Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๓๐] ๑๐. มุนิกชาตกวณฺณนา
[30] 10. Munikajātakavaṇṇanā
มา มุนิกสฺส ปิหยีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ถุลฺลกุมาริกาปโลภนํ อารพฺภ กเถสิฯ ตํ เตรสกนิปาเต จูฬนารทกสฺสปชาตเก (ชา. ๑.๑๓.๔๐ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ สตฺถา ปน ตํ ภิกฺขุํ ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘กิํ นิสฺสายา’’ติ? ‘‘ถุลฺลกุมาริกาปโลภนํ ภเนฺต’’ติฯ สตฺถา ‘‘ภิกฺขุ เอสา ตว อนตฺถการิกา, ปุเพฺพปิ ตฺวํ อิมิสฺสา วิวาหทิวเส ชีวิตกฺขยํ ปตฺวา มหาชนสฺส อุตฺตริภงฺคภาวํ ปโตฺต’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Māmunikassa pihayīti idaṃ satthā jetavane viharanto thullakumārikāpalobhanaṃ ārabbha kathesi. Taṃ terasakanipāte cūḷanāradakassapajātake (jā. 1.13.40 ādayo) āvi bhavissati. Satthā pana taṃ bhikkhuṃ ‘‘saccaṃ kira tvaṃ bhikkhu ukkaṇṭhitosī’’ti pucchi. ‘‘Āma, bhante’’ti. ‘‘Kiṃ nissāyā’’ti? ‘‘Thullakumārikāpalobhanaṃ bhante’’ti. Satthā ‘‘bhikkhu esā tava anatthakārikā, pubbepi tvaṃ imissā vivāhadivase jīvitakkhayaṃ patvā mahājanassa uttaribhaṅgabhāvaṃ patto’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต เอกสฺมิํ คามเก เอกสฺส กุฎุมฺพิกสฺส เคเห โคโยนิยํ นิพฺพตฺติ ‘‘มหาโลหิโต’’ติ นาเมน, กนิฎฺฐภาตาปิสฺส จูฬโลหิโต นาม อโหสิฯ เตเยว เทฺว ภาติเก นิสฺสาย ตสฺมิํ กุเล กมฺมธุรํ วตฺตติฯ ตสฺมิํ ปน กุเล เอกา กุมาริกา อตฺถิ, ตํ เอโก นครวาสี กุลปุโตฺต อตฺตโน ปุตฺตสฺส วาเรสิฯ ตสฺสา มาตาปิตโร ‘‘กุมาริกาย วิวาหกาเล อาคตานํ ปาหุนกานํ อุตฺตริภโงฺค ภวิสฺสตี’’ติ ยาคุภตฺตํ ทตฺวา มุนิกํ นาม สูกรํ โปเสสุํฯ ตํ ทิสฺวา จูฬโลหิโต ภาตรํ ปุจฺฉิ ‘‘อิมสฺมิํ กุเล กมฺมธุรํ วตฺตมานํ อเมฺห เทฺว ภาติเก นิสฺสาย วตฺตติ, อิเม ปน อมฺหากํ ติณปลาลาทีเนว เทนฺติ, สูกรํ ยาคุภเตฺตน โปเสนฺติ, เกน นุ โข การเณน เอส เอตํ ลภตี’’ติฯ อถสฺส ภาตา ‘‘ตาต จูฬโลหิต, มา ตฺวํ เอตสฺส โภชนํ ปิหยิ, อยํ สูกโร มรณภตฺตํ ภุญฺชติฯ เอติสฺสา หิ กุมาริกาย วิวาหกาเล อาคตานํ ปาหุนกานํ อุตฺตริภโงฺค ภวิสฺสตีติ อิเม เอตํ สูกรํ โปเสนฺติ, อิโต กติปาหจฺจเยน เต มนุสฺสา อาคมิสฺสนฺติ, อถ นํ สูกรํ ปาเทสุ คเหตฺวา กเฑฺฒนฺตา เหฎฺฐามญฺจโต นีหริตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา ปาหุนกานํ สูปพฺยญฺชนํ กริยมานํ ปสฺสิสฺสสี’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto ekasmiṃ gāmake ekassa kuṭumbikassa gehe goyoniyaṃ nibbatti ‘‘mahālohito’’ti nāmena, kaniṭṭhabhātāpissa cūḷalohito nāma ahosi. Teyeva dve bhātike nissāya tasmiṃ kule kammadhuraṃ vattati. Tasmiṃ pana kule ekā kumārikā atthi, taṃ eko nagaravāsī kulaputto attano puttassa vāresi. Tassā mātāpitaro ‘‘kumārikāya vivāhakāle āgatānaṃ pāhunakānaṃ uttaribhaṅgo bhavissatī’’ti yāgubhattaṃ datvā munikaṃ nāma sūkaraṃ posesuṃ. Taṃ disvā cūḷalohito bhātaraṃ pucchi ‘‘imasmiṃ kule kammadhuraṃ vattamānaṃ amhe dve bhātike nissāya vattati, ime pana amhākaṃ tiṇapalālādīneva denti, sūkaraṃ yāgubhattena posenti, kena nu kho kāraṇena esa etaṃ labhatī’’ti. Athassa bhātā ‘‘tāta cūḷalohita, mā tvaṃ etassa bhojanaṃ pihayi, ayaṃ sūkaro maraṇabhattaṃ bhuñjati. Etissā hi kumārikāya vivāhakāle āgatānaṃ pāhunakānaṃ uttaribhaṅgo bhavissatīti ime etaṃ sūkaraṃ posenti, ito katipāhaccayena te manussā āgamissanti, atha naṃ sūkaraṃ pādesu gahetvā kaḍḍhentā heṭṭhāmañcato nīharitvā jīvitakkhayaṃ pāpetvā pāhunakānaṃ sūpabyañjanaṃ kariyamānaṃ passissasī’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –
๓๐.
30.
‘‘มา มุนิกสฺส ปิหยิ, อาตุรนฺนานิ ภุญฺชติ;
‘‘Mā munikassa pihayi, āturannāni bhuñjati;
อโปฺปสฺสุโกฺก ภุสํ ขาท, เอตํ ทีฆายุลกฺขณ’’นฺติฯ
Appossukko bhusaṃ khāda, etaṃ dīghāyulakkhaṇa’’nti.
ตตฺถ มา มุนิกสฺส ปิหยีติ มุนิกสฺส โภชเน ปิหํ มา อุปฺปาทยิ, ‘‘เอส มุนิโก สุโภชนํ ภุญฺชตี’’ติ มา มุนิกสฺส ปิหยิ, ‘‘กทา นุ โข อหมฺปิ เอวํ สุขิโต ภเวยฺย’’นฺติ มา มุนิกภาวํ ปตฺถยิฯ อยญฺหิ อาตุรนฺนานิ ภุญฺชติฯ อาตุรนฺนานีติ มรณโภชนานิฯ อโปฺปสฺสุโกฺก ภุสํ ขาทาติ ตสฺส โภชเน นิรุสฺสุโกฺก หุตฺวา อตฺตนา ลทฺธํ ภุสํ ขาทฯ เอตํ ทีฆายุลกฺขณนฺติ เอตํ ทีฆายุภาวสฺส การณํฯ ตโต น จิรเสฺสว เต มนุสฺสา อาคมิํสุ, มุนิกํ ฆาเตตฺวา นานปฺปกาเรหิ ปจิํสุฯ โพธิสโตฺต จูฬโลหิตํ อาห ‘‘ทิโฎฺฐ เต, ตาต, มุนิโก’’ติฯ ทิฎฺฐํ เม, ภาติก, มุนิกสฺส โภชนผลํ, เอตสฺส โภชนโต สตคุเณน สหสฺสคุเณน อมฺหากํ ติณปลาลภุสมตฺตเมว อุตฺตมญฺจ อนวชฺชญฺจ ทีฆายุลกฺขณญฺจาติฯ
Tattha mā munikassa pihayīti munikassa bhojane pihaṃ mā uppādayi, ‘‘esa muniko subhojanaṃ bhuñjatī’’ti mā munikassa pihayi, ‘‘kadā nu kho ahampi evaṃ sukhito bhaveyya’’nti mā munikabhāvaṃ patthayi. Ayañhi āturannāni bhuñjati. Āturannānīti maraṇabhojanāni. Appossukko bhusaṃ khādāti tassa bhojane nirussukko hutvā attanā laddhaṃ bhusaṃ khāda. Etaṃ dīghāyulakkhaṇanti etaṃ dīghāyubhāvassa kāraṇaṃ. Tato na cirasseva te manussā āgamiṃsu, munikaṃ ghātetvā nānappakārehi paciṃsu. Bodhisatto cūḷalohitaṃ āha ‘‘diṭṭho te, tāta, muniko’’ti. Diṭṭhaṃ me, bhātika, munikassa bhojanaphalaṃ, etassa bhojanato sataguṇena sahassaguṇena amhākaṃ tiṇapalālabhusamattameva uttamañca anavajjañca dīghāyulakkhaṇañcāti.
สตฺถา ‘‘เอวํ โข ตฺวํ ภิกฺขุ ปุเพฺพปิ อิมํ กุมาริกํ นิสฺสาย ชีวิตกฺขยํ ปตฺวา มหาชนสฺส อุตฺตริภงฺคภาวํ คโต’’ติ อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิโต ภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ สตฺถา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา มุนิกสูกโร อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ อโหสิ, ถุลฺลกุมาริกา เอสา เอว, จูฬโลหิโต อานโนฺท, มหาโลหิโต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā ‘‘evaṃ kho tvaṃ bhikkhu pubbepi imaṃ kumārikaṃ nissāya jīvitakkhayaṃ patvā mahājanassa uttaribhaṅgabhāvaṃ gato’’ti imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhito bhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhāsi. Satthā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā munikasūkaro ukkaṇṭhitabhikkhu ahosi, thullakumārikā esā eva, cūḷalohito ānando, mahālohito pana ahameva ahosi’’nti.
มุนิกชาตกวณฺณนา ทสมาฯ
Munikajātakavaṇṇanā dasamā.
กุรุงฺควโคฺค ตติโยฯ
Kuruṅgavaggo tatiyo.
ตสฺสุทฺทานํ –
Tassuddānaṃ –
กุรุงฺคํ กุกฺกุรเญฺจว, โภชาชานียญฺจ อาชญฺญํ;
Kuruṅgaṃ kukkurañceva, bhojājānīyañca ājaññaṃ;
ติตฺถํ มหิฬามุขาภิณฺหํ, นนฺทิกณฺหญฺจ มุนิกนฺติฯ
Titthaṃ mahiḷāmukhābhiṇhaṃ, nandikaṇhañca munikanti.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๐. มุนิกชาตกํ • 30. Munikajātakaṃ