Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā)

    ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa

    สํยุตฺตนิกาเย

    Saṃyuttanikāye

    ขนฺธวคฺคฎีกา

    Khandhavaggaṭīkā

    ๑. ขนฺธสํยุตฺตํ

    1. Khandhasaṃyuttaṃ

    ๑. นกุลปิตุวโคฺค

    1. Nakulapituvaggo

    ๑. นกุลปิตุสุตฺตวณฺณนา

    1. Nakulapitusuttavaṇṇanā

    . ภคฺคา นาม ชานปทิโน ราชกุมาราฯ เตสํ นิวาโส เอโกปิ ชนปโท รุฬฺหีวเสน ‘‘ภคฺคา’’เตฺวว วุจฺจตีติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘เอวํนามเก ชนปเท’’ติ, เอวํ พหุวจนวเสน ลทฺธนาเม’’ติ อโตฺถฯ ตสฺมิํ วนสเณฺฑติ โย ปน วนสโณฺฑ ปุเพฺพ มิคานํ อภยตฺถาย ทิโนฺน, ตสฺมิํ วนสเณฺฑฯ ยสฺมา โส คหปติ ตสฺมิํ นคเร ‘‘นกุลปิตา’’ติ ปุตฺตสฺส วเสน ปญฺญายิตฺถ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘นกุลปิตา’’ติ นกุลสฺส นาม ทารกสฺส ปิตาติ อโตฺถฯ ภริยาปิสฺส ‘‘นกุลมาตา’’ติ ปญฺญายิตฺถฯ

    1. Bhaggā nāma jānapadino rājakumārā. Tesaṃ nivāso ekopi janapado ruḷhīvasena ‘‘bhaggā’’tveva vuccatīti katvā vuttaṃ ‘‘evaṃnāmake janapade’’ti, evaṃ bahuvacanavasena laddhanāme’’ti attho. Tasmiṃ vanasaṇḍeti yo pana vanasaṇḍo pubbe migānaṃ abhayatthāya dinno, tasmiṃ vanasaṇḍe. Yasmā so gahapati tasmiṃ nagare ‘‘nakulapitā’’ti puttassa vasena paññāyittha, tasmā vuttaṃ ‘‘nakulapitā’’ti nakulassa nāma dārakassa pitāti attho. Bhariyāpissa ‘‘nakulamātā’’ti paññāyittha.

    ชราชิโณฺณติ ชราวเสน ชิโณฺณ, น พฺยาธิอาทีนํ วเสน ชิโณฺณฯ วโยวุโฑฺฒติ ชิณฺณตฺตา เอว วโยวุฑฺฒิปฺปตฺติยา วุโฑฺฒ, น สีลาทิวุฑฺฒิยาฯ ชาติยา มหนฺตตาย จิรรตฺตตาย ชาติมหลฺลโกฯ ติยทฺธคโตติ ปฐโม มชฺฌิโม ปจฺฉิโมติ ตโย อเทฺธ คโตฯ ตตฺถ ปฐมํ ทุติยญฺจ อติกฺกนฺตตฺตา ปจฺฉิมํ อุปคตตฺตา วโยอนุปฺปโตฺตฯ อาตุรกาโยติ ทุกฺขเวทนาปวิสตาย อนสฺสาทกาโยฯ เคลญฺญํ ปน ทุกฺขคติกนฺติ ‘‘คิลานกาโย’’ติ วุตฺตํฯ ตถา หิ สจฺจวิภเงฺค (วิภ. ๑๙๐ อาทโย) ทุกฺขสจฺจนิเทฺทเส ทุกฺขคฺคหเณเนว คหิตตฺตา พฺยาธิ น นิทฺทิโฎฺฐฯ นิจฺจปคฺฆรณเฎฺฐนาติ สพฺพทา อสุจิปคฺฆรณภาเวนฯ โส ปนสฺส อาตุรภาเวนาติ อาห – ‘‘อาตุรํเยว นามา’’ติฯ วิเสเสนาติ อธิกภาเวนฯ อาตุรตีติ อาตุโรฯ สงฺคามปฺปโตฺต สนฺตตฺตกาโยฯ ชราย อาตุรตา ชราตุรตาฯ กุสลปกฺขวฑฺฒเนน มโน ภาเวนฺตีติ มโนภาวนียาฯ มนสา วา ภาวนียา สมฺภาวนียาติ มโนภาวนียาฯ อนุสาสตูติ อนุ อนุ สาสตูติ อยเมตฺถ อโตฺถติ อาห – ‘‘ปุนปฺปุนํ สาสตู’’ติฯ อปราปรํ ปวตฺติตํ หิตวจนํฯ อโนติเณฺณ วตฺถุสฺมิํ โย เอวํ กโรติ, ตสฺส อยํ คุโณ โทโสติ วจนํฯ ตนฺติวเสนาติ ตนฺติสนฺนิสฺสเยน อยํ อนุสาสนี นามฯ ปเวณีติ ตนฺติยา เอว เววจนํฯ

    Jarājiṇṇoti jarāvasena jiṇṇo, na byādhiādīnaṃ vasena jiṇṇo. Vayovuḍḍhoti jiṇṇattā eva vayovuḍḍhippattiyā vuḍḍho, na sīlādivuḍḍhiyā. Jātiyā mahantatāya cirarattatāya jātimahallako. Tiyaddhagatoti paṭhamo majjhimo pacchimoti tayo addhe gato. Tattha paṭhamaṃ dutiyañca atikkantattā pacchimaṃ upagatattā vayoanuppatto. Āturakāyoti dukkhavedanāpavisatāya anassādakāyo. Gelaññaṃ pana dukkhagatikanti ‘‘gilānakāyo’’ti vuttaṃ. Tathā hi saccavibhaṅge (vibha. 190 ādayo) dukkhasaccaniddese dukkhaggahaṇeneva gahitattā byādhi na niddiṭṭho. Niccapaggharaṇaṭṭhenāti sabbadā asucipaggharaṇabhāvena. So panassa āturabhāvenāti āha – ‘‘āturaṃyeva nāmā’’ti. Visesenāti adhikabhāvena. Āturatīti āturo. Saṅgāmappatto santattakāyo. Jarāya āturatā jarāturatā. Kusalapakkhavaḍḍhanena mano bhāventīti manobhāvanīyā. Manasā vā bhāvanīyā sambhāvanīyāti manobhāvanīyā. Anusāsatūti anu anu sāsatūti ayamettha atthoti āha – ‘‘punappunaṃ sāsatū’’ti. Aparāparaṃ pavattitaṃ hitavacanaṃ. Anotiṇṇe vatthusmiṃ yo evaṃ karoti, tassa ayaṃ guṇo dosoti vacanaṃ. Tantivasenāti tantisannissayena ayaṃ anusāsanī nāma. Paveṇīti tantiyā eva vevacanaṃ.

    อณฺฑํ วิย ภูโตติ อธิโกปมา กายสฺส อณฺฑโกสโต อพลทุพฺพลภาวโตฯ เตนาห ‘‘อณฺฑํ หี’’ติอาทิฯ พาโลเยว ตาทิสตฺตภาวสมงฺคี มุหุตฺตมฺปิ อาโรคฺยํ ปฎิชานโนฺตฯ

    Aṇḍaṃ viya bhūtoti adhikopamā kāyassa aṇḍakosato abaladubbalabhāvato. Tenāha ‘‘aṇḍaṃ hī’’tiādi. Bāloyeva tādisattabhāvasamaṅgī muhuttampi ārogyaṃ paṭijānanto.

    วิปฺปสนฺนานีติ ปกติมาการํ อติกฺกมิตฺวา วิเสเสน ปสนฺนานิฯ เตนาห – ‘‘สุอุ ปสนฺนานี’’ติฯ ปสนฺนจิตฺตสมุฎฺฐิตรูปสมฺปทาหิ ตาหิ ตสฺส มุขวณฺณสฺส ปาริสุทฺธีติ อาห – ‘‘ปริสุโทฺธติ นิโทฺทโส’’ติฯ เตเนวาห ‘‘นิรุปกฺกิเลสตายา’’ติอาทิฯ เอเตเนวสฺสินฺทฺริยวิปฺปสนฺนตาการณมฺปิ สํวณฺณิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอส มุขวโณฺณฯ นยคฺคาหปญฺญา กิเรสาติ อิทํ อนาวชฺชนวเสเนว วุตฺตภาวํ สนฺธายาหฯ

    Vippasannānīti pakatimākāraṃ atikkamitvā visesena pasannāni. Tenāha – ‘‘suu pasannānī’’ti. Pasannacittasamuṭṭhitarūpasampadāhi tāhi tassa mukhavaṇṇassa pārisuddhīti āha – ‘‘parisuddhoti niddoso’’ti. Tenevāha ‘‘nirupakkilesatāyā’’tiādi. Etenevassindriyavippasannatākāraṇampi saṃvaṇṇitanti daṭṭhabbaṃ. Esa mukhavaṇṇo. Nayaggāhapaññā kiresāti idaṃ anāvajjanavaseneva vuttabhāvaṃ sandhāyāha.

    ยํ เนว ปุตฺตสฺสาติอาทิ ‘‘โอวทตุ โน, ภเนฺต, ภควา ยถา มยํ ปรโลเกปิ อญฺญมญฺญํ สมาคเจฺฉยฺยามา’’ติ วุตฺตวจนํ สนฺธาย วุตฺตเมวฯ มธุรธมฺมเทสนาเยว สตฺถุ สมฺมุขา ปฎิลทฺธา, ตสฺส อตฺตโน เปมคารวคหิตตฺตา ‘‘อมตาภิเสโก’’ติ เวทิตโพฺพ

    Yaṃ neva puttassātiādi ‘‘ovadatu no, bhante, bhagavā yathā mayaṃ paralokepi aññamaññaṃ samāgaccheyyāmā’’ti vuttavacanaṃ sandhāya vuttameva. Madhuradhammadesanāyeva satthu sammukhā paṭiladdhā, tassa attano pemagāravagahitattā ‘‘amatābhiseko’’ti veditabbo.

    อิทํ ปททฺวยํฯ อารกตฺตา กิเลเสหิ มเคฺคน สมุจฺฉินฺนตฺตาฯ อนเยติ อวฑฺฒิยํ, อนเตฺถติ อโตฺถฯ อนเย วา อนุปาเยฯ น อิริยนโต อวตฺตนโตฯ อเยติ วฑฺฒิยํ อเตฺถ อุปาเย จฯ อรณียโตติ ปยิรุปาสิตพฺพโตฯ นิรุตฺตินเยน ปทสิทฺธิ เวทิตพฺพา ปุริเมสุ อตฺถวิกเปฺปสุ , ปจฺฉิเม ปน สทฺทสตฺถวเสนปิฯ ยทิปิ อริยสโทฺท ‘‘เย หิ โว อริยา ปริสุทฺธกายกมฺมนฺตา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๕) วิสุทฺธาสยปโยเคสุ ปุถุชฺชเนสุปิ วฎฺฎติ, อิธ ปน อริยมคฺคาธิคเมน สพฺพโลกุตฺตรภาเวน จ อริยภาโว อธิเปฺปโตติ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘พุทฺธา จา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ปเจฺจกพุทฺธา ตถาคตสาวกา จ สปฺปุริสาติ อิทํ ‘‘อริยา สปฺปุริสา’’ติ อิธ วุตฺตปทานํ อตฺถํ อสงฺกรโต ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน นิปฺปริยายโต อริยสปฺปุริสภาวา อภินฺนสภาวา, ตสฺมา ‘‘สเพฺพว วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Idaṃ padadvayaṃ. Ārakattā kilesehi maggena samucchinnattā. Anayeti avaḍḍhiyaṃ, anattheti attho. Anaye vā anupāye. Na iriyanato avattanato. Ayeti vaḍḍhiyaṃ atthe upāye ca. Araṇīyatoti payirupāsitabbato. Niruttinayena padasiddhi veditabbā purimesu atthavikappesu , pacchime pana saddasatthavasenapi. Yadipi ariyasaddo ‘‘ye hi vo ariyā parisuddhakāyakammantā’’tiādīsu (ma. ni. 1.35) visuddhāsayapayogesu puthujjanesupi vaṭṭati, idha pana ariyamaggādhigamena sabbalokuttarabhāvena ca ariyabhāvo adhippetoti dassento āha – ‘‘buddhā cā’’tiādi. Tattha paccekabuddhā tathāgatasāvakā ca sappurisāti idaṃ ‘‘ariyā sappurisā’’ti idha vuttapadānaṃ atthaṃ asaṅkarato dassetuṃ vuttaṃ. Yasmā pana nippariyāyato ariyasappurisabhāvā abhinnasabhāvā, tasmā ‘‘sabbeva vā’’tiādi vuttaṃ.

    เอตฺตาวตา หิ พุทฺธสาวโก วุโตฺต, ตสฺส หิ เอกเนฺตน กลฺยาณมิโตฺต อิจฺฉิตโพฺพ ปรโต โฆสมนฺตเรน ปฐมมคฺคสฺส อนุปฺปชฺชนโตฯ วิเสสโต จสฺส ภควาว ‘‘กลฺยาณมิโตฺต’’ติ อธิเปฺปโตฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘มมญฺหิ, อานนฺท, กลฺยาณมิตฺตํ อาคมฺม ชาติธมฺมา สตฺตา ชาติยา ปริมุจฺจนฺตี’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๑.๑๒๙; ๕.๒)ฯ โส เอว จ อเวจฺจปสาทาธิคเมน ทฬฺหภตฺติ นามฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘ยํ มยา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, ตํ มม สาวกา ชีวิตเหตุปิ นาติกฺกมนฺตี’’ติ (อุทา. ๔๕; จูฬว. ๓๘๕)ฯ กตญฺญุตาทีหิ ปเจฺจกพุทฺธพุทฺธาติ เอตฺถ กตํ ชานาตีติ กตญฺญูฯ กตํ วิทิตํ ปากฎํ กโรตีติ กตเวทีฯ ปเจฺจกพุทฺธา หิ อเนเกสุปิ กปฺปสตสหเสฺสสุ กตํ อุปการํ ชานนฺติ, กตญฺจ ปากฎํ กโรนฺติ สติชนนอามิสปฎิคฺคหณาทินาฯ ตถา สํสารทุกฺขทุกฺขิตสฺส สกฺกจฺจํ กโรนฺติ กิจฺจํ, ยํ อตฺตนา กาตุํ สกฺกาฯ สมฺมาสมฺพุโทฺธ ปน กปฺปานํ อสเงฺขฺยยฺยสหเสฺสสุปิ กตํ อุปการํ มคฺคผลานํ อุปนิสฺสยญฺจ ชานนฺติ, ปากฎญฺจ กโรนฺติฯ สีโห วิย จ เอวํ สพฺพตฺถ สกฺกจฺจเมว ธมฺมเทสนํ กโรเนฺตน พุทฺธกิจฺจํ กโรนฺติฯ ยาย ปฎิปตฺติยา อริยา ทิฎฺฐา นาม โหนฺติ, ตสฺสา อปฺปฎิปชฺชนํ, ตตฺถ จ อาทราภาโว อริยานํ อทสฺสนสีลตา, น จ ทสฺสเน สาธุการิตาติ เวทิตพฺพาฯ จกฺขุนา อทสฺสาวีติ เอตฺถ จกฺขุ นาม น มํสจกฺขุ เอว, อถ โข ทิพฺพจกฺขุปีติ อาห ‘‘ทิพฺพจกฺขุนา วา’’ติฯ อริยภาโวติ เยหิ โยคโต ‘‘อริยา’’ติ วุจฺจนฺติ, เต มคฺคผลธมฺมา ทฎฺฐพฺพาฯ

    Ettāvatā hi buddhasāvako vutto, tassa hi ekantena kalyāṇamitto icchitabbo parato ghosamantarena paṭhamamaggassa anuppajjanato. Visesato cassa bhagavāva ‘‘kalyāṇamitto’’ti adhippeto. Vuttañhetaṃ ‘‘mamañhi, ānanda, kalyāṇamittaṃ āgamma jātidhammā sattā jātiyā parimuccantī’’tiādi (saṃ. ni. 1.129; 5.2). So eva ca aveccapasādādhigamena daḷhabhatti nāma. Vuttampi cetaṃ ‘‘yaṃ mayā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ, taṃ mama sāvakā jīvitahetupi nātikkamantī’’ti (udā. 45; cūḷava. 385). Kataññutādīhi paccekabuddhabuddhāti ettha kataṃ jānātīti kataññū. Kataṃ viditaṃ pākaṭaṃ karotīti katavedī. Paccekabuddhā hi anekesupi kappasatasahassesu kataṃ upakāraṃ jānanti, katañca pākaṭaṃ karonti satijananaāmisapaṭiggahaṇādinā. Tathā saṃsāradukkhadukkhitassa sakkaccaṃ karonti kiccaṃ, yaṃ attanā kātuṃ sakkā. Sammāsambuddho pana kappānaṃ asaṅkhyeyyasahassesupi kataṃ upakāraṃ maggaphalānaṃ upanissayañca jānanti, pākaṭañca karonti. Sīho viya ca evaṃ sabbattha sakkaccameva dhammadesanaṃ karontena buddhakiccaṃ karonti. Yāya paṭipattiyā ariyā diṭṭhā nāma honti, tassā appaṭipajjanaṃ, tattha ca ādarābhāvo ariyānaṃ adassanasīlatā, na ca dassane sādhukāritāti veditabbā. Cakkhunā adassāvīti ettha cakkhu nāma na maṃsacakkhu eva, atha kho dibbacakkhupīti āha ‘‘dibbacakkhunā vā’’ti. Ariyabhāvoti yehi yogato ‘‘ariyā’’ti vuccanti, te maggaphaladhammā daṭṭhabbā.

    ตตฺราติ ญาณทสฺสนเสฺสว ทสฺสนภาเวฯ วตฺถูติ อธิเปฺปตตฺถญาปนการณํฯ เอวํ วุเตฺตปีติ เอวํ อญฺญาปเทเสน อตฺตุปนายิกํ กตฺวา วุเตฺตปิฯ ธมฺมนฺติ โลกุตฺตรธมฺมํ, จตุสจฺจธมฺมํ วาฯ อริยกรธมฺมา อนิจฺจานุปสฺสนาทโย, วิปสฺสิยมานา วา อนิจฺจาทโย, จตฺตาริ วา อริยสจฺจานิฯ

    Tatrāti ñāṇadassanasseva dassanabhāve. Vatthūti adhippetatthañāpanakāraṇaṃ. Evaṃ vuttepīti evaṃ aññāpadesena attupanāyikaṃ katvā vuttepi. Dhammanti lokuttaradhammaṃ, catusaccadhammaṃ vā. Ariyakaradhammā aniccānupassanādayo, vipassiyamānā vā aniccādayo, cattāri vā ariyasaccāni.

    อวินีโตติ น วินีโต อธิสีลสิกฺขาทีนํ วเสน น สิกฺขิโตฯ เยสํ สํวรวินยาทีนํ อภาเวน อยํ ‘‘อวินีโต’’ติ วุจฺจติ, เต ตาว ทเสฺสตุํ ‘‘ทุวิโธ วินโย นามา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สีลสํวโรติ ปาติโมกฺขสํวโร เวทิตโพฺพ, โส จ อตฺถโต กายิกวาจสิโก อวีติกฺกโมฯ สติสํวโรติ อินฺทฺริยารกฺขา, สา จ ตถาปวตฺตา สติเยวฯ ญาณสํวโรติ ‘‘โสตานํ สํวรํ พฺรูมี’’ติ (สุ. นิ. ๑๐๔๑) วตฺวา ‘‘ปญฺญาเยเต ปิธียเร’’ติ (สุ. นิ. ๑๐๔๑) วจนโต โสตสงฺขาตานํ ตณฺหาทิฎฺฐิทุจฺจริตอวิชฺชาอวสิฎฺฐกิเลสานํ สํวโร ปิทหนํ สมุเจฺฉทญาณนฺติ เวทิตพฺพํฯ ขนฺติสํวโรติ อธิวาสนา, สา จ ตถาปวตฺตา ขนฺธา, อโทโส วา, ‘‘ปญฺญา’’ติ เกจิ วทนฺติฯ วีริยสํวโร กามวิตกฺกาทีนํ วิโนทนวเสน ปวตฺตํ วีริยเมวฯ เตน เตน อเงฺคน ตสฺส ตสฺส องฺคสฺส ปหานํ ตทงฺคปฺปหานํฯ วิกฺขมฺภนวเสน ปหานํ วิกฺขมฺภนปฺปหานํฯ เสสปทตฺตเยปิ เอเสว นโยฯ

    Avinītoti na vinīto adhisīlasikkhādīnaṃ vasena na sikkhito. Yesaṃ saṃvaravinayādīnaṃ abhāvena ayaṃ ‘‘avinīto’’ti vuccati, te tāva dassetuṃ ‘‘duvidho vinayo nāmā’’tiādimāha. Tattha sīlasaṃvaroti pātimokkhasaṃvaro veditabbo, so ca atthato kāyikavācasiko avītikkamo. Satisaṃvaroti indriyārakkhā, sā ca tathāpavattā satiyeva. Ñāṇasaṃvaroti ‘‘sotānaṃ saṃvaraṃ brūmī’’ti (su. ni. 1041) vatvā ‘‘paññāyete pidhīyare’’ti (su. ni. 1041) vacanato sotasaṅkhātānaṃ taṇhādiṭṭhiduccaritaavijjāavasiṭṭhakilesānaṃ saṃvaro pidahanaṃ samucchedañāṇanti veditabbaṃ. Khantisaṃvaroti adhivāsanā, sā ca tathāpavattā khandhā, adoso vā, ‘‘paññā’’ti keci vadanti. Vīriyasaṃvaro kāmavitakkādīnaṃ vinodanavasena pavattaṃ vīriyameva. Tena tena aṅgena tassa tassa aṅgassa pahānaṃ tadaṅgappahānaṃ. Vikkhambhanavasena pahānaṃ vikkhambhanappahānaṃ. Sesapadattayepi eseva nayo.

    อิมินา ปาติโมกฺขสํวเรนาติอาทิ สีลสํวราทีนํ วิวรณํฯ ตตฺถ สมุเปโตติ อิติ-สโทฺท อาทิอโตฺถฯ เตน ‘‘อุปคโต’’ติอาทินา วิภเงฺค (วิภ. ๕๑๑) อาคตํ สํวรวิภงฺคํ ทเสฺสติฯ กายทุจฺจริตาทีนนฺติ ทุสฺสีลฺยสงฺขาตานํ กายวจีทุจฺจริตาทีนํ มุฎฺฐสจฺจสงฺขาตสฺส ปมาทสฺส, อภิชฺฌาทีนํ วา อกฺขนฺติอญฺญาณโกสชฺชานญฺจฯ สํวรณโตติ ปิทหนโต, วินยนโตติ กายวาจาจิตฺตานํ วิรูปปวตฺติยา วินยนโต, กายทุจฺจริตาทีนํ วา อปนยนโต, กายาทีนํ วา ชิมฺหปวตฺติํ วิจฺฉินฺทิตฺวา อุชุกนยนโตติ อโตฺถฯ ปจฺจยสมวาเย อุปฺปชฺชนารหานํ กายทุจฺจริตาทีนํ ตถา ตถา อนุปฺปาทนเมว สํวรณํ วินยนญฺจ เวทิตพฺพํฯ

    Iminā pātimokkhasaṃvarenātiādi sīlasaṃvarādīnaṃ vivaraṇaṃ. Tattha samupetoti iti-saddo ādiattho. Tena ‘‘upagato’’tiādinā vibhaṅge (vibha. 511) āgataṃ saṃvaravibhaṅgaṃ dasseti. Kāyaduccaritādīnanti dussīlyasaṅkhātānaṃ kāyavacīduccaritādīnaṃ muṭṭhasaccasaṅkhātassa pamādassa, abhijjhādīnaṃ vā akkhantiaññāṇakosajjānañca. Saṃvaraṇatoti pidahanato, vinayanatoti kāyavācācittānaṃ virūpapavattiyā vinayanato, kāyaduccaritādīnaṃ vā apanayanato, kāyādīnaṃ vā jimhapavattiṃ vicchinditvā ujukanayanatoti attho. Paccayasamavāye uppajjanārahānaṃ kāyaduccaritādīnaṃ tathā tathā anuppādanameva saṃvaraṇaṃ vinayanañca veditabbaṃ.

    ยํ ปหานนฺติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘นามรูปปริเจฺฉทาทีสุ วิปสฺสนาญาเณสู’’ติ กสฺมา วุตฺตํ? นนุ นามรูปปริเจฺฉทปจฺจยปริคฺคหกงฺขาวิตรณานิ น วิปสฺสนาญาณานิ สมฺมสนากาเรน อปฺปวตฺตนโต? สจฺจเมตํ, วิปสฺสนาญาณสฺส ปน อธิฎฺฐานภาวโต เอวํ วุตฺตํฯ นามรูปมตฺตมิทํ, ‘‘นตฺถิ เอตฺถ อตฺตา วา อตฺตนิยํ วา’’ติ เอวํ ปวตฺตญาณํ นามรูปววตฺถานํฯ สติ วิชฺชมาเน ขนฺธปญฺจกสงฺขาเต กาเย, สยํ วา สตี ตสฺมิํ กาเย ทิฎฺฐิ สกฺกายทิฎฺฐิ, สา จ ‘‘รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’’ติ เอวํ ปวตฺตา อตฺตทิฎฺฐิฯ ตสฺส นามรูปสฺส กมฺมาวิชฺชาทิปจฺจยปริคฺคณฺหนญาณํ ปจฺจยปริคฺคโหฯ ‘‘นตฺถิ เหตุ, นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ สํกิเลสายา’’ติอาทินยปฺปวตฺตา อเหตุทิฎฺฐิฯ ‘‘อิสฺสรปุริสปชาปติปกติอณุกาลาทีหิ โลโก ปวตฺตติ นิวตฺตติ จา’’ติ ตถา ตถา ปวตฺตา ทิฎฺฐิ วิสมเหตุทิฎฺฐิฯ ตเสฺสวาติ ปจฺจยปริคฺคหเสฺสวฯ กงฺขาวิตรเณนาติ ยถา เอตรหิ นามรูปสฺส กมฺมาทิปจฺจยโต อุปฺปตฺติ, เอวํ อตีเต อนาคเตปีติ ตีสุ กาเลสุ วิจิกิจฺฉาปนยนญาเณนฯ กถํกถีภาวสฺสาติ ‘‘อโหสิํ นุ โข อหํ อตีตมทฺธาน’’นฺติอาทินยปวตฺตาย (ม. นิ. ๑.๑๘; สํ. นิ. ๒.๒๐) สํสยปฺปวตฺติยาฯ กลาปสมฺมสเนนาติ ‘‘ยํ กิญฺจิ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺน’’นฺติอาทินา (สํ. นิ. ๓.๔๘-๔๙) ขนฺธปญฺจกํ เอกาทสสุ โอกาเสสุ ปกฺขิปิตฺวา สมฺมสนวเสน ปวเตฺตน วิปสฺสนาญาเณนฯ อหํ มมาติ คาหสฺสาติ ‘‘อตฺตา อตฺตนิย’’นฺติ คหณสฺสฯ มคฺคามคฺคววตฺถาเนนาติ มคฺคามคฺคญาณวิสุทฺธิยาฯ อมเคฺค มคฺคสญฺญายาติ อมเคฺค โอภาสาทิเก ‘‘มโคฺค’’ติ อุปฺปนฺนสญฺญายฯ ยสฺมา สมฺมเทว สงฺขารานํ อุทยํ ปสฺสโนฺต ‘‘เอวเมเต สงฺขารา อนุรูปการณโต อุปฺปชฺชนฺติ, น ปน อุจฺฉิชฺชนฺตี’’ติ คณฺหาติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘อุทยทสฺสเนน อุเจฺฉททิฎฺฐิยา’’ติฯ ยสฺมา ปน สงฺขารานํ วยํ ‘‘ยทิปิเม สงฺขารา อวิจฺฉินฺนา วตฺตนฺติ, อุปฺปนฺนุปฺปนฺนา ปน อปฺปฎิสนฺธิกา นิรุชฺฌเนฺตวา’’ติ ปสฺสโต กุโต สสฺสตคฺคาโหฯ ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘วยทสฺสเนน สสฺสตทิฎฺฐิยา’’ติฯ ภยทสฺสเนนาติ ภยตูปฎฺฐานญาเณนฯ สภเยติ สพฺพภยานํ อากรภาวโต สกลทุกฺขวูปสมสงฺขาตสฺส ปรมสฺสาสสฺส ปฎิปกฺขภาวโต จ สภเย ขนฺธปญฺจเกฯ อภยสญฺญายาติ ‘‘อภยํ เขม’’นฺติ อุปฺปนฺนสญฺญายฯ อสฺสาทสญฺญา นาม ปญฺจุปาทานกฺขเนฺธสุ อสฺสาทนวเสน ปวตฺตสญฺญา, โย ‘‘อาลยาภินิเวโส’’ติปิ วุจฺจติฯ อภิรติสญฺญา ตเตฺถว อภิรมณวเสน ปวตฺตสญฺญา, ยา ‘‘นนฺที’’ติปิ วุจฺจติฯ อมุจฺจิตุกามตา อาทานํฯ อนุเปกฺขา สงฺขาเรหิ อนิพฺพินฺทนํ, สาลยตาติ อโตฺถฯ ธมฺมฎฺฐิติยํ ปฎิจฺจสมุปฺปาเทฯ ปฎิโลมภาโว สสฺสตุเจฺฉทคฺคาโห, ปจฺจยาการปฎิจฺฉาทกโมโห วาฯ นิพฺพาเน จ ปฎิโลมภาโว สงฺขาเรสุ นติ, นิพฺพานปฎิจฺฉาทกโมโห วาฯ สงฺขารนิมิตฺตคฺคาโหติ ยาทิสสฺส กิเลสสฺส อปฺปหีนตา วิปสฺสนา สงฺขารนิมิตฺตํ น มุญฺจติ, โส กิเลโส, โย ‘‘สํโยคาภินิเวโส’’ติปิ วุจฺจติ, สงฺขารนิมิตฺตคฺคาหสฺส, อติกฺกมนเมว วา ปหานํ

    Yaṃ pahānanti sambandho. ‘‘Nāmarūpaparicchedādīsu vipassanāñāṇesū’’ti kasmā vuttaṃ? Nanu nāmarūpaparicchedapaccayapariggahakaṅkhāvitaraṇāni na vipassanāñāṇāni sammasanākārena appavattanato? Saccametaṃ, vipassanāñāṇassa pana adhiṭṭhānabhāvato evaṃ vuttaṃ. Nāmarūpamattamidaṃ, ‘‘natthi ettha attā vā attaniyaṃ vā’’ti evaṃ pavattañāṇaṃ nāmarūpavavatthānaṃ. Sati vijjamāne khandhapañcakasaṅkhāte kāye, sayaṃ vā satī tasmiṃ kāye diṭṭhi sakkāyadiṭṭhi, sā ca ‘‘rūpaṃ attato samanupassatī’’ti evaṃ pavattā attadiṭṭhi. Tassa nāmarūpassa kammāvijjādipaccayapariggaṇhanañāṇaṃ paccayapariggaho. ‘‘Natthi hetu, natthi paccayo sattānaṃ saṃkilesāyā’’tiādinayappavattā ahetudiṭṭhi. ‘‘Issarapurisapajāpatipakatiaṇukālādīhi loko pavattati nivattati cā’’ti tathā tathā pavattā diṭṭhi visamahetudiṭṭhi. Tassevāti paccayapariggahasseva. Kaṅkhāvitaraṇenāti yathā etarahi nāmarūpassa kammādipaccayato uppatti, evaṃ atīte anāgatepīti tīsu kālesu vicikicchāpanayanañāṇena. Kathaṃkathībhāvassāti ‘‘ahosiṃ nu kho ahaṃ atītamaddhāna’’ntiādinayapavattāya (ma. ni. 1.18; saṃ. ni. 2.20) saṃsayappavattiyā. Kalāpasammasanenāti ‘‘yaṃ kiñci rūpaṃ atītānāgatapaccuppanna’’ntiādinā (saṃ. ni. 3.48-49) khandhapañcakaṃ ekādasasu okāsesu pakkhipitvā sammasanavasena pavattena vipassanāñāṇena. Ahaṃ mamāti gāhassāti ‘‘attā attaniya’’nti gahaṇassa. Maggāmaggavavatthānenāti maggāmaggañāṇavisuddhiyā. Amagge maggasaññāyāti amagge obhāsādike ‘‘maggo’’ti uppannasaññāya. Yasmā sammadeva saṅkhārānaṃ udayaṃ passanto ‘‘evamete saṅkhārā anurūpakāraṇato uppajjanti, na pana ucchijjantī’’ti gaṇhāti, tasmā vuttaṃ ‘‘udayadassanena ucchedadiṭṭhiyā’’ti. Yasmā pana saṅkhārānaṃ vayaṃ ‘‘yadipime saṅkhārā avicchinnā vattanti, uppannuppannā pana appaṭisandhikā nirujjhantevā’’ti passato kuto sassataggāho. Tasmā vuttaṃ ‘‘vayadassanena sassatadiṭṭhiyā’’ti. Bhayadassanenāti bhayatūpaṭṭhānañāṇena. Sabhayeti sabbabhayānaṃ ākarabhāvato sakaladukkhavūpasamasaṅkhātassa paramassāsassa paṭipakkhabhāvato ca sabhaye khandhapañcake. Abhayasaññāyāti ‘‘abhayaṃ khema’’nti uppannasaññāya. Assādasaññā nāma pañcupādānakkhandhesu assādanavasena pavattasaññā, yo ‘‘ālayābhiniveso’’tipi vuccati. Abhiratisaññā tattheva abhiramaṇavasena pavattasaññā, yā ‘‘nandī’’tipi vuccati. Amuccitukāmatā ādānaṃ. Anupekkhā saṅkhārehi anibbindanaṃ, sālayatāti attho. Dhammaṭṭhitiyaṃ paṭiccasamuppāde. Paṭilomabhāvo sassatucchedaggāho, paccayākārapaṭicchādakamoho vā. Nibbāneca paṭilomabhāvo saṅkhāresu nati, nibbānapaṭicchādakamoho vā. Saṅkhāranimittaggāhoti yādisassa kilesassa appahīnatā vipassanā saṅkhāranimittaṃ na muñcati, so kileso, yo ‘‘saṃyogābhiniveso’’tipi vuccati, saṅkhāranimittaggāhassa, atikkamanameva vā pahānaṃ.

    ปวตฺติ เอว ปวตฺติภาโว, ปริยุฎฺฐานนฺติ อโตฺถฯ นีวรณาทิธมฺมานนฺติ อาทิ-สเทฺทน นีวรณปกฺขิยา กิเลสา วิตกฺกวิจาราทโย จ คยฺหนฺติฯ จตุนฺนํ อริยมคฺคานํ ภาวิตตฺตา อจฺจนฺตํ อปฺปวตฺติภาเวน ยํ ปหานนฺติ สมฺพโนฺธฯ เกน ปน ปหานนฺติ? ‘‘อริยมเคฺคเหวา’’ติ วิญฺญายมาโนยมโตฺถ เตสํ ภาวิตตฺตา อปฺปวตฺติวจนโตฯ ‘‘สมุทยปกฺขิกสฺสา’’ติ เอตฺถ จตฺตาโรปิ มคฺคา จตุสจฺจาภิสมยาติ กตฺวา เตหิ ปหาตเพฺพน เตน เตน สมุทยสงฺขาเตน โลเภน สห ปหาตพฺพตฺตา สมุทยสภาวตฺตา จฯ สจฺจวิภเงฺค จ สพฺพกิเลสานํ สมุทยภาวสฺส วุตฺตตฺตา ‘‘สมุทยปกฺขิกา’’ติ ทิฎฺฐิอาทโย วุจฺจนฺติฯ ปฎิปสฺสทฺธตฺตํ วูปสนฺตตาฯ

    Pavatti eva pavattibhāvo, pariyuṭṭhānanti attho. Nīvaraṇādidhammānanti ādi-saddena nīvaraṇapakkhiyā kilesā vitakkavicārādayo ca gayhanti. Catunnaṃ ariyamaggānaṃ bhāvitattā accantaṃ appavattibhāvena yaṃ pahānanti sambandho. Kena pana pahānanti? ‘‘Ariyamaggehevā’’ti viññāyamānoyamattho tesaṃ bhāvitattā appavattivacanato. ‘‘Samudayapakkhikassā’’ti ettha cattāropi maggā catusaccābhisamayāti katvā tehi pahātabbena tena tena samudayasaṅkhātena lobhena saha pahātabbattā samudayasabhāvattā ca. Saccavibhaṅge ca sabbakilesānaṃ samudayabhāvassa vuttattā ‘‘samudayapakkhikā’’ti diṭṭhiādayo vuccanti. Paṭipassaddhattaṃ vūpasantatā.

    สงฺขตนิสฺสฎตา สงฺขารสภาวาภาโวฯ ปหีนสพฺพสงฺขตนฺติ วิรหิตสพฺพสงฺขตํ, วิสงฺขารนฺติ อโตฺถฯ ปหานญฺจ ตํ วินโย จาติ ปหานวินโย ปุริเมน อเตฺถนฯ ทุติเยน ปน ปหียตีติ ปหานํ, ตสฺส วินโยติ โยเชตโพฺพฯ

    Saṅkhatanissaṭatā saṅkhārasabhāvābhāvo. Pahīnasabbasaṅkhatanti virahitasabbasaṅkhataṃ, visaṅkhāranti attho. Pahānañca taṃ vinayo cāti pahānavinayo purimena atthena. Dutiyena pana pahīyatīti pahānaṃ, tassa vinayoti yojetabbo.

    ภินฺนสํวรตฺตาติ นฎฺฐสํวรตฺตา, สํวราภาวโตติ อโตฺถฯ เตน อสมาทินฺนสํวโรปิ สงฺคหิโตว โหติฯ สมาทาเนน หิ สมฺปาเทตโพฺพ สํวโร, ตทภาเว น โหตีติฯ อริเยติ อริโยฯ ปจฺจตฺตวจนเญฺหตํฯ เอเสเสติ เอโส เอโส, อตฺถโต อนโญฺญติ อโตฺถฯ ตชฺชาเตติ อตฺถโต ตํสภาโว, สปฺปุริโส อริยสภาโว, อริโย จ สปฺปุริสภาโวติ อโตฺถฯ

    Bhinnasaṃvarattāti naṭṭhasaṃvarattā, saṃvarābhāvatoti attho. Tena asamādinnasaṃvaropi saṅgahitova hoti. Samādānena hi sampādetabbo saṃvaro, tadabhāve na hotīti. Ariyeti ariyo. Paccattavacanañhetaṃ. Eseseti eso eso, atthato anaññoti attho. Tajjāteti atthato taṃsabhāvo, sappuriso ariyasabhāvo, ariyo ca sappurisabhāvoti attho.

    โส อหนฺติ อตฺตนา ปริกปฺปิตํ อตฺตานํ ทิฎฺฐิคติโก วทติฯ ‘‘อหํพุทฺธินิพนฺธโน อตฺตา’’ติ หิ อตฺตวาทิโน ลทฺธิฯ อทฺวยนฺติ ทฺวยตารหิตํฯ อภินฺนํ วณฺณเมว ‘‘อจฺจี’’ติ คเหตฺวา ‘‘อจฺจีติ วโณฺณ เอวา’’ติ เตสํ เอกตฺตํ ปสฺสโนฺต วิย ยถาปริกปฺปิตํ อตฺตานํ ‘‘รูป’’นฺติ, ยถาทิฎฺฐํ วา รูปํ, ‘‘อตฺตา’’ติ คเหตฺวา เตสํ เอกตฺตํ ปสฺสโนฺต ทฎฺฐโพฺพฯ เอตฺถ จ ‘‘รูปํ อตฺตา’’ติ อิมิสฺสา ปวตฺติยา อภาเวปิ รูเป อตฺตคฺคหณํ ปวตฺตมานํ อจฺจิยํ วณฺณคฺคหณํ วิย ‘‘อทฺวยทสฺสน’’นฺติ วุตฺตํฯ อุปมาโย จ อนญฺญตฺตาทิคหณนิทสฺสนวเสเนว วุตฺตา, น วณฺณาทีนํ วิย อตฺตโน วิชฺชมานทสฺสนตฺถํฯ น หิ อตฺตนิ สามิภาเวน รูปญฺจ สกิญฺจนภาเวน สมนุปสฺสติฯ อตฺตนิ วา รูปนฺติ อตฺตานํ รูปสฺส สภาวโต อาธารณภาเวนฯ รูปสฺมิํ วา อตฺตานนฺติ รูปสฺส อตฺตโน อาธารณภาเวน ทิฎฺฐิปสฺสนาย ปสฺสติฯ ปริยุฎฺฐฎฺฐายีติ ปริยุฎฺฐานปฺปตฺตาหิ ทิฎฺฐิตณฺหาหิ ‘‘รูปํ อตฺตา, รูปวา อตฺตา’’ติอาทินา ขนฺธปญฺจกํ มิจฺฉา คเหตฺวา ติฎฺฐนโตฯ เตนาห ‘‘ปริยุฎฺฐานากาเรนา’’ติอาทิฯ เอเสว นโยติ โย ‘‘อิเธกโจฺจ รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’’ติอาทินา รูปกฺขเนฺธ วุโตฺต สํวณฺณนานโย, เวทนากฺขนฺธาทีสุปิ เอโส เอว นโย เวทิตโพฺพฯ

    So ahanti attanā parikappitaṃ attānaṃ diṭṭhigatiko vadati. ‘‘Ahaṃbuddhinibandhano attā’’ti hi attavādino laddhi. Advayanti dvayatārahitaṃ. Abhinnaṃ vaṇṇameva ‘‘accī’’ti gahetvā ‘‘accīti vaṇṇo evā’’ti tesaṃ ekattaṃ passanto viya yathāparikappitaṃ attānaṃ ‘‘rūpa’’nti, yathādiṭṭhaṃ vā rūpaṃ, ‘‘attā’’ti gahetvā tesaṃ ekattaṃ passanto daṭṭhabbo. Ettha ca ‘‘rūpaṃ attā’’ti imissā pavattiyā abhāvepi rūpe attaggahaṇaṃ pavattamānaṃ acciyaṃ vaṇṇaggahaṇaṃ viya ‘‘advayadassana’’nti vuttaṃ. Upamāyo ca anaññattādigahaṇanidassanavaseneva vuttā, na vaṇṇādīnaṃ viya attano vijjamānadassanatthaṃ. Na hi attani sāmibhāvena rūpañca sakiñcanabhāvena samanupassati. Attani vā rūpanti attānaṃ rūpassa sabhāvato ādhāraṇabhāvena. Rūpasmiṃ vā attānanti rūpassa attano ādhāraṇabhāvena diṭṭhipassanāya passati. Pariyuṭṭhaṭṭhāyīti pariyuṭṭhānappattāhi diṭṭhitaṇhāhi ‘‘rūpaṃ attā, rūpavā attā’’tiādinā khandhapañcakaṃ micchā gahetvā tiṭṭhanato. Tenāha ‘‘pariyuṭṭhānākārenā’’tiādi. Eseva nayoti yo ‘‘idhekacco rūpaṃ attato samanupassatī’’tiādinā rūpakkhandhe vutto saṃvaṇṇanānayo, vedanākkhandhādīsupi eso eva nayo veditabbo.

    สุทฺธรูปเมวาติ อรูเปน อมิสฺสิตํ เกวลํ รูปเมวฯ อรูปนฺติ สุทฺธอรูปํ รูปสฺส อคฺคหิตตฺตาฯ จตูสุ ขเนฺธสุ ติณฺณํ ติณฺณํ วเสนาติ จตูสุ ขเนฺธสุ ติณฺณํ ติณฺณํ คหณวเสน รูปารูปมิสฺสโก อตฺตา กถิโต ตสฺมิํ ตสฺมิํ คหเณ เวทนาทิวินิมุตฺตอรูปธเมฺม กสิณรูเปน สทฺธิํ สพฺพรูปธเมฺม จ เอกชฺฌํ คหณสิทฺธิโตฯ ปญฺจสุ ฐาเนสุ อุเจฺฉททิฎฺฐิ กถิตา, เต เต เอว ธเมฺม ‘‘อตฺตา’’ติ คหณโต เตสญฺจ อุเจฺฉทภาวโตฯ อวเสเสสุ ปน ปนฺนรสสุ ฐาเนสุ รูปํ ‘‘อตฺตา’’ติ คเหตฺวาปิ ทิฎฺฐิคติโก ตตฺถ นิจฺจสญฺญํ น วิสฺสเชฺชติ กสิณรูเปน ตํ มิเสฺสตฺวา ตสฺส จ อุปฺปาทาทีนํ อทสฺสนโต, ตสฺมาสฺส ตตฺถปิ โหติเยว สสฺสตทิฎฺฐิ เอกจฺจสสฺสตคาหวเสนปิฯ มคฺคาวรณา วิปรีตทสฺสนโตฯ น สคฺคาวรณา อกมฺมปถปฺปตฺตตายฯ อกิริยาเหตุกนตฺถิกทิฎฺฐิโย เอว หิ กมฺมปถทิฎฺฐิโยฯ

    Suddharūpamevāti arūpena amissitaṃ kevalaṃ rūpameva. Arūpanti suddhaarūpaṃ rūpassa aggahitattā. Catūsu khandhesu tiṇṇaṃ tiṇṇaṃ vasenāti catūsu khandhesu tiṇṇaṃ tiṇṇaṃ gahaṇavasena rūpārūpamissako attā kathito tasmiṃ tasmiṃ gahaṇe vedanādivinimuttaarūpadhamme kasiṇarūpena saddhiṃ sabbarūpadhamme ca ekajjhaṃ gahaṇasiddhito. Pañcasu ṭhānesu ucchedadiṭṭhi kathitā, te te eva dhamme ‘‘attā’’ti gahaṇato tesañca ucchedabhāvato. Avasesesu pana pannarasasu ṭhānesu rūpaṃ ‘‘attā’’ti gahetvāpi diṭṭhigatiko tattha niccasaññaṃ na vissajjeti kasiṇarūpena taṃ missetvā tassa ca uppādādīnaṃ adassanato, tasmāssa tatthapi hotiyeva sassatadiṭṭhi ekaccasassatagāhavasenapi. Maggāvaraṇā viparītadassanato. Na saggāvaraṇā akammapathappattatāya. Akiriyāhetukanatthikadiṭṭhiyo eva hi kammapathadiṭṭhiyo.

    กาโยติ รูปกาโยฯ โส อาตุโรเยว อสวสภาวโตฯ ราคโทสโมหานุคตนฺติ อปฺปหีนราคโทสโมหสนฺตาเน ปวตฺตํฯ อิธาติ อิมสฺมิํ สุเตฺตฯ ทสฺสิตํ อาตุรภาเวนฯ นิกฺกิเลสตายาติ สยํ ปหีนกิเลสสนฺตานคตตายฯ เสขา เนว อาตุรจิตฺตา ปหีนกิเลเส อุปาทาย, อปฺปหีเน ปน อุปาทาย อาตุรจิตฺตาฯ อนาตุรจิตฺตตํเยว ภชนฺติ วฎฺฎานุสาริมหาชนสฺส วิย เตสํ จิตฺตสฺส กิเลสวเสน อาตุรตฺตาภาวโตฯ

    Kāyoti rūpakāyo. So āturoyeva asavasabhāvato. Rāgadosamohānugatanti appahīnarāgadosamohasantāne pavattaṃ. Idhāti imasmiṃ sutte. Dassitaṃ āturabhāvena. Nikkilesatāyāti sayaṃ pahīnakilesasantānagatatāya. Sekhā neva āturacittā pahīnakilese upādāya, appahīne pana upādāya āturacittā. Anāturacittataṃyeva bhajanti vaṭṭānusārimahājanassa viya tesaṃ cittassa kilesavasena āturattābhāvato.

    นกุลปิตุสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Nakulapitusuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๑. นกุลปิตุสุตฺตํ • 1. Nakulapitusuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) / ๑. นกุลปิตุสุตฺตวณฺณนา • 1. Nakulapitusuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact