Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā

    ๑๒. มุนิสุตฺตวณฺณนา

    12. Munisuttavaṇṇanā

    ๒๐๙. สนฺถวาโต ภยํ ชาตนฺติ มุนิสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? น สพฺพเสฺสว สุตฺตสฺส เอกา อุปฺปตฺติ, อปิเจตฺถ อาทิโต ตาว จตุนฺนํ คาถานํ อยมุปฺปตฺติ – ภควติ กิร สาวตฺถิยํ วิหรเนฺต คามกาวาเส อญฺญตรา ทุคฺคติตฺถี มตปติกา ปุตฺตํ ภิกฺขูสุ ปพฺพาเชตฺวา อตฺตนาปิ ภิกฺขุนีสุ ปพฺพชิฯ เต อุโภปิ สาวตฺถิยํ วสฺสํ อุปคนฺตฺวา อภิณฺหํ อญฺญมญฺญสฺส ทสฺสนกามา อเหสุํฯ มาตา กิญฺจิ ลภิตฺวา ปุตฺตสฺส หรติ, ปุโตฺตปิ มาตุฯ เอวํ สายมฺปิ ปาโตปิ อญฺญมญฺญํ สมาคนฺตฺวา ลทฺธํ ลทฺธํ สํวิภชมานา, สโมฺมทมานา, สุขทุกฺขํ ปุจฺฉมานา, นิราสงฺกา อเหสุํฯ เตสํ เอวํ อภิณฺหทสฺสเนน สํสโคฺค อุปฺปชฺชิ, สํสคฺคา วิสฺสาโส, วิสฺสาสา โอตาโร, ราเคน โอติณฺณจิตฺตานํ ปพฺพชิตสญฺญา จ มาตุปุตฺตสญฺญา จ อนฺตรธายิฯ ตโต มริยาทวีติกฺกมํ กตฺวา อสทฺธมฺมํ ปฎิเสวิํสุ, อยสปฺปตฺตา จ วิพฺภมิตฺวา อคารมเชฺฌ วสิํสุฯ ภิกฺขู ภควโต อาโรเจสุํฯ ‘‘กิํ นุ โส, ภิกฺขเว, โมฆปุริโส มญฺญติ น มาตา ปุเตฺต สารชฺชติ, ปุโตฺต วา ปน มาตรี’’ติ ครหิตฺวา ‘‘นาหํ, ภิกฺขเว, อญฺญํ เอกรูปมฺปิ สมนุปสฺสามี’’ติอาทินา (อ. นิ. ๕.๕๕) อวเสสสุเตฺตนปิ ภิกฺขู สํเวเชตฺวา ‘‘ตสฺมาติห, ภิกฺขเว –

    209.Santhavātobhayaṃ jātanti munisuttaṃ. Kā uppatti? Na sabbasseva suttassa ekā uppatti, apicettha ādito tāva catunnaṃ gāthānaṃ ayamuppatti – bhagavati kira sāvatthiyaṃ viharante gāmakāvāse aññatarā duggatitthī matapatikā puttaṃ bhikkhūsu pabbājetvā attanāpi bhikkhunīsu pabbaji. Te ubhopi sāvatthiyaṃ vassaṃ upagantvā abhiṇhaṃ aññamaññassa dassanakāmā ahesuṃ. Mātā kiñci labhitvā puttassa harati, puttopi mātu. Evaṃ sāyampi pātopi aññamaññaṃ samāgantvā laddhaṃ laddhaṃ saṃvibhajamānā, sammodamānā, sukhadukkhaṃ pucchamānā, nirāsaṅkā ahesuṃ. Tesaṃ evaṃ abhiṇhadassanena saṃsaggo uppajji, saṃsaggā vissāso, vissāsā otāro, rāgena otiṇṇacittānaṃ pabbajitasaññā ca mātuputtasaññā ca antaradhāyi. Tato mariyādavītikkamaṃ katvā asaddhammaṃ paṭiseviṃsu, ayasappattā ca vibbhamitvā agāramajjhe vasiṃsu. Bhikkhū bhagavato ārocesuṃ. ‘‘Kiṃ nu so, bhikkhave, moghapuriso maññati na mātā putte sārajjati, putto vā pana mātarī’’ti garahitvā ‘‘nāhaṃ, bhikkhave, aññaṃ ekarūpampi samanupassāmī’’tiādinā (a. ni. 5.55) avasesasuttenapi bhikkhū saṃvejetvā ‘‘tasmātiha, bhikkhave –

    ‘‘วิสํ ยถา หลาหลํ, เตลํ ปกฺกุถิตํ ยถา;

    ‘‘Visaṃ yathā halāhalaṃ, telaṃ pakkuthitaṃ yathā;

    ตมฺพโลหวิลีนํว, มาตุคามํ วิวชฺชเย’’ติ จฯ –

    Tambalohavilīnaṃva, mātugāmaṃ vivajjaye’’ti ca. –

    วตฺวา ปุน ภิกฺขูนํ ธมฺมเทสนตฺถํ – ‘‘สนฺถวาโต ภยํ ชาต’’นฺติ อิมา อตฺตุปนายิกา จตโสฺส คาถา อภาสิฯ

    Vatvā puna bhikkhūnaṃ dhammadesanatthaṃ – ‘‘santhavāto bhayaṃ jāta’’nti imā attupanāyikā catasso gāthā abhāsi.

    ตตฺถ สนฺถโว ตณฺหาทิฎฺฐิมิตฺตเภเทน ติวิโธติ ปุเพฺพ วุโตฺตฯ อิธ ตณฺหาทิฎฺฐิสนฺถโว อธิเปฺปโตฯ ตํ สนฺธาย ภควา อาห – ‘‘ปสฺสถ, ภิกฺขเว, ยถา อิทํ ตสฺส โมฆปุริสสฺส สนฺถวาโต ภยํ ชาต’’นฺติฯ ตญฺหิ ตสฺส อภิณฺหทสฺสนกามตาทิตณฺหาย พลวกิเลสภยํ ชาตํ, เยน สณฺฐาตุํ อสโกฺกโนฺต มาตริ วิปฺปฎิปชฺชิฯ อตฺตานุวาทาทิกํ วา มหาภยํ, เยน สาสนํ ฉเฑฺฑตฺวา วิพฺภโนฺตฯ นิเกตาติ ‘‘รูปนิมิตฺตนิเกตวิสารวินิพนฺธา โข, คหปติ, ‘นิเกตสารี’ติ วุจฺจตี’’ติอาทินา (สํ. นิ. ๓.๓) นเยน วุตฺตา อารมฺมณปฺปเภทาฯ ชายเต รโชติ ราคโทสโมหรโช ชายเตฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? น เกวลญฺจ ตสฺส สนฺถวาโต ภยํ ชาตํ, อปิจ โข ปน ยเทตํ กิเลสานํ นิวาสเฎฺฐน สาสวารมฺมณํ ‘‘นิเกต’’นฺติ วุจฺจติ, อิทานิสฺส ภินฺนสํวรตฺตา อติกฺกนฺตมริยาทตฺตา สุฎฺฐุตรํ ตโต นิเกตา ชายเต รโช, เยน สํกิลิฎฺฐจิโตฺต อนยพฺยสนํ ปาปุณิสฺสติฯ อถ วา ปสฺสถ, ภิกฺขเว, ยถา อิทํ ตสฺส โมฆปุริสสฺส สนฺถวาโต ภยํ ชาตํ, ยถา จ สพฺพปุถุชฺชนานํ นิเกตา ชายเต รโชติ เอวเมฺปตํ ปททฺวยํ โยเชตพฺพํฯ

    Tattha santhavo taṇhādiṭṭhimittabhedena tividhoti pubbe vutto. Idha taṇhādiṭṭhisanthavo adhippeto. Taṃ sandhāya bhagavā āha – ‘‘passatha, bhikkhave, yathā idaṃ tassa moghapurisassa santhavāto bhayaṃ jāta’’nti. Tañhi tassa abhiṇhadassanakāmatāditaṇhāya balavakilesabhayaṃ jātaṃ, yena saṇṭhātuṃ asakkonto mātari vippaṭipajji. Attānuvādādikaṃ vā mahābhayaṃ, yena sāsanaṃ chaḍḍetvā vibbhanto. Niketāti ‘‘rūpanimittaniketavisāravinibandhā kho, gahapati, ‘niketasārī’ti vuccatī’’tiādinā (saṃ. ni. 3.3) nayena vuttā ārammaṇappabhedā. Jāyate rajoti rāgadosamoharajo jāyate. Kiṃ vuttaṃ hoti? Na kevalañca tassa santhavāto bhayaṃ jātaṃ, apica kho pana yadetaṃ kilesānaṃ nivāsaṭṭhena sāsavārammaṇaṃ ‘‘niketa’’nti vuccati, idānissa bhinnasaṃvarattā atikkantamariyādattā suṭṭhutaraṃ tato niketā jāyate rajo, yena saṃkiliṭṭhacitto anayabyasanaṃ pāpuṇissati. Atha vā passatha, bhikkhave, yathā idaṃ tassa moghapurisassa santhavāto bhayaṃ jātaṃ, yathā ca sabbaputhujjanānaṃ niketā jāyate rajoti evampetaṃ padadvayaṃ yojetabbaṃ.

    สพฺพถา ปน อิมินา ปุริมเทฺธน ภควา ปุถุชฺชนทสฺสนํ ครหิตฺวา อตฺตโน ทสฺสนํ ปสํสโนฺต ‘‘อนิเกต’’นฺติ ปจฺฉิมทฺธมาหฯ ตตฺถ ยถาวุตฺตนิเกตปฎิเกฺขเปน อนิเกตํ, สนฺถวปฎิเกฺขเปน จ อสนฺถวํ เวทิตพฺพํฯ อุภยเมฺปตํ นิพฺพานสฺสาธิวจนํฯ เอตํ เว มุนิทสฺสนนฺติ เอตํ อนิเกตมสนฺถวํ พุทฺธมุนินา ทิฎฺฐนฺติ อโตฺถฯ ตตฺถ เวติ วิมฺหยเตฺถ นิปาโต ทฎฺฐโพฺพฯ เตน จ ยํ นาม นิเกตสนฺถววเสน มาตาปุเตฺตสุ วิปฺปฎิปชฺชมาเนสุ อนิเกตมสนฺถวํ, เอตํ มุนินา ทิฎฺฐํ อโห อพฺภุตนฺติ อยมธิปฺปาโย สิโทฺธ โหติฯ อถ วา มุนิโน ทสฺสนนฺติปิ มุนิทสฺสนํ, ทสฺสนํ นาม ขนฺติ รุจิ, ขมติ เจว รุจฺจติ จาติ อโตฺถฯ

    Sabbathā pana iminā purimaddhena bhagavā puthujjanadassanaṃ garahitvā attano dassanaṃ pasaṃsanto ‘‘aniketa’’nti pacchimaddhamāha. Tattha yathāvuttaniketapaṭikkhepena aniketaṃ, santhavapaṭikkhepena ca asanthavaṃ veditabbaṃ. Ubhayampetaṃ nibbānassādhivacanaṃ. Etaṃ ve munidassananti etaṃ aniketamasanthavaṃ buddhamuninā diṭṭhanti attho. Tattha veti vimhayatthe nipāto daṭṭhabbo. Tena ca yaṃ nāma niketasanthavavasena mātāputtesu vippaṭipajjamānesu aniketamasanthavaṃ, etaṃ muninā diṭṭhaṃ aho abbhutanti ayamadhippāyo siddho hoti. Atha vā munino dassanantipi munidassanaṃ, dassanaṃ nāma khanti ruci, khamati ceva ruccati cāti attho.

    ๒๑๐. ทุติยคาถาย โย ชาตมุจฺฉิชฺชาติ โย กิสฺมิญฺจิเทว วตฺถุสฺมิํ ชาตํ ภูตํ นิพฺพตฺตํ กิเลสํ ยถา อุปฺปนฺนากุสลปฺปหานํ โหติ, ตถา วายมโนฺต ตสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ ปุน อนิพฺพตฺตนวเสน อุจฺฉินฺทิตฺวา โย อนาคโตปิ กิเลโส ตถารูปปฺปจฺจยสโมธาเน นิพฺพตฺติตุํ อภิมุขีภูตตฺตา วตฺตมานสมีเป วตฺตมานลกฺขเณน ‘‘ชายโนฺต’’ติ วุจฺจติ, ตญฺจ น โรปเยยฺย ชายนฺตํ, ยถา อนุปฺปนฺนากุสลานุปฺปาโท โหติ, ตถา วายมโนฺต น นิพฺพเตฺตยฺยาติ อโตฺถฯ กถญฺจ น นิพฺพเตฺตยฺย? อสฺส นานุปฺปเวเจฺฉ, เยน ปจฺจเยน โส นิพฺพเตฺตยฺย ตํ นานุปฺปเวเสยฺย น สโมธาเนยฺยฯ เอวํ สมฺภารเวกลฺลกรเณน ตํ น โรปเยยฺย ชายนฺตํฯ อถ วา ยสฺมา มคฺคภาวนาย อตีตาปิ กิเลสา อุจฺฉิชฺชนฺติ อายติํ วิปากาภาเวน วตฺตมานาปิ น โรปียนฺติ ตทภาเวน, อนาคตาปิ จิตฺตสนฺตติํ นานุปฺปเวสียนฺติ อุปฺปตฺติสามตฺถิยวิฆาเตน, ตสฺมา โย อริยมคฺคภาวนาย ชาตมุจฺฉิชฺช น โรปเยยฺย ชายนฺตํ, อนาคตมฺปิ จสฺส ชายนฺตสฺส นานุปฺปเวเจฺฉ, ตมาหุ เอกํ มุนินํ จรนฺตํ, โส จ อทฺทกฺขิ สนฺติปทํ มเหสีติ เอวเมฺปตฺถ โยชนา เวทิตพฺพาฯ เอกนฺตนิกฺกิเลสตาย เอกํ, เสฎฺฐเฎฺฐน วา เอกํฯ มุนินนฺติ มุนิํ, มุนีสุ วา เอกํฯ จรนฺตนฺติ สพฺพาการปริปูราย โลกตฺถจริยาย อวเสสจริยาหิ จ จรนฺตํฯ อทฺทกฺขีติ อทฺทสฯ โสติ โย ชาตมุจฺฉิชฺช อโรปเน อนนุปฺปเวสเน จ สมตฺถตาย ‘‘น โรปเยยฺย ชายนฺตมสฺส นานุปฺปเวเจฺฉ’’ติ วุโตฺต พุทฺธมุนิฯ สนฺติปทนฺติ สนฺติโกฎฺฐาสํ, ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิคตวิปสฺสนานิพฺพานเภทาสุ ตีสุ สมฺมุติสนฺติ, ตทงฺคสนฺติ, อจฺจนฺตสนฺตีสุ เสฎฺฐํ เอวํ อนุปสเนฺต โลเก อจฺจนฺตสนฺติํ อทฺทส มเหสีติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    210. Dutiyagāthāya yo jātamucchijjāti yo kismiñcideva vatthusmiṃ jātaṃ bhūtaṃ nibbattaṃ kilesaṃ yathā uppannākusalappahānaṃ hoti, tathā vāyamanto tasmiṃ vatthusmiṃ puna anibbattanavasena ucchinditvā yo anāgatopi kileso tathārūpappaccayasamodhāne nibbattituṃ abhimukhībhūtattā vattamānasamīpe vattamānalakkhaṇena ‘‘jāyanto’’ti vuccati, tañca na ropayeyya jāyantaṃ, yathā anuppannākusalānuppādo hoti, tathā vāyamanto na nibbatteyyāti attho. Kathañca na nibbatteyya? Assa nānuppavecche, yena paccayena so nibbatteyya taṃ nānuppaveseyya na samodhāneyya. Evaṃ sambhāravekallakaraṇena taṃ na ropayeyya jāyantaṃ. Atha vā yasmā maggabhāvanāya atītāpi kilesā ucchijjanti āyatiṃ vipākābhāvena vattamānāpi na ropīyanti tadabhāvena, anāgatāpi cittasantatiṃ nānuppavesīyanti uppattisāmatthiyavighātena, tasmā yo ariyamaggabhāvanāya jātamucchijja na ropayeyya jāyantaṃ, anāgatampi cassa jāyantassa nānuppavecche, tamāhu ekaṃ muninaṃ carantaṃ, so ca addakkhi santipadaṃ mahesīti evampettha yojanā veditabbā. Ekantanikkilesatāya ekaṃ, seṭṭhaṭṭhena vā ekaṃ. Muninanti muniṃ, munīsu vā ekaṃ. Carantanti sabbākāraparipūrāya lokatthacariyāya avasesacariyāhi ca carantaṃ. Addakkhīti addasa. Soti yo jātamucchijja aropane ananuppavesane ca samatthatāya ‘‘na ropayeyya jāyantamassa nānuppavecche’’ti vutto buddhamuni. Santipadanti santikoṭṭhāsaṃ, dvāsaṭṭhidiṭṭhigatavipassanānibbānabhedāsu tīsu sammutisanti, tadaṅgasanti, accantasantīsu seṭṭhaṃ evaṃ anupasante loke accantasantiṃ addasa mahesīti evamattho veditabbo.

    ๒๑๑. ตติยคาถาย สงฺขายาติ คณยิตฺวา, ปริจฺฉินฺทิตฺวา วีมํสิตฺวา ยถาภูตโต ญตฺวา, ทุกฺขปริญฺญาย ปริชานิตฺวาติ อโตฺถฯ วตฺถูนีติ เยสุ เอวมยํ โลโก สชฺชติ, ตานิ ขนฺธายตนธาตุเภทานิ กิเลสฎฺฐานานิฯ ปมาย พีชนฺติ ยํ เตสํ วตฺถูนํ พีชํ อภิสงฺขารวิญฺญาณํ, ตํ ปมาย หิํสิตฺวา, พาธิตฺวา, สมุเจฺฉทปฺปหาเนน ปชหิตฺวาติ อโตฺถฯ สิเนหมสฺส นานุปฺปเวเจฺฉติ เยน ตณฺหาทิฎฺฐิสิเนเหน สิเนหิตํ ตํ พีชํ อายติํ ปฎิสนฺธิวเสน ตํ ยถาวุตฺตํ วตฺถุสสฺสํ วิรุเหยฺย, ตํ สิเนหมสฺส นานุปฺปเวเจฺฉ, ตปฺปฎิปกฺขาย มคฺคภาวนาย ตํ นานุปฺปเวเสยฺยาติ อโตฺถฯ ส เว มุนิ ชาติขยนฺตทสฺสีติ โส เอวรูโป พุทฺธมุนิ นิพฺพานสจฺฉิกิริยาย ชาติยา จ มรณสฺส จ อนฺตภูตสฺส นิพฺพานสฺส ทิฎฺฐตฺตา ชาติกฺขยนฺตทสฺสี ตกฺกํ ปหาย น อุเปติ สงฺขํฯ อิมาย จตุสจฺจภาวนาย นวปฺปเภทมฺปิ อกุสลวิตกฺกํ ปหาย สอุปาทิเสสนิพฺพานธาตุํ ปตฺวา โลกตฺถจริยํ กโรโนฺต อนุปุเพฺพน จริมวิญฺญาณกฺขยา อนุปาทิเสสนิพฺพานธาตุปฺปตฺติยา ‘‘เทโว วา มนุโสฺส วา’’ติ น อุเปติ สงฺขํฯ อปรินิพฺพุโต เอว วา ยถา กามวิตกฺกาทิโน วิตกฺกสฺส อปฺปหีนตฺตา ‘‘อยํ ปุคฺคโล รโตฺต’’ติ วา ‘‘ทุโฎฺฐ’’ติ วา สงฺขํ อุเปติ, เอวํ ตกฺกํ ปหาย น อุเปติ สงฺขนฺติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ ฯ

    211. Tatiyagāthāya saṅkhāyāti gaṇayitvā, paricchinditvā vīmaṃsitvā yathābhūtato ñatvā, dukkhapariññāya parijānitvāti attho. Vatthūnīti yesu evamayaṃ loko sajjati, tāni khandhāyatanadhātubhedāni kilesaṭṭhānāni. Pamāya bījanti yaṃ tesaṃ vatthūnaṃ bījaṃ abhisaṅkhāraviññāṇaṃ, taṃ pamāya hiṃsitvā, bādhitvā, samucchedappahānena pajahitvāti attho. Sinehamassa nānuppaveccheti yena taṇhādiṭṭhisinehena sinehitaṃ taṃ bījaṃ āyatiṃ paṭisandhivasena taṃ yathāvuttaṃ vatthusassaṃ viruheyya, taṃ sinehamassa nānuppavecche, tappaṭipakkhāya maggabhāvanāya taṃ nānuppaveseyyāti attho. Sa ve muni jātikhayantadassīti so evarūpo buddhamuni nibbānasacchikiriyāya jātiyā ca maraṇassa ca antabhūtassa nibbānassa diṭṭhattā jātikkhayantadassī takkaṃ pahāya na upeti saṅkhaṃ. Imāya catusaccabhāvanāya navappabhedampi akusalavitakkaṃ pahāya saupādisesanibbānadhātuṃ patvā lokatthacariyaṃ karonto anupubbena carimaviññāṇakkhayā anupādisesanibbānadhātuppattiyā ‘‘devo vā manusso vā’’ti na upeti saṅkhaṃ. Aparinibbuto eva vā yathā kāmavitakkādino vitakkassa appahīnattā ‘‘ayaṃ puggalo ratto’’ti vā ‘‘duṭṭho’’ti vā saṅkhaṃ upeti, evaṃ takkaṃ pahāya na upeti saṅkhanti evampettha attho daṭṭhabbo .

    ๒๑๒. จตุตฺถคาถาย อญฺญายาติ อนิจฺจาทินเยน ชานิตฺวาฯ สพฺพานีติ อนวเสสานิ, นิเวสนานีติ กามภวาทิเก ภเวฯ นิวสนฺติ หิ เตสุ สตฺตา, ตสฺมา ‘‘นิเวสนานี’’ติ วุจฺจนฺติฯ อนิกามยํ อญฺญตรมฺปิ เตสนฺติ เอวํ ทิฎฺฐาทีนวตฺตา เตสํ นิเวสนานํ เอกมฺปิ อปเตฺถโนฺต โส เอวรูโป พุทฺธมุนิ มคฺคภาวนาพเลน ตณฺหาเคธสฺส วิคตตฺตา วีตเคโธ, วีตเคธตฺตา เอว จ อคิโทฺธ, น ยถา เอเก อวีตเคธา เอว สมานา ‘‘อคิทฺธมฺหา’’ติ ปฎิชานนฺติ, เอวํฯ นายูหตีติ ตสฺส ตสฺส นิเวสนสฺส นิพฺพตฺตกํ กุสลํ วา อกุสลํ วา น กโรติฯ กิํ การณา? ปารคโต หิ โหติ, ยสฺมา เอวรูโป สพฺพนิเวสนานํ ปารํ นิพฺพานํ คโต โหตีติ อโตฺถฯ

    212. Catutthagāthāya aññāyāti aniccādinayena jānitvā. Sabbānīti anavasesāni, nivesanānīti kāmabhavādike bhave. Nivasanti hi tesu sattā, tasmā ‘‘nivesanānī’’ti vuccanti. Anikāmayaṃ aññatarampi tesanti evaṃ diṭṭhādīnavattā tesaṃ nivesanānaṃ ekampi apatthento so evarūpo buddhamuni maggabhāvanābalena taṇhāgedhassa vigatattā vītagedho, vītagedhattā eva ca agiddho, na yathā eke avītagedhā eva samānā ‘‘agiddhamhā’’ti paṭijānanti, evaṃ. Nāyūhatīti tassa tassa nivesanassa nibbattakaṃ kusalaṃ vā akusalaṃ vā na karoti. Kiṃ kāraṇā? Pāragato hi hoti, yasmā evarūpo sabbanivesanānaṃ pāraṃ nibbānaṃ gato hotīti attho.

    เอวํ ปฐมคาถาย ปุถุชฺชนทสฺสนํ ครหิตฺวา อตฺตโน ทสฺสนํ ปสํสโนฺต ทุติยคาถาย เยหิ กิเลเสหิ ปุถุชฺชโน อนุปสโนฺต โหติ, เตสํ อภาเวน อตฺตโน สนฺติปทาธิคมํ ปสํสโนฺต ตติยคาถาย เยสุ วตฺถูสุ ปุถุชฺชโน ตกฺกํ อปฺปหาย ตถา ตถา สงฺขํ อุเปติ, เตสุ จตุสจฺจภาวนาย ตกฺกํ ปหาย อตฺตโน สงฺขานุปคมนํ ปสํสโนฺต จตุตฺถคาถาย อายติมฺปิ ยานิ นิเวสนานิ กามยมาโน ปุถุชฺชโน ภวตณฺหาย อายูหติ, เตสุ ตณฺหาภาเวน อตฺตโน อนายูหนํ ปสํสโนฺต จตูหิ คาถาหิ อรหตฺตนิกูเฎเนว เอกฎฺฐุปฺปตฺติกํ เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ

    Evaṃ paṭhamagāthāya puthujjanadassanaṃ garahitvā attano dassanaṃ pasaṃsanto dutiyagāthāya yehi kilesehi puthujjano anupasanto hoti, tesaṃ abhāvena attano santipadādhigamaṃ pasaṃsanto tatiyagāthāya yesu vatthūsu puthujjano takkaṃ appahāya tathā tathā saṅkhaṃ upeti, tesu catusaccabhāvanāya takkaṃ pahāya attano saṅkhānupagamanaṃ pasaṃsanto catutthagāthāya āyatimpi yāni nivesanāni kāmayamāno puthujjano bhavataṇhāya āyūhati, tesu taṇhābhāvena attano anāyūhanaṃ pasaṃsanto catūhi gāthāhi arahattanikūṭeneva ekaṭṭhuppattikaṃ desanaṃ niṭṭhāpesi.

    ๒๑๓. สพฺพาภิภุนฺติ กา อุปฺปตฺติ? มหาปุริโส มหาภินิกฺขมนํ กตฺวา อนุปุเพฺพน สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนตฺถาย พาราณสิํ คจฺฉโนฺต โพธิมณฺฑสฺส จ คยาย จ อนฺตเร อุปเกนาชีวเกน สมาคจฺฉิฯ เตน จ ‘‘วิปฺปสนฺนานิ โข เต, อาวุโส, อินฺทฺริยานี’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๘๕; มหาว. ๑๑) นเยน ปุโฎฺฐ ‘‘สพฺพาภิภู’’ติอาทีนิ อาหฯ อุปโก ‘‘หุเปยฺยาวุโส’’ติ วตฺวา, สีสํ โอกเมฺปตฺวา, อุมฺมคฺคํ คเหตฺวา ปกฺกามิ ฯ อนุกฺกเมน จ วงฺกหารชนปเท อญฺญตรํ มาควิกคามํ ปาปุณิฯ ตเมนํ มาควิกเชฎฺฐโก ทิสฺวา – ‘‘อโห อปฺปิโจฺฉ สมโณ วตฺถมฺปิ น นิวาเสติ, อยํ โลเก อรหา’’ติ ฆรํ เนตฺวา มํสรเสน ปริวิสิตฺวา ภุตฺตาวิญฺจ นํ สปุตฺตทาโร วนฺทิตฺวา ‘‘อิเธว, ภเนฺต, วสถ, อหํ ปจฺจเยน อุปฎฺฐหิสฺสามี’’ติ นิมเนฺตตฺวา, วสโนกาสํ กตฺวา อทาสิฯ โส ตตฺถ วสติฯ

    213.Sabbābhibhunti kā uppatti? Mahāpuriso mahābhinikkhamanaṃ katvā anupubbena sabbaññutaṃ patvā dhammacakkappavattanatthāya bārāṇasiṃ gacchanto bodhimaṇḍassa ca gayāya ca antare upakenājīvakena samāgacchi. Tena ca ‘‘vippasannāni kho te, āvuso, indriyānī’’tiādinā (ma. ni. 1.285; mahāva. 11) nayena puṭṭho ‘‘sabbābhibhū’’tiādīni āha. Upako ‘‘hupeyyāvuso’’ti vatvā, sīsaṃ okampetvā, ummaggaṃ gahetvā pakkāmi . Anukkamena ca vaṅkahārajanapade aññataraṃ māgavikagāmaṃ pāpuṇi. Tamenaṃ māgavikajeṭṭhako disvā – ‘‘aho appiccho samaṇo vatthampi na nivāseti, ayaṃ loke arahā’’ti gharaṃ netvā maṃsarasena parivisitvā bhuttāviñca naṃ saputtadāro vanditvā ‘‘idheva, bhante, vasatha, ahaṃ paccayena upaṭṭhahissāmī’’ti nimantetvā, vasanokāsaṃ katvā adāsi. So tattha vasati.

    มาควิโก คิมฺหกาเล อุทกสมฺปเนฺน สีตเล ปเทเส จริตุํ ทูรํ อปกฺกเนฺตสุ มิเคสุ ตตฺถ คจฺฉโนฺต ‘‘อมฺหากํ อรหนฺตํ สกฺกจฺจํ อุปฎฺฐหสฺสู’’ติ ฉาวํ นาม ธีตรํ อาณาเปตฺวา อคมาสิ สทฺธิํ ปุตฺตภาตุเกหิฯ สา จสฺส ธีตา ทสฺสนียา โหติ โกฎฺฐาสสมฺปนฺนาฯ ทุติยทิวเส อุปโก ฆรํ อาคโต ตํ ทาริกํ สพฺพํ อุปจารํ กตฺวา, ปริวิสิตุํ อุปคตํ ทิสฺวา, ราเคน อภิภูโต ภุญฺชิตุมฺปิ อสโกฺกโนฺต ภาชเนน ภตฺตํ อาทาย วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา, ภตฺตํ เอกมเนฺต นิกฺขิปิตฺวา – ‘‘สเจ ฉาวํ ลภามิ, ชีวามิ, โน เจ, มรามี’’ติ นิราหาโร สยิฯ สตฺตเม ทิวเส มาควิโก อาคนฺตฺวา ธีตรํ อุปกสฺส ปวตฺติํ ปุจฺฉิฯ สา – ‘‘เอกทิวสเมว อาคนฺตฺวา ปุน นาคตปุโพฺพ’’ติ อาหฯ มาควิโก ‘‘อาคตเวเสเนว นํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ ตงฺขณเญฺญว คนฺตฺวา – ‘‘กิํ, ภเนฺต, อผาสุก’’นฺติ ปาเท ปรามสโนฺต ปุจฺฉิฯ อุปโก นิตฺถุนโนฺต ปริวตฺตติเยวฯ โส ‘‘วท, ภเนฺต, ยํ มยา สกฺกา กาตุํ, สพฺพํ กริสฺสามี’’ติ อาหฯ อุปโก – ‘‘สเจ ฉาวํ ลภามิ, ชีวามิ, โน เจ, อิเธว มรณํ เสโยฺย’’ติ อาหฯ ‘‘ชานาสิ ปน, ภเนฺต, กิญฺจิ สิปฺป’’นฺติ? ‘‘น ชานามี’’ติ ฯ ‘‘น, ภเนฺต, กิญฺจิ สิปฺปํ อชานเนฺตน สกฺกา ฆราวาสํ อธิฎฺฐาตุ’’นฺติ? โส อาห – ‘‘นาหํ กิญฺจิ สิปฺปํ ชานามิ, อปิจ ตุมฺหากํ มํสหารโก ภวิสฺสามิ, มํสญฺจ วิกฺกิณิสฺสามี’’ติฯ มาควิโกปิ ‘‘อมฺหากํ เอตเทว รุจฺจตี’’ติ อุตฺตรสาฎกํ ทตฺวา, ฆรํ อาเนตฺวา ธีตรํ อทาสิฯ เตสํ สํวาสมนฺวาย ปุโตฺต วิชายิฯ สุภโทฺทติสฺส นามํ อกํสุฯ ฉาวา ปุตฺตโตสนคีเตน อุปกํ อุปฺปเณฺฑสิฯ โส ตํ อสหโนฺต ‘‘ภเทฺท, อหํ อนนฺตชินสฺส สนฺติกํ คจฺฉามี’’ติ มชฺฌิมเทสาภิมุโข ปกฺกามิฯ

    Māgaviko gimhakāle udakasampanne sītale padese carituṃ dūraṃ apakkantesu migesu tattha gacchanto ‘‘amhākaṃ arahantaṃ sakkaccaṃ upaṭṭhahassū’’ti chāvaṃ nāma dhītaraṃ āṇāpetvā agamāsi saddhiṃ puttabhātukehi. Sā cassa dhītā dassanīyā hoti koṭṭhāsasampannā. Dutiyadivase upako gharaṃ āgato taṃ dārikaṃ sabbaṃ upacāraṃ katvā, parivisituṃ upagataṃ disvā, rāgena abhibhūto bhuñjitumpi asakkonto bhājanena bhattaṃ ādāya vasanaṭṭhānaṃ gantvā, bhattaṃ ekamante nikkhipitvā – ‘‘sace chāvaṃ labhāmi, jīvāmi, no ce, marāmī’’ti nirāhāro sayi. Sattame divase māgaviko āgantvā dhītaraṃ upakassa pavattiṃ pucchi. Sā – ‘‘ekadivasameva āgantvā puna nāgatapubbo’’ti āha. Māgaviko ‘‘āgataveseneva naṃ upasaṅkamitvā pucchissāmī’’ti taṅkhaṇaññeva gantvā – ‘‘kiṃ, bhante, aphāsuka’’nti pāde parāmasanto pucchi. Upako nitthunanto parivattatiyeva. So ‘‘vada, bhante, yaṃ mayā sakkā kātuṃ, sabbaṃ karissāmī’’ti āha. Upako – ‘‘sace chāvaṃ labhāmi, jīvāmi, no ce, idheva maraṇaṃ seyyo’’ti āha. ‘‘Jānāsi pana, bhante, kiñci sippa’’nti? ‘‘Na jānāmī’’ti . ‘‘Na, bhante, kiñci sippaṃ ajānantena sakkā gharāvāsaṃ adhiṭṭhātu’’nti? So āha – ‘‘nāhaṃ kiñci sippaṃ jānāmi, apica tumhākaṃ maṃsahārako bhavissāmi, maṃsañca vikkiṇissāmī’’ti. Māgavikopi ‘‘amhākaṃ etadeva ruccatī’’ti uttarasāṭakaṃ datvā, gharaṃ ānetvā dhītaraṃ adāsi. Tesaṃ saṃvāsamanvāya putto vijāyi. Subhaddotissa nāmaṃ akaṃsu. Chāvā puttatosanagītena upakaṃ uppaṇḍesi. So taṃ asahanto ‘‘bhadde, ahaṃ anantajinassa santikaṃ gacchāmī’’ti majjhimadesābhimukho pakkāmi.

    ภควา จ เตน สมเยน สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวนมหาวิหาเรฯ อถ โข ภควา ปฎิกเจฺจว ภิกฺขู อาณาเปสิ – ‘‘โย, ภิกฺขเว, อนนฺตชิโนติ ปุจฺฉมาโน อาคจฺฉติ, ตสฺส มํ ทเสฺสยฺยาถา’’ติฯ อุปโกปิ โข อนุปุเพฺพเนว สาวตฺถิํ อาคนฺตฺวา วิหารมเชฺฌ ฐตฺวา ‘‘อิมสฺมิํ วิหาเร มม สหาโย อนนฺตชิโน นาม อตฺถิ, โส กุหิํ วสตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ตํ ภิกฺขู ภควโต สนฺติกํ นยิํสุฯ ภควา ตสฺสานุรูปํ ธมฺมํ เทเสสิฯ โส เทสนาปริโยสาเน อนาคามิผเล ปติฎฺฐาสิฯ ภิกฺขู ตสฺส ปุพฺพปฺปวตฺติํ สุตฺวา กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘ภควา ปฐมํ นิสฺสิริกสฺส นคฺคสมณสฺส ธมฺมํ เทเสสี’’ติฯ ภควา ตํ กถาสมุฎฺฐานํ วิทิตฺวา คนฺธกุฎิโต นิกฺขมฺม ตงฺขณานุรูเปน ปาฎิหาริเยน พุทฺธาสเน นิสีทิตฺวา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ? เต สพฺพํ กเถสุํฯ ตโต ภควา – ‘‘น, ภิกฺขเว, ตถาคโต อเหตุอปฺปจฺจยา ธมฺมํ เทเสติ, นิมฺมลา ตถาคตสฺส ธมฺมเทสนา, น สกฺกา ตตฺถ โทสํ ทฎฺฐุํฯ เตน, ภิกฺขเว, ธมฺมเทสนูปนิสฺสเยน อุปโก เอตรหิ อนาคามี ชาโต’’ติ วตฺวา อตฺตโน เทสนามลาภาวทีปิกํ อิมํ คาถมภาสิฯ

    Bhagavā ca tena samayena sāvatthiyaṃ viharati jetavanamahāvihāre. Atha kho bhagavā paṭikacceva bhikkhū āṇāpesi – ‘‘yo, bhikkhave, anantajinoti pucchamāno āgacchati, tassa maṃ dasseyyāthā’’ti. Upakopi kho anupubbeneva sāvatthiṃ āgantvā vihāramajjhe ṭhatvā ‘‘imasmiṃ vihāre mama sahāyo anantajino nāma atthi, so kuhiṃ vasatī’’ti pucchi. Taṃ bhikkhū bhagavato santikaṃ nayiṃsu. Bhagavā tassānurūpaṃ dhammaṃ desesi. So desanāpariyosāne anāgāmiphale patiṭṭhāsi. Bhikkhū tassa pubbappavattiṃ sutvā kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘bhagavā paṭhamaṃ nissirikassa naggasamaṇassa dhammaṃ desesī’’ti. Bhagavā taṃ kathāsamuṭṭhānaṃ viditvā gandhakuṭito nikkhamma taṅkhaṇānurūpena pāṭihāriyena buddhāsane nisīditvā bhikkhū āmantesi – ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti? Te sabbaṃ kathesuṃ. Tato bhagavā – ‘‘na, bhikkhave, tathāgato ahetuappaccayā dhammaṃ deseti, nimmalā tathāgatassa dhammadesanā, na sakkā tattha dosaṃ daṭṭhuṃ. Tena, bhikkhave, dhammadesanūpanissayena upako etarahi anāgāmī jāto’’ti vatvā attano desanāmalābhāvadīpikaṃ imaṃ gāthamabhāsi.

    ตสฺสโตฺถ – สาสเวสุ สพฺพขนฺธายตนธาตูสุ ฉนฺทราคปฺปหาเนน เตหิ อนภิภูตตฺตา สยญฺจ เต ธเมฺม สเพฺพ อภิภุยฺย ปวตฺตตฺตา สพฺพาภิภุํฯ เตสญฺจ อเญฺญสญฺจ สพฺพธมฺมานํ สพฺพากาเรน วิทิตตฺตา สพฺพวิทุํฯ สพฺพธมฺมเทสนสมตฺถาย โสภนาย เมธาย สมนฺนาคตตฺตา สุเมธํฯ เยสํ ตณฺหาทิฎฺฐิเลปานํ วเสน สาสวขนฺธาทิเภเทสุ สพฺพธเมฺมสุ อุปลิมฺปติ, เตสํ เลปานํ อภาวา เตสุ สเพฺพสุ ธเมฺมสุ อนุปลิตฺตํฯ เตสุ จ สพฺพธเมฺมสุ ฉนฺทราคาภาเวน สเพฺพ เต ธเมฺม ชหิตฺวา ฐิตตฺตา สพฺพญฺชหํฯ อุปธิวิเวกนิเนฺนน จิเตฺตน ตณฺหกฺขเย นิพฺพาเน วิเสเสน มุตฺตตฺตา ตณฺหกฺขเย วิมุตฺตํ, อธิมุตฺตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตํ วาปิ ธีรา มุนิ เวทยนฺตีติ ตมฺปิ ปณฺฑิตา สตฺตา มุนิํ เวทยนฺติ ชานนฺติฯ ปสฺสถ ยาว ปฎิวิสิโฎฺฐวายํ มุนิ, ตสฺส กุโต เทสนามลนฺติ อตฺตานํ วิภาเวติ ฯ วิภาวนโตฺถ หิ เอตฺถ วาสโทฺทติฯ เกจิ ปน วณฺณยนฺติ – ‘‘อุปโก ตทา ตถาคตํ ทิสฺวาปิ ‘อยํ พุทฺธมุนี’ติ น สทฺทหี’’ติ เอวํ ภิกฺขู กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ , ตโต ภควา ‘‘สทฺทหตุ วา มา วา, ธีรา ปน ตํ มุนิํ เวทยนฺตี’’ติ ทเสฺสโนฺต อิมํ คาถมภาสีติฯ

    Tassattho – sāsavesu sabbakhandhāyatanadhātūsu chandarāgappahānena tehi anabhibhūtattā sayañca te dhamme sabbe abhibhuyya pavattattā sabbābhibhuṃ. Tesañca aññesañca sabbadhammānaṃ sabbākārena viditattā sabbaviduṃ. Sabbadhammadesanasamatthāya sobhanāya medhāya samannāgatattā sumedhaṃ. Yesaṃ taṇhādiṭṭhilepānaṃ vasena sāsavakhandhādibhedesu sabbadhammesu upalimpati, tesaṃ lepānaṃ abhāvā tesu sabbesu dhammesu anupalittaṃ. Tesu ca sabbadhammesu chandarāgābhāvena sabbe te dhamme jahitvā ṭhitattā sabbañjahaṃ. Upadhivivekaninnena cittena taṇhakkhaye nibbāne visesena muttattā taṇhakkhaye vimuttaṃ, adhimuttanti vuttaṃ hoti. Taṃ vāpi dhīrā muni vedayantīti tampi paṇḍitā sattā muniṃ vedayanti jānanti. Passatha yāva paṭivisiṭṭhovāyaṃ muni, tassa kuto desanāmalanti attānaṃ vibhāveti . Vibhāvanattho hi ettha vāsaddoti. Keci pana vaṇṇayanti – ‘‘upako tadā tathāgataṃ disvāpi ‘ayaṃ buddhamunī’ti na saddahī’’ti evaṃ bhikkhū kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ , tato bhagavā ‘‘saddahatu vā mā vā, dhīrā pana taṃ muniṃ vedayantī’’ti dassento imaṃ gāthamabhāsīti.

    ๒๑๔. ปญฺญาพลนฺติ กา อุปฺปตฺติ? อยํ คาถา เรวตเตฺถรํ อารพฺภ วุตฺตาฯ ตตฺถ ‘‘คาเม วา ยทิ วารเญฺญ’’ติ อิมิสฺสา คาถาย วุตฺตนเยเนว เรวตเตฺถรสฺส อาทิโต ปภุติ ปพฺพชฺชา, ปพฺพชิตสฺส ขทิรวเน วิหาโร, ตตฺถ วิหรโต วิเสสาธิคโม, ภควโต ตตฺถ คมนปจฺจาคมนญฺจ เวทิตพฺพํฯ ปจฺจาคเต ปน ภควติ โย โส มหลฺลกภิกฺขุ อุปาหนํ สมฺมุสฺสิตฺวา ปฎินิวโตฺต ขทิรรุเกฺข อาลคฺคิตํ ทิสฺวา สาวตฺถิํ อนุปฺปโตฺต วิสาขาย อุปาสิกาย ‘‘กิํ, ภเนฺต, เรวตเตฺถรสฺส วสโนกาโส รมณีโย’’ติ ภิกฺขู ปุจฺฉมานาย เยหิ ภิกฺขูหิ ปสํสิโต, เต อปสาเทโนฺต ‘‘อุปาสิเก, เอเต ตุจฺฉํ ภณนฺติ, น สุนฺทโร ภูมิปฺปเทโส, อติลูขกกฺขฬํ ขทิรวนเมวา’’ติ อาหฯ โส วิสาขาย อาคนฺตุกภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ มณฺฑลมาเฬ สนฺนิปติเต ภิกฺขู อุชฺฌาเปโนฺต อาห – ‘‘กิํ, อาวุโส, เรวตเตฺถรสฺส เสนาสเน รมณียํ ตุเมฺหหิ ทิฎฺฐ’’นฺติ ฯ ภควา ตํ ญตฺวา คนฺธกุฎิโต นิกฺขมฺม ตงฺขณานุรูเปน ปาฎิหาริเยน ปริสมชฺฌํ ปตฺวา, พุทฺธาสเน นิสีทิตฺวา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ? เต อาหํสุ – ‘‘เรวตํ, ภเนฺต, อารพฺภ กถา อุปฺปนฺนา ‘เอวํ นวกมฺมิโก กทา สมณธมฺมํ กริสฺสตี’’’ติฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, เรวโต นวกมฺมิโก, อรหา เรวโต ขีณาสโว’’ติ วตฺวา ตํ อารพฺภ เตสํ ภิกฺขูนํ ธมฺมเทสนตฺถํ อิมํ คาถมภาสิฯ

    214.Paññābalanti kā uppatti? Ayaṃ gāthā revatattheraṃ ārabbha vuttā. Tattha ‘‘gāme vā yadi vāraññe’’ti imissā gāthāya vuttanayeneva revatattherassa ādito pabhuti pabbajjā, pabbajitassa khadiravane vihāro, tattha viharato visesādhigamo, bhagavato tattha gamanapaccāgamanañca veditabbaṃ. Paccāgate pana bhagavati yo so mahallakabhikkhu upāhanaṃ sammussitvā paṭinivatto khadirarukkhe ālaggitaṃ disvā sāvatthiṃ anuppatto visākhāya upāsikāya ‘‘kiṃ, bhante, revatattherassa vasanokāso ramaṇīyo’’ti bhikkhū pucchamānāya yehi bhikkhūhi pasaṃsito, te apasādento ‘‘upāsike, ete tucchaṃ bhaṇanti, na sundaro bhūmippadeso, atilūkhakakkhaḷaṃ khadiravanamevā’’ti āha. So visākhāya āgantukabhattaṃ bhuñjitvā pacchābhattaṃ maṇḍalamāḷe sannipatite bhikkhū ujjhāpento āha – ‘‘kiṃ, āvuso, revatattherassa senāsane ramaṇīyaṃ tumhehi diṭṭha’’nti . Bhagavā taṃ ñatvā gandhakuṭito nikkhamma taṅkhaṇānurūpena pāṭihāriyena parisamajjhaṃ patvā, buddhāsane nisīditvā bhikkhū āmantesi – ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti? Te āhaṃsu – ‘‘revataṃ, bhante, ārabbha kathā uppannā ‘evaṃ navakammiko kadā samaṇadhammaṃ karissatī’’’ti. ‘‘Na, bhikkhave, revato navakammiko, arahā revato khīṇāsavo’’ti vatvā taṃ ārabbha tesaṃ bhikkhūnaṃ dhammadesanatthaṃ imaṃ gāthamabhāsi.

    ตสฺสโตฺถ – ทุพฺพลกรกิเลสปฺปหานสาธเกน วิกุพฺพนอธิฎฺฐานปฺปเภเทน วา ปญฺญาพเลน สมนฺนาคตตฺตา ปญฺญาพลํ, จตุปาริสุทฺธิสีเลน ธุตงฺควเตน จ อุปปนฺนตฺตา สีลวตูปปนฺนํ, มคฺคสมาธินา ผลสมาธินา อิริยาปถสมาธินา จ สมาหิตํ, อุปจารปฺปนาเภเทน ฌาเนน ฌาเน วา รตตฺตา ฌานรตํ, สติเวปุลฺลปฺปตฺตตฺตา สติมํ, ราคาทิสงฺคโต ปมุตฺตตา สงฺคา ปมุตฺตํ, ปญฺจเจโตขิลจตุอาสวาภาเวน อขิลํ อนาสวํ ตํ วาปิ ธีรา มุนิํ เวทยนฺติฯ ตมฺปิ เอวํ ปญฺญาทิคุณสํยุตฺตํ สงฺคาทิโทสวิสํยุตฺตํ ปณฺฑิตา สตฺตา มุนิํ วา เวทยนฺติฯ ปสฺสถ ยาว ปฎิวิสิโฎฺฐวายํ ขีณาสวมุนิ, โส ‘‘นวกมฺมิโก’’ติ วา ‘‘กทา สมณธมฺมํ กริสฺสตี’’ติ วา กถํ วตฺตโพฺพฯ โส หิ ปญฺญาพเลน ตํ วิหารํ นิฎฺฐาเปสิ, น นวกมฺมกรเณน, กตกิโจฺจว โส, น อิทานิ สมณธมฺมํ กริสฺสตีติ เรวตเตฺถรํ วิภาเวติฯ วิภาวนโตฺถ หิ เอตฺถ วา-สโทฺทติฯ

    Tassattho – dubbalakarakilesappahānasādhakena vikubbanaadhiṭṭhānappabhedena vā paññābalena samannāgatattā paññābalaṃ, catupārisuddhisīlena dhutaṅgavatena ca upapannattā sīlavatūpapannaṃ, maggasamādhinā phalasamādhinā iriyāpathasamādhinā ca samāhitaṃ, upacārappanābhedena jhānena jhāne vā ratattā jhānarataṃ, sativepullappattattā satimaṃ, rāgādisaṅgato pamuttatā saṅgā pamuttaṃ, pañcacetokhilacatuāsavābhāvena akhilaṃ anāsavaṃ taṃ vāpi dhīrā muniṃ vedayanti. Tampi evaṃ paññādiguṇasaṃyuttaṃ saṅgādidosavisaṃyuttaṃ paṇḍitā sattā muniṃ vā vedayanti. Passatha yāva paṭivisiṭṭhovāyaṃ khīṇāsavamuni, so ‘‘navakammiko’’ti vā ‘‘kadā samaṇadhammaṃ karissatī’’ti vā kathaṃ vattabbo. So hi paññābalena taṃ vihāraṃ niṭṭhāpesi, na navakammakaraṇena, katakiccova so, na idāni samaṇadhammaṃ karissatīti revatattheraṃ vibhāveti. Vibhāvanattho hi ettha vā-saddoti.

    ๒๑๕. เอกํ จรนฺตนฺติ กา อุปฺปตฺติ? โพธิมณฺฑโต ปภุติ ยถากฺกมํ กปิลวตฺถุํ อนุปฺปเตฺต ภควติ ปิตาปุตฺตสมาคเม วตฺตมาเน ภควา สโมฺมทมาเนน รญฺญา สุโทฺธทเนน ‘‘ตุเมฺห, ภเนฺต, คหฎฺฐกาเล คนฺธกรณฺฑเก วาสิตานิ กาสิกาทีนิ ทุสฺสานิ นิวาเสตฺวา อิทานิ กถํ ฉินฺนกานิ ปํสุกูลานิ ธาเรถา’’ติ เอวมาทินา วุโตฺต ราชานํ อนุนยมาโน –

    215.Ekaṃ carantanti kā uppatti? Bodhimaṇḍato pabhuti yathākkamaṃ kapilavatthuṃ anuppatte bhagavati pitāputtasamāgame vattamāne bhagavā sammodamānena raññā suddhodanena ‘‘tumhe, bhante, gahaṭṭhakāle gandhakaraṇḍake vāsitāni kāsikādīni dussāni nivāsetvā idāni kathaṃ chinnakāni paṃsukūlāni dhārethā’’ti evamādinā vutto rājānaṃ anunayamāno –

    ‘‘ยํ ตฺวํ ตาต วเท มยฺหํ, ปฎฺฎุณฺณํ ทุกูลกาสิกํ;

    ‘‘Yaṃ tvaṃ tāta vade mayhaṃ, paṭṭuṇṇaṃ dukūlakāsikaṃ;

    ปํสุกูลํ ตโต เสยฺยํ, เอตํ เม อภิปตฺถิต’’นฺติฯ –

    Paṃsukūlaṃ tato seyyaṃ, etaṃ me abhipatthita’’nti. –

    อาทีนิ วตฺวา โลกธเมฺมหิ อตฺตโน อวิกมฺปภาวํ ทเสฺสโนฺต รโญฺญ ธมฺมเทสนตฺถํ อิมํ สตฺตปทคาถมภาสิฯ

    Ādīni vatvā lokadhammehi attano avikampabhāvaṃ dassento rañño dhammadesanatthaṃ imaṃ sattapadagāthamabhāsi.

    ตสฺสโตฺถ – ปพฺพชฺชาสงฺขาตาทีหิ เอกํ, อิริยาปถาทีหิ จริยาหิ จรนฺตํฯ โมเนยฺยธมฺมสมนฺนาคเมน มุนิํฯ สพฺพฎฺฐาเนสุ ปมาทาภาวโต อปฺปมตฺตํฯ อโกฺกสนครหนาทิเภทาย นินฺทาย วณฺณนโถมนาทิเภทาย ปสํสาย จาติ อิมาสุ นินฺทาปสํสาสุ ปฎิฆานุนยวเสน อเวธมานํฯ นินฺทาปสํสามุเขน เจตฺถ อฎฺฐปิ โลกธมฺมา วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ สีหํว เภริสทฺทาทีสุ สเทฺทสุ อฎฺฐสุ โลกธเมฺมสุ ปกติวิการานุปคเมน อสนฺตสนฺตํ, ปเนฺตสุ วา เสนาสเนสุ สนฺตาสาภาเวนฯ วาตํว สุตฺตมยาทิเภเท ชาลมฺหิ จตูหิ มเคฺคหิ ตณฺหาทิฎฺฐิชาเล อสชฺชมานํ, อฎฺฐสุ วา โลกธเมฺมสุ ปฎิฆานุนยวเสน อสชฺชมานํฯ ปทุมํว โตเยน โลเก ชาตมฺปิ เยสํ ตณฺหาทิฎฺฐิเลปานํ วเสน สตฺตา โลเกน ลิปฺปนฺติ, เตสํ เลปานํ ปหีนตฺตา โลเกน อลิปฺปมานํ, นิพฺพานคามิมคฺคํ อุปฺปาเทตฺวา เตน มเคฺคน เนตารมเญฺญสํ เทวมนุสฺสานํฯ อตฺตโน ปน อเญฺญน เกนจิ มคฺคํ ทเสฺสตฺวา อเนตพฺพตฺตา อนญฺญเนยฺยํ ตํ วาปิ ธีรา มุนิ เวทยนฺติ พุทฺธมุนิํ เวทยนฺตีติ อตฺตานํ วิภาเวติฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนยเมวฯ

    Tassattho – pabbajjāsaṅkhātādīhi ekaṃ, iriyāpathādīhi cariyāhi carantaṃ. Moneyyadhammasamannāgamena muniṃ. Sabbaṭṭhānesu pamādābhāvato appamattaṃ. Akkosanagarahanādibhedāya nindāya vaṇṇanathomanādibhedāya pasaṃsāya cāti imāsu nindāpasaṃsāsu paṭighānunayavasena avedhamānaṃ. Nindāpasaṃsāmukhena cettha aṭṭhapi lokadhammā vuttāti veditabbā. Sīhaṃva bherisaddādīsu saddesu aṭṭhasu lokadhammesu pakativikārānupagamena asantasantaṃ, pantesu vā senāsanesu santāsābhāvena. Vātaṃva suttamayādibhede jālamhi catūhi maggehi taṇhādiṭṭhijāle asajjamānaṃ, aṭṭhasu vā lokadhammesu paṭighānunayavasena asajjamānaṃ. Padumaṃva toyena loke jātampi yesaṃ taṇhādiṭṭhilepānaṃ vasena sattā lokena lippanti, tesaṃ lepānaṃ pahīnattā lokena alippamānaṃ, nibbānagāmimaggaṃ uppādetvā tena maggena netāramaññesaṃ devamanussānaṃ. Attano pana aññena kenaci maggaṃ dassetvā anetabbattā anaññaneyyaṃ taṃ vāpi dhīrā muni vedayanti buddhamuniṃ vedayantīti attānaṃ vibhāveti. Sesamettha vuttanayameva.

    ๒๑๖. โย โอคหเณติ กา อุปฺปตฺติ? ภควโต ปฐมาภิสมฺพุทฺธสฺส จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ ปูริตทสปารมิทสอุปปารมิทสปรมตฺถปารมิปฺปเภทํ อภินีหารคุณปารมิโย ปูเรตฺวา ตุสิตภวเน อภินิพฺพตฺติคุณํ ตตฺถ นิวาสคุณํ มหาวิโลกนคุณํ คพฺภโวกฺกนฺติํ คพฺภวาสํ คพฺภนิกฺขมนํ ปทวีติหารํ ทิสาวิโลกนํ พฺรหฺมคชฺชนํ มหาภินิกฺขมนํ มหาปธานํ อภิสโมฺพธิํ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนํ จตุพฺพิธํ มคฺคญาณํ ผลญาณํ อฎฺฐสุ ปริสาสุ อกมฺปนญาณํ, ทสพลญาณํ, จตุโยนิปริเจฺฉทกญาณํ, ปญฺจคติปริเจฺฉทกญาณํ, ฉพฺพิธํ อสาธารณญาณํ, อฎฺฐวิธํ สาวกสาธารณพุทฺธญาณํ, จุทฺทสวิธํ พุทฺธญาณํ, อฎฺฐารสพุทฺธคุณปริเจฺฉทกญาณํ, เอกูนวีสติวิธปจฺจเวกฺขณญาณํ, สตฺตสตฺตติวิธญาณวตฺถุ เอวมิจฺจาทิคุณสตสหเสฺส นิสฺสาย ปวตฺตํ มหาลาภสกฺการํ อสหมาเนหิ ติตฺถิเยหิ อุโยฺยชิตาย จิญฺจมาณวิกาย ‘‘เอกํ ธมฺมํ อตีตสฺสา’’ติ อิมิสฺสา คาถาย วตฺถุมฺหิ วุตฺตนเยน จตุปริสมเชฺฌ ภควโต อยเส อุปฺปาทิเต ตปฺปจฺจยา ภิกฺขู กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘เอวรูเปปิ นาม อยเส อุปฺปเนฺน น ภควโต จิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ อตฺถี’’ติฯ ตํ ญตฺวา ภควา คนฺธกุฎิโต นิกฺขมฺม ตงฺขณานุรูเปน ปาฎิหาริเยน ปริสมชฺฌํ ปตฺวา, พุทฺธาสเน นิสีทิตฺวา, ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ? เต สพฺพํ อาโรเจสุํฯ ตโต ภควา – ‘‘พุทฺธา นาม, ภิกฺขเว, อฎฺฐสุ โลกธเมฺมสุ ตาทิโน โหนฺตี’’ติ วตฺวา เตสํ ภิกฺขูนํ ธมฺมเทสนตฺถํ อิมํ คาถมภาสิฯ

    216.Yoogahaṇeti kā uppatti? Bhagavato paṭhamābhisambuddhassa cattāri asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca pūritadasapāramidasaupapāramidasaparamatthapāramippabhedaṃ abhinīhāraguṇapāramiyo pūretvā tusitabhavane abhinibbattiguṇaṃ tattha nivāsaguṇaṃ mahāvilokanaguṇaṃ gabbhavokkantiṃ gabbhavāsaṃ gabbhanikkhamanaṃ padavītihāraṃ disāvilokanaṃ brahmagajjanaṃ mahābhinikkhamanaṃ mahāpadhānaṃ abhisambodhiṃ dhammacakkappavattanaṃ catubbidhaṃ maggañāṇaṃ phalañāṇaṃ aṭṭhasu parisāsu akampanañāṇaṃ, dasabalañāṇaṃ, catuyoniparicchedakañāṇaṃ, pañcagatiparicchedakañāṇaṃ, chabbidhaṃ asādhāraṇañāṇaṃ, aṭṭhavidhaṃ sāvakasādhāraṇabuddhañāṇaṃ, cuddasavidhaṃ buddhañāṇaṃ, aṭṭhārasabuddhaguṇaparicchedakañāṇaṃ, ekūnavīsatividhapaccavekkhaṇañāṇaṃ, sattasattatividhañāṇavatthu evamiccādiguṇasatasahasse nissāya pavattaṃ mahālābhasakkāraṃ asahamānehi titthiyehi uyyojitāya ciñcamāṇavikāya ‘‘ekaṃ dhammaṃ atītassā’’ti imissā gāthāya vatthumhi vuttanayena catuparisamajjhe bhagavato ayase uppādite tappaccayā bhikkhū kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘evarūpepi nāma ayase uppanne na bhagavato cittassa aññathattaṃ atthī’’ti. Taṃ ñatvā bhagavā gandhakuṭito nikkhamma taṅkhaṇānurūpena pāṭihāriyena parisamajjhaṃ patvā, buddhāsane nisīditvā, bhikkhū āmantesi – ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti? Te sabbaṃ ārocesuṃ. Tato bhagavā – ‘‘buddhā nāma, bhikkhave, aṭṭhasu lokadhammesu tādino hontī’’ti vatvā tesaṃ bhikkhūnaṃ dhammadesanatthaṃ imaṃ gāthamabhāsi.

    ตสฺสโตฺถ – ยถา นาม โอคหเณ มนุสฺสานํ นฺหานติเตฺถ องฺคฆํสนตฺถาย จตุรเสฺส วา อฎฺฐํเส วา ถเมฺภ นิขาเต อุจฺจกุลีนาปิ นีจกุลีนาปิ องฺคํ ฆํสนฺติ, น เตน ถมฺภสฺส อุนฺนติ วา โอนติ วา โหติฯ เอวเมวํ โย โอคหเณ ถโมฺภริวาภิชายติ ยสฺมิํ ปเร วาจาปริยนฺตํ วทนฺติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ ปเร ติตฺถิยา วา อเญฺญ วา วณฺณวเสน อุปริมํ วา อวณฺณวเสน เหฎฺฐิมํ วา วาจาปริยนฺตํ วทนฺติ, ตสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ อนุนยํ วา ปฎิฆํ วา อนาปชฺชมาโน ตาทิภาเวน โย โอคหเณ ถโมฺภริว ภวตีติฯ ตํ วีตราคํ สุสมาหิตินฺทฺริยนฺติ ตํ อิฎฺฐารมฺมเณ ราคาภาเวน วีตราคํ, อนิฎฺฐารมฺมเณ จ โทสโมหาภาเวน สุสมาหิตินฺทฺริยํ, สุฎฺฐุ วา สโมธาเนตฺวา ฐปิตินฺทฺริยํ, รกฺขิตินฺทฺริยํ, โคปิตินฺทฺริยนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตํ วาปิ ธีรา มุนิ เวทยนฺติ พุทฺธมุนิํ เวทยนฺติ, ตสฺส กถํ จิตฺตสฺส อญฺญถตฺตํ ภวิสฺสตีติ อตฺตานํ วิภาเวติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ

    Tassattho – yathā nāma ogahaṇe manussānaṃ nhānatitthe aṅgaghaṃsanatthāya caturasse vā aṭṭhaṃse vā thambhe nikhāte uccakulīnāpi nīcakulīnāpi aṅgaṃ ghaṃsanti, na tena thambhassa unnati vā onati vā hoti. Evamevaṃ yo ogahaṇe thambhorivābhijāyati yasmiṃ pare vācāpariyantaṃ vadanti. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yasmiṃ vatthusmiṃ pare titthiyā vā aññe vā vaṇṇavasena uparimaṃ vā avaṇṇavasena heṭṭhimaṃ vā vācāpariyantaṃ vadanti, tasmiṃ vatthusmiṃ anunayaṃ vā paṭighaṃ vā anāpajjamāno tādibhāvena yo ogahaṇe thambhoriva bhavatīti. Taṃ vītarāgaṃ susamāhitindriyanti taṃ iṭṭhārammaṇe rāgābhāvena vītarāgaṃ, aniṭṭhārammaṇe ca dosamohābhāvena susamāhitindriyaṃ, suṭṭhu vā samodhānetvā ṭhapitindriyaṃ, rakkhitindriyaṃ, gopitindriyanti vuttaṃ hoti. Taṃ vāpi dhīrā muni vedayanti buddhamuniṃ vedayanti, tassa kathaṃ cittassa aññathattaṃ bhavissatīti attānaṃ vibhāveti. Sesaṃ vuttanayameva.

    ๒๑๗. โย เว ฐิตโตฺตติ กา อุปฺปตฺติ? สาวตฺถิยํ กิร อญฺญตรา เสฎฺฐิธีตา ปาสาทา โอรุยฺห เหฎฺฐาปาสาเท ตนฺตวายสาลํ คนฺตฺวา ตสรํ วเฎฺฎเนฺต ทิสฺวา ตสฺส อุชุภาเวน ตปฺปฎิภาคนิมิตฺตํ อคฺคเหสิ – ‘‘อโห วต สเพฺพ สตฺตา กายวจีมโนวงฺกํ ปหาย ตสรํ วิย อุชุจิตฺตา ภเวยฺยุ’’นฺติฯ สา ปาสาทํ อภิรุหิตฺวาปิ ปุนปฺปุนํ ตเทว นิมิตฺตํ อาวเชฺชนฺตี นิสีทิฯ เอวํ ปฎิปนฺนาย จสฺสา น จิรเสฺสว อนิจฺจลกฺขณํ ปากฎํ อโหสิ, ตทนุสาเรเนว จ ทุกฺขานตฺตลกฺขณานิปิฯ อถสฺสา ตโยปิ ภวา อาทิตฺตา วิย อุปฎฺฐหิํสุฯ ตํ ตถา วิปสฺสมานํ ญตฺวา ภควา คนฺธกุฎิยํ นิสิโนฺนว โอภาสํ มุญฺจิฯ สา ตํ ทิสฺวา ‘‘กิํ อิท’’นฺติ อาวเชฺชนฺตี ภควนฺตํ ปเสฺส นิสินฺนมิว ทิสฺวา อุฎฺฐาย ปญฺชลิกา อฎฺฐาสิฯ อถสฺสา ภควา สปฺปายํ วิทิตฺวา ธมฺมเทสนาวเสน อิมํ คาถมภาสิฯ

    217.Yo ve ṭhitattoti kā uppatti? Sāvatthiyaṃ kira aññatarā seṭṭhidhītā pāsādā oruyha heṭṭhāpāsāde tantavāyasālaṃ gantvā tasaraṃ vaṭṭente disvā tassa ujubhāvena tappaṭibhāganimittaṃ aggahesi – ‘‘aho vata sabbe sattā kāyavacīmanovaṅkaṃ pahāya tasaraṃ viya ujucittā bhaveyyu’’nti. Sā pāsādaṃ abhiruhitvāpi punappunaṃ tadeva nimittaṃ āvajjentī nisīdi. Evaṃ paṭipannāya cassā na cirasseva aniccalakkhaṇaṃ pākaṭaṃ ahosi, tadanusāreneva ca dukkhānattalakkhaṇānipi. Athassā tayopi bhavā ādittā viya upaṭṭhahiṃsu. Taṃ tathā vipassamānaṃ ñatvā bhagavā gandhakuṭiyaṃ nisinnova obhāsaṃ muñci. Sā taṃ disvā ‘‘kiṃ ida’’nti āvajjentī bhagavantaṃ passe nisinnamiva disvā uṭṭhāya pañjalikā aṭṭhāsi. Athassā bhagavā sappāyaṃ viditvā dhammadesanāvasena imaṃ gāthamabhāsi.

    ตสฺสโตฺถ – โย เว เอกคฺคจิตฺตตาย อกุปฺปวิมุตฺติตาย จ วุฑฺฒิหานีนํ อภาวโต วิกฺขีณชาติสํสารตฺตา ภวนฺตรูปคมนาภาวโต จ ฐิตโตฺต, ปหีนกายวจีมโนวงฺกตาย อคติคมนาภาเวน วา ตสรํว อุชุ, หิโรตฺตปฺปสมฺปนฺนตฺตา ชิคุจฺฉติ กเมฺมหิ ปาปเกหิ, ปาปกานิ กมฺมานิ คูถคตํ วิย มุตฺตคตํ วิย จ ชิคุจฺฉติ, หิรียตีติ วุตฺตํ โหติฯ โยควิภาเคน หิ อุปโยคเตฺถ กรณวจนํ สทฺทสเตฺถ สิชฺฌติฯ วีมํสมาโน วิสมํ สมญฺจาติ กายวิสมาทิวิสมํ กายสมาทิสมญฺจ ปหานภาวนากิจฺจสาธเนน มคฺคปญฺญาย วีมํสมาโน อุปปริกฺขมาโนฯ ตํ วาปิ ขีณาสวํ ธีรา มุนิํ เวทยนฺตีติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยถาวุตฺตนเยน มคฺคปญฺญาย วีมํสมาโน วิสมํ สมญฺจ โย เว ฐิตโตฺต โหติ, โส เอวํ ตสรํว อุชุ หุตฺวา กิญฺจิ วีติกฺกมํ อนาปชฺชโนฺต ชิคุจฺฉติ กเมฺมหิ ปาปเกหิฯ ตํ วาปิ ธีรา มุนิํ เวทยนฺติฯ ยโต อีทิโส โหตีติ ขีณาสวมุนิํ ทเสฺสโนฺต อรหตฺตนิกูเฎน คาถํ เทเสสิฯ เทสนาปริโยสาเน เสฎฺฐิธีตา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ เอตฺถ จ วิกเปฺป วา สมุจฺจเย วา วาสโทฺท ทฎฺฐโพฺพฯ

    Tassattho – yo ve ekaggacittatāya akuppavimuttitāya ca vuḍḍhihānīnaṃ abhāvato vikkhīṇajātisaṃsārattā bhavantarūpagamanābhāvato ca ṭhitatto, pahīnakāyavacīmanovaṅkatāya agatigamanābhāvena vā tasaraṃva uju, hirottappasampannattā jigucchati kammehi pāpakehi, pāpakāni kammāni gūthagataṃ viya muttagataṃ viya ca jigucchati, hirīyatīti vuttaṃ hoti. Yogavibhāgena hi upayogatthe karaṇavacanaṃ saddasatthe sijjhati. Vīmaṃsamāno visamaṃ samañcāti kāyavisamādivisamaṃ kāyasamādisamañca pahānabhāvanākiccasādhanena maggapaññāya vīmaṃsamāno upaparikkhamāno. Taṃ vāpi khīṇāsavaṃ dhīrā muniṃ vedayantīti. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yathāvuttanayena maggapaññāya vīmaṃsamāno visamaṃ samañca yo ve ṭhitatto hoti, so evaṃ tasaraṃva uju hutvā kiñci vītikkamaṃ anāpajjanto jigucchati kammehi pāpakehi. Taṃ vāpi dhīrā muniṃ vedayanti. Yato īdiso hotīti khīṇāsavamuniṃ dassento arahattanikūṭena gāthaṃ desesi. Desanāpariyosāne seṭṭhidhītā sotāpattiphale patiṭṭhahi. Ettha ca vikappe vā samuccaye vā vāsaddo daṭṭhabbo.

    ๒๑๘. โย สญฺญตโตฺตติ กา อุปฺปตฺติ? ภควติ กิร อาฬวิยํ วิหรเนฺต อาฬวีนคเร อญฺญตโร ตนฺตวาโย สตฺตวสฺสิกํ ธีตรํ อาณาเปสิ – ‘‘อมฺม, หิโยฺย อวสิฎฺฐตสรํ น พหุ, ตสรํ วเฎฺฎตฺวา ลหุํ ตนฺตวายสาลํ อาคเจฺฉยฺยาสิ, มา โข จิรายี’’ติฯ สา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ โส สาลํ คนฺตฺวา ตนฺตํ วิเนโนฺต อฎฺฐาสิฯ ตํ ทิวสญฺจ ภควา มหากรุณาสมาปตฺติโต วุฎฺฐาย โลกํ โวโลเกโนฺต ตสฺสา ทาริกาย โสตาปตฺติผลูปนิสฺสยํ เทสนาปริโยสาเน จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานญฺจ ธมฺมาภิสมยํ ทิสฺวา ปเคว สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย นครํ ปาวิสิฯ มนุสฺสา ภควนฺตํ ทิสฺวา – ‘‘อทฺธา อชฺช โกจิ อนุคฺคเหตโพฺพ อตฺถิ, ปเคว ปวิโฎฺฐ ภควา’’ติ ภควนฺตํ อุปคจฺฉิํสุฯ ภควา เยน มเคฺคน สา ทาริกา ปิตุสนฺติกํ คจฺฉติ, ตสฺมิํ อฎฺฐาสิฯ นครวาสิโน ตํ ปเทสํ สมฺมชฺชิตฺวา, ปริโปฺผสิตฺวา, ปุปฺผูปหารํ กตฺวา, วิตานํ พนฺธิตฺวา, อาสนํ ปญฺญาเปสุํฯ นิสีทิ ภควา ปญฺญเตฺต อาสเน, มหาชนกาโย ปริวาเรตฺวา อฎฺฐาสิฯ สา ทาริกา ตํ ปเทสํ ปตฺตา มหาชนปริวุตํ ภควนฺตํ ทิสฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิฯ ตํ ภควา อามเนฺตตฺวา – ‘‘ทาริเก กุโต อาคตาสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘น ชานามิ ภควา’’ติฯ ‘‘กุหิํ คมิสฺสสี’’ติ? ‘‘น ชานามิ ภควา’’ติฯ ‘‘น ชานาสี’’ติ? ‘‘ชานามิ ภควา’’ติฯ ‘‘ชานาสี’’ติ? ‘‘น ชานามิ ภควา’’ติฯ

    218.Yo saññatattoti kā uppatti? Bhagavati kira āḷaviyaṃ viharante āḷavīnagare aññataro tantavāyo sattavassikaṃ dhītaraṃ āṇāpesi – ‘‘amma, hiyyo avasiṭṭhatasaraṃ na bahu, tasaraṃ vaṭṭetvā lahuṃ tantavāyasālaṃ āgaccheyyāsi, mā kho cirāyī’’ti. Sā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. So sālaṃ gantvā tantaṃ vinento aṭṭhāsi. Taṃ divasañca bhagavā mahākaruṇāsamāpattito vuṭṭhāya lokaṃ volokento tassā dārikāya sotāpattiphalūpanissayaṃ desanāpariyosāne caturāsītiyā pāṇasahassānañca dhammābhisamayaṃ disvā pageva sarīrapaṭijagganaṃ katvā pattacīvaramādāya nagaraṃ pāvisi. Manussā bhagavantaṃ disvā – ‘‘addhā ajja koci anuggahetabbo atthi, pageva paviṭṭho bhagavā’’ti bhagavantaṃ upagacchiṃsu. Bhagavā yena maggena sā dārikā pitusantikaṃ gacchati, tasmiṃ aṭṭhāsi. Nagaravāsino taṃ padesaṃ sammajjitvā, paripphositvā, pupphūpahāraṃ katvā, vitānaṃ bandhitvā, āsanaṃ paññāpesuṃ. Nisīdi bhagavā paññatte āsane, mahājanakāyo parivāretvā aṭṭhāsi. Sā dārikā taṃ padesaṃ pattā mahājanaparivutaṃ bhagavantaṃ disvā pañcapatiṭṭhitena vandi. Taṃ bhagavā āmantetvā – ‘‘dārike kuto āgatāsī’’ti pucchi. ‘‘Na jānāmi bhagavā’’ti. ‘‘Kuhiṃ gamissasī’’ti? ‘‘Na jānāmi bhagavā’’ti. ‘‘Na jānāsī’’ti? ‘‘Jānāmi bhagavā’’ti. ‘‘Jānāsī’’ti? ‘‘Na jānāmi bhagavā’’ti.

    ตํ สุตฺวา มนุสฺสา อุชฺฌายนฺติ – ‘‘ปสฺสถ, โภ, อยํ ทาริกา อตฺตโน ฆรา อาคตาปิ ภควตา ปุจฺฉิยมานา ‘น ชานามี’ติ อาห, ตนฺตวายสาลํ คจฺฉนฺตี จาปิ ปุจฺฉิยมานา ‘น ชานามี’ติ อาห, ‘น ชานาสี’ติ วุตฺตา ‘ชานามี’ติ อาห, ‘ชานาสี’ติ วุตฺตา ‘น ชานามี’ติ อาห, สพฺพํ ปจฺจนีกเมว กโรตี’’ติฯ ภควา มนุสฺสานํ ตมตฺถํ ปากฎํ กาตุกาโม ตํ ปุจฺฉิ – ‘‘กิํ มยา ปุจฺฉิตํ, กิํ ตยา วุตฺต’’นฺติ? สา อาห – ‘‘น มํ, ภเนฺต, โกจิ น ชานาติ, ฆรโต อาคตา ตนฺตวายสาลํ คจฺฉตี’’ติ; อปิจ มํ ตุเมฺห ปฎิสนฺธิวเสน ปุจฺฉถ, ‘‘กุโต อาคตาสี’’ติ, จุติวเสน ปุจฺฉถ, ‘‘กุหิํ คมิสฺสสี’’ติ อหญฺจ น ชานามิฯ ‘‘กุโต จมฺหิ อาคตา; นิรยา วา เทวโลกา วา’’ติ, น หิ ชานามิ, ‘‘กุหิมฺปิ คมิสฺสามิ นิรยํ วา เทวโลกํ วา’’ติ, ตสฺมา ‘‘น ชานามี’’ติ อวจํฯ ตโต มํ ภควา มรณํ สนฺธาย ปุจฺฉิ – ‘‘น ชานาสี’’ติ, อหญฺจ ชานามิฯ ‘‘สเพฺพสํ มรณํ ธุว’’นฺติ, เตนาโวจํ ‘‘ชานามี’’ติฯ ตโต มํ ภควา มรณกาลํ สนฺธาย ปุจฺฉิ ‘‘ชานาสี’’ติ, อหญฺจ น ชานามิ ‘‘กทา มริสฺสามิ กิํ อชฺช วา อุทาหุ เสฺว วา’’ติ, เตนาโวจํ ‘‘น ชานามี’’ติฯ ภควา ตาย วิสฺสชฺชิตํ ปญฺหํ ‘‘สาธุ สาธู’’ติ อนุโมทิฯ มหาชนกาโยปิ ‘‘ยาว ปณฺฑิตา อยํ ทาริกา’’ติ สาธุการสหสฺสานิ อทาสิฯ อถ ภควา ทาริกาย สปฺปายํ วิทิตฺวา ธมฺมํ เทเสโนฺต –

    Taṃ sutvā manussā ujjhāyanti – ‘‘passatha, bho, ayaṃ dārikā attano gharā āgatāpi bhagavatā pucchiyamānā ‘na jānāmī’ti āha, tantavāyasālaṃ gacchantī cāpi pucchiyamānā ‘na jānāmī’ti āha, ‘na jānāsī’ti vuttā ‘jānāmī’ti āha, ‘jānāsī’ti vuttā ‘na jānāmī’ti āha, sabbaṃ paccanīkameva karotī’’ti. Bhagavā manussānaṃ tamatthaṃ pākaṭaṃ kātukāmo taṃ pucchi – ‘‘kiṃ mayā pucchitaṃ, kiṃ tayā vutta’’nti? Sā āha – ‘‘na maṃ, bhante, koci na jānāti, gharato āgatā tantavāyasālaṃ gacchatī’’ti; apica maṃ tumhe paṭisandhivasena pucchatha, ‘‘kuto āgatāsī’’ti, cutivasena pucchatha, ‘‘kuhiṃ gamissasī’’ti ahañca na jānāmi. ‘‘Kuto camhi āgatā; nirayā vā devalokā vā’’ti, na hi jānāmi, ‘‘kuhimpi gamissāmi nirayaṃ vā devalokaṃ vā’’ti, tasmā ‘‘na jānāmī’’ti avacaṃ. Tato maṃ bhagavā maraṇaṃ sandhāya pucchi – ‘‘na jānāsī’’ti, ahañca jānāmi. ‘‘Sabbesaṃ maraṇaṃ dhuva’’nti, tenāvocaṃ ‘‘jānāmī’’ti. Tato maṃ bhagavā maraṇakālaṃ sandhāya pucchi ‘‘jānāsī’’ti, ahañca na jānāmi ‘‘kadā marissāmi kiṃ ajja vā udāhu sve vā’’ti, tenāvocaṃ ‘‘na jānāmī’’ti. Bhagavā tāya vissajjitaṃ pañhaṃ ‘‘sādhu sādhū’’ti anumodi. Mahājanakāyopi ‘‘yāva paṇḍitā ayaṃ dārikā’’ti sādhukārasahassāni adāsi. Atha bhagavā dārikāya sappāyaṃ viditvā dhammaṃ desento –

    ‘‘อนฺธภูโต อยํ โลโก, ตนุเกตฺถ วิปสฺสติ;

    ‘‘Andhabhūto ayaṃ loko, tanukettha vipassati;

    สกุโณ ชาลมุโตฺตว, อโปฺป สคฺคาย คจฺฉตี’’ติฯ (ธ. ป. ๑๗๔) –

    Sakuṇo jālamuttova, appo saggāya gacchatī’’ti. (dha. pa. 174) –

    อิมํ คาถมาหฯ สา คาถาปริโยสาเน โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิ, จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานญฺจ ธมฺมาภิสมโย อโหสิฯ

    Imaṃ gāthamāha. Sā gāthāpariyosāne sotāpattiphale patiṭṭhāsi, caturāsītiyā pāṇasahassānañca dhammābhisamayo ahosi.

    สา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ปิตุ สนฺติกํ อคมาสิฯ ปิตา ตํ ทิสฺวา ‘‘จิเรนาคตา’’ติ กุโทฺธ เวเคน ตเนฺต เวมํ ปกฺขิปิฯ ตํ นิกฺขมิตฺวา ทาริกาย กุจฺฉิํ ภินฺทิฯ สา ตเตฺถว กาลมกาสิฯ โส ทิสฺวา – ‘‘นาหํ มม ธีตรํ ปหริํ, อปิจ โข อิมํ เวมํ เวคสา นิกฺขมิตฺวา อิมิสฺสา กุจฺฉิํ ภินฺทิฯ ชีวติ นุ โข นนุ โข’’ติ วีมํสโนฺต มตํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘มนุสฺสา มํ ‘อิมินา ธีตา มาริตา’ติ ญตฺวา อุปโกฺกเสยฺยุํ, เตน ราชาปิ ครุกํ ทณฺฑํ ปเณยฺย, หนฺทาหํ ปฎิกเจฺจว ปลายามี’’ติฯ โส ทณฺฑภเยน ปลายโนฺต ภควโต สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา อรเญฺญ วสนฺตานํ ภิกฺขูนํ วสโนกาสํ ปาปุณิฯ เต จ ภิกฺขู อุปสงฺกมิตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ เต ตํ ปพฺพาเชตฺวา ตจปญฺจกกมฺมฎฺฐานํ อทํสุฯ โส ตํ อุคฺคเหตฺวา วายมโนฺต น จิรเสฺสว อรหตฺตํ ปาปุณิ, เต จสฺส อาจริยุปชฺฌายาฯ อถ มหาปวารณาย สเพฺพว ภควโต สนฺติกํ อคมํสุ – ‘‘วิสุทฺธิปวารณํ ปวาเรสฺสามา’’ติฯ ภควา ปวาเรตฺวา วุตฺถวโสฺส ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต คามนิคมาทีสุ จาริกํ จรมาโน อนุปุเพฺพน อาฬวิํ อคมาสิฯ ตตฺถ มนุสฺสา ภควนฺตํ นิมเนฺตตฺวา ทานาทีนิ กโรนฺตา ตํ ภิกฺขุํ ทิสฺวา ‘‘ธีตรํ มาเรตฺวา อิทานิ กํ มาเรตุํ อาคโตสี’’ติอาทีนิ วตฺวา อุปฺปเณฺฑสุํฯ ภิกฺขู ตํ สุตฺวา อุปฎฺฐานเวลายํ อุปสงฺกมิตฺวา ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ ภควา – ‘‘น, ภิกฺขเว , อยํ ภิกฺขุ ธีตรํ มาเรสิ, สา อตฺตโน กเมฺมน มตา’’ติ วตฺวา ตสฺส ภิกฺขุโน มนุเสฺสหิ ทุพฺพิชานํ ขีณาสวมุนิภาวํ ปกาเสโนฺต ภิกฺขูนํ ธมฺมเทสนตฺถํ อิมํ คาถมภาสิฯ

    Sā bhagavantaṃ vanditvā pitu santikaṃ agamāsi. Pitā taṃ disvā ‘‘cirenāgatā’’ti kuddho vegena tante vemaṃ pakkhipi. Taṃ nikkhamitvā dārikāya kucchiṃ bhindi. Sā tattheva kālamakāsi. So disvā – ‘‘nāhaṃ mama dhītaraṃ pahariṃ, apica kho imaṃ vemaṃ vegasā nikkhamitvā imissā kucchiṃ bhindi. Jīvati nu kho nanu kho’’ti vīmaṃsanto mataṃ disvā cintesi – ‘‘manussā maṃ ‘iminā dhītā māritā’ti ñatvā upakkoseyyuṃ, tena rājāpi garukaṃ daṇḍaṃ paṇeyya, handāhaṃ paṭikacceva palāyāmī’’ti. So daṇḍabhayena palāyanto bhagavato santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā araññe vasantānaṃ bhikkhūnaṃ vasanokāsaṃ pāpuṇi. Te ca bhikkhū upasaṅkamitvā pabbajjaṃ yāci. Te taṃ pabbājetvā tacapañcakakammaṭṭhānaṃ adaṃsu. So taṃ uggahetvā vāyamanto na cirasseva arahattaṃ pāpuṇi, te cassa ācariyupajjhāyā. Atha mahāpavāraṇāya sabbeva bhagavato santikaṃ agamaṃsu – ‘‘visuddhipavāraṇaṃ pavāressāmā’’ti. Bhagavā pavāretvā vutthavasso bhikkhusaṅghaparivuto gāmanigamādīsu cārikaṃ caramāno anupubbena āḷaviṃ agamāsi. Tattha manussā bhagavantaṃ nimantetvā dānādīni karontā taṃ bhikkhuṃ disvā ‘‘dhītaraṃ māretvā idāni kaṃ māretuṃ āgatosī’’tiādīni vatvā uppaṇḍesuṃ. Bhikkhū taṃ sutvā upaṭṭhānavelāyaṃ upasaṅkamitvā bhagavato etamatthaṃ ārocesuṃ. Bhagavā – ‘‘na, bhikkhave , ayaṃ bhikkhu dhītaraṃ māresi, sā attano kammena matā’’ti vatvā tassa bhikkhuno manussehi dubbijānaṃ khīṇāsavamunibhāvaṃ pakāsento bhikkhūnaṃ dhammadesanatthaṃ imaṃ gāthamabhāsi.

    ตสฺสโตฺถ – โย ตีสุปิ กมฺมทฺวาเรสุ สีลสํยเมน สํยตโตฺต กาเยน วา วาจาย วา เจตสา วา หิํสาทิกํ น กโรติ ปาปํ, ตญฺจ โข ปน ทหโร วา ทหรวเย ฐิโต, มชฺฌิโม วา มชฺฌิมวเย ฐิโต, เอเตเนว นเยน เถโร วา ปจฺฉิมวเย ฐิโตติ กทาจิปิ น กโรติฯ กิํ การณา? ยตโตฺต, ยสฺมา อนุตฺตราย วิรติยา สพฺพปาเปหิ อุปรตจิโตฺตติ วุตฺตํ โหติฯ

    Tassattho – yo tīsupi kammadvāresu sīlasaṃyamena saṃyatatto kāyena vā vācāya vā cetasā vā hiṃsādikaṃ na karoti pāpaṃ, tañca kho pana daharo vā daharavaye ṭhito, majjhimo vā majjhimavaye ṭhito, eteneva nayena thero vā pacchimavaye ṭhitoti kadācipi na karoti. Kiṃ kāraṇā? Yatatto, yasmā anuttarāya viratiyā sabbapāpehi uparatacittoti vuttaṃ hoti.

    อิทานิ มุนิ อโรสเนโยฺย น โส โรเสติ กญฺจีติ เอเตสํ ปทานํ อยํ โยชนา จ อธิปฺปาโย จ – โส ขีณาสวมุนิ อโรสเนโยฺย ‘‘ธีตุมารโก’’ติ วา ‘‘เปสกาโร’’ติ วา เอวมาทินา นเยน กาเยน วา วาจาย วา โรเสตุํ, ฆเฎฺฎตุํ, พาเธตุํ อรโห น โหติฯ โสปิ หิ น โรเสติ กญฺจิ, ‘‘นาหํ มม ธีตรํ มาเรมิ, ตฺวํ มาเรสิ, ตุมฺหาทิโส วา มาเรตี’’ติอาทีนิ วตฺวา กญฺจิ น โรเสติ, น ฆเฎฺฎติ, น พาเธติ, ตสฺมา โสปิ น โรสเนโยฺยฯ อปิจ โข ปน ‘‘ติฎฺฐตุ นาโค, มา นาคํ ฆเฎฺฎสิ, นโม กโรหิ นาคสฺสา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๔๙) วุตฺตนเยน นมสฺสิตโพฺพเยว โหติฯ ตํ วาปิ ธีรา มุนิ เวทยนฺตีติ เอตฺถ ปน ตมฺปิ ธีราว มุนิํ เวทยนฺตีติ เอวํ ปทวิภาโค เวทิตโพฺพฯ อธิปฺปาโย เจตฺถ – ตํ ‘‘อยํ อโรสเนโยฺย’’ติ เอเต พาลมนุสฺสา อชานิตฺวา โรเสนฺติฯ เย ปน ธีรา โหนฺติ, เต ธีราว ตมฺปิ มุนิํ เวทยนฺติ, อยํ ขีณาสวมุนีติ ชานนฺตีติฯ

    Idāni muni arosaneyyo na so roseti kañcīti etesaṃ padānaṃ ayaṃ yojanā ca adhippāyo ca – so khīṇāsavamuni arosaneyyo ‘‘dhītumārako’’ti vā ‘‘pesakāro’’ti vā evamādinā nayena kāyena vā vācāya vā rosetuṃ, ghaṭṭetuṃ, bādhetuṃ araho na hoti. Sopi hi na roseti kañci, ‘‘nāhaṃ mama dhītaraṃ māremi, tvaṃ māresi, tumhādiso vā māretī’’tiādīni vatvā kañci na roseti, na ghaṭṭeti, na bādheti, tasmā sopi na rosaneyyo. Apica kho pana ‘‘tiṭṭhatu nāgo, mā nāgaṃ ghaṭṭesi, namo karohi nāgassā’’ti (ma. ni. 1.249) vuttanayena namassitabboyeva hoti. Taṃ vāpi dhīrā muni vedayantīti ettha pana tampi dhīrāva muniṃ vedayantīti evaṃ padavibhāgo veditabbo. Adhippāyo cettha – taṃ ‘‘ayaṃ arosaneyyo’’ti ete bālamanussā ajānitvā rosenti. Ye pana dhīrā honti, te dhīrāva tampi muniṃ vedayanti, ayaṃ khīṇāsavamunīti jānantīti.

    ๒๑๙. ยทคฺคโตติ กา อุปฺปตฺติ? สาวตฺถิยํ กิร ปญฺจคฺคทายโก นาม พฺราหฺมโณ อโหสิฯ โส นิปฺผชฺชมาเนสุ สเสฺสสุ เขตฺตคฺคํ, ราสคฺคํ, โกฎฺฐคฺคํ, กุมฺภิอคฺคํ, โภชนคฺคนฺติ อิมานิ ปญฺจ อคฺคานิ เทติฯ ตตฺถ ปฐมปกฺกานิเยว สาลิ-ยว-โคธูม-สีสานิ อาหราเปตฺวา ยาคุปายาสปุถุกาทีนิ ปฎิยาเทตฺวา ‘‘อคฺคสฺส ทาตา เมธาวี, อคฺคํ โส อธิคจฺฉตี’’ติ เอวํทิฎฺฐิโก หุตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทานํ เทติ, อิทมสฺส เขตฺตคฺคทานํฯ นิปฺผเนฺนสุ ปน สเสฺสสุ ลายิเตสุ มทฺทิเตสุ จ วรธญฺญานิ คเหตฺวา ตเถว ทานํ เทติ, อิทมสฺส ราสคฺคทานํ ฯ ปุน เตหิ ธเญฺญหิ โกฎฺฐาคารานิ ปูราเปตฺวา ปฐมโกฎฺฐาคารวิวรเณ ปฐมนีหฎานิ ธญฺญานิ คเหตฺวา ตเถว ทานํ เทติ, อิทมสฺส โกฎฺฐคฺคทานํฯ ยํ ยเทว ปนสฺส ฆเร รเนฺธติ, ตโต อคฺคํ อนุปฺปตฺตปพฺพชิตานํ อทตฺวา อนฺตมโส ทารกานมฺปิ น กิญฺจิ เทติ, อิทมสฺส กุมฺภิอคฺคทานํฯ ปุน อตฺตโน โภชนกาเล ปฐมูปนีตํ โภชนํ ปุเรภตฺตกาเล สงฺฆสฺส, ปจฺฉาภตฺตกาเล สมฺปตฺตยาจกานํ, ตทภาเว อนฺตมโส สุนขานมฺปิ อทตฺวา น ภุญฺชติ, อิทมสฺส โภชนคฺคทานํฯ เอวํ โส ปญฺจคฺคทายโกเตฺวว อภิลกฺขิโต อโหสิฯ

    219.Yadaggatoti kā uppatti? Sāvatthiyaṃ kira pañcaggadāyako nāma brāhmaṇo ahosi. So nipphajjamānesu sassesu khettaggaṃ, rāsaggaṃ, koṭṭhaggaṃ, kumbhiaggaṃ, bhojanagganti imāni pañca aggāni deti. Tattha paṭhamapakkāniyeva sāli-yava-godhūma-sīsāni āharāpetvā yāgupāyāsaputhukādīni paṭiyādetvā ‘‘aggassa dātā medhāvī, aggaṃ so adhigacchatī’’ti evaṃdiṭṭhiko hutvā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa dānaṃ deti, idamassa khettaggadānaṃ. Nipphannesu pana sassesu lāyitesu madditesu ca varadhaññāni gahetvā tatheva dānaṃ deti, idamassa rāsaggadānaṃ. Puna tehi dhaññehi koṭṭhāgārāni pūrāpetvā paṭhamakoṭṭhāgāravivaraṇe paṭhamanīhaṭāni dhaññāni gahetvā tatheva dānaṃ deti, idamassa koṭṭhaggadānaṃ. Yaṃ yadeva panassa ghare randheti, tato aggaṃ anuppattapabbajitānaṃ adatvā antamaso dārakānampi na kiñci deti, idamassa kumbhiaggadānaṃ. Puna attano bhojanakāle paṭhamūpanītaṃ bhojanaṃ purebhattakāle saṅghassa, pacchābhattakāle sampattayācakānaṃ, tadabhāve antamaso sunakhānampi adatvā na bhuñjati, idamassa bhojanaggadānaṃ. Evaṃ so pañcaggadāyakotveva abhilakkhito ahosi.

    อเถกทิวสํ ภควา ปจฺจูสสมเย พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต ตสฺส พฺราหฺมณสฺส พฺราหฺมณิยา จ โสตาปตฺติมคฺคอุปนิสฺสยํ ทิสฺวา สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา อติปฺปเคว คนฺธกุฎิํ ปาวิสิฯ ภิกฺขู ปิหิตทฺวารํ คนฺธกุฎิํ ทิสฺวา – ‘‘อชฺช ภควา เอกโกว คามํ ปวิสิตุกาโม’’ติ ญตฺวา ภิกฺขาจารเวลาย คนฺธกุฎิํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ปิณฺฑาย ปวิสิํสุฯ ภควาปิ พฺราหฺมณสฺส โภชนเวลายํ นิกฺขมิตฺวา สาวตฺถิํ ปาวิสิฯ มนุสฺสา ภควนฺตํ ทิสฺวา เอวํ – ‘‘นูนชฺช โกจิ สโตฺต อนุคฺคเหตโพฺพ อตฺถิ, ตถา หิ ภควา เอกโกว ปวิโฎฺฐ’’ติ ญตฺวา น ภควนฺตํ อุปสงฺกมิํสุ นิมนฺตนตฺถายฯ ภควาปิ อนุปุเพฺพน พฺราหฺมณสฺส ฆรทฺวารํ สมฺปตฺวา อฎฺฐาสิฯ เตน จ สมเยน พฺราหฺมโณ โภชนํ คเหตฺวา นิสิโนฺน โหติ, พฺราหฺมณี ปนสฺส พีชนิํ คเหตฺวา ฐิตาฯ สา ภควนฺตํ ทิสฺวา ‘‘สจายํ พฺราหฺมโณ ปเสฺสยฺย, ปตฺตํ คเหตฺวา สพฺพํ โภชนํ ทเทยฺย, ตโต เม ปุน ปจิตพฺพํ ภเวยฺยา’’ติ จิเนฺตตฺวา อปฺปสาทญฺจ มเจฺฉรญฺจ อุปฺปาเทตฺวา ยถา พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ น ปสฺสติ, เอวํ ตาลวเณฺฎน ปฎิจฺฉาเทสิฯ ภควา ตํ ญตฺวา สรีราภํ มุญฺจิฯ ตํ พฺราหฺมโณ สุวโณฺณภาสํ ทิสฺวา ‘‘กิเมต’’นฺติ อุโลฺลเกโนฺต อทฺทส ภควนฺตํ ทฺวาเร ฐิตํฯ พฺราหฺมณีปิ ‘‘ทิโฎฺฐเนน ภควา’’ติ ตาวเทว ตาลวณฺฎํ นิกฺขิปิตฺวา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิ, วนฺทิตฺวา จสฺสา อุฎฺฐหนฺติยา สปฺปายํ วิทิตฺวา –

    Athekadivasaṃ bhagavā paccūsasamaye buddhacakkhunā lokaṃ volokento tassa brāhmaṇassa brāhmaṇiyā ca sotāpattimaggaupanissayaṃ disvā sarīrapaṭijagganaṃ katvā atippageva gandhakuṭiṃ pāvisi. Bhikkhū pihitadvāraṃ gandhakuṭiṃ disvā – ‘‘ajja bhagavā ekakova gāmaṃ pavisitukāmo’’ti ñatvā bhikkhācāravelāya gandhakuṭiṃ padakkhiṇaṃ katvā piṇḍāya pavisiṃsu. Bhagavāpi brāhmaṇassa bhojanavelāyaṃ nikkhamitvā sāvatthiṃ pāvisi. Manussā bhagavantaṃ disvā evaṃ – ‘‘nūnajja koci satto anuggahetabbo atthi, tathā hi bhagavā ekakova paviṭṭho’’ti ñatvā na bhagavantaṃ upasaṅkamiṃsu nimantanatthāya. Bhagavāpi anupubbena brāhmaṇassa gharadvāraṃ sampatvā aṭṭhāsi. Tena ca samayena brāhmaṇo bhojanaṃ gahetvā nisinno hoti, brāhmaṇī panassa bījaniṃ gahetvā ṭhitā. Sā bhagavantaṃ disvā ‘‘sacāyaṃ brāhmaṇo passeyya, pattaṃ gahetvā sabbaṃ bhojanaṃ dadeyya, tato me puna pacitabbaṃ bhaveyyā’’ti cintetvā appasādañca maccherañca uppādetvā yathā brāhmaṇo bhagavantaṃ na passati, evaṃ tālavaṇṭena paṭicchādesi. Bhagavā taṃ ñatvā sarīrābhaṃ muñci. Taṃ brāhmaṇo suvaṇṇobhāsaṃ disvā ‘‘kimeta’’nti ullokento addasa bhagavantaṃ dvāre ṭhitaṃ. Brāhmaṇīpi ‘‘diṭṭhonena bhagavā’’ti tāvadeva tālavaṇṭaṃ nikkhipitvā bhagavantaṃ upasaṅkamitvā pañcapatiṭṭhitena vandi, vanditvā cassā uṭṭhahantiyā sappāyaṃ viditvā –

    ‘‘สพฺพโส นามรูปสฺมิํ, ยสฺส นตฺถิ มมายิตํ;

    ‘‘Sabbaso nāmarūpasmiṃ, yassa natthi mamāyitaṃ;

    อสตา จ น โสจติ, ส เว ภิกฺขูติ วุจฺจตี’’ติฯ (ธ. ป. ๓๖๗) –

    Asatā ca na socati, sa ve bhikkhūti vuccatī’’ti. (dha. pa. 367) –

    อิมํ คาถมภาสิฯ สา คาถาปริโยสาเนเยว โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ พฺราหฺมโณปิ ภควนฺตํ อโนฺตฆรํ ปเวเสตฺวา, วราสเน นิสีทาเปตฺวา, ทกฺขิโณทกํ ทตฺวา, อตฺตโน อุปนีตโภชนํ อุปนาเมสิ – ‘‘ตุเมฺห, ภเนฺต, สเทวเก โลเก อคฺคทกฺขิเณยฺยา, สาธุ, เม ตํ โภชนํ อตฺตโน ปเตฺต ปติฎฺฐาเปถา’’ติฯ ภควา ตสฺส อนุคฺคหตฺถํ ปฎิคฺคเหตฺวา ปริภุญฺชิฯ กตภตฺตกิโจฺจ จ พฺราหฺมณสฺส สปฺปายํ วิทิตฺวา อิมํ คาถมภาสิฯ

    Imaṃ gāthamabhāsi. Sā gāthāpariyosāneyeva sotāpattiphale patiṭṭhāsi. Brāhmaṇopi bhagavantaṃ antogharaṃ pavesetvā, varāsane nisīdāpetvā, dakkhiṇodakaṃ datvā, attano upanītabhojanaṃ upanāmesi – ‘‘tumhe, bhante, sadevake loke aggadakkhiṇeyyā, sādhu, me taṃ bhojanaṃ attano patte patiṭṭhāpethā’’ti. Bhagavā tassa anuggahatthaṃ paṭiggahetvā paribhuñji. Katabhattakicco ca brāhmaṇassa sappāyaṃ viditvā imaṃ gāthamabhāsi.

    ตสฺสโตฺถ – ยํ กุมฺภิโต ปฐมเมว คหิตตฺตา อคฺคโต, อทฺธาวเสสาย กุมฺภิยา อาคนฺตฺวา ตโต คหิตตฺตา มชฺฌโต, เอกทฺวิกฎจฺฉุมตฺตาวเสสาย กุมฺภิยา อาคนฺตฺวา ตโต คหิตตฺตา เสสโต วา ปิณฺฑํ ลเภถปรทตฺตูปชีวีติ ปพฺพชิโตฯ โส หิ อุทกทนฺตโปณํ ฐเปตฺวา อวเสสํ ปเรเนว ทตฺตํ อุปชีวติ, ตสฺมา ‘‘ปรทตฺตูปชีวี’’ติ วุจฺจติฯ นาลํ ถุตุํ โนปิ นิปจฺจวาทีติ อคฺคโต ลทฺธา อตฺตานํ วา ทายกํ วา โถเมตุมฺปิ นารหติ ปหีนานุนยตฺตาฯ เสสโต ลทฺธา ‘‘กิํ เอตํ อิมินา ทินฺน’’นฺติอาทินา นเยน ทายกํ นิปาเตตฺวา อปฺปิยวจนานิ วตฺตาปิ น โหติ ปหีนปฎิฆตฺตาฯ ตํ วาปิ ธีรา มุนิ เวทยนฺตีติ ตมฺปิ ปหีนานุนยปฎิฆํ ธีราว มุนิํ เวทยนฺตีติ พฺราหฺมณสฺส อรหตฺตนิกูเฎน คาถํ เทเสสิฯ คาถาปริโยสาเน พฺราหฺมโณ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหีติฯ

    Tassattho – yaṃ kumbhito paṭhamameva gahitattā aggato, addhāvasesāya kumbhiyā āgantvā tato gahitattā majjhato, ekadvikaṭacchumattāvasesāya kumbhiyā āgantvā tato gahitattā sesato vā piṇḍaṃ labhetha. Paradattūpajīvīti pabbajito. So hi udakadantapoṇaṃ ṭhapetvā avasesaṃ pareneva dattaṃ upajīvati, tasmā ‘‘paradattūpajīvī’’ti vuccati. Nālaṃ thutuṃ nopi nipaccavādīti aggato laddhā attānaṃ vā dāyakaṃ vā thometumpi nārahati pahīnānunayattā. Sesato laddhā ‘‘kiṃ etaṃ iminā dinna’’ntiādinā nayena dāyakaṃ nipātetvā appiyavacanāni vattāpi na hoti pahīnapaṭighattā. Taṃ vāpi dhīrā muni vedayantīti tampi pahīnānunayapaṭighaṃ dhīrāva muniṃ vedayantīti brāhmaṇassa arahattanikūṭena gāthaṃ desesi. Gāthāpariyosāne brāhmaṇo sotāpattiphale patiṭṭhahīti.

    ๒๒๐. มุนิํ จรนฺตนฺติ กา อุปฺปตฺติ? สาวตฺถิยํ กิร อญฺญตโร เสฎฺฐิปุโตฺต อุตุวเสน ตีสุ ปาสาเทสุ สพฺพสมฺปตฺตีหิ ปริจารยมาโน ทหโรว ปพฺพชิตุกาโม หุตฺวา, มาตาปิตโร ยาจิตฺวา, ขคฺควิสาณสุเตฺต ‘‘กามา หิ จิตฺรา’’ติ (สุ. นิ. ๕๐) อิมิสฺสา คาถาย อฎฺฐุปฺปตฺติยํ วุตฺตนเยเนว ติกฺขตฺตุํ ปพฺพชิตฺวา จ อุปฺปพฺพชิตฺวา จ จตุตฺถวาเร อรหตฺตํ ปาปุณิฯ ตํ ปุพฺพปริจเยน ภิกฺขู ภณนฺติ – ‘‘สมโย, อาวุโส, อุปฺปพฺพชิตุ’’นฺติฯ โส ‘‘อภโพฺพ ทานาหํ, อาวุโส, วิพฺภมิตุ’’นฺติ อาหฯ ตํ สุตฺวา ภิกฺขู ภควโต อาโรเจสุํฯ ภควา ‘‘เอวเมตํ, ภิกฺขเว, อภโพฺพ โส ทานิ วิพฺภมิตุ’’นฺติ ตสฺส ขีณาสวมุนิภาวํ อาวิกโรโนฺต อิมํ คาถมาหฯ

    220.Muniṃ carantanti kā uppatti? Sāvatthiyaṃ kira aññataro seṭṭhiputto utuvasena tīsu pāsādesu sabbasampattīhi paricārayamāno daharova pabbajitukāmo hutvā, mātāpitaro yācitvā, khaggavisāṇasutte ‘‘kāmā hi citrā’’ti (su. ni. 50) imissā gāthāya aṭṭhuppattiyaṃ vuttanayeneva tikkhattuṃ pabbajitvā ca uppabbajitvā ca catutthavāre arahattaṃ pāpuṇi. Taṃ pubbaparicayena bhikkhū bhaṇanti – ‘‘samayo, āvuso, uppabbajitu’’nti. So ‘‘abhabbo dānāhaṃ, āvuso, vibbhamitu’’nti āha. Taṃ sutvā bhikkhū bhagavato ārocesuṃ. Bhagavā ‘‘evametaṃ, bhikkhave, abhabbo so dāni vibbhamitu’’nti tassa khīṇāsavamunibhāvaṃ āvikaronto imaṃ gāthamāha.

    ตสฺสโตฺถ – โมเนยฺยธมฺมสมนฺนาคเมน มุนิํ, เอกวิหาริตาย, ปุเพฺพ วุตฺตปฺปการาสุ วา จริยาสุ ยาย กายจิ จริยาย จรนฺตํ, ปุเพฺพ วิย เมถุนธเมฺม จิตฺตํ อกตฺวา อนุตฺตราย วิรติยา วิรตํ เมถุนสฺมาฯ ทุติยปาทสฺส สมฺพโนฺธ – กีทิสํ มุนิํ จรนฺตํ วิรตํ เมถุนสฺมาติ เจ? โย โยพฺพเน โนปนิพชฺฌเต กฺวจิ, โย ภเทฺรปิ โยพฺพเน วตฺตมาเน กฺวจิ อิตฺถิรูเป ยถา ปุเร, เอวํ เมถุนราเคน น อุปนิพชฺฌติฯ อถ วา กฺวจิ อตฺตโน วา ปรสฺส วา โยพฺพเน ‘‘ยุวา ตาวมฺหิ, อยํ วา ยุวาติ ปฎิเสวามิ ตาว กาเม’’ติ เอวํ โย ราเคน น อุปนิพชฺฌตีติ อยเมฺปตฺถ อโตฺถฯ น เกวลญฺจ วิรตํ เมถุนสฺมา, อปิจ โข ปน ชาติมทาทิเภทา มทา, กามคุเณสุ สติวิปฺปวาสสงฺขาตา ปมาทาปิ จ วิรตํ, เอวํ มทปฺปมาทา วิรตตฺตา เอว จ วิปฺปมุตฺตํ สพฺพกิเลสพนฺธเนหิฯ ยถา วา เอโก โลกิกายปิ วิรติยา วิรโต โหติ, น เอวํ, กิํ ปน วิปฺปมุตฺตํ วิรตํ, สพฺพกิเลสพนฺธเนหิ วิปฺปมุตฺตตฺตา โลกุตฺตรวิรติยา วิรตนฺติปิ อโตฺถฯ ตํ วาปิ ธีรา มุนิ เวทยนฺตีติ ตมฺปิ ธีรา เอว มุนิํ เวทยนฺติ, ตุเมฺห ปน นํ น เวทยถ, เตน นํ เอวํ ภณถาติ ทเสฺสติฯ

    Tassattho – moneyyadhammasamannāgamena muniṃ, ekavihāritāya, pubbe vuttappakārāsu vā cariyāsu yāya kāyaci cariyāya carantaṃ, pubbe viya methunadhamme cittaṃ akatvā anuttarāya viratiyā virataṃ methunasmā. Dutiyapādassa sambandho – kīdisaṃ muniṃ carantaṃ virataṃ methunasmāti ce? Yo yobbane nopanibajjhate kvaci, yo bhadrepi yobbane vattamāne kvaci itthirūpe yathā pure, evaṃ methunarāgena na upanibajjhati. Atha vā kvaci attano vā parassa vā yobbane ‘‘yuvā tāvamhi, ayaṃ vā yuvāti paṭisevāmi tāva kāme’’ti evaṃ yo rāgena na upanibajjhatīti ayampettha attho. Na kevalañca virataṃ methunasmā, apica kho pana jātimadādibhedā madā, kāmaguṇesu sativippavāsasaṅkhātā pamādāpi ca virataṃ, evaṃ madappamādā viratattā eva ca vippamuttaṃ sabbakilesabandhanehi. Yathā vā eko lokikāyapi viratiyā virato hoti, na evaṃ, kiṃ pana vippamuttaṃ virataṃ, sabbakilesabandhanehi vippamuttattā lokuttaraviratiyā viratantipi attho. Taṃ vāpi dhīrā muni vedayantīti tampi dhīrā eva muniṃ vedayanti, tumhe pana naṃ na vedayatha, tena naṃ evaṃ bhaṇathāti dasseti.

    ๒๒๑. อญฺญาย โลกนฺติ กา อุปฺปตฺติ? ภควา กปิลวตฺถุสฺมิํ วิหรติฯ เตน สมเยน นนฺทสฺส อาภรณมงฺคลํ, อภิเสกมงฺคลํ, อาวาหมงฺคลนฺติ ตีณิ มงฺคลานิ อกํสุฯ ภควาปิ ตตฺถ นิมนฺติโต ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ ตตฺถ คนฺตฺวา ภุญฺชิตฺวา นิกฺขมโนฺต นนฺทสฺส หเตฺถ ปตฺตํ อทาสิฯ ตํ นิกฺขมนฺตํ ทิสฺวา ชนปทกลฺยาณี ‘‘ตุวฎฺฎํ โข, อยฺยปุตฺต, อาคเจฺฉยฺยาสี’’ติ อาหฯ โส ภควโต คารเวน ‘‘หนฺท ภควา ปตฺต’’นฺติ วตฺตุํ อสโกฺกโนฺต วิหารเมว คโตฯ ภควา คนฺธกุฎิปริเวเณ ฐตฺวา ‘‘อาหร, นนฺท, ปตฺต’’นฺติ คเหตฺวา ‘‘ปพฺพชิสฺสสี’’ติ อาหฯ โส ภควโต คารเวน ปฎิกฺขิปิตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘ปพฺพชามิ, ภควา’’ติ อาหฯ ตํ ภควา ปพฺพาเชสิฯ โส ปน ชนปทกลฺยาณิยา วจนํ ปุนปฺปุนํ สรโนฺต อุกฺกณฺฐิฯ ภิกฺขู ภควโต อาโรเจสุํฯ ภควา นนฺทสฺส อนภิรติํ วิโนเทตุกาโม ‘‘ตาวติํสภวนํ คตปุโพฺพสิ, นนฺทา’’ติ อาหฯ นโนฺท ‘‘นาหํ, ภเนฺต, คตปุโพฺพ’’ติ อโวจฯ

    221.Aññāya lokanti kā uppatti? Bhagavā kapilavatthusmiṃ viharati. Tena samayena nandassa ābharaṇamaṅgalaṃ, abhisekamaṅgalaṃ, āvāhamaṅgalanti tīṇi maṅgalāni akaṃsu. Bhagavāpi tattha nimantito pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ tattha gantvā bhuñjitvā nikkhamanto nandassa hatthe pattaṃ adāsi. Taṃ nikkhamantaṃ disvā janapadakalyāṇī ‘‘tuvaṭṭaṃ kho, ayyaputta, āgaccheyyāsī’’ti āha. So bhagavato gāravena ‘‘handa bhagavā patta’’nti vattuṃ asakkonto vihārameva gato. Bhagavā gandhakuṭipariveṇe ṭhatvā ‘‘āhara, nanda, patta’’nti gahetvā ‘‘pabbajissasī’’ti āha. So bhagavato gāravena paṭikkhipituṃ asakkonto ‘‘pabbajāmi, bhagavā’’ti āha. Taṃ bhagavā pabbājesi. So pana janapadakalyāṇiyā vacanaṃ punappunaṃ saranto ukkaṇṭhi. Bhikkhū bhagavato ārocesuṃ. Bhagavā nandassa anabhiratiṃ vinodetukāmo ‘‘tāvatiṃsabhavanaṃ gatapubbosi, nandā’’ti āha. Nando ‘‘nāhaṃ, bhante, gatapubbo’’ti avoca.

    ตโต นํ ภควา อตฺตโน อานุภาเวน ตาวติํสภวนํ เนตฺวา เวชยนฺตปาสาททฺวาเร อฎฺฐาสิฯ ภควโต อาคมนํ วิทิตฺวา สโกฺก อจฺฉราคณปริวุโต ปาสาทา โอโรหิฯ ตา สพฺพาปิ กสฺสปสฺส ภควโต สาวกานํ ปาทมกฺขนเตลํ ทตฺวา กกุฎปาทินิโย อเหสุํฯ อถ ภควา นนฺทํ อามเนฺตสิ – ‘‘ปสฺสสิ โน, ตฺวํ นนฺท, อิมานิ ปญฺจ อจฺฉราสตานิ กกุฎปาทานี’’ติ สพฺพํ วิตฺถาเรตพฺพํฯ มาตุคามสฺส นาม นิมิตฺตานุพฺยญฺชนํ คเหตพฺพนฺติ สกเลปิ พุทฺธวจเน เอตํ นตฺถิฯ อถ จ ปเนตฺถ ภควา อุปายกุสลตาย อาตุรสฺส โทเส อุคฺคิเลตฺวา นีหริตุกาโม เวโชฺช สุโภชนํ วิย นนฺทสฺส ราคํ อุคฺคิเลตฺวา นีหริตุกาโม นิมิตฺตานุพฺยญฺชนคฺคหณํ อนุญฺญาสิ ยถา ตํ อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิฯ ตโต ภควา อจฺฉราเหตุ นนฺทสฺส พฺรหฺมจริเย อภิรติํ ทิสฺวา ภิกฺขู อาณาเปสิ – ‘‘ภตกวาเทน นนฺทํ โจเทถา’’ติฯ โส เตหิ โจทิยมาโน ลชฺชิโต โยนิโส มนสิ กโรโนฺต ปฎิปชฺชิตฺวา น จิรเสฺสว อรหตฺตํ สจฺฉากาสิฯ ตสฺส จงฺกมนโกฎิยํ รุเกฺข อธิวตฺถา เทวตา ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสิฯ ภควโตปิ ญาณํ อุทปาทิฯ ภิกฺขู อชานนฺตา ตเถวายสฺมนฺตํ โจเทนฺติฯ ภควา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทานิ นโนฺท เอวํ โจเทตโพฺพ’’ติ ตสฺส ขีณาสวมุนิภาวํ ทีเปโนฺต เตสํ ภิกฺขูนํ ธมฺมเทสนตฺถํ อิมํ คาถมภาสิฯ

    Tato naṃ bhagavā attano ānubhāvena tāvatiṃsabhavanaṃ netvā vejayantapāsādadvāre aṭṭhāsi. Bhagavato āgamanaṃ viditvā sakko accharāgaṇaparivuto pāsādā orohi. Tā sabbāpi kassapassa bhagavato sāvakānaṃ pādamakkhanatelaṃ datvā kakuṭapādiniyo ahesuṃ. Atha bhagavā nandaṃ āmantesi – ‘‘passasi no, tvaṃ nanda, imāni pañca accharāsatāni kakuṭapādānī’’ti sabbaṃ vitthāretabbaṃ. Mātugāmassa nāma nimittānubyañjanaṃ gahetabbanti sakalepi buddhavacane etaṃ natthi. Atha ca panettha bhagavā upāyakusalatāya āturassa dose uggiletvā nīharitukāmo vejjo subhojanaṃ viya nandassa rāgaṃ uggiletvā nīharitukāmo nimittānubyañjanaggahaṇaṃ anuññāsi yathā taṃ anuttaro purisadammasārathi. Tato bhagavā accharāhetu nandassa brahmacariye abhiratiṃ disvā bhikkhū āṇāpesi – ‘‘bhatakavādena nandaṃ codethā’’ti. So tehi codiyamāno lajjito yoniso manasi karonto paṭipajjitvā na cirasseva arahattaṃ sacchākāsi. Tassa caṅkamanakoṭiyaṃ rukkhe adhivatthā devatā bhagavato etamatthaṃ ārocesi. Bhagavatopi ñāṇaṃ udapādi. Bhikkhū ajānantā tathevāyasmantaṃ codenti. Bhagavā ‘‘na, bhikkhave, idāni nando evaṃ codetabbo’’ti tassa khīṇāsavamunibhāvaṃ dīpento tesaṃ bhikkhūnaṃ dhammadesanatthaṃ imaṃ gāthamabhāsi.

    ตสฺสโตฺถ – ทุกฺขสจฺจววตฺถานกรเณน ขนฺธาทิโลกํ อญฺญาย ชานิตฺวา ววตฺถเปตฺวา นิโรธสจฺจสจฺฉิกิริยาย ปรมตฺถทสฺสิํ, สมุทยปฺปหาเนน จตุพฺพิธมฺปิ โอฆํ, ปหีนสมุทยตฺตา รูปมทาทิเวคสหเนน จกฺขาทิอายตนสมุทฺทญฺจ อติตริย อติตริตฺวา อติกฺกมิตฺวา มคฺคภาวนาย, ‘‘ตนฺนิเทฺทสา ตาที’’ติ อิมาย ตาทิลกฺขณปฺปตฺติยา ตาทิํฯ โย วายํ กามราคาทิกิเลสราสิเยว อวหนนเฎฺฐน โอโฆ, กุจฺฉิตคติปริยาเยน สมุทฺทนเฎฺฐน สมุโทฺท, สมุทยปฺปหาเนเนว ตํ โอฆํ สมุทฺทญฺจ อติตริย อติติโณฺณฆตฺตา อิทานิ ตุเมฺหหิ เอวํ วุจฺจมาเนปิ วิการมนาปชฺชนตาย ตาทิมฺปิ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ จ อธิปฺปาโย จ เวทิตโพฺพฯ ตํ ฉินฺนคนฺถํ อสิตํ อนาสวนฺติ อิทํ ปนสฺส ถุติวจนเมว, อิมาย จตุสจฺจภาวนาย จตุนฺนํ คนฺถานํ ฉินฺนตฺตา ฉินฺนคนฺถํ, ทิฎฺฐิยา ตณฺหาย วา กตฺถจิ อนิสฺสิตตฺตา อสิตํ, จตุนฺนํ อาสวานํ อภาเวน อนาสวนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตํ วาปิ ธีรา มุนิ เวทยนฺตีติ ตมฺปิ ธีราว ขีณาสวมุนิํ เวทยนฺติ ตุเมฺห ปน อเวทยมานา เอวํ ภณถาติ ทเสฺสติฯ

    Tassattho – dukkhasaccavavatthānakaraṇena khandhādilokaṃ aññāya jānitvā vavatthapetvā nirodhasaccasacchikiriyāya paramatthadassiṃ, samudayappahānena catubbidhampi oghaṃ, pahīnasamudayattā rūpamadādivegasahanena cakkhādiāyatanasamuddañca atitariya atitaritvā atikkamitvā maggabhāvanāya, ‘‘tanniddesā tādī’’ti imāya tādilakkhaṇappattiyā tādiṃ. Yo vāyaṃ kāmarāgādikilesarāsiyeva avahananaṭṭhena ogho, kucchitagatipariyāyena samuddanaṭṭhena samuddo, samudayappahāneneva taṃ oghaṃ samuddañca atitariya atitiṇṇoghattā idāni tumhehi evaṃ vuccamānepi vikāramanāpajjanatāya tādimpi evampettha attho ca adhippāyo ca veditabbo. Taṃ chinnaganthaṃ asitaṃ anāsavanti idaṃ panassa thutivacanameva, imāya catusaccabhāvanāya catunnaṃ ganthānaṃ chinnattā chinnaganthaṃ, diṭṭhiyā taṇhāya vā katthaci anissitattā asitaṃ, catunnaṃ āsavānaṃ abhāvena anāsavanti vuttaṃ hoti. Taṃ vāpi dhīrā muni vedayantīti tampi dhīrāva khīṇāsavamuniṃ vedayanti tumhe pana avedayamānā evaṃ bhaṇathāti dasseti.

    ๒๒๒. อสมา อุโภติ กา อุปฺปตฺติ? อญฺญตโร ภิกฺขุ โกสลรเฎฺฐ ปจฺจนฺตคามํ นิสฺสาย อรเญฺญ วิหรติฯ ตสฺมิญฺจ คาเม มิคลุทฺทโก ตสฺส ภิกฺขุโน วสโนกาสํ คนฺตฺวา มิเค พนฺธติฯ โส อรญฺญํ ปวิสโนฺต เถรํ คามํ ปิณฺฑาย ปวิสนฺตมฺปิ ปสฺสติ, อรญฺญา อาคจฺฉโนฺต คามโต นิกฺขมนฺตมฺปิ ปสฺสติฯ เอวํ อภิณฺหทสฺสเนน เถเร ชาตสิเนโห อโหสิฯ โส ยทา พหุํ มํสํ ลภติ, ตทา เถรสฺสาปิ รสปิณฺฑปาตํ เทติฯ มนุสฺสา อุชฺฌายนฺติ – ‘‘อยํ ภิกฺขุ ‘อมุกสฺมิํ ปเทเส มิคา ติฎฺฐนฺติ, จรนฺติ, ปานียํ ปิวนฺตี’ติ ลุทฺทกสฺส อาโรเจติฯ ตโต ลุทฺทโก มิเค มาเรติ, เตน อุโภ สงฺคมฺม ชีวิกํ กเปฺปนฺตี’’ติฯ อถ ภควา ชนปทจาริกํ จรมาโน ตํ ชนปทํ อคมาสิฯ ภิกฺขู คามํ ปิณฺฑาย ปวิสนฺตา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ภควโต อาโรเจสุํฯ ภควา ลุทฺทเกน สทฺธิํ สมานชีวิกาภาวสาธกํ ตสฺส ภิกฺขุโน ขีณาสวมุนิภาวํ ทีเปโนฺต เตสํ ภิกฺขูนํ ธมฺมเทสนตฺถํ อิมํ คาถมภาสิฯ

    222.Asamāubhoti kā uppatti? Aññataro bhikkhu kosalaraṭṭhe paccantagāmaṃ nissāya araññe viharati. Tasmiñca gāme migaluddako tassa bhikkhuno vasanokāsaṃ gantvā mige bandhati. So araññaṃ pavisanto theraṃ gāmaṃ piṇḍāya pavisantampi passati, araññā āgacchanto gāmato nikkhamantampi passati. Evaṃ abhiṇhadassanena there jātasineho ahosi. So yadā bahuṃ maṃsaṃ labhati, tadā therassāpi rasapiṇḍapātaṃ deti. Manussā ujjhāyanti – ‘‘ayaṃ bhikkhu ‘amukasmiṃ padese migā tiṭṭhanti, caranti, pānīyaṃ pivantī’ti luddakassa āroceti. Tato luddako mige māreti, tena ubho saṅgamma jīvikaṃ kappentī’’ti. Atha bhagavā janapadacārikaṃ caramāno taṃ janapadaṃ agamāsi. Bhikkhū gāmaṃ piṇḍāya pavisantā taṃ pavattiṃ sutvā bhagavato ārocesuṃ. Bhagavā luddakena saddhiṃ samānajīvikābhāvasādhakaṃ tassa bhikkhuno khīṇāsavamunibhāvaṃ dīpento tesaṃ bhikkhūnaṃ dhammadesanatthaṃ imaṃ gāthamabhāsi.

    ตสฺสโตฺถ – โย จ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ, โย จ ลุทฺทโก, เอเต อสมา อุโภฯ ยํ มนุสฺสา ภณนฺติ ‘‘สมานชีวิกา’’ติ, ตํ มิจฺฉาฯ กิํ การณา? ทูรวิหารวุตฺติโน, ทูเร วิหาโร จ วุตฺติ จ เนสนฺติ ทูรวิหารวุตฺติโนฯ วิหาโรติ วสโนกาโส, โส จ ภิกฺขุโน อรเญฺญ, ลุทฺทกสฺส จ คาเมฯ วุตฺตีติ ชีวิกา, สา จ ภิกฺขุโน คาเม สปทานภิกฺขาจริยา, ลุทฺทกสฺส จ อรเญฺญ มิคสกุณมารณาฯ ปุน จปรํ คิหี ทารโปสี, โส ลุทฺทโก เตน กเมฺมน ปุตฺตทารํ โปเสติฯ อมโม จ สุพฺพโต, ปุตฺตทาเรสุ ตณฺหาทิฎฺฐิมมตฺตวิรหิโต สุจิวตตฺตา สุนฺทรวตตฺตา จ สุพฺพโต โส ขีณาสวภิกฺขุฯ ปุน จปรํ ปรปาณโรธาย คิหี อสญฺญโต, โส ลุทฺทโก คิหี ปรปาณโรธาย เตสํ ปาณานํ ชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉทาย กายวาจาจิเตฺตหิ อสํยโตฯ นิจฺจํ มุนี รกฺขติ ปาณิเน ยโต, อิตโร ปน ขีณาสวมุนิ กายวาจาจิเตฺตหิ นิจฺจํ ยโต สํยโต ปาณิโน รกฺขติฯ เอวํ สเนฺต เต กถํ สมานชีวิกา ภวิสฺสนฺตีติ?

    Tassattho – yo ca, bhikkhave, bhikkhu, yo ca luddako, ete asamā ubho. Yaṃ manussā bhaṇanti ‘‘samānajīvikā’’ti, taṃ micchā. Kiṃ kāraṇā? Dūravihāravuttino, dūre vihāro ca vutti ca nesanti dūravihāravuttino. Vihāroti vasanokāso, so ca bhikkhuno araññe, luddakassa ca gāme. Vuttīti jīvikā, sā ca bhikkhuno gāme sapadānabhikkhācariyā, luddakassa ca araññe migasakuṇamāraṇā. Puna caparaṃ gihī dāraposī, so luddako tena kammena puttadāraṃ poseti. Amamo ca subbato, puttadāresu taṇhādiṭṭhimamattavirahito sucivatattā sundaravatattā ca subbato so khīṇāsavabhikkhu. Puna caparaṃ parapāṇarodhāya gihī asaññato, so luddako gihī parapāṇarodhāya tesaṃ pāṇānaṃ jīvitindriyupacchedāya kāyavācācittehi asaṃyato. Niccaṃ munī rakkhati pāṇine yato, itaro pana khīṇāsavamuni kāyavācācittehi niccaṃ yato saṃyato pāṇino rakkhati. Evaṃ sante te kathaṃ samānajīvikā bhavissantīti?

    ๒๒๓. สิขี ยถาติ กา อุปฺปตฺติ? ภควติ กปิลวตฺถุสฺมิํ วิหรเนฺต สากิยานํ กถา อุทปาทิ – ‘‘ปฐมกโสตาปโนฺน ปจฺฉา โสตาปตฺติํ ปตฺตสฺส ธเมฺมน วุฑฺฒตโร โหติ, ตสฺมา ปจฺฉา โสตาปเนฺนน ภิกฺขุนา ปฐมโสตาปนฺนสฺส คิหิโน อภิวาทนาทีนิ กตฺตพฺพานี’’ติ ตํ กถํ อญฺญตโร ปิณฺฑจาริโก ภิกฺขุ สุตฺวา ภควโต อาโรเจสิฯ ภควา ‘‘อญฺญา เอว หิ อยํ ชาติ, ปูชเนยฺยวตฺถุ ลิงฺค’’นฺติ สนฺธาย ‘‘อนาคามีปิ เจ, ภิกฺขเว, คิหี โหติ, เตน ตทหุปพฺพชิตสฺสาปิ สามเณรสฺส อภิวาทนาทีนิ กตฺตพฺพาเนวา’’ติ วตฺวา ปุน ปจฺฉา โสตาปนฺนสฺสาปิ ภิกฺขุโน ปฐมโสตาปนฺนคหฎฺฐโต อติมหนฺตํ วิเสสํ ทเสฺสโนฺต ภิกฺขูนํ ธมฺมเทสนตฺถํ อิมํ คาถมภาสิฯ

    223.Sikhī yathāti kā uppatti? Bhagavati kapilavatthusmiṃ viharante sākiyānaṃ kathā udapādi – ‘‘paṭhamakasotāpanno pacchā sotāpattiṃ pattassa dhammena vuḍḍhataro hoti, tasmā pacchā sotāpannena bhikkhunā paṭhamasotāpannassa gihino abhivādanādīni kattabbānī’’ti taṃ kathaṃ aññataro piṇḍacāriko bhikkhu sutvā bhagavato ārocesi. Bhagavā ‘‘aññā eva hi ayaṃ jāti, pūjaneyyavatthu liṅga’’nti sandhāya ‘‘anāgāmīpi ce, bhikkhave, gihī hoti, tena tadahupabbajitassāpi sāmaṇerassa abhivādanādīni kattabbānevā’’ti vatvā puna pacchā sotāpannassāpi bhikkhuno paṭhamasotāpannagahaṭṭhato atimahantaṃ visesaṃ dassento bhikkhūnaṃ dhammadesanatthaṃ imaṃ gāthamabhāsi.

    ตสฺสโตฺถ – ยฺวายํ มตฺถเก ชาตาย สิขาย สพฺภาเวน สิขี, มณิทณฺฑสทิสาย คีวาย นีลคีโวติ จ มยูรวิหงฺคโม วุจฺจติฯ โส ยถา หริตหํสตมฺพหํสขีรหํสกาฬหํสปากหํสสุวณฺณหํเสสุ ยฺวายํ สุวณฺณหํโส, ตสฺส หํสสฺส ชเวน โสฬสิมฺปิ กลํ น อุเปติฯ สุวณฺณหํโส หิ มุหุตฺตเกน โยชนสหสฺสมฺปิ คจฺฉติ, โยชนมฺปิ อสมโตฺถ อิตโรฯ ทสฺสนียตาย ปน อุโภปิ ทสฺสนียา โหนฺติ, เอวํ คิหี ปฐมโสตาปโนฺนปิ กิญฺจาปิ มคฺคทสฺสเนน ทสฺสนีโย โหติฯ อถ โข โส ปจฺฉา โสตาปนฺนสฺสาปิ มคฺคทสฺสเนน ตุลฺยทสฺสนียภาวสฺสาปิ ภิกฺขุโน ชเวน นานุกโรติฯ กตเมน ชเวน? อุปริมคฺควิปสฺสนาญาณชเวนฯ คิหิโน หิ ตํ ญาณํ ทนฺธํ โหติ ปุตฺตทาราทิชฎาย ชฎิตตฺตา, ภิกฺขุโน ปน ติกฺขํ โหติ ตสฺสา ชฎาย วิชฎิตตฺตาฯ สฺวายมโตฺถ ภควตา ‘‘มุนิโน วิวิตฺตสฺส วนมฺหิ ฌายโต’’ติ อิมินา ปาเทน ทีปิโตฯ อยญฺหิ เสกฺขมุนิ ภิกฺขุ กายจิตฺตวิเวเกน จ วิวิโตฺต โหติ, ลกฺขณารมฺมณูปนิชฺฌาเนน จ นิจฺจํ วนสฺมิํ ฌายติฯ กุโต คิหิโน เอวรูโป วิเวโก จ ฌานญฺจาติ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโยติ?

    Tassattho – yvāyaṃ matthake jātāya sikhāya sabbhāvena sikhī, maṇidaṇḍasadisāya gīvāya nīlagīvoti ca mayūravihaṅgamo vuccati. So yathā haritahaṃsatambahaṃsakhīrahaṃsakāḷahaṃsapākahaṃsasuvaṇṇahaṃsesu yvāyaṃ suvaṇṇahaṃso, tassa haṃsassa javena soḷasimpi kalaṃ na upeti. Suvaṇṇahaṃso hi muhuttakena yojanasahassampi gacchati, yojanampi asamattho itaro. Dassanīyatāya pana ubhopi dassanīyā honti, evaṃ gihī paṭhamasotāpannopi kiñcāpi maggadassanena dassanīyo hoti. Atha kho so pacchā sotāpannassāpi maggadassanena tulyadassanīyabhāvassāpi bhikkhuno javena nānukaroti. Katamena javena? Uparimaggavipassanāñāṇajavena. Gihino hi taṃ ñāṇaṃ dandhaṃ hoti puttadārādijaṭāya jaṭitattā, bhikkhuno pana tikkhaṃ hoti tassā jaṭāya vijaṭitattā. Svāyamattho bhagavatā ‘‘munino vivittassa vanamhi jhāyato’’ti iminā pādena dīpito. Ayañhi sekkhamuni bhikkhu kāyacittavivekena ca vivitto hoti, lakkhaṇārammaṇūpanijjhānena ca niccaṃ vanasmiṃ jhāyati. Kuto gihino evarūpo viveko ca jhānañcāti ayañhettha adhippāyoti?

    ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย

    Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya

    สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย มุนิสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suttanipāta-aṭṭhakathāya munisuttavaṇṇanā niṭṭhitā.

    นิฎฺฐิโต จ ปฐโม วโคฺค อตฺถวณฺณนานยโต, นาเมน

    Niṭṭhito ca paṭhamo vaggo atthavaṇṇanānayato, nāmena

    อุรควโคฺคติฯ

    Uragavaggoti.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๑๒. มุนิสุตฺตํ • 12. Munisuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact