Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เทฺวมาติกาปาฬิ • Dvemātikāpāḷi |
ปาจิตฺติยกโณฺฑ
Pācittiyakaṇḍo
๑. มุสาวาทวโคฺค
1. Musāvādavaggo
๑. มุสาวาทสิกฺขาปทวณฺณนา
1. Musāvādasikkhāpadavaṇṇanā
ปาจิตฺติเยสุ มุสาวาทวคฺคสฺส ปฐเม สมฺปชานมุสาวาเทติ ปุเพฺพปิ ชานิตฺวา วจนกฺขเณปิ ชานนฺตเสฺสว มุสาวาทภณเนฯ ภณนญฺจ นาม อิธ อภูตสฺส วา ภูตตํ, ภูตสฺส วา อภูตตํ กตฺวา กาเยน วา วาจาย วา วิญฺญาปนปฺปโยโค, นิมิตฺตเตฺถ เจตํ ภุมฺมวจนํฯ ตสฺมา โย สมฺปชานมุสาวาทํ วทติ, ตสฺส ตํนิมิตฺตํ ตํเหตุ ตปฺปจฺจยา ปาจิตฺติยํ โหตีติ เอวเมตฺถ อเญฺญสุ จ อีทิเสสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Pācittiyesu musāvādavaggassa paṭhame sampajānamusāvādeti pubbepi jānitvā vacanakkhaṇepi jānantasseva musāvādabhaṇane. Bhaṇanañca nāma idha abhūtassa vā bhūtataṃ, bhūtassa vā abhūtataṃ katvā kāyena vā vācāya vā viññāpanappayogo, nimittatthe cetaṃ bhummavacanaṃ. Tasmā yo sampajānamusāvādaṃ vadati, tassa taṃnimittaṃ taṃhetu tappaccayā pācittiyaṃ hotīti evamettha aññesu ca īdisesu attho veditabbo.
สาวตฺถิยํ หตฺถกํ สกฺยปุตฺตํ อารพฺภ อวชานิตฺวา ปฎิชานนาทิวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, อุตฺตริมนุสฺสธมฺมาโรจนตฺถํ มุสา ภณนฺตสฺส ปาราชิกํ, อมูลเกน ปาราชิเกน อนุทฺธํสนตฺถํ สงฺฆาทิเสโส, สงฺฆาทิเสเสน อนุทฺธํสนตฺถํ ปาจิตฺติยํ, อาจารวิปตฺติยา อนุทฺธํสนตฺถํ ทุกฺกฎํ, ‘‘โย เต วิหาเร วสี’’ติอาทินา (ปารา. ๒๒๐) ปริยาเยน อุตฺตริมนุสฺสธมฺมาโรจนตฺถํ ปฎิวิชานนฺตสฺส มุสา ภณิเต ถุลฺลจฺจยํ, อปฺปฎิวิชานนฺตสฺส ทุกฺกฎํ, เกวลํ มุสา ภณนฺตสฺส อิธ ปาจิตฺติยํฯ อนุปธาเรตฺวา สหสา ภณนฺตสฺส, ‘‘อญฺญํ ภณิสฺสามี’’ติ อญฺญํ ภณนฺตสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ วิสํวาทนปุเรกฺขารตา, วิสํวาทนจิเตฺตน ยมตฺถํ วตฺตุกาโม, ตสฺส ปุคฺคลสฺส วิญฺญาปนปโยโค จาติ อิมาเนตฺถ เทฺว องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ อทินฺนาทานสทิสานีติฯ
Sāvatthiyaṃ hatthakaṃ sakyaputtaṃ ārabbha avajānitvā paṭijānanādivatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, uttarimanussadhammārocanatthaṃ musā bhaṇantassa pārājikaṃ, amūlakena pārājikena anuddhaṃsanatthaṃ saṅghādiseso, saṅghādisesena anuddhaṃsanatthaṃ pācittiyaṃ, ācāravipattiyā anuddhaṃsanatthaṃ dukkaṭaṃ, ‘‘yo te vihāre vasī’’tiādinā (pārā. 220) pariyāyena uttarimanussadhammārocanatthaṃ paṭivijānantassa musā bhaṇite thullaccayaṃ, appaṭivijānantassa dukkaṭaṃ, kevalaṃ musā bhaṇantassa idha pācittiyaṃ. Anupadhāretvā sahasā bhaṇantassa, ‘‘aññaṃ bhaṇissāmī’’ti aññaṃ bhaṇantassa, ummattakādīnañca anāpatti. Visaṃvādanapurekkhāratā, visaṃvādanacittena yamatthaṃ vattukāmo, tassa puggalassa viññāpanapayogo cāti imānettha dve aṅgāni. Samuṭṭhānādīni adinnādānasadisānīti.
มุสาวาทสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Musāvādasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๒. โอมสวาทสิกฺขาปทวณฺณนา
2. Omasavādasikkhāpadavaṇṇanā
ทุติเย โอมสวาเทติ โอวิชฺฌนวจเน, ชาตินามโคตฺตกมฺมสิปฺปอาพาธลิงฺคกิเลสอาปตฺติอโกฺกเสสุ ภูเตน วา อภูเตน วา เยน เกนจิ ปาราชิกํ อาปนฺนํ วา อนาปนฺนํ วา ยํกิญฺจิ ภิกฺขุํ ยาย กายจิ วาจาย วา หตฺถมุทฺทาย วา อนญฺญาปเทเสน อโกฺกสนวจเน ปาจิตฺติยนฺติ อโตฺถฯ
Dutiye omasavādeti ovijjhanavacane, jātināmagottakammasippaābādhaliṅgakilesaāpattiakkosesu bhūtena vā abhūtena vā yena kenaci pārājikaṃ āpannaṃ vā anāpannaṃ vā yaṃkiñci bhikkhuṃ yāya kāyaci vācāya vā hatthamuddāya vā anaññāpadesena akkosanavacane pācittiyanti attho.
สาวตฺถิยํ ฉพฺพคฺคิเย ภิกฺขู อารพฺภ โอมสนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, เตหิเยว ทสหิ อโกฺกสวตฺถูหิ ‘‘สนฺติ อิเธกเจฺจ จณฺฑาลา’’ติอาทินา (ปาจิ. ๒๖) นเยน อญฺญาปเทสํ กตฺวา อโกฺกสนฺตสฺส, ‘‘โจโรสิ คณฺฐิเภทโกสี’’ติอาทีหิ ปาฬิมุตฺตกปเทหิ อโกฺกสนฺตสฺส, ยถา ตถา วา อนุปสมฺปนฺนํ อโกฺกสนฺตสฺส จ ทุกฺกฎํฯ อิธ ภิกฺขุนีปิ อนุปสมฺปนฺนสงฺขฺยํ คจฺฉติฯ อนโกฺกสิตุกามสฺส เกวลํ ทวกมฺยตาย วทโต สพฺพตฺถ ทุพฺภาสิตํฯ อตฺถธมฺมอนุสาสนิปุเรกฺขารานํ, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ ยํ อโกฺกสติ, ตสฺส อุปสมฺปนฺนตา, อนญฺญาปเทเสน ชาติอาทีหิ อโกฺกสนํ, ‘‘มํ อโกฺกสตี’’ติ ชานนา, อตฺถปุเรกฺขารตาทีนํ อภาโวติ อิมาเนตฺถ จตฺตาริ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ อทินฺนาทานสทิสานิ, เวทนา ปน อิธ ทุกฺขาติฯ
Sāvatthiyaṃ chabbaggiye bhikkhū ārabbha omasanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, tehiyeva dasahi akkosavatthūhi ‘‘santi idhekacce caṇḍālā’’tiādinā (pāci. 26) nayena aññāpadesaṃ katvā akkosantassa, ‘‘corosi gaṇṭhibhedakosī’’tiādīhi pāḷimuttakapadehi akkosantassa, yathā tathā vā anupasampannaṃ akkosantassa ca dukkaṭaṃ. Idha bhikkhunīpi anupasampannasaṅkhyaṃ gacchati. Anakkositukāmassa kevalaṃ davakamyatāya vadato sabbattha dubbhāsitaṃ. Atthadhammaanusāsanipurekkhārānaṃ, ummattakādīnañca anāpatti. Yaṃ akkosati, tassa upasampannatā, anaññāpadesena jātiādīhi akkosanaṃ, ‘‘maṃ akkosatī’’ti jānanā, atthapurekkhāratādīnaṃ abhāvoti imānettha cattāri aṅgāni. Samuṭṭhānādīni adinnādānasadisāni, vedanā pana idha dukkhāti.
โอมสวาทสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Omasavādasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๓. เปสุญฺญสิกฺขาปทวณฺณนา
3. Pesuññasikkhāpadavaṇṇanā
ตติเย ภิกฺขุเปสุเญฺญติ ภิกฺขุสฺส เปสุเญฺญ, ชาติอาทีหิ อโกฺกสวตฺถูหิ ภิกฺขู อโกฺกสนฺตสฺส ภิกฺขุโน สุตฺวา วจนํ ภิกฺขุโน ปิยกมฺยตาย วา เภทาธิปฺปาเยน วา โย อกฺกุโทฺธ, ตสฺส ภิกฺขุสฺส กาเยน วา วาจาย วา อุปสํหเฎ ตสฺมิํ เปสุญฺญกรณวจเน ปาจิตฺติยนฺติ อโตฺถฯ
Tatiye bhikkhupesuññeti bhikkhussa pesuññe, jātiādīhi akkosavatthūhi bhikkhū akkosantassa bhikkhuno sutvā vacanaṃ bhikkhuno piyakamyatāya vā bhedādhippāyena vā yo akkuddho, tassa bhikkhussa kāyena vā vācāya vā upasaṃhaṭe tasmiṃ pesuññakaraṇavacane pācittiyanti attho.
สาวตฺถิยํ ฉพฺพคฺคิเย ภิกฺขู อารพฺภ เปสุญฺญอุปสํหรณวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, วุตฺตนเยเนว อญฺญาปเทเสน อโกฺกสนฺตสฺส วจนูปสํหาเร วา ปาฬิมุตฺตกอโกฺกสูปสํหาเร วา อนุปสมฺปนฺนสฺส จ อุปสํหาเร ทุกฺกฎํฯ อิธาปิ ภิกฺขุนี อนุปสมฺปนฺนฎฺฐาเน ฐิตาฯ น ปิยกมฺยตาย, น เภทาธิปฺปาเยน เกวลํ ปาปครหิตาย วทนฺตสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ ชาติอาทีหิ อนญฺญาปเทเสน อโกฺกสนฺตสฺส ภิกฺขุโน สุตฺวา วจนํ ภิกฺขุสฺส อุปสํหรณํ, ปิยกมฺยตาเภทาธิปฺปาเยสุ อญฺญตรตา , ตสฺส วิชานนาติ อิมาเนตฺถ ตีณิ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ อทินฺนาทานสทิสาเนวาติฯ
Sāvatthiyaṃ chabbaggiye bhikkhū ārabbha pesuññaupasaṃharaṇavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, vuttanayeneva aññāpadesena akkosantassa vacanūpasaṃhāre vā pāḷimuttakaakkosūpasaṃhāre vā anupasampannassa ca upasaṃhāre dukkaṭaṃ. Idhāpi bhikkhunī anupasampannaṭṭhāne ṭhitā. Na piyakamyatāya, na bhedādhippāyena kevalaṃ pāpagarahitāya vadantassa, ummattakādīnañca anāpatti. Jātiādīhi anaññāpadesena akkosantassa bhikkhuno sutvā vacanaṃ bhikkhussa upasaṃharaṇaṃ, piyakamyatābhedādhippāyesu aññataratā , tassa vijānanāti imānettha tīṇi aṅgāni. Samuṭṭhānādīni adinnādānasadisānevāti.
เปสุญฺญสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pesuññasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๔. ปทโสธมฺมสิกฺขาปทวณฺณนา
4. Padasodhammasikkhāpadavaṇṇanā
จตุเตฺถ ปทโส ธมฺมํ วาเจยฺยาติ สงฺคีติตฺตยํ อนารุฬฺหมฺปิ ราโชวาทติกฺขินฺทฺริยจตุปริวตฺตนนโนฺทปนนฺทกุลุมฺปสุตฺตมคฺคกถาทิธมฺมญฺจ สงฺคีติตฺตยมารุฬฺหํ ติปิฎกธมฺมญฺจ ปทํ ปทํ วาเจยฺย, ปทานุปทอนฺวกฺขรอนุพฺยญฺชเนสุ เอเกกํ โกฎฺฐาสนฺติ อโตฺถฯ ปาจิตฺติยนฺติ เอเตสุ ปทาทีสุ ภิกฺขุญฺจ ภิกฺขุนิญฺจ ฐเปตฺวา ยํกญฺจิ โกฎฺฐาสํ อวเสสปุคฺคเลหิ สทฺธิํ เอกโต ภณนฺตสฺส ปทาทิคณนาย ปาจิตฺติยํฯ
Catutthe padaso dhammaṃ vāceyyāti saṅgītittayaṃ anāruḷhampi rājovādatikkhindriyacatuparivattananandopanandakulumpasuttamaggakathādidhammañca saṅgītittayamāruḷhaṃ tipiṭakadhammañca padaṃ padaṃ vāceyya, padānupadaanvakkharaanubyañjanesu ekekaṃ koṭṭhāsanti attho. Pācittiyanti etesu padādīsu bhikkhuñca bhikkhuniñca ṭhapetvā yaṃkañci koṭṭhāsaṃ avasesapuggalehi saddhiṃ ekato bhaṇantassa padādigaṇanāya pācittiyaṃ.
สาวตฺถิยํ ฉพฺพคฺคิเย ภิกฺขู อารพฺภ ปทโส ธมฺมวาจนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํฯ อุปสมฺปเนฺน อนุปสมฺปนฺนสญฺญิโน เวมติกสฺส วา ทุกฺกฎํฯ อนุปสมฺปเนฺนน สทฺธิํ เอกโต อุเทฺทสคฺคหเณ, สชฺฌายกรเณ, ตสฺส สนฺติเก อุเทฺทสคฺคหเณ, เยภุเยฺยน ปคุณคนฺถํ ภณนฺตสฺส, โอสาเรนฺตสฺส จ ขลิตฎฺฐาเน ‘‘เอวํ ภณาหี’’ติ วจเน จ เอกโต ภณนฺตสฺสาปิ, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ อนุปสมฺปนฺนตา, วุตฺตลกฺขณํ ธมฺมํ ปทโส วาจนตา, เอกโต โอสาปนญฺจาติ อิมาเนตฺถ ตีณิ องฺคานิฯ ปทโสธมฺมสมุฎฺฐานํ, กิริยํ, โนสญฺญาวิโมกฺขํ, อจิตฺตกํ, ปณฺณตฺติวชฺชํ, วจีกมฺมํ, ติจิตฺตํ, ติเวทนนฺติฯ
Sāvatthiyaṃ chabbaggiye bhikkhū ārabbha padaso dhammavācanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ. Upasampanne anupasampannasaññino vematikassa vā dukkaṭaṃ. Anupasampannena saddhiṃ ekato uddesaggahaṇe, sajjhāyakaraṇe, tassa santike uddesaggahaṇe, yebhuyyena paguṇaganthaṃ bhaṇantassa, osārentassa ca khalitaṭṭhāne ‘‘evaṃ bhaṇāhī’’ti vacane ca ekato bhaṇantassāpi, ummattakādīnañca anāpatti. Anupasampannatā, vuttalakkhaṇaṃ dhammaṃ padaso vācanatā, ekato osāpanañcāti imānettha tīṇi aṅgāni. Padasodhammasamuṭṭhānaṃ, kiriyaṃ, nosaññāvimokkhaṃ, acittakaṃ, paṇṇattivajjaṃ, vacīkammaṃ, ticittaṃ, tivedananti.
ปทโสธมฺมสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Padasodhammasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๕. ปฐมสหเสยฺยสิกฺขาปทวณฺณนา
5. Paṭhamasahaseyyasikkhāpadavaṇṇanā
ปญฺจเม อนุปสมฺปเนฺนนาติ ภิกฺขุํ ฐเปตฺวา อนฺตมโส ปาราชิกวตฺถุภูเตน ติรจฺฉานคเตนาปิฯ อุตฺตริทิรตฺตติรตฺตนฺติ ทฺวินฺนํ วา ติณฺณํ วา รตฺตีนํ อุปริฯ สหเสยฺยนฺติ สพฺพจฺฉนฺนปริจฺฉเนฺน เยภุเยฺยน ฉนฺนปริจฺฉเนฺน วา เสนาสเน ปุพฺพาปริเยน วา เอกกฺขเณน วา เอกโต นิปชฺชนํฯ กเปฺปยฺยาติ วิทเหยฺย สมฺปาเทยฺยฯ ตตฺถ ฉทนํ อนาหจฺจ ทิยฑฺฒหตฺถุเพฺพเธน ปาการาทินา ปริจฺฉินฺนมฺปิ สพฺพปริจฺฉนฺนมิเจฺจว เวทิตพฺพํ, ตสฺมา อิมินา ลกฺขเณน สมนฺนาคโต สเจปิ สตฺตภูมิโก ปาสาโท เอกูปจาโร โหติ, สตคพฺภํ วา จตุสาลํ, โย ตตฺถ วา อญฺญตฺถ วา ตาทิเส เตน วา อเญฺญน วา อนุปสมฺปเนฺนน สห ติโสฺส รตฺติโย สยิตฺวา จตุตฺถทิวเส อตฺถงฺคเต สูริเย อนุปสมฺปเนฺน นิปเนฺน คพฺภทฺวารํ ปิธาย วา อปิธาย วา นิปชฺชติ, ปฐมนิปโนฺน วา ตสฺมิํ นิปชฺชเนฺต น วุฎฺฐาติ, ตสฺส อุภินฺนํ อุฎฺฐหิตฺวา นิปชฺชนปฺปโยคคณนาย อนุปสมฺปนฺนคณนาย จ ปาจิตฺติยํฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน สมนฺตปาสาทิกายํ (ปาจิ. อฎฺฐ. ๕๑) สพฺพปฺปการโต วุโตฺตฯ
Pañcame anupasampannenāti bhikkhuṃ ṭhapetvā antamaso pārājikavatthubhūtena tiracchānagatenāpi. Uttaridirattatirattanti dvinnaṃ vā tiṇṇaṃ vā rattīnaṃ upari. Sahaseyyanti sabbacchannaparicchanne yebhuyyena channaparicchanne vā senāsane pubbāpariyena vā ekakkhaṇena vā ekato nipajjanaṃ. Kappeyyāti vidaheyya sampādeyya. Tattha chadanaṃ anāhacca diyaḍḍhahatthubbedhena pākārādinā paricchinnampi sabbaparicchannamicceva veditabbaṃ, tasmā iminā lakkhaṇena samannāgato sacepi sattabhūmiko pāsādo ekūpacāro hoti, satagabbhaṃ vā catusālaṃ, yo tattha vā aññattha vā tādise tena vā aññena vā anupasampannena saha tisso rattiyo sayitvā catutthadivase atthaṅgate sūriye anupasampanne nipanne gabbhadvāraṃ pidhāya vā apidhāya vā nipajjati, paṭhamanipanno vā tasmiṃ nipajjante na vuṭṭhāti, tassa ubhinnaṃ uṭṭhahitvā nipajjanappayogagaṇanāya anupasampannagaṇanāya ca pācittiyaṃ. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana samantapāsādikāyaṃ (pāci. aṭṭha. 51) sabbappakārato vutto.
อาฬวิยํ สมฺพหุเล ภิกฺขู อารพฺภ อนุปสมฺปเนฺนน สหเสยฺยวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, ‘‘อุตฺตริทิรตฺตติรตฺต’’นฺติ อยเมตฺถ อนุปญฺญตฺติ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํ, อุปสมฺปเนฺน อนุปสมฺปนฺนสญฺญิโน เวมติกสฺส วา อุปทฺธจฺฉนฺนปริจฺฉนฺนาทีสุ จ ทุกฺกฎํฯ อูนกทิรตฺตติรตฺตํ วสนฺตสฺส, ตติยาย รตฺติยา ปุรารุณา นิกฺขมิตฺวา ปุน วสนฺตสฺส, สพฺพจฺฉนฺนสพฺพาปริจฺฉนฺนาทีสุ วสนฺตสฺส, อิตรสฺมิํ นิสิเนฺน นิปชฺชนฺตสฺส, นิปเนฺน วา นิสีทนฺตสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ ปาจิตฺติยวตฺถุกเสนาสนํ, ตตฺถ อนุปสมฺปเนฺนน สห นิปชฺชนํ, จตุตฺถทิวเส สูริยตฺถงฺคมนนฺติ อิมาเนตฺถ ตีณิ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ เอฬกโลมสทิสาเนวาติฯ
Āḷaviyaṃ sambahule bhikkhū ārabbha anupasampannena sahaseyyavatthusmiṃ paññattaṃ, ‘‘uttaridirattatiratta’’nti ayamettha anupaññatti, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ, upasampanne anupasampannasaññino vematikassa vā upaddhacchannaparicchannādīsu ca dukkaṭaṃ. Ūnakadirattatirattaṃ vasantassa, tatiyāya rattiyā purāruṇā nikkhamitvā puna vasantassa, sabbacchannasabbāparicchannādīsu vasantassa, itarasmiṃ nisinne nipajjantassa, nipanne vā nisīdantassa, ummattakādīnañca anāpatti. Pācittiyavatthukasenāsanaṃ, tattha anupasampannena saha nipajjanaṃ, catutthadivase sūriyatthaṅgamananti imānettha tīṇi aṅgāni. Samuṭṭhānādīni eḷakalomasadisānevāti.
ปฐมสหเสยฺยสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamasahaseyyasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๖. ทุติยสหเสยฺยสิกฺขาปทวณฺณนา
6. Dutiyasahaseyyasikkhāpadavaṇṇanā
ฉเฎฺฐ มาตุคาเมนาติ อนฺตมโส ตทหุชาตายปิ มนุสฺสิตฺถิยาฯ ทิสฺสมานรูปา ปน ยกฺขิเปติโย ปณฺฑโก เมถุนวตฺถุภูตา จ ติรจฺฉานิตฺถิโย อิธ ทุกฺกฎวตฺถุกา โหนฺติฯ
Chaṭṭhe mātugāmenāti antamaso tadahujātāyapi manussitthiyā. Dissamānarūpā pana yakkhipetiyo paṇḍako methunavatthubhūtā ca tiracchānitthiyo idha dukkaṭavatthukā honti.
สาวตฺถิยํ อายสฺมนฺตํ อนุรุทฺธเตฺถรํ อารพฺภ มาตุคาเมน สหเสยฺยวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, เสสํ อนนฺตรสิกฺขาปเท วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํ อญฺญตฺร รตฺติปริเจฺฉทา, ตตฺร หิ จตุตฺถทิวเส อาปตฺติ, อิธ ปน ปฐมทิวเสปีติฯ
Sāvatthiyaṃ āyasmantaṃ anuruddhattheraṃ ārabbha mātugāmena sahaseyyavatthusmiṃ paññattaṃ, sesaṃ anantarasikkhāpade vuttanayeneva veditabbaṃ aññatra rattiparicchedā, tatra hi catutthadivase āpatti, idha pana paṭhamadivasepīti.
ทุติยสหเสยฺยสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dutiyasahaseyyasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๗. ธมฺมเทสนาสิกฺขาปทวณฺณนา
7. Dhammadesanāsikkhāpadavaṇṇanā
สตฺตเม อุตฺตริฉปฺปญฺจวาจาหีติเอตฺถ เอโก คาถาปาโท เอกา วาจาติ เอวํ สพฺพตฺถ วาจาปมาณํ เวทิตพฺพํฯ ธมฺมํ เทเสยฺยาติ ปทโสธมฺมสิกฺขาปเท วุตฺตลกฺขณํ ธมฺมํ วา อฎฺฐกถาธมฺมํ วา ภาเสยฺยฯ อญฺญตฺร วิญฺญุนา ปุริสวิคฺคเหนาติ วินา วิญฺญุนา ปุริเสนฯ มนุสฺสวิคฺคหํ คเหตฺวา ฐิเตน ปน ยเกฺขน วา เปเตน วา ติรจฺฉาเนน วา สทฺธิํ ฐิตายปิ ธมฺมํ เทเสตุํ น วฎฺฎติฯ ปาจิตฺติยนฺติ ทุติยานิยเต วุตฺตลกฺขเณน มนุเสฺสน วินา วิญฺญุมนุสฺสิตฺถิยา ฉนฺนํ วาจานํ อุปริ ปทาทิวเสน ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส ปทาทิคณนาย, พหูนํ เทสยโต มาตุคามคณนาย จ ปาจิตฺติยํฯ
Sattame uttarichappañcavācāhītiettha eko gāthāpādo ekā vācāti evaṃ sabbattha vācāpamāṇaṃ veditabbaṃ. Dhammaṃ deseyyāti padasodhammasikkhāpade vuttalakkhaṇaṃ dhammaṃ vā aṭṭhakathādhammaṃ vā bhāseyya. Aññatra viññunā purisaviggahenāti vinā viññunā purisena. Manussaviggahaṃ gahetvā ṭhitena pana yakkhena vā petena vā tiracchānena vā saddhiṃ ṭhitāyapi dhammaṃ desetuṃ na vaṭṭati. Pācittiyanti dutiyāniyate vuttalakkhaṇena manussena vinā viññumanussitthiyā channaṃ vācānaṃ upari padādivasena dhammaṃ desentassa padādigaṇanāya, bahūnaṃ desayato mātugāmagaṇanāya ca pācittiyaṃ.
สาวตฺถิยํ อุทายิเตฺถรํ อารพฺภ มาตุคามสฺส ธมฺมเทสนาวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, ‘‘อญฺญตฺร วิญฺญุนา’’ติ อยเมตฺถ อนุปญฺญตฺติ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํ, อมาตุคาเม มาตุคามสญฺญิโน เวมติกสฺส วา ยกฺขิเปติปณฺฑกมนุสฺสวิคฺคหติรจฺฉานิตฺถีนํ เทเสนฺตสฺส จ ทุกฺกฎํฯ ฉหิ วาจาหิ, ตโต วา โอรํ เทเสนฺตสฺส, วุตฺตลกฺขเณ วา ปุริเส สติ, สยํ วา อุฎฺฐาย, ปุน นิสีทิตฺวา มาตุคามสฺส วา อุฎฺฐหิตฺวา ปุน นิสินฺนสฺส, อญฺญสฺส วา มาตุคามสฺส เทสยโต, ‘‘ทีฆนิกาโย นาม ภเนฺต กิมตฺถิโย’’ติ เอวํ ปน ปุเฎฺฐ สพฺพมฺปิ ทีฆนิกายํ เทเสนฺตสฺส, อญฺญสฺสตฺถาย วุจฺจมานํ มาตุคาเม สุณเนฺต, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ วุตฺตลกฺขณสฺส ธมฺมสฺส ฉนฺนํ วาจานํ อุปริ เทสนา, วุตฺตลกฺขโณ มาตุคาโม, อิริยาปถปริวตฺตาภาโว, กปฺปิยการกสฺสาภาโว, อปญฺหาวิสฺสชฺชนาติ อิมาเนตฺถ ปญฺจ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ ปทโสธมฺมสทิสาเนว, เกวลํ อิธ กิริยากิริยํ โหตีติฯ
Sāvatthiyaṃ udāyittheraṃ ārabbha mātugāmassa dhammadesanāvatthusmiṃ paññattaṃ, ‘‘aññatra viññunā’’ti ayamettha anupaññatti, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ, amātugāme mātugāmasaññino vematikassa vā yakkhipetipaṇḍakamanussaviggahatiracchānitthīnaṃ desentassa ca dukkaṭaṃ. Chahi vācāhi, tato vā oraṃ desentassa, vuttalakkhaṇe vā purise sati, sayaṃ vā uṭṭhāya, puna nisīditvā mātugāmassa vā uṭṭhahitvā puna nisinnassa, aññassa vā mātugāmassa desayato, ‘‘dīghanikāyo nāma bhante kimatthiyo’’ti evaṃ pana puṭṭhe sabbampi dīghanikāyaṃ desentassa, aññassatthāya vuccamānaṃ mātugāme suṇante, ummattakādīnañca anāpatti. Vuttalakkhaṇassa dhammassa channaṃ vācānaṃ upari desanā, vuttalakkhaṇo mātugāmo, iriyāpathaparivattābhāvo, kappiyakārakassābhāvo, apañhāvissajjanāti imānettha pañca aṅgāni. Samuṭṭhānādīni padasodhammasadisāneva, kevalaṃ idha kiriyākiriyaṃ hotīti.
ธมฺมเทสนาสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dhammadesanāsikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๘. ภูตาโรจนสิกฺขาปทวณฺณนา
8. Bhūtārocanasikkhāpadavaṇṇanā
อฎฺฐเม อุตฺตริมนุสฺสธมฺมนฺติ จตุตฺถปาราชิเก วุตฺตลกฺขณํ อุตฺตริมนุสฺสานํ ฌายีนเญฺจว อริยานญฺจ ธมฺมํฯ ภูตสฺมิํ ปาจิตฺติยนฺติ อตฺตนิ ฌานาทิธเมฺม สติ ตํ ภิกฺขุญฺจ ภิกฺขุนิญฺจ ฐเปตฺวา อญฺญสฺส อาโรจยโต ปาจิตฺติยํฯ
Aṭṭhame uttarimanussadhammanti catutthapārājike vuttalakkhaṇaṃ uttarimanussānaṃ jhāyīnañceva ariyānañca dhammaṃ. Bhūtasmiṃ pācittiyanti attani jhānādidhamme sati taṃ bhikkhuñca bhikkhuniñca ṭhapetvā aññassa ārocayato pācittiyaṃ.
เวสาลิยํ วคฺคุมุทาตีริเย ภิกฺขู อารพฺภ เตสํ ภูตาโรจนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ , อนาณตฺติกํ, นิปฺปริยาเยน อตฺตนิ วิชฺชมานํ ฌานาทิธมฺมํ อาโรเจนฺตสฺส สเจ ยสฺส อาโรเจติ, โส อนนฺตรเมว ‘‘อยํ ฌานลาภี’’ติ วา ‘‘อริโย’’ติ วา เยน เกนจิ อากาเรน ตมตฺถํ ชานาติ, ปาจิตฺติยํฯ โน เจ ชานาติ, ทุกฺกฎํฯ ปริยาเยน อาโรจิตํ ปน ชานาตุ วา, มา วา, ทุกฺกฎเมวฯ ตถารูเป การเณ สติ อุปสมฺปนฺนสฺส อาโรจยโต, อาทิกมฺมิกสฺส จ อนาปตฺติฯ ยสฺมา ปน อริยานํ อุมฺมตฺตกาทิภาโว นตฺถิ, ฌานลาภิโน ปน ตสฺมิํ สติ ฌานา ปริหายนฺติ, ตสฺมา เต อิธ น คหิตาฯ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมสฺส ภูตตา, อนุปสมฺปนฺนสฺส อาโรจนํ, ตงฺขณวิชานนา, อนญฺญาปเทโสติ อิมาเนตฺถ จตฺตาริ องฺคานิฯ ภูตาโรจนสมุฎฺฐานํ, กิริยํ, โนสญฺญาวิโมกฺขํ, อจิตฺตกํ, ปณฺณตฺติวชฺชํ, กายกมฺมํ, วจีกมฺมํ, กุสลาพฺยากตจิเตฺตหิ ทฺวิจิตฺตํ, สุขมชฺฌตฺตเวทนาหิ ทฺวิเวทนนฺติฯ
Vesāliyaṃ vaggumudātīriye bhikkhū ārabbha tesaṃ bhūtārocanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti , anāṇattikaṃ, nippariyāyena attani vijjamānaṃ jhānādidhammaṃ ārocentassa sace yassa āroceti, so anantarameva ‘‘ayaṃ jhānalābhī’’ti vā ‘‘ariyo’’ti vā yena kenaci ākārena tamatthaṃ jānāti, pācittiyaṃ. No ce jānāti, dukkaṭaṃ. Pariyāyena ārocitaṃ pana jānātu vā, mā vā, dukkaṭameva. Tathārūpe kāraṇe sati upasampannassa ārocayato, ādikammikassa ca anāpatti. Yasmā pana ariyānaṃ ummattakādibhāvo natthi, jhānalābhino pana tasmiṃ sati jhānā parihāyanti, tasmā te idha na gahitā. Uttarimanussadhammassa bhūtatā, anupasampannassa ārocanaṃ, taṅkhaṇavijānanā, anaññāpadesoti imānettha cattāri aṅgāni. Bhūtārocanasamuṭṭhānaṃ, kiriyaṃ, nosaññāvimokkhaṃ, acittakaṃ, paṇṇattivajjaṃ, kāyakammaṃ, vacīkammaṃ, kusalābyākatacittehi dvicittaṃ, sukhamajjhattavedanāhi dvivedananti.
ภูตาโรจนสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Bhūtārocanasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๙. ทุฎฺฐุลฺลาโรจนสิกฺขาปทวณฺณนา
9. Duṭṭhullārocanasikkhāpadavaṇṇanā
นวเม ภิกฺขุสฺสาติ ปาราชิกํ อนชฺฌาปนฺนสฺสฯ ทุฎฺฐุลฺลนฺติ กิญฺจาปิ ทฺวินฺนํ อาปตฺติกฺขนฺธานเมตํ อธิวจนํ, อิธ ปน สงฺฆาทิเสสเมว อธิเปฺปตํฯ อญฺญตฺร ภิกฺขุสมฺมุติยาติ ยํ สโงฺฆ อภิณฺหาปตฺติกสฺส ภิกฺขุโน อายติํ สํวรตฺถาย อาปตฺตีนญฺจ กุลานญฺจ ปริยนฺตํ กตฺวา วา อกตฺวา วา ติกฺขตฺตุํ อปโลเกตฺวา กติกํ กโรติ, ตํ ฐเปตฺวา, อยถากติกาย ‘‘อยํ อสุจิํ โมเจตฺวา สงฺฆาทิเสสํ อาปโนฺน’’ติอาทินา นเยน วตฺถุนา สทฺธิํ อาปตฺติํ ฆเฎตฺวา อาโรเจนฺตสฺส ปาจิตฺติยํฯ
Navame bhikkhussāti pārājikaṃ anajjhāpannassa. Duṭṭhullanti kiñcāpi dvinnaṃ āpattikkhandhānametaṃ adhivacanaṃ, idha pana saṅghādisesameva adhippetaṃ. Aññatra bhikkhusammutiyāti yaṃ saṅgho abhiṇhāpattikassa bhikkhuno āyatiṃ saṃvaratthāya āpattīnañca kulānañca pariyantaṃ katvā vā akatvā vā tikkhattuṃ apaloketvā katikaṃ karoti, taṃ ṭhapetvā, ayathākatikāya ‘‘ayaṃ asuciṃ mocetvā saṅghādisesaṃ āpanno’’tiādinā nayena vatthunā saddhiṃ āpattiṃ ghaṭetvā ārocentassa pācittiyaṃ.
สาวตฺถิยํ ฉพฺพคฺคิเย ภิกฺขู อารพฺภ ทุฎฺฐุลฺลาปตฺติอาโรจนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, อนาณตฺติกํ, ติกปาจิตฺติยํ , อทุฎฺฐุลฺลาย ทุฎฺฐุลฺลสญฺญิโน เวมติกสฺส วา ทุกฺกฎํ, อวเสเส ฉ อาปตฺติกฺขเนฺธ, อนุปสมฺปนฺนสฺส ปุริมปญฺจสิกฺขาปทวีติกฺกมสงฺขาตํ ทุฎฺฐุลฺลํ วา อิตรํ อทุฎฺฐุลฺลํ วา อชฺฌาจารํ อาโรเจนฺตสฺสาปิ ทุกฺกฎเมวฯ วตฺถุมตฺตํ วา อาปตฺติมตฺตํ วา อาโรเจนฺตสฺส, ภิกฺขุสมฺมุติปริเจฺฉทํ อนติกฺกมิตฺวา อาโรเจนฺตสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ วุตฺตลกฺขณสฺส ภิกฺขุโน สวตฺถุโก สงฺฆาทิเสโส, อนุปสมฺปนฺนสฺส อาโรจนํ, ภิกฺขุสมฺมุติยา อภาโวติ อิมาเนตฺถ ตีณิ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ อทินฺนาทานสทิสานิ, เวทนา ปน อิธ ทุกฺขาเยวาติฯ
Sāvatthiyaṃ chabbaggiye bhikkhū ārabbha duṭṭhullāpattiārocanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, anāṇattikaṃ, tikapācittiyaṃ , aduṭṭhullāya duṭṭhullasaññino vematikassa vā dukkaṭaṃ, avasese cha āpattikkhandhe, anupasampannassa purimapañcasikkhāpadavītikkamasaṅkhātaṃ duṭṭhullaṃ vā itaraṃ aduṭṭhullaṃ vā ajjhācāraṃ ārocentassāpi dukkaṭameva. Vatthumattaṃ vā āpattimattaṃ vā ārocentassa, bhikkhusammutiparicchedaṃ anatikkamitvā ārocentassa, ummattakādīnañca anāpatti. Vuttalakkhaṇassa bhikkhuno savatthuko saṅghādiseso, anupasampannassa ārocanaṃ, bhikkhusammutiyā abhāvoti imānettha tīṇi aṅgāni. Samuṭṭhānādīni adinnādānasadisāni, vedanā pana idha dukkhāyevāti.
ทุฎฺฐุลฺลาโรจนสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Duṭṭhullārocanasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
๑๐. ปถวีขณนสิกฺขาปทวณฺณนา
10. Pathavīkhaṇanasikkhāpadavaṇṇanā
ทสเม ปถวินฺติ ทุวิธา ปถวี ชาตปถวี อชาตปถวีติฯ ตตฺถ ชาตปถวี สุทฺธมิสฺสปุญฺชวเสน ติวิธา, ตตฺถ สุทฺธปถวี นาม ปกติยา สุทฺธปํสุ วา สุทฺธมตฺติกา วาฯ มิสฺสปถวี นาม ยตฺถ ปํสุโต วา มตฺติกาโต วา ปาสาณสกฺขรกถลมรุมฺพวาลุกาสุ อญฺญตรสฺส ตติยภาโค โหติฯ ปุญฺชปถวี นาม ‘‘อติเรกจาตุมาสํ โอวโฎฺฐ ปํสุปุโญฺช วา มตฺติกาปุโญฺช วา’’ติ (ปาจิ. ๘๖) วุตฺตํ, วุตฺตลกฺขเณน ปน มิสฺสกปุโญฺชปิ ปิฎฺฐิปาสาเณ ฐิตสุขุมรชมฺปิ จ เทเว ผุสายเนฺต สกิํ ตินฺตํ จตุมาสจฺจเยน ติโนฺตกาโส ปุญฺชปถวิสงฺขเมว คจฺฉติฯ ติวิธาปิ เจสา ปถวี อุทฺธนปตฺตปจนาทิวเสน วา ยถา ตถา วา อทฑฺฒา ‘ชาตปถวี’ติ วุจฺจติ, ทฑฺฒา ปน วุตฺตปฺปมาณโต อธิกตรปาสาณาทิมิสฺสา วา อชาตปถวี นาม โหติ, โก ปน วาโท สุทฺธปาสาณาทิเภทายฯ ตตฺถ ยา ‘ชาตปถวี’ติ วุตฺตา, อยํ อกปฺปิยปถวีฯ โย ภิกฺขุ ตํ เอวรูปํ ปถวิํ สยํ ขณติ, ขณนเภทนวิเลขนปจนาทีหิ วิโกเปติ, ตสฺส ปโยคคณนาย ปาจิตฺติยํฯ โย ปน ขณาเปติ, วุตฺตนเยเนว วิโกปาเปติ, ตสฺส ‘‘อิมํ ปเทส’’นฺติ วา ‘‘อิมํ ปถวิ’’นฺติ วา เอวํ นิยเมตฺวา ‘‘ขณ, ภินฺทา’’ติอาทินา นเยน อาณาเปนฺตสฺส อาณตฺติยา ทุกฺกฎํ, สกิํ อาณเตฺต ทิวสมฺปิ ขณเนฺต อาณาปกสฺส เอกเมว ปาจิตฺติยํ, สเจ อิตโร ปุนปฺปุนํ อาณาเปติ, วาจาย วาจาย ปาจิตฺติยํฯ
Dasame pathavinti duvidhā pathavī jātapathavī ajātapathavīti. Tattha jātapathavī suddhamissapuñjavasena tividhā, tattha suddhapathavī nāma pakatiyā suddhapaṃsu vā suddhamattikā vā. Missapathavī nāma yattha paṃsuto vā mattikāto vā pāsāṇasakkharakathalamarumbavālukāsu aññatarassa tatiyabhāgo hoti. Puñjapathavī nāma ‘‘atirekacātumāsaṃ ovaṭṭho paṃsupuñjo vā mattikāpuñjo vā’’ti (pāci. 86) vuttaṃ, vuttalakkhaṇena pana missakapuñjopi piṭṭhipāsāṇe ṭhitasukhumarajampi ca deve phusāyante sakiṃ tintaṃ catumāsaccayena tintokāso puñjapathavisaṅkhameva gacchati. Tividhāpi cesā pathavī uddhanapattapacanādivasena vā yathā tathā vā adaḍḍhā ‘jātapathavī’ti vuccati, daḍḍhā pana vuttappamāṇato adhikatarapāsāṇādimissā vā ajātapathavī nāma hoti, ko pana vādo suddhapāsāṇādibhedāya. Tattha yā ‘jātapathavī’ti vuttā, ayaṃ akappiyapathavī. Yo bhikkhu taṃ evarūpaṃ pathaviṃ sayaṃ khaṇati, khaṇanabhedanavilekhanapacanādīhi vikopeti, tassa payogagaṇanāya pācittiyaṃ. Yo pana khaṇāpeti, vuttanayeneva vikopāpeti, tassa ‘‘imaṃ padesa’’nti vā ‘‘imaṃ pathavi’’nti vā evaṃ niyametvā ‘‘khaṇa, bhindā’’tiādinā nayena āṇāpentassa āṇattiyā dukkaṭaṃ, sakiṃ āṇatte divasampi khaṇante āṇāpakassa ekameva pācittiyaṃ, sace itaro punappunaṃ āṇāpeti, vācāya vācāya pācittiyaṃ.
อาฬวิยํ อาฬวเก ภิกฺขู อารพฺภ ปถวิขณนวตฺถุสฺมิํ ปญฺญตฺตํ, สาธารณปญฺญตฺติ, สาณตฺติกํ, ปถวิยา เวมติกสฺส, อปถวิยา ปถวิสญฺญิโน เจว เวมติกสฺส จ ทุกฺกฎํฯ โอกาสํ อนิยเมตฺวา ‘‘โปกฺขรณิํ ขณ, อาวาฎํ ขณ, กนฺทํ ขณา’’ติอาทีนิ ภณนฺตสฺส, อาตเปน สุสฺสิตฺวา ผลิตกทฺทมํ วา โคกณฺฎกํ วา เหฎฺฐา ปถวิยา อสมฺพทฺธํ ภิชฺชิตฺวา ปติตนทิตฎํ วา มหนฺตมฺปิ นงฺคลจฺฉินฺนมตฺติกาปิณฺฑนฺติเอวมาทีนิ สพฺพญฺจ อชาตปถวิํ วิโกเปนฺตสฺส, ‘‘อิมสฺส ถมฺภสฺส อาวาฎํ ชาน , มตฺติกํ เทหิ, มตฺติกํ อาหร, ปํสุนา เม อโตฺถ, มตฺติกํ กปฺปิยํ กโรหี’’ติ ภณนฺตสฺส, อสญฺจิจฺจ รุกฺขาทิปวฎฺฎเนน ภินฺทนฺตสฺส, อสติยา ปาทงฺคุฎฺฐกาทีหิ วิเลขนฺตสฺส, ชาตปถวิภาวํ วา, ‘‘ขณามิ วา อห’’นฺติ อชานนฺตสฺส, อุมฺมตฺตกาทีนญฺจ อนาปตฺติฯ ชาตปถวี, ปถวิสญฺญิตา, ขณนขณาปนานํ อญฺญตรนฺติ อิมาเนตฺถ ตีณิ องฺคานิฯ สมุฎฺฐานาทีนิ อทินฺนาทานสทิสานิ, อิทํ ปน ปณฺณตฺติวชฺชํ, ติจิตฺตํ, ติเวทนนฺติฯ
Āḷaviyaṃ āḷavake bhikkhū ārabbha pathavikhaṇanavatthusmiṃ paññattaṃ, sādhāraṇapaññatti, sāṇattikaṃ, pathaviyā vematikassa, apathaviyā pathavisaññino ceva vematikassa ca dukkaṭaṃ. Okāsaṃ aniyametvā ‘‘pokkharaṇiṃ khaṇa, āvāṭaṃ khaṇa, kandaṃ khaṇā’’tiādīni bhaṇantassa, ātapena sussitvā phalitakaddamaṃ vā gokaṇṭakaṃ vā heṭṭhā pathaviyā asambaddhaṃ bhijjitvā patitanaditaṭaṃ vā mahantampi naṅgalacchinnamattikāpiṇḍantievamādīni sabbañca ajātapathaviṃ vikopentassa, ‘‘imassa thambhassa āvāṭaṃ jāna , mattikaṃ dehi, mattikaṃ āhara, paṃsunā me attho, mattikaṃ kappiyaṃ karohī’’ti bhaṇantassa, asañcicca rukkhādipavaṭṭanena bhindantassa, asatiyā pādaṅguṭṭhakādīhi vilekhantassa, jātapathavibhāvaṃ vā, ‘‘khaṇāmi vā aha’’nti ajānantassa, ummattakādīnañca anāpatti. Jātapathavī, pathavisaññitā, khaṇanakhaṇāpanānaṃ aññataranti imānettha tīṇi aṅgāni. Samuṭṭhānādīni adinnādānasadisāni, idaṃ pana paṇṇattivajjaṃ, ticittaṃ, tivedananti.
ปถวีขณนสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pathavīkhaṇanasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
มุสาวาทวโคฺค ปฐโมฯ
Musāvādavaggo paṭhamo.