Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) |
๓. นคโรปมสุตฺตวณฺณนา
3. Nagaropamasuttavaṇṇanā
๖๗. ตติเย ยโตติ ยทาฯ ปจฺจนฺติมนฺติ รฎฺฐปริยเนฺต รฎฺฐาวสาเน นิวิฎฺฐํฯ มชฺฌิมเทสนครสฺส ปน รกฺขากิจฺจํ นตฺถิ, เตน ตํ น คหิตํฯ นครปริกฺขาเรหิ สุปริกฺขตนฺติ นคราลงฺกาเรหิ อลงฺกตํฯ อกรณียนฺติ อกตฺตพฺพํ อชินิยํฯ คมฺภีรเนมาติ คมฺภีรอาวาฎาฯ สุนิขาตาติ สุฎฺฐุ สนฺนิสีทาปิตาฯ ตํ ปเนตํ เอสิกาถมฺภํ อิฎฺฐกาหิ วา กโรนฺติ สิลาหิ วา ขทิราทีหิ วา สารรุเกฺขหิฯ ตํ นครคุตฺตตฺถาย กโรนฺตา พหินคเร กโรนฺติ, อลงฺการตฺถาย กโรนฺตา อโนฺตนคเรฯ ตํ อิฎฺฐกามยํ กโรนฺตา มหนฺตํ อาวาฎํ กตฺวา จยํ จินิตฺวา อุปริ อฎฺฐํสํ กตฺวา สุธาย ลิมฺปนฺติฯ ยทา หตฺถินา ทเนฺตหิ อภิหโต น จลติ, ตทา สุลิโตฺต นาม โหติฯ สิลาถมฺภาทโยปิ อฎฺฐํสา เอว โหนฺติฯ เต สเจ อฎฺฐ รตนา โหนฺติ, จตุรตนมตฺตํ อาวาเฎ ปวิสติ, จตุรตนมตฺตํ อุปริ โหติฯ โสฬสรตนวีสติรตเนสุปิ เอเสว นโยฯ สเพฺพสญฺหิ อุปฑฺฒํ เหฎฺฐา โหติ, อุปฑฺฒํ อุปริฯ เต โคมุตฺตวงฺกา โหนฺติ, เตน เตสํ อนฺตเร ปทรมยํ กตฺวา กมฺมํ กาตุํ สกฺกา โหติ, เต ปน กตจิตฺตกมฺมา ปคฺคหิตทฺธชาว โหนฺติฯ
67. Tatiye yatoti yadā. Paccantimanti raṭṭhapariyante raṭṭhāvasāne niviṭṭhaṃ. Majjhimadesanagarassa pana rakkhākiccaṃ natthi, tena taṃ na gahitaṃ. Nagaraparikkhārehi suparikkhatanti nagarālaṅkārehi alaṅkataṃ. Akaraṇīyanti akattabbaṃ ajiniyaṃ. Gambhīranemāti gambhīraāvāṭā. Sunikhātāti suṭṭhu sannisīdāpitā. Taṃ panetaṃ esikāthambhaṃ iṭṭhakāhi vā karonti silāhi vā khadirādīhi vā sārarukkhehi. Taṃ nagaraguttatthāya karontā bahinagare karonti, alaṅkāratthāya karontā antonagare. Taṃ iṭṭhakāmayaṃ karontā mahantaṃ āvāṭaṃ katvā cayaṃ cinitvā upari aṭṭhaṃsaṃ katvā sudhāya limpanti. Yadā hatthinā dantehi abhihato na calati, tadā sulitto nāma hoti. Silāthambhādayopi aṭṭhaṃsā eva honti. Te sace aṭṭha ratanā honti, caturatanamattaṃ āvāṭe pavisati, caturatanamattaṃ upari hoti. Soḷasaratanavīsatiratanesupi eseva nayo. Sabbesañhi upaḍḍhaṃ heṭṭhā hoti, upaḍḍhaṃ upari. Te gomuttavaṅkā honti, tena tesaṃ antare padaramayaṃ katvā kammaṃ kātuṃ sakkā hoti, te pana katacittakammā paggahitaddhajāva honti.
ปริขาติ ปริกฺขิปิตฺวา ฐิตมาติกาฯ อนุปริยายปโถติ อโนฺต ปาการสฺส ปากาเรน สทฺธิํ คโต มหาปโถ, ยตฺถ ฐิตา พหิปากาเร ฐิเตหิ สทฺธิํ ยุชฺฌนฺติฯ สลากนฺติ สรโตมราทินิสฺสคฺคิยาวุธํฯ เชวนิกนฺติ เอกโตธาราทิเสสาวุธํฯ
Parikhāti parikkhipitvā ṭhitamātikā. Anupariyāyapathoti anto pākārassa pākārena saddhiṃ gato mahāpatho, yattha ṭhitā bahipākāre ṭhitehi saddhiṃ yujjhanti. Salākanti saratomarādinissaggiyāvudhaṃ. Jevanikanti ekatodhārādisesāvudhaṃ.
หตฺถาโรหาติ สเพฺพปิ หตฺถิอาจริยหตฺถิเวชฺชหตฺถิพนฺธาทโยฯ อสฺสาโรหาติ สเพฺพปิ อสฺสาจริยอสฺสเวชฺชอสฺสพนฺธาทโยฯ รถิกาติ สเพฺพปิ รถาจริยรถโยธรถรกฺขาทโยฯ ธนุคฺคหาติ อิสฺสาสาฯ เจลกาติ เย ยุเทฺธ ชยทฺธชํ คเหตฺวา ปุรโต คจฺฉนฺติฯ จลกาติ ‘‘อิธ รโญฺญ ฐานํ โหตุ, อิธ อสุกมหามตฺตสฺสา’’ติ เอวํ เสนาพฺยูหการกาฯ ปิณฺฑทายิกาติ สาหสิกมหาโยธาฯ เต กิร ปรเสนํ ปวิสิตฺวา ปิณฺฑปิณฺฑมิว เฉตฺวา เฉตฺวา ทยนฺติ, อุปฺปติตฺวา นิคฺคจฺฉนฺตีติ อโตฺถฯ เย วา สงฺคามมเชฺฌ โยธานํ ภตฺตปานียํ คเหตฺวา ปวิสนฺติ, เตสเมฺปตํ นามํฯ อุคฺคา ราชปุตฺตาติ อุคฺคตุคฺคตา สงฺคามาวจรา ราชปุตฺตาฯ ปกฺขนฺทิโนติ เย ‘‘กสฺส สีสํ วา อาวุธํ วา อาหรามา’’ติ วตฺวา ‘‘อสุกสฺสา’’ติ วุตฺตา สงฺคามํ ปกฺขนฺทิตฺวา ตเทว อาหรนฺติ, อิเม ปกฺขนฺทนฺตีติ ปกฺขนฺทิโนฯ มหานาคา วิย มหานาคา, หตฺถิอาทีสุปิ อภิมุขํ อาคจฺฉเนฺตสุ อนิวตฺติยโยธานํ เอตํ อธิวจนํฯ สูราติ เอกสูรา, เย สชาลิกาปิ สวมฺมิกาปิ สมุทฺทํ ตริตุํ สโกฺกนฺติฯ จมฺมโยธิโนติ เย จมฺมกญฺจุกํ วา ปวิสิตฺวา สรปริตฺตาณจมฺมํ วา คเหตฺวา ยุชฺฌนฺติฯ ทาสกปุตฺตาติ พลวสิเนหา ฆรทาสโยธา ฯ โทวาริโกติ ทฺวารปาลโกฯ วาสนเลปนสมฺปโนฺนติ วาสเนน สพฺพวิวรปฎิจฺฉาทเนน สุธาเลเปน สมฺปโนฺนฯ พหิ วา ขาณุปาการสงฺขาเตน วาสเนน ฆนมเฎฺฐน จ สุธาเลเปน สมฺปโนฺน ปุณฺณฆฎปนฺติํ ทเสฺสตฺวา กตจิตฺตกมฺมปคฺคหิตทฺธโชฯ ติณกโฎฺฐทกนฺติ หตฺถิอสฺสาทีนํ ฆาสตฺถาย เคหานญฺจ ฉาทนตฺถาย อาหริตฺวา พหูสุ ฐาเนสุ ฐปิตติณญฺจ, เคหกรณปจนาทีนํ อตฺถาย อาหริตฺวา ฐปิตกฎฺฐญฺจ, ยเนฺตหิ ปเวเสตฺวา โปกฺขรณีสุ ฐปิตอุทกญฺจฯ สนฺนิจิตํ โหตีติ ปฎิกเจฺจว อเนเกสุ ฐาเนสุ สุฎฺฐุ นิจิตํ โหติฯ อพฺภนฺตรานํ รติยาติ อโนฺตนครวาสีนํ รติอตฺถายฯ อปริตสฺสายาติ ตาสํ อนาปชฺชนตฺถายฯ สาลิยวกนฺติ นานปฺปการา สาลิโย เจว ยวา จฯ ติลมุคฺคมาสาปรณฺณนฺติ ติลมุคฺคมาสา จ เสสาปรณฺณญฺจฯ
Hatthārohāti sabbepi hatthiācariyahatthivejjahatthibandhādayo. Assārohāti sabbepi assācariyaassavejjaassabandhādayo. Rathikāti sabbepi rathācariyarathayodharatharakkhādayo. Dhanuggahāti issāsā. Celakāti ye yuddhe jayaddhajaṃ gahetvā purato gacchanti. Calakāti ‘‘idha rañño ṭhānaṃ hotu, idha asukamahāmattassā’’ti evaṃ senābyūhakārakā. Piṇḍadāyikāti sāhasikamahāyodhā. Te kira parasenaṃ pavisitvā piṇḍapiṇḍamiva chetvā chetvā dayanti, uppatitvā niggacchantīti attho. Ye vā saṅgāmamajjhe yodhānaṃ bhattapānīyaṃ gahetvā pavisanti, tesampetaṃ nāmaṃ. Uggā rājaputtāti uggatuggatā saṅgāmāvacarā rājaputtā. Pakkhandinoti ye ‘‘kassa sīsaṃ vā āvudhaṃ vā āharāmā’’ti vatvā ‘‘asukassā’’ti vuttā saṅgāmaṃ pakkhanditvā tadeva āharanti, ime pakkhandantīti pakkhandino. Mahānāgā viya mahānāgā, hatthiādīsupi abhimukhaṃ āgacchantesu anivattiyayodhānaṃ etaṃ adhivacanaṃ. Sūrāti ekasūrā, ye sajālikāpi savammikāpi samuddaṃ tarituṃ sakkonti. Cammayodhinoti ye cammakañcukaṃ vā pavisitvā saraparittāṇacammaṃ vā gahetvā yujjhanti. Dāsakaputtāti balavasinehā gharadāsayodhā . Dovārikoti dvārapālako. Vāsanalepanasampannoti vāsanena sabbavivarapaṭicchādanena sudhālepena sampanno. Bahi vā khāṇupākārasaṅkhātena vāsanena ghanamaṭṭhena ca sudhālepena sampanno puṇṇaghaṭapantiṃ dassetvā katacittakammapaggahitaddhajo. Tiṇakaṭṭhodakanti hatthiassādīnaṃ ghāsatthāya gehānañca chādanatthāya āharitvā bahūsu ṭhānesu ṭhapitatiṇañca, gehakaraṇapacanādīnaṃ atthāya āharitvā ṭhapitakaṭṭhañca, yantehi pavesetvā pokkharaṇīsu ṭhapitaudakañca. Sannicitaṃ hotīti paṭikacceva anekesu ṭhānesu suṭṭhu nicitaṃ hoti. Abbhantarānaṃ ratiyāti antonagaravāsīnaṃ ratiatthāya. Aparitassāyāti tāsaṃ anāpajjanatthāya. Sāliyavakanti nānappakārā sāliyo ceva yavā ca. Tilamuggamāsāparaṇṇanti tilamuggamāsā ca sesāparaṇṇañca.
อิทานิ ยสฺมา ตถาคตสฺส นคเร กมฺมํ นาม นตฺถิ , นครสทิสํ ปน อริยสาวกํ, นครปริกฺขารสทิเส จ สตฺต ธเมฺม, จตุอาหารสทิสานิ จ จตฺตาริ ฌานานิ ทเสฺสตฺวา เอกาทสสุ ฐาเนสุ อรหตฺตํ ปกฺขิปิตฺวา เทสนํ วินิวเฎฺฎสฺสามีติ อยํ อุปมา อาภตาฯ ตสฺมา ตํ เทสนํ ปกาเสตุํ อิทํ เอวเมว โขติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ สทฺธเมฺมหีติ สุธเมฺมหิฯ สโทฺธติ โอกปฺปนสทฺธาย เจว ปจฺจกฺขสทฺธาย จ สมนฺนาคโตฯ ตตฺถ ทานสีลาทีนํ ผลํ สทฺทหิตฺวา ทานาทิปุญฺญกรเณ สทฺธา โอกปฺปนสทฺธา นามฯ มเคฺคน อาคตสทฺธา ปจฺจกฺขสทฺธา นามฯ ปสาทสทฺธาติปิ เอสา เอวฯ ตสฺสา ลกฺขณาทีหิ วิภาโค เวทิตโพฺพฯ
Idāni yasmā tathāgatassa nagare kammaṃ nāma natthi , nagarasadisaṃ pana ariyasāvakaṃ, nagaraparikkhārasadise ca satta dhamme, catuāhārasadisāni ca cattāri jhānāni dassetvā ekādasasu ṭhānesu arahattaṃ pakkhipitvā desanaṃ vinivaṭṭessāmīti ayaṃ upamā ābhatā. Tasmā taṃ desanaṃ pakāsetuṃ idaṃ evameva khotiādi āraddhaṃ. Tattha saddhammehīti sudhammehi. Saddhoti okappanasaddhāya ceva paccakkhasaddhāya ca samannāgato. Tattha dānasīlādīnaṃ phalaṃ saddahitvā dānādipuññakaraṇe saddhā okappanasaddhā nāma. Maggena āgatasaddhā paccakkhasaddhā nāma. Pasādasaddhātipi esā eva. Tassā lakkhaṇādīhi vibhāgo veditabbo.
‘‘สมฺปกฺขนฺทนลกฺขณา จ, มหาราช, สทฺธา สมฺปสาทนลกฺขณา จา’’ติ (มิ. ป. ๒.๑.๑๐) หิ วจนโต อิทํ สทฺธาย ลกฺขณํ นามฯ ‘‘ตีหิ, ภิกฺขเว, ฐาเนหิ สโทฺธ ปสโนฺน เวทิตโพฺพฯ กตเมหิ ตีหิ? สีลวนฺตานํ ทสฺสนกาโม โหตี’’ติอาทินา (อ. นิ. ๓.๔๒) นเยน วุตฺตํ ปน สทฺธาย นิมิตฺตํ นามฯ ‘‘โก จาหาโร สทฺธาย, สทฺธมฺมสฺสวนนฺติสฺส วจนีย’’นฺติ (อ. นิ. ๑๐.๖๑) อยํ ปนสฺสา อาหาโร นามฯ ‘‘สทฺธาปพฺพชิตสฺส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน อยํ อนุธโมฺม โหติ, ยํ รูเป นิพฺพิทาพหุโล วิหริสฺสตี’’ติ อยมสฺส อนุธโมฺม นามฯ ‘‘สทฺธา พนฺธติ ปาเถยฺยํ, สิรี โภคานมาสโย’’ (สํ. นิ. ๑.๗๙)ฯ ‘‘สทฺธา ทุติยา ปุริสสฺส โหติ’’ (สํ. นิ. ๑.๓๖)ฯ ‘‘สทฺธาย ตรติ โอฆํ’’ (สํ. นิ. ๑.๒๔๖)ฯ ‘‘สทฺธา พีชํ ตโป วุฎฺฐิ’’ (สุ. นิ. ๗๗; สํ. นิ. ๑.๑๙๗)ฯ ‘‘สทฺธาหโตฺถ มหานาโคฯ อุเปขาเสตทนฺตวา’’ติอาทีสุ ปน สุเตฺตสุ เอติสฺสา พทฺธภตฺตปุฎาทิสริกฺขตาย อเนกสรสตา ภควตา ปกาสิตาฯ อิมสฺมิํ ปน นคโรปมสุตฺตเนฺต เอสา อจลสุปฺปติฎฺฐิตตาย เอสิกาถมฺภสทิสา กตฺวา ทสฺสิตาฯ
‘‘Sampakkhandanalakkhaṇā ca, mahārāja, saddhā sampasādanalakkhaṇā cā’’ti (mi. pa. 2.1.10) hi vacanato idaṃ saddhāya lakkhaṇaṃ nāma. ‘‘Tīhi, bhikkhave, ṭhānehi saddho pasanno veditabbo. Katamehi tīhi? Sīlavantānaṃ dassanakāmo hotī’’tiādinā (a. ni. 3.42) nayena vuttaṃ pana saddhāya nimittaṃ nāma. ‘‘Ko cāhāro saddhāya, saddhammassavanantissa vacanīya’’nti (a. ni. 10.61) ayaṃ panassā āhāro nāma. ‘‘Saddhāpabbajitassa, bhikkhave, bhikkhuno ayaṃ anudhammo hoti, yaṃ rūpe nibbidābahulo viharissatī’’ti ayamassa anudhammo nāma. ‘‘Saddhā bandhati pātheyyaṃ, sirī bhogānamāsayo’’ (saṃ. ni. 1.79). ‘‘Saddhā dutiyā purisassa hoti’’ (saṃ. ni. 1.36). ‘‘Saddhāya tarati oghaṃ’’ (saṃ. ni. 1.246). ‘‘Saddhā bījaṃ tapo vuṭṭhi’’ (su. ni. 77; saṃ. ni. 1.197). ‘‘Saddhāhattho mahānāgo. Upekhāsetadantavā’’tiādīsu pana suttesu etissā baddhabhattapuṭādisarikkhatāya anekasarasatā bhagavatā pakāsitā. Imasmiṃ pana nagaropamasuttante esā acalasuppatiṭṭhitatāya esikāthambhasadisā katvā dassitā.
สเทฺธสิโกติ สทฺธํ เอสิกาถมฺภํ กตฺวา อริยสาวโก อกุสลํ ปชหตีติ อิมินา นเยน สพฺพปเทสุ โยชนา กาตพฺพาฯ อปิเจตฺถ หิโรตฺตเปฺปหิ ตีสุ ทฺวาเรสุ สํวโร สมฺปชฺชติ, โส จตุปาริสุทฺธิสีลํ โหติ ฯ อิติ อิมสฺมิํ สุเตฺต เอกาทสสุ ฐาเนสุ อรหตฺตํ ปกฺขิปิตฺวา เทสนาย กูฎํ คหิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Saddhesikoti saddhaṃ esikāthambhaṃ katvā ariyasāvako akusalaṃ pajahatīti iminā nayena sabbapadesu yojanā kātabbā. Apicettha hirottappehi tīsu dvāresu saṃvaro sampajjati, so catupārisuddhisīlaṃ hoti . Iti imasmiṃ sutte ekādasasu ṭhānesu arahattaṃ pakkhipitvā desanāya kūṭaṃ gahitanti veditabbaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๓. นคโรปมสุตฺตํ • 3. Nagaropamasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๓. นคโรปมสุตฺตวณฺณนา • 3. Nagaropamasuttavaṇṇanā