Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๙] ๙. นกฺขตฺตชาตกวณฺณนา

    [49] 9. Nakkhattajātakavaṇṇanā

    นกฺขตฺตํ ปติมาเนนฺตนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อญฺญตรํ อาชีวกํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถิยํ กิเรกํ กุลธีตรํ ชนปเท เอโก กุลปุโตฺต อตฺตโน ปุตฺตสฺส วาเรตฺวา ‘‘อสุกทิวเส นาม คณฺหิสฺสามี’’ติ ทิวสํ ฐเปตฺวา ตสฺมิํ ทิวเส สมฺปเตฺต อตฺตโน กุลูปกํ อาชีวกํ ปุจฺฉิ ‘‘ภเนฺต, อชฺช มยํ เอกํ มงฺคลํ กริสฺสาม, โสภนํ นุ โข นกฺขตฺต’’นฺติฯ โส ‘‘อยํ มํ ปฐมํ อปุจฺฉิตฺวาว ทิวสํ ฐเปตฺวา อิทานิ ปฎิปุจฺฉติ, โหตุ, สิกฺขาเปสฺสามิ น’’นฺติ กุชฺฌิตฺวา ‘‘อชฺช อโสภนํ นกฺขตฺตํ, มา อชฺช มงฺคลํ กริตฺถ, สเจ กริสฺสถ, มหาวินาโส ภวิสฺสตี’’ติ อาหฯ ตสฺมิํ กุเล มนุสฺสา ตสฺส สทฺทหิตฺวา ตํ ทิวสํ น คจฺฉิํสุฯ นครวาสิโน สพฺพํ มงฺคลกิริยํ กตฺวา เตสํ อนาคมนํ ทิสฺวา ‘‘เตหิ อชฺช ทิวโส ฐปิโต, โน จ โข อาคตา, อมฺหากมฺปิ พหุ วยกมฺมํ กตํ, กิํ โน เตหิ, อมฺหากํ ธีตรํ อญฺญสฺส ทสฺสามา’’ติ ยถากเตเนว มงฺคเลน ธีตรํ อญฺญสฺส กุลสฺส อทํสุฯ

    Nakkhattaṃpatimānentanti idaṃ satthā jetavane viharanto aññataraṃ ājīvakaṃ ārabbha kathesi. Sāvatthiyaṃ kirekaṃ kuladhītaraṃ janapade eko kulaputto attano puttassa vāretvā ‘‘asukadivase nāma gaṇhissāmī’’ti divasaṃ ṭhapetvā tasmiṃ divase sampatte attano kulūpakaṃ ājīvakaṃ pucchi ‘‘bhante, ajja mayaṃ ekaṃ maṅgalaṃ karissāma, sobhanaṃ nu kho nakkhatta’’nti. So ‘‘ayaṃ maṃ paṭhamaṃ apucchitvāva divasaṃ ṭhapetvā idāni paṭipucchati, hotu, sikkhāpessāmi na’’nti kujjhitvā ‘‘ajja asobhanaṃ nakkhattaṃ, mā ajja maṅgalaṃ karittha, sace karissatha, mahāvināso bhavissatī’’ti āha. Tasmiṃ kule manussā tassa saddahitvā taṃ divasaṃ na gacchiṃsu. Nagaravāsino sabbaṃ maṅgalakiriyaṃ katvā tesaṃ anāgamanaṃ disvā ‘‘tehi ajja divaso ṭhapito, no ca kho āgatā, amhākampi bahu vayakammaṃ kataṃ, kiṃ no tehi, amhākaṃ dhītaraṃ aññassa dassāmā’’ti yathākateneva maṅgalena dhītaraṃ aññassa kulassa adaṃsu.

    อิตเร ปุนทิวเส อาคนฺตฺวา ‘‘เทถ โน ทาริก’’นฺติ อาหํสุฯ อถ เน สาวตฺถิวาสิโน ‘‘ชนปทวาสิโน นาม ตุเมฺห คหปติกา ปาปมนุสฺสา ทิวสํ ฐเปตฺวา อวญฺญาย น อาคตา, อาคตมเคฺคเนว ปฎิคจฺฉถ , อเมฺหหิ อเญฺญสํ ทาริกา ทินฺนา’’ติ ปริภาสิํสุฯ เต เตหิ สทฺธิํ กลหํ กตฺวา ทาริกํ อลภิตฺวา ยถาคตมเคฺคเนว คตาฯ เตนปิ อาชีวเกน เตสํ มนุสฺสานํ มงฺคลนฺตรายสฺส กตภาโว ภิกฺขูนํ อนฺตเร ปากโฎ ชาโตฯ เต ภิกฺขู ธมฺมสภายํ สนฺนิปติตา ‘‘อาวุโส, อาชีวเกน กุลสฺส มงฺคลนฺตราโย กโต’’ติ กถยมานา นิสีทิํสุฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิฯ เต ‘‘อิมาย นามา’’ติ กถยิํสุฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว อาชีวโก ตสฺส กุลสฺส มงฺคลนฺตรายํ กโรติ, ปุเพฺพปิ เอส เตสํ กุชฺฌิตฺวา มงฺคลนฺตรายํ อกาสิเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Itare punadivase āgantvā ‘‘detha no dārika’’nti āhaṃsu. Atha ne sāvatthivāsino ‘‘janapadavāsino nāma tumhe gahapatikā pāpamanussā divasaṃ ṭhapetvā avaññāya na āgatā, āgatamaggeneva paṭigacchatha , amhehi aññesaṃ dārikā dinnā’’ti paribhāsiṃsu. Te tehi saddhiṃ kalahaṃ katvā dārikaṃ alabhitvā yathāgatamaggeneva gatā. Tenapi ājīvakena tesaṃ manussānaṃ maṅgalantarāyassa katabhāvo bhikkhūnaṃ antare pākaṭo jāto. Te bhikkhū dhammasabhāyaṃ sannipatitā ‘‘āvuso, ājīvakena kulassa maṅgalantarāyo kato’’ti kathayamānā nisīdiṃsu. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchi. Te ‘‘imāya nāmā’’ti kathayiṃsu. ‘‘Na, bhikkhave, idāneva ājīvako tassa kulassa maṅgalantarāyaṃ karoti, pubbepi esa tesaṃ kujjhitvā maṅgalantarāyaṃ akāsiyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต นครวาสิโน ชนปทวาสีนํ ธีตรํ วาเรตฺวา ทิวสํ ฐเปตฺวา อตฺตโน กุลูปกํ อาชีวกํ ปุจฺฉิํสุ ‘‘ภเนฺต, อชฺช อมฺหากํ เอกา มงฺคลกิริยา, โสภนํ นุ โข นกฺขตฺต’’นฺติฯ โส ‘‘อิเม อตฺตโน รุจิยา ทิวสํ ฐเปตฺวา อิทานิ มํ ปุจฺฉนฺตี’’ติ กุชฺฌิตฺวา ‘‘อชฺช เนสํ มงฺคลนฺตรายํ กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘อชฺช อโสภนํ นกฺขตฺตํ, สเจ กโรถ, มหาวินาสํ ปาปุณิสฺสถา’’ติ อาหฯ เต ตสฺส สทฺทหิตฺวา น คมิํสุฯ ชนปทวาสิโน เตสํ อนาคมนํ ญตฺวา ‘‘เต อชฺช ทิวสํ ฐเปตฺวาปิ น อาคตา, กิํ โน เตหิ, อเญฺญสํ ธีตรํ ทสฺสามา’’ติ อเญฺญสํ ธีตรํ อทํสุฯ นครวาสิโน ปุนทิวเส อาคนฺตฺวา ทาริกํ ยาจิํสุฯ ชนปทวาสิโน ‘‘ตุเมฺห นครวาสิโน นาม ฉินฺนหิริกา คหปติกา, ทิวสํ ฐเปตฺวา ทาริกํ น คณฺหิตฺถ, มยํ ตุมฺหากํ อนาคมนภาเวน อเญฺญสํ อทมฺหา’’ติฯ มยํ อาชีวกํ ปฎิปุจฺฉิตฺวา ‘‘‘นกฺขตฺตํ น โสภน’นฺติ นาคตา, เทถ โน ทาริก’’นฺติฯ ‘‘อเมฺหหิ ตุมฺหากํ อนาคมนภาเวน อเญฺญสํ ทินฺนา, อิทานิ ทินฺนทาริกํ กถํ ปุน อาเนสฺสามา’’ติฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente nagaravāsino janapadavāsīnaṃ dhītaraṃ vāretvā divasaṃ ṭhapetvā attano kulūpakaṃ ājīvakaṃ pucchiṃsu ‘‘bhante, ajja amhākaṃ ekā maṅgalakiriyā, sobhanaṃ nu kho nakkhatta’’nti. So ‘‘ime attano ruciyā divasaṃ ṭhapetvā idāni maṃ pucchantī’’ti kujjhitvā ‘‘ajja nesaṃ maṅgalantarāyaṃ karissāmī’’ti cintetvā ‘‘ajja asobhanaṃ nakkhattaṃ, sace karotha, mahāvināsaṃ pāpuṇissathā’’ti āha. Te tassa saddahitvā na gamiṃsu. Janapadavāsino tesaṃ anāgamanaṃ ñatvā ‘‘te ajja divasaṃ ṭhapetvāpi na āgatā, kiṃ no tehi, aññesaṃ dhītaraṃ dassāmā’’ti aññesaṃ dhītaraṃ adaṃsu. Nagaravāsino punadivase āgantvā dārikaṃ yāciṃsu. Janapadavāsino ‘‘tumhe nagaravāsino nāma chinnahirikā gahapatikā, divasaṃ ṭhapetvā dārikaṃ na gaṇhittha, mayaṃ tumhākaṃ anāgamanabhāvena aññesaṃ adamhā’’ti. Mayaṃ ājīvakaṃ paṭipucchitvā ‘‘‘nakkhattaṃ na sobhana’nti nāgatā, detha no dārika’’nti. ‘‘Amhehi tumhākaṃ anāgamanabhāvena aññesaṃ dinnā, idāni dinnadārikaṃ kathaṃ puna ānessāmā’’ti.

    เอวํ เตสุ อญฺญมญฺญํ กลหํ กโรเนฺตสุ เอโก นครวาสี ปณฺฑิตปุริโส เอเกน กเมฺมน ชนปทํ คโต เตสํ นครวาสีนํ ‘‘มยํ อาชีวกํ ปุจฺฉิตฺวา นกฺขตฺตสฺส อโสภนภาเวน นาคตา’’ติ กเถนฺตานํ สุตฺวา ‘‘นกฺขเตฺตน โก อโตฺถ, นนุ ทาริกาย ลทฺธภาโวว นกฺขตฺต’’นฺติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Evaṃ tesu aññamaññaṃ kalahaṃ karontesu eko nagaravāsī paṇḍitapuriso ekena kammena janapadaṃ gato tesaṃ nagaravāsīnaṃ ‘‘mayaṃ ājīvakaṃ pucchitvā nakkhattassa asobhanabhāvena nāgatā’’ti kathentānaṃ sutvā ‘‘nakkhattena ko attho, nanu dārikāya laddhabhāvova nakkhatta’’nti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ๔๙.

    49.

    ‘‘นกฺขตฺตํ ปติมาเนนฺตํ, อโตฺถ พาลํ อุปจฺจคา;

    ‘‘Nakkhattaṃ patimānentaṃ, attho bālaṃ upaccagā;

    อโตฺถ อตฺถสฺส นกฺขตฺตํ, กิํ กริสฺสนฺติ ตารกา’’ติฯ

    Attho atthassa nakkhattaṃ, kiṃ karissanti tārakā’’ti.

    ตตฺถ ปติมาเนนฺตนฺติ โอโลเกนฺตํ, ‘‘อิทานิ นกฺขตฺตํ ภวิสฺสติ, อิทานิ นกฺขตฺตํ ภวิสฺสตี’’ติ อาคมยมานํฯ อโตฺถ พาลํ อุปจฺจคาติ เอตํ นครวาสิกํ พาลํ ทาริกาปฎิลาภสงฺขาโต อโตฺถ อติกฺกโนฺตฯ อโตฺถ อตฺถสฺส นกฺขตฺตนฺติ ยํ อตฺถํ ปริเยสโนฺต จรติ, โส ปฎิลโทฺธ อโตฺถว อตฺถสฺส นกฺขตฺตํ นามฯ กิํ กริสฺสนฺติ ตารกาติ อิตเร ปน อากาเส ตารกา กิํ กริสฺสนฺติ, กตรํ อตฺถํ สาเธสฺสนฺตีติ อโตฺถฯ นครวาสิโน กลหํ กตฺวา ทาริกํ อลภิตฺวาว อคมํสุฯ

    Tattha patimānentanti olokentaṃ, ‘‘idāni nakkhattaṃ bhavissati, idāni nakkhattaṃ bhavissatī’’ti āgamayamānaṃ. Attho bālaṃ upaccagāti etaṃ nagaravāsikaṃ bālaṃ dārikāpaṭilābhasaṅkhāto attho atikkanto. Attho atthassa nakkhattanti yaṃ atthaṃ pariyesanto carati, so paṭiladdho atthova atthassa nakkhattaṃ nāma. Kiṃ karissanti tārakāti itare pana ākāse tārakā kiṃ karissanti, kataraṃ atthaṃ sādhessantīti attho. Nagaravāsino kalahaṃ katvā dārikaṃ alabhitvāva agamaṃsu.

    สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, เอส อาชีวโก อิทาเนว กุลสฺส มงฺคลนฺตรายํ กโรติ, ปุเพฺพปิ อกาสิเยวา’’ติ อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา อาชีวโก เอตรหิ อาชีวโกว อโหสิ, ตานิปิ กุลานิ เอตรหิ กุลานิเยว, คาถํ วตฺวา ฐิโต ปณฺฑิตปุริโส ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā ‘‘na, bhikkhave, esa ājīvako idāneva kulassa maṅgalantarāyaṃ karoti, pubbepi akāsiyevā’’ti imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā ājīvako etarahi ājīvakova ahosi, tānipi kulāni etarahi kulāniyeva, gāthaṃ vatvā ṭhito paṇḍitapuriso pana ahameva ahosi’’nti.

    นกฺขตฺตชาตกวณฺณนา นวมาฯ

    Nakkhattajātakavaṇṇanā navamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๙. นกฺขตฺตชาตกํ • 49. Nakkhattajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact