํ ตณฺหาวเสน มมายติ, อยญฺจ นโย จตุทีปิสฺสริเย ฐิตสฺส ทีปจกฺกวตฺติโน จ ลเพฺภยฺย, มณฺฑลิกราชมหามตฺตกุฎุมฺพิกานมฺปิ วเสน ลพฺภเตว เตสมฺปิ ยถาปริคฺคหํ อนวเสเสตฺวา มญฺญนาย สมฺภวโตฯ ‘‘เอวํ มมา’’ติ คาหสฺส ‘‘เอโสหมสฺมิํ, เอโส เม อตฺตา’’ติ คาหวิธูรตาย วุตฺตํ ‘‘เอกา ตณฺหามญฺญนา เอว ลพฺภตี’’ติ ฯ อิมินา นเยนาติ วุตฺตมติเทสํ วิภาเวตุํ ‘‘สา จาย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สา จายนฺติ สา จ อยํ ตณฺหามญฺญนา โยเชตพฺพาติ สมฺพโนฺธฯ ยถา ปน ทิฎฺฐิมญฺญนามญฺญิเต วตฺถุสฺมิํ สิเนหํ มานญฺจ อุปฺปาทยโต ตณฺหามานมญฺญนา สมฺภวนฺติ, เอวํ ตณฺหามญฺญนามญฺญิเตน วตฺถุนา อตฺตานํ เสยฺยาทิโต ทหโต ตญฺจ อตฺตนิยํ นิจฺจํ ตถา ตํสามิภูตํ อตฺตานญฺจ ปริกเปฺปนฺตสฺส อิตรมญฺญนาปิ สมฺภวนฺตีติ สกฺกา วิญฺญาตุํฯ ‘‘เม’’ติ หิ อิมินา อตฺถคฺคหณมุเขเนว อตฺตนิยสมฺพโนฺธ ปกาสียตีติฯ
Kevalanti anavasesaṃ. Mahāpathaviṃ taṇhāvasena mamāyati, ayañca nayo catudīpissariye ṭhitassa dīpacakkavattino ca labbheyya, maṇḍalikarājamahāmattakuṭumbikānampi vasena labbhateva tesampi yathāpariggahaṃ anavasesetvā maññanāya sambhavato. ‘‘Evaṃ mamā’’ti gāhassa ‘‘esohamasmiṃ, eso me attā’’ti gāhavidhūratāya vuttaṃ ‘‘ekā taṇhāmaññanā eva labbhatī’’ti . Iminā nayenāti vuttamatidesaṃ vibhāvetuṃ ‘‘sā cāya’’ntiādi vuttaṃ. Tattha sā cāyanti sā ca ayaṃ taṇhāmaññanā yojetabbāti sambandho. Yathā pana diṭṭhimaññanāmaññite vatthusmiṃ sinehaṃ mānañca uppādayato taṇhāmānamaññanā sambhavanti, evaṃ taṇhāmaññanāmaññitena vatthunā attānaṃ seyyādito dahato tañca attaniyaṃ niccaṃ tathā taṃsāmibhūtaṃ attānañca parikappentassa itaramaññanāpi sambhavantīti sakkā viññātuṃ. ‘‘Me’’ti hi iminā atthaggahaṇamukheneva attaniyasambandho pakāsīyatīti.
อภินนฺทตีติ อิมินา ตณฺหาทิฎฺฐาภินิเวสานํ สงฺคหิตตฺตา เต ทเสฺสโนฺต ‘‘อสฺสาเทติ ปรามสติ จา’’ติ อาหฯ ทิฎฺฐิวิปฺปยุตฺตจิตฺตุปฺปาทวเสน เจตสฺส ทฺวยสฺส อสงฺกรโต ปวตฺติ เวทิตพฺพา, เอกจิตฺตุปฺปาเทปิ วา อธิปติธมฺมานํ วิย ปุพฺพาภิสงฺขารวเสน ตสฺส ตสฺส พลวภาเวน ปวตฺติฯ เอตสฺมิํ อเตฺถติ ตณฺหาทิฎฺฐิวเสน อภินนฺทนเตฺถฯ เอตนฺติ ‘‘ปถวิํ อภินนฺทตี’’ติ เอตํ ปทํฯ เยสํ วิเนยฺยานํ เยหิ ปการวิเสเสหิ ธมฺมานํ วิภาวเน กเต วิเสสาธิคโม โหติ, เตสํ เตหิ ปการวิเสเสหิ ธมฺมวิภาวนํฯ เยสํ ปน เยน เอเกเนว ปกาเรน ธมฺมวิภาวเน กเต วิเสสาธิคโม โหติ, เตสมฺปิ ตํ วตฺวา ธมฺมิสฺสรตาย ตทญฺญนิรวเสสปฺปการวิภาวนญฺจ เทสนาวิลาโสฯ เตนาห ‘‘ปุเพฺพ มญฺญนาวเสน กิเลสุปฺปตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อภินนฺทนาวเสน ทเสฺสโนฺต’’ติฯ ธมฺมธาตุยาติ สมฺมาสโมฺพธิยาฯ สา หิ สพฺพเญยฺยธมฺมํ ยถาสภาวโต ธาเรติ อุปธาเรติ, สกลญฺจ วิเนยฺยสตฺตสงฺขาตธมฺมปฺปพนฺธํ อปายทุกฺขสํสารทุกฺขปตนโต ธาเรติ, สยญฺจ อวิปรีตปวตฺติอาการา ธาตูติ ธมฺมธาตูติ อิธาธิเปฺปตาฯ สพฺพญฺญุตญฺญาณปทฎฺฐานญฺหิ มคฺคญาณํ, มคฺคญาณปทฎฺฐานญฺจ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ สมฺมาสโมฺพธีติฯ สุปฺปฎิวิทฺธตฺตาติ สุฎฺฐุ ปฎิวิทฺธภาวโต, สมฺมา อธิคตตฺตาติ อโตฺถฯ อภิกงฺขนสมฺปคฺคหปรามสนานํ วเสน อารมฺมเณ ปริกปฺปนาปวตฺติ มญฺญนาฯ ตตฺถ ‘‘มมํ, อห’’นฺติ จ อภินิเวสนํ ปริกปฺปนํฯ เยน อโชฺฌสานํ โหติ, อยํ อภินนฺทนาติ อยเมเตสํ วิเสโสฯ สุตฺตาทิอวิรุทฺธาเยว อตฺตโนมติ อิจฺฉิตพฺพา, น อิตราติ สุเตฺตน ตสฺสา สงฺคหํ ทเสฺสตุํ ‘‘วุตฺตเญฺจต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ เทสนาวิลาสวิภาวนสฺส ปน สเหตุกเหตุสมฺปยุตฺตทุกาทิเทสนาย นิพทฺธตา นิทฺธาเรตพฺพาฯ
Abhinandatīti iminā taṇhādiṭṭhābhinivesānaṃ saṅgahitattā te dassento ‘‘assādeti parāmasati cā’’ti āha. Diṭṭhivippayuttacittuppādavasena cetassa dvayassa asaṅkarato pavatti veditabbā, ekacittuppādepi vā adhipatidhammānaṃ viya pubbābhisaṅkhāravasena tassa tassa balavabhāvena pavatti. Etasmiṃ attheti taṇhādiṭṭhivasena abhinandanatthe. Etanti ‘‘pathaviṃ abhinandatī’’ti etaṃ padaṃ. Yesaṃ vineyyānaṃ yehi pakāravisesehi dhammānaṃ vibhāvane kate visesādhigamo hoti, tesaṃ tehi pakāravisesehi dhammavibhāvanaṃ. Yesaṃ pana yena ekeneva pakārena dhammavibhāvane kate visesādhigamo hoti, tesampi taṃ vatvā dhammissaratāya tadaññaniravasesappakāravibhāvanañca desanāvilāso. Tenāha ‘‘pubbe maññanāvasena kilesuppattiṃ dassetvā idāni abhinandanāvasena dassento’’ti. Dhammadhātuyāti sammāsambodhiyā. Sā hi sabbañeyyadhammaṃ yathāsabhāvato dhāreti upadhāreti, sakalañca vineyyasattasaṅkhātadhammappabandhaṃ apāyadukkhasaṃsāradukkhapatanato dhāreti, sayañca aviparītapavattiākārā dhātūti dhammadhātūti idhādhippetā. Sabbaññutaññāṇapadaṭṭhānañhi maggañāṇaṃ, maggañāṇapadaṭṭhānañca sabbaññutaññāṇaṃ sammāsambodhīti. Suppaṭividdhattāti suṭṭhu paṭividdhabhāvato, sammā adhigatattāti attho. Abhikaṅkhanasampaggahaparāmasanānaṃ vasena ārammaṇe parikappanāpavatti maññanā. Tattha ‘‘mamaṃ, aha’’nti ca abhinivesanaṃ parikappanaṃ. Yena ajjhosānaṃ hoti, ayaṃ abhinandanāti ayametesaṃ viseso. Suttādiaviruddhāyeva attanomati icchitabbā, na itarāti suttena tassā saṅgahaṃ dassetuṃ ‘‘vuttañceta’’ntiādi vuttaṃ. Desanāvilāsavibhāvanassa pana sahetukahetusampayuttadukādidesanāya nibaddhatā niddhāretabbā.
ตสฺสาติ เตนฯ ญาตสทฺทสมฺพเนฺธน เหตํ กตฺตริ สามิวจนํฯ ตสฺมาติ อปริญฺญาตตฺตาฯ ‘‘อปริญฺญาต’’นฺติ ปฎิเกฺขปมุเขน ยํ ปริชานนํ วุตฺตํ, ตํ อตฺถโต ติวิธา ปริญฺญา โหตีติ ตํ สรูปโต ปวตฺติอาการโต จ วิภาเวโนฺต ‘‘โย หี’’ติอาทิมาหฯ
Tassāti tena. Ñātasaddasambandhena hetaṃ kattari sāmivacanaṃ. Tasmāti apariññātattā. ‘‘Apariññāta’’nti paṭikkhepamukhena yaṃ parijānanaṃ vuttaṃ, taṃ atthato tividhā pariññā hotīti taṃ sarūpato pavattiākārato ca vibhāvento ‘‘yo hī’’tiādimāha.
ตตฺถ ยาย ปญฺญาย วิปสฺสนาภูมิํ ปริชานาติ ปริจฺฉินฺทติ, สา ปริชานนปญฺญา ญาตปริญฺญาฯ สา หิ เตภูมกธมฺมชาตํ ‘‘อยํ วิปสฺสนาภูมี’’ติ ญาตํ วิทิตํ ปากฎํ กโรนฺตีเยว ลกฺขณรสาทิโต อชฺฌตฺติกาทิวิภาคโต จ ปริจฺฉิชฺช ชานาติฯ อิธ ปน ปถวีธาตุวเสน เวทิตพฺพาติ วุตฺตํ ‘‘ปถวีธาตุํ ปริชานาตี’’ติอาทิฯ ตีรณปริญฺญาติ กีรณวเสน ปริชานนกปญฺญาฯ สา หิ ปริวาเรหิ อนิจฺจตาทิอากาเรหิ อนิจฺจตาทิสภาวสฺส อุปาทานกฺขนฺธปญฺจกสฺส ตีรณวเสน สมฺมสนวเสน ตํ ปริจฺฉิชฺช ชานาติฯ อคฺคมเคฺคนาติ อรหตฺตมเคฺคนฯ โส หิ อนวเสสโต ฉนฺทราคํ ปชหติฯ อคฺคมเคฺคนาติ วา อคฺคภูเตน มเคฺคน, โลกุตฺตรมเคฺคนาติ อโตฺถฯ อุภยถาปิ หิ สมุเจฺฉทปหานการี เอว ปญฺญา นิปฺปริยาเยน ปหานปริญฺญาติ ทเสฺสติฯ
Tattha yāya paññāya vipassanābhūmiṃ parijānāti paricchindati, sā parijānanapaññā ñātapariññā. Sā hi tebhūmakadhammajātaṃ ‘‘ayaṃ vipassanābhūmī’’ti ñātaṃ viditaṃ pākaṭaṃ karontīyeva lakkhaṇarasādito ajjhattikādivibhāgato ca paricchijja jānāti. Idha pana pathavīdhātuvasena veditabbāti vuttaṃ ‘‘pathavīdhātuṃ parijānātī’’tiādi. Tīraṇapariññāti kīraṇavasena parijānanakapaññā. Sā hi parivārehi aniccatādiākārehi aniccatādisabhāvassa upādānakkhandhapañcakassa tīraṇavasena sammasanavasena taṃ paricchijja jānāti. Aggamaggenāti arahattamaggena. So hi anavasesato chandarāgaṃ pajahati. Aggamaggenāti vā aggabhūtena maggena, lokuttaramaggenāti attho. Ubhayathāpi hi samucchedapahānakārī eva paññā nippariyāyena pahānapariññāti dasseti.
นามรูปววตฺถานนฺติ เอเตน ปจฺจยปริคฺคโหปิ สงฺคหิโตติ ทฎฺฐโพฺพ นามรูปสฺส เหตุววตฺถานภาวโตฯ โสปิ หิ เหตุปจฺจยมุเขน นามรูปสฺส ววตฺถานเมวาติฯ กลาปสมฺมสนาทิวเสน ตีรณปริญฺญา อนิจฺจาทิวเสน สมฺมสนภาวโตฯ ตสฺมาติ ยสฺมา ตา ปริญฺญาโย นตฺถิ, ตสฺมาฯ อถ วา ตสฺมา อปริญฺญาตตฺตาติ ยสฺมา อปริญฺญาตา ปถวี, ตสฺมา อปริญฺญาตตฺตา ปถวิยา ตํ ปถวิํ มญฺญติ จ อภินนฺทติ จาติฯ
Nāmarūpavavatthānanti etena paccayapariggahopi saṅgahitoti daṭṭhabbo nāmarūpassa hetuvavatthānabhāvato. Sopi hi hetupaccayamukhena nāmarūpassa vavatthānamevāti. Kalāpasammasanādivasena tīraṇapariññā aniccādivasena sammasanabhāvato. Tasmāti yasmā tā pariññāyo natthi, tasmā. Atha vā tasmā apariññātattāti yasmā apariññātā pathavī, tasmā apariññātattā pathaviyā taṃ pathaviṃ maññati ca abhinandati cāti.
ปถวีวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pathavīvāravaṇṇanā niṭṭhitā.
อาโปวาราทิวณฺณนา
Āpovārādivaṇṇanā
อาปํ อาปโตติ เอตฺถ อโปฺปติ, อปฺปายตีติ วา อาโป, ยสฺมิํ สงฺฆาเต สยํ อตฺถิ, ตํ อาพนฺธนวเสน พฺยาเปตฺวา ติฎฺฐติ, ปริพฺรูเหตีติ วา อโตฺถฯ อตฺถานํ อธิ อชฺฌตฺตํฯ ปติ ปติ อตฺตานนฺติ ปจฺจตฺตํฯ อุภเยนปิ สตฺตสนฺตานปริยาปนฺนเมว วทติฯ อาโป อาโปคตนฺติอาทีสุ อาพนฺธนเมว อาโป, ตเทว อาโปสภาวํ คตตฺตา อาโปคตํ, สภาเวเนว อาปภาวํ ปตฺตนฺติ อโตฺถฯ สิเนหนวเสน สิเนโห, โสเยว สิเนหนสภาวํ คตตฺตา สิเนหคตํฯ พนฺธนตฺตํ รูปสฺสาติ อวินิโพฺภครูปสฺส พนฺธนภาโว, อวิปฺปกิรณวเสน สมฺปิณฺฑนนฺติ อโตฺถฯ อุคฺคณฺหโนฺตติ ยถาปริจฺฉิเนฺน อาโปมณฺฑเล ยถา อุคฺคหนิมิตฺตํ อุปลพฺภติ, ตถา นิมิตฺตํ คณฺหโนฺตฯ วุโตฺตติ ‘‘อาปสฺมิ’’นฺติ เอตฺถ วุตฺตอาโปฯ โส หิ สสมฺภารอาโป, น ‘‘อาโปกสิณ’’นฺติ เอตฺถ วุตฺตอาโปฯ เสสนฺติ อารมฺมณสมฺมุติอาปานํ สรูปวิภาวนํฯ ‘‘อาปํ อาปโต ปชานาตี’’ติอาทิปาฬิยา อตฺถวิภาวนเญฺจว ตตฺถ ตตฺถ มญฺญนาวิภาคทสฺสนญฺจ ปถวิยํ วุตฺตสทิสเมวาติฯ ตตฺถ ‘‘ปถวีกสิณเมโก สญฺชานาตี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๓.๓๖๐; อ. นิ. ๑๐.๒๕) วุตฺตํ, อิธ ‘‘อาโปกสิณเมโก สญฺชานาตี’’ติอาทินา วตฺตพฺพํฯ ตตฺถ จ ‘‘ปถวีติ สญฺชานาตี’’ติ วุตฺตํ, อิธ ปน ‘‘อาโปติ สญฺชานาตี’’ติอาทินา วตฺตพฺพนฺติ เอวมาทิ เอว วิเสโสฯ เสสํ ตาทิสเมวฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปถวิยํ วุตฺตสทิสเมวา’’ติฯ โย ปเนตฺถ วิเสโส, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘เกวล’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ มูลรโสติ มูลํ ปฎิจฺจ นิพฺพตฺตรโสฯ ขนฺธรสาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ขีราทีนิ ปากฎาเนวฯ ยถา ปน เภสชฺชสิกฺขาปเท (ปารา. ๖๑๘-๖๒๕), น เอวมิธ นิยโม อตฺถิฯ ยํ กิญฺจิ ขีรํ ขีรเมวฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ ภุมฺมานีติ อาวาฎาทีสุ ฐิตอุทกานิฯ อนฺตลิกฺขานีติ ปถวิํ อปฺปตฺตานิ วโสฺสทกานิ, ปตฺตานิ ปน ภุมฺมาเนวฯ เอวํ วุตฺตา จาติ จ-สเทฺทน หิโมทกกปฺปวินาสกอุทกปถวิยาอโนฺตอุทกปถวีสนฺธารกอุทกาทิํ ปุเพฺพ อวุตฺตมฺปิ สมุจฺจิโนติฯ
Āpaṃāpatoti ettha appoti, appāyatīti vā āpo, yasmiṃ saṅghāte sayaṃ atthi, taṃ ābandhanavasena byāpetvā tiṭṭhati, paribrūhetīti vā attho. Atthānaṃ adhi ajjhattaṃ. Pati pati attānanti paccattaṃ. Ubhayenapi sattasantānapariyāpannameva vadati. Āpo āpogatantiādīsu ābandhanameva āpo, tadeva āposabhāvaṃ gatattā āpogataṃ, sabhāveneva āpabhāvaṃ pattanti attho. Sinehanavasena sineho, soyeva sinehanasabhāvaṃ gatattā sinehagataṃ. Bandhanattaṃ rūpassāti avinibbhogarūpassa bandhanabhāvo, avippakiraṇavasena sampiṇḍananti attho. Uggaṇhantoti yathāparicchinne āpomaṇḍale yathā uggahanimittaṃ upalabbhati, tathā nimittaṃ gaṇhanto. Vuttoti ‘‘āpasmi’’nti ettha vuttaāpo. So hi sasambhāraāpo, na ‘‘āpokasiṇa’’nti ettha vuttaāpo. Sesanti ārammaṇasammutiāpānaṃ sarūpavibhāvanaṃ. ‘‘Āpaṃ āpato pajānātī’’tiādipāḷiyā atthavibhāvanañceva tattha tattha maññanāvibhāgadassanañca pathaviyaṃ vuttasadisamevāti. Tattha ‘‘pathavīkasiṇameko sañjānātī’’tiādinā (dī. ni. 3.360; a. ni. 10.25) vuttaṃ, idha ‘‘āpokasiṇameko sañjānātī’’tiādinā vattabbaṃ. Tattha ca ‘‘pathavīti sañjānātī’’ti vuttaṃ, idha pana ‘‘āpoti sañjānātī’’tiādinā vattabbanti evamādi eva viseso. Sesaṃ tādisameva. Tena vuttaṃ ‘‘pathaviyaṃ vuttasadisamevā’’ti. Yo panettha viseso, taṃ dassetuṃ ‘‘kevala’’ntiādi vuttaṃ. Tattha mūlarasoti mūlaṃ paṭicca nibbattaraso. Khandharasādīsupi eseva nayo. Khīrādīni pākaṭāneva. Yathā pana bhesajjasikkhāpade (pārā. 618-625), na evamidha niyamo atthi. Yaṃ kiñci khīraṃ khīrameva. Sesesupi eseva nayo. Bhummānīti āvāṭādīsu ṭhitaudakāni. Antalikkhānīti pathaviṃ appattāni vassodakāni, pattāni pana bhummāneva. Evaṃ vuttā cāti ca-saddena himodakakappavināsakaudakapathaviyāantoudakapathavīsandhārakaudakādiṃ pubbe avuttampi samuccinoti.
เตชํ เตชโตติ เอตฺถ เตชนเฎฺฐน เตโช, เตชนํ นาม ทหนปจนาทิสมตฺถํ นิสานํ, ยํ อุณฺหตฺตนฺติ วุจฺจติฯ เยน จาติ เยน เตโชคเตน กุปิเตนฯ สนฺตปฺปตีติ อยํ กาโย สมนฺตโต ตปฺปติ เอกาหิกชราทิภาเวน อุสุมชาโต โหติฯ เยน จ ชีรียตีติ เยน อยํ กาโย ชีรียติ, อินฺทฺริยเวกลฺลตํ พลปริกฺขยํ วลิตาทิภาวญฺจ ปาปุณาติฯ เยน จ ปริฑยฺหตีติ เยน กุปิเตน อยํ กาโย ปริโต ฑยฺหติ, โส จ ปุคฺคโล ฑยฺหามีติ สตโธตสปฺปิโคสีตจนฺทนาทิเลปเญฺจว ตาลวณฺฎวาตญฺจ ปจฺจาสีสติฯ เยน จ อสิตปีตขายิตสายิตํ สมฺมา ปริณามํ คจฺฉตีติ เยน อสิตํ วา โอทนาทิ, ปีตํ วา ปานกาทิ, ขายิตํ วา ปิฐขชฺชกาทิ, สายิตํ วา อมฺพปกฺกมธุผาณิตาทิ สมฺมเทว ปริปากํ คจฺฉติ, รสาทิภาเวน วิเวกํ คจฺฉตีติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ สรีรสฺส ปกติอุสุมํ อติกฺกมิตฺวา อุณฺหภาโว สนฺตาโป, สรีรทหนวเสน ปวโตฺต มหาทาโห ปริทาโห, สตวารํ ตาเปตฺวา อุทเก ปกฺขิปิตฺวา อุทฺธฎสปฺปิ สตโธตสปฺปิ, รสรุธิรมํสเมทอฎฺฐิอฎฺฐิมิญฺชสุกฺกา รสาทโยฯ ตตฺถ ปุริมา ตโย เตชา จตุสมุฎฺฐานา, ปจฺฉิโม กมฺมสมุฎฺฐาโนวฯ
Tejaṃ tejatoti ettha tejanaṭṭhena tejo, tejanaṃ nāma dahanapacanādisamatthaṃ nisānaṃ, yaṃ uṇhattanti vuccati. Yena cāti yena tejogatena kupitena. Santappatīti ayaṃ kāyo samantato tappati ekāhikajarādibhāvena usumajāto hoti. Yena ca jīrīyatīti yena ayaṃ kāyo jīrīyati, indriyavekallataṃ balaparikkhayaṃ valitādibhāvañca pāpuṇāti. Yena ca pariḍayhatīti yena kupitena ayaṃ kāyo parito ḍayhati, so ca puggalo ḍayhāmīti satadhotasappigosītacandanādilepañceva tālavaṇṭavātañca paccāsīsati. Yena ca asitapītakhāyitasāyitaṃ sammā pariṇāmaṃ gacchatīti yena asitaṃ vā odanādi, pītaṃ vā pānakādi, khāyitaṃ vā piṭhakhajjakādi, sāyitaṃ vā ambapakkamadhuphāṇitādi sammadeva paripākaṃ gacchati, rasādibhāvena vivekaṃ gacchatīti attho. Ettha ca sarīrassa pakatiusumaṃ atikkamitvā uṇhabhāvo santāpo, sarīradahanavasena pavatto mahādāho paridāho, satavāraṃ tāpetvā udake pakkhipitvā uddhaṭasappi satadhotasappi, rasarudhiramaṃsamedaaṭṭhiaṭṭhimiñjasukkā rasādayo. Tattha purimā tayo tejā catusamuṭṭhānā, pacchimo kammasamuṭṭhānova.
เตโชภาวํ คตตฺตา เตโชคตํฯ อุสฺมาติ อุณฺหากาโรฯ อุสฺมาว อุสฺมาภาวํ คตตฺตา อุสฺมาคตํฯ อุสุมนฺติ จณฺฑอุสุมํฯ ตเทว อุสุมคตํ, สภาเวเนว อุสุมภาวํ ปตฺตนฺติ อโตฺถฯ กฎฺฐคฺคีติ กฎฺฐุปาทาโน อคฺคิฯ สกลิกคฺคีอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ สงฺการคฺคีติ กจวรํ ปฎิจฺจ อุปฺปนฺนอคฺคิฯ อินฺทคฺคีติ อสนิอคฺคิฯ สนฺตาโปติ ชาลาย วา วีตจฺจิตงฺคารานํ วา สนฺตาโป ฯ สูริยสนฺตาโปติ อาตโปฯ กฎฺฐสนฺนิจยสนฺตาโปติ กฎฺฐราสิํ ปฎิจฺจ อุปฺปนฺนสนฺตาโปฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ เอวํ วุตฺตา จาติฯ จ-สเทฺทน เปตคฺคิกปฺปวินาสกคฺคินิรยคฺคิอาทิเก อวุเตฺตปิ สมุจฺจิโนติฯ
Tejobhāvaṃ gatattā tejogataṃ. Usmāti uṇhākāro. Usmāva usmābhāvaṃ gatattā usmāgataṃ. Usumanti caṇḍausumaṃ. Tadeva usumagataṃ, sabhāveneva usumabhāvaṃ pattanti attho. Kaṭṭhaggīti kaṭṭhupādāno aggi. Sakalikaggīādīsupi eseva nayo. Saṅkāraggīti kacavaraṃ paṭicca uppannaaggi. Indaggīti asaniaggi. Santāpoti jālāya vā vītaccitaṅgārānaṃ vā santāpo . Sūriyasantāpoti ātapo. Kaṭṭhasannicayasantāpoti kaṭṭharāsiṃ paṭicca uppannasantāpo. Sesesupi eseva nayo. Evaṃ vuttā cāti. Ca-saddena petaggikappavināsakagginirayaggiādike avuttepi samuccinoti.
วายํ วายโตติ เอตฺถ วายนเฎฺฐน วาโยฯ กิมิทํ วายนํ นาม? วิตฺถมฺภนํ, สมุทีรณํ วา, วายนํ คมนนฺติ เอเกฯ อุทฺธงฺคมา วาตาติ อุคฺคารหิกฺกาทิปวตฺตกา อุทฺธํ อาโรหนวาตาฯ อโธคมา วาตาติ อุจฺจารปสฺสาวาทินีหรณตา อโธ โอโรหนวาตาฯ กุจฺฉิสยา วาตาติ อนฺตานํ พหิวาตาฯ โกฎฺฐาสยา วาตาติ อนฺตานํ อโนฺตวาตาฯ องฺคมงฺคานุสาริโน วาตาติ ธมนีชาลานุสาเรน สกลสรีเร องฺคมงฺคานิ อนุสฎา สมิญฺชนปสารณาทินิพฺพตฺตกา วาตา ฯ สตฺถกวาตาติ สนฺธิพนฺธนานิ กตฺตริยา ฉินฺทนฺตา วิย ปวตฺตวาตาฯ ขุรกวาตาติ ขุเรน วิย หทยมํสเฉทนผาลนกวาตาฯ อุปฺปลกวาตาติ หทยมํสสฺส สมุปฺปาฎนกวาตาฯ อสฺสาโสติ อโนฺตปวิสนกนาสิกาวาโตฯ ปสฺสาโสติ พหินิกฺขมนนาสิกาวาโตฯ เอตฺถ จ ปุริมา สเพฺพ จตุสมุฎฺฐานา, อสฺสาสปสฺสาสา จิตฺตสมุฎฺฐานาวฯ
Vāyaṃ vāyatoti ettha vāyanaṭṭhena vāyo. Kimidaṃ vāyanaṃ nāma? Vitthambhanaṃ, samudīraṇaṃ vā, vāyanaṃ gamananti eke. Uddhaṅgamā vātāti uggārahikkādipavattakā uddhaṃ ārohanavātā. Adhogamā vātāti uccārapassāvādinīharaṇatā adho orohanavātā. Kucchisayā vātāti antānaṃ bahivātā. Koṭṭhāsayā vātāti antānaṃ antovātā. Aṅgamaṅgānusārino vātāti dhamanījālānusārena sakalasarīre aṅgamaṅgāni anusaṭā samiñjanapasāraṇādinibbattakā vātā . Satthakavātāti sandhibandhanāni kattariyā chindantā viya pavattavātā. Khurakavātāti khurena viya hadayamaṃsachedanaphālanakavātā. Uppalakavātāti hadayamaṃsassa samuppāṭanakavātā. Assāsoti antopavisanakanāsikāvāto. Passāsoti bahinikkhamananāsikāvāto. Ettha ca purimā sabbe catusamuṭṭhānā, assāsapassāsā cittasamuṭṭhānāva.
วาโยคตนฺติ วาโยว วาโยคตํ, สภาเวเนว วาโยภาวํ ปตฺตนฺติ อโตฺถฯ ถมฺภิตตฺตํ รูปสฺสาติ อวินิโพฺภครูปสฺส ถมฺภิตภาโวฯ ปุรตฺถิมา วาตาติ ปุรตฺถิมทิสโต อาคตา วาตาฯ ปจฺฉิมาทีสุปิ เอเสว นโยฯ สรชาทีสุ สห รเชน สรชา, รชวิรหิตา สุทฺธา อรชาฯ สีตอุตุสมุฎฺฐานา, สีตวลาหกนฺตเร วา ชาตา สีตาฯ อุณฺหอุตุสมุฎฺฐานา, อุณฺหวลาหกนฺตเร วา ชาตา อุณฺหาฯ ปริตฺตาติ มนฺทา ตนุกวาตาฯ อธิมตฺตาติ พลววาตาฯ กาฬาติ กาฬวลาหกนฺตเร สมุฎฺฐิตาฯ เยหิ อพฺภาหโต ฉวิวโณฺณ กาฬโก โหติ, เตสํ เอตํ อธิวจนนฺติปิ เอเกฯ เวรมฺภวาตาติ โยชนโต อุปริ วายนวาตาฯ ปกฺขวาตาติ อนฺตมโส มกฺขิกายปิ ปกฺขายูหนวาตาฯ สุปณฺณวาตาติ ครุฬวาตาฯ กามํ เจเตปิ ปกฺขวาตาว, อุสฺสทวเสน ปน วิสุํ คหิตาฯ ตาลวณฺฎวาตาติ ตาลวเณฺณหิ กเตน, อเญฺญหิ วา กเตน เกนจิ มณฺฑลสณฺฐาเนน สมุฎฺฐาปิตวาตาฯ วิธูปนวาตาติ พีชนปตฺตเกน สมุฎฺฐาปิตวาตาฯ อิมานิ จ ตาลวณฺฎวิธูปนานิ อนุปฺปนฺนมฺปิ วาตํ อุปฺปาเทนฺติ, อุปฺปนฺนมฺปิ ปริวเตฺตนฺติฯ อิธาปิ จ-สโทฺท อุทกสนฺธารกวาตกปฺปวินาสกวาตชาลาเปลฺลนกวาตาทิเก อวุเตฺตปิ สมุจฺจิโนติฯ เอตฺถ จ ‘‘อาปํ มญฺญตี’’ติอาทีสุ ยสฺมา ตีหิ มญฺญนาหิ – ‘‘อหํ อาโปติ มญฺญติ, มม อาโปติ มญฺญตี’’ติอาทินา ปถวีวาเร วุตฺตนเยน สกฺกา มญฺญนาวิภาโค วิภาเวตุนฺติ วุตฺตํ ‘‘เสสํ วุตฺตนยเมวา’’ติฯ ตสฺมา ตตฺถ วุตฺตนยานุสาเรน อิเมสุ ตีสุ วาเรสุ ยถารหํ มญฺญนาวิภาโค วิภาเวตโพฺพฯ
Vāyogatanti vāyova vāyogataṃ, sabhāveneva vāyobhāvaṃ pattanti attho. Thambhitattaṃ rūpassāti avinibbhogarūpassa thambhitabhāvo. Puratthimā vātāti puratthimadisato āgatā vātā. Pacchimādīsupi eseva nayo. Sarajādīsu saha rajena sarajā, rajavirahitā suddhā arajā. Sītautusamuṭṭhānā, sītavalāhakantare vā jātā sītā. Uṇhautusamuṭṭhānā, uṇhavalāhakantare vā jātā uṇhā. Parittāti mandā tanukavātā. Adhimattāti balavavātā. Kāḷāti kāḷavalāhakantare samuṭṭhitā. Yehi abbhāhato chavivaṇṇo kāḷako hoti, tesaṃ etaṃ adhivacanantipi eke. Verambhavātāti yojanato upari vāyanavātā. Pakkhavātāti antamaso makkhikāyapi pakkhāyūhanavātā. Supaṇṇavātāti garuḷavātā. Kāmaṃ cetepi pakkhavātāva, ussadavasena pana visuṃ gahitā. Tālavaṇṭavātāti tālavaṇṇehi katena, aññehi vā katena kenaci maṇḍalasaṇṭhānena samuṭṭhāpitavātā. Vidhūpanavātāti bījanapattakena samuṭṭhāpitavātā. Imāni ca tālavaṇṭavidhūpanāni anuppannampi vātaṃ uppādenti, uppannampi parivattenti. Idhāpi ca-saddo udakasandhārakavātakappavināsakavātajālāpellanakavātādike avuttepi samuccinoti. Ettha ca ‘‘āpaṃ maññatī’’tiādīsu yasmā tīhi maññanāhi – ‘‘ahaṃ āpoti maññati, mama āpoti maññatī’’tiādinā pathavīvāre vuttanayena sakkā maññanāvibhāgo vibhāvetunti vuttaṃ ‘‘sesaṃ vuttanayamevā’’ti. Tasmā tattha vuttanayānusārena imesu tīsu vāresu yathārahaṃ maññanāvibhāgo vibhāvetabbo.
เอตฺตาวตาติ เอตฺตเกน อิมินา จตุวารปริมาเณน เทสนาวิเสเสนฯ จ-สโทฺท พฺยติเรโกฯ เตน วกฺขมานํเยว วิเสสํ โชเตติฯ ยฺวายนฺติ โย อยํ ลกฺขโณ นาม หาโร วุโตฺตติ สมฺพโนฺธฯ โส ปน ลกฺขณหาโร ยํลกฺขโณ ตตฺถ วุโตฺต, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘วุตฺตมฺหี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ วุตฺตมฺหิ เอกธเมฺมติ กุสลาทีสุ ขนฺธาทีสุ วา ยสฺมิํ กสฺมิญฺจิ เอกธเมฺม สุเตฺต สรูปโต นิทฺธารณวเสน วา กถิเตฯ เย ธมฺมา เอกลกฺขณา เตนาติ เย เกจิ ธมฺมา กุสลาทิภาเวน, รูปกฺขนฺธาทิภาเวน วา เตน วุตฺตธเมฺมน สมานลกฺขณาฯ วุตฺตา ภวนฺติ สเพฺพติ สเพฺพปิ กุสลาทิสภาวา, ขนฺธาทิสภาวา วา ธมฺมา สุเตฺต อวุตฺตาปิ ตาย สมานลกฺขณตาย วุตฺตา ภวนฺติ, อาเนตฺวา สํวณฺณนวเสนาติ อธิปฺปาโยฯ
Ettāvatāti ettakena iminā catuvāraparimāṇena desanāvisesena. Ca-saddo byatireko. Tena vakkhamānaṃyeva visesaṃ joteti. Yvāyanti yo ayaṃ lakkhaṇo nāma hāro vuttoti sambandho. So pana lakkhaṇahāro yaṃlakkhaṇo tattha vutto, taṃ dassetuṃ ‘‘vuttamhī’’tiādi vuttaṃ. Tattha vuttamhi ekadhammeti kusalādīsu khandhādīsu vā yasmiṃ kasmiñci ekadhamme sutte sarūpato niddhāraṇavasena vā kathite. Ye dhammā ekalakkhaṇā tenāti ye keci dhammā kusalādibhāvena, rūpakkhandhādibhāvena vā tena vuttadhammena samānalakkhaṇā. Vuttā bhavanti sabbeti sabbepi kusalādisabhāvā, khandhādisabhāvā vā dhammā sutte avuttāpi tāya samānalakkhaṇatāya vuttā bhavanti, ānetvā saṃvaṇṇanavasenāti adhippāyo.
เอตฺถ จ เอกลกฺขณาติ สมานลกฺขณา วุตฺตาฯ เตน สหจริตา สมานกิจฺจตา สมานเหตุตา สมานผลตา สมานารมฺมณตาติ เอวมาทีหิปิ อวุตฺตานํ วุตฺตานํ วิย นิทฺธารณํ เวทิตพฺพํฯ อิตีติ อิมินา ปกาเรนฯ เตนาห ‘‘เอวํ เนตฺติยํ ลกฺขโณ นาม หาโร วุโตฺต’’ติ, เนตฺติปาฬิยํ (เนตฺติ. ๒๓) ปน ‘‘เย ธมฺมา เอกลกฺขณา เกจิ โส หาโร ลกฺขโณ นามา’’ติ ปาโฐ อาคโตฯ ตสฺส วเสนาติ ตสฺส ลกฺขณหารสฺส วเสนฯ รูปลกฺขณํ อนตีตตฺตาติ รุปฺปนสภาเวน สมานสภาวตฺตาฯ วทเนฺตน ภควตาฯ เอตาติ ‘‘รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’’ติ เอวํ วุตฺตทิฎฺฐีฯ เอตฺถ จ สกฺกายทิฎฺฐิมญฺญนาทสฺสเนเนว สกลรูปวตฺถุกา ตณฺหามานมญฺญนาปิ ทสฺสิตา เอวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตถา หิ วุตฺตํ ‘‘ตสฺมิํเยว ปนสฺส ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญิเต วตฺถุสฺมิํ สิเนหํ มานญฺจ อุปฺปาทยโต ตณฺหามานมญฺญนาปิ เวทิตพฺพา’’ติฯ อถ วา ปถวิํ อาปํ เตชํ วายํ เมติ มญฺญติ อภินนฺทตีติ จ วทเนฺตน วุตฺตนเยเนว สกลรูปวตฺถุกา ตณฺหามญฺญนา ตทนุสาเรน มานมญฺญนาปิ วุตฺตาว โหตีติ เอวเมฺปตฺถ อิตรมญฺญนาปิ นิทฺธาเรตพฺพาฯ
Ettha ca ekalakkhaṇāti samānalakkhaṇā vuttā. Tena sahacaritā samānakiccatā samānahetutā samānaphalatā samānārammaṇatāti evamādīhipi avuttānaṃ vuttānaṃ viya niddhāraṇaṃ veditabbaṃ. Itīti iminā pakārena. Tenāha ‘‘evaṃ nettiyaṃ lakkhaṇo nāma hāro vutto’’ti, nettipāḷiyaṃ (netti. 23) pana ‘‘ye dhammā ekalakkhaṇā keci so hāro lakkhaṇo nāmā’’ti pāṭho āgato. Tassa vasenāti tassa lakkhaṇahārassa vasena. Rūpalakkhaṇaṃ anatītattāti ruppanasabhāvena samānasabhāvattā. Vadantena bhagavatā. Etāti ‘‘rūpaṃ attato samanupassatī’’ti evaṃ vuttadiṭṭhī. Ettha ca sakkāyadiṭṭhimaññanādassaneneva sakalarūpavatthukā taṇhāmānamaññanāpi dassitā evāti daṭṭhabbaṃ. Tathā hi vuttaṃ ‘‘tasmiṃyeva panassa diṭṭhimaññanāya maññite vatthusmiṃ sinehaṃ mānañca uppādayato taṇhāmānamaññanāpi veditabbā’’ti. Atha vā pathaviṃ āpaṃ tejaṃ vāyaṃ meti maññati abhinandatīti ca vadantena vuttanayeneva sakalarūpavatthukā taṇhāmaññanā tadanusārena mānamaññanāpi vuttāva hotīti evampettha itaramaññanāpi niddhāretabbā.
อาโปวาราทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Āpovārādivaṇṇanā niṭṭhitā.
ภูตวาราทิวณฺณนา
Bhūtavārādivaṇṇanā
๓. ‘‘ปถวิํ มญฺญติ, ปถวิยา มญฺญตี’’ติอาทีหิ ปเทหิ ‘‘รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ, รูปสฺมิํ อตฺตานํ สมนุปสฺสตี’’ติอาทีนํ สกฺกายทิฎฺฐีนํ นิทฺธาริตตฺตา วุตฺตํ ‘‘เอวํ รูปมุเขน สงฺขารวตฺถุกํ มญฺญนํ วตฺวา’’ติ ฯ เตสุ สงฺขาเรสุ สเตฺตสุปีติ ตทุปาทาเนสุปิ สเตฺตสุ ฯ ธาตูสูติ ปถวีอาทีสุ จตูสุ ธาตูสุฯ ‘‘ชาตํ ภูตํ สงฺขต’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๒๐๗; สํ. นิ. ๕.๓๗๙) ภูต-สโทฺท อุปฺปาเท ทิสฺสติ, สอุปสโคฺค ปน ‘‘ปภูตมริโย ปกโรติ ปุญฺญ’’นฺติอาทีสุ วิปุเล, ‘‘เยภุเยฺยน ภิกฺขูนํ ปริภูตรูโป’’ติอาทีสุ หิํสเน, ‘‘สมฺภูโต สาณวาสี’’ติอาทีสุ (จูฬว. ๔๕๐) ปญฺญตฺติยํ, ‘‘อภิภูโต มาโร วิชิโต สงฺคาโม’’ติอาทีสุ วิมถเน, ‘‘ปราภูตรูโป โข อยํ อเจโล ปาถิกปุโตฺต’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๒๓, ๒๕, ๓๑, ๓๒) ปราชเย, ‘‘อนุภูตํ สุขทุกฺข’’นฺติอาทีสุ เวทิยเน, ‘‘วิภูตํ วิภาวิตํ ปญฺญายา’’ติอาทีสุ ปากฎีกรเณ ทิสฺสติฯ เต สเพฺพ รุกฺขาทีสูติฯ อาทิ-สเทฺทน สงฺคหิตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ ‘‘กาโล ฆสติ ภูตานีติ (ชา. ๑.๒.๑๙๐), ภูตา โลเก สมุสฺสย’’นฺติ (ที. นิ. ๒.๒๒๐; สํ. นิ. ๑.๑๘๖) จ อาทีสุ อวิเสเสน สตฺตวาจโกปิ ภูตสโทฺท, อุปริ เทวาทิปเทหิ สตฺตวิเสสานํ คหิตตฺตา อิธ ตทวสิฎฺฐา ภูตสเทฺทน คยฺหนฺตีติ อาห ‘‘โน จ โข อวิเสเสนา’’ติฯ เตเนวาห – ‘‘จาตุมหาราชิกานญฺหิ เหฎฺฐา สตฺตา อิธ ภูตาติ อธิเปฺปตา’’ติฯ โย หิ สตฺตนิกาโย ปริปุณฺณโยนิโก จตูหิปิ โยนีหิ นิพฺพตฺตนารโห, ตตฺถายํ ภูตสมญฺญา อณฺฑชาทิวเสน ภวนโตฯ
3. ‘‘Pathaviṃ maññati, pathaviyā maññatī’’tiādīhi padehi ‘‘rūpaṃ attato samanupassati, rūpasmiṃ attānaṃ samanupassatī’’tiādīnaṃ sakkāyadiṭṭhīnaṃ niddhāritattā vuttaṃ ‘‘evaṃ rūpamukhena saṅkhāravatthukaṃ maññanaṃ vatvā’’ti . Tesu saṅkhāresu sattesupīti tadupādānesupi sattesu . Dhātūsūti pathavīādīsu catūsu dhātūsu. ‘‘Jātaṃ bhūtaṃ saṅkhata’’ntiādīsu (dī. ni. 2.207; saṃ. ni. 5.379) bhūta-saddo uppāde dissati, saupasaggo pana ‘‘pabhūtamariyo pakaroti puñña’’ntiādīsu vipule, ‘‘yebhuyyena bhikkhūnaṃ paribhūtarūpo’’tiādīsu hiṃsane, ‘‘sambhūto sāṇavāsī’’tiādīsu (cūḷava. 450) paññattiyaṃ, ‘‘abhibhūto māro vijito saṅgāmo’’tiādīsu vimathane, ‘‘parābhūtarūpo kho ayaṃ acelo pāthikaputto’’tiādīsu (dī. ni. 3.23, 25, 31, 32) parājaye, ‘‘anubhūtaṃ sukhadukkha’’ntiādīsu vediyane, ‘‘vibhūtaṃ vibhāvitaṃ paññāyā’’tiādīsu pākaṭīkaraṇe dissati. Te sabbe rukkhādīsūti. Ādi-saddena saṅgahitāti daṭṭhabbā. ‘‘Kālo ghasati bhūtānīti (jā. 1.2.190), bhūtā loke samussaya’’nti (dī. ni. 2.220; saṃ. ni. 1.186) ca ādīsu avisesena sattavācakopi bhūtasaddo, upari devādipadehi sattavisesānaṃ gahitattā idha tadavasiṭṭhā bhūtasaddena gayhantīti āha ‘‘no ca kho avisesenā’’ti. Tenevāha – ‘‘cātumahārājikānañhi heṭṭhā sattā idha bhūtāti adhippetā’’ti. Yo hi sattanikāyo paripuṇṇayoniko catūhipi yonīhi nibbattanāraho, tatthāyaṃ bhūtasamaññā aṇḍajādivasena bhavanato.
ภูเตติ วุตฺตเทสอาเทสิเต ภูเตฯ ภูตโต สญฺชานาตีติ อิมินา ‘‘ภูตา’’ติ โลกโวหารํ คเหตฺวา ยถา ตตฺถ ตณฺหาทิมญฺญนา สมฺภวนฺติ, เอวํ วิปรีตสญฺญาย สญฺชานนํ ปกาสียติฯ สฺวายมโตฺถ เหฎฺฐา ‘‘ปถวิโต สญฺชานาตี’’ติ เอตฺถ วุตฺตนยานุสาเรน สกฺกา ชานิตุนฺติ อาห ‘‘วุตฺตนยเมวา’’ติฯ ยถา สุทฺธาวาสา สพฺพทา อภาวโต อิมํ เทสนํ นารุฬฺหา, เอวํ เนรยิกาปิ สพฺพมญฺญนานธิฎฺฐานโตฯ เอเตเนว เอกจฺจเปตานเมฺปตฺถ อสงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ อปเร ปน ‘‘ทิฎฺฐิมญฺญนาธิฎฺฐานโต เตสเมฺปตฺถ สงฺคโห อิจฺฉิโตเยวา’’ติ วทนฺติฯ ‘‘สมงฺคิภูตํ ปริจาเรนฺต’’นฺติอาทินา สุเตฺต วุตฺตนเยนฯ รชฺชตีติ ‘‘สุภา สุขิตา’’ติ วิปลฺลาสคฺคาเหน ตตฺถ ราคํ ชเนติฯ เอวเมตฺถ รชฺชโนฺต จ น เกวลํ ทสฺสนวเสเนว, สวนาทิวเสนปิ รชฺชเตวาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ทิสฺวาปิ…เป.… อุตฺวาปี’’ติ อาหฯ ตตฺถ ฆายนาทิวเสน รชฺชนํ เตหิ อนุภูตคนฺธมาลาทิวเสน เจว วิสภาควตฺถุภูตานํ เตสํ ปริโภควเสน จ ยถานุภวํ อนุสฺสรณวเสน จ เวทิตพฺพํฯ เอวํ ภูเต ตณฺหามญฺญนาย มญฺญตีติ วุตฺตนเยน ภูเต ปฎิจฺจ ฉนฺทราคํ ชเนโนฺต เตสํ ปฎิปตฺติํ อสฺสาเทโนฺต อภินนฺทโนฺต อภิวทโนฺต อโชฺฌสาย ติฎฺฐโนฺต ‘‘อีทิสี อวตฺถา มม อนาคตมทฺธานํ สิยา’’ติอาทินา วา ปน นเยน ตตฺถ นนฺทิํ สมนฺนาเนโนฺต ภูเต ตณฺหามญฺญนาย มญฺญตีติ อโตฺถฯ อปฺปฎิลทฺธสฺส ขตฺติยมหาสาลาทิภาวสฺส, สมฺปตฺติํ วิปตฺตินฺติ ชาติวเสน อุกฺกฎฺฎนิหีนตํฯ ทหตีติ ฐเปติฯ โย เอวรูโป มาโนติ โย เอโส ‘‘อยํ ปุเพฺพ มยา สทิโส, อิทานิ อยํ เสโฎฺฐ อยํ หีนตโร’’ติ อุปฺปโนฺน มาโนฯ อยํ วุจฺจติ มานาติมาโนติ อยํ ภาราติภาโร วิย ปุริมํ สทิสมานํ อุปาทาย มานาติมาโน นามาติ อโตฺถฯ
Bhūteti vuttadesaādesite bhūte. Bhūtato sañjānātīti iminā ‘‘bhūtā’’ti lokavohāraṃ gahetvā yathā tattha taṇhādimaññanā sambhavanti, evaṃ viparītasaññāya sañjānanaṃ pakāsīyati. Svāyamattho heṭṭhā ‘‘pathavito sañjānātī’’ti ettha vuttanayānusārena sakkā jānitunti āha ‘‘vuttanayamevā’’ti. Yathā suddhāvāsā sabbadā abhāvato imaṃ desanaṃ nāruḷhā, evaṃ nerayikāpi sabbamaññanānadhiṭṭhānato. Eteneva ekaccapetānampettha asaṅgaho daṭṭhabbo. Apare pana ‘‘diṭṭhimaññanādhiṭṭhānato tesampettha saṅgaho icchitoyevā’’ti vadanti. ‘‘Samaṅgibhūtaṃ paricārenta’’ntiādinā sutte vuttanayena. Rajjatīti ‘‘subhā sukhitā’’ti vipallāsaggāhena tattha rāgaṃ janeti. Evamettha rajjanto ca na kevalaṃ dassanavaseneva, savanādivasenapi rajjatevāti dassento ‘‘disvāpi…pe… utvāpī’’ti āha. Tattha ghāyanādivasena rajjanaṃ tehi anubhūtagandhamālādivasena ceva visabhāgavatthubhūtānaṃ tesaṃ paribhogavasena ca yathānubhavaṃ anussaraṇavasena ca veditabbaṃ. Evaṃ bhūte taṇhāmaññanāya maññatīti vuttanayena bhūte paṭicca chandarāgaṃ janento tesaṃ paṭipattiṃ assādento abhinandanto abhivadanto ajjhosāya tiṭṭhanto ‘‘īdisī avatthā mama anāgatamaddhānaṃ siyā’’tiādinā vā pana nayena tattha nandiṃ samannānento bhūte taṇhāmaññanāya maññatīti attho. Appaṭiladdhassa khattiyamahāsālādibhāvassa, sampattiṃ vipattinti jātivasena ukkaṭṭanihīnataṃ. Dahatīti ṭhapeti. Yoevarūpo mānoti yo eso ‘‘ayaṃ pubbe mayā sadiso, idāni ayaṃ seṭṭho ayaṃ hīnataro’’ti uppanno māno. Ayaṃ vuccati mānātimānoti ayaṃ bhārātibhāro viya purimaṃ sadisamānaṃ upādāya mānātimāno nāmāti attho.
นิจฺจาติอาทีสุ อุปฺปาทาภาวโต นิจฺจา, มรณาภาวโต ธุวา, สพฺพทา ภาวโต สสฺสตาฯ อนิจฺจปฎิปกฺขโต วา นิจฺจา, ถิรภาวโต ธุวา, สสฺสติสมตาย สสฺสตา, ชราทิวเสน วิปริณามสฺส อภาวโต อวิปริณามธมฺมาติ มญฺญติฯ สเพฺพ สตฺตาติ โอฎฺฐโคณคทฺรภาทโย อนวเสสา สญฺชนเฎฺฐน สตฺตาฯ สเพฺพ ปาณาติ ‘‘เอกินฺทฺริโย ปาโณ ทฺวินฺทฺริโย ปาโณ’’ติอาทิวเสน วุตฺตา อนวเสสา ปาณนเฎฺฐน ปาณาฯ สเพฺพ ภูตาติ อนวเสสา อณฺฑโกสาทีสุ ภูตา สญฺชาตาติ ภูตาฯ สเพฺพ ชีวาติ สาลิยวโคธูมาทโย อนวเสสา ชีวนเฎฺฐน ชีวาฯ เตสุ หิ โส วิรูหภาเวน ชีวสญฺญีฯ อวสา อพลา อวีริยาติ เตสํ อตฺตโน วโส วา พลํ วา วีริยํ วา นตฺถีติ ทเสฺสติฯ นิยติสงฺคติภาวปริณตาติ เอตฺถ นิยตีติฯ นิยตตา, อเจฺฉชฺชสุตฺตาวุตอเภชฺชมณิ วิย อวิชหิตปกติตาฯ สงฺคตีติ ฉนฺนํ อภิชาตีนํ ตตฺถ สงฺคโมฯ ภาโวติ สภาโวเยว, กณฺฑกานํ ติขิณตา, กปิฎฺฐผลาทีนํ ปริมณฺฑลาทิตา, มิคปกฺขีนํ วิจิตฺตวณฺณาทิตาติ เอวมาทิโกฯ เอวํ นิยติยา จ สงฺคติยา จ ภาเว จ ปริณตา นานปฺปการตํ ปตฺตาฯ เยน หิ ยถา ภวิตพฺพํ, โส ตเถว ภวติฯ เยน น ภวิตพฺพํ, โส น ภวตีติ ทเสฺสติฯ ฉเสฺววาภิชาตีสูติ กณฺหาภิชาติอาทีสุ ฉสุ เอว อภิชาตีสุ ฐตฺวา สุขญฺจ ทุกฺขญฺจ ปฎิสํเวเทนฺติ, อญฺญา สุขทุกฺขภูมิ นตฺถีติ ทเสฺสติฯ วา-สเทฺทน อนฺตาทิเภเท ทิฎฺฐาภินิเวเส สงฺคณฺหาติฯ
Niccātiādīsu uppādābhāvato niccā, maraṇābhāvato dhuvā, sabbadā bhāvato sassatā. Aniccapaṭipakkhato vā niccā, thirabhāvato dhuvā, sassatisamatāya sassatā, jarādivasena vipariṇāmassa abhāvato avipariṇāmadhammāti maññati. Sabbe sattāti oṭṭhagoṇagadrabhādayo anavasesā sañjanaṭṭhena sattā. Sabbe pāṇāti ‘‘ekindriyo pāṇo dvindriyo pāṇo’’tiādivasena vuttā anavasesā pāṇanaṭṭhena pāṇā. Sabbe bhūtāti anavasesā aṇḍakosādīsu bhūtā sañjātāti bhūtā. Sabbe jīvāti sāliyavagodhūmādayo anavasesā jīvanaṭṭhena jīvā. Tesu hi so virūhabhāvena jīvasaññī. Avasā abalā avīriyāti tesaṃ attano vaso vā balaṃ vā vīriyaṃ vā natthīti dasseti. Niyatisaṅgatibhāvapariṇatāti ettha niyatīti. Niyatatā, acchejjasuttāvutaabhejjamaṇi viya avijahitapakatitā. Saṅgatīti channaṃ abhijātīnaṃ tattha saṅgamo. Bhāvoti sabhāvoyeva, kaṇḍakānaṃ tikhiṇatā, kapiṭṭhaphalādīnaṃ parimaṇḍalāditā, migapakkhīnaṃ vicittavaṇṇāditāti evamādiko. Evaṃ niyatiyā ca saṅgatiyā ca bhāve ca pariṇatā nānappakārataṃ pattā. Yena hi yathā bhavitabbaṃ, so tatheva bhavati. Yena na bhavitabbaṃ, so na bhavatīti dasseti. Chasvevābhijātīsūti kaṇhābhijātiādīsu chasu eva abhijātīsu ṭhatvā sukhañca dukkhañca paṭisaṃvedenti, aññā sukhadukkhabhūmi natthīti dasseti. Vā-saddena antādibhede diṭṭhābhinivese saṅgaṇhāti.
อุปปตฺตินฺติ อิมินา ตสฺมิํ ตสฺมิํ สตฺตนิกาเย ภูตานํ สหพฺยตํ อากงฺขตีติ ทเสฺสติฯ สุขุปฺปตฺตินฺติ อิมินา ปน ตตฺถ ตตฺถ อุปฺปนฺนสฺส สุขุปฺปตฺติํฯ เอกเจฺจ ภูเต นิจฺจาติอาทินา เอกจฺจสสฺสติกทิฎฺฐิํ ทเสฺสติฯ อหมฺปิ ภูเตสุ อญฺญตโรสฺมีติ อิมินา ปน จตุตฺถํ เอกจฺจสสฺสติกวาทํ ทเสฺสติฯ
Upapattinti iminā tasmiṃ tasmiṃ sattanikāye bhūtānaṃ sahabyataṃ ākaṅkhatīti dasseti. Sukhuppattinti iminā pana tattha tattha uppannassa sukhuppattiṃ. Ekacce bhūte niccātiādinā ekaccasassatikadiṭṭhiṃ dasseti. Ahampi bhūtesu aññatarosmīti iminā pana catutthaṃ ekaccasassatikavādaṃ dasseti.
ยโต กุโตจีติ อิสฺสรปุริสาทิเภทโต ยโต กุโตจิฯ เอกา ตณฺหามญฺญนาว ลพฺภตีติ อิธาปิ เหฎฺฐา วุตฺตนเยน อิตรมญฺญนานมฺปิ สมฺภโว นิทฺธาเรตโพฺพฯ วุตฺตปฺปกาเรเยว ภูเต ตณฺหาทิฎฺฐีหิ อภินนฺทตีติอาทินา วตฺตพฺพตฺตา อาห ‘‘วุตฺตนยเมวา’’ติฯ โยชนา กาตพฺพาติ ‘‘โย ภูตปญฺญตฺติยา อุปาทานภูเต ขเนฺธ ปริชานาติ, โส ตีหิ ปริญฺญาหิ ปริชานาตี’’ติอาทินา โยชนา กาตพฺพาฯ อปเร ปเนตฺถ ภูตคาโมปิ ภูต-สเทฺทน สงฺคหิโตติ รุกฺขาทิวเสนปิ มญฺญนาวิภาคํ โยเชตฺวา ทเสฺสนฺติ, ตถา มหาภูตวเสนปิ, ตํ อฎฺฐกถายํ นตฺถิฯ
Yato kutocīti issarapurisādibhedato yato kutoci. Ekā taṇhāmaññanāva labbhatīti idhāpi heṭṭhā vuttanayena itaramaññanānampi sambhavo niddhāretabbo. Vuttappakāreyeva bhūte taṇhādiṭṭhīhi abhinandatītiādinā vattabbattā āha ‘‘vuttanayamevā’’ti. Yojanā kātabbāti ‘‘yo bhūtapaññattiyā upādānabhūte khandhe parijānāti, so tīhi pariññāhi parijānātī’’tiādinā yojanā kātabbā. Apare panettha bhūtagāmopi bhūta-saddena saṅgahitoti rukkhādivasenapi maññanāvibhāgaṃ yojetvā dassenti, tathā mahābhūtavasenapi, taṃ aṭṭhakathāyaṃ natthi.
ภูมิวิเสสาทินา เภเทนาติ ภูมิวิเสสอุปปตฺติวิเสสาทิวิภาเคนฯ อิทฺธิยาติ ปุญฺญวิเสสนิพฺพเตฺตน อานุภาเวนฯ กิญฺจาปิ เทว-สโทฺท ‘‘วิเทฺธ วิคตวลาหเก เทเว’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๑๐; ๓.๑๐๒; ๕.๑๔๖-๑๔๘; ม. นิ. ๑.๔๘๖; อ. นิ. ๑๐.๑๕; อิติวุ. ๒๗) อชฎากาเส อาคโต, ‘‘เทโว จ โถกํ โถกํ ผุสายตี’’ติอาทีสุ เมเฆ, ‘‘อยญฺหิ เทว กุมาโร’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๔, ๓๕, ๓๖) ขตฺติเย อาคโต, ‘‘ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิโต สมงฺคิภูโต ปริจาเรติ เทโว มเญฺญ’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๑๘๓; ม. นิ. ๒.๒๑๑) วิย อิธ อุปปตฺติเทเวสุ อาคโต, เทว-สเทฺทน ปน วตฺตพฺพสเตฺต อนวเสสโต อุทฺธริตฺวา ตโต อิธาธิเปฺปเต ทเสฺสตุํ ‘‘เต ติวิธา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เสสา ฉ กามาวจรา อิธ เทวาติ อธิเปฺปตา อิตเรสํ ปทนฺตเรหิ นิวตฺติตตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ ภูตา เทวาติ คหิเตสุ สเตฺตสุ ตณฺหาทิมญฺญนานํ ปวตฺตากาเรนปิ ติวิธลกฺขณนฺติ อาห ‘‘ภูตวาเร วุตฺตนเยน เวทิตพฺพา’’ติฯ
Bhūmivisesādinā bhedenāti bhūmivisesaupapattivisesādivibhāgena. Iddhiyāti puññavisesanibbattena ānubhāvena. Kiñcāpi deva-saddo ‘‘viddhe vigatavalāhake deve’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.110; 3.102; 5.146-148; ma. ni. 1.486; a. ni. 10.15; itivu. 27) ajaṭākāse āgato, ‘‘devo ca thokaṃ thokaṃ phusāyatī’’tiādīsu meghe, ‘‘ayañhi deva kumāro’’tiādīsu (dī. ni. 2.34, 35, 36) khattiye āgato, ‘‘pañcahi kāmaguṇehi samappito samaṅgibhūto paricāreti devo maññe’’tiādīsu (dī. ni. 1.183; ma. ni. 2.211) viya idha upapattidevesu āgato, deva-saddena pana vattabbasatte anavasesato uddharitvā tato idhādhippete dassetuṃ ‘‘te tividhā’’tiādi vuttaṃ. Sesā cha kāmāvacarā idha devāti adhippetā itaresaṃ padantarehi nivattitattāti adhippāyo. Bhūtā devāti gahitesu sattesu taṇhādimaññanānaṃ pavattākārenapi tividhalakkhaṇanti āha ‘‘bhūtavāre vuttanayena veditabbā’’ti.
‘‘อญฺญตรสฺส อุปาสกสฺส ปชาปติ อภิรูปา โหตี’’ติอาทีสุ (ปารา. ๑๖๘) ปชาปติ-สโทฺท ฆรณิยํ อาคโต, ‘‘ปชาปติ กามทายี สุวณฺณวณฺณา เม ปชา โหตู’’ติอาทีสุ ทิฎฺฐิคติกปริกปฺปิเต, ‘‘ปชาปติสฺส เทวราชสฺส ธชคฺคํ อุโลฺลเกยฺยาถา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๒๔๙) เทวเชฎฺฐเก, อิธ ปน อธิปตีติ วทนฺติ, ตํ อุปริ พฺรหฺมุโน คยฺหมานตฺตา เตสํ มติมตฺตํฯ เทวานนฺติ จาตุมหาราชิกาทิเทวานํฯ มหาราชาทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน สกฺกสุยามสนฺตุสฺสิตสุนิมฺมิตวสวตฺติโน คหิตาฯ เตสนฺติ มหาราชาทีนํฯ สตฺตสงฺขาตายาติ กามภูมิยํ สตฺตสงฺขาตายฯ ปชาปตินฺติ ปชาปติภาวํฯ ปชาปติภาเวน หิ มานํ ชเปฺปโนฺต ปชาปติํ มานมญฺญนาย มญฺญตีติ วุโตฺตฯ
‘‘Aññatarassa upāsakassa pajāpati abhirūpā hotī’’tiādīsu (pārā. 168) pajāpati-saddo gharaṇiyaṃ āgato, ‘‘pajāpati kāmadāyī suvaṇṇavaṇṇā me pajā hotū’’tiādīsu diṭṭhigatikaparikappite, ‘‘pajāpatissa devarājassa dhajaggaṃ ullokeyyāthā’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.249) devajeṭṭhake, idha pana adhipatīti vadanti, taṃ upari brahmuno gayhamānattā tesaṃ matimattaṃ. Devānanti cātumahārājikādidevānaṃ. Mahārājādīnanti ādi-saddena sakkasuyāmasantussitasunimmitavasavattino gahitā. Tesanti mahārājādīnaṃ. Sattasaṅkhātāyāti kāmabhūmiyaṃ sattasaṅkhātāya. Pajāpatinti pajāpatibhāvaṃ. Pajāpatibhāvena hi mānaṃ jappento pajāpatiṃ mānamaññanāya maññatīti vutto.
เอกา ทิฎฺฐิมญฺญนาว ยุชฺชตีติ วุตฺตํ, ปชาปติโน ปน สมิปตํ สโลกตํ วา อากงฺขโต, ตถาภาวาย จิตฺตํ ปณิทหโต, ตถาลทฺธพฺพาย สมฺปตฺติยา อตฺตโน เสยฺยาทิภาวํ ทหโต จ ตณฺหามานมญฺญนาปิ สมฺภวนฺตีติ สกฺกา วิญฺญาตุํฯ เย จ ธมฺมาติ อายุวณฺณาทิเก วทติฯ ปชาปตินฺติ เอตฺถาปิ เหฎฺฐา วุตฺตนเยน อิตรมญฺญนานมฺปิ สมฺภโว เวทิตโพฺพฯ
Ekā diṭṭhimaññanāva yujjatīti vuttaṃ, pajāpatino pana samipataṃ salokataṃ vā ākaṅkhato, tathābhāvāya cittaṃ paṇidahato, tathāladdhabbāya sampattiyā attano seyyādibhāvaṃ dahato ca taṇhāmānamaññanāpi sambhavantīti sakkā viññātuṃ. Ye ca dhammāti āyuvaṇṇādike vadati. Pajāpatinti etthāpi heṭṭhā vuttanayena itaramaññanānampi sambhavo veditabbo.
พฺรูหิโตติ ปริวุโทฺธฯ คุณวิเสเสหีติ ฌานาทีหิ วิสิเฎฺฐหิ คุเณหิ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมตายฯ พฺรหฺม-สทฺทสฺส สติปิ อวิเสสโต วิสิฎฺฐวาจกเตฺต ยตฺถ ยตฺถ ปนสฺส คุณวิเสสยุตฺตาทิรูปา ปวตฺติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อปิจา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สหโสฺสติ สหสฺสิยา โลกธาตุยา อธิปติภูโตฯ ปฐมาภินิพฺพโตฺตติ ปณีเตน ปฐมฌาเนน นิพฺพโตฺต, ปฐมชฺฌานภูมิยํ วา ปฐมํ อภินิพฺพโตฺตฯ คหิตาติ เวทิตพฺพา ปธานคฺคหเณน อปฺปธานานมฺปิ เกนจิ สมฺพเนฺธน คหิตภาวสิทฺธิโตฯ เอตฺถ จ พฺรหฺมาติ มหาพฺรหฺมา อธิเปฺปโตฯ โส หิ วณฺณวนฺตตาย เจว ทีฆายุกตาย จ พฺรหฺมปาริสชฺชาทีหิ มหโนฺต พฺรหฺมาติ มหาพฺรหฺมา, ตสฺส ปน ปุโรหิตฎฺฐาเน ฐิตาติ พฺรหฺมปุโรหิตา, ปริสายํ ภวา ปริจารกาติ พฺรหฺมปาริสชฺชาติ เวทิตพฺพาฯ อุกฺกเฎฺฐกปุคฺคลภาวโต ปชาปติสฺมิํ วิย พฺรหฺมนิ มญฺญนา วตฺตตีติ วุตฺตํ ‘‘ปชาปติวาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพา’’ติฯ ตถา หิ พหุปุคฺคลภาวสามญฺญโต อาภสฺสรวาราทีนํ ภูตวารสทิสตา วุตฺตาฯ
Brūhitoti parivuddho. Guṇavisesehīti jhānādīhi visiṭṭhehi guṇehi uttarimanussadhammatāya. Brahma-saddassa satipi avisesato visiṭṭhavācakatte yattha yattha panassa guṇavisesayuttādirūpā pavatti, taṃ dassetuṃ ‘‘apicā’’tiādi vuttaṃ. Sahassoti sahassiyā lokadhātuyā adhipatibhūto. Paṭhamābhinibbattoti paṇītena paṭhamajhānena nibbatto, paṭhamajjhānabhūmiyaṃ vā paṭhamaṃ abhinibbatto. Gahitāti veditabbā padhānaggahaṇena appadhānānampi kenaci sambandhena gahitabhāvasiddhito. Ettha ca brahmāti mahābrahmā adhippeto. So hi vaṇṇavantatāya ceva dīghāyukatāya ca brahmapārisajjādīhi mahanto brahmāti mahābrahmā, tassa pana purohitaṭṭhāne ṭhitāti brahmapurohitā, parisāyaṃ bhavā paricārakāti brahmapārisajjāti veditabbā. Ukkaṭṭhekapuggalabhāvato pajāpatismiṃ viya brahmani maññanā vattatīti vuttaṃ ‘‘pajāpativāre vuttanayeneva veditabbā’’ti. Tathā hi bahupuggalabhāvasāmaññato ābhassaravārādīnaṃ bhūtavārasadisatā vuttā.
ยถาวุตฺตปภาย อาภาสนสีลา วา อาภสฺสราฯ เอกตลวาสิโนติ อิทํ ฌานนฺตรภูมีนํ วิย เหฎฺฐุปริภาวาภาวโต วุตฺตํ, ฐานานิ ปน เนสํ ปริจฺฉินฺนาเนวฯ อาภสฺสเรหิ ปริตฺตา อาภา เอเตสนฺติ ปริตฺตาภาฯ อปฺปมาณา อาภา เอเตสนฺติ อปฺปมาณาภาฯ
Yathāvuttapabhāya ābhāsanasīlā vā ābhassarā. Ekatalavāsinoti idaṃ jhānantarabhūmīnaṃ viya heṭṭhuparibhāvābhāvato vuttaṃ, ṭhānāni pana nesaṃ paricchinnāneva. Ābhassarehi parittā ābhā etesanti parittābhā. Appamāṇā ābhā etesanti appamāṇābhā.
สุภาติ โสภนา ปภาฯ กญฺจนปิโณฺฑ วิย สสฺสิริกา กญฺจนปิณฺฑสสฺสิริกาฯ ตตฺถ โสภนาย ปภาย กิณฺณา สุภากิณฺณาติ วตฺตเพฺพ ภา-สทฺทสฺส รสฺสตฺตํ, อนฺติม-ณ-การสฺส ห-การญฺจ กตฺวา ‘‘สุภกิณฺหา’’ติ วุตฺตาฯ สุภาติ จ เอกคฺฆนา นิจฺจลา ปภา วุจฺจติ, ปริตฺตา สุภา เอเตสนฺติ ปริตฺตสุภาฯ อปฺปมาณา สุภา เอเตสนฺติ อปฺปมาณสุภาฯ
Subhāti sobhanā pabhā. Kañcanapiṇḍo viya sassirikā kañcanapiṇḍasassirikā. Tattha sobhanāya pabhāya kiṇṇā subhākiṇṇāti vattabbe bhā-saddassa rassattaṃ, antima-ṇa-kārassa ha-kārañca katvā ‘‘subhakiṇhā’’ti vuttā. Subhāti ca ekagghanā niccalā pabhā vuccati, parittā subhā etesanti parittasubhā. Appamāṇā subhā etesanti appamāṇasubhā.
วิปุลผลาติ วิปุลสนฺตสุขายุวณฺณาทิผลาฯ
Vipulaphalāti vipulasantasukhāyuvaṇṇādiphalā.
สติปิ เทวพฺรหฺมาทีนํ ปุญฺญผเลน ฌานผเลน จ ปฎิปกฺขาภิภเว เยสํ ปน ปุถุชฺชนอสญฺญสเตฺตสุ อภิภูโวหาโร ปากโฎ นิรุโฬฺห จ, เตสํ วเสนายํ เทสนา ปวตฺตาติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อสญฺญภวเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติฯ ยถา ปชาปติวาเร ‘‘อิเธกโจฺจ ปชาปติสฺมิํเยวา’’ติอาทินา มญฺญนาปวตฺติ ทสฺสิตา, ตถา อิธาปิ ตํ ทเสฺสตุํ สกฺกาติ อาห ‘‘เสสํ ปชาปติวาเร วุตฺตนยเมวา’’ติฯ
Satipi devabrahmādīnaṃ puññaphalena jhānaphalena ca paṭipakkhābhibhave yesaṃ pana puthujjanaasaññasattesu abhibhūvohāro pākaṭo niruḷho ca, tesaṃ vasenāyaṃ desanā pavattāti dassento āha ‘‘asaññabhavassetaṃ adhivacana’’nti. Yathā pajāpativāre ‘‘idhekacco pajāpatismiṃyevā’’tiādinā maññanāpavatti dassitā, tathā idhāpi taṃ dassetuṃ sakkāti āha ‘‘sesaṃ pajāpativāre vuttanayamevā’’ti.
ภูตวาราทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Bhūtavārādivaṇṇanā niṭṭhitā.
อากาสานญฺจายตนวาราทิวณฺณนา
Ākāsānañcāyatanavārādivaṇṇanā
๔. เอวํ สตฺตวเสน ภูมิกฺกมทสฺสเน สุทฺธาวาสานํ อคฺคหเณ การณํ นิทฺธาเรโนฺต ‘‘เอวํ ภควา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อนาคามิขีณาสวาติ อนาคามิโน จ ขีณาสวา จฯ กิญฺจาปิ สุทฺธาวาสา อเตฺถว อเนกกปฺปสหสฺสายุกา, อุกฺกํสปริเจฺฉทโต ปน โสฬสกปฺปสหสฺสายุกาว, น ตโต ปรนฺติ อาห ‘‘กติปยกปฺปสหสฺสายุกา’’ติฯ กามรูปภเวสุ ปวตฺตมานาปิ อากาสานญฺจายตนาทิธมฺมา อรูปาวจรภาวโต ตํภูมิกโวหารํ น ลภนฺตีติ ‘‘ตตฺรูปปนฺนาเยวา’’ติ อวธาเรตฺวา วุตฺตํฯ อภิภูวาเร วุตฺตนเยน เวทิตพฺพา ยถารหนฺติ อธิปฺปาโยฯ น เหตฺถ วณฺณวนฺตตาทิ สมฺภวตีติฯ ปชาปติวาเร วุตฺตนเยนาติ เอตฺถ ‘‘อหมสฺมิ อรูโป ปหีนรูปปฎิฆสโญฺญ’’ติอาทินา มานมญฺญนา เวทิตพฺพาฯ
4. Evaṃ sattavasena bhūmikkamadassane suddhāvāsānaṃ aggahaṇe kāraṇaṃ niddhārento ‘‘evaṃ bhagavā’’tiādimāha. Tattha anāgāmikhīṇāsavāti anāgāmino ca khīṇāsavā ca. Kiñcāpi suddhāvāsā attheva anekakappasahassāyukā, ukkaṃsaparicchedato pana soḷasakappasahassāyukāva, na tato paranti āha ‘‘katipayakappasahassāyukā’’ti. Kāmarūpabhavesu pavattamānāpi ākāsānañcāyatanādidhammā arūpāvacarabhāvato taṃbhūmikavohāraṃ na labhantīti ‘‘tatrūpapannāyevā’’ti avadhāretvā vuttaṃ. Abhibhūvāre vuttanayena veditabbā yathārahanti adhippāyo. Na hettha vaṇṇavantatādi sambhavatīti. Pajāpativārevuttanayenāti ettha ‘‘ahamasmi arūpo pahīnarūpapaṭighasañño’’tiādinā mānamaññanā veditabbā.
อากาสานญฺจายตนวาราทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Ākāsānañcāyatanavārādivaṇṇanā niṭṭhitā.
ทิฎฺฐสุตวาราทิวณฺณนา
Diṭṭhasutavārādivaṇṇanā
๕. รูปมุเขน มญฺญนาวตฺถุทสฺสนํ สเงฺขโปติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘วิตฺถารโตปี’’ติฯ ตมฺปิ หิ ‘‘ยตฺถ เนว ปถวี, น อาโป, น เตโช, น วาโย, น อากาสานญฺจายตน’’นฺติอาทิคฺคหณํ วิย สเงฺขปโต ปญฺจโวการภวทสฺสนํ โหตีติฯ
5. Rūpamukhena maññanāvatthudassanaṃ saṅkhepoti katvā vuttaṃ ‘‘vitthāratopī’’ti. Tampi hi ‘‘yattha neva pathavī, na āpo, na tejo, na vāyo, na ākāsānañcāyatana’’ntiādiggahaṇaṃ viya saṅkhepato pañcavokārabhavadassanaṃ hotīti.
ทิฎฺฐนฺติ ยํ จกฺขุทฺวาเรน กตทสฺสนกิริยาสมาปนํ, ยญฺจ จกฺขุ ทฺวยํ ปสฺสติ ปสฺสิสฺสติ สติ สมฺภเว ปเสฺสยฺย, ตํ สพฺพกาลนฺติ วิเสสวจนิจฺฉาย อภาวโต ทิฎฺฐเนฺตว วุตฺตํ ยถา ‘‘ทุทฺธ’’นฺติฯ เตนาห ‘‘รูปายตนเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติฯ อยญฺจ นโย สุตาทีสุปิ โยเชตโพฺพฯ สตฺตาติ รูปาทีสุ สตฺตา วิสตฺตาติ สตฺตาฯ สญฺชนเฎฺฐน สามญฺญสโทฺทปิ เจส สตฺต-สโทฺท ‘‘อิตฺถิรูเป’’ติ วิสยวิเสสิตตฺตา อิธ ปุริสวาจโก ทฎฺฐโพฺพฯ รตฺตาติ วตฺถํ วิย รงฺคชาเตน จิตฺตสฺส วิปริณามการเกน ฉนฺทราเคน รตฺตา สารตฺตาฯ คิทฺธาติ อภิกงฺขนสภาเวน อภิคิชฺฌเนน คิทฺธา เคธํ อาปนฺนาฯ คธิตาติ คนฺถิตา วิย โลเภน ทุโมฺมจนียภาเวน อารมฺมเณ ปฎิพทฺธาฯ มุจฺฉิตาติ กิเลสวเสน วิสญฺญีภูตา วิย อนญฺญกิจฺจา มุจฺฉํ โมหํ อาปนฺนาฯ อโชฺฌสนฺนาติ วิสเย อญฺญสาธารเณ วิย กตฺวา คิลิตฺวา ปรินิฎฺฐาเปตฺวา วิย ฐิตาฯ อิมินาติ สุวณฺณวณฺณาทิอากาเรนฯ มงฺคลํ อมงฺคลนฺติ อีทิสํ ทิฎฺฐํ มงฺคลํ, อีทิสํ อมงฺคลนฺติ ฯ รูปสฺมิํ อตฺตานํ สมนุปสฺสนนเยนาติ อิทํ เวทนาทิอรูปธเมฺม, รูปายตนวินิมุตฺตสพฺพธเมฺม วา อตฺตโต คเหตฺวา ตโต อชฺฌตฺติกํ, พาหิรํ วา รูปายตนํ ตโสฺสกาสภาเวน ปริกเปฺปตฺวา ‘‘โส โข ปน เม อยํ อตฺตา อิมสฺมิํ รูปายตเน’’ติ มญฺญโนฺต ทิฎฺฐสฺมิํ มญฺญตีติ อิมํ นยํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ‘‘ปถวิโต มญฺญตี’’ติอาทีสุ ยถา ‘‘สอุปกรณสฺส อตฺตโน วา ปรสฺส วา’’ติอาทิมญฺญนาปวตฺติ ทสฺสิตา, เอวํ ‘‘ทิฎฺฐโต มญฺญตี’’ติอาทีสุ สกฺกา ตํ ทเสฺสตุนฺติ อาห ‘‘เตสํ ปถวีวาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพ’’นฺติฯ
Diṭṭhanti yaṃ cakkhudvārena katadassanakiriyāsamāpanaṃ, yañca cakkhu dvayaṃ passati passissati sati sambhave passeyya, taṃ sabbakālanti visesavacanicchāya abhāvato diṭṭhanteva vuttaṃ yathā ‘‘duddha’’nti. Tenāha ‘‘rūpāyatanassetaṃ adhivacana’’nti. Ayañca nayo sutādīsupi yojetabbo. Sattāti rūpādīsu sattā visattāti sattā. Sañjanaṭṭhena sāmaññasaddopi cesa satta-saddo ‘‘itthirūpe’’ti visayavisesitattā idha purisavācako daṭṭhabbo. Rattāti vatthaṃ viya raṅgajātena cittassa vipariṇāmakārakena chandarāgena rattā sārattā. Giddhāti abhikaṅkhanasabhāvena abhigijjhanena giddhā gedhaṃ āpannā. Gadhitāti ganthitā viya lobhena dummocanīyabhāvena ārammaṇe paṭibaddhā. Mucchitāti kilesavasena visaññībhūtā viya anaññakiccā mucchaṃ mohaṃ āpannā. Ajjhosannāti visaye aññasādhāraṇe viya katvā gilitvā pariniṭṭhāpetvā viya ṭhitā. Imināti suvaṇṇavaṇṇādiākārena. Maṅgalaṃ amaṅgalanti īdisaṃ diṭṭhaṃ maṅgalaṃ, īdisaṃ amaṅgalanti . Rūpasmiṃ attānaṃ samanupassananayenāti idaṃ vedanādiarūpadhamme, rūpāyatanavinimuttasabbadhamme vā attato gahetvā tato ajjhattikaṃ, bāhiraṃ vā rūpāyatanaṃ tassokāsabhāvena parikappetvā ‘‘so kho pana me ayaṃ attā imasmiṃ rūpāyatane’’ti maññanto diṭṭhasmiṃ maññatīti imaṃ nayaṃ sandhāya vuttaṃ. ‘‘Pathavito maññatī’’tiādīsu yathā ‘‘saupakaraṇassa attano vā parassa vā’’tiādimaññanāpavatti dassitā, evaṃ ‘‘diṭṭhato maññatī’’tiādīsu sakkā taṃ dassetunti āha ‘‘tesaṃ pathavīvāre vuttanayeneva veditabba’’nti.
อาหจฺจาติ วิสยํ อนฺวาย, ปตฺวาติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘อุปคนฺตฺวา’’ติฯ อญฺญมญฺญสํสิเลเสติ จกฺขุรูปโสตสทฺทา วิย ทุเร อหุตฺวา อญฺญมญฺญํ อลฺลิยเนฯ
Āhaccāti visayaṃ anvāya, patvāti attho. Tenāha ‘‘upagantvā’’ti. Aññamaññasaṃsileseti cakkhurūpasotasaddā viya dure ahutvā aññamaññaṃ alliyane.
มนสา วิญฺญาตํ เกวลนฺติ อโตฺถฯ อิตรานิปิ หิ มนสา วิญฺญายนฺตีติฯ เสเสหิ สตฺตหิ อายตเนหิ ปญฺญตฺติยา อสงฺคหิตตฺตา ตมฺปิ สงฺคเหตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘ธมฺมารมฺมณสฺส วา’’ติ วุตฺตํฯ ทฺวีสุปิ วิกเปฺปสุ โลกุตฺตรานมฺปิ สงฺคโห อาปโนฺนติ อาห ‘‘อิธ ปน สกฺกายปริยาปนฺนเมว ลพฺภตี’’ติฯ วิตฺถาโรติ มญฺญนานํ ปวตฺตนาการวิตฺถาโรฯ เอตฺถาติ เอเตสุ สุตวาราทีสุฯ
Manasā viññātaṃ kevalanti attho. Itarānipi hi manasā viññāyantīti. Sesehi sattahi āyatanehi paññattiyā asaṅgahitattā tampi saṅgahetvā dassetuṃ ‘‘dhammārammaṇassa vā’’ti vuttaṃ. Dvīsupi vikappesu lokuttarānampi saṅgaho āpannoti āha ‘‘idha pana sakkāyapariyāpannameva labbhatī’’ti. Vitthāroti maññanānaṃ pavattanākāravitthāro. Etthāti etesu sutavārādīsu.
ทิฎฺฐสุตวาราทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Diṭṭhasutavārādivaṇṇanā niṭṭhitā.
เอกตฺตวาราทิวณฺณนา
Ekattavārādivaṇṇanā
๖. สมาปนฺนกวาเรนาติ สมาปนฺนกปฺปวตฺติยา, รูปาวจรารูปาวจรฌานปฺปวตฺติยาติ อโตฺถฯ สา หิ เอกสฺมิํเยว อารมฺมเณ เอกากาเรน ปวตฺตตีติ กตฺวา ‘‘เอกตฺต’’นฺติ วุจฺจติ, เอวญฺจ กตฺวา วิปากชฺฌานปฺปวตฺติปิ อิธ สมาปนฺนกวารคฺคหเณเนว คหิตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ อสมาปนฺนกวาเรนาติ กามาวจรธมฺมปฺปวตฺติยาฯ อุปจารชฺฌาเนนปิ หิ จิตฺตํ น สมฺมา เอกตฺตํ คตนฺติ วุจฺจตีติฯ
6.Samāpannakavārenāti samāpannakappavattiyā, rūpāvacarārūpāvacarajhānappavattiyāti attho. Sā hi ekasmiṃyeva ārammaṇe ekākārena pavattatīti katvā ‘‘ekatta’’nti vuccati, evañca katvā vipākajjhānappavattipi idha samāpannakavāraggahaṇeneva gahitāti daṭṭhabbā. Asamāpannakavārenāti kāmāvacaradhammappavattiyā. Upacārajjhānenapi hi cittaṃ na sammā ekattaṃ gatanti vuccatīti.
โยชนาติ มญฺญนาโยชนาฯ ภินฺทิตฺวาติ วิภชิตฺวาฯ สาสนนเยนาติ ปาฬินเยนฯ ตตฺถ ‘‘เอกตฺตํ มญฺญตี’’ติอาทีสุ ‘‘เวทนํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’’ติอาทินา นเยน, ‘‘นานตฺตํ มญฺญตี’’ติอาทีสุ ปน ‘‘รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’’ติอาทินา นเยน วุตฺตวิธิํ อนุคนฺตฺวา มญฺญนา เวทิตพฺพาฯ
Yojanāti maññanāyojanā. Bhinditvāti vibhajitvā. Sāsananayenāti pāḷinayena. Tattha ‘‘ekattaṃ maññatī’’tiādīsu ‘‘vedanaṃ attato samanupassatī’’tiādinā nayena, ‘‘nānattaṃ maññatī’’tiādīsu pana ‘‘rūpaṃ attato samanupassatī’’tiādinā nayena vuttavidhiṃ anugantvā maññanā veditabbā.
ปถวีวาราทีสุ วุเตฺตน จ อฎฺฐกถานเยนาติ ‘‘อหํ เวทนาติ มญฺญติ, มม เวทนาติ มญฺญตี’’ติอาทินา, ‘‘อหํ รูปนฺติ มญฺญติ, มม รูปนฺติ มญฺญตี’’ติอาทินา จาติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘ยถานุรูปํ วีมํสิตฺวา’’ติ, เอกตฺตนานตฺตภาเวสุ โย โยชนานโย สมฺภวติ, ตทนุรูปํ วิจาเรตฺวาติ อโตฺถฯ เกจีติ อภยคิริวาสิโนฯ อปเรติ สารสมาสาจริยาฯ ทิฎฺฐาภินิเวสํ วทนฺตีติ สมฺพโนฺธฯ ปุถุชฺชนสฺส มญฺญนา นาม สกฺกายํ ภินฺทิตฺวาว ยถาอุปฎฺฐิตวิสยวเสเนว ปวตฺตตีติ น ตตฺถ อยเมกตฺตนโย อยํ นานตฺตนโยติ วิภาควเสเนว, เอกตฺตสญฺญี อตฺตา โหตีติอาทีสุ จ อตฺตโน เอกตฺตนานตฺตสญฺญิตา วุตฺตา, น ปน เอกตฺตํ นานตฺตนฺติ เอวํ ปวตฺตสฺส ทิฎฺฐาภินิเวสสฺส เอกตฺตนานตฺตภาโวติ เอวเมตฺถ ตทุภยสฺส อิธ อนธิเปฺปตภาโว ทฎฺฐโพฺพฯ
Pathavīvārādīsu vuttena ca aṭṭhakathānayenāti ‘‘ahaṃ vedanāti maññati, mama vedanāti maññatī’’tiādinā, ‘‘ahaṃ rūpanti maññati, mama rūpanti maññatī’’tiādinā cāti attho. Tenāha ‘‘yathānurūpaṃvīmaṃsitvā’’ti, ekattanānattabhāvesu yo yojanānayo sambhavati, tadanurūpaṃ vicāretvāti attho. Kecīti abhayagirivāsino. Apareti sārasamāsācariyā. Diṭṭhābhinivesaṃ vadantīti sambandho. Puthujjanassa maññanā nāma sakkāyaṃ bhinditvāva yathāupaṭṭhitavisayavaseneva pavattatīti na tattha ayamekattanayo ayaṃ nānattanayoti vibhāgavaseneva, ekattasaññī attā hotītiādīsu ca attano ekattanānattasaññitā vuttā, na pana ekattaṃ nānattanti evaṃ pavattassa diṭṭhābhinivesassa ekattanānattabhāvoti evamettha tadubhayassa idha anadhippetabhāvo daṭṭhabbo.
ยํ ยถาวุตฺตปุถุชฺชโน อนวเสสโต คณฺหโนฺต คเหตุํ สโกฺกติ, ตํ ตสฺส อนวเสสโต คเหตพฺพตํ อุปาทาย ‘‘สพฺพ’’นฺติ วุจฺจตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตเมวา’’ติ อาห, สกฺกายสพฺพนฺติ อโตฺถฯ สพฺพสฺมิมฺปิ เตภูมกธเมฺม อาทีนวทสฺสเน อสติ นิพฺพิทาภาวโต อสฺสาทานุปสฺสนาย ตณฺหา วฑฺฒเตวาติ อาห ‘‘สพฺพํ อสฺสาเทโนฺต สพฺพํ ตณฺหามญฺญนาย มญฺญตี’’ติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา – ‘‘สํโยชนิเยสุ, ภิกฺขเว, ธเมฺมสุ อสฺสาทานุปสฺสิโน วิหรโต ตณฺหา ปวฑฺฒตี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๕๓, ๕๗)ฯ ‘‘สพฺพมิทํ มยา นิมฺมิต’’นฺติ เตน นิมฺมิตมญฺญนาย อตฺตานํ เสยฺยาทิโต ทหโนฺต เตน มาเนน นิมฺมิตํ มญฺญติเยว นาม นิมฺมิตมญฺญนาย วินา ตถามานุปฺปตฺติยา อภาวโตติ อาห ‘‘อตฺตนา นิมฺมิตํ มญฺญโนฺต สพฺพํ มานมญฺญนาย มญฺญตี’’ติฯ สพฺพํ นตฺถีติอาทินา นเยนาติ อาทิ-สเทฺทน นิยติวาทาทิเก สงฺคณฺหาติฯ มหา เม อตฺตาติ อิมินา สพฺพโต อตฺตโน วิภูติปวตฺติวาทํ ทเสฺสติฯ ‘‘สพฺพํ สพฺพตฺถก’’นฺติ ทิฎฺฐิวเสน – ‘‘อหํ สพฺพสฺมิํ มยฺหํ กิญฺจนํ ปลิโพโธ สพฺพสฺมิํ, ปโร สพฺพสฺมิํ ปรสฺส กิญฺจนํ ปลิโพโธ สพฺพสฺมิ’’นฺติอาทินา นเยนเปตฺถ มญฺญนา สมฺภวตีติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เสสํ ปถวีวาเร วุตฺตนเยน เวทิตพฺพ’’นฺติฯ อปิจ ‘‘สโพฺพยํ โลโก ปุริสมโย’’ติ เอวํทิฎฺฐิโก ปุริสสงฺขาตโต สพฺพโต, อตฺตโน อุปฺปตฺติํ วา นิคฺคมนํ วา มญฺญโนฺต ทิฎฺฐิมญฺญนาย สพฺพโต มญฺญติ, ตสฺมิํเยว ปน ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญิเต วตฺถุสฺมิํ สิเนหํ มานญฺจ อุปฺปาทยโต ตณฺหามญฺญนา มานมญฺญนา จ เวทิตพฺพาฯ ตํเยว ปน สพฺพํ มยฺหํ อตฺตา กตฺตา สามีติ วา มญฺญโนฺต ‘‘สพฺพํ เม’’ติ มญฺญติ, ตถายํ ทิฎฺฐิตณฺหาภินนฺทนาหิ อภินนฺทโนฺต สพฺพํ อภินนฺทตีติ เอวเมฺปตฺถ มญฺญนานํ ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ
Yaṃ yathāvuttaputhujjano anavasesato gaṇhanto gahetuṃ sakkoti, taṃ tassa anavasesato gahetabbataṃ upādāya ‘‘sabba’’nti vuccatīti dassento ‘‘tamevā’’ti āha, sakkāyasabbanti attho. Sabbasmimpi tebhūmakadhamme ādīnavadassane asati nibbidābhāvato assādānupassanāya taṇhā vaḍḍhatevāti āha ‘‘sabbaṃ assādento sabbaṃ taṇhāmaññanāya maññatī’’ti. Vuttañhetaṃ bhagavatā – ‘‘saṃyojaniyesu, bhikkhave, dhammesu assādānupassino viharato taṇhā pavaḍḍhatī’’ti (saṃ. ni. 2.53, 57). ‘‘Sabbamidaṃ mayā nimmita’’nti tena nimmitamaññanāya attānaṃ seyyādito dahanto tena mānena nimmitaṃ maññatiyeva nāma nimmitamaññanāya vinā tathāmānuppattiyā abhāvatoti āha ‘‘attanā nimmitaṃ maññanto sabbaṃ mānamaññanāya maññatī’’ti. Sabbaṃ natthītiādinā nayenāti ādi-saddena niyativādādike saṅgaṇhāti. Mahā me attāti iminā sabbato attano vibhūtipavattivādaṃ dasseti. ‘‘Sabbaṃ sabbatthaka’’nti diṭṭhivasena – ‘‘ahaṃ sabbasmiṃ mayhaṃ kiñcanaṃ palibodho sabbasmiṃ, paro sabbasmiṃ parassa kiñcanaṃ palibodho sabbasmi’’ntiādinā nayenapettha maññanā sambhavatīti dassento āha ‘‘sesaṃ pathavīvāre vuttanayena veditabba’’nti. Apica ‘‘sabboyaṃ loko purisamayo’’ti evaṃdiṭṭhiko purisasaṅkhātato sabbato, attano uppattiṃ vā niggamanaṃ vā maññanto diṭṭhimaññanāya sabbato maññati, tasmiṃyeva pana diṭṭhimaññanāya maññite vatthusmiṃ sinehaṃ mānañca uppādayato taṇhāmaññanā mānamaññanā ca veditabbā. Taṃyeva pana sabbaṃ mayhaṃ attā kattā sāmīti vā maññanto ‘‘sabbaṃ me’’ti maññati, tathāyaṃ diṭṭhitaṇhābhinandanāhi abhinandanto sabbaṃ abhinandatīti evampettha maññanānaṃ pavatti veditabbā.
ตนฺติ สกฺกายํฯ อุกฺกํสคตสุขสหิตญฺหิ ขนฺธปญฺจกํ ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานวาที นิพฺพานนฺติ มญฺญติ, ตํ ปนตฺถโต สกฺกาโยเยวาติฯ เอกธาติ ปญฺจวิธมฺปิ นิพฺพานภาเวน เอกชฺฌํ กตฺวา วุตฺตํฯ ยโตติ ยสฺมาฯ ปญฺจหิ กามคุเณหีติ มนาปิยรูปาทีหิ ปญฺจหิ กามโกฎฺฐาเสหิ, พนฺธเนหิ วาฯ สมปฺปิโต สุฎฺฐุ อปฺปิโต อลฺลีโน หุตฺวา ฐิโตฯ สมงฺคิภูโตติ สมนฺนาคโตฯ ปริจาเรตีติ เตสุ กามคุเณสุ กามโกฎฺฐาเสสุ ยถาสุขํ อินฺทฺริยานิ จาเรติ สญฺจาเรติ อิโต จิโต จ อุปเนติฯ อถ วา ลฬติ รมติ กีฬติฯ เอตฺถ ทฺวิธา กามคุณา มานุสกา เจว ทิพฺพา จฯ มานุสกา จ มนฺธาตุกามคุณสทิสา, ทิพฺพา ปรนิมฺมิตวสวตฺติเทวราชสฺส กามคุณสทิสาฯ เอวรูเป กาเม อุปคตานญฺหิ เต ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานสมฺปตฺติํ ปญฺญเปนฺติฯ เตนาห ‘‘เอตฺตาวตา โข…เป.… โหตี’’ติฯ ทิฎฺฐธโมฺมติ ปจฺจกฺขธโมฺม วุจฺจติ, ตตฺถ ตตฺถ ปฎิลทฺธตฺตภาวเสฺสตํ อธิวจนํ, ทิฎฺฐธเมฺม นิพฺพานํ อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเว ทุกฺขวูปสมนํ ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานํฯ ปรมํ อุตฺตมํ ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานนฺติ ปรมทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานํ, ตํ ปโตฺต โหตีติ อโตฺถฯ ปญฺจธา อาคตนฺติ ยถาวุตฺตกามคุณสุขสฺส เจว จตุพฺพิธรูปาวจรชฺฌานสุขสฺส จ วเสน ปาฬิยํ ปญฺจปฺปกาเรน อาคตํฯ นิพฺพานํ อสฺสาเทโนฺตติ ปรมํ สุขํ นิสฺสรณนฺติ มญฺญนาย อสฺสาเทโนฺตฯ
Tanti sakkāyaṃ. Ukkaṃsagatasukhasahitañhi khandhapañcakaṃ diṭṭhadhammanibbānavādī nibbānanti maññati, taṃ panatthato sakkāyoyevāti. Ekadhāti pañcavidhampi nibbānabhāvena ekajjhaṃ katvā vuttaṃ. Yatoti yasmā. Pañcahi kāmaguṇehīti manāpiyarūpādīhi pañcahi kāmakoṭṭhāsehi, bandhanehi vā. Samappito suṭṭhu appito allīno hutvā ṭhito. Samaṅgibhūtoti samannāgato. Paricāretīti tesu kāmaguṇesu kāmakoṭṭhāsesu yathāsukhaṃ indriyāni cāreti sañcāreti ito cito ca upaneti. Atha vā laḷati ramati kīḷati. Ettha dvidhā kāmaguṇā mānusakā ceva dibbā ca. Mānusakā ca mandhātukāmaguṇasadisā, dibbā paranimmitavasavattidevarājassa kāmaguṇasadisā. Evarūpe kāme upagatānañhi te diṭṭhadhammanibbānasampattiṃ paññapenti. Tenāha ‘‘ettāvatā kho…pe… hotī’’ti. Diṭṭhadhammoti paccakkhadhammo vuccati, tattha tattha paṭiladdhattabhāvassetaṃ adhivacanaṃ, diṭṭhadhamme nibbānaṃ imasmiṃyeva attabhāve dukkhavūpasamanaṃ diṭṭhadhammanibbānaṃ. Paramaṃ uttamaṃ diṭṭhadhammanibbānanti paramadiṭṭhadhammanibbānaṃ, taṃ patto hotīti attho. Pañcadhā āgatanti yathāvuttakāmaguṇasukhassa ceva catubbidharūpāvacarajjhānasukhassa ca vasena pāḷiyaṃ pañcappakārena āgataṃ. Nibbānaṃ assādentoti paramaṃ sukhaṃ nissaraṇanti maññanāya assādento.
‘‘อิมสฺมิํ นิพฺพาเน ปเตฺต น ชายติ, น ชีรติ, น มียตี’’ติ เอวมฺปิ นิพฺพานสฺมิํ มญฺญติฯ ‘‘อิโต ปรํ ปรมสฺสาสภูตํ นตฺถี’’ติ คณฺหโนฺต นิพฺพานโต มญฺญติฯ ตยิทํ นิพฺพานํ มยา อธิคตํ, ตสฺมา ‘‘นิพฺพานํ เม’’ติ มญฺญติฯ ตโตเยว ตํ นิพฺพานํ ทิฎฺฐาภินนฺทนาย อภินนฺทติฯ อยํ ตาเวตฺถ ทิฎฺฐิมญฺญนาฯ ตสฺมิํเยว ปน ทิฎฺฐิมญฺญนาย มญฺญิเต วตฺถุสฺมิํ สิเนหํ มานญฺจ อุปฺปาทยโต ตณฺหามานมญฺญนาปิ นิทฺธาเรตพฺพาฯ
‘‘Imasmiṃ nibbāne patte na jāyati, na jīrati, na mīyatī’’ti evampi nibbānasmiṃ maññati. ‘‘Ito paraṃ paramassāsabhūtaṃ natthī’’ti gaṇhanto nibbānato maññati. Tayidaṃ nibbānaṃ mayā adhigataṃ, tasmā ‘‘nibbānaṃ me’’ti maññati. Tatoyeva taṃ nibbānaṃ diṭṭhābhinandanāya abhinandati. Ayaṃ tāvettha diṭṭhimaññanā. Tasmiṃyeva pana diṭṭhimaññanāya maññite vatthusmiṃ sinehaṃ mānañca uppādayato taṇhāmānamaññanāpi niddhāretabbā.
ยาทิโสติ ยถารูโป, เยหิ เชคุจฺฉาทิสภาเวหิ ปสฺสิตโพฺพติ อโตฺถฯ เอสาติ อยํฯ เตนสฺส อตฺตโน สุณนฺตานญฺจ ปจฺจกฺขสิทฺธตมาหฯ อสุภาทิสภาเวน สห วิชฺชมานานํ รูปาทิธมฺมานํ กาโย สมูโหติ สกฺกาโย, อุปาทานกฺขนฺธาฯ ตถาติ ตสฺส ภาวภูเตน ปฎิกูลตาทิปฺปกาเรนฯ สพฺพมญฺญนาติ ปถวีอาทิเก สรูปาวธารณาทิวิภาคภิเนฺน วิสเย ปวตฺติยา อเนกวิหิตา สพฺพา ตณฺหามญฺญนาฯ
Yādisoti yathārūpo, yehi jegucchādisabhāvehi passitabboti attho. Esāti ayaṃ. Tenassa attano suṇantānañca paccakkhasiddhatamāha. Asubhādisabhāvena saha vijjamānānaṃ rūpādidhammānaṃ kāyo samūhoti sakkāyo, upādānakkhandhā. Tathāti tassa bhāvabhūtena paṭikūlatādippakārena. Sabbamaññanāti pathavīādike sarūpāvadhāraṇādivibhāgabhinne visaye pavattiyā anekavihitā sabbā taṇhāmaññanā.
เชคุโจฺฉติ ชิคุจฺฉนีโยฯ เตนสฺส อสุภาชญฺญทุคฺคนฺธปฎิกูลภาวํ ทเสฺสติฯ สิทุโรติ ขเณ ขเณ ภิชฺชนสภาโวฯ เตนสฺส อนิจฺจอทฺธุวขยวยปภงฺคุรสภาวํ ทเสฺสติฯ อยนฺติ สกฺกาโยฯ ทุโกฺขติ น สุโขฯ เตนสฺส กิจฺฉกสิราพาธทุกฺขวุตฺติตํ ทเสฺสติฯ อปริณายโกติ ปริณายกรหิโตฯ เตนสฺส อตฺตสุญฺญอสารวุตฺติตํ ทเสฺสติฯ ตนฺติ สกฺกายํฯ ปจฺจนีกโตติ สภาวปฎิปกฺขโต, สุภนิจฺจสุขอตฺตาทิโตติ อโตฺถฯ คณฺหนฺติ คณฺหโนฺต, ตตฺถ สุภาทิคาหวเสน อภินิวิสโนฺตติ อโตฺถฯ
Jegucchoti jigucchanīyo. Tenassa asubhājaññaduggandhapaṭikūlabhāvaṃ dasseti. Siduroti khaṇe khaṇe bhijjanasabhāvo. Tenassa aniccaaddhuvakhayavayapabhaṅgurasabhāvaṃ dasseti. Ayanti sakkāyo. Dukkhoti na sukho. Tenassa kicchakasirābādhadukkhavuttitaṃ dasseti. Apariṇāyakoti pariṇāyakarahito. Tenassa attasuññaasāravuttitaṃ dasseti. Tanti sakkāyaṃ. Paccanīkatoti sabhāvapaṭipakkhato, subhaniccasukhaattāditoti attho. Gaṇhanti gaṇhanto, tattha subhādigāhavasena abhinivisantoti attho.
อิทานิ ติโสฺสปิ มญฺญนา อุปมาหิ วิภาเวตุํ ‘‘สุภโต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยถา มหาปริฬาเห วิปุลานตฺถาวเห จ อคฺคิมฺหิ สลภสฺส ปตนํ สุภสุขสญฺญาย, เอวํ ตาทิเส สกฺกาเย สลภสฺส ตณฺหามญฺญนาติ อิมมตฺถํ ทเสฺสติ ‘‘สุภโต…เป.… ตณฺหาย มญฺญนา’’ติ อิมินาฯ
Idāni tissopi maññanā upamāhi vibhāvetuṃ ‘‘subhato’’tiādi vuttaṃ. Tattha yathā mahāpariḷāhe vipulānatthāvahe ca aggimhi salabhassa patanaṃ subhasukhasaññāya, evaṃ tādise sakkāye salabhassa taṇhāmaññanāti imamatthaṃ dasseti ‘‘subhato…pe… taṇhāya maññanā’’ti iminā.
คูถาที กีฎโก คูถราสิํ ลทฺธา อสมฺปเนฺนปิ ตสฺมิํ สมฺปนฺนาการํ ปวตฺตยมาโน อตฺตานํ อุกฺกํเสติ, เอวมเนกาทีนเว เอกนฺตเภทินิ สกฺกาเย นิจฺจสญฺญํ อุปฎฺฐเปตฺวา สมฺปตฺติมเทน ตตฺถ พาโล มานํ ชเปฺปตีติ อิมมตฺถมาห ‘‘นิจฺจสญฺญํ…เป.… มาเนน มญฺญนา’’ติฯ
Gūthādī kīṭako gūtharāsiṃ laddhā asampannepi tasmiṃ sampannākāraṃ pavattayamāno attānaṃ ukkaṃseti, evamanekādīnave ekantabhedini sakkāye niccasaññaṃ upaṭṭhapetvā sampattimadena tattha bālo mānaṃ jappetīti imamatthamāha ‘‘niccasaññaṃ…pe… mānena maññanā’’ti.
ยถา พาโล มุทฺธธาตุโก สมฺมูโฬฺห โกจิ อาทาเส อตฺตโน ปฎิพิมฺพํ ทิสฺวา ‘‘อยํ มเญฺญ อาทาสสามิโก, ยทิ อหมิมํ คเหตฺวา ติเฎฺฐยฺยํ, อนตฺถมฺปิ เม กเรยฺยา’’ติ ฉเฑฺฑตฺวา ปลายโนฺต ตตฺถ อวิชฺชมานเมว กิญฺจิ วิชฺชมานํ กตฺวา คณฺหิ, ตถูปโม อยํ พาโล สกฺกาเย อตฺตตฺตนิยคาหํ คณฺหโนฺตติ อิมมตฺถํ ทีเปติ ‘‘อตฺตา…เป.… ทิฎฺฐิยา โหติ มญฺญนา’’ติ อิมินาฯ
Yathā bālo muddhadhātuko sammūḷho koci ādāse attano paṭibimbaṃ disvā ‘‘ayaṃ maññe ādāsasāmiko, yadi ahamimaṃ gahetvā tiṭṭheyyaṃ, anatthampi me kareyyā’’ti chaḍḍetvā palāyanto tattha avijjamānameva kiñci vijjamānaṃ katvā gaṇhi, tathūpamo ayaṃ bālo sakkāye attattaniyagāhaṃ gaṇhantoti imamatthaṃ dīpeti ‘‘attā…pe… diṭṭhiyā hoti maññanā’’ti iminā.
สุขุมํ มารพนฺธนํ เวปจิตฺติพนฺธนโตปิ สุขุมตรตฺตาฯ เตนาห ภควา ‘‘อโห สุขุมตรํ โข, ภิกฺขเว, มารพนฺธน’’นฺติฯ
Sukhumaṃ mārabandhanaṃ vepacittibandhanatopi sukhumatarattā. Tenāha bhagavā ‘‘aho sukhumataraṃ kho, bhikkhave, mārabandhana’’nti.
พหุนฺติ อติวิย, อเนกกฺขตฺตุํ วาฯ วิปฺผนฺทมาโนปิ สกฺกายํ นาติวตฺตติ สํสารํ นาติวตฺตนโตฯ ยถาห ‘‘เย เต, ภิกฺขเว, สมณา สโต สตฺตสฺส อุเจฺฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติ, เต, สกฺกายํเยว อนุปริธาวนฺติ เสยฺยถาปิ สา คทฺทุลพนฺธโน’’ติอาทิฯ ยถา หิ สตฺตสุปิ อุเจฺฉทวิกเปฺปสุ สํสารนายิกานํ ตณฺหาทิฎฺฐีนํ ปหานํ สมฺภวติ, เอวํ สสฺสตวิกเปฺปสุปีติ กถญฺจิ ปน ทิฎฺฐิคติกสฺส ภววิปฺปโมโกฺขฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สกฺกายํ นาติวตฺตตี’’ติฯ
Bahunti ativiya, anekakkhattuṃ vā. Vipphandamānopi sakkāyaṃ nātivattati saṃsāraṃ nātivattanato. Yathāha ‘‘ye te, bhikkhave, samaṇā sato sattassa ucchedaṃ vināsaṃ vibhavaṃ paññapenti, te, sakkāyaṃyeva anuparidhāvanti seyyathāpi sā gaddulabandhano’’tiādi. Yathā hi sattasupi ucchedavikappesu saṃsāranāyikānaṃ taṇhādiṭṭhīnaṃ pahānaṃ sambhavati, evaṃ sassatavikappesupīti kathañci pana diṭṭhigatikassa bhavavippamokkho. Tena vuttaṃ ‘‘sakkāyaṃ nātivattatī’’ti.
สโสติ โส เอโส ปุถุชฺชโนฯ นิจฺจนฺติ สพฺพกาลํฯ
Sasoti so eso puthujjano. Niccanti sabbakālaṃ.
ตนฺติ ตสฺมา สกฺกายมลีนสฺส ชาติยาทีนมนติวตฺตนโตฯ อสาตโตติ ทุกฺขโตฯ
Tanti tasmā sakkāyamalīnassa jātiyādīnamanativattanato. Asātatoti dukkhato.
ปสฺสํ เอวมิมนฺติ อสุภานิจฺจทุกฺขานตฺตสภาวํ ตํ สกฺกายํ วุตฺตปฺปกาเรน ยถาภูตวิปสฺสนาปญฺญาสหิตาย มคฺคปญฺญาย ปสฺสโนฺตฯ ปหายาติ สมุเจฺฉทวเสน สพฺพา มญฺญนาโย ปชหิตฺวาฯ สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจตีติ สกลสฺมาปิ วฎฺฎทุกฺขโต ปมุจฺจตีติฯ
Passaṃ evamimanti asubhāniccadukkhānattasabhāvaṃ taṃ sakkāyaṃ vuttappakārena yathābhūtavipassanāpaññāsahitāya maggapaññāya passanto. Pahāyāti samucchedavasena sabbā maññanāyo pajahitvā. Sabbadukkhā pamuccatīti sakalasmāpi vaṭṭadukkhato pamuccatīti.
เอกตฺตวาราทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Ekattavārādivaṇṇanā niṭṭhitā.
ปฐมนยวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamanayavaṇṇanā niṭṭhitā.
เสกฺขวารทุติยนยวณฺณนา
Sekkhavāradutiyanayavaṇṇanā
๗. อธิเปฺปตสฺส อตฺถสฺส อนิยเมตฺวา วจนํ อุเทฺทโส, นิยเมตฺวา วจนํ นิเทฺทโสติ อาห ‘‘โยติ อุเทฺทสวจนํ, โสติ นิเทฺทสวจน’’นฺติฯ สมฺปิณฺฑนโตฺถติ สมุจฺจยโตฺถฯ สมฺปิณฺฑนญฺจ สภาคตาวเสน โหตีติ อาห – ‘‘อารมฺมณสภาเคนา’’ติ, อารมฺมณสฺส สภาคตาย สทิสตายาติ อโตฺถฯ เสกฺขํ ทเสฺสติ สามญฺญโชตนาย วิเสเส อวฎฺฐานโต, เสกฺขวิสยตฺตา จ ตสฺส วจนสฺสฯ
7. Adhippetassa atthassa aniyametvā vacanaṃ uddeso, niyametvā vacanaṃ niddesoti āha ‘‘yoti uddesavacanaṃ, soti niddesavacana’’nti. Sampiṇḍanatthoti samuccayattho. Sampiṇḍanañca sabhāgatāvasena hotīti āha – ‘‘ārammaṇasabhāgenā’’ti, ārammaṇassa sabhāgatāya sadisatāyāti attho. Sekkhaṃ dasseti sāmaññajotanāya visese avaṭṭhānato, sekkhavisayattā ca tassa vacanassa.
เกนเฎฺฐนาติ ยสฺมา ญาเณน อรณียโต อโตฺถ สภาโว, ตสฺมา เกนเฎฺฐน เกน สภาเวน เกน ลกฺขเณน เสโกฺข นาม โหตีติ อโตฺถฯ ยสฺมา ปน เสกฺขธมฺมาธิคเมน ปุคฺคเล เสกฺขโวหารปฺปวตฺติ, ตสฺมา ‘‘เสกฺขธมฺมปฎิลาภโต เสโกฺข’’ติ วุตฺตํฯ เสกฺขธมฺมา นาม จตูสุ มเคฺคสุ, เหฎฺฐิเมสุ จ ตีสุ ผเลสุ สมฺมาทิฎฺฐิอาทโยฯ เตนาห ‘‘เสกฺขาย สมฺมาทิฎฺฐิยา…เป.… เอตฺตาวตา โข ภิกฺขุ เสโกฺข โหตี’’ติฯ เอวํ อภิธมฺมปริยาเยน เสกฺขลกฺขณํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สุตฺตนฺติกปริยาเยนปิ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อปิจา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สิกฺขตีติ อิมินา สิกฺขาตฺตยสมงฺคี อปรินิฎฺฐิตสิโกฺข เสโกฺขติ ทเสฺสติฯ เตนาห ‘‘สิกฺขตี’’ติอาทิ ฯ สิกฺขาหิ นิจฺจสมาโยคทีปนตฺถเญฺจตฺถ ‘‘สิกฺขติ สิกฺขตี’’ติ อาเมฑิตวจนํฯ อถ วา สิกฺขนํ สิกฺขา, สา เอตสฺส สีลนฺติ เสโกฺขฯ โส หิ อปริโยสิตสิกฺขตฺตา ตทธิมุตฺตตฺตา จ เอกเนฺตน สิกฺขนสีโล, น อเสโกฺข วิย ปรินิฎฺฐิตสิโกฺข ตตฺถ ปฎิปฺปสฺสทฺธุสฺสุโกฺก, นาปิ วิสฺสฎฺฐสิโกฺข ปจุรชโน วิย ตตฺถ อนธิมุโตฺตฯ อถ วา อริยาย ชาติยา ตีสุ สิกฺขาสุ ชาโต, ตตฺถ วา ภโวติ เสโกฺขฯ อถ วา อิกฺขติ เอตายาติ อิกฺขา, มคฺคผลสมฺมาทิฎฺฐิฯ สห อิกฺขายาติ เสโกฺขฯ
Kenaṭṭhenāti yasmā ñāṇena araṇīyato attho sabhāvo, tasmā kenaṭṭhena kena sabhāvena kena lakkhaṇena sekkho nāma hotīti attho. Yasmā pana sekkhadhammādhigamena puggale sekkhavohārappavatti, tasmā ‘‘sekkhadhammapaṭilābhato sekkho’’ti vuttaṃ. Sekkhadhammā nāma catūsu maggesu, heṭṭhimesu ca tīsu phalesu sammādiṭṭhiādayo. Tenāha ‘‘sekkhāya sammādiṭṭhiyā…pe… ettāvatā kho bhikkhu sekkho hotī’’ti. Evaṃ abhidhammapariyāyena sekkhalakkhaṇaṃ dassetvā idāni suttantikapariyāyenapi taṃ dassetuṃ ‘‘apicā’’tiādi vuttaṃ. Tattha sikkhatīti iminā sikkhāttayasamaṅgī apariniṭṭhitasikkho sekkhoti dasseti. Tenāha ‘‘sikkhatī’’tiādi . Sikkhāhi niccasamāyogadīpanatthañcettha ‘‘sikkhati sikkhatī’’ti āmeḍitavacanaṃ. Atha vā sikkhanaṃ sikkhā, sā etassa sīlanti sekkho. So hi apariyositasikkhattā tadadhimuttattā ca ekantena sikkhanasīlo, na asekkho viya pariniṭṭhitasikkho tattha paṭippassaddhussukko, nāpi vissaṭṭhasikkho pacurajano viya tattha anadhimutto. Atha vā ariyāya jātiyā tīsu sikkhāsu jāto, tattha vā bhavoti sekkho. Atha vā ikkhati etāyāti ikkhā, maggaphalasammādiṭṭhi. Saha ikkhāyāti sekkho.
อนุโลมปฎิปทาย ปริปูรการีติ ยา สา สีลาทิกา วิปสฺสนนฺตา ทุกฺขนิโรธคามินิยา โลกุตฺตราย ปฎิปทาย อนุโลมนโต อนุโลมปฎิปทา, ตสฺสา สมฺปาทเนน ปริปูรการีติฯ อิทานิ ตํ ปฎิปทํ ปุคฺคลาธิฎฺฐาเนน ทเสฺสตุํ ‘‘สีลสมฺปโนฺน’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สีลสมฺปโนฺนติ ปาติโมกฺขสํวรสีเลน สมนฺนาคโต, ปริปุณฺณปาติโมกฺขสีโล วาฯ ปาติโมกฺขสีลญฺหิ อิธ ‘‘สีล’’นฺติ อธิเปฺปตํ ปธานภาวโตฯ รูปาทิอารมฺมเณสุ อภิชฺฌาทีนํ ปวตฺตินิวารณสงฺขาเตน มนจฺฉฎฺฐานํ อินฺทฺริยานํ ปิธาเนน อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโรฯ ปริเยสนาทิวเสน โภชเน ปมาณชานเนน โภชเน มตฺตญฺญูฯ วิคตถินมิโทฺธ หุตฺวา รตฺตินฺทิวํ กมฺมฎฺฐานมนสิกาเร ยุตฺตตาย ชาคริยานุโยคมนุยุโตฺตฯ กถํ ปน ชาคริยานุโยโค โหตีติ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปุพฺพรตฺตา…เป.… วิหรตี’’ติ วุตฺตํฯ ยถาห ‘‘กถญฺจ ปุพฺพรตฺตาปรรตฺตํ ชาคริยานุโยคมนุยุโตฺต โหติ? อิธ ภิกฺขุ ทิวสํ จงฺกเมน นิสชฺชาย อาวรณีเยหิ จิตฺตํ ปริโสเธติ, รตฺติยา ปฐมํ ยามํ จงฺกเมน…เป.… โสเธติ, เอวํ โข ภิกฺขุ ปุพฺพรตฺตาปรรตฺตํ ชาคริยานุโยคมนุยุโตฺต โหตี’’ติ (วิภ. ๕๑๙)ฯ อิมสฺมิํ ปนเตฺถติ ‘‘มญฺญติ, น มญฺญตี’’ติ จ วตฺตพฺพภาวสงฺขาเต อเตฺถฯ โน ปุถุชฺชโน อธิเปฺปโต ‘‘อปฺปตฺตมานโส, อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ ปตฺถยมาโน’’ติ จ วุตฺตตฺตาฯ
Anulomapaṭipadāya paripūrakārīti yā sā sīlādikā vipassanantā dukkhanirodhagāminiyā lokuttarāya paṭipadāya anulomanato anulomapaṭipadā, tassā sampādanena paripūrakārīti. Idāni taṃ paṭipadaṃ puggalādhiṭṭhānena dassetuṃ ‘‘sīlasampanno’’tiādi vuttaṃ. Tattha sīlasampannoti pātimokkhasaṃvarasīlena samannāgato, paripuṇṇapātimokkhasīlo vā. Pātimokkhasīlañhi idha ‘‘sīla’’nti adhippetaṃ padhānabhāvato. Rūpādiārammaṇesu abhijjhādīnaṃ pavattinivāraṇasaṅkhātena manacchaṭṭhānaṃ indriyānaṃ pidhānena indriyesu guttadvāro. Pariyesanādivasena bhojane pamāṇajānanena bhojane mattaññū. Vigatathinamiddho hutvā rattindivaṃ kammaṭṭhānamanasikāre yuttatāya jāgariyānuyogamanuyutto. Kathaṃ pana jāgariyānuyogo hotīti taṃ dassetuṃ ‘‘pubbarattā…pe… viharatī’’ti vuttaṃ. Yathāha ‘‘kathañca pubbarattāpararattaṃ jāgariyānuyogamanuyutto hoti? Idha bhikkhu divasaṃ caṅkamena nisajjāya āvaraṇīyehi cittaṃ parisodheti, rattiyā paṭhamaṃ yāmaṃ caṅkamena…pe… sodheti, evaṃ kho bhikkhu pubbarattāpararattaṃ jāgariyānuyogamanuyutto hotī’’ti (vibha. 519). Imasmiṃ panattheti ‘‘maññati, na maññatī’’ti ca vattabbabhāvasaṅkhāte atthe. No puthujjano adhippeto ‘‘appattamānaso, anuttaraṃ yogakkhemaṃ patthayamāno’’ti ca vuttattā.
สมฺปยุตฺตตฺตา มนสิ ภโวติ ราโค มานโส, มโน เอว มานสนฺติ กตฺวา จิตฺตํ มานสํ, อนวเสสโต มานํ สียติ สมุจฺฉินฺทตีติ อคฺคมโคฺค มานสํ, ตนฺนิพฺพตฺตตฺตา ปน อรหตฺตสฺส มานสตา ทฎฺฐพฺพาฯ ชเนสุตาติ ชเน สกลสตฺตโลเก วิสฺสุตา, ปตฺถฎยสาติ อโตฺถฯ
Sampayuttattā manasi bhavoti rāgo mānaso, mano eva mānasanti katvā cittaṃ mānasaṃ, anavasesato mānaṃ sīyati samucchindatīti aggamaggo mānasaṃ, tannibbattattā pana arahattassa mānasatā daṭṭhabbā. Janesutāti jane sakalasattaloke vissutā, patthaṭayasāti attho.
นตฺถิ อิโต อุตฺตรนฺติ อนุตฺตรํฯ ตํ ปน สพฺพเสฎฺฐํ โหนฺตํ เอกนฺตโต สทิสรหิตเมว โหติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘อนุตฺตรนฺติ เสฎฺฐํ, อสทิสนฺติ อโตฺถ’’ติฯ ปตฺถยมานสฺสาติ ตณฺหายนฺตสฺสฯ ปชปฺปิตานีติ มานชปฺปนานิฯ ยสฺมิญฺหิ วตฺถุสฺมิํ ตณฺหายนา ปตฺถยมานมญฺญนา สมฺภวติ, ตสฺมิํเยว ‘‘เสโยฺยหมสฺมี’’ติอาทีนิ ปชปฺปิตานิ สมฺภวนฺตีติ อธิปฺปาโยฯ ปเวธีตนฺติ ปริวาสิตํฯ ปกปฺปิเตสูติ ตณฺหาทิฎฺฐิกเปฺปหิ ปริกปฺปิเตสุ อารมฺมเณสุฯ โสตนฺติ กิเลสโสตํ ฯ ตสฺมิญฺหิ ฉิเนฺน อิตรโสตํ ฉินฺนเมวาติฯ วิทฺธสฺตนฺติ วินาสิตํฯ ตญฺจ โข โลมหํสมตฺตมฺปิ อเสเสตฺวาติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘วินฬีกต’’นฺติ, วิคตาวเสสํ กตนฺติ อโตฺถฯ อธิมุตฺติยา อิธาธิเปฺปตปตฺถนา ปากฎา โหตีติ ‘‘ตนฺนิโนฺน’’ติอาทิ วุตฺตํ, น ปน กุสลจฺฉนฺทสฺส อธิมุตฺติภาวโตฯ อธิมุจฺจโนฺตติ โอกเปฺปโนฺตฯ
Natthi ito uttaranti anuttaraṃ. Taṃ pana sabbaseṭṭhaṃ hontaṃ ekantato sadisarahitameva hoti, tasmā vuttaṃ ‘‘anuttaranti seṭṭhaṃ,asadisanti attho’’ti. Patthayamānassāti taṇhāyantassa. Pajappitānīti mānajappanāni. Yasmiñhi vatthusmiṃ taṇhāyanā patthayamānamaññanā sambhavati, tasmiṃyeva ‘‘seyyohamasmī’’tiādīni pajappitāni sambhavantīti adhippāyo. Pavedhītanti parivāsitaṃ. Pakappitesūti taṇhādiṭṭhikappehi parikappitesu ārammaṇesu. Sotanti kilesasotaṃ . Tasmiñhi chinne itarasotaṃ chinnamevāti. Viddhastanti vināsitaṃ. Tañca kho lomahaṃsamattampi asesetvāti dassento āha ‘‘vinaḷīkata’’nti, vigatāvasesaṃ katanti attho. Adhimuttiyā idhādhippetapatthanā pākaṭā hotīti ‘‘tanninno’’tiādi vuttaṃ, na pana kusalacchandassa adhimuttibhāvato. Adhimuccantoti okappento.
สพฺพาการวิปรีตายาติ ‘‘สุภํ สุขํ นิจฺจ’’นฺติอาทีนํ สเพฺพสํ อตฺตนา คเหตพฺพาการานํ วเสน ตพฺพิปรีตตาย, อนวเสสโต ธมฺมสภาววิปรีตาการคาหินิยาติ อโตฺถฯ อภิวิสิเฎฺฐน ญาเณนาติ อสมฺปชานนมิจฺฉาชานนานิ วิย น ธมฺมสภาวํ อปฺปตฺวา นาปิ อติกฺกมิตฺวา, อถ โข อวิรชฺฌิตฺวา ธมฺมสภาวสฺส อภิมุขภาวปฺปตฺติยา อภิวิสิเฎฺฐน ญาเณน, ญาตปริญฺญาธิฎฺฐานาย ตีรณปริญฺญาย ปหานปริเญฺญกเทเสน จาติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘ปถวีติ…เป.… วุตฺตํ โหตี’’ติฯ ปถวีภาวนฺติ ปถวิยํ อภิเญฺญยฺยภาวํฯ ลกฺขณปถวี หิ อิธาธิเปฺปตา, ปริเญฺญยฺยภาโว ปนสฺสา ‘‘อนิจฺจาติปี’’ติอาทินา คหิโตติฯ อภิญฺญตฺวาติ ญาตตีรณปหานปริญฺญาหิ เหฎฺฐิมมคฺคญาเณหิ จ อภิชานิตฺวาฯ มามญฺญีติ อปฺปหีนานํ มญฺญนานํ วเสน มาติ มญฺญตีติ มา, ปหีนานํ ปน วเสน น มญฺญตีติ อมญฺญี, มา จ โส อมญฺญี จ มามญฺญีติ เอวเมตฺถ ปทวิภาคโต อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ เยน ภาเคน อมญฺญี, เตน มญฺญีติ น วตฺตโพฺพฯ เยน ปน ภาเคน มญฺญี, เตน อมญฺญีติ น วตฺตโพฺพติฯ เอวํ ปฎิเกฺขปปฺปธานํ อตฺถํ ทเสฺสตุํ อฎฺฐกถายํ ‘‘มญฺญี จ น มญฺญี จ น วตฺตโพฺพ’’ติ วุตฺตํฯ ปฎิเกฺขปปฺปธานตา เจตฺถ ลพฺภมานานมฺปิ มญฺญนานํ ทุพฺพลภาวโต เวทิตพฺพาฯ เตเนวาห – ‘‘อิตรา ปน ตนุภาวํ คตา’’ติฯ มาติ จ นิปาตปทเมตํ, อเนกตฺถา จ นิปาตาติ อธิปฺปาเยน ‘‘เอตสฺมิญฺหิ อเตฺถ อิมํ ปทํ นิปาเตตฺวา วุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ นิปาเตตฺวาติ จ ปกติอาทิวิภาคนิทฺธารเณ อนุมานนยํ มุญฺจิตฺวา ยถาวุเตฺต อเตฺถ ปจฺจกฺขโตว ทเสฺสตฺวาติ อโตฺถฯ ปุถุชฺชโน วิยาติ เอเตนสฺส อุปริมคฺควชฺฌตณฺหามานวเสน มญฺญนา น ปฎิกฺขิตฺตาติ ทีเปติฯ
Sabbākāraviparītāyāti ‘‘subhaṃ sukhaṃ nicca’’ntiādīnaṃ sabbesaṃ attanā gahetabbākārānaṃ vasena tabbiparītatāya, anavasesato dhammasabhāvaviparītākāragāhiniyāti attho. Abhivisiṭṭhena ñāṇenāti asampajānanamicchājānanāni viya na dhammasabhāvaṃ appatvā nāpi atikkamitvā, atha kho avirajjhitvā dhammasabhāvassa abhimukhabhāvappattiyā abhivisiṭṭhena ñāṇena, ñātapariññādhiṭṭhānāya tīraṇapariññāya pahānapariññekadesena cāti attho. Tenāha ‘‘pathavīti…pe… vuttaṃ hotī’’ti. Pathavībhāvanti pathaviyaṃ abhiññeyyabhāvaṃ. Lakkhaṇapathavī hi idhādhippetā, pariññeyyabhāvo panassā ‘‘aniccātipī’’tiādinā gahitoti. Abhiññatvāti ñātatīraṇapahānapariññāhi heṭṭhimamaggañāṇehi ca abhijānitvā. Māmaññīti appahīnānaṃ maññanānaṃ vasena māti maññatīti mā, pahīnānaṃ pana vasena na maññatīti amaññī, mā ca so amaññī ca māmaññīti evamettha padavibhāgato attho veditabbo. Tattha yena bhāgena amaññī, tena maññīti na vattabbo. Yena pana bhāgena maññī, tena amaññīti na vattabboti. Evaṃ paṭikkhepappadhānaṃ atthaṃ dassetuṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘maññī ca na maññī ca na vattabbo’’ti vuttaṃ. Paṭikkhepappadhānatā cettha labbhamānānampi maññanānaṃ dubbalabhāvato veditabbā. Tenevāha – ‘‘itarā pana tanubhāvaṃ gatā’’ti. Māti ca nipātapadametaṃ, anekatthā ca nipātāti adhippāyena ‘‘etasmiñhi atthe imaṃ padaṃ nipātetvā vutta’’nti vuttaṃ. Nipātetvāti ca pakatiādivibhāganiddhāraṇe anumānanayaṃ muñcitvā yathāvutte atthe paccakkhatova dassetvāti attho. Puthujjano viyāti etenassa uparimaggavajjhataṇhāmānavasena maññanā na paṭikkhittāti dīpeti.
อถ วา มา มญฺญีติ ปริกปฺปกิริยาปฎิเกฺขปวจนเมตํ ‘‘มา รนฺธยุํ, มา ชีรี’’ติอาทีสุ วิย, น มเญฺญยฺยาติ วุตฺตโญฺหติฯ ยถา หิ ปุถุชฺชโน สพฺพโส อปฺปหีนมญฺญนตฺตา ‘‘มญฺญติ’’เจฺจว วตฺตโพฺพ, ยถา จ ขีณาสโว สพฺพโส ปหีนมญฺญนตฺตา น มญฺญติ เอว, น เอวํ เสโกฺขฯ ตสฺส หิ เอกจฺจา มญฺญนา ปหีนา, เอกจฺจา อปฺปหีนา, ตสฺมา อุภยภาวโต อุภยถาปิ น วตฺตโพฺพฯ นนุ จ อุภยภาวโต อุภยถาปิ วตฺตโพฺพติ? นฯ ยา หิ อปฺปหีนา, ตาปิสฺส ตนุภาวํ คตาติ ตาหิปิ โส น มเญฺญยฺย วิภูตตราย มญฺญนาย อภาวโต, ปเคว อิตราหิฯ เตนาห ภควา ‘‘มา มญฺญี’’ติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘มา มญฺญีติ ปริกปฺปกิริยาปฎิเกฺขปวจนเมตํ ‘มา รนฺธยุํ, มา ชีรี’ติอาทีสุ วิย, น มเญฺญยฺยาติ วุตฺตํ โหตี’’ติฯ อยญฺจสฺส อมญฺญนา วตฺถุโน ปริเญฺญยฺยตฺตา, น อเสกฺขสฺส วิย ปริญฺญาตตฺตาฯ ยญฺหิ เอกนฺตโต ปริชานิตพฺพํ ปริชานิตุํ สกฺกา, น ตตฺถ ตพฺพิธุเร วิย ปุถุชฺชนสฺส มญฺญนา สมฺภวนฺติฯ เตนาห ‘‘ปริเญฺญยฺยํ ตสฺสาติ วทามี’’ติฯ
Atha vā mā maññīti parikappakiriyāpaṭikkhepavacanametaṃ ‘‘mā randhayuṃ, mā jīrī’’tiādīsu viya, na maññeyyāti vuttañhoti. Yathā hi puthujjano sabbaso appahīnamaññanattā ‘‘maññati’’cceva vattabbo, yathā ca khīṇāsavo sabbaso pahīnamaññanattā na maññati eva, na evaṃ sekkho. Tassa hi ekaccā maññanā pahīnā, ekaccā appahīnā, tasmā ubhayabhāvato ubhayathāpi na vattabbo. Nanu ca ubhayabhāvato ubhayathāpi vattabboti? Na. Yā hi appahīnā, tāpissa tanubhāvaṃ gatāti tāhipi so na maññeyya vibhūtatarāya maññanāya abhāvato, pageva itarāhi. Tenāha bhagavā ‘‘mā maññī’’ti. Tena vuttaṃ ‘‘mā maññīti parikappakiriyāpaṭikkhepavacanametaṃ ‘mā randhayuṃ, mā jīrī’tiādīsu viya, na maññeyyāti vuttaṃ hotī’’ti. Ayañcassa amaññanā vatthuno pariññeyyattā, na asekkhassa viya pariññātattā. Yañhi ekantato parijānitabbaṃ parijānituṃ sakkā, na tattha tabbidhure viya puthujjanassa maññanā sambhavanti. Tenāha ‘‘pariññeyyaṃ tassāti vadāmī’’ti.
โอกฺกนฺตนิยามตฺตาติ อนุปวิฎฺฐสมฺมตฺตนิยามตฺตา, โอติณฺณมคฺคโสตตฺตาติ อโตฺถฯ สโมฺพธิปรายณตฺตาติ อุปริมคฺคสโมฺพธิปฎิสรณตฺตา, ตทธิคมาย นินฺนโปณปพฺภารภาวโตติ อโตฺถฯ อุภเยนปิ ตสฺส อวสฺสํภาวินี เสสปริญฺญาติ ทเสฺสติฯ ปริเญฺญยฺยนฺติ ปริชานิตพฺพภาเวน ฐิตํ, ปริญฺญาตุํ วา สกฺกุเณยฺยํฯ ตปฺปฎิปกฺขโต อปริเญฺญยฺยํฯ ปุถุชฺชนสฺส วิยาติ เอเตน อิธาธิเปฺปตปุถุชฺชนสฺส ปริเญฺญยฺยภาวาสงฺกา เอว นตฺถิ อนธิการโตติ ทเสฺสติฯ ‘‘มาภินนฺที’’ติ เอตฺถาปิ อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Okkantaniyāmattāti anupaviṭṭhasammattaniyāmattā, otiṇṇamaggasotattāti attho. Sambodhiparāyaṇattāti uparimaggasambodhipaṭisaraṇattā, tadadhigamāya ninnapoṇapabbhārabhāvatoti attho. Ubhayenapi tassa avassaṃbhāvinī sesapariññāti dasseti. Pariññeyyanti parijānitabbabhāvena ṭhitaṃ, pariññātuṃ vā sakkuṇeyyaṃ. Tappaṭipakkhato apariññeyyaṃ. Puthujjanassa viyāti etena idhādhippetaputhujjanassa pariññeyyabhāvāsaṅkā eva natthi anadhikāratoti dasseti. ‘‘Mābhinandī’’ti etthāpi imināva nayena attho veditabbo.
เสกฺขวารทุติยนยวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Sekkhavāradutiyanayavaṇṇanā niṭṭhitā.
ขีณาสววารตติยาทินยวณฺณนา
Khīṇāsavavāratatiyādinayavaṇṇanā
๘. สภาโค ทิฎฺฐสจฺจตาทิสามเญฺญนฯ อารกา กิเลเสหิ อรหนฺติ ปทสฺส นิรุตฺตินเยน อตฺถํ วตฺวา ตํ ปาฬิยา สมาเนโนฺต ‘‘วุตฺตเญฺจต’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปาปกาติ ลามกเฎฺฐน ทุคฺคติสมฺปาปนเฎฺฐน จ ปาปกาฯ สาวชฺชเฎฺฐน อโกสลฺลสมฺภูตเฎฺฐน จ อกุสลาฯ สํกิเลสํ อรหนฺติ, ตตฺถ วา นิยุตฺตาติ สํกิเลสิกาฯ ปุนพฺภวสฺส กรณสีลา, ปุนพฺภวผลํ อรหนฺตีติ วา โปโนภวิกาฯ สห ทรเถน ปริฬาเหน ปวตฺตนฺตีติ สทราฯ ทุโกฺข กฎุโก, ทุกฺขโม วา วิปาโก เอเตสนฺติ ทุกฺขวิปากาฯ อนาคเต ชาติยา เจว ชรามรณานญฺจ วฑฺฒเนน ชาติชรามรณิยาติฯ เอวเมเตสํ ปทานํ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ กามญฺจายํ สุตฺตนฺตวณฺณนา, อภิธมฺมนโย ปน นิปฺปริยาโยติ เตน ทเสฺสโนฺต ‘‘จตฺตาโร อาสวา’’ติอาทิมาหฯ สมุจฺฉินฺนา ปฎิปฺปสฺสทฺธาติ น เกวลํ สมุจฺฉินฺนา เอว, อถ โข ปฎิปฺปสฺสทฺธาปีติ มคฺคกิเจฺจน สทิสํ ผลกิจฺจมฺปิ นิทฺธาเรติฯ
8.Sabhāgo diṭṭhasaccatādisāmaññena. Ārakā kilesehi arahanti padassa niruttinayena atthaṃ vatvā taṃ pāḷiyā samānento ‘‘vuttañceta’’ntiādimāha. Tattha pāpakāti lāmakaṭṭhena duggatisampāpanaṭṭhena ca pāpakā. Sāvajjaṭṭhena akosallasambhūtaṭṭhena ca akusalā. Saṃkilesaṃ arahanti, tattha vā niyuttāti saṃkilesikā. Punabbhavassa karaṇasīlā, punabbhavaphalaṃ arahantīti vā ponobhavikā. Saha darathena pariḷāhena pavattantīti sadarā. Dukkho kaṭuko, dukkhamo vā vipāko etesanti dukkhavipākā. Anāgate jātiyā ceva jarāmaraṇānañca vaḍḍhanena jātijarāmaraṇiyāti. Evametesaṃ padānaṃ attho veditabbo. Kāmañcāyaṃ suttantavaṇṇanā, abhidhammanayo pana nippariyāyoti tena dassento ‘‘cattāro āsavā’’tiādimāha. Samucchinnā paṭippassaddhāti na kevalaṃ samucchinnā eva, atha kho paṭippassaddhāpīti maggakiccena sadisaṃ phalakiccampi niddhāreti.
สีลวิโสธนาทินา ครูนํ ปฎิปตฺติยา อนุกรณํ ครุสํวาโสฯ อริยมคฺคปฎิปตฺติ เอว อริยมคฺคสํวาโสฯ ทส อริยาวาสา นาม ปญฺจงฺควิปฺปหีนตาทโยฯ เย สนฺธาย วุตฺตํ –
Sīlavisodhanādinā garūnaṃ paṭipattiyā anukaraṇaṃ garusaṃvāso. Ariyamaggapaṭipatti eva ariyamaggasaṃvāso. Dasa ariyāvāsā nāma pañcaṅgavippahīnatādayo. Ye sandhāya vuttaṃ –
‘‘ทสยิเม, ภิกฺขเว, อริยาวาสา, เย อริยา อาวสิํสุ วา อาวสนฺติ วา อาวสิสฺสนฺติ วาฯ กตเม ทส? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ ปญฺจงฺควิปฺปหีโน โหติ ฉฬงฺคสมนฺนาคโต, เอการโกฺข, จตุราปเสฺสโน, ปนุณฺณปเจฺจกสโจฺจ, สมวยสเฎฺฐสโน, อนาวิลสงฺกโปฺป, ปสฺสทฺธกายสงฺขาโร, สุวิมุตฺตจิโตฺต, สุวิมุตฺตปโญฺญฯ อิเม โข, ภิกฺขเว, ทส อริยาวาสา’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๑๙)ฯ
‘‘Dasayime, bhikkhave, ariyāvāsā, ye ariyā āvasiṃsu vā āvasanti vā āvasissanti vā. Katame dasa? Idha, bhikkhave, bhikkhu pañcaṅgavippahīno hoti chaḷaṅgasamannāgato, ekārakkho, caturāpasseno, panuṇṇapaccekasacco, samavayasaṭṭhesano, anāvilasaṅkappo, passaddhakāyasaṅkhāro, suvimuttacitto, suvimuttapañño. Ime kho, bhikkhave, dasa ariyāvāsā’’ti (a. ni. 10.19).
วุสฺสตีติ วา วุสิตํ, อริยมโคฺค, อริยผลญฺจ, ตํ เอตสฺส อตฺถีติ อติสยวจนิจฺฉาวเสน อรหา ‘‘วุสิตวา’’ติ วุโตฺตฯ กรณียนฺติ ปริญฺญาปหานภาวนาสจฺฉิกิริยมาหฯ ตํ ปน ยสฺมา จตูหิ มเคฺคหิ จตูสุ สเจฺจสุ กตฺตพฺพตฺตา โสฬสวิธนฺติ เวทิตพฺพํฯ เตนาห ‘‘จตูหิ มเคฺคหิ กรณีย’’นฺติฯ สมฺมาวิมุตฺตสฺสาติ อคฺคมคฺคผลปญฺญาหิ สมุเจฺฉทปฎิปฺปสฺสทฺธีนํ วเสน สุฎฺฐุ วิมุตฺตสฺสฯ สนฺตจิตฺตสฺสาติ ตโต เอว สพฺพกิเลสทรถปริฬาหานํ วูปสนฺตจิตฺตสฺสฯ ภินฺนกิเลสสฺส ขีณาสวสฺส ภิกฺขุโนฯ กตสฺส ปริญฺญาทิกิจฺจสฺส ปฎิจโย ปุน กรณํ นตฺถิ, ตโต เอว กรณียํ น วิชฺชติ น อุปลพฺภติฯ
Vussatīti vā vusitaṃ, ariyamaggo, ariyaphalañca, taṃ etassa atthīti atisayavacanicchāvasena arahā ‘‘vusitavā’’ti vutto. Karaṇīyanti pariññāpahānabhāvanāsacchikiriyamāha. Taṃ pana yasmā catūhi maggehi catūsu saccesu kattabbattā soḷasavidhanti veditabbaṃ. Tenāha ‘‘catūhi maggehikaraṇīya’’nti. Sammāvimuttassāti aggamaggaphalapaññāhi samucchedapaṭippassaddhīnaṃ vasena suṭṭhu vimuttassa. Santacittassāti tato eva sabbakilesadarathapariḷāhānaṃ vūpasantacittassa. Bhinnakilesassa khīṇāsavassa bhikkhuno. Katassa pariññādikiccassa paṭicayo puna karaṇaṃ natthi, tato eva karaṇīyaṃ na vijjati na upalabbhati.
ภาราติ โอสีทาปนเฎฺฐน ภารา วิยาติ ภาราฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๓.๒๒)ฯ อตฺตโน โยนิโสมนสิการายตฺตนฺติ อตฺตุปนิพนฺธํ, สสนฺตานปริยาปนฺนตฺตา อตฺตานํ อวิชหนํฯ ตยิทํ ยทิปิ สพฺพสฺมิํ อนวชฺชธเมฺม สมฺภวติ, อกุปฺปสภาวาปริหานธเมฺมสุ ปน อคฺคภูเต อรหเตฺต สาติสยํ, เนตเรสูติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อตฺตโน ปรมตฺถเฎฺฐน วา’’ติ, อุตฺตมฎฺฐภาเวนาติ อโตฺถฯ
Bhārāti osīdāpanaṭṭhena bhārā viyāti bhārā. Vuttañhi ‘‘bhārā have pañcakkhandhā’’tiādi (saṃ. ni. 3.22). Attano yonisomanasikārāyattanti attupanibandhaṃ, sasantānapariyāpannattā attānaṃ avijahanaṃ. Tayidaṃ yadipi sabbasmiṃ anavajjadhamme sambhavati, akuppasabhāvāparihānadhammesu pana aggabhūte arahatte sātisayaṃ, netaresūti dassento āha ‘‘attano paramatthaṭṭhena vā’’ti, uttamaṭṭhabhāvenāti attho.
สุตฺตนฺตนโย นาม ปริยายนโยติ นิปฺปริยายนเยน สํโยชนานิ ทเสฺสโนฺต ‘‘ภวราคอิสฺสามจฺฉริยสํโยชน’’นฺติ อาห, น ปน ‘‘รูปราโค’’ติอาทินาฯ ภเวสุ สํโยชนฺตีติ กิเลสกมฺมวิปากวฎฺฎานํ ปจฺจโย หุตฺวา นิสฺสริตุํ อปฺปทานวเสน พนฺธนฺติฯ สติปิ หิ อเญฺญสํ ตปฺปจฺจยภาเว น วินา สํโยชนานิ เตสํ ตปฺปจฺจยภาโว อตฺถิ, โอรมฺภาคิยอุทฺธมฺภาคิยสงฺคหิเตหิ จ เตหิ ตํตํภวนิพฺพตฺตกกมฺมนิยโม ภวนิยโม จ โหติ , น จ อุปจฺฉินฺนสํโยชนสฺส กตานิปิ กมฺมานิ ภวํ นิพฺพเตฺตนฺตีติ เตสํเยว สํโยชนโฎฺฐ ทฎฺฐโพฺพฯ
Suttantanayo nāma pariyāyanayoti nippariyāyanayena saṃyojanāni dassento ‘‘bhavarāgaissāmacchariyasaṃyojana’’nti āha, na pana ‘‘rūparāgo’’tiādinā. Bhavesu saṃyojantīti kilesakammavipākavaṭṭānaṃ paccayo hutvā nissarituṃ appadānavasena bandhanti. Satipi hi aññesaṃ tappaccayabhāve na vinā saṃyojanāni tesaṃ tappaccayabhāvo atthi, orambhāgiyauddhambhāgiyasaṅgahitehi ca tehi taṃtaṃbhavanibbattakakammaniyamo bhavaniyamo ca hoti , na ca upacchinnasaṃyojanassa katānipi kammāni bhavaṃ nibbattentīti tesaṃyeva saṃyojanaṭṭho daṭṭhabbo.
สมฺมา อญฺญายาติ อาชานนภูตาย อคฺคมคฺคปญฺญาย สมฺมา ยถาภูตํ ทุกฺขาทีสุ โย ยถา ชานิตโพฺพ, ตํ ตถา ชานิตฺวาฯ จิตฺตวิมุตฺติ สพฺพสฺส จิตฺตสํกิเลสสฺส วิสฺสโคฺคฯ นิพฺพานาธิมุตฺติ นิพฺพาเน อธิมุจฺจนํ ตตฺถ นินฺนโปณปพฺภารตาฯ ตนฺติ ปถวีอาทิกํฯ ปริญฺญาตํ, น ปุถุชฺชนสฺส วิย อปริญฺญาตํ, เสกฺขสฺส วิย ปริเญฺญยฺยํ วาฯ ตสฺมาติ ปริญฺญาตตฺตาฯ
Sammā aññāyāti ājānanabhūtāya aggamaggapaññāya sammā yathābhūtaṃ dukkhādīsu yo yathā jānitabbo, taṃ tathā jānitvā. Cittavimutti sabbassa cittasaṃkilesassa vissaggo. Nibbānādhimutti nibbāne adhimuccanaṃ tattha ninnapoṇapabbhāratā. Tanti pathavīādikaṃ. Pariññātaṃ, na puthujjanassa viya apariññātaṃ, sekkhassa viya pariññeyyaṃ vā. Tasmāti pariññātattā.
จตุตฺถปญฺจมฉฎฺฐวารา ตตฺถ ตตฺถ กิเลสนิพฺพานกิตฺตนวเสน ปวตฺตตฺตา นิพฺพานวารา นามฯ ตตฺถ ปถวีอาทีนํ ปริญฺญาตตฺตา อมญฺญนา, สา ปน ปริญฺญา ราคาทีนํ ขเยน สิทฺธาติ อิมสฺส อตฺถสฺส ทีปนวเสน ปาฬิ ปวตฺตาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปริญฺญาตํ ตสฺสาติ สพฺพปเทหิ โยเชตฺวา ปุน ขยา ราคสฺส วีตราคตฺตาติ โยเชตพฺพํฯ เอส นโย อิตเรสู’’ติ อาหฯ ตตฺถ อิตเรสูติ ปญฺจมฉฎฺฐวาเรสุฯ ยทิ เอวํ กสฺมา ปาฬิ เอวํ น ทิสฺสตีติ อาห ‘‘เทสนา ปน เอกตฺถ วุตฺตํ สพฺพตฺถ วุตฺตเมว โหตีติ สํขิตฺตา’’ติฯ
Catutthapañcamachaṭṭhavārā tattha tattha kilesanibbānakittanavasena pavattattā nibbānavārā nāma. Tattha pathavīādīnaṃ pariññātattā amaññanā, sā pana pariññā rāgādīnaṃ khayena siddhāti imassa atthassa dīpanavasena pāḷi pavattāti dassento ‘‘pariññātaṃ tassāti sabbapadehi yojetvāpunakhayā rāgassa vītarāgattāti yojetabbaṃ. Esa nayo itaresū’’ti āha. Tattha itaresūti pañcamachaṭṭhavāresu. Yadi evaṃ kasmā pāḷi evaṃ na dissatīti āha ‘‘desanā pana ekattha vuttaṃ sabbattha vuttameva hotīti saṃkhittā’’ti.
น ขยา ราคสฺส วีตราโค สพฺพโส อปฺปหีนราคตฺตาฯ วิกฺขมฺภิตราโค หิ โสติฯ พาหิรกคฺคหณเญฺจตฺถ ตถาภาวเสฺสว เตสุ ลพฺภนโต, น เตสุ เอว ตถาภาวสฺส ลพฺภนโตฯ อิทานิ ยา สา ‘‘ปริญฺญาตํ ตสฺสา’’ติ สพฺพปเทหิ โยชนา วุตฺตา, ตํ วินาปิ นิพฺพานวารอตฺถโยชนํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยถา จา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ มญฺญนํ น มญฺญตีติ มญฺญนา นปฺปวตฺตตีติ อโตฺถฯ มญฺญนาย มญฺญิตพฺพเตฺตปิ ตสฺสา วตฺถุอโนฺตคธตฺตาติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Na khayā rāgassa vītarāgo sabbaso appahīnarāgattā. Vikkhambhitarāgo hi soti. Bāhirakaggahaṇañcettha tathābhāvasseva tesu labbhanato, na tesu eva tathābhāvassa labbhanato. Idāni yā sā ‘‘pariññātaṃ tassā’’ti sabbapadehi yojanā vuttā, taṃ vināpi nibbānavāraatthayojanaṃ dassetuṃ ‘‘yathā cā’’tiādi vuttaṃ. Tattha maññanaṃ na maññatīti maññanā nappavattatīti attho. Maññanāya maññitabbattepi tassā vatthuantogadhattāti evamettha attho daṭṭhabbo.
ยทิปิ ปริญฺญาตปทํ อคฺคเหตฺวา นิพฺพานวารเทสนา ปวตฺตา, เอวมฺปิ ‘‘ขยา’’ติอาทิปเทหิ ปริญฺญาสิทฺธิ เอว ปกาสียตีติ โก เตสํ วิเสโสติ โจทนํ สนฺธายาห ‘‘เอตฺถ จา’’ติอาทิฯ มคฺคภาวนาปาริปูริทสฺสนตฺถํ วุโตฺต, มคฺคกิจฺจนฺตา หิ ปริญฺญาโยติ อธิปฺปาโยฯ อิตเร…เป.… เวทิตพฺพา วีตราคาทิกิตฺตนโตติฯ ทฺวีหิ วา การเณหีติ ยถาวุตฺตการณทฺวเยนฯ อสฺสาติ ขีณาสวสฺสฯ อยํ วิเสโสติ อิทานิ วุจฺจมาโน วิเสโสฯ ยทิปิ ขีณาสโว เอกเนฺตน วีตราโค วีตโทโส วีตโมโห เอว จ โหติ, ยาย ปน ปุพฺพภาคปฎิปทาย วีตราคตาทโย สวิเสสาติ วตฺตพฺพตํ ลภนฺติ, ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตีสุ หี’’ติอาทิมาห ฯ ‘‘รโตฺต อตฺถํ น ชานาตี’’ติอาทินา (เนตฺติ. ๑๑) ราเค อาทีนวํ ปสฺสโต ‘‘ราโค จ นาม สุขาภิสเงฺคน อุปฺปชฺชติ, สุขญฺจ วิปริณามโต ทุกฺขํฯ ปเคว อิตร’’นฺติ สเหตุเก ราเค อาทีนวทสฺสนํ ทุกฺขานุปสฺสนาย นิมิตฺตํ, ทุกฺขานุปสฺสนา จ ปณิธิยา ปฎิปกฺขภาวโต อปฺปณิหิตวิโมกฺขํ ปริปุเรตีติ อาห ‘‘ราเค…เป.… วีตราโค โหตี’’ติฯ ตถา ‘‘ทุโฎฺฐ อตฺถํ น ชานาตี’’ติอาทินา (อิติวุ. ๘๘) โทเส อาทีนวํ ปสฺสโต ‘‘โทโส จ นาม ทุกฺขํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ, ตญฺจ อุภยํ อนวฎฺฐิตํ อิตฺตรํ ปภงฺคู’’ติ สเหตุเก โทเส อาทีนวทสฺสนํ อนิจฺจานุปสฺสนาย นิมิตฺตํ, อนิจฺจานุปสฺสนา จ นิจฺจนิมิตฺตาทีนํ ปฎิปกฺขภาวโต อนิมิตฺตวิโมกฺขํ ปริปูเรตีติ อาห ‘‘โทเส…เป.… โหตี’’ติฯ ตถา ‘‘มูโฬฺห อตฺถํ น ชานาตี’’ติอาทินา (อิติวุ. ๘๘) โมเห อาทีนวํ ปสฺสโต ‘‘โมโห นาม ยถาสภาวคฺคหณสฺส ปริพฺภมโนฺต’’ติ โมหสฺส วิกฺขมฺภนํ อนตฺตานุปสฺสนาย นิมิตฺตํ, อนตฺตานุปสฺสนาย จ อตฺตาภินิเวสสฺส ปฎิปกฺขภาวโต สุญฺญตํ วิโมกฺขํ ปริปูเรตีติ อาห ‘‘โมเห…เป.… วีตโมโห โหตี’’ติฯ
Yadipi pariññātapadaṃ aggahetvā nibbānavāradesanā pavattā, evampi ‘‘khayā’’tiādipadehi pariññāsiddhi eva pakāsīyatīti ko tesaṃ visesoti codanaṃ sandhāyāha ‘‘ettha cā’’tiādi. Maggabhāvanāpāripūridassanatthaṃ vutto, maggakiccantā hi pariññāyoti adhippāyo. Itare…pe… veditabbā vītarāgādikittanatoti. Dvīhi vā kāraṇehīti yathāvuttakāraṇadvayena. Assāti khīṇāsavassa. Ayaṃ visesoti idāni vuccamāno viseso. Yadipi khīṇāsavo ekantena vītarāgo vītadoso vītamoho eva ca hoti, yāya pana pubbabhāgapaṭipadāya vītarāgatādayo savisesāti vattabbataṃ labhanti, taṃ dassento ‘‘tīsu hī’’tiādimāha . ‘‘Ratto atthaṃ na jānātī’’tiādinā (netti. 11) rāge ādīnavaṃ passato ‘‘rāgo ca nāma sukhābhisaṅgena uppajjati, sukhañca vipariṇāmato dukkhaṃ. Pageva itara’’nti sahetuke rāge ādīnavadassanaṃ dukkhānupassanāya nimittaṃ, dukkhānupassanā ca paṇidhiyā paṭipakkhabhāvato appaṇihitavimokkhaṃ paripuretīti āha ‘‘rāge…pe… vītarāgo hotī’’ti. Tathā ‘‘duṭṭho atthaṃ na jānātī’’tiādinā (itivu. 88) dose ādīnavaṃ passato ‘‘doso ca nāma dukkhaṃ paṭicca uppajjati, tañca ubhayaṃ anavaṭṭhitaṃ ittaraṃ pabhaṅgū’’ti sahetuke dose ādīnavadassanaṃ aniccānupassanāya nimittaṃ, aniccānupassanā ca niccanimittādīnaṃ paṭipakkhabhāvato animittavimokkhaṃ paripūretīti āha ‘‘dose…pe… hotī’’ti. Tathā ‘‘mūḷho atthaṃ na jānātī’’tiādinā (itivu. 88) mohe ādīnavaṃ passato ‘‘moho nāma yathāsabhāvaggahaṇassa paribbhamanto’’ti mohassa vikkhambhanaṃ anattānupassanāya nimittaṃ, anattānupassanāya ca attābhinivesassa paṭipakkhabhāvato suññataṃ vimokkhaṃ paripūretīti āha ‘‘mohe…pe… vītamoho hotī’’ti.
เอวํ สเนฺตติ ยทิ วีตราคตาทโย วิโมกฺขวิภาเคน วุตฺตา, เอวํ สเนฺตฯ ตสฺมาติ ยสฺมา วิโมกฺขมุขวิโมกฺขานํ วเสน นิยเมตฺวา น วุตฺตํ, ตสฺมาฯ ยํ กิญฺจิ อรหโต สมฺภวนฺตํ วิภชิตฺวา วุจฺจตีติ วารตฺตยเทสนา กตาติ อิมมตฺถํ ทเสฺสติ ‘‘ยํ อรหโต’’ติอาทินาฯ
Evaṃ santeti yadi vītarāgatādayo vimokkhavibhāgena vuttā, evaṃ sante. Tasmāti yasmā vimokkhamukhavimokkhānaṃ vasena niyametvā na vuttaṃ, tasmā. Yaṃ kiñci arahato sambhavantaṃ vibhajitvā vuccatīti vārattayadesanā katāti imamatthaṃ dasseti ‘‘yaṃ arahato’’tiādinā.
เอวํ วิมุตฺติวิภาเคน ขีณาสวสฺส วิภาคํ วารตฺตยเทสนานิพนฺธนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อวิภาเคนปิ ตตฺถ ปริญฺญาวิสยสฺส อนุสยวิสยสฺส จ วิภาคํ ตสฺส นิพนฺธนํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อวิเสเสนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อุเปกฺขาเวทนา วิเสสโต สงฺขารทุกฺขํ สโมฺมหาธิฎฺฐานนฺติ วุตฺตํ ‘‘สงฺขาร…เป.… โมโห’’ติฯ เสสํ วุตฺตนยตฺตา สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
Evaṃ vimuttivibhāgena khīṇāsavassa vibhāgaṃ vārattayadesanānibandhanaṃ dassetvā idāni avibhāgenapi tattha pariññāvisayassa anusayavisayassa ca vibhāgaṃ tassa nibandhanaṃ dassento ‘‘avisesenā’’tiādimāha. Tattha upekkhāvedanā visesato saṅkhāradukkhaṃ sammohādhiṭṭhānanti vuttaṃ ‘‘saṅkhāra…pe… moho’’ti. Sesaṃ vuttanayattā suviññeyyameva.
ขีณาสววารตติยาทินยวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Khīṇāsavavāratatiyādinayavaṇṇanā niṭṭhitā.
ตถาคตวารสตฺตมนยวณฺณนา
Tathāgatavārasattamanayavaṇṇanā
๑๒. เยหิ (ที. นิ. อภิ. ฎี. ๑.๗.จูฬสีลวณฺณนา; อ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑๗๐) คุณวิเสเสหิ นิมิตฺตภูเตหิ ภควติ ‘‘ตถาคโต’’ติ อยํ สมญฺญา ปวตฺตา, ตํ ทสฺสนตฺถํ ‘‘อฎฺฐหิ การเณหิ ภควา ตถาคโต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ คุณเนมิตฺตกาเนว หิ ภควโต สพฺพานิ นามานิฯ ยถาห –
12. Yehi (dī. ni. abhi. ṭī. 1.7.cūḷasīlavaṇṇanā; a. ni. ṭī. 1.1.170) guṇavisesehi nimittabhūtehi bhagavati ‘‘tathāgato’’ti ayaṃ samaññā pavattā, taṃ dassanatthaṃ ‘‘aṭṭhahi kāraṇehi bhagavā tathāgato’’tiādi vuttaṃ. Guṇanemittakāneva hi bhagavato sabbāni nāmāni. Yathāha –
‘‘อสเงฺขฺยยฺยานิ นามานิ, สคุเณน มเหสิโน;
‘‘Asaṅkhyeyyāni nāmāni, saguṇena mahesino;
คุเณน นามมุเทฺธยฺยํ, อปิ นามสหสฺสโต’’ติฯ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑๓๑๓; อุทา. อฎฺฐ. ๕๓; ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๑.๗๖; ที. นิ. อภิ. ฎี. ๑.๗.จูฬสีลวณฺณนา; อ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑๗๐) –
Guṇena nāmamuddheyyaṃ, api nāmasahassato’’ti. (dha. sa. aṭṭha. 1313; udā. aṭṭha. 53; paṭi. ma. aṭṭha. 1.76; dī. ni. abhi. ṭī. 1.7.cūḷasīlavaṇṇanā; a. ni. ṭī. 1.1.170) –
ตถา อาคโตติ เอตฺถ อาการนิยมนวเสน โอปมฺมสมฺปฎิปาทนโตฺถ ตถา-สโทฺทฯ สามญฺญโชตนา หิ วิเสเส อวติฎฺฐตีติ ปฎิปาทคมนโตฺถ อาคต-สโทฺท, น ญาณคมนโตฺถ ‘‘ตถลกฺขณํ อาคโต’’ติอาทีสุ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๗; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๒; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓.๗๘; อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑๗๐; อุทา. อฎฺฐ. ๑๘; อิติวุ. อฎฺฐ. ๓๘; เถรคา. อฎฺฐ. ๑.๑.๓; พุ. วํ. อฎฺฐ. ๒.พาหิรนิทาน; มหานิ. อฎฺฐ. ๑๔) วิย, นาปิ กายคมนาทิอโตฺถ ‘‘อาคโต โข มหาสมโณ, มาคธานํ คิริพฺพช’’นฺติอาทีสุ (มหาว. ๖๓) วิยฯ ตตฺถ ยทาการนิยมนวเสน โอปมฺมสมฺปฎิปาทนโตฺถ ตถา-สโทฺท, ตํ กรุณาปฺปธานตฺตา มหากรุณามุเขน ปุริมพุทฺธานํ อาคมนปฎิปทํ อุทาหรณวเสน สามญฺญโต ทเสฺสโนฺต ยํตํสทฺทานํ เอกนฺตสมฺพนฺธภาวโต ‘‘ยถา สพฺพโลก…เป.… อาคตา’’ติ สาธารณโต วตฺวา ปุน ตํ ปฎิปทํ มหาปทานสุตฺตาทีสุ (ที. นิ. ๒.๔) สมฺพหุลนิเทฺทเสน สุปากฎานํ อาสนฺนานญฺจ วิปสฺสีอาทีนํ ฉนฺนํ สมฺมาสมฺพุทฺธานํ วเสน ทเสฺสโนฺต ‘‘ยถา วิปสฺสี ภควา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เยน อภินีหาเรนาติ มนุสฺสตฺต-ลิงฺคสมฺปตฺติ-เหตุ-สตฺถารทสฺสน-ปพฺพชฺชา-อภิญฺญาทิคุณสมฺปตฺติ-อธิการ-ฉนฺทานํ วเสน อฎฺฐงฺคสมนฺนาคเตน กายปณิธานมหาปณิธาเนนฯ สเพฺพสญฺหิ สมฺมาสมฺพุทฺธานํ กายปณิธานํ อิมินาว นีหาเรน สมิชฺฌตีติฯ
Tathā āgatoti ettha ākāraniyamanavasena opammasampaṭipādanattho tathā-saddo. Sāmaññajotanā hi visese avatiṭṭhatīti paṭipādagamanattho āgata-saddo, na ñāṇagamanattho ‘‘tathalakkhaṇaṃ āgato’’tiādīsu (dī. ni. aṭṭha. 1.7; ma. ni. aṭṭha. 1.12; saṃ. ni. aṭṭha. 2.3.78; a. ni. aṭṭha. 1.1.170; udā. aṭṭha. 18; itivu. aṭṭha. 38; theragā. aṭṭha. 1.1.3; bu. vaṃ. aṭṭha. 2.bāhiranidāna; mahāni. aṭṭha. 14) viya, nāpi kāyagamanādiattho ‘‘āgato kho mahāsamaṇo, māgadhānaṃ giribbaja’’ntiādīsu (mahāva. 63) viya. Tattha yadākāraniyamanavasena opammasampaṭipādanattho tathā-saddo, taṃ karuṇāppadhānattā mahākaruṇāmukhena purimabuddhānaṃ āgamanapaṭipadaṃ udāharaṇavasena sāmaññato dassento yaṃtaṃsaddānaṃ ekantasambandhabhāvato ‘‘yathā sabbaloka…pe… āgatā’’ti sādhāraṇato vatvā puna taṃ paṭipadaṃ mahāpadānasuttādīsu (dī. ni. 2.4) sambahulaniddesena supākaṭānaṃ āsannānañca vipassīādīnaṃ channaṃ sammāsambuddhānaṃ vasena dassento ‘‘yathā vipassī bhagavā’’tiādimāha. Tattha yena abhinīhārenāti manussatta-liṅgasampatti-hetu-satthāradassana-pabbajjā-abhiññādiguṇasampatti-adhikāra-chandānaṃ vasena aṭṭhaṅgasamannāgatena kāyapaṇidhānamahāpaṇidhānena. Sabbesañhi sammāsambuddhānaṃ kāyapaṇidhānaṃ imināva nīhārena samijjhatīti.
เอวํ มหาภินีหารวเสน ‘‘ตถาคโต’’ติ ปทสฺส อตฺถํ วตฺวา อิทานิ ปารมีปูรณวเสน ทเสฺสตุํ ‘‘อถ วา ยถา วิปสฺสี ภควา…เป.… ยถา กสฺสโป ภควา ทานปารมิํ ปูเรตฺวา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อิมสฺมิํ ปน ฐาเน สุตฺตนฺติกานํ มหาโพธิยานปฎิปทาย โกสลฺลชนนตฺถํ ปารมีกถา วตฺตพฺพา, สา ปน สพฺพาการสมฺปนฺนา จริยาปิฎกวณฺณนาย (จริยา. ปกิณฺณกกถา) วิตฺถารโต นิทฺทิฎฺฐา, ตสฺมา อตฺถิเกหิ ตตฺถ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ ยถา ปน ปุเพฺพ วิปสฺสีอาทโย สมฺมาสมฺพุทฺธา อภินีหารสมฺปตฺติยํ ปติฎฺฐาย สุวิสุทฺธาย ปฎิปทาย อนวเสสโต สมฺมเทว สพฺพา ปารมิโย ปริปูเรสุํ, เอวํ อมฺหากมฺปิ ภควา ปริปูเรสีติ อิมมตฺถํ สนฺธายาห ‘‘สมตฺติํ สปารมิโย ปูเรตฺวา’’ติฯ สติปิ องฺคปริจฺจาคาทีนํ ทานปารมิภาเว ปริจฺจาควิเสสภาวทสฺสนตฺถเญฺจว สุทุกฺกรภาวทสฺสนตฺถญฺจ ‘‘ปญฺจ มหาปริจฺจาเค’’ติ วิสุํ คหณํ, ตโตเยว จ องฺคปริจฺจาคโต วิสุํ นยนปริจฺจาคคฺคหณมฺปิ กตํ, ปริคฺคหปริจฺจาคภาวสามเญฺญปิ ธนรชฺชปริจฺจาคโต ปุตฺตทารปริจฺจาคคฺคหณญฺจ กตํฯ
Evaṃ mahābhinīhāravasena ‘‘tathāgato’’ti padassa atthaṃ vatvā idāni pāramīpūraṇavasena dassetuṃ ‘‘atha vā yathā vipassī bhagavā…pe… yathā kassapo bhagavā dānapāramiṃ pūretvā’’tiādi vuttaṃ. Imasmiṃ pana ṭhāne suttantikānaṃ mahābodhiyānapaṭipadāya kosallajananatthaṃ pāramīkathā vattabbā, sā pana sabbākārasampannā cariyāpiṭakavaṇṇanāya (cariyā. pakiṇṇakakathā) vitthārato niddiṭṭhā, tasmā atthikehi tattha vuttanayeneva veditabbā. Yathā pana pubbe vipassīādayo sammāsambuddhā abhinīhārasampattiyaṃ patiṭṭhāya suvisuddhāya paṭipadāya anavasesato sammadeva sabbā pāramiyo paripūresuṃ, evaṃ amhākampi bhagavā paripūresīti imamatthaṃ sandhāyāha ‘‘samattiṃ sapāramiyo pūretvā’’ti. Satipi aṅgapariccāgādīnaṃ dānapāramibhāve pariccāgavisesabhāvadassanatthañceva sudukkarabhāvadassanatthañca ‘‘pañca mahāpariccāge’’ti visuṃ gahaṇaṃ, tatoyeva ca aṅgapariccāgato visuṃ nayanapariccāgaggahaṇampi kataṃ, pariggahapariccāgabhāvasāmaññepi dhanarajjapariccāgato puttadārapariccāgaggahaṇañca kataṃ.
คตปจฺจาคติกวตฺตปูรณาทิกาย ปุพฺพภาคปฎิปทาย สทฺธิํ อภิญฺญาสมาปตฺตินิปฺผาทนํ ปุพฺพโยโค, ทานาทีสุเยว สาติสยปฎิปตฺตินิปฺผาทนํ ปุพฺพจริยา , สา จริยาปิฎกสงฺคหิตาฯ อภินีหาโร ปุพฺพโยโค, ทานาทิปฎิปตฺติ, กายวิเวกวเสน เอกจริยา วา ปุพฺพจริยาติ เกจิฯ ทานาทีนเญฺจว อปฺปิจฺฉตาทีนญฺจ สํสารนิพฺพาเนสุ อาทีนวานิสํสานญฺจ วิภาวนวเสน สตฺตานํ โพธิตฺตเย ปติฎฺฐาปนปริปาจนวเสน จ ปวตฺตา กถา ธมฺมกฺขานํ, ญาตีนํ อตฺถจริยา ญาตตฺถจริยา, สาปิ กรุณาย วเสเนวฯ อาทิ-สเทฺทน โลกตฺถจริยาทโย สงฺคณฺหาติฯ กมฺมสฺสกตญาณวเสน, อนวชฺชกมฺมายตนสิปฺปายตนวิชฺชาฎฺฐานปริจยวเสน ขนฺธายตนาทิปริจยวเสน, ลกฺขณตฺตยตีรณวเสน จ ญาณจาโร พุทฺธิจริยา, สา ปน อตฺถโต ปญฺญาปารมีเยว, ญาณสมฺภารทสฺสนตฺถํ วิสุํ คหณํฯ โกฎีติ ปริยโนฺต, อุกฺกํโสติ อโตฺถฯ
Gatapaccāgatikavattapūraṇādikāya pubbabhāgapaṭipadāya saddhiṃ abhiññāsamāpattinipphādanaṃ pubbayogo, dānādīsuyeva sātisayapaṭipattinipphādanaṃ pubbacariyā, sā cariyāpiṭakasaṅgahitā. Abhinīhāro pubbayogo, dānādipaṭipatti, kāyavivekavasena ekacariyā vā pubbacariyāti keci. Dānādīnañceva appicchatādīnañca saṃsāranibbānesu ādīnavānisaṃsānañca vibhāvanavasena sattānaṃ bodhittaye patiṭṭhāpanaparipācanavasena ca pavattā kathā dhammakkhānaṃ, ñātīnaṃ atthacariyā ñātatthacariyā, sāpi karuṇāya vaseneva. Ādi-saddena lokatthacariyādayo saṅgaṇhāti. Kammassakatañāṇavasena, anavajjakammāyatanasippāyatanavijjāṭṭhānaparicayavasena khandhāyatanādiparicayavasena, lakkhaṇattayatīraṇavasena ca ñāṇacāro buddhicariyā, sā pana atthato paññāpāramīyeva, ñāṇasambhāradassanatthaṃ visuṃ gahaṇaṃ. Koṭīti pariyanto, ukkaṃsoti attho.
จตฺตาโร สติปฎฺฐาเน ภาเวตฺวา พฺรูเหตฺวาติ สมฺพโนฺธฯ ตตฺถ ภาเวตฺวาติ อุปฺปาเทตฺวาฯ พฺรูเหตฺวาติ วเฑฺฒตฺวาฯ สติปฎฺฐานาทิคฺคหเณน อาคมนปฎิปทํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา ทเสฺสติฯ วิปสฺสนาสหคตา เอว วา สติปฎฺฐานาทโย ทฎฺฐพฺพาฯ เอตฺถ จ ‘‘เยน อภินีหาเรนา’’ติอาทินา อาคมนปฎิปทาย อาทิํ ทเสฺสติ, ‘‘ทานปารมี’’ติอาทินา มชฺฌํ, ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐาเน’’ติอาทินา ปริโยสานนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Cattāro satipaṭṭhāne bhāvetvā brūhetvāti sambandho. Tattha bhāvetvāti uppādetvā. Brūhetvāti vaḍḍhetvā. Satipaṭṭhānādiggahaṇena āgamanapaṭipadaṃ matthakaṃ pāpetvā dasseti. Vipassanāsahagatā eva vā satipaṭṭhānādayo daṭṭhabbā. Ettha ca ‘‘yena abhinīhārenā’’tiādinā āgamanapaṭipadāya ādiṃ dasseti, ‘‘dānapāramī’’tiādinā majjhaṃ, ‘‘cattāro satipaṭṭhāne’’tiādinā pariyosānanti veditabbaṃ.
สมฺปติชาโตติ มุหุตฺตชาโต มนุสฺสานํ หตฺถโต มุตฺตมโตฺต, น มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขนฺตมโตฺตฯ นิกฺขนฺตมตฺตญฺหิ มหาสตฺตํ ปฐมํ พฺรหฺมาโน สุวณฺณชาเลน ปฎิคฺคณฺหิํสุ, เตสํ หตฺถโต จตฺตาโร มหาราชาโน อชินปฺปเวณิยา, เตสํ หตฺถโต มนุสฺสา ทุกูลจุมฺพฎเกน ปฎิคฺคณฺหิํสุ, มนุสฺสานํ หตฺถโต มุจฺจิตฺวา ปถวิยํ ปติฎฺฐิโตติฯ ยถาห ภควา มหาปทานเทสนายํฯ เสตมฺหิ ฉเตฺตติ ทิพฺพเสตจฺฉเตฺตฯ อนุธารียมาเนติ ธารียมาเนฯ เอตฺถ จ ฉตฺตคฺคหเณเนว ขคฺคาทีนิ ปญฺจ กกุธภณฺฎานิปิ วุตฺตาเนวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ขคฺคตาลวณฺฎโมรหตฺถกวาลพีชนีอุณฺหีสปฎฺฎาปิ หิ ฉเตฺตน สห ตทา อุปฎฺฐิตา อเหสุํ, ฉตฺตาทีนิเยว จ ตทา ปญฺญายิํสุ, น ฉตฺตาทิคฺคาหกาฯ สพฺพา จ ทิสาติ ทสปิ ทิสาฯ นยิทํ สพฺพทิสาวิโลกนํ สตฺตปทวีติหารุตฺตรกาลํ ทฎฺฐพฺพํฯ มหาสโตฺต หิ มนุสฺสานํ หตฺถโต มุจฺจิตฺวา ปุรตฺถิมทิสํ โอโลเกสิฯ ตตฺถ เทวมนุสฺสา คนฺธมาลาทีหิ ปูชยมานา ‘‘มหาปุริส อิธ ตุเมฺหหิ สทิโสปิ นตฺถิ, กุโต อุตฺตริตโร’’ติ อาหํสุฯ เอวํ จตโสฺส ทิสา, จตโสฺส อนุทิสา; เหฎฺฐา, อุปรีติ สพฺพา ทิสา อนุวิโลเกตฺวา สพฺพตฺถ อตฺตนา สทิสํ อทิสฺวา ‘‘อยํ อุตฺตรา ทิสา’’ติ ตตฺถ สตฺตปทวีติหาเรน อคมาสิฯ อาสภินฺติ อุตฺตมํฯ อโคฺคติ สพฺพปฐโมฯ เชโฎฺฐ เสโฎฺฐติ จ ตเสฺสว เววจนํฯ อยมนฺติมา ชาติ, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโวติ อิมสฺมิํ อตฺตภาเว ปตฺตพฺพํ อรหตฺตํ พฺยากาสิฯ
Sampatijātoti muhuttajāto manussānaṃ hatthato muttamatto, na mātukucchito nikkhantamatto. Nikkhantamattañhi mahāsattaṃ paṭhamaṃ brahmāno suvaṇṇajālena paṭiggaṇhiṃsu, tesaṃ hatthato cattāro mahārājāno ajinappaveṇiyā, tesaṃ hatthato manussā dukūlacumbaṭakena paṭiggaṇhiṃsu, manussānaṃ hatthato muccitvā pathaviyaṃ patiṭṭhitoti. Yathāha bhagavā mahāpadānadesanāyaṃ. Setamhi chatteti dibbasetacchatte. Anudhārīyamāneti dhārīyamāne. Ettha ca chattaggahaṇeneva khaggādīni pañca kakudhabhaṇṭānipi vuttānevāti daṭṭhabbaṃ. Khaggatālavaṇṭamorahatthakavālabījanīuṇhīsapaṭṭāpi hi chattena saha tadā upaṭṭhitā ahesuṃ, chattādīniyeva ca tadā paññāyiṃsu, na chattādiggāhakā. Sabbā ca disāti dasapi disā. Nayidaṃ sabbadisāvilokanaṃ sattapadavītihāruttarakālaṃ daṭṭhabbaṃ. Mahāsatto hi manussānaṃ hatthato muccitvā puratthimadisaṃ olokesi. Tattha devamanussā gandhamālādīhi pūjayamānā ‘‘mahāpurisa idha tumhehi sadisopi natthi, kuto uttaritaro’’ti āhaṃsu. Evaṃ catasso disā, catasso anudisā; heṭṭhā, uparīti sabbā disā anuviloketvā sabbattha attanā sadisaṃ adisvā ‘‘ayaṃ uttarā disā’’ti tattha sattapadavītihārena agamāsi. Āsabhinti uttamaṃ. Aggoti sabbapaṭhamo. Jeṭṭho seṭṭhoti ca tasseva vevacanaṃ. Ayamantimā jāti, natthi dāni punabbhavoti imasmiṃ attabhāve pattabbaṃ arahattaṃ byākāsi.
อเนเกสํ วิเสสาธิคมานํ ปุพฺพนิมิตฺตภาเวนาติ สํขิเตฺตน วุตฺตมตฺถํ ‘‘ยญฺหี’’ติอาทินา วิตฺถารโต ทเสฺสติฯ ตตฺถ เอตฺถาติ –
Anekesaṃ visesādhigamānaṃ pubbanimittabhāvenāti saṃkhittena vuttamatthaṃ ‘‘yañhī’’tiādinā vitthārato dasseti. Tattha etthāti –
‘‘อเนกสาขญฺจ สหสฺสมณฺฑลํ,
‘‘Anekasākhañca sahassamaṇḍalaṃ,
ฉตฺตํ มรู ธารยุมนฺตลิเกฺข;
Chattaṃ marū dhārayumantalikkhe;
สุวณฺณทณฺฑา วีติปตนฺติ จามรา,
Suvaṇṇadaṇḍā vītipatanti cāmarā,
น ทิสฺสเร จามรฉตฺตคาหกา’’ติฯ (สุ. นิ. ๖๙๓);
Na dissare cāmarachattagāhakā’’ti. (su. ni. 693);
อิมิสฺสา คาถายฯ สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตจารตาย อนาวรณญาณนฺติ อาห ‘‘สพฺพญฺญุตานาวรณญาณปฎิลาภสฺสา’’ติฯ ตถา อยํ ภควาปิ คโต…เป.… ปุพฺพนิมิตฺตภาเวนาติ เอเตน อภิชาติยํ ธมฺมตาวเสน อุปฺปชฺชนกวิเสสา สพฺพโพธิสตฺตานํ สาธารณาติ ทเสฺสติฯ ปารมิตานิสฺสนฺทา หิ เตติฯ
Imissā gāthāya. Sabbaññutaññāṇameva sabbattha appaṭihatacāratāya anāvaraṇañāṇanti āha ‘‘sabbaññutānāvaraṇañāṇapaṭilābhassā’’ti. Tathā ayaṃ bhagavāpi gato…pe… pubbanimittabhāvenāti etena abhijātiyaṃ dhammatāvasena uppajjanakavisesā sabbabodhisattānaṃ sādhāraṇāti dasseti. Pāramitānissandā hi teti.
วิกฺกมีติ อคมาสิฯ มรูติ เทวาฯ สมาติ วิโลกนสมตาย สมา สทิสิโยฯ มหาปุริโส หิ ยถา เอกํ ทิสํ วิโลเกสิ, เอวํ เสสทิสาปิ, น กตฺถจิ วิโลกเน วิพโนฺธ ตสฺส อโหสีติฯ สมาติ วา วิโลเกตุํ ยุตฺตา, วิสมรหิตาติ อโตฺถฯ น หิ ตทา โพธิสตฺตสฺส วิรูปพีภจฺฉวิสมรูปานิ วิโลเกตุํ อยุตฺตานิ ทิสาสุ อุปฎฺฐหนฺตีติฯ
Vikkamīti agamāsi. Marūti devā. Samāti vilokanasamatāya samā sadisiyo. Mahāpuriso hi yathā ekaṃ disaṃ vilokesi, evaṃ sesadisāpi, na katthaci vilokane vibandho tassa ahosīti. Samāti vā viloketuṃ yuttā, visamarahitāti attho. Na hi tadā bodhisattassa virūpabībhacchavisamarūpāni viloketuṃ ayuttāni disāsu upaṭṭhahantīti.
เอวํ ‘‘ตถา คโต’’ติ กายคมนเฎฺฐน คต-สเทฺทน ตถาคต-สทฺทํ นิทฺทิสิตฺวา อิทานิ ญาณคมนเฎฺฐน ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อถ วา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เนกฺขเมฺมนาติ อโลภปฺปธาเนน กุสลจิตฺตุปฺปาเทน ฯ กุสลา หิ ธมฺมา อิธ เนกฺขมฺมํ, น ปพฺพชฺชาทโย, ‘‘ปฐมชฺฌาน’’นฺติ (ที. นิ. อภิ. ฎี. ๑.๗.จูฬสีลวณฺณนา; อ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑๗๐) จ วทนฺติฯ ปหายาติ ปชหิตฺวาฯ คโต อธิคโต, ปฎิปโนฺน อุตฺตริวิเสสนฺติ อโตฺถฯ ปหายาติ วา ปหานเหตุ, ปหานลกฺขณํ วาฯ เหตุลกฺขณโตฺถ หิ อยํ ปหาย-สโทฺทฯ กามจฺฉนฺทาทิปฺปหานเหตุกํ ‘‘คโต’’ติ เหตฺถ วุตฺตํ คมนํ อวโพโธ, ปฎิปตฺติ เอว วา กามจฺฉนฺทาทิปฺปหาเนน จ ลกฺขียตีติฯ เอส นโย ปทาเลตฺวาติอาทีสุปิฯ อพฺยาปาเทนาติ เมตฺตายฯ อาโลกสญฺญายาติ วิภูตํ กตฺวา มนสิกรเณน (ที. นิ. อภิ. ฎี. ๑.๗.จูฬสีลวณฺณนา) อุปฎฺฐิตอาโลกสญฺจานเนนฯ อวิเกฺขเปนาติ สมาธินาฯ ธมฺมววตฺถาเนนาติ กุสลาทิธมฺมานํ ยาถาวนิจฺฉเยนฯ ‘‘สปฺปจฺจยนามรูปววตฺถาเนนา’’ติปิ วทนฺติฯ
Evaṃ ‘‘tathā gato’’ti kāyagamanaṭṭhena gata-saddena tathāgata-saddaṃ niddisitvā idāni ñāṇagamanaṭṭhena taṃ dassetuṃ ‘‘atha vā’’tiādimāha. Tattha nekkhammenāti alobhappadhānena kusalacittuppādena . Kusalā hi dhammā idha nekkhammaṃ, na pabbajjādayo, ‘‘paṭhamajjhāna’’nti (dī. ni. abhi. ṭī. 1.7.cūḷasīlavaṇṇanā; a. ni. ṭī. 1.1.170) ca vadanti. Pahāyāti pajahitvā. Gato adhigato, paṭipanno uttarivisesanti attho. Pahāyāti vā pahānahetu, pahānalakkhaṇaṃ vā. Hetulakkhaṇattho hi ayaṃ pahāya-saddo. Kāmacchandādippahānahetukaṃ ‘‘gato’’ti hettha vuttaṃ gamanaṃ avabodho, paṭipatti eva vā kāmacchandādippahānena ca lakkhīyatīti. Esa nayo padāletvātiādīsupi. Abyāpādenāti mettāya. Ālokasaññāyāti vibhūtaṃ katvā manasikaraṇena (dī. ni. abhi. ṭī. 1.7.cūḷasīlavaṇṇanā) upaṭṭhitaālokasañcānanena. Avikkhepenāti samādhinā. Dhammavavatthānenāti kusalādidhammānaṃ yāthāvanicchayena. ‘‘Sappaccayanāmarūpavavatthānenā’’tipi vadanti.
เอวํ กามจฺฉนฺทาทินีวรณปฺปหาเนน ‘‘อภิชฺฌํ โลเก ปหายา’’ติอาทินา (วิภ. ๕๐๘) วุตฺตาย ปฐมชฺฌานสฺส ปุพฺพภาคปฎิปทาย ภควโต ตถาคตภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สห อุปาเยน อฎฺฐหิ สมาปตฺตีหิ อฎฺฐารสหิ จ มหาวิปสฺสนาหิ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ญาเณนา’’ติอาทิมาหฯ นามรูปปริคฺคหกงฺขาวิตรณานญฺหิ วินิพนฺธภูตสฺส โมหสฺส ทูรีกรเณน ญาตปริญฺญายํ ฐิตสฺส อนิจฺจสญฺญาทโย สิชฺฌนฺติ, ตถา ฌานสมาปตฺตีสุ อภิรตินิมิเตฺตน ปาโมเชฺชนฯ ตตฺถ ‘‘อนภิรติยา วิโนทิตาย ฌานาทีนํ สมธิคโม’’ติ สมาปตฺติวิปสฺสนานํ อรติวิโนทนอวิชฺชาปทาลนาทีนิ อุปาโย, อุปฺปฎิปาฎินิเทฺทโส ปน นีวรณสภาวาย อวิชฺชาย เหฎฺฐา นิวรเณสุปิ สงฺคหทสฺสนตฺถนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ สมาปตฺติวิหารปฺปเวสวิพนฺธเนน นีวรณานิ กวาฎสทิสานีติ อาห ‘‘นีวรณกวาฎํ อุคฺฆาเฎตฺวา’’ติฯ ‘‘รตฺติํ อนุวิตเกฺกตฺวา อนุวิจาเรตฺวา ทิวา กมฺมเนฺต ปโยเชตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๕๑) วุตฺตฎฺฐาเน วิตกฺกวิจารา ธูมายนาติ อธิเปฺปตาติ อาห ‘‘วิตกฺกวิจารธูม’’นฺติฯ กิญฺจาปิ ปฐมชฺฌานุปจาเรเยว ทุกฺขํ, จตุตฺถชฺฌานุปจาเร จ สุขํ ปหียติ, อติสยปฺปหานํ ปน สนฺธายาห ‘‘จตุตฺถชฺฌาเนน สุขทุกฺขํ ปหายา’’ติฯ
Evaṃ kāmacchandādinīvaraṇappahānena ‘‘abhijjhaṃ loke pahāyā’’tiādinā (vibha. 508) vuttāya paṭhamajjhānassa pubbabhāgapaṭipadāya bhagavato tathāgatabhāvaṃ dassetvā idāni saha upāyena aṭṭhahi samāpattīhi aṭṭhārasahi ca mahāvipassanāhi taṃ dassetuṃ ‘‘ñāṇenā’’tiādimāha. Nāmarūpapariggahakaṅkhāvitaraṇānañhi vinibandhabhūtassa mohassa dūrīkaraṇena ñātapariññāyaṃ ṭhitassa aniccasaññādayo sijjhanti, tathā jhānasamāpattīsu abhiratinimittena pāmojjena. Tattha ‘‘anabhiratiyā vinoditāya jhānādīnaṃ samadhigamo’’ti samāpattivipassanānaṃ arativinodanaavijjāpadālanādīni upāyo, uppaṭipāṭiniddeso pana nīvaraṇasabhāvāya avijjāya heṭṭhā nivaraṇesupi saṅgahadassanatthanti daṭṭhabbaṃ. Samāpattivihārappavesavibandhanena nīvaraṇāni kavāṭasadisānīti āha ‘‘nīvaraṇakavāṭaṃ ugghāṭetvā’’ti. ‘‘Rattiṃ anuvitakketvā anuvicāretvā divā kammante payojetī’’ti (ma. ni. 1.251) vuttaṭṭhāne vitakkavicārā dhūmāyanāti adhippetāti āha ‘‘vitakkavicāradhūma’’nti. Kiñcāpi paṭhamajjhānupacāreyeva dukkhaṃ, catutthajjhānupacāre ca sukhaṃ pahīyati, atisayappahānaṃ pana sandhāyāha ‘‘catutthajjhānena sukhadukkhaṃ pahāyā’’ti.
อนิจฺจสฺส, อนิจฺจนฺติ จ อนุปสฺสนา อนิจฺจานุปสฺสนา, เตภูมกธมฺมานํ อนิจฺจตํ คเหตฺวา ปวตฺตาย วิปสฺสนาเยตํ นามํฯ นิจฺจสญฺญนฺติ สงฺขตธเมฺมสุ ‘‘นิจฺจา สสฺสตา’’ติ เอวํปวตฺตมิจฺฉาสญฺญํฯ สญฺญาสีเสน ทิฎฺฐิจิตฺตานมฺปิ คหณํ ทฎฺฐพฺพํฯ เอส นโย อิโต ปเรสุปิฯ นิพฺพิทานุปสฺสนายาติ สงฺขาเรสุ นิพฺพิชฺชนากาเรน ปวตฺตาย อนุปสฺสนายฯ นนฺทินฺติ สปฺปีติกตณฺหํฯ วิราคานุปสฺสนายาติ สงฺขาเรสุ วิรชฺชนากาเรน ปวตฺตาย อนุปสฺสนายฯ นิโรธานุปสฺสนายาติ สงฺขารานํ นิโรธสฺส อนุปสฺสนายฯ ยถา วา สงฺขารา นิรุชฺฌนฺติเยว, อายติํ ปุนพฺภววเสน น อุปฺปชฺชนฺติ, เอวํ อนุปสฺสนา นิโรธานุปสฺสนาฯ เตเนวาห ‘‘นิโรธานุปสฺสนาย นิโรเธติ, โน สมุเทตี’’ติฯ มุจฺจิตุกมฺยตา หิ อยํ พลปฺปตฺตาติฯ ปฎินิสฺสชฺชนากาเรน ปวตฺตา อนุปสฺสนา ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสนา, ปฎิสงฺขาสนฺติฎฺฐนา หิ อยํฯ อาทานนฺติ นิจฺจาทิวเสน คหณํฯ สนฺตติสมูหกิจฺจารมฺมณานํ วเสน เอกตฺตคฺคหณํ ฆนสญฺญาฯ อายูหนํ อภิสงฺขรณํฯ อวตฺถาวิเสสาปตฺติ วิปริณาโมฯ ธุวสญฺญนฺติ ถิรภาวคฺคหณํฯ นิมิตฺตนฺติ สมูหาทิฆนวเสน สกิจฺจปริเจฺฉทตาย จ สงฺขารานํ สวิคฺคหคฺคหณํฯ ปณิธินฺติ ราคาทิปณิธิํฯ สา ปนตฺถโต ตณฺหาวเสน สงฺขาเรสุ นินฺนตาฯ อภินิเวสนฺติ อตฺตานุทิฎฺฐิํฯ
Aniccassa, aniccanti ca anupassanā aniccānupassanā, tebhūmakadhammānaṃ aniccataṃ gahetvā pavattāya vipassanāyetaṃ nāmaṃ. Niccasaññanti saṅkhatadhammesu ‘‘niccā sassatā’’ti evaṃpavattamicchāsaññaṃ. Saññāsīsena diṭṭhicittānampi gahaṇaṃ daṭṭhabbaṃ. Esa nayo ito paresupi. Nibbidānupassanāyāti saṅkhāresu nibbijjanākārena pavattāya anupassanāya. Nandinti sappītikataṇhaṃ. Virāgānupassanāyāti saṅkhāresu virajjanākārena pavattāya anupassanāya. Nirodhānupassanāyāti saṅkhārānaṃ nirodhassa anupassanāya. Yathā vā saṅkhārā nirujjhantiyeva, āyatiṃ punabbhavavasena na uppajjanti, evaṃ anupassanā nirodhānupassanā. Tenevāha ‘‘nirodhānupassanāya nirodheti, no samudetī’’ti. Muccitukamyatā hi ayaṃ balappattāti. Paṭinissajjanākārena pavattā anupassanā paṭinissaggānupassanā, paṭisaṅkhāsantiṭṭhanā hi ayaṃ. Ādānanti niccādivasena gahaṇaṃ. Santatisamūhakiccārammaṇānaṃ vasena ekattaggahaṇaṃ ghanasaññā. Āyūhanaṃ abhisaṅkharaṇaṃ. Avatthāvisesāpatti vipariṇāmo. Dhuvasaññanti thirabhāvaggahaṇaṃ. Nimittanti samūhādighanavasena sakiccaparicchedatāya ca saṅkhārānaṃ saviggahaggahaṇaṃ. Paṇidhinti rāgādipaṇidhiṃ. Sā panatthato taṇhāvasena saṅkhāresu ninnatā. Abhinivesanti attānudiṭṭhiṃ.
อนิจฺจทุกฺขาทิวเสน สพฺพธมฺมตีรณํ อธิปญฺญาธมฺมวิปสฺสนาฯ สาราทานาภินิเวสนฺติ อสาเรสุ สารคฺคหณวิปลฺลาสํฯ อิสฺสรกุตฺตาทิวเสน โลโก สมุปฺปโนฺนติ อภินิเวโส สโมฺมหาภินิเวโสฯ เกจิ ปน ‘‘อโหสิํ นุ โข อหํ อตีตมทฺธานนฺติอาทินา (ม. นิ. ๑.๑๘; สํ. นิ. ๒.๒๐) ปวตฺตสํสยาปตฺติ สโมฺมหาภินิเวโส’’ติ วทนฺติฯ สงฺขาเรสุ เลณตาณภาวคฺคหณํ อาลยาภินิเวโสฯ ‘‘อาลยรตา อาลยสมฺมุทิตา’’ติ (ที. นิ. ๒.๖๔, ๖๗; ม. นิ. ๑.๒๘๑; ๒.๓๓๗; สํ. นิ. ๑.๑๗๒; มหาว. ๗, ๘) วจนโต อาลโย ตณฺหา, สาเยว จกฺขาทีสุ รูปาทีสุ จ อภินิวิสนวเสน ปวตฺติยา อาลยาภินิเวโสติ เกจิฯ ‘‘เอวํวิธา สงฺขารา ปฎินิสฺสชฺชียนฺตี’’ติ ปวตฺตํ ญาณํ ปฎิสงฺขานุปสฺสนาฯ วฎฺฎโต วิคตตฺตา วิวฎฺฎํ, นิพฺพานํ, ตตฺถ อารมฺมณกรณสงฺขาเตน อนุปสฺสเนน ปวตฺติยา วิวฎฺฎานุปสฺสนา, โคตฺรภูฯ สํโยคาภินิเวสนฺติ สํยุชฺชนวเสน สงฺขาเรสุ นิวิสนํฯ ทิเฎฺฐกเฎฺฐติ ทิฎฺฐิยา สหชาเตกเฎฺฐ ปหาเนกเฎฺฐ จฯ โอฬาริเกติ อุปริมคฺควชฺฌกิเลเส อเปกฺขิตฺวา วุตฺตํ, อญฺญถา ทสฺสเนน ปหาตพฺพาปิ ทุติยมคฺควเชฺฌหิ โอฬาริกาติฯ อณุสหคเตติ อณุภูเตฯ อิทํ เหฎฺฐิมมคฺควเชฺฌ อเปกฺขิตฺวา วุตฺตํฯ สพฺพกิเลเสติ อวสิฎฺฐสพฺพกิเลเสฯ น หิ ปฐมาทิมเคฺคหิ ปหีนา กิเลสา ปุน ปหียนฺตีติฯ
Aniccadukkhādivasena sabbadhammatīraṇaṃ adhipaññādhammavipassanā. Sārādānābhinivesanti asāresu sāraggahaṇavipallāsaṃ. Issarakuttādivasena loko samuppannoti abhiniveso sammohābhiniveso. Keci pana ‘‘ahosiṃ nu kho ahaṃ atītamaddhānantiādinā (ma. ni. 1.18; saṃ. ni. 2.20) pavattasaṃsayāpatti sammohābhiniveso’’ti vadanti. Saṅkhāresu leṇatāṇabhāvaggahaṇaṃ ālayābhiniveso. ‘‘Ālayaratā ālayasammuditā’’ti (dī. ni. 2.64, 67; ma. ni. 1.281; 2.337; saṃ. ni. 1.172; mahāva. 7, 8) vacanato ālayo taṇhā, sāyeva cakkhādīsu rūpādīsu ca abhinivisanavasena pavattiyā ālayābhinivesoti keci. ‘‘Evaṃvidhā saṅkhārā paṭinissajjīyantī’’ti pavattaṃ ñāṇaṃ paṭisaṅkhānupassanā. Vaṭṭato vigatattā vivaṭṭaṃ, nibbānaṃ, tattha ārammaṇakaraṇasaṅkhātena anupassanena pavattiyā vivaṭṭānupassanā, gotrabhū. Saṃyogābhinivesanti saṃyujjanavasena saṅkhāresu nivisanaṃ. Diṭṭhekaṭṭheti diṭṭhiyā sahajātekaṭṭhe pahānekaṭṭhe ca. Oḷāriketi uparimaggavajjhakilese apekkhitvā vuttaṃ, aññathā dassanena pahātabbāpi dutiyamaggavajjhehi oḷārikāti. Aṇusahagateti aṇubhūte. Idaṃ heṭṭhimamaggavajjhe apekkhitvā vuttaṃ. Sabbakileseti avasiṭṭhasabbakilese. Na hi paṭhamādimaggehi pahīnā kilesā puna pahīyantīti.
กกฺขฬตฺตํ กถินภาโวฯ ปคฺฆรณํ ทฺรวภาโวฯ โลกิยวายุนา ภสฺตสฺส วิย เยน วายุนา ตํตํกลาปสฺส อุทฺธุมายนํ, ถทฺธภาโว วา, ตํ วิตฺถมฺภนํฯ วิชฺชมาเนปิ กลาปนฺตรภูตานํ กลาปนฺตรภูเตหิ สมฺผุฎฺฐภาเว ตํตํภูตวิวิตฺตตา รูปปริยโนฺต อากาโสติ เยสํ โย ปริเจฺฉโท, เตหิ โส อสมฺผุโฎฺฐว, อญฺญถา ภูตานํ ปริเจฺฉทสภาโว น สิยา พฺยาปีภาวาปตฺติโต, อพฺยาปิตาว อสมฺผุฎฺฐตาติ ยสฺมิํ กลาเป ภูตานํ ปริเจฺฉโท, เตหิ อสมฺผุฎฺฐภาโว อสมฺผุฎฺฐลกฺขณํฯ เตนาห ภควา อากาสธาตุนิเทฺทเส (ธ. ส. ๖๓๗) ‘‘อสมฺผุฎฺฐํ จตูหิ มหาภูเตหี’’ติฯ
Kakkhaḷattaṃ kathinabhāvo. Paggharaṇaṃ dravabhāvo. Lokiyavāyunā bhastassa viya yena vāyunā taṃtaṃkalāpassa uddhumāyanaṃ, thaddhabhāvo vā, taṃ vitthambhanaṃ. Vijjamānepi kalāpantarabhūtānaṃ kalāpantarabhūtehi samphuṭṭhabhāve taṃtaṃbhūtavivittatā rūpapariyanto ākāsoti yesaṃ yo paricchedo, tehi so asamphuṭṭhova, aññathā bhūtānaṃ paricchedasabhāvo na siyā byāpībhāvāpattito, abyāpitāva asamphuṭṭhatāti yasmiṃ kalāpe bhūtānaṃ paricchedo, tehi asamphuṭṭhabhāvo asamphuṭṭhalakkhaṇaṃ. Tenāha bhagavā ākāsadhātuniddese (dha. sa. 637) ‘‘asamphuṭṭhaṃ catūhi mahābhūtehī’’ti.
วิโรธิปจฺจยสนฺนิปาเต วิสทิสุปฺปตฺติ รุปฺปนํฯ เจตนาปธานตฺตา สงฺขารกฺขนฺธธมฺมานํ เจตนาวเสเนตํ วุตฺตํ ‘‘สงฺขารานํ อภิสงฺขรณลกฺขณ’’นฺติฯ ตถา หิ สุตฺตนฺตภาชนีเย สงฺขารกฺขนฺธวิภเงฺค (วิภ. ๙๒) ‘‘จกฺขุสมฺผสฺสชา เจตนา’’ติอาทินา เจตนาว วิภตฺตาฯ อภิสงฺขรณลกฺขณา จ เจตนาฯ ยถาห ‘‘ตตฺถ กตโม ปุญฺญาภิสงฺขาโร? กุสลา เจตนา กามาวจรา’’ติอาทิฯ ผรณํ สวิปฺผาริกตาฯ อสฺสทฺธิเยติ อสทฺธิยเหตุฯ นิมิตฺตเตฺถ ภุมฺมํฯ เอส นโย โกสเชฺชติอาทีสุฯ อุปสมลกฺขณนฺติ กายจิตฺตปริฬาหูปสมลกฺขณํฯ ลีนุทฺธจฺจรหิเต อธิจิเตฺต ปวตฺตมาเน ปคฺคหนิคฺคหสมฺปหํสเนสุ อพฺยาวฎตาย อชฺฌุเปกฺขนํ ปฎิสงฺขานํ ปกฺขปาตุปเจฺฉทโตฯ
Virodhipaccayasannipāte visadisuppatti ruppanaṃ. Cetanāpadhānattā saṅkhārakkhandhadhammānaṃ cetanāvasenetaṃ vuttaṃ ‘‘saṅkhārānaṃ abhisaṅkharaṇalakkhaṇa’’nti. Tathā hi suttantabhājanīye saṅkhārakkhandhavibhaṅge (vibha. 92) ‘‘cakkhusamphassajā cetanā’’tiādinā cetanāva vibhattā. Abhisaṅkharaṇalakkhaṇā ca cetanā. Yathāha ‘‘tattha katamo puññābhisaṅkhāro? Kusalā cetanā kāmāvacarā’’tiādi. Pharaṇaṃ savipphārikatā. Assaddhiyeti asaddhiyahetu. Nimittatthe bhummaṃ. Esa nayo kosajjetiādīsu. Upasamalakkhaṇanti kāyacittapariḷāhūpasamalakkhaṇaṃ. Līnuddhaccarahite adhicitte pavattamāne paggahaniggahasampahaṃsanesu abyāvaṭatāya ajjhupekkhanaṃ paṭisaṅkhānaṃ pakkhapātupacchedato.
มุสาวาทาทีนํ วิสํวาทนาทิกิจฺจตาย ลูขานํ อปริคฺคาหกานํ ปฎิปกฺขภาวโต ปริคฺคาหกสภาวา สมฺมาวาจา สินิทฺธภาวโต สมฺปยุตฺตธเมฺม สมฺมาวาจาปจฺจยสุภาสิตานํ โสตารญฺจ ปุคฺคลํ ปริคฺคณฺหาตีติ ตสฺสา ปริคฺคาหลกฺขณํ วุตฺตํฯ กายิกกิริยา กิญฺจิ กตฺตพฺพํ สมุฎฺฐาเปติ, สยญฺจ สมุฎฺฐหนํ ฆฎนํ โหตีติ สมฺมากมฺมนฺต สงฺขาตาย วิรติยา สมุฎฺฐานลกฺขณํ ทฎฺฐพฺพํฯ สมฺปยุตฺตธมฺมานํ วา อุกฺขิปนํ สมุฎฺฐาปนํ กายิกกิริยาย ภารุกฺขิปนํ วิยฯ ชีวมานสฺส สตฺตสฺส, สมฺปยุตฺตธมฺมานํ วา ชีวิตินฺทฺริยปฺปวตฺติยา, อาชีวเสฺสว วา สุทฺธิ โวทานํฯ สสมฺปยุตฺตธมฺมสฺส จิตฺตสฺส สํกิเลสปเกฺข ปติตุํ อทตฺวา สมฺมเทว ปคฺคณฺหนํ ปคฺคโหฯ
Musāvādādīnaṃ visaṃvādanādikiccatāya lūkhānaṃ apariggāhakānaṃ paṭipakkhabhāvato pariggāhakasabhāvā sammāvācā siniddhabhāvato sampayuttadhamme sammāvācāpaccayasubhāsitānaṃ sotārañca puggalaṃ pariggaṇhātīti tassā pariggāhalakkhaṇaṃ vuttaṃ. Kāyikakiriyā kiñci kattabbaṃ samuṭṭhāpeti, sayañca samuṭṭhahanaṃ ghaṭanaṃ hotīti sammākammanta saṅkhātāya viratiyā samuṭṭhānalakkhaṇaṃ daṭṭhabbaṃ. Sampayuttadhammānaṃ vā ukkhipanaṃ samuṭṭhāpanaṃ kāyikakiriyāya bhārukkhipanaṃ viya. Jīvamānassa sattassa, sampayuttadhammānaṃ vā jīvitindriyappavattiyā, ājīvasseva vā suddhi vodānaṃ. Sasampayuttadhammassa cittassa saṃkilesapakkhe patituṃ adatvā sammadeva paggaṇhanaṃ paggaho.
‘‘สงฺขารา’’ติ อิธ เจตนา อธิเปฺปตาติ วุตฺตํ ‘‘สงฺขารานํ เจตนาลกฺขณ’’นฺติฯ นมนํ อารมฺมณาภิมุขภาโวฯ อายตนํ ปวตฺตนํฯ อายตนานํ วเสน หิ อายสงฺขาตานํ จิตฺตเจตสิกานํ ปวตฺติฯ ตณฺหาย เหตุลกฺขณนฺติ วฎฺฎสฺส ชนกเหตุภาโว, มคฺคสฺส ปน นิพฺพานสมฺปาปกตฺตนฺติ อยเมเตสํ วิเสโสฯ
‘‘Saṅkhārā’’ti idha cetanā adhippetāti vuttaṃ ‘‘saṅkhārānaṃ cetanālakkhaṇa’’nti. Namanaṃ ārammaṇābhimukhabhāvo. Āyatanaṃ pavattanaṃ. Āyatanānaṃ vasena hi āyasaṅkhātānaṃ cittacetasikānaṃ pavatti. Taṇhāya hetulakkhaṇanti vaṭṭassa janakahetubhāvo, maggassa pana nibbānasampāpakattanti ayametesaṃ viseso.
ตถลกฺขณํ อวิปรีตสภาโวฯ เอกรโส อญฺญมญฺญานติวตฺตนํ อนูนานธิกภาโวฯ ยุคนทฺธา สมถวิปสฺสนาวฯ สทฺธาปญฺญา ปคฺคหาวิเกฺขปาติปิ วทนฺติฯ
Tathalakkhaṇaṃ aviparītasabhāvo. Ekaraso aññamaññānativattanaṃ anūnānadhikabhāvo. Yuganaddhā samathavipassanāva. Saddhāpaññā paggahāvikkhepātipi vadanti.
ขีโณติ กิเลเส เขปตีติ ขโย, มโคฺคฯ อนุปฺปาทปริโยสานตาย อนุปฺปาโท, ผลํฯ ปสฺสทฺธิ กิเลสวูปสโมฯ ฉนฺทสฺสาติ กตฺตุกามตาฉนฺทสฺสฯ มูลลกฺขณํ ปติฎฺฐาภาโวฯ สมุฎฺฐานภาโว สมุฎฺฐานลกฺขณํ อารมฺมณปฎิปาทกตาย สมฺปยุตฺตธมฺมานํ อุปฺปตฺติเหตุตาฯ สโมธานํ วิสยาทิสนฺนิปาเตน คเหตพฺพากาโร, ยา สงฺคตีติ วุจฺจติฯ สมํ สห โอทหนฺติ อเนน สมฺปยุตฺตธมฺมาติ วา สโมธานํ, ผโสฺสฯ สโมสรนฺติ สนฺนิปตนฺติ เอตฺถาติ สโมสรณํฯ เวทนาย วินา อปฺปวตฺตมานา สมฺปยุตฺตธมฺมา เวทนานุภวนนิมิตฺตํ สโมสฎา วิย โหนฺตีติ เอวํ วุตฺตํฯ โคปานสีนํ กูฎํ วิย สมฺปยุตฺตานํ ปาโมกฺขภาโว ปมุขลกฺขณํฯ ตโต, เตสํ วา สมฺปยุตฺตธมฺมานํ อุตฺตริ ปธานนฺติ ตตุตฺตริ, ปญฺญุตฺตรา หิ กุสลา ธมฺมาฯ วิมุตฺติยาติ ผลสฺสฯ ตญฺหิ สีลาทิคุณสารสฺส ปรมุกฺกํสภาเวน สารํฯ อยญฺจ ลกฺขณวิภาโค ฉธาตุปญฺจฌานงฺคาทิวเสน ตํตํสุตฺตปทานุสาเรน โปราณฎฺฐกถายํ อาคตนเยน จ กโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตถา หิ ปุเพฺพ วุโตฺตปิ โกจิ ธโมฺม ปริยายนฺตรปกาสนตฺถํ ปุน ทสฺสิโตฯ ตโต เอว จ ‘‘ฉนฺทมูลกา กุสลา ธมฺมา มนสิการสมุฎฺฐานา ผสฺสสโมธานา เวทนาสโมสรณา’’ติ, ‘‘ปญฺญุตฺตรา กุสลา ธมฺมา’’ติ, ‘‘วิมุตฺติสารมิทํ พฺรหฺมจริย’’นฺติ, ‘‘นิพฺพาโนคธญฺหิ อาวุโส พฺรหฺมจริยํ นิพฺพานปริโยสาน’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๔๖๖) จ สุตฺตปทานํ วเสน ‘‘ฉนฺทสฺส มูลลกฺขณ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ
Khīṇoti kilese khepatīti khayo, maggo. Anuppādapariyosānatāya anuppādo, phalaṃ. Passaddhi kilesavūpasamo. Chandassāti kattukāmatāchandassa. Mūlalakkhaṇaṃ patiṭṭhābhāvo. Samuṭṭhānabhāvo samuṭṭhānalakkhaṇaṃ ārammaṇapaṭipādakatāya sampayuttadhammānaṃ uppattihetutā. Samodhānaṃ visayādisannipātena gahetabbākāro, yā saṅgatīti vuccati. Samaṃ saha odahanti anena sampayuttadhammāti vā samodhānaṃ, phasso. Samosaranti sannipatanti etthāti samosaraṇaṃ. Vedanāya vinā appavattamānā sampayuttadhammā vedanānubhavananimittaṃ samosaṭā viya hontīti evaṃ vuttaṃ. Gopānasīnaṃ kūṭaṃ viya sampayuttānaṃ pāmokkhabhāvo pamukhalakkhaṇaṃ. Tato, tesaṃ vā sampayuttadhammānaṃ uttari padhānanti tatuttari, paññuttarā hi kusalā dhammā. Vimuttiyāti phalassa. Tañhi sīlādiguṇasārassa paramukkaṃsabhāvena sāraṃ. Ayañca lakkhaṇavibhāgo chadhātupañcajhānaṅgādivasena taṃtaṃsuttapadānusārena porāṇaṭṭhakathāyaṃ āgatanayena ca katoti daṭṭhabbaṃ. Tathā hi pubbe vuttopi koci dhammo pariyāyantarapakāsanatthaṃ puna dassito. Tato eva ca ‘‘chandamūlakā kusalā dhammā manasikārasamuṭṭhānā phassasamodhānā vedanāsamosaraṇā’’ti, ‘‘paññuttarā kusalā dhammā’’ti, ‘‘vimuttisāramidaṃ brahmacariya’’nti, ‘‘nibbānogadhañhi āvuso brahmacariyaṃ nibbānapariyosāna’’nti (ma. ni. 1.466) ca suttapadānaṃ vasena ‘‘chandassa mūlalakkhaṇa’’ntiādi vuttaṃ.
ตถธมฺมา นาม จตฺตาริ อริยสจฺจานิ อวิปรีตสภาวตฺตาฯ ตถานิ ตํสภาวตฺตาฯ อวิตถานิ อมุสาสภาวตฺตาฯ อนญฺญถานิ อญฺญาการรหิตตฺตาฯ ชาติปจฺจยสมฺภูตสมุทาคตโฎฺฐติ ชาติปจฺจยา สมฺภูตํ หุตฺวา สหิตสฺส อตฺตโน ปจฺจยานุรูปสฺส อุทฺธํ อาคตภาโว, อนุปวตฺตนโฎฺฐติ อโตฺถฯ อถ วา สมฺภูตโฎฺฐ จ สมุทาคตโฎฺฐ จ สมฺภูตสมุทาคตโฎฺฐ, น ชาติโต ชรามรณํ น โหติ, น จ ชาติํ วินา อญฺญโต โหตีติ ชาติปจฺจยสมฺภูตโฎฺฐฯ อิตฺถญฺจ ชาติโต สมุทาคจฺฉตีติ ชาติปจฺจยสมุทาคตโฎฺฐ, ยา ยา ชาติ ยถา ยถา ปจฺจโย โหติ, ตทนุรูปํ ปาตุภาโวติ อโตฺถฯ อวิชฺชาย สงฺขารานํ ปจฺจยโฎฺฐติ เอตฺถาปิ น อวิชฺชา สงฺขารานํ ปจฺจโย น โหติ, น จ อวิชฺชํ วินา สงฺขารา อุปฺปชฺชนฺติ, ยา ยา อวิชฺชา เยสํ เยสํ สงฺขารานํ ยถา ยถา ปจฺจโย โหติ, อยํ อวิชฺชาย สงฺขารานํ ปจฺจยโฎฺฐ ปจฺจยภาโวติ อโตฺถฯ
Tathadhammā nāma cattāri ariyasaccāni aviparītasabhāvattā. Tathāni taṃsabhāvattā. Avitathāni amusāsabhāvattā. Anaññathāni aññākārarahitattā. Jātipaccayasambhūtasamudāgataṭṭhoti jātipaccayā sambhūtaṃ hutvā sahitassa attano paccayānurūpassa uddhaṃ āgatabhāvo, anupavattanaṭṭhoti attho. Atha vā sambhūtaṭṭho ca samudāgataṭṭho ca sambhūtasamudāgataṭṭho, na jātito jarāmaraṇaṃ na hoti, na ca jātiṃ vinā aññato hotīti jātipaccayasambhūtaṭṭho. Itthañca jātito samudāgacchatīti jātipaccayasamudāgataṭṭho, yā yā jāti yathā yathā paccayo hoti, tadanurūpaṃ pātubhāvoti attho. Avijjāya saṅkhārānaṃ paccayaṭṭhoti etthāpi na avijjā saṅkhārānaṃ paccayo na hoti, na ca avijjaṃ vinā saṅkhārā uppajjanti, yā yā avijjā yesaṃ yesaṃ saṅkhārānaṃ yathā yathā paccayo hoti, ayaṃ avijjāya saṅkhārānaṃ paccayaṭṭho paccayabhāvoti attho.
ภควา ตํ สพฺพาการโต ชานาติ ปสฺสตีติ สมฺพโนฺธฯ เตนาติ ภควตาฯ ตํ วิภชฺชมานนฺติ โยเชตพฺพํฯ ตนฺติ รุปายตนํฯ อิฎฺฐานิฎฺฐาทีติ อาทิ-สเทฺทน มชฺฌตฺตํ สงฺคณฺหาติ, ตถา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนปริตฺตอชฺฌตฺตพหิทฺธาตทุภยาทิเภทํฯ ลพฺภมานกปทวเสนาติ ‘‘รูปายตนํ ทิฎฺฐํ, สทฺทายตนํ สุตํ, คนฺธายตนํ รสายตนํ โผฎฺฐพฺพายตนํ มุตํ, สพฺพํ รูปํ มนสา วิญฺญาต’’นฺติ (ธ. ส. ๙๖๖) วจนโต ทิฎฺฐปทญฺจ วิญฺญาตปทญฺจ รูปารมฺมเณ ลพฺภติ, รูปารมฺมณํ อิฎฺฐํ อนิฎฺฐํ มชฺฌตฺตํ ปริตฺตํ อตีตํ อนาคตํ ปจฺจุปฺปนฺนํ อชฺฌตฺตํ พหิทฺธา ทิฎฺฐํ วิญฺญาตํ รูปํ รูปายตนํ รูปธาตุ วณฺณนิภา สนิทสฺสนํ สปฺปฎิฆํ นีลํ ปีตกนฺติ เอวมาทีหิ อเนเกหิ นาเมหิฯ
Bhagavā taṃ sabbākārato jānāti passatīti sambandho. Tenāti bhagavatā. Taṃ vibhajjamānanti yojetabbaṃ. Tanti rupāyatanaṃ. Iṭṭhāniṭṭhādīti ādi-saddena majjhattaṃ saṅgaṇhāti, tathā atītānāgatapaccuppannaparittaajjhattabahiddhātadubhayādibhedaṃ. Labbhamānakapadavasenāti ‘‘rūpāyatanaṃ diṭṭhaṃ, saddāyatanaṃ sutaṃ, gandhāyatanaṃ rasāyatanaṃ phoṭṭhabbāyatanaṃ mutaṃ, sabbaṃ rūpaṃ manasā viññāta’’nti (dha. sa. 966) vacanato diṭṭhapadañca viññātapadañca rūpārammaṇe labbhati, rūpārammaṇaṃ iṭṭhaṃ aniṭṭhaṃ majjhattaṃ parittaṃ atītaṃ anāgataṃ paccuppannaṃ ajjhattaṃ bahiddhā diṭṭhaṃ viññātaṃ rūpaṃ rūpāyatanaṃ rūpadhātu vaṇṇanibhā sanidassanaṃ sappaṭighaṃ nīlaṃ pītakanti evamādīhi anekehi nāmehi.
เตรสหิ วาเรหีติ รูปกเณฺฑ (ธ. ส. ๖๑๖) อาคเต เตรส นิเทฺทสวาเร สนฺธายาหฯ เอเกกสฺมิญฺจ วาเร จตุนฺนํ จตุนฺนํ ววตฺถาปนนยานํ วเสน ‘‘เทฺวปญฺญาสาย นเยหี’’ติ อาหฯ ตถเมว อวิปรีตทสฺสิตาย อปฺปฎิวตฺติยเทสนตาย จฯ ‘‘ชานามิ อภิญฺญาสิ’’นฺติ วตฺตมานาตีตกาเลสุ ญาณปฺปวตฺติทสฺสเนน อนาคเตปิ ญาณปฺปวตฺติ วุตฺตาเยวาติ ทฎฺฐพฺพาฯ วิทิต-สโทฺท อนามฎฺฐกาลวิเสโส เวทิตโพฺพ ‘‘ทิฎฺฐํ สุตํ มุต’’นฺติอาทีสุ (ธ. ส. ๙๖๖) วิยฯ น อุปฎฺฐาสีติ อตฺตตฺตนิยวเสน น อุปคจฺฉิฯ ยถา รูปารมฺมณาทโย ธมฺมา ยํสภาวา ยํปการา จ, ตถา เน ปสฺสติ ชานาติ คจฺฉตีติ ตถาคโตติ เอวํ ปทสมฺภโว เวทิตโพฺพฯ เกจิ ปน ‘‘นิรุตฺตินเยน ปิโสทราทิปเกฺขเปน (ปาณินิ ๖.๓.๑๐๙) วา ทสฺสิ-สทฺทสฺส โลปํ, อาคต-สทฺทสฺส จาคมํ กตฺวา ตถาคโต’’ติ วเณฺณนฺติฯ
Terasahi vārehīti rūpakaṇḍe (dha. sa. 616) āgate terasa niddesavāre sandhāyāha. Ekekasmiñca vāre catunnaṃ catunnaṃ vavatthāpananayānaṃ vasena ‘‘dvepaññāsāya nayehī’’ti āha. Tathameva aviparītadassitāya appaṭivattiyadesanatāya ca. ‘‘Jānāmi abhiññāsi’’nti vattamānātītakālesu ñāṇappavattidassanena anāgatepi ñāṇappavatti vuttāyevāti daṭṭhabbā. Vidita-saddo anāmaṭṭhakālaviseso veditabbo ‘‘diṭṭhaṃ sutaṃ muta’’ntiādīsu (dha. sa. 966) viya. Na upaṭṭhāsīti attattaniyavasena na upagacchi. Yathā rūpārammaṇādayo dhammā yaṃsabhāvā yaṃpakārā ca, tathā ne passati jānāti gacchatīti tathāgatoti evaṃ padasambhavo veditabbo. Keci pana ‘‘niruttinayena pisodarādipakkhepena (pāṇini 6.3.109) vā dassi-saddassa lopaṃ, āgata-saddassa cāgamaṃ katvā tathāgato’’ti vaṇṇenti.
นิโทฺทสตาย อนุปวชฺชํฯ ปกฺขิปิตพฺพาภาเวน อนูนํฯ อปเนตพฺพาภาเวน อนธิกํฯ อตฺถพฺยญฺชนาทิสมฺปตฺติยา สพฺพาการปริปุณฺณํฯ โน อญฺญถาติ ‘‘ตเถวา’’ติ วุตฺตเมวตฺถํ พฺยติเรเกน สมฺปาเทติฯ เตน ยทตฺถํ ภาสิตํ, เอกเนฺตน ตทตฺถนิปฺผาทนโต ยถา ภาสิตํ ภควตา, ตเถวาติ อวิปรีตเทสนตํ ทเสฺสติฯ คทอโตฺถติ เอเตน ตถํ คทตีติ ตถาคโตติ ท-การสฺส ต-กาโร กโต นิรุตฺตินเยนาติ ทเสฺสติฯ
Niddosatāya anupavajjaṃ. Pakkhipitabbābhāvena anūnaṃ. Apanetabbābhāvena anadhikaṃ. Atthabyañjanādisampattiyā sabbākāraparipuṇṇaṃ. No aññathāti ‘‘tathevā’’ti vuttamevatthaṃ byatirekena sampādeti. Tena yadatthaṃ bhāsitaṃ, ekantena tadatthanipphādanato yathā bhāsitaṃ bhagavatā, tathevāti aviparītadesanataṃ dasseti. Gadaatthoti etena tathaṃ gadatīti tathāgatoti da-kārassa ta-kāro kato niruttinayenāti dasseti.
ตถา คตมสฺสาติ ตถาคโตฯ คตนฺติ จ กายวาจาปวตฺตีติ อโตฺถฯ ตถาติ จ วุเตฺต ยํตํสทฺทานํ อพฺยภิจาริสมฺพนฺธิตาย ยถาติ อยมโตฺถ อุปฎฺฐิโตเยว โหติ, กายวจีกิริยานญฺจ อญฺญมญฺญานุโลเมน วจนิจฺฉายํ กายสฺส วาจา, วาจาย จ กาโย สมฺพนฺธีภาเวน อุปติฎฺฐตีติ อิมมตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ภควโต หี’’ติอาทิฯ อิมสฺมิํ ปน อเตฺถ ตถาวาทีตาย ตถาคโตติ อยมฺปิ อโตฺถ สิโทฺธ โหติฯ โส ปน ปุเพฺพ ปการนฺตเรน ทสฺสิโตติ อาห ‘‘เอวํ ตถาการิตาย ตถาคโต’’ติฯ
Tathā gatamassāti tathāgato. Gatanti ca kāyavācāpavattīti attho. Tathāti ca vutte yaṃtaṃsaddānaṃ abyabhicārisambandhitāya yathāti ayamattho upaṭṭhitoyeva hoti, kāyavacīkiriyānañca aññamaññānulomena vacanicchāyaṃ kāyassa vācā, vācāya ca kāyo sambandhībhāvena upatiṭṭhatīti imamatthaṃ dassento āha ‘‘bhagavato hī’’tiādi. Imasmiṃ pana atthe tathāvādītāya tathāgatoti ayampi attho siddho hoti. So pana pubbe pakārantarena dassitoti āha ‘‘evaṃ tathākāritāya tathāgato’’ti.
ติริยํ อปริมาณาสุ โลกธาตูสูติ เอเตน ยเทเก ‘‘ติริยํ วิย อุปริ อโธ จ สนฺติ โลกธาตุโย’’ติ วทนฺติ, ตํ ปฎิเสเธติฯ เทสนาวิลาโสเยว เทสนาวิลาสมโย ยถา ‘‘ปุญฺญมยํ, ทานมย’’นฺติอาทีสุฯ
Tiriyaṃ aparimāṇāsu lokadhātūsūti etena yadeke ‘‘tiriyaṃ viya upari adho ca santi lokadhātuyo’’ti vadanti, taṃ paṭisedheti. Desanāvilāsoyeva desanāvilāsamayo yathā ‘‘puññamayaṃ, dānamaya’’ntiādīsu.
นิปาตานํ วาจกสทฺทสนฺนิธาเน ตทตฺถโชตนภาเวน ปวตฺตนโต คต-สโทฺทเยว อวคตตฺถํ อตีตตฺถญฺจ วทตีติ อาห ‘‘คโตติ อวคโต อตีโต’’ติฯ
Nipātānaṃ vācakasaddasannidhāne tadatthajotanabhāvena pavattanato gata-saddoyeva avagatatthaṃ atītatthañca vadatīti āha ‘‘gatoti avagato atīto’’ti.
อถ วา อภินีหารโต ปฎฺฐาย ยาว สมฺมาสโมฺพธิ, เอตฺถนฺตเร มหาโพธิยานปฎิปตฺติยา หานฎฺฐานสํกิเลสนิวตฺตีนํ อภาวโต ยถา ปณิธานํ, ตถา คโต อภินีหารานุรูปํ ปฎิปโนฺนติ ตถาคโตฯ อถ วา มหิทฺธิกตาย ปฎิสมฺภิทานํ อุกฺกํสาธิคเมน อนาวรณญาณตาย จ กตฺถจิปิ ปฎิฆาตาภาวโต ยถา รุจิ, ตถา กายวจีจิตฺตานํ คตานิ คมนานิ ปวตฺติโย เอตสฺสาติ ตถาคโตฯ ยสฺมา จ โลเก วิธ-ยุตฺต-คต-ปฺปการ-สทฺทา สมานตฺถา ทิสฺสนฺติฯ ตสฺมา ยถาวิธา วิปสฺสีอาทโย ภควโนฺต, อยมฺปิ ภควา ตถาวิโธติ ตถาคโต , ยถายุตฺตา จ เต ภควโนฺต, อยมฺปิ ภควา ตถายุโตฺตติ ตถาคโตฯ อถ วา ยสฺมา สจฺจํ ตจฺฉํ ตถนฺติ ญาณเสฺสตํ อธิวจนํ, ตสฺมา ตเถน ญาเณน อาคโตติ ตถาคโตฯ เอวมฺปิ ตถาคต-สทฺทสฺส อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Atha vā abhinīhārato paṭṭhāya yāva sammāsambodhi, etthantare mahābodhiyānapaṭipattiyā hānaṭṭhānasaṃkilesanivattīnaṃ abhāvato yathā paṇidhānaṃ, tathā gato abhinīhārānurūpaṃ paṭipannoti tathāgato. Atha vā mahiddhikatāya paṭisambhidānaṃ ukkaṃsādhigamena anāvaraṇañāṇatāya ca katthacipi paṭighātābhāvato yathā ruci, tathā kāyavacīcittānaṃ gatāni gamanāni pavattiyo etassāti tathāgato. Yasmā ca loke vidha-yutta-gata-ppakāra-saddā samānatthā dissanti. Tasmā yathāvidhā vipassīādayo bhagavanto, ayampi bhagavā tathāvidhoti tathāgato, yathāyuttā ca te bhagavanto, ayampi bhagavā tathāyuttoti tathāgato. Atha vā yasmā saccaṃ tacchaṃ tathanti ñāṇassetaṃ adhivacanaṃ, tasmā tathena ñāṇena āgatoti tathāgato. Evampi tathāgata-saddassa attho veditabbo.
ปหาย กามาทิมเล ยถา คตา,
Pahāya kāmādimale yathā gatā,
สมาธิญาเณหิ วิปสฺสิอาทโย;
Samādhiñāṇehi vipassiādayo;
มเหสิโน สกฺยมุนี ชุตินฺธโร,
Mahesino sakyamunī jutindharo,
ตถา คโต เตน มโต ตถาคโตฯ
Tathā gato tena mato tathāgato.
ตถญฺจ ธาตายตนาทิลกฺขณํ,
Tathañca dhātāyatanādilakkhaṇaṃ,
สภาวสามญฺญวิภาคเภทโต;
Sabhāvasāmaññavibhāgabhedato;
สยมฺภุญาเณน ชิโน สมาคโต,
Sayambhuñāṇena jino samāgato,
ตถาคโต วุจฺจติ สกฺยปุงฺคโวฯ
Tathāgato vuccati sakyapuṅgavo.
ตถานิ สจฺจานิ สมนฺตจกฺขุนา,
Tathāni saccāni samantacakkhunā,
ตถา อิทปฺปจฺจยตา จ สพฺพโส;
Tathā idappaccayatā ca sabbaso;
อนญฺญเนเยฺยน ยโต วิภาวิตา,
Anaññaneyyena yato vibhāvitā,
ยาถาวโต เตน ชิโน ตถาคโตฯ
Yāthāvato tena jino tathāgato.
อเนกเภทาสุปิ โลกธาตุสุ,
Anekabhedāsupi lokadhātusu,
ชินสฺส รูปายตนาทิโคจเร;
Jinassa rūpāyatanādigocare;
วิจิตฺรเภทํ ตถเมว ทสฺสนํ,
Vicitrabhedaṃ tathameva dassanaṃ,
ตถาคโต เตน สมนฺตโลจโนฯ
Tathāgato tena samantalocano.
ยโต จ ธมฺมํ ตถเมว ภาสติ,
Yato ca dhammaṃ tathameva bhāsati,
กโรติ วาจายนุโลมมตฺตโน;
Karoti vācāyanulomamattano;
คุเณหิ โลกํ อภิภุยฺยิรียติ,
Guṇehi lokaṃ abhibhuyyirīyati,
ตถาคโต เตนปิ โลกนายโกฯ
Tathāgato tenapi lokanāyako.
ยถาภินีหารมโต ยถารุจิ,
Yathābhinīhāramato yathāruci,
ปวตฺตวาจา ตนุจิตฺตภาวโต;
Pavattavācā tanucittabhāvato;
ยถาวิธา เยน ปุรา มเหสิโน,
Yathāvidhā yena purā mahesino,
ตถาวิโธ เตน ชิโน ตถาคโตติฯ (อิติวุ. อฎฺฐ. ๓๘; ที. นิ. ฎี. ๑.๗ จูฬสีลวณฺณนา);
Tathāvidho tena jino tathāgatoti. (itivu. aṭṭha. 38; dī. ni. ṭī. 1.7 cūḷasīlavaṇṇanā);
อารกตฺตาติอาทีนํ ปทานํ อโตฺถ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๒๕) พุทฺธานุสฺสติสํวณฺณนาย วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ สมฺมา สามญฺจ สพฺพธมฺมานํ พุทฺธตฺตาติ อิมินาสฺส ปโรปเทสรหิตสฺส สพฺพากาเรน สพฺพธมฺมาวโพธนสมตฺถสฺส อากงฺขาปฎิพทฺธวุตฺติโน อนาวรณญาณสงฺขาตสฺส สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส อธิคโม ทสฺสิโตฯ
Ārakattātiādīnaṃ padānaṃ attho visuddhimagge (visuddhi. 1.125) buddhānussatisaṃvaṇṇanāya vuttanayeneva veditabbo. Sammā sāmañca sabbadhammānaṃ buddhattāti imināssa paropadesarahitassa sabbākārena sabbadhammāvabodhanasamatthassa ākaṅkhāpaṭibaddhavuttino anāvaraṇañāṇasaṅkhātassa sabbaññutaññāṇassa adhigamo dassito.
นนุ จ (อิติวุ. อฎฺฐ. ๓๘) สพฺพญฺญุตญฺญาณโต อญฺญํ อนาวรณญาณํ, อญฺญถา ฉ อสาธารณญาณานิ พุทฺธญาณานีติ วจนํ วิรุเชฺฌยฺยาติ? น วิรุชฺฌติ วิสยปฺปวตฺติเภทวเสน อเญฺญหิ อสาธารณญาณภาวทสฺสนตฺถํ เอกเสฺสว ญาณสฺส ทฺวิธา วุตฺตตฺตาฯ เอกเมว หิ ตํ ญาณํ อนวเสสสงฺขตาสงฺขตสมฺมุติธมฺมวิสยตาย สพฺพญฺญุตญฺญาณํ, ตตฺถ จ อาวรณาภาวโต นิสฺสงฺคจารมุปาทาย อนาวรณญาณนฺติ วุตฺตํฯ ยถาห ปฎิสมฺภิทายํ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๙) ‘‘สพฺพํ สงฺขตาสงฺขตมนวเสสํ ชานาตีติ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ, ตตฺถาวรณํ นตฺถีติ อนาวรณญาณ’’นฺติอาทิ, ตสฺมา นตฺถิ เนสํ อตฺถโต เภโท, เอกเนฺตน เจตํ เอวมิจฺฉิตพฺพํ, อญฺญถา สพฺพญฺญุตานาวรณญาณานํ สาวรณตา อสพฺพธมฺมารมฺมณตา จ อาปเชฺชยฺยฯ น หิ ภควโต ญาณสฺส อณุมตมฺปิ อาวรณํ อตฺถิ, อนาวรณญาณสฺส จ อสพฺพธมฺมารมฺมณภาเว ยตฺถ ตํ นปฺปวตฺตติ, ตตฺถาวรณสพฺภาวโต อนาวรณภาโวเยว น สิยาฯ อถ วา ปน โหตุ อญฺญเมว อนาวรณญาณํ สพฺพญฺญุตญฺญาณโต, อิธ ปน สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตวุตฺติตาย อนาวรณญาณนฺติ สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว อธิเปฺปตํ, ตสฺส จาธิคเมน ภควา สพฺพญฺญู สพฺพวิทู สมฺมาสมฺพุโทฺธติ จ วุจฺจติ, น สกิเมว สพฺพธมฺมาวโพธโตฯ ตถา จ วุตฺตํ ปฎิสมฺภิทายํ (ปฎิ. ม. ๑.๑๖๒) ‘‘วิโมกฺขนฺติกเมตํ พุทฺธานํ ภควนฺตานํ โพธิยา มูเล สห สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส ปฎิลาภา สจฺฉิกา ปญฺญตฺติ ยทิทํ พุโทฺธ’’ติฯ สพฺพธมฺมาวโพธนสมตฺถญาณสมธิคเมน หิ ภควโต สนฺตาเน อนวเสสธเมฺม ปฎิวิชฺฌิตุํ สมตฺถตา อโหสีติฯ
Nanu ca (itivu. aṭṭha. 38) sabbaññutaññāṇato aññaṃ anāvaraṇañāṇaṃ, aññathā cha asādhāraṇañāṇāni buddhañāṇānīti vacanaṃ virujjheyyāti? Na virujjhati visayappavattibhedavasena aññehi asādhāraṇañāṇabhāvadassanatthaṃ ekasseva ñāṇassa dvidhā vuttattā. Ekameva hi taṃ ñāṇaṃ anavasesasaṅkhatāsaṅkhatasammutidhammavisayatāya sabbaññutaññāṇaṃ, tattha ca āvaraṇābhāvato nissaṅgacāramupādāya anāvaraṇañāṇanti vuttaṃ. Yathāha paṭisambhidāyaṃ (paṭi. ma. 1.119) ‘‘sabbaṃ saṅkhatāsaṅkhatamanavasesaṃ jānātīti sabbaññutaññāṇaṃ, tatthāvaraṇaṃ natthīti anāvaraṇañāṇa’’ntiādi, tasmā natthi nesaṃ atthato bhedo, ekantena cetaṃ evamicchitabbaṃ, aññathā sabbaññutānāvaraṇañāṇānaṃ sāvaraṇatā asabbadhammārammaṇatā ca āpajjeyya. Na hi bhagavato ñāṇassa aṇumatampi āvaraṇaṃ atthi, anāvaraṇañāṇassa ca asabbadhammārammaṇabhāve yattha taṃ nappavattati, tatthāvaraṇasabbhāvato anāvaraṇabhāvoyeva na siyā. Atha vā pana hotu aññameva anāvaraṇañāṇaṃ sabbaññutaññāṇato, idha pana sabbattha appaṭihatavuttitāya anāvaraṇañāṇanti sabbaññutaññāṇameva adhippetaṃ, tassa cādhigamena bhagavā sabbaññū sabbavidū sammāsambuddhoti ca vuccati, na sakimeva sabbadhammāvabodhato. Tathā ca vuttaṃ paṭisambhidāyaṃ (paṭi. ma. 1.162) ‘‘vimokkhantikametaṃ buddhānaṃ bhagavantānaṃ bodhiyā mūle saha sabbaññutaññāṇassa paṭilābhā sacchikā paññatti yadidaṃ buddho’’ti. Sabbadhammāvabodhanasamatthañāṇasamadhigamena hi bhagavato santāne anavasesadhamme paṭivijjhituṃ samatthatā ahosīti.
เอตฺถาห – กิํ ปนิทํ ญาณํ ปวตฺตมานํ สกิํเยว สพฺพสฺมิํ วิสเย ปวตฺตติ, อุทาหุ กเมนาติฯ กิเญฺจตฺถ – ยทิ ตาว สกิํเยว สพฺพสฺมิํ วิสเย ปวตฺตติ, อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนอชฺฌตฺตพหิทฺธาทิเภเทน ภินฺนานํ สงฺขตธมฺมานํ อสงฺขตสมฺมุติธมฺมานญฺจ เอกชฺฌํ อุปฎฺฐาเน ทูรโต จิตฺตปฎํ อเวกฺขนฺตสฺส วิย ปฎิวิภาเคนาวโพโธ น สิยา, ตถา จ สติ ‘‘สเพฺพ ธมฺมา อนตฺตา’’ติ วิปสฺสนฺตานํ อนตฺตากาเรน วิย สเพฺพ ธมฺมา อนิรูปิตรูเปน ภควโต ญาณสฺส วิสยา โหนฺตีติ อาปชฺชติฯ เยปิ ‘‘สพฺพเญยฺยธมฺมานํ ฐิตลกฺขณวิสยํ วิกปฺปรหิตํ สพฺพกาลํ พุทฺธานํ ญาณํ ปวตฺตติ, เตน เต สพฺพวิทูติ วุจฺจนฺติฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘จรํ สมาหิโต นาโค, ติฎฺฐโนฺตปิ สมาหิโต’ติ อิทมฺปิ วจนํ สุวุตฺตํ โหตี’’ติ วทนฺติ, เตสมฺปิ วุตฺตโทสานติวตฺติฯ ฐิตลกฺขณารมฺมณตาย หิ อตีตานาคตสมฺมุติธมฺมานํ ตทภาวโต เอกเทสวิสยเมว ภควโต ญาณํ สิยา, ตสฺมา สกิํเยว ญาณํ ปวตฺตตีติ น ยุชฺชติฯ
Etthāha – kiṃ panidaṃ ñāṇaṃ pavattamānaṃ sakiṃyeva sabbasmiṃ visaye pavattati, udāhu kamenāti. Kiñcettha – yadi tāva sakiṃyeva sabbasmiṃ visaye pavattati, atītānāgatapaccuppannaajjhattabahiddhādibhedena bhinnānaṃ saṅkhatadhammānaṃ asaṅkhatasammutidhammānañca ekajjhaṃ upaṭṭhāne dūrato cittapaṭaṃ avekkhantassa viya paṭivibhāgenāvabodho na siyā, tathā ca sati ‘‘sabbe dhammā anattā’’ti vipassantānaṃ anattākārena viya sabbe dhammā anirūpitarūpena bhagavato ñāṇassa visayā hontīti āpajjati. Yepi ‘‘sabbañeyyadhammānaṃ ṭhitalakkhaṇavisayaṃ vikapparahitaṃ sabbakālaṃ buddhānaṃ ñāṇaṃ pavattati, tena te sabbavidūti vuccanti. Evañca katvā ‘caraṃ samāhito nāgo, tiṭṭhantopi samāhito’ti idampi vacanaṃ suvuttaṃ hotī’’ti vadanti, tesampi vuttadosānativatti. Ṭhitalakkhaṇārammaṇatāya hi atītānāgatasammutidhammānaṃ tadabhāvato ekadesavisayameva bhagavato ñāṇaṃ siyā, tasmā sakiṃyeva ñāṇaṃ pavattatīti na yujjati.
อถ กเมน สพฺพสฺมิํ วิสเย ญาณํ ปวตฺตติ, เอวมฺปิ น ยุชฺชติฯ น หิ ชาติภูมิสภาวาทิวเสน ทิสาเทสกาลาทิวเสน จ อเนกเภทภิเนฺน เนเยฺย กเมน คยฺหมาเน ตสฺส อนวเสสปฎิเวโธ สมฺภวติ อปริยนฺตภาวโต เญยฺยสฺสฯ เย ปน ‘‘อตฺถสฺส อวิสํวาทนโต เญยฺยสฺส เอกเทสํ ปจฺจกฺขํ กตฺวา เสเสปิ เอวนฺติ อธิมุจฺจิตฺวา ววตฺถาปเนน สพฺพญฺญู ภควา, ตญฺจ ญาณํ อนนุมานิกํ สํสยาภาวโตฯ สํสยานุพนฺธญฺหิ โลเก อนุมานญาณ’’นฺติ วทนฺติ, เตสมฺปิ ตํ น ยุตฺตํฯ สพฺพสฺส หิ อปฺปจฺจกฺขภาเว อตฺถสฺส อวิสํวาทเนน เญยฺยสฺส เอกเทสํ ปจฺจกฺขํ กตฺวา เสเสปิ เอวนฺติ อธิมุจฺจิตฺวา ววตฺถาปนสฺส อสมฺภวโตฯ ยญฺหิ ตํ เสสํ, ตํ อปฺปจฺจกฺขนฺติฯ อถ ตมฺปิ ปจฺจกฺขํ, ตสฺส เสสภาโว เอว น สิยาติ? สพฺพเมตํ อการณํฯ กสฺมา? อวิสยวิจารณภาวโตฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา ‘‘พุทฺธวิสโย ภิกฺขเว, อจิเนฺตโยฺย น จิเนฺตตโพฺพ, โย จิเนฺตยฺย, อุมฺมาทสฺส วิฆาตสฺส ภาคี อสฺสา’’ติ (อ. นิ. ๔.๗๗)ฯ อิทํ ปเนตฺถ สนฺนิฎฺฐานํ – ยํ กิญฺจิ ภควตา ญาตุํ อิจฺฉิตํ สกลเมกเทโส วา, ตตฺถ อปฺปฎิหตวุตฺติตาย ปจฺจกฺขโต ญาณํ ปวตฺตติ, นิจฺจสมาธานญฺจ วิเกฺขปาภาวโต, ญาตุํ อิจฺฉิตสฺส จ สกลสฺส อวิสยภาเว ตสฺส อากงฺขาปฎิพทฺธวุตฺติตา น สิยา, เอกเนฺตเนว จ สา อิจฺฉิตพฺพา ‘‘สเพฺพ ธมฺมา พุทฺธสฺส ภควโต อาวชฺชนปฎิพทฺธา อากงฺขปฎิพทฺธา มนสิการปฎิพทฺธา จิตฺตุปฺปาทปฎิพทฺธา’’ติ (มหานิ. ๖๙, ๑๕๖; จูฬนิ. ๘๕; ปฎิ. ม. ๓.๕) วจนโตฯ อตีตานาคตวิสยมฺปิ ภควโต ญาณํ อนุมานาคมตกฺกคหณวิรหิตตฺตา ปจฺจกฺขเมวฯ
Atha kamena sabbasmiṃ visaye ñāṇaṃ pavattati, evampi na yujjati. Na hi jātibhūmisabhāvādivasena disādesakālādivasena ca anekabhedabhinne neyye kamena gayhamāne tassa anavasesapaṭivedho sambhavati apariyantabhāvato ñeyyassa. Ye pana ‘‘atthassa avisaṃvādanato ñeyyassa ekadesaṃ paccakkhaṃ katvā sesepi evanti adhimuccitvā vavatthāpanena sabbaññū bhagavā, tañca ñāṇaṃ ananumānikaṃ saṃsayābhāvato. Saṃsayānubandhañhi loke anumānañāṇa’’nti vadanti, tesampi taṃ na yuttaṃ. Sabbassa hi appaccakkhabhāve atthassa avisaṃvādanena ñeyyassa ekadesaṃ paccakkhaṃ katvā sesepi evanti adhimuccitvā vavatthāpanassa asambhavato. Yañhi taṃ sesaṃ, taṃ appaccakkhanti. Atha tampi paccakkhaṃ, tassa sesabhāvo eva na siyāti? Sabbametaṃ akāraṇaṃ. Kasmā? Avisayavicāraṇabhāvato. Vuttañhetaṃ bhagavatā ‘‘buddhavisayo bhikkhave, acinteyyo na cintetabbo, yo cinteyya, ummādassa vighātassa bhāgī assā’’ti (a. ni. 4.77). Idaṃ panettha sanniṭṭhānaṃ – yaṃ kiñci bhagavatā ñātuṃ icchitaṃ sakalamekadeso vā, tattha appaṭihatavuttitāya paccakkhato ñāṇaṃ pavattati, niccasamādhānañca vikkhepābhāvato, ñātuṃ icchitassa ca sakalassa avisayabhāve tassa ākaṅkhāpaṭibaddhavuttitā na siyā, ekanteneva ca sā icchitabbā ‘‘sabbe dhammā buddhassa bhagavato āvajjanapaṭibaddhā ākaṅkhapaṭibaddhā manasikārapaṭibaddhā cittuppādapaṭibaddhā’’ti (mahāni. 69, 156; cūḷani. 85; paṭi. ma. 3.5) vacanato. Atītānāgatavisayampi bhagavato ñāṇaṃ anumānāgamatakkagahaṇavirahitattā paccakkhameva.
นนุ จ เอตสฺมิมฺปิ ปเกฺข ยทา สกลํ ญาตุํ อิจฺฉิตํ, ตทา สกิํเยว สกลวิสยตาย อนิรูปิตรูเปน ภควโต ญาณํ ปวเตฺตยฺยาติ วุตฺตโทสานติวตฺติเยวาติ? น, ตสฺส วิโสธิตตฺตาฯ วิโสธิโต หิ โส พุทฺธวิสโย อจิเนฺตโยฺยติฯ อญฺญถา ปจุรชนญาณสมานวุตฺติตาย พุทฺธานํ ภควนฺตานํ ญาณสฺส อจิเนฺตยฺยตา น สิยา, ตสฺมา สกลธมฺมารมฺมณมฺปิ ตํ เอกธมฺมารมฺมณํ วิย สุววตฺถาปิเตเยว เต ธเมฺม กตฺวา ปวตฺตตีติ อิทเมตฺถ อจิเนฺตยฺยํ, อนนฺตญฺจ ญาณํ เญยฺยํ วิยฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ยาวตกํ เญยฺยํ, ตาวตกํ ญาณํฯ ยาวตกํ ญาณํ, ตาวตกํ เญยฺยํฯ เญยฺยปริยนฺติกํ ญาณํ, ญาณปริยนฺติกํ เญยฺย’’นฺติ (มหานิ. ๖๙, ๑๕๖; จูฬนิ. ๘๕; ปฎิ. ม. ๓.๕)ฯ เอวเมกชฺฌํ, วิสุํ สกิํ, กเมน วา อิจฺฉานุรูปํ สมฺมา สามญฺจ สพฺพธมฺมานํ พุทฺธตฺตา สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ
Nanu ca etasmimpi pakkhe yadā sakalaṃ ñātuṃ icchitaṃ, tadā sakiṃyeva sakalavisayatāya anirūpitarūpena bhagavato ñāṇaṃ pavatteyyāti vuttadosānativattiyevāti? Na, tassa visodhitattā. Visodhito hi so buddhavisayo acinteyyoti. Aññathā pacurajanañāṇasamānavuttitāya buddhānaṃ bhagavantānaṃ ñāṇassa acinteyyatā na siyā, tasmā sakaladhammārammaṇampi taṃ ekadhammārammaṇaṃ viya suvavatthāpiteyeva te dhamme katvā pavattatīti idamettha acinteyyaṃ, anantañca ñāṇaṃ ñeyyaṃ viya. Vuttañhetaṃ ‘‘yāvatakaṃ ñeyyaṃ, tāvatakaṃ ñāṇaṃ. Yāvatakaṃ ñāṇaṃ, tāvatakaṃ ñeyyaṃ. Ñeyyapariyantikaṃ ñāṇaṃ, ñāṇapariyantikaṃ ñeyya’’nti (mahāni. 69, 156; cūḷani. 85; paṭi. ma. 3.5). Evamekajjhaṃ, visuṃ sakiṃ, kamena vā icchānurūpaṃ sammā sāmañca sabbadhammānaṃ buddhattā sammāsambuddho.
ตนฺติ ยถาวุตฺตํ ปถวีอาทิเภทํฯ ปริญฺญาตนฺติ ปริโต สมนฺตโต สพฺพาการโต ญาตํ, ตํ ปริชานิตพฺพภาวํ กิญฺจิ อเสเสตฺวา ญาตนฺติ อโตฺถฯ อยเมว หิ อโตฺถ ‘‘ปริญฺญาตนฺต’’นฺติ อิมินาปิ ปเทน ปกาสิโตติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปริญฺญาตนฺตํ นามา’’ติอาทิมาหฯ เตน เตน มเคฺคน กิเลสปฺปหาเนน วิเสโส นตฺถีติ อิทํ ตํตํมคฺควชฺฌกิเลสานํ พุทฺธานํ สาวกานญฺจ เตน เตน มเคฺคเนว ปหาตพฺพภาวสามญฺญํ สนฺธาย วุตฺตํ, น สาวเกหิ พุทฺธานํ กิเลสปฺปหานวิเสสาภาวโตฯ ตถา หิ สมฺมาสมฺพุทฺธา เอว สวาสนกิเลเส ชหนฺติ, น สาวกาฯ เอกเทสเมวาติ อตฺตโน สนฺตานคตเมวฯ สสนฺตติปริยาปนฺนธมฺมปริญฺญามเตฺตนปิ หิ จตุสจฺจกมฺมฎฺฐานภาวนา สมิชฺฌติฯ เตเนวาห – ‘‘อิมสฺมิํเยว พฺยามมเตฺต กเฬวเร สสญฺญิมฺหิ สมนเก โลกญฺจ ปญฺญเปมิ โลกสมุทยญฺจ ปญฺญเปมี’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๑.๑๐๗; อ. นิ. ๔.๔๕)ฯ อณุปฺปมาณมฺปิ …เป.… นตฺถิ, ยโต ฉตฺติํสโกฎิสตสหสฺสมุเขน พุทฺธานํ มหาวชิรญาณํ ปวตฺตตีติ วทนฺติฯ
Tanti yathāvuttaṃ pathavīādibhedaṃ. Pariññātanti parito samantato sabbākārato ñātaṃ, taṃ parijānitabbabhāvaṃ kiñci asesetvā ñātanti attho. Ayameva hi attho ‘‘pariññātanta’’nti imināpi padena pakāsitoti dassento ‘‘pariññātantaṃ nāmā’’tiādimāha. Tena tena maggena kilesappahānena viseso natthīti idaṃ taṃtaṃmaggavajjhakilesānaṃ buddhānaṃ sāvakānañca tena tena maggeneva pahātabbabhāvasāmaññaṃ sandhāya vuttaṃ, na sāvakehi buddhānaṃ kilesappahānavisesābhāvato. Tathā hi sammāsambuddhā eva savāsanakilese jahanti, na sāvakā. Ekadesamevāti attano santānagatameva. Sasantatipariyāpannadhammapariññāmattenapi hi catusaccakammaṭṭhānabhāvanā samijjhati. Tenevāha – ‘‘imasmiṃyeva byāmamatte kaḷevare sasaññimhi samanake lokañca paññapemi lokasamudayañca paññapemī’’tiādi (saṃ. ni. 1.107; a. ni. 4.45). Aṇuppamāṇampi…pe… natthi, yato chattiṃsakoṭisatasahassamukhena buddhānaṃ mahāvajirañāṇaṃ pavattatīti vadanti.
ตถาคตวารสตฺตมนยวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Tathāgatavārasattamanayavaṇṇanā niṭṭhitā.
ตถาคตวารอฎฺฐมนยวณฺณนา
Tathāgatavāraaṭṭhamanayavaṇṇanā
๑๓. ปุริมตณฺหาติ ปุริมตเรสุ ภเวสุ นิพฺพตฺตา ปจฺจุปฺปนฺนตฺตภาวเหตุภูตา ตณฺหาฯ ตคฺคหเณเนว จ อตีตทฺธสงฺคหา อวิชฺชาสงฺขารา สทฺธิํ อุปาทาเนน สงฺคหิตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ เอตฺถาติ ‘‘ภวา ชาตี’’ติ เอตสฺมิํ ปเทฯ เตน อุปปตฺติภเวนาติ ‘‘ภวา ชาตี’’ติ ชาติสีเสน วุตฺตอุปปตฺติภเวนฯ ภูตสฺสาติ นิพฺพตฺตสฺสฯ โส ปน ยสฺมา สโตฺต นาม โหติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘สตฺตสฺสา’’ติฯ เอวญฺจ ชานิตฺวาติ อิมินา ‘‘ภูตสฺส ชรามรณ’’นฺติ เอตฺถาปิ ‘‘อิติ วิทิตฺวา’’ติ อิทํ ปทํ อาเนตฺวา โยเชตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ
13.Purimataṇhāti purimataresu bhavesu nibbattā paccuppannattabhāvahetubhūtā taṇhā. Taggahaṇeneva ca atītaddhasaṅgahā avijjāsaṅkhārā saddhiṃ upādānena saṅgahitāti daṭṭhabbā. Etthāti ‘‘bhavā jātī’’ti etasmiṃ pade. Tena upapattibhavenāti ‘‘bhavā jātī’’ti jātisīsena vuttaupapattibhavena. Bhūtassāti nibbattassa. So pana yasmā satto nāma hoti, tasmā vuttaṃ ‘‘sattassā’’ti. Evañca jānitvāti iminā ‘‘bhūtassa jarāmaraṇa’’nti etthāpi ‘‘iti viditvā’’ti idaṃ padaṃ ānetvā yojetabbanti dasseti.
ยทิปิ เตภูมกา อุปาทานกฺขนฺธา ‘‘ยํ กิญฺจิ รูป’’นฺติอาทินา (วิภ. ๒; ม. นิ. ๑.๒๔๔) เอกาทสสุ โอกาเสสุ ปกฺขิปิตพฺพา สมฺมสิตพฺพา จ, เต ปน ยสฺมา ภควตา ‘‘กิมฺหิ นุ โข สติ ชรามรณํ โหติ, กิํปจฺจยา ชรามรณ’’นฺติอาทินา (ที. นิ. ๒.๕๗; สํ. นิ. ๒.๔, ๑๐) ปฎิจฺจสมุปฺปาทมุเขน สมฺมสิตา, ปฎิจฺจสมุปฺปาโท จ ปวตฺติปวตฺติเหตุภาวโต ปุริมสจฺจทฺวยเมว โหติ, ตสฺมา ตทภิสมยํ ‘‘มญฺญนาภาวเหตุ ปจฺจยาการปฎิเวโธ’’ติ วิภาเวโนฺต ‘‘ยํ โพธิรุกฺขมูเล…เป.… ทเสฺสโนฺต’’ติ อาหฯ สํขิปฺปนฺติ เอตฺถ อวิชฺชาทโย วิญฺญาณาทโย จาติ สเงฺขปา, อตีเต เหตุอาทโย ‘‘เหตุ, ผล’’นฺติ เอวํ สํขิปฺปนฺตีติ วา สเงฺขปา, อวิชฺชาทโย วิญฺญาณาทโย จฯ สเงฺขป-สโทฺท ภาคาธิวจนนฺติ ทฎฺฐโพฺพฯ เตนาห ‘‘โกฎฺฐาสาติ อโตฺถ’’ติฯ เต ปน อตีเต เหตุสเงฺขโป, เอตรหิ ผลสเงฺขโป, เอตรหิ เหตุสเงฺขโป, อายติํ ผลสเงฺขโปติ จตฺตาโร สเงฺขปา เอตสฺสาติ จตุสเงฺขโป, ตํ จตุสเงฺขปํฯ เหตุผลสนฺธิ, ผลเหตุสนฺธิ, ปุน เหตุผลสนฺธีติ เอวํ ตโย สนฺธี เอตสฺสาติ ติสนฺธิ, ตํ ติสนฺธิํฯ อตีตปจฺจุปฺปนฺนานาคตเภทา ตโย อทฺธา เอตสฺสาติ ติยโทฺธ, ตํ ติยทฺธํฯ สรูปโต อวุตฺตาปิ ตสฺมิํ ตสฺมิํ สเงฺขเป อากิรียนฺติ อวิชฺชาสงฺขาราทิคฺคหเณหิ ปกาสียนฺตีติ อาการา, อตีตเหตุอาทีนํ วา ปการา อาการา, เต เอเกกสเงฺขเป ปญฺจ ปญฺจ กตฺวา วีสติ อาการา เอตสฺสาติ วีสตากาโร, ตํ วีสตาการํฯ
Yadipi tebhūmakā upādānakkhandhā ‘‘yaṃ kiñci rūpa’’ntiādinā (vibha. 2; ma. ni. 1.244) ekādasasu okāsesu pakkhipitabbā sammasitabbā ca, te pana yasmā bhagavatā ‘‘kimhi nu kho sati jarāmaraṇaṃ hoti, kiṃpaccayā jarāmaraṇa’’ntiādinā (dī. ni. 2.57; saṃ. ni. 2.4, 10) paṭiccasamuppādamukhena sammasitā, paṭiccasamuppādo ca pavattipavattihetubhāvato purimasaccadvayameva hoti, tasmā tadabhisamayaṃ ‘‘maññanābhāvahetu paccayākārapaṭivedho’’ti vibhāvento ‘‘yaṃ bodhirukkhamūle…pe… dassento’’ti āha. Saṃkhippanti ettha avijjādayo viññāṇādayo cāti saṅkhepā, atīte hetuādayo ‘‘hetu, phala’’nti evaṃ saṃkhippantīti vā saṅkhepā, avijjādayo viññāṇādayo ca. Saṅkhepa-saddo bhāgādhivacananti daṭṭhabbo. Tenāha ‘‘koṭṭhāsāti attho’’ti. Te pana atīte hetusaṅkhepo, etarahi phalasaṅkhepo, etarahi hetusaṅkhepo, āyatiṃ phalasaṅkhepoti cattāro saṅkhepā etassāti catusaṅkhepo, taṃ catusaṅkhepaṃ. Hetuphalasandhi, phalahetusandhi, puna hetuphalasandhīti evaṃ tayo sandhī etassāti tisandhi, taṃ tisandhiṃ. Atītapaccuppannānāgatabhedā tayo addhā etassāti tiyaddho, taṃ tiyaddhaṃ. Sarūpato avuttāpi tasmiṃ tasmiṃ saṅkhepe ākirīyanti avijjāsaṅkhārādiggahaṇehi pakāsīyantīti ākārā, atītahetuādīnaṃ vā pakārā ākārā, te ekekasaṅkhepe pañca pañca katvā vīsati ākārā etassāti vīsatākāro, taṃ vīsatākāraṃ.
เอส สโพฺพติ เอส จตุสเงฺขปาทิปเภโท อนวเสโส ปจฺจโยฯ ปจฺจยลกฺขเณนาติ ปจฺจยภาเวน อตฺตโน ผลสฺส ปฎิสนฺธิวิญฺญาณสฺส ปจฺจยภาเวน, อวินาภาวลกฺขเณนาติ อโตฺถฯ ยถา หิ ตณฺหํ วินา อวิชฺชาทโย วิญฺญาณสฺส ปจฺจยา น โหนฺติ, เอวํ ตณฺหาปิ อวิชฺชาทิเก วินาติฯ เอตฺถ ทุกฺขคฺคหเณน วิญฺญาณนามรูปสฬายตนผสฺสเวทนานํ, ภวคฺคหเณน จ ตณฺหาสงฺขารุปาทานานํ คหิตตา วุตฺตนยา เอวาติ น อุทฺธฎาฯ
Esasabboti esa catusaṅkhepādipabhedo anavaseso paccayo. Paccayalakkhaṇenāti paccayabhāvena attano phalassa paṭisandhiviññāṇassa paccayabhāvena, avinābhāvalakkhaṇenāti attho. Yathā hi taṇhaṃ vinā avijjādayo viññāṇassa paccayā na honti, evaṃ taṇhāpi avijjādike vināti. Ettha dukkhaggahaṇena viññāṇanāmarūpasaḷāyatanaphassavedanānaṃ, bhavaggahaṇena ca taṇhāsaṅkhārupādānānaṃ gahitatā vuttanayā evāti na uddhaṭā.
อิทานิ เต วีสติ อากาเร ปฎิสมฺภิทามคฺคปาฬิยา วิภาเวตุํ ‘‘เอวเมเต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ (ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๑.๔๗) ปุริมกมฺมภวสฺมินฺติ ปุริเม กมฺมภเว, อตีตชาติยํ กมฺมภเว กยิรมาเนติ อโตฺถฯ โมโห อวิชฺชาติ โย ตทา ทุกฺขาทีสุ โมโห, เยน มูโฬฺห กมฺมํ กโรติ, สา อวิชฺชาฯ อายูหนา สงฺขาราติ ตํ ตํ กมฺมํ กโรโนฺต ทานุปกรณาทิ สชฺชนาทิวเสน ยา ปุริมเจตนาโย, เต สงฺขาราฯ ปฎิคฺคาหกานํ ปน หเตฺถ เทยฺยธมฺมํ ปติฎฺฐาปยโต เจตนา ภโวฯ เอกาวชฺชนชวเนสุ วา ปุริมา เจตนา อายูหนา สงฺขารา, สตฺตมา ภโวฯ ยา กาจิ วา ปน เจตนา ภโว, สมฺปยุตฺตา อายูหนา สงฺขาราฯ นิกนฺติ ตณฺหาติ ยํ กมฺมํ กโรนฺตสฺส อุปปตฺติภเว ตสฺส ผลสฺส นิกามนา ปตฺถนา, สา ตณฺหา นามฯ อุปคมนํ อุปาทานนฺติ ยํ กมฺมภวสฺส ปจฺจยภูตํ ‘‘อิทํ กมฺมํ กตฺวา อสุกสฺมิํ นาม ฐาเน กาเม เสวิสฺสามิ อุจฺฉิชฺชิสฺสามี’’ติอาทินา นเยน ปวตฺตํ อุปคมนํ คหณํ ปรามสนํ, อิทํ อุปาทานํ นามฯ เจตนา ภโวติ ทฺวีสุ อตฺถวิกเปฺปสุ วุตฺตสฺส อายูหนสฺส อวสาเน วุตฺตเจตนา, ตติเย ปน อายูหนสมฺปยุตฺตเจตนา ภโวฯ อิติ อิเม ปญฺจ ธมฺมา ปุริมกมฺมภวสฺมิํ อิธ ปฎิสนฺธิยา ปจฺจยาติ อิเม ยถาวุตฺตา โมหาทโย ปญฺจ ธมฺมา อตีตกมฺมภวสิทฺธา เอตรหิ ปฎิสนฺธิยา ปจฺจยภูตาติ อโตฺถฯ
Idāni te vīsati ākāre paṭisambhidāmaggapāḷiyā vibhāvetuṃ ‘‘evamete’’tiādi vuttaṃ. Tattha (paṭi. ma. aṭṭha. 1.47) purimakammabhavasminti purime kammabhave, atītajātiyaṃ kammabhave kayiramāneti attho. Moho avijjāti yo tadā dukkhādīsu moho, yena mūḷho kammaṃ karoti, sā avijjā. Āyūhanā saṅkhārāti taṃ taṃ kammaṃ karonto dānupakaraṇādi sajjanādivasena yā purimacetanāyo, te saṅkhārā. Paṭiggāhakānaṃ pana hatthe deyyadhammaṃ patiṭṭhāpayato cetanā bhavo. Ekāvajjanajavanesu vā purimā cetanā āyūhanā saṅkhārā, sattamā bhavo. Yā kāci vā pana cetanā bhavo, sampayuttā āyūhanā saṅkhārā. Nikanti taṇhāti yaṃ kammaṃ karontassa upapattibhave tassa phalassa nikāmanā patthanā, sā taṇhā nāma. Upagamanaṃ upādānanti yaṃ kammabhavassa paccayabhūtaṃ ‘‘idaṃ kammaṃ katvā asukasmiṃ nāma ṭhāne kāme sevissāmi ucchijjissāmī’’tiādinā nayena pavattaṃ upagamanaṃ gahaṇaṃ parāmasanaṃ, idaṃ upādānaṃ nāma. Cetanā bhavoti dvīsu atthavikappesu vuttassa āyūhanassa avasāne vuttacetanā, tatiye pana āyūhanasampayuttacetanā bhavo. Iti ime pañca dhammā purimakammabhavasmiṃ idha paṭisandhiyā paccayāti ime yathāvuttā mohādayo pañca dhammā atītakammabhavasiddhā etarahi paṭisandhiyā paccayabhūtāti attho.
อิธ ปฎิสนฺธิวิญฺญาณนฺติ ยํ ภวนฺตรปฎิสนฺธานวเสน อุปฺปนฺนตฺตา ปฎิสนฺธีติ วุจฺจติ, ตํ วิญฺญาณํฯ โอกฺกนฺติ นามรูปนฺติ ยา คเพฺภ รูปารูปธมฺมานํ โอกฺกนฺติ อาคนฺตฺวา ปวิสนฺตี วิย, อิทํ นามรูปํฯ ปสาโท อายตนนฺติ อิทํ จกฺขาทิปญฺจายตนวเสน วุตฺตํฯ ผุโฎฺฐ ผโสฺสติ โย อารมฺมณํ ผุโฎฺฐ ผุสโนฺต อุปฺปโนฺน, อยํ ผโสฺสฯ เวทยิตํ เวทนาติ ยํ ปฎิสนฺธิวิญฺญาเณน วา สฬายตนปจฺจเยน วา ผเสฺสน สหุปฺปนฺนํ วิปากเวทยิตํ, สา เวทนาฯ อิติ อิเม…เป.… ปจฺจยาติ อิเม วิญฺญาณาทโย ปญฺจ โกฎฺฐาสิกา ธมฺมา ปุริมภเว กตสฺส กมฺมสฺส กมฺมวฎฺฎสฺส ปจฺจยา, ปจฺจยภาวโต ตํ ปฎิจฺจ อิธ เอตรหิ อุปปตฺติภวสฺมิํ อุปปตฺติภวภาเวน วา โหนฺตีติ อโตฺถฯ
Idha paṭisandhiviññāṇanti yaṃ bhavantarapaṭisandhānavasena uppannattā paṭisandhīti vuccati, taṃ viññāṇaṃ. Okkanti nāmarūpanti yā gabbhe rūpārūpadhammānaṃ okkanti āgantvā pavisantī viya, idaṃ nāmarūpaṃ. Pasādo āyatananti idaṃ cakkhādipañcāyatanavasena vuttaṃ. Phuṭṭho phassoti yo ārammaṇaṃ phuṭṭho phusanto uppanno, ayaṃ phasso. Vedayitaṃvedanāti yaṃ paṭisandhiviññāṇena vā saḷāyatanapaccayena vā phassena sahuppannaṃ vipākavedayitaṃ, sā vedanā. Iti ime…pe… paccayāti ime viññāṇādayo pañca koṭṭhāsikā dhammā purimabhave katassa kammassa kammavaṭṭassa paccayā, paccayabhāvato taṃ paṭicca idha etarahi upapattibhavasmiṃ upapattibhavabhāvena vā hontīti attho.
อิธ ปริปกฺกตฺตา อายตนานํ โมโหติ ปริปกฺกายตนสฺส กมฺมกรณกาเล อสโมฺมหํ ทเสฺสติฯ ทหรสฺส หิ จิตฺตปฺปวตฺติ ภวงฺคพหุลา เยภุเยฺยน ภวนฺตรชนกกมฺมายูหนสมตฺถา น โหตีติฯ กมฺมกรณกาเลติ จ อิมินา สโพฺพ กมฺมสฺส ปจฺจยภูโต สโมฺมโห คหิโต, น สมฺปยุโตฺตวฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ
Idhaparipakkattā āyatanānaṃ mohoti paripakkāyatanassa kammakaraṇakāle asammohaṃ dasseti. Daharassa hi cittappavatti bhavaṅgabahulā yebhuyyena bhavantarajanakakammāyūhanasamatthā na hotīti. Kammakaraṇakāleti ca iminā sabbo kammassa paccayabhūto sammoho gahito, na sampayuttova. Sesaṃ vuttanayameva.
ปทโยชนายาติ ‘‘ตสฺมา’’ติอาทีนํ ปทานํ สมฺพเนฺธน สหฯ อตฺถนิคมนนฺติ อิมสฺมิํ อฎฺฐมวาเร เทสนตฺถนิคมนํฯ นนฺทีติ เอวํ วุตฺตานํ สพฺพตณฺหานนฺติ ‘‘นนฺที ทุกฺขสฺส มูล’’นฺติ เอวํ นนฺทนตฺถสามญฺญโต เอกวจเนน วุตฺตานํ สพฺพตณฺหานํ สนฺตานารมฺมณสมฺปยุตฺตธมฺมปฺปวตฺติอาการาทิเภเทน อเนกเภทานํ สพฺพาสํ ตณฺหานํฯ ขยเววจนาเนวาติ สมุเจฺฉทปหานเววจนาเนวฯ ‘‘อจฺจนฺตกฺขยา’’ติ หิ วุตฺตํฯ จตุมคฺคกิจฺจสาธารณเมตนฺติ จตุนฺนํ อริยมคฺคานํ ปหานกิจฺจสฺส สาธารณํ สามญฺญโต คหณํ เอตํ ขยาทิวจนนฺติ อโตฺถฯ เตสํ ปน มคฺคานํ กเมน ปวตฺตนํ กิจฺจกเมเนว ทเสฺสตุํ ‘‘วิราคา’’ติอาทิ วุตฺตนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตโต…เป.… โยเชตพฺพ’’นฺติ อาหฯ ตถา สติปิ ขยาทิสทฺทานํ ปหานปริยายภาเว ปหาตพฺพาย ปน วิสยเภทภินฺนาย ตณฺหาย อนวเสสโต ปหีนภาวทีปนตฺถํ ขยาทิปริยายนฺตรคฺคหณํ กตนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยาหี’’ติอาทิมาหฯ ยถาวุตฺตสญฺชนนาทิเหตุภูตาย ตณฺหาย ปหีนตฺตา ตปฺปหานทีปนํ กตฺวา วุจฺจมานํ ขยาทิวจนํ น กถญฺจิ ธมฺมตํ วิโลเมตีติ วุตฺตํ ‘‘น กิญฺจิ วิรุชฺฌตี’’ติฯ
Padayojanāyāti ‘‘tasmā’’tiādīnaṃ padānaṃ sambandhena saha. Atthanigamananti imasmiṃ aṭṭhamavāre desanatthanigamanaṃ. Nandīti evaṃ vuttānaṃ sabbataṇhānanti ‘‘nandī dukkhassa mūla’’nti evaṃ nandanatthasāmaññato ekavacanena vuttānaṃ sabbataṇhānaṃ santānārammaṇasampayuttadhammappavattiākārādibhedena anekabhedānaṃ sabbāsaṃ taṇhānaṃ. Khayavevacanānevāti samucchedapahānavevacanāneva. ‘‘Accantakkhayā’’ti hi vuttaṃ. Catumaggakiccasādhāraṇametanti catunnaṃ ariyamaggānaṃ pahānakiccassa sādhāraṇaṃ sāmaññato gahaṇaṃ etaṃ khayādivacananti attho. Tesaṃ pana maggānaṃ kamena pavattanaṃ kiccakameneva dassetuṃ ‘‘virāgā’’tiādi vuttanti dassento ‘‘tato…pe… yojetabba’’nti āha. Tathā satipi khayādisaddānaṃ pahānapariyāyabhāve pahātabbāya pana visayabhedabhinnāya taṇhāya anavasesato pahīnabhāvadīpanatthaṃ khayādipariyāyantaraggahaṇaṃ katanti dassento ‘‘yāhī’’tiādimāha. Yathāvuttasañjananādihetubhūtāya taṇhāya pahīnattā tappahānadīpanaṃ katvā vuccamānaṃ khayādivacanaṃ na kathañci dhammataṃ vilometīti vuttaṃ ‘‘na kiñci virujjhatī’’ti.
อุตฺตรวิรหิตนฺติ อตฺตานํ อุตฺตริตุํ สมตฺถตฺตา อุตฺตเรน อธิเกน วิรหิตํฯ อยญฺจสฺส อุตฺตรวิรหตา อตฺตโน เสฎฺฐภาเวนาติ อาห ‘‘สพฺพเสฎฺฐ’’นฺติฯ ยถา สมฺมา-สํ-สทฺทา ‘‘อวิปรีตํ, สาม’’นฺติ อิเมสํ ปทานํ อตฺถํ วทนฺติ, เอวํ ปาสํสโสภนเตฺถปีติ อาห ‘‘สมฺมา สามญฺจ โพธิํ ปสตฺถํ สุนฺทรญฺจ โพธิ’’นฺติฯ พุชฺฌิ เอตฺถ ปฎิวิชฺฌิ จตฺตาริ อริยสจฺจานิ, สพฺพมฺปิ วา เนยฺยนฺติ รุโกฺข โพธิ, พุชฺฌติ เอเตนาติ ปน มโคฺค โพธิ, ตถา สพฺพญฺญุตญฺญาณํ, นิพฺพานํ ปน พุชฺฌิตพฺพโต โพธีติ อยเมตฺถ สาธนวิภาโค ทฎฺฐโพฺพฯ ปณฺณตฺติยมฺปิ อเตฺถว โพธิ-สโทฺท ‘‘โพธิราชกุมาโร’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๓๒๔; จูฬว. ๒๖๘)ฯ อปเรติ สารสมาสาจริยาฯ เอตฺถ จ สอุปสคฺคสฺส โพธิ-สทฺทสฺส อตฺถุทฺธาเร อนุปสคฺคานํ อุทาหรเณ การณํ เหฎฺฐา วุตฺตเมวฯ
Uttaravirahitanti attānaṃ uttarituṃ samatthattā uttarena adhikena virahitaṃ. Ayañcassa uttaravirahatā attano seṭṭhabhāvenāti āha ‘‘sabbaseṭṭha’’nti. Yathā sammā-saṃ-saddā ‘‘aviparītaṃ, sāma’’nti imesaṃ padānaṃ atthaṃ vadanti, evaṃ pāsaṃsasobhanatthepīti āha ‘‘sammā sāmañca bodhiṃ pasatthaṃ sundarañca bodhi’’nti. Bujjhi ettha paṭivijjhi cattāri ariyasaccāni, sabbampi vā neyyanti rukkho bodhi, bujjhati etenāti pana maggo bodhi, tathā sabbaññutaññāṇaṃ, nibbānaṃ pana bujjhitabbato bodhīti ayamettha sādhanavibhāgo daṭṭhabbo. Paṇṇattiyampi attheva bodhi-saddo ‘‘bodhirājakumāro’’tiādīsu (ma. ni. 2.324; cūḷava. 268). Apareti sārasamāsācariyā. Ettha ca saupasaggassa bodhi-saddassa atthuddhāre anupasaggānaṃ udāharaṇe kāraṇaṃ heṭṭhā vuttameva.
โลกุตฺตรภาวโต วา ตตฺถาปิ เหฎฺฐิมมคฺคานํ วิย ตตุตฺตริมคฺคาภาวโต จ ‘‘สิยา นุ โข อนุตฺตรา โพธี’’ติ อาสงฺกํ สนฺธาย ตํ วิธมิตุํ ‘‘สาวกาน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ อภินีหารสมฺปตฺติยา ผลวิเสสภูเตหิ ญาณวิเสเสหิ เอกเจฺจหิ สกเลหิ สทฺธิํ สมิชฺฌมาโน มโคฺค อริยานํ ตํ ตํ ญาณวิเสสาทิํ เทโนฺต วิย โหตีติ ตสฺส อสพฺพคุณทายกตฺตํ วุตฺตํฯ เตน อนญฺญสาธารณาภินีหารสมฺปทาสิทฺธสฺส นิรติสย-คุณานุพนฺธสฺส วเสน อรหตฺตมโคฺค อนุตฺตรา โพธิ นาม โหตีติ ทเสฺสติฯ สาวกปารมิญาณํ อเญฺญหิ สาวเกหิ อสาธารณํ มหาสาวกานํเยว อาเวณิกํ ญาณํฯ ปเจฺจกํ สจฺจานิ พุทฺธวโนฺตติ ปเจฺจกพุทฺธาฯ นนุ จ สเพฺพปิ อริยา ปเจฺจกเมว สจฺจานิ ปฎิวิชฺฌนฺติ ธมฺมสฺส ปจฺจตฺตํ เวทนียภาวโตติ? สจฺจํ, นยิทมีทิสํ ปฎิเวธํ สนฺธาย วุตฺตํ, ยถา ปน สาวกา อญฺญสนฺนิสฺสเยน สจฺจานิ ปฎิวิชฺฌนฺติ ปรโตโฆเสน วินา เตสํ ทสฺสนมคฺคสฺส อนุปฺปชฺชนโต, ยถา จ สมฺมาสมฺพุโทฺธ อเญฺญสํ นิสฺสยภาเวน สจฺจานิ อภิสมฺพุชฺฌนฺติ, น เอวเมเต, เอเต ปน อปรเนยฺยา หุตฺวา อปริณายกภาเวน สจฺจานิ ปฎิวิชฺฌนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปเจฺจกํ สจฺจานิ พุทฺธวโนฺตติ ปเจฺจกพุทฺธา’’ติฯ
Lokuttarabhāvato vā tatthāpi heṭṭhimamaggānaṃ viya tatuttarimaggābhāvato ca ‘‘siyā nu kho anuttarā bodhī’’ti āsaṅkaṃ sandhāya taṃ vidhamituṃ ‘‘sāvakāna’’ntiādi vuttaṃ. Abhinīhārasampattiyā phalavisesabhūtehi ñāṇavisesehi ekaccehi sakalehi saddhiṃ samijjhamāno maggo ariyānaṃ taṃ taṃ ñāṇavisesādiṃ dento viya hotīti tassa asabbaguṇadāyakattaṃ vuttaṃ. Tena anaññasādhāraṇābhinīhārasampadāsiddhassa niratisaya-guṇānubandhassa vasena arahattamaggo anuttarā bodhi nāma hotīti dasseti. Sāvakapāramiñāṇaṃ aññehi sāvakehi asādhāraṇaṃ mahāsāvakānaṃyeva āveṇikaṃ ñāṇaṃ. Paccekaṃ saccāni buddhavantoti paccekabuddhā. Nanu ca sabbepi ariyā paccekameva saccāni paṭivijjhanti dhammassa paccattaṃ vedanīyabhāvatoti? Saccaṃ, nayidamīdisaṃ paṭivedhaṃ sandhāya vuttaṃ, yathā pana sāvakā aññasannissayena saccāni paṭivijjhanti paratoghosena vinā tesaṃ dassanamaggassa anuppajjanato, yathā ca sammāsambuddho aññesaṃ nissayabhāvena saccāni abhisambujjhanti, na evamete, ete pana aparaneyyā hutvā apariṇāyakabhāvena saccāni paṭivijjhanti. Tena vuttaṃ ‘‘paccekaṃ saccāni buddhavantoti paccekabuddhā’’ti.
อิตีติ กรียติ อุจฺจารียตีติ อิติกาโร, อิติ-สโทฺทฯ การณโตฺถ อนิยมรูเปนาติ อธิปฺปาโย, ตสฺมาติ วุตฺตํ โหติฯ เตนาห ‘‘ยสฺมา จา’’ติฯ ปุเพฺพ ปน อิติ-สทฺทํ ปการตฺถํ กตฺวา ‘‘เอวํ ชานิตฺวา’’ติ วุตฺตํ, อิธาปิ ตํ ปการตฺถเมว กตฺวา อโถ ยุชฺชติฯ กถํ? วิทิตฺวาติ หิ ปทํ เหตุอเตฺถ ทฎฺฐพฺพํ ‘‘ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๗๑), ‘‘ฆตํ ปิวิตฺวา พลํ โหตี’’ติ จ เอวมาทีสุ วิย, ตสฺมา ปการเตฺถปิ อิติ-สเทฺท ปฎิจฺจสมุปฺปาทสฺส วิทิตตฺตาติ อยํ อโตฺถ ลพฺภเตวฯ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ วิทิตฺวาติ เอตฺถาปิ เหตุอเตฺถ วิทิตฺวา-สเทฺท ยถาวุตฺตา อตฺถโยชนา ยุชฺชเตวฯ เอตฺถ จ ปฐมวิกเปฺป ปฎิจฺจสมุปาทสฺส วิทิตตฺถํ มญฺญนาภาวสฺส การณํ วตฺวา ตณฺหามูลกสฺส ปฎิจฺจสมุปฺปาทสฺส ทสฺสิตตฺตา เอตฺถ ตณฺหาปฺปหานํ สมฺมาสโมฺพธิยา อธิคมนการณํ อุทฺธตนฺติ ทสฺสิตํ, ตสฺมา ‘‘ปถวิํ น มญฺญตี’’ติอาทิ นิคมนํ ทฎฺฐพฺพํฯ ทุติยวิกเปฺป ปน ปฎิจฺจสมุปฺปาทเวทนํ ตณฺหาปฺปหานสฺส การณํ วุตฺตํ, ตํ อภิสโมฺพธิยา อภิสโมฺพธิมญฺญนาภาวสฺสาติ อยมโตฺถ ทสฺสิโตติ อยเมเตสํ ทฺวินฺนํ อตฺถวิกปฺปานํ วิเสโส, ตสฺมา ‘‘นนฺที ทุกฺขสฺส มูล’’นฺติ วุตฺตํฯ
Itīti karīyati uccārīyatīti itikāro, iti-saddo. Kāraṇattho aniyamarūpenāti adhippāyo, tasmāti vuttaṃ hoti. Tenāha ‘‘yasmā cā’’ti. Pubbe pana iti-saddaṃ pakāratthaṃ katvā ‘‘evaṃ jānitvā’’ti vuttaṃ, idhāpi taṃ pakāratthameva katvā atho yujjati. Kathaṃ? Viditvāti hi padaṃ hetuatthe daṭṭhabbaṃ ‘‘paññāya cassa disvā’’ti (ma. ni. 1.271), ‘‘ghataṃ pivitvā balaṃ hotī’’ti ca evamādīsu viya, tasmā pakāratthepi iti-sadde paṭiccasamuppādassa viditattāti ayaṃ attho labbhateva. Paṭiccasamuppādaṃ viditvāti etthāpi hetuatthe viditvā-sadde yathāvuttā atthayojanā yujjateva. Ettha ca paṭhamavikappe paṭiccasamupādassa viditatthaṃ maññanābhāvassa kāraṇaṃ vatvā taṇhāmūlakassa paṭiccasamuppādassa dassitattā ettha taṇhāppahānaṃ sammāsambodhiyā adhigamanakāraṇaṃ uddhatanti dassitaṃ, tasmā ‘‘pathaviṃ na maññatī’’tiādi nigamanaṃ daṭṭhabbaṃ. Dutiyavikappe pana paṭiccasamuppādavedanaṃ taṇhāppahānassa kāraṇaṃ vuttaṃ, taṃ abhisambodhiyā abhisambodhimaññanābhāvassāti ayamattho dassitoti ayametesaṃ dvinnaṃ atthavikappānaṃ viseso, tasmā ‘‘nandī dukkhassa mūla’’nti vuttaṃ.
ตํ กุโต ลพฺภตีติ โจทนํ สนฺธายาห ‘‘ยตฺถ ยตฺถ หี’’ติอาทิฯ สาสนยุตฺติ อยํ สาสเนปิ เอวํ สมฺพโนฺธ ทิสฺสตีติ กตฺวาฯ โลเกปิ หิ ยํ-ตํ-สทฺทานํ อพฺยภิจาริสมฺพนฺธตา สิทฺธาฯ
Taṃ kuto labbhatīti codanaṃ sandhāyāha ‘‘yattha yattha hī’’tiādi. Sāsanayutti ayaṃ sāsanepi evaṃ sambandho dissatīti katvā. Lokepi hi yaṃ-taṃ-saddānaṃ abyabhicārisambandhatā siddhā.
เอวํ อภิสมฺพุโทฺธติ วทามีติ อภิสมฺพุทฺธภาวสฺส คหิตตฺตา, อสพฺพญฺญุนา เอวํ เทเสตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา จ ‘‘สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ทเสฺสโนฺต’’ติอาทิมาหฯ
Evaṃ abhisambuddhoti vadāmīti abhisambuddhabhāvassa gahitattā, asabbaññunā evaṃ desetuṃ asakkuṇeyyattā ca ‘‘sabbaññutaññāṇaṃ dassento’’tiādimāha.
วิจิตฺรนยเทสนาวิลาสยุตฺตนฺติ ปุถุชฺชนวาราทิวิภาคภิเนฺนหิ วิจิเตฺตหิ ตนฺติ นเยหิ, ลกฺขณกมฺมตณฺหามญฺญนาทิวิภาคภิเนฺนหิ วิจิเตฺตหิ อตฺถนเยหิ, อภินนฺทนปจฺจยาการาทิวิเสสาปเทสสิเทฺธน เทสนาวิลาเสน จ ยุตฺตํฯ ยถา เต น ชานนฺติ, ตถา เทเสสีติ อิมินาปิ ภควโต เทสนาวิลาสํเยว วิภาเวติฯ ตํเยว กิร ปถวินฺติ เอตฺถ ปถวีคหณํ อุปลกฺขณมตฺตํ อาปาทิวเสนปิ, ตถา ‘‘กีทิสา นุ โข อิธ ปถวี อธิเปฺปตา, กสฺมา จ ภูตรูปานิเยว คหิตานิ, น เสสรูปานี’’ติอาทินาปิ เตสํ สํสยุปฺปตฺติ นิทฺธาเรตพฺพาฯ อถ วา กถํ นามิทนฺติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท ปการโตฺถฯ เตน อิมสฺมิํ สุเตฺต สพฺพายปิ เตสํ สํสยุปฺปตฺติยา ปริคฺคหิตตฺตา ทฎฺฐพฺพาฯ อนฺตนฺติ มริยาทํ, เทสนาย อนฺตํ ปริเจฺฉทนฺติ อโตฺถ, โย อนุสนฺธีติ วุจฺจติฯ โกฎินฺติ ปริยนฺตํ, เทสนาย ปริโยสานนฺติ อโตฺถฯ อุภเยน สุเตฺต อชฺฌาสยานุสนฺธิ ยถานุสนฺธีติ วทติฯ
Vicitranayadesanāvilāsayuttanti puthujjanavārādivibhāgabhinnehi vicittehi tanti nayehi, lakkhaṇakammataṇhāmaññanādivibhāgabhinnehi vicittehi atthanayehi, abhinandanapaccayākārādivisesāpadesasiddhena desanāvilāsena ca yuttaṃ. Yathā te na jānanti, tathā desesīti imināpi bhagavato desanāvilāsaṃyeva vibhāveti. Taṃyeva kira pathavinti ettha pathavīgahaṇaṃ upalakkhaṇamattaṃ āpādivasenapi, tathā ‘‘kīdisā nu kho idha pathavī adhippetā, kasmā ca bhūtarūpāniyeva gahitāni, na sesarūpānī’’tiādināpi tesaṃ saṃsayuppatti niddhāretabbā. Atha vā kathaṃ nāmidanti ettha iti-saddo pakārattho. Tena imasmiṃ sutte sabbāyapi tesaṃ saṃsayuppattiyā pariggahitattā daṭṭhabbā. Antanti mariyādaṃ, desanāya antaṃ paricchedanti attho, yo anusandhīti vuccati. Koṭinti pariyantaṃ, desanāya pariyosānanti attho. Ubhayena sutte ajjhāsayānusandhi yathānusandhīti vadati.
อนฺตรากถาติ กมฺมฎฺฐานมนสิการอุเทฺทสปริปุจฺฉาทีนํ อนฺตรา อญฺญา เอกา ตถาฯ วิปฺปกถาติ อนิฎฺฐิตา สิขํ อปฺปตฺตาฯ กงฺขณานุรูเปนาติ ตสฺมิํ ขเณ ธมฺมสภายํ สนฺนิปติตานํ ภิกฺขูนํ อชฺฌาสยานุรูเปนฯ อิทนฺติ อิทานิ วุจฺจมานํ มูลปริยายชาตกํฯ
Antarākathāti kammaṭṭhānamanasikārauddesaparipucchādīnaṃ antarā aññā ekā tathā. Vippakathāti aniṭṭhitā sikhaṃ appattā. Kaṅkhaṇānurūpenāti tasmiṃ khaṇe dhammasabhāyaṃ sannipatitānaṃ bhikkhūnaṃ ajjhāsayānurūpena. Idanti idāni vuccamānaṃ mūlapariyāyajātakaṃ.
ทิสาปาโมโกฺขติ ปณฺฑิตภาเวน สพฺพทิสาสุ ปมุขภูโตฯ พฺราหฺมโณติ พฺรหฺมํ อณตีติ พฺราหฺมโณ, มเนฺต สชฺฌายตีติ อโตฺถฯ ติณฺณํ เวทานนฺติ อิรุเวท-ยชุเวท-สามเวทานํฯ ปารคูติ อตฺถโส พฺยญฺชนโส จ ปารํ ปริยนฺตํ คโตฯ สห นิฆณฺฑุนา จ เกฎุเภน จาติ สนิฆณฺฑุเกฎุภา, เตสํฯ นิฆณฺฑูติ รุกฺขาทีนํ เววจนปฺปกาสกํ สตฺถํฯ เกฎุภนฺติ กิริยากปฺปวิกโปฺป, กวีนํ อุปการาวหํ สตฺถํฯ สห อกฺขรปฺปเภเทนาติ สากฺขรปฺปเภทา, เตสํ, สิกฺขานิรุตฺติสหิตานนฺติ อโตฺถฯ อิติหาสปญฺจมานนฺติ อาถพฺพณเวทํ จตุตฺถํ กตฺวา ‘‘อิติห อส, อิติห อสา’’ติ อีทิสวจนปฎิสํยุโตฺต ปุราณกถาสงฺขาโต อิติหาโส ปญฺจโม เอเตสนฺติ อิติหาสปญฺจมา, เตสํฯ ปทํ ตทวเสสญฺจ พฺยากรณํ กายติ อเชฺฌติ เวเทติ จาติ ปทโก, เวยฺยากรโณฯ โลกายตํ วุจฺจติ วิตณฺฑสตฺถํฯ มหาปุริสานํ พุทฺธาทีนํ ลกฺขณทีปนคโนฺถ มหาปุริสลกฺขณํฯ เตสุ อนูโน ปริปูรการีติ อนวโยฯ
Disāpāmokkhoti paṇḍitabhāvena sabbadisāsu pamukhabhūto. Brāhmaṇoti brahmaṃ aṇatīti brāhmaṇo, mante sajjhāyatīti attho. Tiṇṇaṃ vedānanti iruveda-yajuveda-sāmavedānaṃ. Pāragūti atthaso byañjanaso ca pāraṃ pariyantaṃ gato. Saha nighaṇḍunā ca keṭubhena cāti sanighaṇḍukeṭubhā, tesaṃ. Nighaṇḍūti rukkhādīnaṃ vevacanappakāsakaṃ satthaṃ. Keṭubhanti kiriyākappavikappo, kavīnaṃ upakārāvahaṃ satthaṃ. Saha akkharappabhedenāti sākkharappabhedā, tesaṃ, sikkhāniruttisahitānanti attho. Itihāsapañcamānanti āthabbaṇavedaṃ catutthaṃ katvā ‘‘itiha asa, itiha asā’’ti īdisavacanapaṭisaṃyutto purāṇakathāsaṅkhāto itihāso pañcamo etesanti itihāsapañcamā, tesaṃ. Padaṃ tadavasesañca byākaraṇaṃ kāyati ajjheti vedeti cāti padako, veyyākaraṇo. Lokāyataṃ vuccati vitaṇḍasatthaṃ. Mahāpurisānaṃ buddhādīnaṃ lakkhaṇadīpanagantho mahāpurisalakkhaṇaṃ. Tesu anūno paripūrakārīti anavayo.
มเนฺตติ เวเทฯ ยทิปิ เวโท ‘‘มโนฺต, พฺรหฺมํ, กโปฺป’’ติ ติวิโธ, มโนฺต เอว ปน มูลเวโท, ตทตฺถวิวรณํ พฺรหฺมํ, ตตฺถ วุตฺตนเยน ยญฺญกิริยาวิธานํ กโปฺปฯ เตน วุตฺตํ ‘‘มเนฺตติ เวเท’’ติฯ ปณฺฑิตาติ ปญฺญาวโนฺตฯ ตถา หิ เต ปุถุปญฺญาตาย พหุํ สหสฺสทฺวิสหสฺสาทิปริมาณํ คนฺถํ ปากฎํ กตฺวา คณฺหนฺติ อุคฺคณฺหนฺติ, ชวนปญฺญตาย ลหุํ สีฆํ คณฺหนฺติ, ติกฺขปญฺญตาย สุฎฺฐุ อวิรชฺฌนฺตา อุปธาเรนฺติ, สติเนปกฺกสมฺปตฺติยา คหิตญฺจ เนสํ น วินสฺสติ น สมฺมุสฺสตีติฯ สพฺพมฺปิ สิปฺปนฺติ อฎฺฐารสวิชฺชาฎฺฐานาทิเภทํ สิกฺขิตพฺพเฎฺฐน สิปฺปนฺติ สงฺขฺยํ คตํ สพฺพํ พาหิรกสตฺถํ โมกฺขาวหสมฺมตมฺปิ น โมกฺขํ อาวหตีติ อาห ‘‘ทิฎฺฐธมฺมสมฺปรายหิต’’นฺติฯ สมฺปิณฺฑิตา หุตฺวาติ ยถา มิตฺตา, ตถา ปิณฺฑิตวเสน สนฺนิปติตา หุตฺวาฯ ‘‘เอวํ คยฺหมาเน อาทินา วิรุเชฺฌยฺย, เอวํ อเนฺตนา’’ติ จิเนฺตนฺตา ญาตุํ อิจฺฉิตสฺส อตฺถสฺส ปุเพฺพนาปรํ อวิรุทฺธํ นิจฺฉยํ คเหตุํ อสโกฺกนฺตา น อาทิํ, น อนฺตํ อทฺทสํสุฯ
Manteti vede. Yadipi vedo ‘‘manto, brahmaṃ, kappo’’ti tividho, manto eva pana mūlavedo, tadatthavivaraṇaṃ brahmaṃ, tattha vuttanayena yaññakiriyāvidhānaṃ kappo. Tena vuttaṃ ‘‘manteti vede’’ti. Paṇḍitāti paññāvanto. Tathā hi te puthupaññātāya bahuṃ sahassadvisahassādiparimāṇaṃ ganthaṃ pākaṭaṃ katvā gaṇhanti uggaṇhanti, javanapaññatāya lahuṃ sīghaṃ gaṇhanti, tikkhapaññatāya suṭṭhu avirajjhantā upadhārenti, satinepakkasampattiyā gahitañca nesaṃ na vinassati na sammussatīti. Sabbampi sippanti aṭṭhārasavijjāṭṭhānādibhedaṃ sikkhitabbaṭṭhena sippanti saṅkhyaṃ gataṃ sabbaṃ bāhirakasatthaṃ mokkhāvahasammatampi na mokkhaṃ āvahatīti āha ‘‘diṭṭhadhammasamparāyahita’’nti. Sampiṇḍitā hutvāti yathā mittā, tathā piṇḍitavasena sannipatitā hutvā. ‘‘Evaṃ gayhamāne ādinā virujjheyya, evaṃ antenā’’ti cintentā ñātuṃ icchitassa atthassa pubbenāparaṃ aviruddhaṃ nicchayaṃ gahetuṃ asakkontā na ādiṃ, na antaṃ addasaṃsu.
โลมสานีติ โลมวนฺตานิ, ฆนเกสมสฺสุวานีติ อโตฺถฯ เกสาปิ หิ โลมคฺคหเณน คยฺหนฺติ ยถา ‘‘โลมนขํ ผุสิตฺวา สุทฺธิ กาตพฺพา’’ติฯ กณฺณํ วิยาติ กณฺณํ, ปญฺญา, ตาย สุตฺวา กาตพฺพกิจฺจสาธนโต วุตฺตํ ‘‘กณฺณวาติ ปญฺญวา’’ติฯ
Lomasānīti lomavantāni, ghanakesamassuvānīti attho. Kesāpi hi lomaggahaṇena gayhanti yathā ‘‘lomanakhaṃ phusitvā suddhi kātabbā’’ti. Kaṇṇaṃ viyāti kaṇṇaṃ, paññā, tāya sutvā kātabbakiccasādhanato vuttaṃ ‘‘kaṇṇavāti paññavā’’ti.
ยสฺมา สตฺตานํ คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต กาเล อายุวณฺณาทิปริกฺขโย โหติ, ตสฺมา ตํ กาเลน กตํ วิย กตฺวา วุตฺตํ ‘‘เนสํ อายุ…เป.… ขาทตีติ วุจฺจตี’’ติฯ
Yasmā sattānaṃ gacchante gacchante kāle āyuvaṇṇādiparikkhayo hoti, tasmā taṃ kālena kataṃ viya katvā vuttaṃ ‘‘nesaṃ āyu…pe… khādatīti vuccatī’’ti.
อภิญฺญายาติ กุสลาทิเภทํ ขนฺธาทิเภทญฺจ เทเสตพฺพํ ธมฺมํ, เวเนยฺยานญฺจ อาสยานุสยจริยาวิมุตฺติอาทิเภทํ, ตสฺส จ เนสํ เทเสตพฺพปฺปการํ ยาถาวโต อภิชานิตฺวาฯ ธมฺมํ เทเสมีติ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกนิพฺพานหิตาวหํ สทฺธมฺมํ กถยามิฯ โน อนภิญฺญายาติ ยถา พาหิรกา อสมฺมาสมฺพุทฺธตฺตา วุตฺตวิธิํ อชานนฺตายํ กิญฺจิ ตกฺกปริยาหตํ วีมํสานุจริตํ สยํปฎิภานํ กเถนฺติ, เอวํ น เทเสมีติ อโตฺถฯ สนิทานนฺติ สการณํ, เวเนยฺยานํ อชฺฌาสยวเสน วา ปุจฺฉาย วา อฎฺฐุปฺปตฺติยา วา สนิมิตฺตํ เหตุอุทาหรณสหิตญฺจาติ อโตฺถฯ สปฺปาฎิหาริยนฺติ สนิสฺสรณํ สปฺปฎิหรณํ, ปจฺจนีกปฎิหรเณน สปฺปาฎิหาริยเมว กตฺวา เทเสมีติ อโตฺถฯ อปเร ปน ‘‘ยถารหํ อิทฺธิอาเทสนานุสาสนิปาฎิหาริยสหิต’’นฺติ วทนฺติ, อนุสาสนิปาฎิหาริยหิตา ปน เทสนา นตฺถีติฯ หิตูปเทสนา โอวาโท, สา เอว อนุสาสนีฯ อโนติณฺณวตฺถุวิสโย วา โอวาโท, โอติณฺณวตฺถุวิสยา อนุสาสนีฯ ปฐมูปเทโส วา โอวาโท, อิตรา อนุสาสนีฯ อลญฺจ ปนาติ ยุตฺตเมวฯ นิฎฺฐมคมาสีติ อตฺถสิทฺธิํ คตาฯ
Abhiññāyāti kusalādibhedaṃ khandhādibhedañca desetabbaṃ dhammaṃ, veneyyānañca āsayānusayacariyāvimuttiādibhedaṃ, tassa ca nesaṃ desetabbappakāraṃ yāthāvato abhijānitvā. Dhammaṃ desemīti diṭṭhadhammikasamparāyikanibbānahitāvahaṃ saddhammaṃ kathayāmi. Noanabhiññāyāti yathā bāhirakā asammāsambuddhattā vuttavidhiṃ ajānantāyaṃ kiñci takkapariyāhataṃ vīmaṃsānucaritaṃ sayaṃpaṭibhānaṃ kathenti, evaṃ na desemīti attho. Sanidānanti sakāraṇaṃ, veneyyānaṃ ajjhāsayavasena vā pucchāya vā aṭṭhuppattiyā vā sanimittaṃ hetuudāharaṇasahitañcāti attho. Sappāṭihāriyanti sanissaraṇaṃ sappaṭiharaṇaṃ, paccanīkapaṭiharaṇena sappāṭihāriyameva katvā desemīti attho. Apare pana ‘‘yathārahaṃ iddhiādesanānusāsanipāṭihāriyasahita’’nti vadanti, anusāsanipāṭihāriyahitā pana desanā natthīti. Hitūpadesanā ovādo, sā eva anusāsanī. Anotiṇṇavatthuvisayo vā ovādo, otiṇṇavatthuvisayā anusāsanī. Paṭhamūpadeso vā ovādo, itarā anusāsanī. Alañca panāti yuttameva. Niṭṭhamagamāsīti atthasiddhiṃ gatā.
ตถาคตวารอฎฺฐมนยวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Tathāgatavāraaṭṭhamanayavaṇṇanā niṭṭhitā.
อยํ ตาเวตฺถ อฎฺฐกถาย ลีนตฺถวณฺณนาฯ
Ayaṃ tāvettha aṭṭhakathāya līnatthavaṇṇanā.
เนตฺตินยวณฺณนา
Nettinayavaṇṇanā
อิทานิ (ที. นิ. ฎี. ๑.๑๔๙; สํ. นิ. ฎี. ๑.๑.เนตฺตินยวณฺณนา; อ. นิ. ฎี. เนตฺตินยวณฺณนา) ปกรณนเยน ปาฬิยา อตฺถวณฺณนํ กริสฺสามฯ สา ปนายํ อตฺถวณฺณนา ยสฺมา เทสนาย สมุฎฺฐานปโยชนภาชเนสุ ปิณฺฑเตฺถสุ จ นิทฺธาริเตสุ สุตรา โหติ สุวิเญฺญยฺยา จ, ตสฺมา สุตฺตเทสนาย สมุฎฺฐานาทีนิ ปฐมํ นิทฺธารยิสฺสามฯ ตตฺถ สมุฎฺฐานํ ตาว ปริยตฺติํ นิสฺสาย มานุปฺปาโท, ปโยชนํมานมทฺทนํฯ วุตฺตญฺหิ อฎฺฐกถายํ ‘‘สุตปริยตฺติํ…เป.… อารภี’’ติฯ อปิจ เวเนยฺยานํ ปถวีอาทิภูตาทิเภทภิเนฺน สกฺกาเย ปุถุชฺชนสฺส เสกฺขาทิอริยสฺส จ สทฺธิํ เหตุนา มญฺญนามญฺญนวเสน ปวตฺติวิภาคานวโพโธ สมุฎฺฐานํ, ยถาวุตฺตวิภาคาวโพโธ ปโยชนํ, เวเนยฺยานญฺหิ วุตฺตปฺปกาเร วิสเย ยถาวุตฺตานํ ปุคฺคลานํ สทฺธิํ เหตุนา มญฺญนามญฺญนวเสน ปวตฺติวิภาคาวโพโธ ปโยชนํฯ
Idāni (dī. ni. ṭī. 1.149; saṃ. ni. ṭī. 1.1.nettinayavaṇṇanā; a. ni. ṭī. nettinayavaṇṇanā) pakaraṇanayena pāḷiyā atthavaṇṇanaṃ karissāma. Sā panāyaṃ atthavaṇṇanā yasmā desanāya samuṭṭhānapayojanabhājanesu piṇḍatthesu ca niddhāritesu sutarā hoti suviññeyyā ca, tasmā suttadesanāya samuṭṭhānādīni paṭhamaṃ niddhārayissāma. Tattha samuṭṭhānaṃ tāva pariyattiṃ nissāya mānuppādo, payojanaṃmānamaddanaṃ. Vuttañhi aṭṭhakathāyaṃ ‘‘sutapariyattiṃ…pe… ārabhī’’ti. Apica veneyyānaṃ pathavīādibhūtādibhedabhinne sakkāye puthujjanassa sekkhādiariyassa ca saddhiṃ hetunā maññanāmaññanavasena pavattivibhāgānavabodho samuṭṭhānaṃ, yathāvuttavibhāgāvabodho payojanaṃ, veneyyānañhi vuttappakāre visaye yathāvuttānaṃ puggalānaṃ saddhiṃ hetunā maññanāmaññanavasena pavattivibhāgāvabodho payojanaṃ.
อปิจ สมุฎฺฐานํ นาม เทสนานิทานํฯ ตํ สาธารณํ อสาธารณนฺติ ทุวิธํฯ ตตฺถ สาธารณมฺปิ อชฺฌตฺติกพาหิรเภทโต ทุวิธํฯ ตตฺถ สาธารณํ อชฺฌตฺติกสมุฎฺฐานํ นาม โลกนาถสฺส มหากรุณาฯ ตาย หิ สมุสฺสาหิตสฺส ภควโต เวเนยฺยานํ ธมฺมเทสนาย จิตฺตํ อุทปาทิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘สเตฺตสุ จ การุญฺญตํ ปฎิจฺจ พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกสี’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๒๘๓; สํ. นิ. ๑.๑๗๒; มหาว. ๙)ฯ เอตฺถ จ เหตาวตฺถายปิ มหากรุณาย สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพ ยาวเทว สํสารมโหฆโต สทฺธมฺมเทสนาหตฺถทาเนหิ สตฺตสนฺตารณตฺถํ ตทุปฺปตฺติโตฯ ยถา จ มหากรุณา, เอวํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ทสพลญาณาทีนิ จ เทสนาย อพฺภนฺตรสมุฎฺฐานภาเว วตฺตพฺพานิฯ สพฺพมฺปิ หิ เญยฺยธมฺมํ, เตสํ เทเสตพฺพปฺปการํ, สตฺตานญฺจ อาสยานุสยาทิํ ยาถาวโต ชานโนฺต ภควา ฐานาฎฺฐานาทีสุ โกสเลฺลน เวเนยฺยชฺฌาสยานุรูปํ วิจิตฺตนยเทสนํ ปวเตฺตสีติฯ พาหิรํ ปน สาธารณํ สมุฎฺฐานํ ทสสหสฺสพฺรหฺมปริวาริตสฺส สหมฺปติมหาพฺรหฺมุโน อเชฺฌสนํฯ ตทเชฺฌสนุตฺตรกาลญฺหิ ธมฺมคมฺภีรตาปจฺจเวกฺขณาชนิตํ อโปฺปสฺสุกฺกตํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตฺวา ธมฺมสฺสามี ธมฺมเทสนาย อุสฺสาหชาโต อโหสิฯ อสาธารณมฺปิ อมฺภนฺตรพาหิรเภทโต ทุวิธเมวฯ ตตฺถ อพฺภนฺตรํ ยาย มหากรุณาย เยน จ เทสนาญาเณน อิทํ สุตฺตํ ปวตฺติตํ, ตทุภยํ เวทิตพฺพํฯ พาหิรํ ปน ปญฺจสตานํ พฺราหฺมณชาติกานํ ภิกฺขูนํ ปริยตฺติํ นิสฺสาย มานุปฺปาทนํ, วุตฺตเมว ตํ อฎฺฐกถายํฯ
Apica samuṭṭhānaṃ nāma desanānidānaṃ. Taṃ sādhāraṇaṃ asādhāraṇanti duvidhaṃ. Tattha sādhāraṇampi ajjhattikabāhirabhedato duvidhaṃ. Tattha sādhāraṇaṃ ajjhattikasamuṭṭhānaṃ nāma lokanāthassa mahākaruṇā. Tāya hi samussāhitassa bhagavato veneyyānaṃ dhammadesanāya cittaṃ udapādi. Taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘sattesu ca kāruññataṃ paṭicca buddhacakkhunā lokaṃ volokesī’’tiādi (ma. ni. 1.283; saṃ. ni. 1.172; mahāva. 9). Ettha ca hetāvatthāyapi mahākaruṇāya saṅgaho daṭṭhabbo yāvadeva saṃsāramahoghato saddhammadesanāhatthadānehi sattasantāraṇatthaṃ taduppattito. Yathā ca mahākaruṇā, evaṃ sabbaññutaññāṇaṃ dasabalañāṇādīni ca desanāya abbhantarasamuṭṭhānabhāve vattabbāni. Sabbampi hi ñeyyadhammaṃ, tesaṃ desetabbappakāraṃ, sattānañca āsayānusayādiṃ yāthāvato jānanto bhagavā ṭhānāṭṭhānādīsu kosallena veneyyajjhāsayānurūpaṃ vicittanayadesanaṃ pavattesīti. Bāhiraṃ pana sādhāraṇaṃ samuṭṭhānaṃ dasasahassabrahmaparivāritassa sahampatimahābrahmuno ajjhesanaṃ. Tadajjhesanuttarakālañhi dhammagambhīratāpaccavekkhaṇājanitaṃ appossukkataṃ paṭippassambhetvā dhammassāmī dhammadesanāya ussāhajāto ahosi. Asādhāraṇampi ambhantarabāhirabhedato duvidhameva. Tattha abbhantaraṃ yāya mahākaruṇāya yena ca desanāñāṇena idaṃ suttaṃ pavattitaṃ, tadubhayaṃ veditabbaṃ. Bāhiraṃ pana pañcasatānaṃ brāhmaṇajātikānaṃ bhikkhūnaṃ pariyattiṃ nissāya mānuppādanaṃ, vuttameva taṃ aṭṭhakathāyaṃ.
ปโยชนมฺปิ สาธารณํ อสาธารณนฺติ ทุวิธํฯ ตตฺถ สาธารณํ อนุกฺกเมน ยาว อนุปาทาปรินิพฺพานํ วิมุตฺติรสตฺตา ภควโต เทสนายฯ เตเนวาห ‘‘เอตทตฺถา ตถา, เอตทตฺถา มนฺตนา’’ติอาทิ (ปริ. ๓๖๖)ฯ เอเตเนว จ สํสารจกฺกนิวตฺติ สทฺธมฺมจกฺกปฺปวตฺติ สสฺสตาทิมิจฺฉาวาทนิรากรณํ สมฺมาวาทปุเรกฺขาโร อกุสลมูลสมูหนนํ กุสลมูลสํโรปนํ อปายทฺวารปิทหนํ สคฺคโมกฺขทฺวารวิวรณํ ปริยุฎฺฐานวูปสมนํ อนุสยสมุคฺฆาตนํ ‘‘มุโตฺต โมเจสฺสามี’’ติ (อุทา. อฎฺฐ. ๑๘; อิติวุ. อฎฺฐ. ๓๘) ปุริมปฎิญฺญาอวิสํวาทนํ ตปฺปฎิปกฺขมารมโนรถวิสํวาทนํ ติตฺถิยธมฺมนิมฺมถนํ พุทฺธธมฺมปติฎฺฐาปนนฺติ เอวมาทีนมฺปิ ปโยชนานํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ อสาธารณํ ปน เตสํ ภิกฺขูนํ มานมทฺทนํฯ วุตฺตเญฺจตํ อฎฺฐกถายํ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑) ‘‘เทสนากุสโล ภควา มานภญฺชนตฺถํ ‘สพฺพธมฺมมูลปริยาย’นฺติ เทสนํ อารภี’’ติฯ อุภยเมฺปตํ พาหิยเมวฯ สเจ ปน เวเนยฺยสนฺตานคตมฺปิ เทสนาพลสิทฺธิสงฺขาตํ ปโยชนํ อธิปฺปายสมิชฺฌนภาวโต ยถาธิเปฺปตตฺถสิทฺธิยา ยถาการุณิกสฺส ภควโตปิ ปโยชนเมวาติ คเณฺหยฺย, อิมินา ปริยาเยนสฺส อพฺภนฺตรตาปิ เวทิตพฺพาฯ
Payojanampi sādhāraṇaṃ asādhāraṇanti duvidhaṃ. Tattha sādhāraṇaṃ anukkamena yāva anupādāparinibbānaṃ vimuttirasattā bhagavato desanāya. Tenevāha ‘‘etadatthā tathā, etadatthā mantanā’’tiādi (pari. 366). Eteneva ca saṃsāracakkanivatti saddhammacakkappavatti sassatādimicchāvādanirākaraṇaṃ sammāvādapurekkhāro akusalamūlasamūhananaṃ kusalamūlasaṃropanaṃ apāyadvārapidahanaṃ saggamokkhadvāravivaraṇaṃ pariyuṭṭhānavūpasamanaṃ anusayasamugghātanaṃ ‘‘mutto mocessāmī’’ti (udā. aṭṭha. 18; itivu. aṭṭha. 38) purimapaṭiññāavisaṃvādanaṃ tappaṭipakkhamāramanorathavisaṃvādanaṃ titthiyadhammanimmathanaṃ buddhadhammapatiṭṭhāpananti evamādīnampi payojanānaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Asādhāraṇaṃ pana tesaṃ bhikkhūnaṃ mānamaddanaṃ. Vuttañcetaṃ aṭṭhakathāyaṃ (ma. ni. aṭṭha. 1.1) ‘‘desanākusalo bhagavā mānabhañjanatthaṃ ‘sabbadhammamūlapariyāya’nti desanaṃ ārabhī’’ti. Ubhayampetaṃ bāhiyameva. Sace pana veneyyasantānagatampi desanābalasiddhisaṅkhātaṃ payojanaṃ adhippāyasamijjhanabhāvato yathādhippetatthasiddhiyā yathākāruṇikassa bhagavatopi payojanamevāti gaṇheyya, iminā pariyāyenassa abbhantaratāpi veditabbā.
อปิจ เวเนยฺยานํ ปถวีอาทิภูตาทิวิภาคภิเนฺน สกฺกาเย ปุถุชฺชนสฺส เสกฺขาทิอริยสฺส จ สทฺธิํ เหตุนา มญฺญนามญฺญนวเสน ปวตฺติวิภาคานวโพโธ สมุฎฺฐานํ, อิมสฺส สุตฺตสฺส ยถาวุตฺตวิภาคาวโพโธ ปโยชนนฺติ วุโตฺตวายมโตฺถฯ เวเนยฺยานญฺหิ วุตฺตปฺปกาเร วิสเย ยถาวุตฺตานํ ปุคฺคลานํ สทฺธิํ เหตุนา มญฺญนามญฺญนานํ วเสน ปวตฺติวิภาคาวโพโธ อิมํ เทสนํ ปโยเชติ ‘‘ตนฺนิปฺผาทนปรายํ เทสนา’’ติ กตฺวาฯ ยญฺหิ เทสนาย สาเธตพฺพํ ผลํ, ตํ อากงฺขิตพฺพตฺตา เทสกํ เทสนาย ปโยเชตีติ ปโยชนนฺติ วุจฺจติฯ ตถา เวเนยฺยานํ สพฺพโส เอกเทสโต จ มญฺญนานํ อปฺปหานํ, ตตฺถ จ อาทีนวาทสฺสนํ, นิรงฺกุสานํ มญฺญนานํ อเนกาการโวหารสฺส สกฺกาเย ปวตฺติวิเสสสฺส อชานนํ, ตตฺถ จ ปหีนมญฺญนานํ ปฎิปตฺติยา อชานนํ, ตณฺหามุเขน ปจฺจยาการสฺส จ อนวโพโธติ เอวมาทีนิ จ ปโยชนานิ อิธ เวทิตพฺพานิฯ
Apica veneyyānaṃ pathavīādibhūtādivibhāgabhinne sakkāye puthujjanassa sekkhādiariyassa ca saddhiṃ hetunā maññanāmaññanavasena pavattivibhāgānavabodho samuṭṭhānaṃ, imassa suttassa yathāvuttavibhāgāvabodho payojananti vuttovāyamattho. Veneyyānañhi vuttappakāre visaye yathāvuttānaṃ puggalānaṃ saddhiṃ hetunā maññanāmaññanānaṃ vasena pavattivibhāgāvabodho imaṃ desanaṃ payojeti ‘‘tannipphādanaparāyaṃ desanā’’ti katvā. Yañhi desanāya sādhetabbaṃ phalaṃ, taṃ ākaṅkhitabbattā desakaṃ desanāya payojetīti payojananti vuccati. Tathā veneyyānaṃ sabbaso ekadesato ca maññanānaṃ appahānaṃ, tattha ca ādīnavādassanaṃ, niraṅkusānaṃ maññanānaṃ anekākāravohārassa sakkāye pavattivisesassa ajānanaṃ, tattha ca pahīnamaññanānaṃ paṭipattiyā ajānanaṃ, taṇhāmukhena paccayākārassa ca anavabodhoti evamādīni ca payojanāni idha veditabbāni.
ภูมิตฺตยปริยาปเนฺนสุ อสงฺขาตธมฺมวิปฺปกตปริญฺญาทิกิจฺจสงฺขาตธมฺมานํ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส จ ปฎิปตฺติํ อชานนฺตา อสทฺธมฺมสฺสวนธารณปริจยมนสิการปรา สทฺธมฺมสฺสวน-ธารณปริจยปฎิเวธวิมุขา จ เวเนยฺยา อิมิสฺสา เทสนาย ภาชนํฯ ปิณฺฑตฺถา ปน ‘‘อสฺสุตวา’’ติอาทินา อโยนิโสมนสิการพหุลีกาโร อกุสลมูล-สมาโยโค โอลียนาติธาวนาปริคฺคโห อุปายวินิพทฺธานุพฺรูหนา มิจฺฉาภินิเวสสมนฺนาคโม อวิชฺชาตณฺหา-ปริสุทฺธิ วฎฺฎตฺตยานุปรโม อาสโวฆโยคคนฺถาคติตณฺหุปฺปาทุปาทานาวิโยโค เจโตขิล-เจโตวินิพทฺธอภินนฺทน-นีวรณสงฺคานติกฺกโม วิวาทมูลาปริจฺจาโค อนุสยานุปเจฺฉโท มิจฺฉตฺตานติวตฺตนํ ตณฺหามูลธมฺมสนฺนิสฺสยตา อกุสลกมฺมปถานุโยโค สพฺพกิเลส-ปริฬาหสารทฺธกายจิตฺตตาติ เอวมาทโย ทีปิตา โหนฺติฯ ‘‘ปถวิํ ปถวิโต สญฺชานาตี’’ติอาทินา ตณฺหาวิจริตนิเทฺทโส มานชปฺปนา วิปริเยสาภินิเวโส สํกิเลโส สกฺกายปริคฺคโห พาลลกฺขณาปเทโส วงฺกตฺตยวิภาวนานุโยโค พหุการปฎิปกฺขทีปนา ติวิธนิสฺสยสํสูจนา อาสวกฺขยกถนนฺติ เอวมาทโย ทีปิตา โหนฺติฯ
Bhūmittayapariyāpannesu asaṅkhātadhammavippakatapariññādikiccasaṅkhātadhammānaṃ sammāsambuddhassa ca paṭipattiṃ ajānantā asaddhammassavanadhāraṇaparicayamanasikāraparā saddhammassavana-dhāraṇaparicayapaṭivedhavimukhā ca veneyyā imissā desanāya bhājanaṃ. Piṇḍatthā pana ‘‘assutavā’’tiādinā ayonisomanasikārabahulīkāro akusalamūla-samāyogo olīyanātidhāvanāpariggaho upāyavinibaddhānubrūhanā micchābhinivesasamannāgamo avijjātaṇhā-parisuddhi vaṭṭattayānuparamo āsavoghayogaganthāgatitaṇhuppādupādānāviyogo cetokhila-cetovinibaddhaabhinandana-nīvaraṇasaṅgānatikkamo vivādamūlāpariccāgo anusayānupacchedo micchattānativattanaṃ taṇhāmūladhammasannissayatā akusalakammapathānuyogo sabbakilesa-pariḷāhasāraddhakāyacittatāti evamādayo dīpitā honti. ‘‘Pathaviṃ pathavito sañjānātī’’tiādinā taṇhāvicaritaniddeso mānajappanā vipariyesābhiniveso saṃkileso sakkāyapariggaho bālalakkhaṇāpadeso vaṅkattayavibhāvanānuyogo bahukārapaṭipakkhadīpanā tividhanissayasaṃsūcanā āsavakkhayakathananti evamādayo dīpitā honti.
โสฬสหารวณฺณนา
Soḷasahāravaṇṇanā
๑. เทสนาหารวณฺณนา
1. Desanāhāravaṇṇanā
ตตฺถ เย อุปาทานกฺขนฺธธเมฺม อุปาทาย ปถวีอาทิภูตาทิเภทา ปญฺญตฺติ, เต ปญฺญตฺติปฎิปาทนภาเวน ชาติชรามรณวิเสสนทุกฺขปริยาเยน จ วุตฺตา ตณฺหาวชฺชา เตภูมกธมฺมา ทุกฺขสจฺจํฯ มญฺญนาภินนฺทนนนฺทีปริยาเยหิ วุตฺตา ตณฺหา สมุทยสจฺจํฯ อยํ ตาว สุตฺตนฺตนโยฯ อภิธมฺมนเย ปน ยถาวุตฺตตณฺหาย สทฺธิํ ‘‘อสฺสุตวา’’ติอาทินา ทีปิตา อวิชฺชาทโย, มญฺญนาปริยาเยน คหิตา มานทิฎฺฐิโย, ภวปเทน คหิโต กมฺมภโว จาติ สเพฺพปิ กิเลสาภิสงฺขารา สมุทยสจฺจํฯ อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํฯ อริยธมฺมคฺคหเณน, ปริญฺญาภิกฺขุเสกฺขาภิญฺญาคหเณหิ, ราคาทิขยวจเนหิ, สมฺมาสโมฺพธิคหเณน จ มคฺคสจฺจํฯ เกจิ ปน ตณฺหากฺขยาทิวจเนหิ นิโรธสจฺจํ อุทฺธรนฺติ, ตํ อฎฺฐกถาย วิรุชฺฌติ ตตฺถ ตณฺหากฺขยาทีนํ มคฺคกิจฺจภาวสฺส อุทฺธฎตฺตาฯ
Tattha ye upādānakkhandhadhamme upādāya pathavīādibhūtādibhedā paññatti, te paññattipaṭipādanabhāvena jātijarāmaraṇavisesanadukkhapariyāyena ca vuttā taṇhāvajjā tebhūmakadhammā dukkhasaccaṃ. Maññanābhinandananandīpariyāyehi vuttā taṇhā samudayasaccaṃ. Ayaṃ tāva suttantanayo. Abhidhammanaye pana yathāvuttataṇhāya saddhiṃ ‘‘assutavā’’tiādinā dīpitā avijjādayo, maññanāpariyāyena gahitā mānadiṭṭhiyo, bhavapadena gahito kammabhavo cāti sabbepi kilesābhisaṅkhārā samudayasaccaṃ. Ubhinnaṃ appavatti nirodhasaccaṃ. Ariyadhammaggahaṇena, pariññābhikkhusekkhābhiññāgahaṇehi, rāgādikhayavacanehi, sammāsambodhigahaṇena ca maggasaccaṃ. Keci pana taṇhākkhayādivacanehi nirodhasaccaṃ uddharanti, taṃ aṭṭhakathāya virujjhati tattha taṇhākkhayādīnaṃ maggakiccabhāvassa uddhaṭattā.
ตตฺถ สมุทเยน อสฺสาโท, ทุเกฺขน อาทีนโว, มคฺคนิโรเธหิ นิสฺสรณํ, เตสํ ภิกฺขูนํ มานภญฺชนํ ผลํ, ตถา ‘‘ยถาวุตฺตวิภาคาวโพโธ’’ติอาทินา วุตฺตํ ปโยชนญฺจฯ ตสฺส นิปฺผตฺติการณตฺตา เทสนาย วิจิตฺตตา จตุนฺนํ ปุคฺคลานํ ยาถาวโต สภาวูปธารณญฺจ อุปาโย , ปถวีอาทีสุ ปุถุชฺชนาทีนํ ปวตฺติทสฺสนาปเทเสน ปถวีอาทโย เอกนฺตโต ปริชานิตพฺพา, มญฺญนา จ ปหาตพฺพาติ อยเมตฺถ ภควโต อาณตฺตีติฯ อยํ เทสนาหาโรฯ
Tattha samudayena assādo, dukkhena ādīnavo, magganirodhehi nissaraṇaṃ, tesaṃ bhikkhūnaṃ mānabhañjanaṃ phalaṃ, tathā ‘‘yathāvuttavibhāgāvabodho’’tiādinā vuttaṃ payojanañca. Tassa nipphattikāraṇattā desanāya vicittatā catunnaṃ puggalānaṃ yāthāvato sabhāvūpadhāraṇañca upāyo, pathavīādīsu puthujjanādīnaṃ pavattidassanāpadesena pathavīādayo ekantato parijānitabbā, maññanā ca pahātabbāti ayamettha bhagavato āṇattīti. Ayaṃ desanāhāro.
๒. วิจยหารวณฺณนา
2. Vicayahāravaṇṇanā
มญฺญนานํ สกฺกายสฺส อวิเสสเหตุภาวโต, กสฺสจิปิ ตตฺถ อเสสิตพฺพโต จ สพฺพคหณํ, สภาวธารณโต นิสฺสตฺตนิชฺชีวโต จ ธมฺมคฺคหณํ, ปติฎฺฐาภาวโต อาเวณิกเหตุภาวโต จ มูลคฺคหณํ, การณภาวโต เทสนตฺถสมฺภวโต จ ปริยายคฺคหณํ, สมฺมุขภาวโต สมฺปทานตฺถสมฺภวโต จ ‘‘โว’’ติ วจนํ, ตถารูปคุณโยคโต อภิมุขีกรณโต จ ‘‘ภิกฺขเว’’ติ อาลปนํฯ เทเสตุํ สมตฺถภาวโต เตสํ สตุปฺปาทนตฺถญฺจ ‘‘เทเสสฺสามี’’ติ ปฎิชานนํ, เทเสตพฺพตาย ปฎิญฺญาตภาวโต, ยถาปฎิญฺญญฺจ เทสนโต ‘‘ต’’นฺติ ปจฺจามสนํ, โสตพฺพภาวโต, สวนตฺถสฺส จ เอกเนฺตน นิปฺผาทนโต ‘‘สุณาถา’’ติ วุตฺตํฯ สกฺกาตพฺพโต, สกฺกจฺจกิริยาย เอว จ ตทตฺถสิทฺธิโต ‘‘สาธุก’’นฺติ วุตฺตํฯ ธมฺมสฺส มนสิกรณียโต ตทธีนตฺตา จ สพฺพสมฺปตฺตีนํ ‘‘มนสิ กโรถา’’ติ วุตฺตํ ยถาปริญฺญาตาย เทสนาย ปริพฺยตฺตภาวโต วิตฺถารตฺถสมฺภวโต จ ‘‘ภาสิสฺสามี’’ติ วุตฺตํฯ ภควโต สเทวเกน โลเกน สิรสา สมฺปฎิจฺฉิตพฺพวจนตฺตา, ตสฺส จ ยถาธิเปฺปตตฺถสาธนโต ‘‘เอว’’นฺติ วุตฺตํฯ สตฺถุ อุตฺตมคารวฎฺฐานภาวโต, ตตฺถ จ คารวสฺส อุฬารปุญฺญภาวโต ‘‘ภเนฺต’’ติ วุตฺตํฯ ภิกฺขูนํ ตถากิริยาย นิจฺฉิตภาวโต วจนาลงฺการโต จ ‘‘โข’’ติ วุตฺตํฯ สวนสฺส ปฎิชานิตพฺพโต, ตถา เตหิ ปฎิปนฺนตฺตา จ ‘‘ปจฺจโสฺสสุ’’นฺติ วุตฺตํ ปจฺจกฺขภาวโต, สกลสฺสปิ เอกชฺฌํ กรณโต ‘‘เอต’’นฺติ วุตฺตํฯ
Maññanānaṃ sakkāyassa avisesahetubhāvato, kassacipi tattha asesitabbato ca sabbagahaṇaṃ, sabhāvadhāraṇato nissattanijjīvato ca dhammaggahaṇaṃ, patiṭṭhābhāvato āveṇikahetubhāvato ca mūlaggahaṇaṃ, kāraṇabhāvato desanatthasambhavato ca pariyāyaggahaṇaṃ, sammukhabhāvato sampadānatthasambhavato ca ‘‘vo’’ti vacanaṃ, tathārūpaguṇayogato abhimukhīkaraṇato ca ‘‘bhikkhave’’ti ālapanaṃ. Desetuṃ samatthabhāvato tesaṃ satuppādanatthañca ‘‘desessāmī’’ti paṭijānanaṃ, desetabbatāya paṭiññātabhāvato, yathāpaṭiññañca desanato ‘‘ta’’nti paccāmasanaṃ, sotabbabhāvato, savanatthassa ca ekantena nipphādanato ‘‘suṇāthā’’ti vuttaṃ. Sakkātabbato, sakkaccakiriyāya eva ca tadatthasiddhito ‘‘sādhuka’’nti vuttaṃ. Dhammassa manasikaraṇīyato tadadhīnattā ca sabbasampattīnaṃ ‘‘manasi karothā’’ti vuttaṃ yathāpariññātāya desanāya paribyattabhāvato vitthāratthasambhavato ca ‘‘bhāsissāmī’’ti vuttaṃ. Bhagavato sadevakena lokena sirasā sampaṭicchitabbavacanattā, tassa ca yathādhippetatthasādhanato ‘‘eva’’nti vuttaṃ. Satthu uttamagāravaṭṭhānabhāvato, tattha ca gāravassa uḷārapuññabhāvato ‘‘bhante’’ti vuttaṃ. Bhikkhūnaṃ tathākiriyāya nicchitabhāvato vacanālaṅkārato ca ‘‘kho’’ti vuttaṃ. Savanassa paṭijānitabbato, tathā tehi paṭipannattā ca ‘‘paccassosu’’nti vuttaṃ paccakkhabhāvato, sakalassapi ekajjhaṃ karaṇato ‘‘eta’’nti vuttaṃ.
วุจฺจมานสฺส ปุคฺคลสฺส โลกปริยาปนฺนตฺตา โลกาธารตฺตา จ โลกํ อุปาทาย ‘‘อิธา’’ติ วุตฺตํฯ ปฎิเวธพาหุสจฺจาภาวโต ปริยตฺติพาหุสจฺจาภาวโต จ ‘‘อสฺสุตวา’’ติ วุตฺตํฯ ปุถูสุ, ปุถุ วา ชนภาวโต ‘‘ปุถุชฺชโน’’ติ วุตฺตํฯ อนริยธมฺมวิรหโต อริยธมฺมสมนฺนาคมโต จ ‘‘อริยาน’’นฺติ วุตฺตํฯ อริยภาวกราย ปฎิปตฺติยา อภาวโต, ตตฺถ โกสลฺลทมถาภาวโต ‘‘อริยานํ อทสฺสาวี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อสนฺตธมฺมสฺสวนโต สนฺตธมฺมสมนฺนาคมโต สพฺภิ ปาสํสิยโต จ ‘‘สปฺปุริสาน’’นฺติ วุตฺตํฯ สปฺปุริสภาวกราย ปฎิปตฺติยา อภาวโต, ตตฺถ จ โกสลฺลทมถาภาวโต ‘‘สปฺปุริสานํ อทสฺสาวี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปถวีวตฺถุกานํ มญฺญนานํ, อุปริ วุจฺจมานานญฺจมญฺญนานํ มูลกตฺตา ปปญฺจสงฺขานํ ‘‘ปถวิํ ปถวิโต สญฺชานาตี’’ติ วุตฺตํฯ อนฺธปุถุชฺชนสฺส อหํการ-มมํการานํ กตฺถจิปิ อปฺปหีนตฺตา ‘‘ปถวิํ มญฺญตี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Vuccamānassa puggalassa lokapariyāpannattā lokādhārattā ca lokaṃ upādāya ‘‘idhā’’ti vuttaṃ. Paṭivedhabāhusaccābhāvato pariyattibāhusaccābhāvato ca ‘‘assutavā’’ti vuttaṃ. Puthūsu, puthu vā janabhāvato ‘‘puthujjano’’ti vuttaṃ. Anariyadhammavirahato ariyadhammasamannāgamato ca ‘‘ariyāna’’nti vuttaṃ. Ariyabhāvakarāya paṭipattiyā abhāvato, tattha kosalladamathābhāvato ‘‘ariyānaṃ adassāvī’’tiādi vuttaṃ. Asantadhammassavanato santadhammasamannāgamato sabbhi pāsaṃsiyato ca ‘‘sappurisāna’’nti vuttaṃ. Sappurisabhāvakarāya paṭipattiyā abhāvato, tattha ca kosalladamathābhāvato ‘‘sappurisānaṃ adassāvī’’tiādi vuttaṃ. Pathavīvatthukānaṃ maññanānaṃ, upari vuccamānānañcamaññanānaṃ mūlakattā papañcasaṅkhānaṃ ‘‘pathaviṃ pathavito sañjānātī’’ti vuttaṃ. Andhaputhujjanassa ahaṃkāra-mamaṃkārānaṃ katthacipi appahīnattā ‘‘pathaviṃ maññatī’’tiādi vuttaṃ.
ปุเพฺพ อคฺคหิตตฺตา, สามญฺญโต จ คยฺหมานตฺตา, ปุคฺคลสฺส ปถวีอาทิอารมฺมณสภาคตาย ลพฺภมานตฺตา จ ‘‘โยปี’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘โย’’ติ อนิยเมน คหิตสฺส นิยเมตพฺพโต ปฎินิทฺทิสิตพฺพโต จ; ‘‘โส’’ติ วุตฺตํ สาติสยํ สํสาเร ภยสฺส อิกฺขนโต กิเลสเภทนสมฺภวโต จ ‘‘ภิกฺขู’’ติ วุตฺตํฯ สิกฺขาหิ สมนฺนาคมโต เสกฺขธมฺมปฎิลาภโต จ ‘‘เสโกฺข’’ติ วุตฺตํฯ มนสา ลทฺธพฺพสฺส อรหตฺตสฺส อนธิคตตฺตา อธิคมนียโต จ ‘‘อปฺปตฺตมานโส’’ติ วุตฺตํฯ อปเรน อนุตฺตรณียโต, ปรํ อนุจฺฉวิกภาเวน อุตฺตริตฺวา ฐิตตฺตา จ ‘‘อนุตฺตร’’นฺติ วุตฺตํฯ โยเคน ภาวนาย กามโยคาทิโต จ เขมํ สิวํ อนุปทฺทวนฺติ ‘‘โยคเกฺขม’’นฺติ วุตฺตํฯ ฉนฺทปฺปวตฺติยา อุสฺสุกฺกาปตฺติยา จ ‘‘ปตฺถยมาโน’’ติ วุตฺตํฯ ตทตฺถสฺส สพฺพโส สพฺพอิริยาปถวิหารสฺส สมถวิปสฺสนาวิหารสฺส ทิพฺพวิหารสฺส จ วเสน ‘‘วิหรตี’’ติ วุตฺตํฯ เสกฺขสฺส สพฺพโส อภิเญฺญยฺยภาวเญฺจว ปริเญฺญยฺยภาวญฺจ ญาเณน อภิภวิตฺวา ชานนโต ‘‘อภิชานาตี’’ติ วุตฺตํฯ เสกฺขสฺส สพฺพโส อปฺปหีนมญฺญนตาย อภาวโต ‘‘มา มญฺญี’’ติ วุตฺตํฯ เสสํ วุตฺตนยานุสาเรน เวทิตพฺพํฯ อิมินา นเยน อิโต ปรํ สพฺพปเทสุ วินิจฺฉโย กาตโพฺพฯ สกฺกา หิ อฎฺฐกถํ ตสฺสา ลีนตฺถวณฺณนญฺจ อนุคนฺตฺวา อยมโตฺถ วิญฺญูหิ วิภาเวตุนฺติ อติวิตฺถารภเยน น วิตฺถารยิมฺหฯ อิติ อนุปทวิจยโต วิจโย หาโรฯ
Pubbe aggahitattā, sāmaññato ca gayhamānattā, puggalassa pathavīādiārammaṇasabhāgatāya labbhamānattā ca ‘‘yopī’’ti vuttaṃ. ‘‘Yo’’ti aniyamena gahitassa niyametabbato paṭiniddisitabbato ca; ‘‘so’’ti vuttaṃ sātisayaṃ saṃsāre bhayassa ikkhanato kilesabhedanasambhavato ca ‘‘bhikkhū’’ti vuttaṃ. Sikkhāhi samannāgamato sekkhadhammapaṭilābhato ca ‘‘sekkho’’ti vuttaṃ. Manasā laddhabbassa arahattassa anadhigatattā adhigamanīyato ca ‘‘appattamānaso’’ti vuttaṃ. Aparena anuttaraṇīyato, paraṃ anucchavikabhāvena uttaritvā ṭhitattā ca ‘‘anuttara’’nti vuttaṃ. Yogena bhāvanāya kāmayogādito ca khemaṃ sivaṃ anupaddavanti ‘‘yogakkhema’’nti vuttaṃ. Chandappavattiyā ussukkāpattiyā ca ‘‘patthayamāno’’ti vuttaṃ. Tadatthassa sabbaso sabbairiyāpathavihārassa samathavipassanāvihārassa dibbavihārassa ca vasena ‘‘viharatī’’ti vuttaṃ. Sekkhassa sabbaso abhiññeyyabhāvañceva pariññeyyabhāvañca ñāṇena abhibhavitvā jānanato ‘‘abhijānātī’’ti vuttaṃ. Sekkhassa sabbaso appahīnamaññanatāya abhāvato ‘‘mā maññī’’ti vuttaṃ. Sesaṃ vuttanayānusārena veditabbaṃ. Iminā nayena ito paraṃ sabbapadesu vinicchayo kātabbo. Sakkā hi aṭṭhakathaṃ tassā līnatthavaṇṇanañca anugantvā ayamattho viññūhi vibhāvetunti ativitthārabhayena na vitthārayimha. Iti anupadavicayato vicayo hāro.
๓. ยุตฺติหารวณฺณนา
3. Yuttihāravaṇṇanā
สกฺกายสฺส สพฺพมญฺญนานํ มูลภาโว ยุชฺชติ ปริกปฺปมตฺตกตฺตา โลกวิจิตฺตสฺสฯ พฺยาหุสจฺจทฺวยรหิตสฺส อนฺธปุถุชฺชนภาโว ยุชฺชติ ปุถุกิเลสาภิสงฺขารชนนาทิสภาวตฺตาฯ ยถาวุตฺตปุถุชฺชนสฺส วา วุตฺตปฺปการพาหุสจฺจาภาโว ยุชฺชติ ตสฺมิํ สติ สพฺภาวโตฯ ตตฺถ อสฺสุตวโต ปุถุชฺชนสฺส อริยานํ สปฺปุริสานญฺจ อทสฺสาวิตาทิ ยุชฺชติ อริยกรธมฺมานํ อริยภาวสฺส จ เตน อทิฎฺฐตฺตา อปฺปฎิปนฺนตฺตา จ ตถา ตสฺส ปถวิยา ‘‘อหํ ปถวี, มม ปถวี, ปโร ปถวี’’ติ สญฺชานนํ ยุชฺชติ อหํการมมํการานํ สเพฺพน สพฺพํ อปฺปหีนตฺตาฯ ตถา สญฺชานโต จสฺส ปถวิํ กมฺมาทิกรณาทิวเสน คเหตฺวา นานปฺปการโต มญฺญนาปวตฺติ ยุชฺชติ สญฺญานิทานตฺตา ปปญฺจสงฺขานํฯ โย มญฺญติ, ตสฺส อปริญฺญาตวตฺถุกตา ยุชฺชติ ปริญฺญาย วินา มญฺญนาปหานาภาวโตฯ ‘‘อาปํ อาปโต สญฺชานาตี’’ติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อปริโยสิตสิกฺขสฺส อปฺปตฺตมานสตา ยุชฺชติ กตกิจฺจตาภาวโตฯ เสกฺขสฺส สโต โยคเกฺขมปตฺถนา ยุชฺชติ ตทธิมุตฺตภาวโตฯ ตถา ตสฺส ปถวิยา อภิชานนา ยุชฺชติ ปริญฺญาปหาเนสุ มตฺตโส การิภาวโตฯ ตโต เอว จสฺส ‘‘มา มญฺญี’’ติ วตฺตพฺพตา ยุชฺชติ วตฺถุปริญฺญาย วิย มญฺญนาปหานสฺสปิ วิปฺปกตภาวโตฯ เสกฺขสฺส ปถวิยา ปริเญฺญยฺยตา ยุชฺชติ ปริญฺญาตุํ สกฺกุเณยฺยตฺตา สพฺพโส อปริญฺญาตตฺตา จฯ ‘‘อาปํ อาปโต’’ติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อรหตฺตาทิยุตฺตสฺส ปถวิยาทีนํ อภิชานนา มญฺญนาภาโว จ ยุชฺชติ สงฺขาตธมฺมตฺตา, สพฺพโส กิเลสานํ ปหีนตฺตา, ตโต เอว จสฺส วีตราคาทิภาโว ตโต สมฺมเทว จ ปฎิจฺจสมุปฺปาทสฺส ปฎิวิทฺธตาติฯ อยํ ยุตฺติหาโรฯ
Sakkāyassa sabbamaññanānaṃ mūlabhāvo yujjati parikappamattakattā lokavicittassa. Byāhusaccadvayarahitassa andhaputhujjanabhāvo yujjati puthukilesābhisaṅkhārajananādisabhāvattā. Yathāvuttaputhujjanassa vā vuttappakārabāhusaccābhāvo yujjati tasmiṃ sati sabbhāvato. Tattha assutavato puthujjanassa ariyānaṃ sappurisānañca adassāvitādi yujjati ariyakaradhammānaṃ ariyabhāvassa ca tena adiṭṭhattā appaṭipannattā ca tathā tassa pathaviyā ‘‘ahaṃ pathavī, mama pathavī, paro pathavī’’ti sañjānanaṃ yujjati ahaṃkāramamaṃkārānaṃ sabbena sabbaṃ appahīnattā. Tathā sañjānato cassa pathaviṃ kammādikaraṇādivasena gahetvā nānappakārato maññanāpavatti yujjati saññānidānattā papañcasaṅkhānaṃ. Yo maññati, tassa apariññātavatthukatā yujjati pariññāya vinā maññanāpahānābhāvato. ‘‘Āpaṃ āpato sañjānātī’’tiādīsupi eseva nayo. Apariyositasikkhassa appattamānasatā yujjati katakiccatābhāvato. Sekkhassa sato yogakkhemapatthanā yujjati tadadhimuttabhāvato. Tathā tassa pathaviyā abhijānanā yujjati pariññāpahānesu mattaso kāribhāvato. Tato eva cassa ‘‘mā maññī’’ti vattabbatā yujjati vatthupariññāya viya maññanāpahānassapi vippakatabhāvato. Sekkhassa pathaviyā pariññeyyatā yujjati pariññātuṃ sakkuṇeyyattā sabbaso apariññātattā ca. ‘‘Āpaṃ āpato’’tiādīsupi eseva nayo. Arahattādiyuttassa pathaviyādīnaṃ abhijānanā maññanābhāvo ca yujjati saṅkhātadhammattā, sabbaso kilesānaṃ pahīnattā, tato eva cassa vītarāgādibhāvo tato sammadeva ca paṭiccasamuppādassa paṭividdhatāti. Ayaṃ yuttihāro.
๔. ปทฎฺฐานหารวณฺณนา
4. Padaṭṭhānahāravaṇṇanā
กิโสฺสปิ มญฺญนา สกฺกายสฺส ปทฎฺฐานํ, มญฺญนานํ อโยนิโสมนสิกาโร ปทฎฺฐานํ, สุตทฺวยวิรโห อนฺธปุถุชฺชนภาวสฺส ปทฎฺฐานํ, โส อริยานํ อทสฺสาวิตาย ปทฎฺฐานํ, สา อริยธมฺมสฺส อโกวิทตาย ปทฎฺฐานํ, สา อริยธเมฺม อวินีตตาย ปทฎฺฐานํฯ ‘‘สปฺปุริสานํ อทสฺสาวี’’ติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ สญฺญาวิปลฺลาโส มญฺญนานํ ปทฎฺฐานํฯ สญฺญานิทานา หิ ปปญฺจสงฺขาติฯ มญฺญนาสุ จ ตณฺหามญฺญนา อิตรมญฺญนานํ ปทฎฺฐานํ ‘‘ตณฺหาคตานํ ปริตสฺสิตวิปฺผนฺทิต’’นฺติ, (ที. นิ. ๑.๑๐๕-๑๐๙) ‘‘ตณฺหาปจฺจยา อุปาทาน’’นฺติ (ม. นิ. ๓.๑๒๖; มหาว. ๑) จ วจนโต, ตณฺหาคตเสฺสว จ ‘‘เสโยฺยหมสฺมิ’’นฺติอาทินา มานชปฺปนาสพฺภาวตาฯ สพฺพาปิ วา มญฺญนา สพฺพาสํ มญฺญนานํ ปทฎฺฐานํ ฯ ‘‘อุปาทานปจฺจยา ตณฺหา’’ติ หิ วจนโต ทิฎฺฐิปิ ตณฺหาย ปทฎฺฐานํฯ ‘‘อหมสฺมิ พฺรหฺมา มหาพฺรหฺมา’’ติ (ที. นิ. ๑.๔๒; ๓.๓๙) อาทิวจนโต มาโนปิ ทิฎฺฐิยา ปทฎฺฐานํฯ ตถา ‘‘อสฺมีติ สติ อิตฺถํสฺมีติ โหติ, เอวํสฺมีติ โหติ, อญฺญถาสฺมีติ โหตี’’ติอาทิวจนโต มานสฺสปิ ตณฺหาย ปทฎฺฐานตา ลพฺภเตวฯ เสกฺขา ธมฺมา สปฺปเทสโต มญฺญนาปหานสฺส ปทฎฺฐานํฯ อเสกฺขา นิปฺปเทสโต มญฺญนาปหานสฺส ปทฎฺฐานํฯ กมฺมภโว จ ชาติยา ปทฎฺฐานํฯ ชาติ ชรามรณสฺส ปทฎฺฐานํฯ ปจฺจยาการสฺส ยถาภูตาวโพโธ สมฺมาสโมฺพธิยา ปทฎฺฐานนฺติฯ อยํ ปทฎฺฐาโน หาโรฯ
Kissopi maññanā sakkāyassa padaṭṭhānaṃ, maññanānaṃ ayonisomanasikāro padaṭṭhānaṃ, sutadvayaviraho andhaputhujjanabhāvassa padaṭṭhānaṃ, so ariyānaṃ adassāvitāya padaṭṭhānaṃ, sā ariyadhammassa akovidatāya padaṭṭhānaṃ, sā ariyadhamme avinītatāya padaṭṭhānaṃ. ‘‘Sappurisānaṃ adassāvī’’ti etthāpi eseva nayo. Saññāvipallāso maññanānaṃ padaṭṭhānaṃ. Saññānidānā hi papañcasaṅkhāti. Maññanāsu ca taṇhāmaññanā itaramaññanānaṃ padaṭṭhānaṃ ‘‘taṇhāgatānaṃ paritassitavipphandita’’nti, (dī. ni. 1.105-109) ‘‘taṇhāpaccayā upādāna’’nti (ma. ni. 3.126; mahāva. 1) ca vacanato, taṇhāgatasseva ca ‘‘seyyohamasmi’’ntiādinā mānajappanāsabbhāvatā. Sabbāpi vā maññanā sabbāsaṃ maññanānaṃ padaṭṭhānaṃ . ‘‘Upādānapaccayā taṇhā’’ti hi vacanato diṭṭhipi taṇhāya padaṭṭhānaṃ. ‘‘Ahamasmi brahmā mahābrahmā’’ti (dī. ni. 1.42; 3.39) ādivacanato mānopi diṭṭhiyā padaṭṭhānaṃ. Tathā ‘‘asmīti sati itthaṃsmīti hoti, evaṃsmīti hoti, aññathāsmīti hotī’’tiādivacanato mānassapi taṇhāya padaṭṭhānatā labbhateva. Sekkhā dhammā sappadesato maññanāpahānassa padaṭṭhānaṃ. Asekkhā nippadesato maññanāpahānassa padaṭṭhānaṃ. Kammabhavo ca jātiyā padaṭṭhānaṃ. Jāti jarāmaraṇassa padaṭṭhānaṃ. Paccayākārassa yathābhūtāvabodho sammāsambodhiyā padaṭṭhānanti. Ayaṃ padaṭṭhāno hāro.
๕. ลกฺขณหารวณฺณนา
5. Lakkhaṇahāravaṇṇanā
‘‘สพฺพธมฺมมูลปริยาย’’นฺติ เอตฺถ มูลคฺคหเณน มูลปริยายคฺคหเณน วา ยถา ตณฺหามานทิฎฺฐิโย คยฺหนฺติ, เอวํ โทสโมหาทีนมฺปิ สกฺกายมูลธมฺมานํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพ สกฺกายสฺส มูลภาเวน เอกลกฺขณตฺตาฯ ‘‘อสฺสุตวา’’ติ อิมินา ยถา ตสฺส ปุคฺคลสฺส ปริยตฺติปฎิเวธสทฺธมฺมานํ อภาโว คยฺหติ, เอวํ ปฎิปตฺติสทฺธมฺมสฺสปิ อภาโว คยฺหติ สทฺธมฺมภาเวน เอกลกฺขณตฺตาฯ อริยานํ อทสฺสนกามตาทิลกฺขณาฯ ‘‘อริยธมฺมสฺส อโกวิโท’’ติ อิมินา อริยธมฺมาธิคมสฺส วิพนฺธภูตํ อญฺญาณํฯ ‘‘อริยธเมฺม อวินีโต’’ติ อิมินา อริยวินยาภาโวฯ โส ปนตฺถโต อริยวินเย อปฺปฎิปตฺติ เอว วาติ ตีหิปิ ปเทหิ ยถาวุตฺตวิสยา มิจฺฉาทิฎฺฐิ วิจิกิจฺฉา จ คหิตาว โหนฺติฯ ตคฺคหเณน จ สเพฺพปิ อกุสลา ธมฺมา สงฺคหิตาว โหนฺติ สํกิเลสลกฺขเณน เอกลกฺขณตฺตาฯ ‘‘สปฺปุริสานํ อทสฺสาวี’’ติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ
‘‘Sabbadhammamūlapariyāya’’nti ettha mūlaggahaṇena mūlapariyāyaggahaṇena vā yathā taṇhāmānadiṭṭhiyo gayhanti, evaṃ dosamohādīnampi sakkāyamūladhammānaṃ saṅgaho daṭṭhabbo sakkāyassa mūlabhāvena ekalakkhaṇattā. ‘‘Assutavā’’ti iminā yathā tassa puggalassa pariyattipaṭivedhasaddhammānaṃ abhāvo gayhati, evaṃ paṭipattisaddhammassapi abhāvo gayhati saddhammabhāvena ekalakkhaṇattā. Ariyānaṃ adassanakāmatādilakkhaṇā. ‘‘Ariyadhammassa akovido’’ti iminā ariyadhammādhigamassa vibandhabhūtaṃ aññāṇaṃ. ‘‘Ariyadhamme avinīto’’ti iminā ariyavinayābhāvo. So panatthato ariyavinaye appaṭipatti eva vāti tīhipi padehi yathāvuttavisayā micchādiṭṭhi vicikicchā ca gahitāva honti. Taggahaṇena ca sabbepi akusalā dhammā saṅgahitāva honti saṃkilesalakkhaṇena ekalakkhaṇattā. ‘‘Sappurisānaṃ adassāvī’’ti etthāpi eseva nayo.
‘‘ปถวิํ ปถวิโต สญฺชานาตี’’ติ อิทํ ทิฎฺฐิมญฺญนาทีนํ สญฺญาย การณภาวทสฺสนํฯ ตตฺถ ยถา สญฺญา, เอวํ วิตกฺกผสฺสาวิชฺชาอโยนิโสมนสิการาทโยปิ ตาสํ การณนฺติ อตฺถโต เตสเมฺปตฺถ สงฺคโห วุโตฺต โหติ มญฺญนานํ การณภาเวน เอกลกฺขณตฺตาฯ ‘‘มญฺญตี’’ติ อิมินา มญฺญนากิเจฺจน ตณฺหามานทิฎฺฐิโย คหิตา ตาสํ กิเลสสภาวตฺตาฯ ตคฺคหเณเนว วิจิกิจฺฉาทินมฺปิ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพ กิเลสลกฺขเณน เอกลกฺขณตฺตาฯ ตถา ตณฺหาย เหตุสภาวตฺตา ตคฺคหเณเนว อวสิฎฺฐากุสลเหตูนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพ เหตุลกฺขเณน เอกลกฺขณตฺตาฯ ตถา ตณฺหาทิฎฺฐีนํ อาสวาทิสภาวตฺตา ตคฺคหเณเนว อวสิฎฺฐาสโวฆโยคคนฺถนีวรณาทีนมฺปิ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพ อาสวาทิสภาวตฺตา เอกลกฺขณตฺตาฯ ตถา ‘‘ปถวิํ มญฺญตี’’ติอาทินา ปถวีอาทีนํ รูปสภาวตฺตา ตพฺพิสยานญฺจ มญฺญนานํ รูปวิสยตฺตา ตคฺคหเณเนว สกลรูปกฺขนฺธวิสยาปิ มญฺญนา ทสฺสิตา โหนฺติ รูปวิสยลกฺขเณน อาสํ เอกลกฺขณตฺตาฯ เอวํ จกฺขายตนาทิวิสยาปิ มญฺญนา นิทฺธาเรตพฺพาฯ ‘‘อปริญฺญาต’’นฺติ ปริญฺญาปฎิเกฺขเปน ตปฺปฎิพทฺธกิเลสานํ ปหานปฎิเกฺขโปติ ทฎฺฐโพฺพ มคฺคกิจฺจภาเวน ปริญฺญาปหานานํ เอกลกฺขณตฺตาฯ อิมินา นเยน เสเสสุปิ ยถารหํ เอกลกฺขณา นิทฺธาเรตพฺพาติฯ อยํ ลกฺขโณ หาโรฯ
‘‘Pathaviṃ pathavito sañjānātī’’ti idaṃ diṭṭhimaññanādīnaṃ saññāya kāraṇabhāvadassanaṃ. Tattha yathā saññā, evaṃ vitakkaphassāvijjāayonisomanasikārādayopi tāsaṃ kāraṇanti atthato tesampettha saṅgaho vutto hoti maññanānaṃ kāraṇabhāvena ekalakkhaṇattā. ‘‘Maññatī’’ti iminā maññanākiccena taṇhāmānadiṭṭhiyo gahitā tāsaṃ kilesasabhāvattā. Taggahaṇeneva vicikicchādinampi saṅgaho daṭṭhabbo kilesalakkhaṇena ekalakkhaṇattā. Tathā taṇhāya hetusabhāvattā taggahaṇeneva avasiṭṭhākusalahetūnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo hetulakkhaṇena ekalakkhaṇattā. Tathā taṇhādiṭṭhīnaṃ āsavādisabhāvattā taggahaṇeneva avasiṭṭhāsavoghayogaganthanīvaraṇādīnampi saṅgaho daṭṭhabbo āsavādisabhāvattā ekalakkhaṇattā. Tathā ‘‘pathaviṃ maññatī’’tiādinā pathavīādīnaṃ rūpasabhāvattā tabbisayānañca maññanānaṃ rūpavisayattā taggahaṇeneva sakalarūpakkhandhavisayāpi maññanā dassitā honti rūpavisayalakkhaṇena āsaṃ ekalakkhaṇattā. Evaṃ cakkhāyatanādivisayāpi maññanā niddhāretabbā. ‘‘Apariññāta’’nti pariññāpaṭikkhepena tappaṭibaddhakilesānaṃ pahānapaṭikkhepoti daṭṭhabbo maggakiccabhāvena pariññāpahānānaṃ ekalakkhaṇattā. Iminā nayena sesesupi yathārahaṃ ekalakkhaṇā niddhāretabbāti. Ayaṃ lakkhaṇo hāro.
๖. จตุพฺยูหหารวณฺณนา
6. Catubyūhahāravaṇṇanā
ปถวีอาทีสุ วตฺถูสุ พฺยญฺชนจฺฉายาย อตฺถํ คเหตฺวา ธมฺมคมฺภีรตํ อสลฺลเกฺขตฺวา อสทฺธมฺมสฺสวนาทินา วญฺจิตา หุตฺวา สทฺธมฺมสฺสวนธารณปริจยมนสิการวิมุขา ปถวีอาทีสุ วตฺถูสุ ปุถุชฺชนเสกฺขาเสกฺขตถาคตานํ ปฎิปตฺติวิเสสํ อชานนฺตา จ เวเนยฺยา อิมิสฺสา เทสนาย นิทานํฯ เต ‘‘กถํ นุ โข ยถาวุตฺตโทสวินิมุตฺตา ยถาวุตฺตญฺจ วิเสสํ ชานนฺตา สมฺมาปฎิปตฺติยา อุภยหิตปรายณา สเวยฺยุ’’นฺติ อยเมตฺถ ภควโต อธิปฺปาโยฯ ปทนิพฺพจนํ นิรุตฺตํ, ตํ ‘‘เอว’’นฺติอาทินิทานปทานํ, ‘‘สพฺพธมฺมมูลปริยาย’’นฺติอาทิปาฬิปทานญฺจ อฎฺฐกถายํ, ตสฺสา ลีนตฺถวณฺณนายเญฺจว วุตฺตนเยน สุวิเญฺญยฺยตฺตา อติวิตฺถารภเยน น วิตฺถารยิมฺหฯ
Pathavīādīsu vatthūsu byañjanacchāyāya atthaṃ gahetvā dhammagambhīrataṃ asallakkhetvā asaddhammassavanādinā vañcitā hutvā saddhammassavanadhāraṇaparicayamanasikāravimukhā pathavīādīsu vatthūsu puthujjanasekkhāsekkhatathāgatānaṃ paṭipattivisesaṃ ajānantā ca veneyyā imissā desanāya nidānaṃ. Te ‘‘kathaṃ nu kho yathāvuttadosavinimuttā yathāvuttañca visesaṃ jānantā sammāpaṭipattiyā ubhayahitaparāyaṇā saveyyu’’nti ayamettha bhagavato adhippāyo. Padanibbacanaṃ niruttaṃ, taṃ ‘‘eva’’ntiādinidānapadānaṃ, ‘‘sabbadhammamūlapariyāya’’ntiādipāḷipadānañca aṭṭhakathāyaṃ, tassā līnatthavaṇṇanāyañceva vuttanayena suviññeyyattā ativitthārabhayena na vitthārayimha.
ปทปทตฺถเทสนานิเกฺขปสุตฺตสนฺธิวเสน ปญฺจวิธา สนฺธิฯ ตตฺถ ปทสฺส ปทนฺตเรน สมฺพโนฺธ ปทสนฺธิ, ตถา ปทตฺถสฺส ปทตฺถนฺตเรน สมฺพโนฺธ ปทตฺถสนฺธิ, โย ‘‘กิริยาการกสมฺพโนฺธ’’ติ วุจฺจติฯ นานานุสนฺธิกสฺส สุตฺตสฺส ตํตํอนุสนฺธีหิ สมฺพโนฺธ, เอกานุสนฺธิกสฺส ปน ปุพฺพาปรสมฺพโนฺธ เทสนาสนฺธิฯ ยา อฎฺฐกถายํ ‘‘ปุจฺฉานุสนฺธิ อชฺฌาสยานุสนฺธิ ยถานุสนฺธี’’ติ ติธา วิภตฺตาฯ อชฺฌาสโย เจตฺถ อตฺตชฺฌาสโย ปรชฺฌาสโยติ ทฺวิธา เวทิตโพฺพฯ ยํ ปเนตฺถ วตฺตพฺพํ, ตํ เหฎฺฐา นิทานวณฺณนายํ วุตฺตเมวฯ นิเกฺขปสนฺธิ จตุนฺนํ สุตฺตนิเกฺขปานํ วเสน เวทิตโพฺพฯ สุตฺตสนฺธิ อิธ ปฐมนิเกฺขปวเสเนว เวทิตโพฺพฯ กสฺมา ปเนตฺถ มูลปริยายสุตฺตเมว ปฐมํ นิกฺขิตฺตนฺติ? นายมนุโยโค กตฺถจิ นปฺปวตฺตติ, อปิจ ยสฺมา มญฺญนามูลกํ สกฺกายํ, สพฺพมญฺญนา จ ตตฺถ เอว อเนกเภทภินฺนา ปวตฺตติ, น ตสฺสา สวิสยาย เลสมตฺตมฺปิ สารํ อตฺถีติ ปถวีอาทิวิภาคภิเนฺนสุ มญฺญนาสุ จ สาติสยํ นิเพฺพธวิราคสญฺชนนี อุปริ เสกฺขาเสกฺขตถาคตคุณวิภาวนี จ อยํ เทสนาฯ สุตฺตนฺตเทสนา จ วิเสสโต ทิฎฺฐิวินิเวฐนกถา, ตสฺมา สนิสฺสยสฺส ทิฎฺฐิคฺคาหสฺส อาทิโต อสารภาวทีปนํ อุปริ จ สเพฺพสํ อริยานํ คุณวิเสสวิภาวนมิทํ สุตฺตํ ปฐมํ นิกฺขิตฺตํฯ กิญฺจ สกฺกาเย มญฺญนามญฺญนามุเขน ปวตฺตินิวตฺตีสุ อาทีนวานิสํสวิภาวนโต สเพฺพสํ ปุคฺคลานํ ปฎิปตฺติวิภาคโต จ อิทเมว สุตฺตํ ปฐมํ นิกฺขิตฺตํฯ
Padapadatthadesanānikkhepasuttasandhivasena pañcavidhā sandhi. Tattha padassa padantarena sambandho padasandhi, tathā padatthassa padatthantarena sambandho padatthasandhi, yo ‘‘kiriyākārakasambandho’’ti vuccati. Nānānusandhikassa suttassa taṃtaṃanusandhīhi sambandho, ekānusandhikassa pana pubbāparasambandho desanāsandhi. Yā aṭṭhakathāyaṃ ‘‘pucchānusandhi ajjhāsayānusandhi yathānusandhī’’ti tidhā vibhattā. Ajjhāsayo cettha attajjhāsayo parajjhāsayoti dvidhā veditabbo. Yaṃ panettha vattabbaṃ, taṃ heṭṭhā nidānavaṇṇanāyaṃ vuttameva. Nikkhepasandhi catunnaṃ suttanikkhepānaṃ vasena veditabbo. Suttasandhi idha paṭhamanikkhepavaseneva veditabbo. Kasmā panettha mūlapariyāyasuttameva paṭhamaṃ nikkhittanti? Nāyamanuyogo katthaci nappavattati, apica yasmā maññanāmūlakaṃ sakkāyaṃ, sabbamaññanā ca tattha eva anekabhedabhinnā pavattati, na tassā savisayāya lesamattampi sāraṃ atthīti pathavīādivibhāgabhinnesu maññanāsu ca sātisayaṃ nibbedhavirāgasañjananī upari sekkhāsekkhatathāgataguṇavibhāvanī ca ayaṃ desanā. Suttantadesanā ca visesato diṭṭhiviniveṭhanakathā, tasmā sanissayassa diṭṭhiggāhassa ādito asārabhāvadīpanaṃ upari ca sabbesaṃ ariyānaṃ guṇavisesavibhāvanamidaṃ suttaṃ paṭhamaṃ nikkhittaṃ. Kiñca sakkāye maññanāmaññanāmukhena pavattinivattīsu ādīnavānisaṃsavibhāvanato sabbesaṃ puggalānaṃ paṭipattivibhāgato ca idameva suttaṃ paṭhamaṃ nikkhittaṃ.
ยํ ปน เอกิสฺสา เทสนาย เทสนนฺตเรน สทฺธิํ สํสนฺทนํ, อยมฺปิ เทสนาสนฺธิ, สา เอวํ เวทิตพฺพาฯ ‘‘อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน…เป.… นิพฺพานํ อภินนฺทตี’’ติ อยํ เทสนาฯ ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน…เป.… สปฺปุริสธเมฺม อวินีโต มนสิกรณีเย ธเมฺม นปฺปชานาติ, อมนสิกรณีเย จ ธเมฺม นปฺปชานาติ, โส มนสิกรณีเย ธเมฺม อปฺปชานโนฺต อมนสิกรณีเย จ ธเมฺม อปฺปชานโนฺต เย ธมฺมา น มนสิกรณียา, เต ธเมฺม มนสิ กโรติ…เป.… อนุปฺปโนฺน วา กามาสโว อุปฺปชฺชติ, อุปฺปโนฺน วา กามาสโว ปวฑฺฒติฯ อนุปฺปโนฺน วา ภวาสโว อุปฺปชฺชติ, อุปฺปโนฺน วา ภวาสโว ปวฑฺฒติ, อนุปฺปโนฺน วา อวิชฺชาสโว อุปฺปชฺชติ, อุปฺปโนฺน วา อวิชฺชาสโว ปวฑฺฒตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๗) อิมาย เทสนาย สํสนฺทติฯ ตถา ‘‘ตเสฺสตํ ปาฎิกงฺขํ สุภนิมิตฺตํ มนสิ กริสฺสติ, ตสฺส สุภนิมิตฺตสฺส มนสิการา ราโค จิตฺตํ อนุทฺธํเสสฺสติ, โส สราโค สโทโส สโมโห สางฺคโณ สํกิลิฎฺฐจิโตฺต กาลํ กริสฺสตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๕๙) อิมาย เทสนาย สํสนฺทติฯ ตถา ‘‘จกฺขุญฺจาวุโส ปฎิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺญาณํ, ติณฺณํ สงฺคติ ผโสฺส, ผสฺสปจฺจยา เวทนาฯ ยํ เวเทติ ตํ สญฺชานาติ, ยํ สญฺชานาติ ตํ วิตเกฺกติ, ยํ วิตเกฺกติ ตํ ปปเญฺจติ, ยํ ปปเญฺจติ ตโตนิทานํ ปุริสํ ปปญฺจสญฺญาสงฺขา สมุทาจรนฺตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๐๔) อิมาย เทสนาย สํสนฺทติฯ ตถา ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, อสุตวา ปุถุชฺชโน…เป.… สปฺปุริสธเมฺม อวินีโต รูปํ ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’ติ สมนุปสฺสติฯ เวทนํ…เป.…, สญฺญํ…เป.…, สงฺขาเร…เป.…, วิญฺญาณํ ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’ติ สมนุปสฺสติฯ ยมฺปิ ตํ ทิฎฺฐํ…เป.… ยมฺปิ ตํ ทิฎฺฐิฎฺฐานํ, โส โลโก โส อตฺตา โส เปจฺจ ภวิสฺสามิ นิโจฺจ ธุโว สสฺสโต อวิปริณามธโมฺม สสฺสติสมํ ตเถว ฐสฺสามีติ, ตมฺปิ ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’ติ สมนุปสฺสตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๔๑) อิมาย เทสนาย สํสนฺทติฯ
Yaṃ pana ekissā desanāya desanantarena saddhiṃ saṃsandanaṃ, ayampi desanāsandhi, sā evaṃ veditabbā. ‘‘Assutavā puthujjano…pe… nibbānaṃ abhinandatī’’ti ayaṃ desanā. ‘‘Idha, bhikkhave, assutavā puthujjano…pe… sappurisadhamme avinīto manasikaraṇīye dhamme nappajānāti, amanasikaraṇīye ca dhamme nappajānāti, so manasikaraṇīye dhamme appajānanto amanasikaraṇīye ca dhamme appajānanto ye dhammā na manasikaraṇīyā, te dhamme manasi karoti…pe… anuppanno vā kāmāsavo uppajjati, uppanno vā kāmāsavo pavaḍḍhati. Anuppanno vā bhavāsavo uppajjati, uppanno vā bhavāsavo pavaḍḍhati, anuppanno vā avijjāsavo uppajjati, uppanno vā avijjāsavo pavaḍḍhatī’’ti (ma. ni. 1.17) imāya desanāya saṃsandati. Tathā ‘‘tassetaṃ pāṭikaṅkhaṃ subhanimittaṃ manasi karissati, tassa subhanimittassa manasikārā rāgo cittaṃ anuddhaṃsessati, so sarāgo sadoso samoho sāṅgaṇo saṃkiliṭṭhacitto kālaṃ karissatī’’ti (ma. ni. 1.59) imāya desanāya saṃsandati. Tathā ‘‘cakkhuñcāvuso paṭicca rūpe ca uppajjati cakkhuviññāṇaṃ, tiṇṇaṃ saṅgati phasso, phassapaccayā vedanā. Yaṃ vedeti taṃ sañjānāti, yaṃ sañjānāti taṃ vitakketi, yaṃ vitakketi taṃ papañceti, yaṃ papañceti tatonidānaṃ purisaṃ papañcasaññāsaṅkhā samudācarantī’’ti (ma. ni. 1.204) imāya desanāya saṃsandati. Tathā ‘‘idha, bhikkhave, asutavā puthujjano…pe… sappurisadhamme avinīto rūpaṃ ‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’ti samanupassati. Vedanaṃ…pe…, saññaṃ…pe…, saṅkhāre…pe…, viññāṇaṃ ‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’ti samanupassati. Yampi taṃ diṭṭhaṃ…pe… yampi taṃ diṭṭhiṭṭhānaṃ, so loko so attā so pecca bhavissāmi nicco dhuvo sassato avipariṇāmadhammo sassatisamaṃ tatheva ṭhassāmīti, tampi ‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’ti samanupassatī’’ti (ma. ni. 1.241) imāya desanāya saṃsandati.
‘‘โยปิ โส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ…เป.… นิพฺพานํ มาภินนฺที’’ติ อยํ เทสนาฯ ‘‘อิธ, เทวานมินฺท, ภิกฺขุโน สุตํ โหติ ‘สเพฺพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสายา’ติ, เอวเญฺจตํ, เทวานมินฺท, ภิกฺขุโน สุตํ โหติ ‘สเพฺพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสายา’ติ, โส สพฺพํ ธมฺมํ อภิชานาติ, สพฺพํ ธมฺมํ อภิญฺญาย สพฺพํ ธมฺมํ ปริชานาติ, สพฺพํ ธมฺมํ ปริญฺญาย ยํ กิญฺจิ เวทนํ เวเทติ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, โส ตาสุ เวทนาสุ อนิจฺจานุปสฺสี วิหรติ, วิราคานุปสฺสี วิหรติ, นิโรธานุปสฺสี วิหรติ, ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสี วิหรตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๙๐) อิมาย เทสนาย สํสนฺทติฯ ‘‘โยปิ โส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อรหํ…เป.… อภิสมฺพุโทฺธติ วทามี’’ติ อยํ เทสนา ‘‘สุตวา จ โข, ภิกฺขเว, อริยสาวโก…เป.… สปฺปุริสธเมฺม สุวินีโต รูปํ ‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’ติ สมนุปสฺสติ, เวทนํ…เป.…, สญฺญํ…เป.…, สงฺขาเร…เป.…, วิญฺญาณํ ‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’ติ สมนุปสฺสติฯ ยมฺปิ ตํ ทิฎฺฐํ สุตํ วิญฺญาตํ ปตฺตํ ปริเยสิตํ อนุวิจริตํ มนสา, ตมฺปิ ‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’ติ สมนุปสฺสติฯ ยมฺปิ ตํ ทิฎฺฐิฎฺฐานํ, โส โลโก โส อตฺตา โส เปจฺจ ภวิสฺสามิ ‘นิโจฺจ ธุโว สสฺสโต อปิ ปริณามธโมฺม สสฺสติสมํ ตเถว ฐสฺสามี’ติ, ตมฺปิ ‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’ติ สมนุปสฺสติฯ โส เอวํ สมนุปสฺสโนฺต น ปริตสฺสตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๔๑) เอวมาทิเทสนาหิ สํสนฺทตีติ, อยํ จตุพฺยูโห หาโรฯ
‘‘Yopi so, bhikkhave, bhikkhu…pe… nibbānaṃ mābhinandī’’ti ayaṃ desanā. ‘‘Idha, devānaminda, bhikkhuno sutaṃ hoti ‘sabbe dhammā nālaṃ abhinivesāyā’ti, evañcetaṃ, devānaminda, bhikkhuno sutaṃ hoti ‘sabbe dhammā nālaṃ abhinivesāyā’ti, so sabbaṃ dhammaṃ abhijānāti, sabbaṃ dhammaṃ abhiññāya sabbaṃ dhammaṃ parijānāti, sabbaṃ dhammaṃ pariññāya yaṃ kiñci vedanaṃ vedeti sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā, so tāsu vedanāsu aniccānupassī viharati, virāgānupassī viharati, nirodhānupassī viharati, paṭinissaggānupassī viharatī’’ti (ma. ni. 1.390) imāya desanāya saṃsandati. ‘‘Yopi so, bhikkhave, bhikkhu arahaṃ…pe… abhisambuddhoti vadāmī’’ti ayaṃ desanā ‘‘sutavā ca kho, bhikkhave, ariyasāvako…pe… sappurisadhamme suvinīto rūpaṃ ‘netaṃ mama, nesohamasmi, na meso attā’ti samanupassati, vedanaṃ…pe…, saññaṃ…pe…, saṅkhāre…pe…, viññāṇaṃ ‘netaṃ mama, nesohamasmi, na meso attā’ti samanupassati. Yampi taṃ diṭṭhaṃ sutaṃ viññātaṃ pattaṃ pariyesitaṃ anuvicaritaṃ manasā, tampi ‘netaṃ mama, nesohamasmi, na meso attā’ti samanupassati. Yampi taṃ diṭṭhiṭṭhānaṃ, so loko so attā so pecca bhavissāmi ‘nicco dhuvo sassato api pariṇāmadhammo sassatisamaṃ tatheva ṭhassāmī’ti, tampi ‘netaṃ mama, nesohamasmi, na meso attā’ti samanupassati. So evaṃ samanupassanto na paritassatī’’ti (ma. ni. 1.241) evamādidesanāhi saṃsandatīti, ayaṃ catubyūho hāro.
๗. อาวตฺตหารวณฺณนา
7. Āvattahāravaṇṇanā
‘‘อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน’’ติ อิมินา โยนิโสมนสิการปฎิเกฺขปมุเขน อโยนิโสมนสิการปริคฺคโห ทีปิโตฯ ‘‘อริยานํ อทสฺสาวี’’ติอาทินา สปฺปุริสูปนิสฺสยาทิปฎิเกฺขปมุเขน อสปฺปุริสูปนิสฺสยาทิปริคฺคโห ทีปิโตฯ เตสุ ปุริมนเยน อาสยวิปตฺติ กิตฺติตา, ทุติเยน ปโยควิปตฺติฯ ปุริเมน จสฺส กิเลสวฎฺฎํ, ตญฺจ ยโต วิปากวฎฺฎนฺติ สกลํ สํสารจกฺกมาวตฺตติฯ ‘‘ปถวิํ มญฺญตี’’ติอาทินา ตตฺถ ติโสฺส มญฺญนา วุตฺตาฯ ตาสุ ตณฺหามญฺญนา ‘‘เอตํ มมา’’ติ ตณฺหาคฺคาโห, มานมญฺญนา ‘‘เอโสหมสฺมี’’ติ มานคฺคาโห, ทิฎฺฐิมญฺญนา ‘‘เอโส เม อตฺตา’’ติ ทิฎฺฐิคฺคาโหฯ ตตฺถ ตณฺหาคฺคาเหน ‘‘ตณฺหํ ปฎิจฺจปริเยสนา’’ติอาทิกา (ที. นิ. ๒.๑๐๓; ที. นิ. ๓.๓๕๙; อ. นิ. ๓.๒๓; วิภ. ๙๖๓) นว ตณฺหามูลกา ธมฺมา อาวตฺตนฺติฯ มานคฺคาเหน ‘‘เสโยฺยหมสฺมี’’ติอาทิกา นว มานวิธา อาวตฺตนฺติฯ ทิฎฺฐิคฺคาเหน ‘‘รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’’ติอาทิกา (สํ. นิ. ๔.๓๔๕) วีสติวตฺถุกา สกฺกายทิฎฺฐิ อาวตฺตติฯ ตีสุ จ คาเหสุ ยาย สญฺญาย ตณฺหาคฺคาหสฺส วิกฺขมฺภนา, สา ทุกฺขสญฺญา ทุกฺขานุปสฺสนาฯ ยาย สญฺญาย มานคฺคาหสฺส วิกฺขมฺภนา, สา อนิจฺจสญฺญา อนิจฺจานุปสฺสนาฯ ยาย ปน สญฺญาย ทิฎฺฐิคฺคาหสฺส วิกฺขมฺภนา, สา อนตฺตสญฺญา อนตฺตานุปสฺสนาฯ ตตฺถ ปฐมคฺคาหวิสภาคโต อปฺปณิหิตวิโมกฺขมุขํ อาวตฺตติ, ทุติยคฺคาหวิสภาคโต อนิมิตฺตวิโมกฺขมุขํ อาวตฺตติ, ตติยคฺคาหวิสภาคโต สุญฺญตวิโมกฺขมุขํ อาวตฺตติฯ
‘‘Assutavā puthujjano’’ti iminā yonisomanasikārapaṭikkhepamukhena ayonisomanasikārapariggaho dīpito. ‘‘Ariyānaṃ adassāvī’’tiādinā sappurisūpanissayādipaṭikkhepamukhena asappurisūpanissayādipariggaho dīpito. Tesu purimanayena āsayavipatti kittitā, dutiyena payogavipatti. Purimena cassa kilesavaṭṭaṃ, tañca yato vipākavaṭṭanti sakalaṃ saṃsāracakkamāvattati. ‘‘Pathaviṃ maññatī’’tiādinā tattha tisso maññanā vuttā. Tāsu taṇhāmaññanā ‘‘etaṃ mamā’’ti taṇhāggāho, mānamaññanā ‘‘esohamasmī’’ti mānaggāho, diṭṭhimaññanā ‘‘eso me attā’’ti diṭṭhiggāho. Tattha taṇhāggāhena ‘‘taṇhaṃ paṭiccapariyesanā’’tiādikā (dī. ni. 2.103; dī. ni. 3.359; a. ni. 3.23; vibha. 963) nava taṇhāmūlakā dhammā āvattanti. Mānaggāhena ‘‘seyyohamasmī’’tiādikā nava mānavidhā āvattanti. Diṭṭhiggāhena ‘‘rūpaṃ attato samanupassatī’’tiādikā (saṃ. ni. 4.345) vīsativatthukā sakkāyadiṭṭhi āvattati. Tīsu ca gāhesu yāya saññāya taṇhāggāhassa vikkhambhanā, sā dukkhasaññā dukkhānupassanā. Yāya saññāya mānaggāhassa vikkhambhanā, sā aniccasaññā aniccānupassanā. Yāya pana saññāya diṭṭhiggāhassa vikkhambhanā, sā anattasaññā anattānupassanā. Tattha paṭhamaggāhavisabhāgato appaṇihitavimokkhamukhaṃ āvattati, dutiyaggāhavisabhāgato animittavimokkhamukhaṃ āvattati, tatiyaggāhavisabhāgato suññatavimokkhamukhaṃ āvattati.
เสกฺขคฺคหเณน อริยาย สมฺมาทิฎฺฐิยา สงฺคโห, ตโต จ ปรโตโฆสโยนิโสมนสิการา ทีปิตา โหนฺติฯ ปรโตโฆเสน จ สุตวา อริยสาวโกติ อาวตฺตติ, โยนิโสมนสิกาเรน นว โยนิโสมนสิการมูลกา ธมฺมา อาวตฺตนฺติ, จตุพฺพิธญฺจ สมฺปตฺติจกฺกํฯ ‘‘มา มญฺญี’’ติ มญฺญนานํ วิปฺปกตปฺปหานตาคหเณน เอกจฺจาสวปริกฺขโย ทีปิโต โหติ, เตน จ สทฺธาวิมุตฺตทิฎฺฐิปฺปตฺตกายสกฺขิภาวา อาวตฺตนฺติฯ ‘‘อรหํ ขีณาสโว’’ติอาทินา อเสกฺขา สีลกฺขนฺธาทโย ทสฺสิตา โหนฺติ, สีลกฺขนฺธาทิปาริปูริยา จ ทส นาถกรณา ธมฺมา อาวตฺตนฺติฯ ‘‘น มญฺญตี’’ติ มญฺญนาปฎิเกฺขเปน ปญฺจสุ อุปาทานกฺขเนฺธสุ ‘‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’’ติ สมฺมาปฎิปตฺติ ทสฺสิตา, ตาย จ สาติสยา นิกนฺติปริยาทานมานสมุคฺฆาฎนทิฎฺฐิอุคฺฆาฎนานิ ปกาสิตานีติ อปฺปณิหิตานิมิตฺต-สุญฺญตวิโมกฺขา อาวตฺตนฺติฯ
Sekkhaggahaṇena ariyāya sammādiṭṭhiyā saṅgaho, tato ca paratoghosayonisomanasikārā dīpitā honti. Paratoghosena ca sutavā ariyasāvakoti āvattati, yonisomanasikārena nava yonisomanasikāramūlakā dhammā āvattanti, catubbidhañca sampatticakkaṃ. ‘‘Mā maññī’’ti maññanānaṃ vippakatappahānatāgahaṇena ekaccāsavaparikkhayo dīpito hoti, tena ca saddhāvimuttadiṭṭhippattakāyasakkhibhāvā āvattanti. ‘‘Arahaṃ khīṇāsavo’’tiādinā asekkhā sīlakkhandhādayo dassitā honti, sīlakkhandhādipāripūriyā ca dasa nāthakaraṇā dhammā āvattanti. ‘‘Na maññatī’’ti maññanāpaṭikkhepena pañcasu upādānakkhandhesu ‘‘netaṃ mama, nesohamasmi, na meso attā’’ti sammāpaṭipatti dassitā, tāya ca sātisayā nikantipariyādānamānasamugghāṭanadiṭṭhiugghāṭanāni pakāsitānīti appaṇihitānimitta-suññatavimokkhā āvattanti.
‘‘ตถาคโต’’ติอาทินา สพฺพญฺญุคุณา วิภาวิตาติ ตทวินาภาวโต ทสพล-จตุเวสารชฺชอสาธารณญาณอาเวณิกพุทฺธธมฺมา อาวตฺตนฺติฯ ‘‘นนฺที ทุกฺขสฺส มูล’’นฺติอาทินา สทฺธิํ เหตุนา วฎฺฎวิวฎฺฎํ กถิตนฺติ ปวตฺตินิวตฺติตทุภยเหตุวิภาวเนน จตฺตาริ อริยสจฺจานิ อาวตฺตนฺติฯ ‘‘ตณฺหานํ ขยา’’ติอาทินา ตณฺหปฺปหานาปเทเสน ตเทกฎฺฐภาวโต ทิยฑฺฒสฺส กิเลสสหสฺสสฺส ปหานํ อาวตฺตติฯ ‘‘สพฺพโส ตณฺหานํ ขยา สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ’’ติ จ วุตฺตตฺตา ‘‘นนฺที ทุกฺขสฺส มูล’’นฺติ, ‘‘อิติ วิทิตฺวา’’ติอาทินา วุตฺตสฺส มญฺญนาภาวเหตุภูตสฺส ปจฺจยาการเวทนสฺส สาวเกหิ อสาธารณญาณจารภาโว ทสฺสิโต, เตน จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสสมาปตฺติสญฺจาริ ภควโต มหาวชิรญาณํ อาวตฺตตีติฯ อยํ อาวโตฺต หาโรฯ
‘‘Tathāgato’’tiādinā sabbaññuguṇā vibhāvitāti tadavinābhāvato dasabala-catuvesārajjaasādhāraṇañāṇaāveṇikabuddhadhammā āvattanti. ‘‘Nandī dukkhassa mūla’’ntiādinā saddhiṃ hetunā vaṭṭavivaṭṭaṃ kathitanti pavattinivattitadubhayahetuvibhāvanena cattāri ariyasaccāni āvattanti. ‘‘Taṇhānaṃ khayā’’tiādinā taṇhappahānāpadesena tadekaṭṭhabhāvato diyaḍḍhassa kilesasahassassa pahānaṃ āvattati. ‘‘Sabbaso taṇhānaṃ khayā sammāsambodhiṃ abhisambuddho’’ti ca vuttattā ‘‘nandī dukkhassa mūla’’nti, ‘‘iti viditvā’’tiādinā vuttassa maññanābhāvahetubhūtassa paccayākāravedanassa sāvakehi asādhāraṇañāṇacārabhāvo dassito, tena catuvīsatikoṭisatasahassasamāpattisañcāri bhagavato mahāvajirañāṇaṃ āvattatīti. Ayaṃ āvatto hāro.
๘. วิภตฺติหารวณฺณนา
8. Vibhattihāravaṇṇanā
‘‘สพฺพธมฺมมูลปริยาย’’นฺติ เอตฺถ สพฺพธมฺมา นาม เตภูมกา ธมฺมา สกฺกายสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ เตสํ มญฺญนา ปทฎฺฐานํ ปปญฺจสงฺขานิมิตฺตตฺตา โลกวิจิตฺตสฺสฯ ตยิเม กุสลา อกุสลา อพฺยากตาติ ติวิธาฯ เตสุ กุสลานํ โยนิโสมนสิการาทิ ปทฎฺฐานํ, อกุสลานํ อโยนิโสมนสิการาทิ, อพฺยากตานํ กมฺมภวอาวชฺชนภูตรูปาทิ ปทฎฺฐานํฯ ตตฺถ กุสลา กามาวจราทิวเสน ภูมิโต ติวิธา, ตถา อพฺยากตา จิตฺตุปฺปาทสภาวา, อจิตฺตุปฺปาทสภาวา ปน กามาวจราว ตถา อกุสลาฯ ปริยตฺติปฎิปตฺติปฎิเวธสุตกิจฺจาภาเวน ติวิโธ อสฺสุตวาฯ อนฺธกลฺยาณวิภาเคน ทุวิโธ ปุถุชฺชโนฯ สมฺมาสมฺพุทฺธปเจฺจกพุทฺธสาวกเภเทน ติวิธา อริยาฯ มํสจกฺขุทิพฺพจกฺขุปญฺญาจกฺขูหิ ทสฺสนาภาเวน ติวิโธ อทสฺสาวีฯ มคฺคผลนิพฺพานเภเทน ติวิโธ, นววิโธ วา อริยธโมฺมฯ สวนธารณปริจยมนสิการปฎิเวธวเสน ปญฺจวิธา อริยธมฺมสฺส โกวิทตาฯ ตทภาวโต อโกวิโทฯ สํวรปหานเภเทน ทุวิโธ, ทสวิโธ วา อริยธมฺมวินโย, ตทภาวโต อริยธเมฺม อวินีโตฯ เอตฺถ ปทฎฺฐานวิภาโค เหฎฺฐา ทสฺสิโตเยวฯ ‘‘สปฺปุริสานํ อทสฺสาวี’’ติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ‘‘ปถวิํ มญฺญตี’’ติอาทีสุ มญฺญนาวตฺถุวิภาโค ปาฬิยํ อาคโตว, ตถา อชฺฌตฺติกพาหิราทิโก จ อนฺตรวิภาโคฯ
‘‘Sabbadhammamūlapariyāya’’nti ettha sabbadhammā nāma tebhūmakā dhammā sakkāyassa adhippetattā. Tesaṃ maññanā padaṭṭhānaṃ papañcasaṅkhānimittattā lokavicittassa. Tayime kusalā akusalā abyākatāti tividhā. Tesu kusalānaṃ yonisomanasikārādi padaṭṭhānaṃ, akusalānaṃ ayonisomanasikārādi, abyākatānaṃ kammabhavaāvajjanabhūtarūpādi padaṭṭhānaṃ. Tattha kusalā kāmāvacarādivasena bhūmito tividhā, tathā abyākatā cittuppādasabhāvā, acittuppādasabhāvā pana kāmāvacarāva tathā akusalā. Pariyattipaṭipattipaṭivedhasutakiccābhāvena tividho assutavā. Andhakalyāṇavibhāgena duvidho puthujjano. Sammāsambuddhapaccekabuddhasāvakabhedena tividhā ariyā. Maṃsacakkhudibbacakkhupaññācakkhūhi dassanābhāvena tividho adassāvī. Maggaphalanibbānabhedena tividho, navavidho vā ariyadhammo. Savanadhāraṇaparicayamanasikārapaṭivedhavasena pañcavidhā ariyadhammassa kovidatā. Tadabhāvato akovido. Saṃvarapahānabhedena duvidho, dasavidho vā ariyadhammavinayo, tadabhāvato ariyadhamme avinīto. Ettha padaṭṭhānavibhāgo heṭṭhā dassitoyeva. ‘‘Sappurisānaṃ adassāvī’’tiādīsupi eseva nayo. ‘‘Pathaviṃ maññatī’’tiādīsu maññanāvatthuvibhāgo pāḷiyaṃ āgatova, tathā ajjhattikabāhirādiko ca antaravibhāgo.
มญฺญนา ปน ตณฺหามานทิฎฺฐิวเสน สเงฺขปโต ติวิธา, วิตฺถารโต ปน ตณฺหามญฺญนา ตาว กามตณฺหาทิวเสน อฎฺฐสตวิธา, ตถา ‘‘อสฺมีติ สติ อิตฺถํสฺมีติ โหตี’’ติอาทินาฯ เอวํ มานมญฺญนาปิฯ ‘‘อสฺมีติ สติ อิตฺถํสฺมีติ โหตี’’ติอาทินา ปปญฺจตฺตยํ อุทฺทิฎฺฐํ นิทฺทิฎฺฐญฺจาติ ฯ เอเตน ทิฎฺฐิมญฺญนายปิ อฎฺฐสตวิธตา วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ อปิจ เสยฺยสฺส ‘‘เสโยฺยหมสฺมี’’ติอาทินา มานมญฺญนาย นววิธตา ตทนฺตรเภเทน อเนกวิธตา จ เวทิตพฺพาฯ อยญฺจ อโตฺถ หีนตฺติกตฺถวณฺณนาย วิภาเวตโพฺพฯ ทิฎฺฐิมญฺญนาย ปน พฺรหฺมชาเล อาคตนเยน ทฺวาสฎฺฐิวิธตา ตทนฺตรเภเทน อเนกวิธตา จ เวทิตพฺพาฯ ‘‘อปริญฺญาต’’นฺติ เอตฺถ ญาตปริญฺญาทิวเสน เจว รูปมุขาทิอภินิเวสเภทาทิวเสน จ ปริญฺญานํ อเนกวิธตา เวทิตพฺพาฯ ตถา อฎฺฐมกาทิวเสน เสกฺขวิภาโค ปญฺญาวิมุตฺตาทิวเสน อเสกฺขวิภาโค จฯ อยเมตฺถ ธมฺมวิภาโคฯ ปทฎฺฐานวิภาโค จ ภูมิวิภาโค จ วุตฺตนยานุสาเรน เวทิตพฺพาติฯ อยํ วิภตฺติหาโรฯ
Maññanā pana taṇhāmānadiṭṭhivasena saṅkhepato tividhā, vitthārato pana taṇhāmaññanā tāva kāmataṇhādivasena aṭṭhasatavidhā, tathā ‘‘asmīti sati itthaṃsmīti hotī’’tiādinā. Evaṃ mānamaññanāpi. ‘‘Asmīti sati itthaṃsmīti hotī’’tiādinā papañcattayaṃ uddiṭṭhaṃ niddiṭṭhañcāti . Etena diṭṭhimaññanāyapi aṭṭhasatavidhatā vuttāti veditabbā. Apica seyyassa ‘‘seyyohamasmī’’tiādinā mānamaññanāya navavidhatā tadantarabhedena anekavidhatā ca veditabbā. Ayañca attho hīnattikatthavaṇṇanāya vibhāvetabbo. Diṭṭhimaññanāya pana brahmajāle āgatanayena dvāsaṭṭhividhatā tadantarabhedena anekavidhatā ca veditabbā. ‘‘Apariññāta’’nti ettha ñātapariññādivasena ceva rūpamukhādiabhinivesabhedādivasena ca pariññānaṃ anekavidhatā veditabbā. Tathā aṭṭhamakādivasena sekkhavibhāgo paññāvimuttādivasena asekkhavibhāgo ca. Ayamettha dhammavibhāgo. Padaṭṭhānavibhāgo ca bhūmivibhāgo ca vuttanayānusārena veditabbāti. Ayaṃ vibhattihāro.
๙. ปริวตฺตหารวณฺณนา
9. Parivattahāravaṇṇanā
‘‘สพฺพธมฺมมูลปริยาย’’นฺติ เอตฺถ ‘‘สพฺพธมฺมา’’ติ ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา คหิตา, เตสํ มูลการณนฺติ จ ตณฺหามานทิฎฺฐิโยฯ ตถา อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน…เป.… สปฺปุริสธเมฺม อวินีโตติฯ ยาวกีวญฺจ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขเนฺธสุ สุภโต สุขโต นิจฺจโต อตฺตโต สมนุปสฺสนวเสน ‘‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’’ติ ตณฺหามานทิฎฺฐิคาหา น สมุจฺฉิชฺชนฺติ, ตาว เนสํ ปพนฺธูปรโม สุปินเนฺตปิ น เกนจิ ลทฺธปุโพฺพฯ ยทา ปน เนสํ อสุภโต ทุกฺขโต อนิจฺจโต อนตฺตโต สมนุปสฺสนวเสน ‘‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’’ติ ปวตฺตมานา อปฺปณิหิตานิมิตฺตสุญฺญตานุปสฺสนา อุสฺสกฺกิตฺวา อริยมคฺคาธิคมาย สํวตฺตนฺติ, อถ เนสํ ปพนฺธูปรโม โหติ อจฺจนฺตอปฺปญฺญตฺติกภาวูปคมนโตฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สพฺพธมฺมาติ ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา คหิตา, เตสํ มูลการณนฺติ จ ตณฺหามานทิฎฺฐิโย’’ติฯ ตถา อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน…เป.… สปฺปุริสธเมฺม อวินีโต ตีหิปิ มญฺญนาหิ ปถวิํ มญฺญติ ยาว นิพฺพานํ อภินนฺทติ, ตีหิปิ ปริญฺญาหิ ตสฺส ตํ วตฺถุ อปริญฺญาตนฺติ กตฺวาฯ ยสฺส ปน ตํ วตฺถุ ตีหิ ปริญฺญาหิ ปริญฺญาตํ, น โส อิตโร วิย ตํ มญฺญติฯ เตนาห ภควา ‘‘สุตวา จ โข, ภิกฺขเว, อริยสาวโก…เป.… สปฺปุริสธเมฺม สุวินีโต รูปํ ‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’ติ สมนุปสฺสติ, เวทนํ…เป.… อสติ น ปริตสฺสตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๔๑)ฯ เสโกฺข ปถวิํ มา มญฺญิ, ยาว นิพฺพานํ มาภินนฺทิ, อรหา สมฺมาสมฺพุโทฺธ จ ปถวิํ น มญฺญติ, ยาว นิพฺพานํ นาภินนฺทติ, มญฺญนามญฺญิเตสุ วตฺถูสุ มตฺตโส สพฺพโส จ ปริญฺญาภิสมยสํสิทฺธิยา ปหานาภิสมยนิพฺพตฺติโตฯ ยสฺส ปน เตสุ วตฺถูสุ สพฺพโส มตฺตโส วา ปริญฺญา เอว นตฺถิ, กุโต ปหานํ, โส ยถาปริกปฺปํ นิรงฺกุสาหิ มญฺญนาหิ ‘‘เอตํ มมา’’ติอาทินา มญฺญเตวฯ เตนาห ภควา ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน…เป.… สปฺปุริสธเมฺม อวินีโต รูปํ ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’ติ สมนุปสฺสติ, เวทนํ…เป.…, สญฺญ…เป.…’’นฺติอาทิ (ม. นิ. ๑.๒๔๑)ฯ อยํ ปริวโตฺต หาโรฯ
‘‘Sabbadhammamūlapariyāya’’nti ettha ‘‘sabbadhammā’’ti pañcupādānakkhandhā gahitā, tesaṃ mūlakāraṇanti ca taṇhāmānadiṭṭhiyo. Tathā assutavā puthujjano…pe… sappurisadhamme avinītoti. Yāvakīvañca pañcasu upādānakkhandhesu subhato sukhato niccato attato samanupassanavasena ‘‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’’ti taṇhāmānadiṭṭhigāhā na samucchijjanti, tāva nesaṃ pabandhūparamo supinantepi na kenaci laddhapubbo. Yadā pana nesaṃ asubhato dukkhato aniccato anattato samanupassanavasena ‘‘netaṃ mama, nesohamasmi, na meso attā’’ti pavattamānā appaṇihitānimittasuññatānupassanā ussakkitvā ariyamaggādhigamāya saṃvattanti, atha nesaṃ pabandhūparamo hoti accantaappaññattikabhāvūpagamanato. Tena vuttaṃ ‘‘sabbadhammāti pañcupādānakkhandhā gahitā, tesaṃ mūlakāraṇanti ca taṇhāmānadiṭṭhiyo’’ti. Tathā assutavā puthujjano…pe… sappurisadhamme avinīto tīhipi maññanāhi pathaviṃ maññati yāva nibbānaṃ abhinandati, tīhipi pariññāhi tassa taṃ vatthu apariññātanti katvā. Yassa pana taṃ vatthu tīhi pariññāhi pariññātaṃ, na so itaro viya taṃ maññati. Tenāha bhagavā ‘‘sutavā ca kho, bhikkhave, ariyasāvako…pe… sappurisadhamme suvinīto rūpaṃ ‘netaṃ mama, nesohamasmi, na meso attā’ti samanupassati, vedanaṃ…pe… asati na paritassatī’’ti (ma. ni. 1.241). Sekkho pathaviṃ mā maññi, yāva nibbānaṃ mābhinandi, arahā sammāsambuddho ca pathaviṃ na maññati, yāva nibbānaṃ nābhinandati, maññanāmaññitesu vatthūsu mattaso sabbaso ca pariññābhisamayasaṃsiddhiyā pahānābhisamayanibbattito. Yassa pana tesu vatthūsu sabbaso mattaso vā pariññā eva natthi, kuto pahānaṃ, so yathāparikappaṃ niraṅkusāhi maññanāhi ‘‘etaṃ mamā’’tiādinā maññateva. Tenāha bhagavā ‘‘idha, bhikkhave, assutavā puthujjano…pe… sappurisadhamme avinīto rūpaṃ ‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’ti samanupassati, vedanaṃ…pe…, sañña…pe…’’ntiādi (ma. ni. 1.241). Ayaṃ parivatto hāro.
๑๐. เววจนหารวณฺณนา
10. Vevacanahāravaṇṇanā
‘‘สพฺพธมฺมา สกลธมฺมา อนวเสสธมฺมา’’ติ ปริยายวจนํ, ‘‘มูลปริยายํ มูลการณํ อสาธารณเหตุ’’นฺติ ปริยายวจนํ, ‘‘มูลปริยายนฺติ วา มูลเทสนํ การณตถน’’นฺติ ปริยายวจนํ, ‘‘โว ตุมฺหากํ ตุมฺห’’นฺติ ปริยายวจนํ, ‘‘ภิกฺขเว, สมณา ตปสฺสิโน’’ติ ปริยายวจนํ, ‘‘เทเสสฺสามี กเถสฺสามี ปญฺญเปสฺสามี’’ติ ปริยายวจนํ, ‘‘สุณาถ โสตํ โอทหถ โสตทฺวารานุสาเรน อุปธาเรถา’’ติ ปริยายวจนํ, ‘‘สาธุกํ สมฺมา สกฺกจฺจ’’นฺติ ปริยายวจนํ, ‘‘มนสิ กโรถ จิเตฺต ฐเปถ สมนฺนาหรถา’’ติ ปริยายวจนํ, ‘‘ภาสิสฺสามิ พฺยตฺตํ กเถสฺสามิ วิภชิสฺสามี’’ติ ปริยายวจนํ, ‘‘เอวํ, ภเนฺต, สาธุ สุฎฺฐุ ภเนฺต’’ติ ปริยายวจนํ, ‘‘ปจฺจโสฺสสุํ สมฺปฎิจฺฉิํสุ สมฺปฎิคฺคเหสุ’’นฺติ ปริยายวจนํฯ อิมินา นเยน สพฺพปเทสุ เววจนํ วตฺตพฺพนฺติฯ อยํ เววจโน หาโรฯ
‘‘Sabbadhammā sakaladhammā anavasesadhammā’’ti pariyāyavacanaṃ, ‘‘mūlapariyāyaṃ mūlakāraṇaṃ asādhāraṇahetu’’nti pariyāyavacanaṃ, ‘‘mūlapariyāyanti vā mūladesanaṃ kāraṇatathana’’nti pariyāyavacanaṃ, ‘‘vo tumhākaṃ tumha’’nti pariyāyavacanaṃ, ‘‘bhikkhave, samaṇā tapassino’’ti pariyāyavacanaṃ, ‘‘desessāmī kathessāmī paññapessāmī’’ti pariyāyavacanaṃ, ‘‘suṇātha sotaṃ odahatha sotadvārānusārena upadhārethā’’ti pariyāyavacanaṃ, ‘‘sādhukaṃ sammā sakkacca’’nti pariyāyavacanaṃ, ‘‘manasi karotha citte ṭhapetha samannāharathā’’ti pariyāyavacanaṃ, ‘‘bhāsissāmi byattaṃ kathessāmi vibhajissāmī’’ti pariyāyavacanaṃ, ‘‘evaṃ, bhante, sādhu suṭṭhu bhante’’ti pariyāyavacanaṃ, ‘‘paccassosuṃ sampaṭicchiṃsu sampaṭiggahesu’’nti pariyāyavacanaṃ. Iminā nayena sabbapadesu vevacanaṃ vattabbanti. Ayaṃ vevacano hāro.
๑๑. ปญฺญตฺติหารวณฺณนา
11. Paññattihāravaṇṇanā
‘‘สพฺพธมฺมมูลปริยาย’’นฺติ เอตฺถ สพฺพธมฺมา นาม สกฺกายธมฺมา, เต ขนฺธวเสน ปญฺจธา ปญฺญตฺตา, อายตนวเสน ทฺวาทสธา, ธาตุวเสน อฎฺฐารสธา ปญฺญตฺตาฯ ‘‘มูล’’นฺติ วา ‘‘มูลปริยาย’’นฺติ วา มญฺญนา วุตฺตา, ตา ตณฺหามานทิฎฺฐิวเสน ติธา อนฺตรเภเทน อเนกธา จ ปญฺญตฺตาฯ อถ วา ‘‘สพฺพธมฺมา’’ติ เตภูมกธมฺมานํ สงฺคหปญฺญตฺติ, ‘‘มูลปริยาย’’นฺติ เตสํ ปภวปญฺญตฺติ, ‘‘โว’’ติ สมฺปทานปญฺญติ, ‘‘เทเสสฺสามิ ภาสิสฺสามี’’ติ ปฎิญฺญาปญฺญตฺติ, ‘‘สุณาถ สาธุกํ มนสิ กโรถา’’ติ จ อาณาปนปญฺญตฺติ, ‘‘อสฺสุตวา’’ติ ปฎิเวธวิมุขตาปญฺญตฺติ เจว ปริยตฺติวิมุขตาปญฺญตฺติ จ, ‘‘ปุถุชฺชโน’’ติ อนริยปญฺญตฺติ, สา อริยธมฺมปฎิเกฺขปปญฺญตฺติ เจว อริยธมฺมวิรหปญฺญตฺติ จ, ‘‘อริยาน’’นฺติ อสมปญฺญตฺติ เจว สมปญฺญตฺติ จฯ ตตฺถ อสมปญฺญตฺติ ตถาคตปญฺญตฺติ, สมปญฺญตฺติ ปเจฺจกพุทฺธานเญฺจว อุภโตภาควิมุตฺตาทีนญฺจ วเสน อฎฺฐวิธา เวทิตพฺพาฯ ‘‘อริยานํ อทสฺสาวี’’ติอาทิ ทสฺสนภาวนาปฎิเกฺขปปญฺญตฺติ, ‘‘ปถวิํ มญฺญตี’’ติอาทิ ปญฺจนฺนํ อุปาทานกฺขนฺธานํ ทฺวาทสนฺนํ อายตนานํ อฎฺฐารสนฺนํ ธาตูนํ สมฺมสนุปคานํ อินฺทฺริยานํ นิเกฺขปปญฺญตฺติ เจว ปภวปญฺญตฺติ จ, ตถา วิปลฺลาสานํ กิจฺจปญฺญตฺติ ปริยุฎฺฐานํ ทสฺสนปญฺญตฺติ กิเลสานํ ผลปญฺญตฺติ อภิสงฺขารานํ วิรูหนปญฺญตฺติ ตณฺหาย อสฺสาทนปญฺญตฺติ ทิฎฺฐิยา วิปฺผนฺทนปญฺญตฺติ, ‘‘เสกฺขา’’ติ สทฺธานุสารีสทฺธาวิมุตฺตทิฎฺฐิปฺปตฺตกายสกฺขีนํ ทสฺสนปญฺญตฺติ เจว ภาวนาปญฺญตฺติ จ ‘‘อปฺปตฺตมานโส’’ติ เสกฺขธมฺมานํ ฐิติปญฺญตฺติ, ‘‘อนุตฺตรํ โยคเกฺขมํ ปตฺถยมาโน’’ติ ปญฺญาย อภินิพฺพิทาปญฺญตฺติ, ‘‘อภิชานาตี’’ติ อภิเญฺญยฺยธมฺมานํ อภิญฺญาปญฺญตฺติ, ทุกฺขสฺส ปริญฺญาปญฺญตฺติ, สมุทยสฺส ปหานปญฺญตฺติ, นิโรธสฺส สจฺฉิกิริยาปญฺญตฺติ, มคฺคสฺส ภาวนาปญฺญตฺติ, ‘‘มา มญฺญี’’ติ มญฺญนานํ ปฎิเกฺขปปญฺญตฺติ, สมุทยสฺส ปหานปญฺญตฺติฯ อิมินา นเยน เสสปเทสุปิ วิตฺถาเรตพฺพํฯ อยํ ปญฺญตฺติ หาโรฯ
‘‘Sabbadhammamūlapariyāya’’nti ettha sabbadhammā nāma sakkāyadhammā, te khandhavasena pañcadhā paññattā, āyatanavasena dvādasadhā, dhātuvasena aṭṭhārasadhā paññattā. ‘‘Mūla’’nti vā ‘‘mūlapariyāya’’nti vā maññanā vuttā, tā taṇhāmānadiṭṭhivasena tidhā antarabhedena anekadhā ca paññattā. Atha vā ‘‘sabbadhammā’’ti tebhūmakadhammānaṃ saṅgahapaññatti, ‘‘mūlapariyāya’’nti tesaṃ pabhavapaññatti, ‘‘vo’’ti sampadānapaññati, ‘‘desessāmi bhāsissāmī’’ti paṭiññāpaññatti, ‘‘suṇātha sādhukaṃ manasi karothā’’ti ca āṇāpanapaññatti, ‘‘assutavā’’ti paṭivedhavimukhatāpaññatti ceva pariyattivimukhatāpaññatti ca, ‘‘puthujjano’’ti anariyapaññatti, sā ariyadhammapaṭikkhepapaññatti ceva ariyadhammavirahapaññatti ca, ‘‘ariyāna’’nti asamapaññatti ceva samapaññatti ca. Tattha asamapaññatti tathāgatapaññatti, samapaññatti paccekabuddhānañceva ubhatobhāgavimuttādīnañca vasena aṭṭhavidhā veditabbā. ‘‘Ariyānaṃ adassāvī’’tiādi dassanabhāvanāpaṭikkhepapaññatti, ‘‘pathaviṃ maññatī’’tiādi pañcannaṃ upādānakkhandhānaṃ dvādasannaṃ āyatanānaṃ aṭṭhārasannaṃ dhātūnaṃ sammasanupagānaṃ indriyānaṃ nikkhepapaññatti ceva pabhavapaññatti ca, tathā vipallāsānaṃ kiccapaññatti pariyuṭṭhānaṃ dassanapaññatti kilesānaṃ phalapaññatti abhisaṅkhārānaṃ virūhanapaññatti taṇhāya assādanapaññatti diṭṭhiyā vipphandanapaññatti, ‘‘sekkhā’’ti saddhānusārīsaddhāvimuttadiṭṭhippattakāyasakkhīnaṃ dassanapaññatti ceva bhāvanāpaññatti ca ‘‘appattamānaso’’ti sekkhadhammānaṃ ṭhitipaññatti, ‘‘anuttaraṃ yogakkhemaṃ patthayamāno’’ti paññāya abhinibbidāpaññatti, ‘‘abhijānātī’’ti abhiññeyyadhammānaṃ abhiññāpaññatti, dukkhassa pariññāpaññatti, samudayassa pahānapaññatti, nirodhassa sacchikiriyāpaññatti, maggassa bhāvanāpaññatti, ‘‘mā maññī’’ti maññanānaṃ paṭikkhepapaññatti, samudayassa pahānapaññatti. Iminā nayena sesapadesupi vitthāretabbaṃ. Ayaṃ paññatti hāro.
๑๒. โอตรณหารวณฺณนา
12. Otaraṇahāravaṇṇanā
‘‘สพฺพธมฺมมูลปริยาย’’นฺติ เอตฺถ สพฺพธมฺมา นาม โลกิยา ปญฺจกฺขนฺธา ทฺวาทสายตนานิ อฎฺฐารส ธาตุโย เทฺว สจฺจานิ เอกูนวิสติ อินฺทฺริยานิ ทฺวาทสปทิโก ปจฺจยากาโรติ, อยํ สพฺพธมฺมคฺคหเณน ขนฺธาทิมุเขน เทสนาย โอตรณํฯ ‘‘มูล’’นฺติ วา ‘‘มูลปริยาย’’นฺติ วา มญฺญนา วุตฺตา, ตา อตฺถโต ตณฺหา มาโน ทิฎฺฐิ จาติ เตสํ สงฺขารกฺขนฺธสงฺคโหติ อยํ ขนฺธมุเขน โอตรณํฯ ตถา ‘‘ธมฺมายตนธมฺมธาตูหิ สงฺคโห’’ติ อยํ อายตนมุเขน ธาตุมุเขน จ โอตรณํฯ ‘‘อสฺสุตวา’’ติ อิมินา สุตสฺส วิพนฺธภูตา อวิชฺชาทโย คหิตา, ‘‘ปุถุชฺชโน’’ติ อิมินา เยสํ กิเลสาภิสงฺขารานํ ชนนาทินา ปุถุชฺชโนติ วุจฺจติ, เต กิเลสาภิสงฺขาราทโย คหิตา, ‘‘อริยานํ อทสฺสาวี’’ติอาทินา เยสํ กิเลสธมฺมานํ วเสน อริยานํ อทสฺสาวิอาทิภาโว โหติ, เต ทิฎฺฐิมานาวิชฺชาทโย คหิตาติ สเพฺพหิ เตหิ สงฺขารกฺขนฺธสงฺคโหติ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว โอตรณํ เวทิตพฺพํฯ ‘‘สญฺชานาติ มญฺญติ อภิชานาติ น มญฺญตี’’ติ เอตฺถาปิ สญฺชานนมญฺญนาอภิชานนานุปสฺสนานํ สงฺขารกฺขนฺธปริยาปนฺนตฺตา วุตฺตนเยเนว โอตรณํ เวทิตพฺพํฯ ตถา เสกฺขคฺคหเณน เสกฺขา, ‘‘อรห’’นฺติอาทินา อเสกฺขา สีลกฺขนฺธาทโย คหิตาติ เอวมฺปิ ขนฺธมุเขน โอตรณํ, อายตนธาตาทิมุเขน จ โอตรณํ เวทิตพฺพํฯ ตถา ‘‘น มญฺญตี’’ติ ตณฺหาคาหาทิปฎิเกฺขเปน ทุกฺขานุปสฺสนาทโย คหิตา, เตสํ วเสน อปฺปณิหิตวิโมกฺขมุขาทีหิ โอตรณํ เวทิตพฺพํฯ ‘‘ปริญฺญาต’’นฺติ อิมินา ปริชานนกิเจฺจน ปวตฺตมานา โพธิปกฺขิยธมฺมา คยฺหนฺตีติ สติปฎฺฐานาทิมุเขน โอตรณํ เวทิตพฺพํฯ นนฺทิคฺคหเณน ภวคฺคหเณน ตณฺหาคหเณน จ สมุทยสจฺจํ, ทุกฺขคฺคหเณน ชาติชรามรณคฺคหเณน จ ทุกฺขสจฺจํ, ‘‘ตณฺหานํ ขยา’’ติอาทินา นิโรธสจฺจํ, อภิสโมฺพธิยา คหเณน มคฺคสจฺจํ คหิตนฺติ อริยสเจฺจหิ โอตรณนฺติฯ อยํ โอตรโณ หาโรฯ
‘‘Sabbadhammamūlapariyāya’’nti ettha sabbadhammā nāma lokiyā pañcakkhandhā dvādasāyatanāni aṭṭhārasa dhātuyo dve saccāni ekūnavisati indriyāni dvādasapadiko paccayākāroti, ayaṃ sabbadhammaggahaṇena khandhādimukhena desanāya otaraṇaṃ. ‘‘Mūla’’nti vā ‘‘mūlapariyāya’’nti vā maññanā vuttā, tā atthato taṇhā māno diṭṭhi cāti tesaṃ saṅkhārakkhandhasaṅgahoti ayaṃ khandhamukhena otaraṇaṃ. Tathā ‘‘dhammāyatanadhammadhātūhi saṅgaho’’ti ayaṃ āyatanamukhena dhātumukhena ca otaraṇaṃ. ‘‘Assutavā’’ti iminā sutassa vibandhabhūtā avijjādayo gahitā, ‘‘puthujjano’’ti iminā yesaṃ kilesābhisaṅkhārānaṃ jananādinā puthujjanoti vuccati, te kilesābhisaṅkhārādayo gahitā, ‘‘ariyānaṃ adassāvī’’tiādinā yesaṃ kilesadhammānaṃ vasena ariyānaṃ adassāviādibhāvo hoti, te diṭṭhimānāvijjādayo gahitāti sabbehi tehi saṅkhārakkhandhasaṅgahoti pubbe vuttanayeneva otaraṇaṃ veditabbaṃ. ‘‘Sañjānāti maññati abhijānāti na maññatī’’ti etthāpi sañjānanamaññanāabhijānanānupassanānaṃ saṅkhārakkhandhapariyāpannattā vuttanayeneva otaraṇaṃ veditabbaṃ. Tathā sekkhaggahaṇena sekkhā, ‘‘araha’’ntiādinā asekkhā sīlakkhandhādayo gahitāti evampi khandhamukhena otaraṇaṃ, āyatanadhātādimukhena ca otaraṇaṃ veditabbaṃ. Tathā ‘‘na maññatī’’ti taṇhāgāhādipaṭikkhepena dukkhānupassanādayo gahitā, tesaṃ vasena appaṇihitavimokkhamukhādīhi otaraṇaṃ veditabbaṃ. ‘‘Pariññāta’’nti iminā parijānanakiccena pavattamānā bodhipakkhiyadhammā gayhantīti satipaṭṭhānādimukhena otaraṇaṃ veditabbaṃ. Nandiggahaṇena bhavaggahaṇena taṇhāgahaṇena ca samudayasaccaṃ, dukkhaggahaṇena jātijarāmaraṇaggahaṇena ca dukkhasaccaṃ, ‘‘taṇhānaṃ khayā’’tiādinā nirodhasaccaṃ, abhisambodhiyā gahaṇena maggasaccaṃ gahitanti ariyasaccehi otaraṇanti. Ayaṃ otaraṇo hāro.
๑๓. โสธนหารวณฺณนา
13. Sodhanahāravaṇṇanā
‘‘สพฺพธมฺมมูลปริยายํ โว, ภิกฺขเว…เป.… อิธ, ภิกฺขเว, อสฺสุตวา…เป.… ปถวิํ ปถวิโต สญฺชานาตี’’ติ อารโมฺภฯ ‘‘ปถวิํ ปถวิยา สญฺญตฺวา ปถวิํ มญฺญตี’’ติ ปทสุทฺธิ, โน อารมฺภสุทฺธิฯ ตถา ‘‘ปถวิยา มญฺญติ ปถวิโต มญฺญติ ปถวิํ เมติ มญฺญติ ปถวิํ อภินนฺทตี’’ติ ปทสุทฺธิ, โน อารมฺภสุทฺธิฯ ‘‘ตํ กิสฺส เหตุ อปริญฺญาตํ ตสฺสาติ วทามี’’ติ ปทสุทฺธิ เจว อารมฺภสุทฺธิ จฯ เสสวาเรสุปิ เอเสว นโยติฯ อยํ โสธโน หาโรฯ
‘‘Sabbadhammamūlapariyāyaṃ vo, bhikkhave…pe… idha, bhikkhave, assutavā…pe… pathaviṃ pathavito sañjānātī’’ti ārambho. ‘‘Pathaviṃ pathaviyā saññatvā pathaviṃ maññatī’’ti padasuddhi, no ārambhasuddhi. Tathā ‘‘pathaviyā maññati pathavito maññati pathaviṃ meti maññati pathaviṃ abhinandatī’’ti padasuddhi, no ārambhasuddhi. ‘‘Taṃ kissa hetu apariññātaṃ tassāti vadāmī’’ti padasuddhi ceva ārambhasuddhi ca. Sesavāresupi eseva nayoti. Ayaṃ sodhano hāro.
๑๔. อธิฎฺฐานหารวณฺณนา
14. Adhiṭṭhānahāravaṇṇanā
‘‘สพฺพธมฺมมูลปริยาย’’นฺติ เอตฺถ สพฺพธมฺมคฺคหณํ สามญฺญโต อธิฎฺฐานํฯ ‘‘ปถวิํ อาป’’นฺติอาทิ ปน ตํ อวิกเปฺปตฺวา วิเสสวจนํฯ ตถา ‘‘มูลปริยาย’’นฺติ สามญฺญโต อธิฎฺฐานํ, ตํ อวิกเปฺปตฺวา วิเสสวจนํ ‘‘ปถวิํ มญฺญติ…เป.… อภินนฺทตี’’ติฯ ‘‘ปถวิํ มญฺญตี’’ติ จ สามญฺญโต อธิฎฺฐานํ ตณฺหาทิคฺคาหานํ สาธารณตฺตา มญฺญนาย, ตํ อวิกเปฺปตฺวา วิเสสวจนํ ‘‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’’ติ, เอวํ สุตฺตนฺตรปทานิปิ อาเนตฺวา วิเสสวจนํ นิทฺธาเรตพฺพํฯ เสสวาเรสุปิ เอเสว นโยฯ ‘‘เสโกฺข’’ติ สามญฺญโต อธิฎฺฐานํ, ตํ อวิกเปฺปตฺวา วิเสสวจนํ ‘‘กายสกฺขี ทิฎฺฐิปฺปโตฺต สทฺธาวิมุโตฺต สทฺธานุสารี ธมฺมานุสารี’’ติฯ ตถา ‘‘เสโกฺข’’ติ สามญฺญโต อธิฎฺฐานํ, ตํ อวิกเปฺปตฺวา วิเสสวจนํ ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เสกฺขาย สมฺมาทิฎฺฐิยา สมนฺนาคโต โหติ…เป.… เสเกฺขน สมฺมาสมาธินา สมนฺนาคโต โหตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๓)ฯ ‘‘อรห’’นฺติ สามญฺญโต อธิฎฺฐานํ, ตํ อวิกเปฺปตฺวา วิเสสวจนํ ‘‘อุภโตภาควิมุโตฺต ปญฺญาวิมุโตฺต (ปุ. ป. ๑๓.๒; ๑๕.๑ มาติกา), เตวิโชฺช ฉฬภิโญฺญ’’ติ (ปุ. ป. ๗.๒๖, ๒๗ มาติกา) จฯ ‘‘ขีณาสโว’’ติ สามญฺญโต อธิฎฺฐานํ, ตํ อวิกเปฺปตฺวา วิเสสวจนํ ‘‘กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถ, ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถา’’ติอาทิ (ปารา. ๑๔)ฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ ‘‘อภิชานาตี’’ติ สามญฺญโต อธิฎฺฐานํ, ตํ อวิกเปฺปตฺวา วิเสสวจนํ ‘‘มญฺญตี’’ติฯ มญฺญนาภาโว หิสฺส ปหานปฎิเวธสิโทฺธ, ปหานปฎิเวโธ จ ปริญฺญาสจฺฉิกิริยาภาวนาปฎิเวเธหิ น วินาติ สเพฺพปิ อภิญฺญาวิเสสา มญฺญนาปฎิเกฺขเปน อตฺถโต คหิตาว โหนฺตีติฯ ตถา ‘‘อรห’’นฺติ สามญฺญโต อธิฎฺฐานํ, ตํ อวิกเปฺปตฺวา วิเสสวจนํ ‘‘วีตราคตฺตา วีตโทสตฺตา วีตโมหตฺตา’’ติฯ อิมินา นเยน เสสปเทสุปิ สามญฺญวิเสสนิทฺธารณา เวทิตพฺพาฯ อยํ อธิฎฺฐาโน หาโรฯ
‘‘Sabbadhammamūlapariyāya’’nti ettha sabbadhammaggahaṇaṃ sāmaññato adhiṭṭhānaṃ. ‘‘Pathaviṃ āpa’’ntiādi pana taṃ avikappetvā visesavacanaṃ. Tathā ‘‘mūlapariyāya’’nti sāmaññato adhiṭṭhānaṃ, taṃ avikappetvā visesavacanaṃ ‘‘pathaviṃ maññati…pe… abhinandatī’’ti. ‘‘Pathaviṃ maññatī’’ti ca sāmaññato adhiṭṭhānaṃ taṇhādiggāhānaṃ sādhāraṇattā maññanāya, taṃ avikappetvā visesavacanaṃ ‘‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’’ti, evaṃ suttantarapadānipi ānetvā visesavacanaṃ niddhāretabbaṃ. Sesavāresupi eseva nayo. ‘‘Sekkho’’ti sāmaññato adhiṭṭhānaṃ, taṃ avikappetvā visesavacanaṃ ‘‘kāyasakkhī diṭṭhippatto saddhāvimutto saddhānusārī dhammānusārī’’ti. Tathā ‘‘sekkho’’ti sāmaññato adhiṭṭhānaṃ, taṃ avikappetvā visesavacanaṃ ‘‘idha, bhikkhave, bhikkhu sekkhāya sammādiṭṭhiyā samannāgato hoti…pe… sekkhena sammāsamādhinā samannāgato hotī’’ti (saṃ. ni. 5.13). ‘‘Araha’’nti sāmaññato adhiṭṭhānaṃ, taṃ avikappetvā visesavacanaṃ ‘‘ubhatobhāgavimutto paññāvimutto (pu. pa. 13.2; 15.1 mātikā), tevijjo chaḷabhiñño’’ti (pu. pa. 7.26, 27 mātikā) ca. ‘‘Khīṇāsavo’’ti sāmaññato adhiṭṭhānaṃ, taṃ avikappetvā visesavacanaṃ ‘‘kāmāsavāpi cittaṃ vimuccittha, bhavāsavāpi cittaṃ vimuccitthā’’tiādi (pārā. 14). Sesapadesupi eseva nayo. ‘‘Abhijānātī’’ti sāmaññato adhiṭṭhānaṃ, taṃ avikappetvā visesavacanaṃ ‘‘maññatī’’ti. Maññanābhāvo hissa pahānapaṭivedhasiddho, pahānapaṭivedho ca pariññāsacchikiriyābhāvanāpaṭivedhehi na vināti sabbepi abhiññāvisesā maññanāpaṭikkhepena atthato gahitāva hontīti. Tathā ‘‘araha’’nti sāmaññato adhiṭṭhānaṃ, taṃ avikappetvā visesavacanaṃ ‘‘vītarāgattā vītadosattā vītamohattā’’ti. Iminā nayena sesapadesupi sāmaññavisesaniddhāraṇā veditabbā. Ayaṃ adhiṭṭhāno hāro.
๑๔. ปริกฺขารหารวณฺณนา
14. Parikkhārahāravaṇṇanā
‘‘สพฺพธมฺมมูลปริยาย’’นฺติ เอตฺถ สพฺพธมฺมา นาม ปริยาปนฺนธมฺมา, เต กุสลากุสลาพฺยากตเภเทน ติวิธาฯ เตสุ กุสลานํ โยนิโสมนสิกาโร อโลภาทโย จ เหตู, อกุสลานํ อโยนิโสมนสิกาโร โลภาทโย จ เหตู, อพฺยากเตสุ วิปากานํ ยถาสกํ กมฺมํ, อิตเรสํ ภวงฺคมาวชฺชนสมนฺนาหาราทิ จ เหตูฯ เอตฺถ จ สปฺปุริสูปนิสฺสยาทิโก ปจฺจโย เหตุมฺหิ เอว สมวรุโฬฺห, โส ตตฺถ อาทิ-สเทฺทน สงฺคหิโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ ‘‘มูล’’นฺติ วุตฺตานํ มญฺญนานํ เหตุภาโว ปาฬิยํ วุโตฺต เอวฯ มญฺญนาสุ ปน ตณฺหามญฺญนาย อสฺสาทานุปสฺสนา เหตุฯ ‘‘สโญฺญชนิเยสุ ธเมฺมสุ อสฺสาทานุปสฺสิโน ตณฺหา ปวฑฺฒตี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๕๒) หิ วุตฺตํฯ มานมญฺญนาย ทิฎฺฐิวิปฺปยุตฺตโลโภ เหตุ เกวลํ สํสคฺควเสน ‘‘อหมสฺมี’’ติ ปวตฺตนโตฯ ทิฎฺฐิมญฺญนาย เอกตฺตนยาทีนํ อยาถาวคฺคาโห เหตุ, อสฺสุตภาโว ปุถุชฺชนภาวสฺส เหตุ, โส อริยานํ อทสฺสนสีลตาย, สา อริยธมฺมสฺส อโกวิทตาย, สา อริยธเมฺม อวินีตตาย เหตุ, สพฺพา จายํ เหตุปรมฺปรา ปถวีอาทีสุ ‘‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’’ติ ติสฺสนฺนํ มญฺญนานํ เหตุ, เสกฺขารหาทิภาวา ปน มตฺตโส สพฺพโส จ มญฺญนาภาวสฺส เหตูติฯ อยํ ปริกฺขาโร หาโรฯ
‘‘Sabbadhammamūlapariyāya’’nti ettha sabbadhammā nāma pariyāpannadhammā, te kusalākusalābyākatabhedena tividhā. Tesu kusalānaṃ yonisomanasikāro alobhādayo ca hetū, akusalānaṃ ayonisomanasikāro lobhādayo ca hetū, abyākatesu vipākānaṃ yathāsakaṃ kammaṃ, itaresaṃ bhavaṅgamāvajjanasamannāhārādi ca hetū. Ettha ca sappurisūpanissayādiko paccayo hetumhi eva samavaruḷho, so tattha ādi-saddena saṅgahitoti daṭṭhabbo. ‘‘Mūla’’nti vuttānaṃ maññanānaṃ hetubhāvo pāḷiyaṃ vutto eva. Maññanāsu pana taṇhāmaññanāya assādānupassanā hetu. ‘‘Saññojaniyesu dhammesu assādānupassino taṇhā pavaḍḍhatī’’ti (saṃ. ni. 2.52) hi vuttaṃ. Mānamaññanāya diṭṭhivippayuttalobho hetu kevalaṃ saṃsaggavasena ‘‘ahamasmī’’ti pavattanato. Diṭṭhimaññanāya ekattanayādīnaṃ ayāthāvaggāho hetu, assutabhāvo puthujjanabhāvassa hetu, so ariyānaṃ adassanasīlatāya, sā ariyadhammassa akovidatāya, sā ariyadhamme avinītatāya hetu, sabbā cāyaṃ hetuparamparā pathavīādīsu ‘‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’’ti tissannaṃ maññanānaṃ hetu, sekkhārahādibhāvā pana mattaso sabbaso ca maññanābhāvassa hetūti. Ayaṃ parikkhāro hāro.
๑๖. สมาโรปนหารวณฺณนา
16. Samāropanahāravaṇṇanā
‘‘สพฺพธมฺมมูลปริยาย’’นฺติอาทีสุ มูลปริยายคฺคหเณน อสฺสุตวาคหเณน สญฺชานนมญฺญนาปริญฺญาคหเณหิ จ สํกิเลสธมฺมา ทสฺสิตา, เต จ สเงฺขปโต ติวิธา ตณฺหาสํกิเลโส ทิฎฺฐิสํกิเลโส ทุจฺจริตสํกิเลโสติฯ ตตฺถ ตณฺหาสํกิเลโส ตณฺหาสํกิเลสสฺส, ทิฎฺฐิสํกิเลสสฺส, ทุจฺจริตสํกิเลสสฺส จ ปทฎฺฐานํ, ตถา ทิฎฺฐิสํกิเลโส ทิฎฺฐิสํกิเลสสฺส, ตณฺหาสํกิเลสสฺส, ทุจฺจริตสํกิเลสสฺส จ ปทฎฺฐานํ, ทุจฺจริตสํกิเลโสปิ ทุจฺจริตสํกิเลสสฺส, ตณฺหาสํกิเลสสฺส, ทิฎฺฐิสํกิเลสสฺส จ ปทฎฺฐานํฯ เตสุ ตณฺหาสํกิเลโส อตฺถโต โลโภว, โย ‘‘โลโภ ลุพฺภนา ลุพฺภิตตฺตํ สาราโค สารชฺชนา สารชฺชิตตฺต’’นฺติอาทินา (ธ. ส. ๓๘๙) อเนเกหิ ปริยาเยหิ วิภโตฺตฯ ตถา ทิฎฺฐิเยว ทิฎฺฐิสํกิเลโส, โย ‘‘ทิฎฺฐิคตํ ทิฎฺฐิคหนํ ทิฎฺฐิกนฺตาโร ทิฎฺฐิวิสูกํ ทิฎฺฐิวิปฺผนฺทิต’’นฺติอาทินา (ธ. ส. ๑๑๐๕) อเนเกหิ ปริยาเยหิ, ‘‘สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา’’ติอาทินา (ที. นิ. ๑.๓๐) ทฺวาสฎฺฐิยา ปเภเทหิ จ วิภโตฺตฯ ทุจฺจริตสํกิเลโส ปน อตฺถโต ทุสฺสีลฺยเจตนา เจว เจตนาสมฺปยุตฺตธมฺมา จ, ยา ‘‘กายทุจฺจริตํ วจีทุจฺจริตํ กายวิสมํ วจีวิสม’’นฺติ (วิภ. ๙๑๓, ๙๒๔), ‘‘ปาณาติปาโต อทินฺนาทาน’’นฺติ (วิภ. ๙๑๓) จ อาทินา อเนเกหิ ปริยาเยหิ, อเนเกหิ ปเภเทหิ จ วิภตฺตาฯ
‘‘Sabbadhammamūlapariyāya’’ntiādīsu mūlapariyāyaggahaṇena assutavāgahaṇena sañjānanamaññanāpariññāgahaṇehi ca saṃkilesadhammā dassitā, te ca saṅkhepato tividhā taṇhāsaṃkileso diṭṭhisaṃkileso duccaritasaṃkilesoti. Tattha taṇhāsaṃkileso taṇhāsaṃkilesassa, diṭṭhisaṃkilesassa, duccaritasaṃkilesassa ca padaṭṭhānaṃ, tathā diṭṭhisaṃkileso diṭṭhisaṃkilesassa, taṇhāsaṃkilesassa, duccaritasaṃkilesassa ca padaṭṭhānaṃ, duccaritasaṃkilesopi duccaritasaṃkilesassa, taṇhāsaṃkilesassa, diṭṭhisaṃkilesassa ca padaṭṭhānaṃ. Tesu taṇhāsaṃkileso atthato lobhova, yo ‘‘lobho lubbhanā lubbhitattaṃ sārāgo sārajjanā sārajjitatta’’ntiādinā (dha. sa. 389) anekehi pariyāyehi vibhatto. Tathā diṭṭhiyeva diṭṭhisaṃkileso, yo ‘‘diṭṭhigataṃ diṭṭhigahanaṃ diṭṭhikantāro diṭṭhivisūkaṃ diṭṭhivipphandita’’ntiādinā (dha. sa. 1105) anekehi pariyāyehi, ‘‘santi, bhikkhave, eke samaṇabrāhmaṇā’’tiādinā (dī. ni. 1.30) dvāsaṭṭhiyā pabhedehi ca vibhatto. Duccaritasaṃkileso pana atthato dussīlyacetanā ceva cetanāsampayuttadhammā ca, yā ‘‘kāyaduccaritaṃ vacīduccaritaṃ kāyavisamaṃ vacīvisama’’nti (vibha. 913, 924), ‘‘pāṇātipāto adinnādāna’’nti (vibha. 913) ca ādinā anekehi pariyāyehi, anekehi pabhedehi ca vibhattā.
เตสุ ตณฺหาสํกิเลสสฺส สมโถ ปฎิปโกฺข, ทิฎฺฐิสํกิเลสสฺส วิปสฺสนา, ทุจฺจริตสํกิเลสสฺส สีลํ ปฎิปโกฺขฯ เต ปน สีลาทโย ธมฺมา อิธ ปริญฺญาคหเณน เสกฺขคฺคหเณน ‘‘อรห’’นฺติอาทินา อริยตาทิคฺคหเณน จ คหิตาฯ ตตฺถ สีเลน ทุจฺจริตสํกิเลสปฺปหานํ สิชฺฌติ, ตถา ตทงฺคปฺปหานํ วีติกฺกมปฺปหานญฺจ, สมเถน ตณฺหาสํกิเลสปฺปหานํ สิชฺฌติ, ตถา วิกฺขมฺภนปฺปหานํ ปริยุฎฺฐานปฺปหานญฺจฯ วิปสฺสนาย ทิฎฺฐิสํกิเลสปฺปหานํ สิชฺฌติ, ตถา สมุเจฺฉทปฺปหานํ อนุสยปฺปหานญฺจฯ ตตฺถ ปุพฺพภาเค สีเล ปติฎฺฐิตสฺส สมโถ, สมเถ ปติฎฺฐิตสฺส วิปสฺสนา, มคฺคกฺขเณ ปน สมกาลเมว ภวนฺติฯ ปุเพฺพเยว หิ สุปริสุทฺธกายวจีกมฺมสฺส สุปริสุทฺธาชีวสฺส จ สมถวิปสฺสนา อารทฺธา คพฺภํ คณฺหนฺติโย ปริปากํ คจฺฉนฺติโย วุฎฺฐานคามินิวิปสฺสนํ ปริพฺรูเหนฺติ, วุฎฺฐานคามินิวิปสฺสนา ภาวนาปาริปูริํ คจฺฉนฺตี มเคฺคน ฆเฎนฺติ มคฺคกฺขเณ สมถวิปสฺสนา ปริปูเรติฯ อถ มคฺคกฺขเณ สมถวิปสฺสนาภาวนาปาริปูริยา อนวเสสสํกิเลสธมฺมํ สมุจฺฉินฺทนฺติโย นิโรธํ นิพฺพานํ สจฺฉิกโรนฺตีติฯ อยํ สมาโรปโน หาโรฯ
Tesu taṇhāsaṃkilesassa samatho paṭipakkho, diṭṭhisaṃkilesassa vipassanā, duccaritasaṃkilesassa sīlaṃ paṭipakkho. Te pana sīlādayo dhammā idha pariññāgahaṇena sekkhaggahaṇena ‘‘araha’’ntiādinā ariyatādiggahaṇena ca gahitā. Tattha sīlena duccaritasaṃkilesappahānaṃ sijjhati, tathā tadaṅgappahānaṃ vītikkamappahānañca, samathena taṇhāsaṃkilesappahānaṃ sijjhati, tathā vikkhambhanappahānaṃ pariyuṭṭhānappahānañca. Vipassanāya diṭṭhisaṃkilesappahānaṃ sijjhati, tathā samucchedappahānaṃ anusayappahānañca. Tattha pubbabhāge sīle patiṭṭhitassa samatho, samathe patiṭṭhitassa vipassanā, maggakkhaṇe pana samakālameva bhavanti. Pubbeyeva hi suparisuddhakāyavacīkammassa suparisuddhājīvassa ca samathavipassanā āraddhā gabbhaṃ gaṇhantiyo paripākaṃ gacchantiyo vuṭṭhānagāminivipassanaṃ paribrūhenti, vuṭṭhānagāminivipassanā bhāvanāpāripūriṃ gacchantī maggena ghaṭenti maggakkhaṇe samathavipassanā paripūreti. Atha maggakkhaṇe samathavipassanābhāvanāpāripūriyā anavasesasaṃkilesadhammaṃ samucchindantiyo nirodhaṃ nibbānaṃ sacchikarontīti. Ayaṃ samāropano hāro.
โสฬสหารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Soḷasahāravaṇṇanā niṭṭhitā.
ปญฺจวิธนยวณฺณนา
Pañcavidhanayavaṇṇanā
๑. นนฺทิยาวฎฺฎนยวณฺณนา
1. Nandiyāvaṭṭanayavaṇṇanā
‘‘สพฺพธมฺมมูลปริยาย’’นฺติอาทีสุ สพฺพธมฺมมูลคฺคหเณน มญฺญนาคหเณน จ ตณฺหามานทิฎฺฐิโย คหิตาฯ มญฺญนานมฺปิ หิ มญฺญนา การณนฺติ ทสฺสิโตยมโตฺถฯ ‘‘อสฺสุตวา’’ติอาทินา อวิชฺชามานทิฎฺฐิโย คหิตา, สเพฺพปิ วา สํกิเลสธมฺมา, ตถา สญฺญาอปริญฺญาตคฺคหเณนฯ ‘‘ขีณาสโว ปริกฺขีณภวสโญฺญชโน’’ติ เอตฺถ ปน อาสวา สโญฺญชนานิ จ สรูปโต คหิตานิ, ตถา นนฺทิคฺคหเณน ตณฺหาคหเณน จ ตณฺหา, เอวเมฺปตฺถ สรูปโต ปริยายโต จ ตณฺหา อวิชฺชา ตปฺปกฺขิยธมฺมา จ คหิตาฯ ตตฺถ ตณฺหาย วิเสสโต รูปธมฺมา อธิฎฺฐานํ, อวิชฺชาย อรูปธมฺมา, เต ปน สพฺพธมฺมคฺคหเณน ปถวีอาทิคฺคหเณน จ ทสฺสิตา เอวฯ ตาสํ สมโถ วิปสฺสนา จ ปฎิปโกฺข, เตสเมตฺถ คเหตพฺพากาโร เหฎฺฐา ทสฺสิโต เอวฯ สมถสฺส เจโตวิมุตฺติ ผลํ , วิปสฺสนาย ปญฺญาวิมุตฺติฯ ตถา หิ ตา ‘‘ราควิราคา’’ติอาทินา วิเสเสตฺวา วุจฺจนฺติ, อิมาสเมตฺถ คหณํ สมฺมทญฺญาวิมุตฺตวีตราคาทิวจเนหิ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ ตณฺหาวิชฺชา สมุทยสจฺจํ, ตปฺปกฺขิยธมฺมา ปน ตคฺคหเณเนว คหิตาติ เวทิตพฺพาฯ เตสํ อธิฎฺฐานภูตา วุตฺตปฺปเภทา รูปารูปธมฺมา ทุกฺขสจฺจํ, เตสํ อปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํ, นิโรธปชานนา ปฎิปทา มคฺคสจฺจํฯ ตณฺหาคหเณน เจตฺถ มายา-สาเฐยฺย-มานาติมาน-มทปฺปมาท-ปาปิจฺฉตา-ปาปมิตฺตตา-อหิริกาโนตฺตปฺปาทิวเสน อกุสลปโกฺข เนตโพฺพ, อวิชฺชาคหเณน วิปรีตมนสิการ-โกธูปนาห-มกฺข-ปฬาส-อิสฺสา-มจฺฉริย- สารมฺภโทวจสฺสตา-ภวทิฎฺฐิ-วิภวทิฎฺฐิอาทิวเสน อกุสลปโกฺข เนตโพฺพ, วุตฺตวิปริยาเยน อมายาอสาเฐยฺยาทิอวิปรีตมนสิการาทิวเสน, ตถา สมถปกฺขิยานํ สทฺธินฺทฺริยาทีนํ วิปสฺสนาปกฺขิยานํ อนิจฺจสญฺญาทีนญฺจ วเสน โวทานปโกฺข เนตโพฺพติฯ อยํ นนฺทิยาวฎฺฎสฺส น ยสฺส ภูมิฯ
‘‘Sabbadhammamūlapariyāya’’ntiādīsu sabbadhammamūlaggahaṇena maññanāgahaṇena ca taṇhāmānadiṭṭhiyo gahitā. Maññanānampi hi maññanā kāraṇanti dassitoyamattho. ‘‘Assutavā’’tiādinā avijjāmānadiṭṭhiyo gahitā, sabbepi vā saṃkilesadhammā, tathā saññāapariññātaggahaṇena. ‘‘Khīṇāsavo parikkhīṇabhavasaññojano’’ti ettha pana āsavā saññojanāni ca sarūpato gahitāni, tathā nandiggahaṇena taṇhāgahaṇena ca taṇhā, evampettha sarūpato pariyāyato ca taṇhā avijjā tappakkhiyadhammā ca gahitā. Tattha taṇhāya visesato rūpadhammā adhiṭṭhānaṃ, avijjāya arūpadhammā, te pana sabbadhammaggahaṇena pathavīādiggahaṇena ca dassitā eva. Tāsaṃ samatho vipassanā ca paṭipakkho, tesamettha gahetabbākāro heṭṭhā dassito eva. Samathassa cetovimutti phalaṃ , vipassanāya paññāvimutti. Tathā hi tā ‘‘rāgavirāgā’’tiādinā visesetvā vuccanti, imāsamettha gahaṇaṃ sammadaññāvimuttavītarāgādivacanehi veditabbaṃ. Tattha taṇhāvijjā samudayasaccaṃ, tappakkhiyadhammā pana taggahaṇeneva gahitāti veditabbā. Tesaṃ adhiṭṭhānabhūtā vuttappabhedā rūpārūpadhammā dukkhasaccaṃ, tesaṃ appavatti nirodhasaccaṃ, nirodhapajānanā paṭipadā maggasaccaṃ. Taṇhāgahaṇena cettha māyā-sāṭheyya-mānātimāna-madappamāda-pāpicchatā-pāpamittatā-ahirikānottappādivasena akusalapakkho netabbo, avijjāgahaṇena viparītamanasikāra-kodhūpanāha-makkha-paḷāsa-issā-macchariya- sārambhadovacassatā-bhavadiṭṭhi-vibhavadiṭṭhiādivasena akusalapakkho netabbo, vuttavipariyāyena amāyāasāṭheyyādiaviparītamanasikārādivasena, tathā samathapakkhiyānaṃ saddhindriyādīnaṃ vipassanāpakkhiyānaṃ aniccasaññādīnañca vasena vodānapakkho netabboti. Ayaṃ nandiyāvaṭṭassa na yassa bhūmi.
๒. ติปุกฺขลนยวณฺณนา
2. Tipukkhalanayavaṇṇanā
ตถา วุตฺตนเยน สรูปโต ปริยายโต จ คหิเตสุ ตณฺหาวิชฺชาตปฺปกฺขิยธเมฺมสุ ตณฺหา โลโภ, อวิชฺชา โมโห, อวิชฺชาย สมฺปยุโตฺต โลหิเต สติ ปุโพฺพ วิย ตณฺหาย สติ สิชฺฌมาโน อาฆาโต โทโส, อิติ ตีหิ อกุสลมูเลหิ คหิเตหิ, ตปฺปฎิปกฺขโต มญฺญนาปฎิเกฺขปปริญฺญาคหณาทีหิ จ กุสลมูลานิ สิทฺธานิเยว โหนฺติฯ อิธาปิ ‘‘โลโภ สพฺพานิ วา สาสวกุสลากุสลมูลานิ สมุทยสจฺจํ, เตหิ นิพฺพตฺตา, เตสํ อธิฎฺฐานโคจรภูตา จ อุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขสจฺจ’’นฺติอาทินา สจฺจโยชนา เวทิตพฺพาฯ ผลํ ปเนตฺถ ตโย วิโมกฺขา, ตีหิ ปน อกุสลมูเลหิ ติวิธทุจฺจริต-สํกิเลสมล-วิสมอกุสล-สญฺญา-วิตกฺกาทิวเสน อกุสลปโกฺข เนตโพฺพฯ ตถา ตีหิ กุสลมูเลหิ ติวิธสุจริต-สมกุสล-สญฺญา-วิตกฺก-สทฺธมฺม-สมาธิ-วิโมกฺขมุข-วิโมกฺขา-ทิวเสน กุสลปโกฺข เนตโพฺพติฯ อยํ ติปุกฺขลสฺส นยสฺส ภูมิฯ
Tathā vuttanayena sarūpato pariyāyato ca gahitesu taṇhāvijjātappakkhiyadhammesu taṇhā lobho, avijjā moho, avijjāya sampayutto lohite sati pubbo viya taṇhāya sati sijjhamāno āghāto doso, iti tīhi akusalamūlehi gahitehi, tappaṭipakkhato maññanāpaṭikkhepapariññāgahaṇādīhi ca kusalamūlāni siddhāniyeva honti. Idhāpi ‘‘lobho sabbāni vā sāsavakusalākusalamūlāni samudayasaccaṃ, tehi nibbattā, tesaṃ adhiṭṭhānagocarabhūtā ca upādānakkhandhā dukkhasacca’’ntiādinā saccayojanā veditabbā. Phalaṃ panettha tayo vimokkhā, tīhi pana akusalamūlehi tividhaduccarita-saṃkilesamala-visamaakusala-saññā-vitakkādivasena akusalapakkho netabbo. Tathā tīhi kusalamūlehi tividhasucarita-samakusala-saññā-vitakka-saddhamma-samādhi-vimokkhamukha-vimokkhā-divasena kusalapakkho netabboti. Ayaṃ tipukkhalassa nayassa bhūmi.
๓. สีหวิกฺกีฬิตนยวณฺณนา
3. Sīhavikkīḷitanayavaṇṇanā
ตถา วุตฺตนเยน สรูปโต ปริยายโต จ คหิเตสุ ตณฺหาวิชฺชาตปฺปกฺขิยธเมฺมสุ วิเสสโต ตณฺหาทิฎฺฐีนํ วเสน อสุเภ ‘‘สุภ’’นฺติ , ทุเกฺข ‘‘สุข’’นฺติ จ วิปลฺลาสา, อวิชฺชาทิฎฺฐีนํ วเสน อนิเจฺจ ‘‘นิจฺจ’’นฺติ, อนตฺตนิ ‘‘อตฺตา’’ติ จ วิปลฺลาสา เวทิตพฺพาฯ เตสํ ปฎิปกฺขโต มญฺญนาปฎิเกฺขปปริญฺญาคหณาทิสิเทฺธหิ สติวีริยสมาธิปญฺญินฺทฺริเยหิ จตฺตาริ สติปฎฺฐานานิ สิทฺธาเนว โหนฺติฯ ตตฺถ จตูหิ อินฺทฺริเยหิ จตฺตาโร ปุคฺคลา นิทฺทิสิตพฺพาฯ กถํ? ทุวิโธ หิ ตณฺหาจริโต มุทินฺทฺริโย ติกฺขินฺทฺริโยติ, ตถา ทิฎฺฐิจริโตฯ เตสํ ปฐโม อสุเภ ‘‘สุภ’’นฺติ วิปริยาสคฺคาหี สติพเลน ยถาภูตํ กายสภาวํ สลฺลเกฺขโนฺต ตํ วิปลฺลาสํ สมุคฺฆาเฎตฺวา สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมติฯ ทุติโย อสุเข ‘‘สุข’’นฺติ วิปริยาสคฺคาหี ‘‘อุปฺปนฺนํ กามวิตกฺกํ นาธิวาเสตี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๓.๓๑๐; ม. นิ. ๑.๒๖; อ. นิ. ๔.๑๔, ๑๑๔; อ. นิ. ๖.๕๘) วุเตฺตน วีริยสํวรภูเตน วีริยพเลน ตํ วิปลฺลาสํ วิธเมโนฺต สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมติฯ ตติโย อนิเจฺจ ‘‘นิจฺจ’’นฺติ อยาถาวคฺคาหี สมาธิพเลน สมาหิตจิโตฺต สงฺขารานํ ขณิกภาวสลฺลกฺขเณน ตํ วิปลฺลาสํ สมุคฺฆาเฎโนฺต อริยภูมิํ โอกฺกมติฯ จตุโตฺถ สนฺตติสมูหกิจฺจารมฺมณฆนวญฺจิตตาย ผสฺสาทิธมฺมปุญฺชมเตฺต อนตฺตนิ ‘‘อตฺตา’’ติ มิจฺฉาภินิเวสี จตุโกฎิกสุญฺญตามนสิกาเรน ตํ มิจฺฉาภินิเวสํ วิทฺธํเสโนฺต สามญฺญผลํ สจฺฉิกโรติฯ
Tathā vuttanayena sarūpato pariyāyato ca gahitesu taṇhāvijjātappakkhiyadhammesu visesato taṇhādiṭṭhīnaṃ vasena asubhe ‘‘subha’’nti , dukkhe ‘‘sukha’’nti ca vipallāsā, avijjādiṭṭhīnaṃ vasena anicce ‘‘nicca’’nti, anattani ‘‘attā’’ti ca vipallāsā veditabbā. Tesaṃ paṭipakkhato maññanāpaṭikkhepapariññāgahaṇādisiddhehi sativīriyasamādhipaññindriyehi cattāri satipaṭṭhānāni siddhāneva honti. Tattha catūhi indriyehi cattāro puggalā niddisitabbā. Kathaṃ? Duvidho hi taṇhācarito mudindriyo tikkhindriyoti, tathā diṭṭhicarito. Tesaṃ paṭhamo asubhe ‘‘subha’’nti vipariyāsaggāhī satibalena yathābhūtaṃ kāyasabhāvaṃ sallakkhento taṃ vipallāsaṃ samugghāṭetvā sammattaniyāmaṃ okkamati. Dutiyo asukhe ‘‘sukha’’nti vipariyāsaggāhī ‘‘uppannaṃ kāmavitakkaṃ nādhivāsetī’’tiādinā (dī. ni. 3.310; ma. ni. 1.26; a. ni. 4.14, 114; a. ni. 6.58) vuttena vīriyasaṃvarabhūtena vīriyabalena taṃ vipallāsaṃ vidhamento sammattaniyāmaṃ okkamati. Tatiyo anicce ‘‘nicca’’nti ayāthāvaggāhī samādhibalena samāhitacitto saṅkhārānaṃ khaṇikabhāvasallakkhaṇena taṃ vipallāsaṃ samugghāṭento ariyabhūmiṃ okkamati. Catuttho santatisamūhakiccārammaṇaghanavañcitatāya phassādidhammapuñjamatte anattani ‘‘attā’’ti micchābhinivesī catukoṭikasuññatāmanasikārena taṃ micchābhinivesaṃ viddhaṃsento sāmaññaphalaṃ sacchikaroti.
อิธาปิ สุภสญฺญาสุขสญฺญาหิ จตูหิปิ วา วิปลฺลาเสหิ สมุทยสจฺจํ, เตสํ อธิฎฺฐานารมฺมณภูตา ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขสจฺจนฺติอาทินา สจฺจโยชนา เวทิตพฺพาฯ ผลํ ปเนตฺถ จตฺตาริ สามญฺญผลานิ, จตูหิ จิตฺตวิปลฺลาเสหิ จตุราสโวฆ-โยค-กายคนฺถ-อคติ-ตณฺหุปฺปาท-สลฺลุปาทาน-วิญฺญาณฎฺฐิติ-อปริญฺญาทิวเสน อกุสลปโกฺข เนตโพฺพฯ ตถา จตูหิ สติปฎฺฐาเนหิ จตุพฺพิธฌาน-วิหาราธิฎฺฐาน-สุขภาคิยธมฺม-อปฺปมญฺญา-สมฺมปฺปธาน-อิทฺธิปาทา- ทิวเสน โวทานปโกฺข เนตโพฺพติฯ อยํ สีหวิกฺกีฬิตสฺส นยสฺส ภูมิฯ
Idhāpi subhasaññāsukhasaññāhi catūhipi vā vipallāsehi samudayasaccaṃ, tesaṃ adhiṭṭhānārammaṇabhūtā pañcupādānakkhandhā dukkhasaccantiādinā saccayojanā veditabbā. Phalaṃ panettha cattāri sāmaññaphalāni, catūhi cittavipallāsehi caturāsavogha-yoga-kāyagantha-agati-taṇhuppāda-sallupādāna-viññāṇaṭṭhiti-apariññādivasena akusalapakkho netabbo. Tathā catūhi satipaṭṭhānehi catubbidhajhāna-vihārādhiṭṭhāna-sukhabhāgiyadhamma-appamaññā-sammappadhāna-iddhipādā- divasena vodānapakkho netabboti. Ayaṃ sīhavikkīḷitassa nayassa bhūmi.
๔-๕. ทิสาโลจน-องฺกุสนยทฺวยวณฺณนา
4-5. Disālocana-aṅkusanayadvayavaṇṇanā
อิเมสํ ปน ติณฺณํ อตฺถนยานํ สิทฺธิยา โวหาเรน นยทฺวยํ สิทฺธเมว โหติฯ ตถา หิ อตฺถนยานํ ทิสาภูตธมฺมานํ สมาโลจนํ ทิสาโลจนํ, เตสํ สมานยนํ องฺกุโสติ ปญฺจปิ นยา นิยุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ
Imesaṃ pana tiṇṇaṃ atthanayānaṃ siddhiyā vohārena nayadvayaṃ siddhameva hoti. Tathā hi atthanayānaṃ disābhūtadhammānaṃ samālocanaṃ disālocanaṃ, tesaṃ samānayanaṃ aṅkusoti pañcapi nayā niyuttāti veditabbā.
ปญฺจวิธนยวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pañcavidhanayavaṇṇanā niṭṭhitā.
สาสนปฎฺฐานวณฺณนา
Sāsanapaṭṭhānavaṇṇanā
อิทญฺจ สุตฺตํ โสฬสวิเธ สุตฺตนฺตปฎฺฐาเน สํกิเลสนิเพฺพธาเสกฺขภาคิยํ, สพฺพภาคิยเมว วา ‘‘สพฺพธมฺมมูลปริยาย’’นฺติ เอตฺถ สพฺพธมฺมคฺคหเณน โลกิยกุสลานมฺปิ สงฺคหิตตฺตาฯ อฎฺฐวีสติวิเธน ปน สุตฺตนฺตปฎฺฐาเน โลกิยโลกุตฺตรสพฺพธมฺมาธิฎฺฐานํ ญาณเญยฺยํ ทสฺสนภาวนํ สกวจนํ วิสฺสชฺชนียํ กุสลากุสลํ อนุญฺญาตํ ปฎิกฺขิตฺตํ จาติ เวทิตพฺพํฯ
Idañca suttaṃ soḷasavidhe suttantapaṭṭhāne saṃkilesanibbedhāsekkhabhāgiyaṃ, sabbabhāgiyameva vā ‘‘sabbadhammamūlapariyāya’’nti ettha sabbadhammaggahaṇena lokiyakusalānampi saṅgahitattā. Aṭṭhavīsatividhena pana suttantapaṭṭhāne lokiyalokuttarasabbadhammādhiṭṭhānaṃ ñāṇañeyyaṃ dassanabhāvanaṃ sakavacanaṃ vissajjanīyaṃ kusalākusalaṃ anuññātaṃ paṭikkhittaṃ cāti veditabbaṃ.
เนตฺตินยวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Nettinayavaṇṇanā niṭṭhitā.
มูลปริยายสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Mūlapariyāyasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑. มูลปริยายสุตฺตํ • 1. Mūlapariyāyasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๑. มูลปริยายสุตฺตวณฺณนา • 1. Mūlapariyāyasuttavaṇṇanā