Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๑๖๕] ๕. นกุลชาตกวณฺณนา

    [165] 5. Nakulajātakavaṇṇanā

    สทฺธิํ กตฺวา อมิเตฺตนาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เสณิภณฺฑนํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ เหฎฺฐา อุรคชาตเก (ชา. ๑.๒.๗-๘) กถิตสทิสเมวฯ อิธาปิ สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิเม เทฺว มหามตฺตา อิทาเนว มยา สมคฺคา กตา, ปุเพฺพปาหํ อิเม สมเคฺค อกาสิํเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Saddhiṃ katvā amittenāti idaṃ satthā jetavane viharanto seṇibhaṇḍanaṃ ārabbha kathesi. Vatthu heṭṭhā uragajātake (jā. 1.2.7-8) kathitasadisameva. Idhāpi satthā ‘‘na, bhikkhave, ime dve mahāmattā idāneva mayā samaggā katā, pubbepāhaṃ ime samagge akāsiṃyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต เอกสฺมิํ คามเก พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคเหตฺวา ฆราวาสํ ปหาย อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา อุญฺฉาจริยาย วนมูลผลาหาโร หิมวนฺตปเทเส วาสํ กเปฺปสิฯ ตสฺส จงฺกมนโกฎิยํ เอกสฺมิํ วมฺมิเก นกุโล, ตเสฺสว สนฺติเก เอกสฺมิํ รุกฺขพิเล สโปฺป จ วาสํ กเปฺปสิฯ เต อุโภปิ อหินกุลา นิจฺจกาลํ กลหํ กโรนฺติฯ โพธิสโตฺต เตสํ กลเห อาทีนวญฺจ เมตฺตาภาวนาย จ อานิสํสํ กเถตฺวา ‘‘กลหํ นาม อกตฺวา สมคฺควาสํ วสิตุํ วฎฺฎตี’’ติ โอวทิตฺวา อุโภปิ เต สมเคฺค อกาสิฯ อถ สปฺปสฺส พหินิกฺขนฺตกาเล นกุโล จงฺกมนโกฎิยํ วมฺมิกสฺส พิลทฺวาเร สีสํ นีหริตฺวา มุขํ วิวริตฺวา นิปโนฺน อสฺสสโนฺต ปสฺสสโนฺต นิทฺทํ อุปคญฺฉิฯ โพธิสโตฺต ตํ ตถา นิทฺทายมานํ ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข เต นิสฺสาย ภยํ อุปฺปนฺน’’นฺติ ปุจฺฉโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto ekasmiṃ gāmake brāhmaṇakule nibbattitvā vayappatto takkasilāyaṃ sabbasippāni uggahetvā gharāvāsaṃ pahāya isipabbajjaṃ pabbajitvā abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā uñchācariyāya vanamūlaphalāhāro himavantapadese vāsaṃ kappesi. Tassa caṅkamanakoṭiyaṃ ekasmiṃ vammike nakulo, tasseva santike ekasmiṃ rukkhabile sappo ca vāsaṃ kappesi. Te ubhopi ahinakulā niccakālaṃ kalahaṃ karonti. Bodhisatto tesaṃ kalahe ādīnavañca mettābhāvanāya ca ānisaṃsaṃ kathetvā ‘‘kalahaṃ nāma akatvā samaggavāsaṃ vasituṃ vaṭṭatī’’ti ovaditvā ubhopi te samagge akāsi. Atha sappassa bahinikkhantakāle nakulo caṅkamanakoṭiyaṃ vammikassa biladvāre sīsaṃ nīharitvā mukhaṃ vivaritvā nipanno assasanto passasanto niddaṃ upagañchi. Bodhisatto taṃ tathā niddāyamānaṃ disvā ‘‘kiṃ nu kho te nissāya bhayaṃ uppanna’’nti pucchanto paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๒๙.

    29.

    ‘‘สนฺธิํ กตฺวา อมิเตฺตน, อณฺฑเชน ชลาพุช;

    ‘‘Sandhiṃ katvā amittena, aṇḍajena jalābuja;

    วิวริย ทาฐํ เสสิ, กุโต เต ภยมาคต’’นฺติฯ

    Vivariya dāṭhaṃ sesi, kuto te bhayamāgata’’nti.

    ตตฺถ สนฺธิํ กตฺวาติ มิตฺตภาวํ กริตฺวาฯ อณฺฑเชนาติ อณฺฑโกเส นิพฺพเตฺตน นาเคนฯ ชลาพุชาติ นกุลํ อาลปติฯ โส หิ ชลาพุมฺหิ ชาตตฺตา ‘‘ชลาพุโช’’ติ วุจฺจติฯ วิวริยาติ วิวริตฺวาฯ

    Tattha sandhiṃ katvāti mittabhāvaṃ karitvā. Aṇḍajenāti aṇḍakose nibbattena nāgena. Jalābujāti nakulaṃ ālapati. So hi jalābumhi jātattā ‘‘jalābujo’’ti vuccati. Vivariyāti vivaritvā.

    เอวํ โพธิสเตฺตน วุโตฺต นกุโล ‘‘อยฺย, ปจฺจามิโตฺต นาม น อวชานิตโพฺพ อาสงฺกิตโพฺพเยวา’’ติ วตฺวา ทุติยํ คาถมาห –

    Evaṃ bodhisattena vutto nakulo ‘‘ayya, paccāmitto nāma na avajānitabbo āsaṅkitabboyevā’’ti vatvā dutiyaṃ gāthamāha –

    ๓๐.

    30.

    ‘‘สเงฺกเถว อมิตฺตสฺมิํ, มิตฺตสฺมิมฺปิ น วิสฺสเส;

    ‘‘Saṅketheva amittasmiṃ, mittasmimpi na vissase;

    อภยา ภยมุปฺปนฺนํ, อปิ มูลานิ กนฺตตี’’ติฯ

    Abhayā bhayamuppannaṃ, api mūlāni kantatī’’ti.

    ตตฺถ อภยา ภยมุปฺปนฺนนฺติ น อิโต เต ภยมุปฺปนฺนนฺติ อภโย, โก โส? มิโตฺตฯ ยญฺหิ มิตฺตสฺมิมฺปิ วิสฺสาเส สติ ตโต ภยํ อุปฺปชฺชติ, ตํ มูลานิปิ กนฺตติ, มิตฺตสฺส สพฺพรนฺธานํ วิทิตตฺตา มูลฆจฺจาย สํวตฺตตีติ อโตฺถฯ

    Tattha abhayā bhayamuppannanti na ito te bhayamuppannanti abhayo, ko so? Mitto. Yañhi mittasmimpi vissāse sati tato bhayaṃ uppajjati, taṃ mūlānipi kantati, mittassa sabbarandhānaṃ viditattā mūlaghaccāya saṃvattatīti attho.

    อถ นํ โพธิสโตฺต ‘‘มา ภายิ, ยถา สโปฺป ตยิ น ทุพฺภติ, เอวมหํ กริสฺสามิ, ตฺวํ อิโต ปฎฺฐาย ตสฺมิํ อาสงฺกํ มา กรี’’ติ โอวทิตฺวา จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ เตปิ ยถากมฺมํ คตาฯ

    Atha naṃ bodhisatto ‘‘mā bhāyi, yathā sappo tayi na dubbhati, evamahaṃ karissāmi, tvaṃ ito paṭṭhāya tasmiṃ āsaṅkaṃ mā karī’’ti ovaditvā cattāro brahmavihāre bhāvetvā brahmalokaparāyaṇo ahosi. Tepi yathākammaṃ gatā.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา สโปฺป จ นกุโล จ อิเม เทฺว มหามตฺตา อเหสุํ, ตาปโส ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā sappo ca nakulo ca ime dve mahāmattā ahesuṃ, tāpaso pana ahameva ahosi’’nti.

    นกุลชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ

    Nakulajātakavaṇṇanā pañcamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๖๕. นกุลชาตกํ • 165. Nakulajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact