Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya

    ๘. นฬกปานสุตฺตํ

    8. Naḷakapānasuttaṃ

    ๑๖๖. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา โกสเลสุ วิหรติ นฬกปาเน ปลาสวเนฯ เตน โข ปน สมเยน สมฺพหุลา อภิญฺญาตา อภิญฺญาตา กุลปุตฺตา ภควนฺตํ อุทฺทิสฺส สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา โหนฺติ – อายสฺมา จ อนุรุโทฺธ, อายสฺมา จ ภทฺทิโย 1, อายสฺมา จ กิมิโล 2, อายสฺมา จ ภคุ, อายสฺมา จ โกณฺฑโญฺญ 3, อายสฺมา จ เรวโต, อายสฺมา จ อานโนฺท, อเญฺญ จ อภิญฺญาตา อภิญฺญาตา กุลปุตฺตาฯ เตน โข ปน สมเยน ภควา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต อโพฺภกาเส นิสิโนฺน โหติฯ อถ โข ภควา เต กุลปุเตฺต อารพฺภ ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘เย เต, ภิกฺขเว, กุลปุตฺตา มมํ อุทฺทิสฺส สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา, กจฺจิ เต, ภิกฺขเว, ภิกฺขู อภิรตา พฺรหฺมจริเย’’ติ? เอวํ วุเตฺต, เต ภิกฺขู ตุณฺหี อเหสุํฯ ทุติยมฺปิ โข ภควา เต กุลปุเตฺต อารพฺภ ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘เย เต, ภิกฺขเว, กุลปุตฺตา มมํ อุทฺทิสฺส สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา, กจฺจิ เต, ภิกฺขเว, ภิกฺขู อภิรตา พฺรหฺมจริเย’’ติ? ทุติยมฺปิ โข เต ภิกฺขู ตุณฺหี อเหสุํฯ ตติยมฺปิ โข ภควา เต กุลปุเตฺต อารพฺภ ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘เย เต, ภิกฺขเว, กุลปุตฺตา มมํ อุทฺทิสฺส สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา , กจฺจิ เต, ภิกฺขเว, ภิกฺขู อภิรตา พฺรหฺมจริเย’’ติ? ตติยมฺปิ โข เต ภิกฺขู ตุณฺหี อเหสุํฯ

    166. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā kosalesu viharati naḷakapāne palāsavane. Tena kho pana samayena sambahulā abhiññātā abhiññātā kulaputtā bhagavantaṃ uddissa saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā honti – āyasmā ca anuruddho, āyasmā ca bhaddiyo 4, āyasmā ca kimilo 5, āyasmā ca bhagu, āyasmā ca koṇḍañño 6, āyasmā ca revato, āyasmā ca ānando, aññe ca abhiññātā abhiññātā kulaputtā. Tena kho pana samayena bhagavā bhikkhusaṅghaparivuto abbhokāse nisinno hoti. Atha kho bhagavā te kulaputte ārabbha bhikkhū āmantesi – ‘‘ye te, bhikkhave, kulaputtā mamaṃ uddissa saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā, kacci te, bhikkhave, bhikkhū abhiratā brahmacariye’’ti? Evaṃ vutte, te bhikkhū tuṇhī ahesuṃ. Dutiyampi kho bhagavā te kulaputte ārabbha bhikkhū āmantesi – ‘‘ye te, bhikkhave, kulaputtā mamaṃ uddissa saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā, kacci te, bhikkhave, bhikkhū abhiratā brahmacariye’’ti? Dutiyampi kho te bhikkhū tuṇhī ahesuṃ. Tatiyampi kho bhagavā te kulaputte ārabbha bhikkhū āmantesi – ‘‘ye te, bhikkhave, kulaputtā mamaṃ uddissa saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā , kacci te, bhikkhave, bhikkhū abhiratā brahmacariye’’ti? Tatiyampi kho te bhikkhū tuṇhī ahesuṃ.

    ๑๖๗. อถ โข ภควโต เอตทโหสิ – ‘‘ยํนูนาหํ เต กุลปุเตฺต ปุเจฺฉยฺย’’นฺติ! อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อนุรุทฺธํ อามเนฺตสิ – ‘‘กจฺจิ ตุเมฺห, อนุรุทฺธา, อภิรตา พฺรหฺมจริเย’’ติ? ‘‘ตคฺฆ มยํ, ภเนฺต, อภิรตา พฺรหฺมจริเย’’ติฯ ‘‘สาธุ สาธุ, อนุรุทฺธา! เอตํ โข, อนุรุทฺธา, ตุมฺหากํ ปติรูปํ กุลปุตฺตานํ สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตานํ ยํ ตุเมฺห อภิรเมยฺยาถ พฺรหฺมจริเยฯ เยน ตุเมฺห อนุรุทฺธา, ภเทฺรน โยพฺพเนน สมนฺนาคตา ปฐเมน วยสา สุสุกาฬเกสา กาเม ปริภุเญฺชยฺยาถ เตน ตุเมฺห, อนุรุทฺธา, ภเทฺรนปิ โยพฺพเนน สมนฺนาคตา ปฐเมน วยสา สุสุกาฬเกสา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตาฯ เต จ โข ปน ตุเมฺห, อนุรุทฺธา, เนว ราชาภินีตา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา, น โจราภินีตา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา, น อิณฎฺฎา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา, น ภยฎฺฎา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา, นาชีวิกาปกตา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตาฯ อปิ จ โขมฺหิ โอติโณฺณ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุเกฺขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, ทุโกฺขติโณฺณ ทุกฺขปเรโต; อเปฺปว นาม อิมสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส อนฺตกิริยา ปญฺญาเยถาติ – นนุ ตุเมฺห, อนุรุทฺธา, เอวํ สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา’’ติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘เอวํ ปพฺพชิเตน จ ปน, อนุรุทฺธา, กุลปุเตฺตน กิมสฺส กรณียํ? วิเวกํ, อนุรุทฺธา, กาเมหิ วิเวกํ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ ปีติสุขํ นาธิคจฺฉติ อญฺญํ วา 7 ตโต สนฺตตรํ, ตสฺส อภิชฺฌาปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐติ, พฺยาปาโทปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐติ, ถีนมิทฺธมฺปิ 8 จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐติ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจมฺปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐติ, วิจิกิจฺฉาปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐติ, อรตีปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐติ, ตนฺทีปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐติฯ วิเวกํ, อนุรุทฺธา, กาเมหิ วิเวกํ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ ปีติสุขํ นาธิคจฺฉติ อญฺญํ วา ตโต สนฺตตรํ’’ฯ

    167. Atha kho bhagavato etadahosi – ‘‘yaṃnūnāhaṃ te kulaputte puccheyya’’nti! Atha kho bhagavā āyasmantaṃ anuruddhaṃ āmantesi – ‘‘kacci tumhe, anuruddhā, abhiratā brahmacariye’’ti? ‘‘Taggha mayaṃ, bhante, abhiratā brahmacariye’’ti. ‘‘Sādhu sādhu, anuruddhā! Etaṃ kho, anuruddhā, tumhākaṃ patirūpaṃ kulaputtānaṃ saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitānaṃ yaṃ tumhe abhirameyyātha brahmacariye. Yena tumhe anuruddhā, bhadrena yobbanena samannāgatā paṭhamena vayasā susukāḷakesā kāme paribhuñjeyyātha tena tumhe, anuruddhā, bhadrenapi yobbanena samannāgatā paṭhamena vayasā susukāḷakesā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā. Te ca kho pana tumhe, anuruddhā, neva rājābhinītā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā, na corābhinītā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā, na iṇaṭṭā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā, na bhayaṭṭā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā, nājīvikāpakatā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā. Api ca khomhi otiṇṇo jātiyā jarāya maraṇena sokehi paridevehi dukkhehi domanassehi upāyāsehi, dukkhotiṇṇo dukkhapareto; appeva nāma imassa kevalassa dukkhakkhandhassa antakiriyā paññāyethāti – nanu tumhe, anuruddhā, evaṃ saddhā agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā’’ti? ‘‘Evaṃ, bhante’’. ‘‘Evaṃ pabbajitena ca pana, anuruddhā, kulaputtena kimassa karaṇīyaṃ? Vivekaṃ, anuruddhā, kāmehi vivekaṃ akusalehi dhammehi pītisukhaṃ nādhigacchati aññaṃ vā 9 tato santataraṃ, tassa abhijjhāpi cittaṃ pariyādāya tiṭṭhati, byāpādopi cittaṃ pariyādāya tiṭṭhati, thīnamiddhampi 10 cittaṃ pariyādāya tiṭṭhati uddhaccakukkuccampi cittaṃ pariyādāya tiṭṭhati, vicikicchāpi cittaṃ pariyādāya tiṭṭhati, aratīpi cittaṃ pariyādāya tiṭṭhati, tandīpi cittaṃ pariyādāya tiṭṭhati. Vivekaṃ, anuruddhā, kāmehi vivekaṃ akusalehi dhammehi pītisukhaṃ nādhigacchati aññaṃ vā tato santataraṃ’’.

    ‘‘วิเวกํ, อนุรุทฺธา, กาเมหิ วิเวกํ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ ปีติสุขํ อธิคจฺฉติ อญฺญํ วา ตโต สนฺตตรํ, ตสฺส อภิชฺฌาปิ จิตฺตํ น ปริยาทาย ติฎฺฐติ, พฺยาปาโทปิ จิตฺตํ น ปริยาทาย ติฎฺฐติ, ถีนมิทฺธมฺปิ จิตฺตํ น ปริยาทาย ติฎฺฐติ, อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจมฺปิ จิตฺตํ น ปริยาทาย ติฎฺฐติ, วิจิกิจฺฉาปิ จิตฺตํ น ปริยาทาย ติฎฺฐติ, อรตีปิ จิตฺตํ น ปริยาทาย ติฎฺฐติ, ตนฺทีปิ จิตฺตํ น ปริยาทาย ติฎฺฐติฯ วิเวกํ, อนุรุทฺธา, กาเมหิ วิเวกํ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ ปีติสุขํ อธิคจฺฉติ อญฺญํ วา ตโต สนฺตตรํฯ

    ‘‘Vivekaṃ, anuruddhā, kāmehi vivekaṃ akusalehi dhammehi pītisukhaṃ adhigacchati aññaṃ vā tato santataraṃ, tassa abhijjhāpi cittaṃ na pariyādāya tiṭṭhati, byāpādopi cittaṃ na pariyādāya tiṭṭhati, thīnamiddhampi cittaṃ na pariyādāya tiṭṭhati, uddhaccakukkuccampi cittaṃ na pariyādāya tiṭṭhati, vicikicchāpi cittaṃ na pariyādāya tiṭṭhati, aratīpi cittaṃ na pariyādāya tiṭṭhati, tandīpi cittaṃ na pariyādāya tiṭṭhati. Vivekaṃ, anuruddhā, kāmehi vivekaṃ akusalehi dhammehi pītisukhaṃ adhigacchati aññaṃ vā tato santataraṃ.

    ๑๖๘. ‘‘กินฺติ โว, อนุรุทฺธา, มยิ โหติ – ‘เย อาสวา สํกิเลสิกา โปโนพฺภวิกา 11 สทรา ทุกฺขวิปากา อายติํ ชาติชรามรณิยา, อปฺปหีนา เต ตถาคตสฺส; ตสฺมา ตถาคโต สงฺขาเยกํ ปฎิเสวติ, สงฺขาเยกํ อธิวาเสติ, สงฺขาเยกํ ปริวเชฺชติ, สงฺขาเยกํ วิโนเทตี’’’ติ? ‘‘น โข โน, ภเนฺต, ภควติ เอวํ โหติ – ‘เย อาสวา สํกิเลสิกา โปโนพฺภวิกา สทรา ทุกฺขวิปากา อายติํ ชาติชรามรณิยา, อปฺปหีนา เต ตถาคตสฺส; ตสฺมา ตถาคโต สงฺขาเยกํ ปฎิเสวติ, สงฺขาเยกํ อธิวาเสติ, สงฺขาเยกํ ปริวเชฺชติ, สงฺขาเยกํ วิโนเทตี’ติฯ เอวํ โข โน, ภเนฺต, ภควติ โหติ – ‘เย อาสวา สํกิเลสิกา โปโนพฺภวิกา สทรา ทุกฺขวิปากา อายติํ ชาติชรามรณิยา, ปหีนา เต ตถาคตสฺส; ตสฺมา ตถาคโต สงฺขาเยกํ ปฎิเสวติ, สงฺขาเยกํ อธิวาเสติ, สงฺขาเยกํ ปริวเชฺชติ, สงฺขาเยกํ วิโนเทตี’’’ติฯ ‘‘สาธุ สาธุ, อนุรุทฺธา! ตถาคตสฺส, อนุรุทฺธา, เย อาสวา สํกิเลสิกา โปโนพฺภวิกา สทรา ทุกฺขวิปากา อายติํ ชาติชรามรณิยา, ปหีนา เต อุจฺฉินฺนมูลา ตาลาวตฺถุกตา อนภาวํกตา อายติํ อนุปฺปาทธมฺมาฯ เสยฺยถาปิ, อนุรุทฺธา, ตาโล มตฺถกจฺฉิโนฺน อภโพฺพ ปุนวิรูฬฺหิยา; เอวเมว โข, อนุรุทฺธา , ตถาคตสฺส เย อาสวา สํกิเลสิกา โปโนพฺภวิกา สทรา ทุกฺขวิปากา อายติํ ชาติชรามรณิยา, ปหีนา เต อุจฺฉินฺนมูลา ตาลาวตฺถุกตา อนภาวํกตา อายติํ อนุปฺปาทธมฺมา; ตสฺมา ตถาคโต สงฺขาเยกํ ปฎิเสวติ, สงฺขาเยกํ อธิวาเสติ, สงฺขาเยกํ ปริวเชฺชติ, สงฺขาเยกํ วิโนเทติ’’ฯ

    168. ‘‘Kinti vo, anuruddhā, mayi hoti – ‘ye āsavā saṃkilesikā ponobbhavikā 12 sadarā dukkhavipākā āyatiṃ jātijarāmaraṇiyā, appahīnā te tathāgatassa; tasmā tathāgato saṅkhāyekaṃ paṭisevati, saṅkhāyekaṃ adhivāseti, saṅkhāyekaṃ parivajjeti, saṅkhāyekaṃ vinodetī’’’ti? ‘‘Na kho no, bhante, bhagavati evaṃ hoti – ‘ye āsavā saṃkilesikā ponobbhavikā sadarā dukkhavipākā āyatiṃ jātijarāmaraṇiyā, appahīnā te tathāgatassa; tasmā tathāgato saṅkhāyekaṃ paṭisevati, saṅkhāyekaṃ adhivāseti, saṅkhāyekaṃ parivajjeti, saṅkhāyekaṃ vinodetī’ti. Evaṃ kho no, bhante, bhagavati hoti – ‘ye āsavā saṃkilesikā ponobbhavikā sadarā dukkhavipākā āyatiṃ jātijarāmaraṇiyā, pahīnā te tathāgatassa; tasmā tathāgato saṅkhāyekaṃ paṭisevati, saṅkhāyekaṃ adhivāseti, saṅkhāyekaṃ parivajjeti, saṅkhāyekaṃ vinodetī’’’ti. ‘‘Sādhu sādhu, anuruddhā! Tathāgatassa, anuruddhā, ye āsavā saṃkilesikā ponobbhavikā sadarā dukkhavipākā āyatiṃ jātijarāmaraṇiyā, pahīnā te ucchinnamūlā tālāvatthukatā anabhāvaṃkatā āyatiṃ anuppādadhammā. Seyyathāpi, anuruddhā, tālo matthakacchinno abhabbo punavirūḷhiyā; evameva kho, anuruddhā , tathāgatassa ye āsavā saṃkilesikā ponobbhavikā sadarā dukkhavipākā āyatiṃ jātijarāmaraṇiyā, pahīnā te ucchinnamūlā tālāvatthukatā anabhāvaṃkatā āyatiṃ anuppādadhammā; tasmā tathāgato saṅkhāyekaṃ paṭisevati, saṅkhāyekaṃ adhivāseti, saṅkhāyekaṃ parivajjeti, saṅkhāyekaṃ vinodeti’’.

    ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, อนุรุทฺธา, กํ อตฺถวสํ สมฺปสฺสมาโน ตถาคโต สาวเก อพฺภตีเต กาลงฺกเต อุปปตฺตีสุ พฺยากโรติ – ‘อสุ อมุตฺร อุปปโนฺน; อสุ อมุตฺร อุปปโนฺน’’’ติ? ‘‘ภควํมูลกา โน, ภเนฺต, ธมฺมา ภควํเนตฺติกา ภควํปฎิสรณาฯ สาธุ วต, ภเนฺต, ภควนฺตํเยว ปฎิภาตุ เอตสฺส ภาสิตสฺส อโตฺถฯ ภควโต สุตฺวา ภิกฺขู ธาเรสฺสนฺตี’’ติ ฯ ‘‘น โข, อนุรุทฺธา, ตถาคโต ชนกุหนตฺถํ น ชนลปนตฺถํ น ลาภสกฺการสิโลกานิสํสตฺถํ น ‘อิติ มํ ชโน ชานาตู’ติ สาวเก อพฺภตีเต กาลงฺกเต อุปปตฺตีสุ พฺยากโรติ – ‘อสุ อมุตฺร อุปปโนฺน, อสุ อมุตฺร อุปปโนฺน’ติฯ สนฺติ จ โข, อนุรุทฺธา, กุลปุตฺตา สทฺธา อุฬารเวทา อุฬารปาโมชฺชาฯ เต ตํ สุตฺวา ตทตฺถาย จิตฺตํ อุปสํหรนฺติฯ เตสํ ตํ, อนุรุทฺธา, โหติ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย’’ฯ

    ‘‘Taṃ kiṃ maññasi, anuruddhā, kaṃ atthavasaṃ sampassamāno tathāgato sāvake abbhatīte kālaṅkate upapattīsu byākaroti – ‘asu amutra upapanno; asu amutra upapanno’’’ti? ‘‘Bhagavaṃmūlakā no, bhante, dhammā bhagavaṃnettikā bhagavaṃpaṭisaraṇā. Sādhu vata, bhante, bhagavantaṃyeva paṭibhātu etassa bhāsitassa attho. Bhagavato sutvā bhikkhū dhāressantī’’ti . ‘‘Na kho, anuruddhā, tathāgato janakuhanatthaṃ na janalapanatthaṃ na lābhasakkārasilokānisaṃsatthaṃ na ‘iti maṃ jano jānātū’ti sāvake abbhatīte kālaṅkate upapattīsu byākaroti – ‘asu amutra upapanno, asu amutra upapanno’ti. Santi ca kho, anuruddhā, kulaputtā saddhā uḷāravedā uḷārapāmojjā. Te taṃ sutvā tadatthāya cittaṃ upasaṃharanti. Tesaṃ taṃ, anuruddhā, hoti dīgharattaṃ hitāya sukhāya’’.

    ๑๖๙. ‘‘อิธานุรุทฺธา, ภิกฺขุ สุณาติ – ‘อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ กาลงฺกโต 13; โส ภควตา พฺยากโต – อญฺญาย สณฺฐหี’ติฯ โส โข ปนสฺส อายสฺมา สามํ ทิโฎฺฐ วา โหติ อนุสฺสวสฺสุโต วา – ‘เอวํสีโล โส อายสฺมา อโหสิ อิติปิ, เอวํธโมฺม โส อายสฺมา อโหสิ อิติปิ, เอวํปโญฺญ โส อายสฺมา อโหสิ อิติปิ, เอวํวิหารี โส อายสฺมา อโหสิ อิติปิ, เอวํวิมุโตฺต โส อายสฺมา อโหสิ อิติปี’ติฯ โส ตสฺส สทฺธญฺจ สีลญฺจ สุตญฺจ จาคญฺจ ปญฺญญฺจ อนุสฺสรโนฺต ตทตฺถาย จิตฺตํ อุปสํหรติฯ เอวมฺปิ โข, อนุรุทฺธา, ภิกฺขุโน ผาสุวิหาโร โหติฯ

    169. ‘‘Idhānuruddhā, bhikkhu suṇāti – ‘itthannāmo bhikkhu kālaṅkato 14; so bhagavatā byākato – aññāya saṇṭhahī’ti. So kho panassa āyasmā sāmaṃ diṭṭho vā hoti anussavassuto vā – ‘evaṃsīlo so āyasmā ahosi itipi, evaṃdhammo so āyasmā ahosi itipi, evaṃpañño so āyasmā ahosi itipi, evaṃvihārī so āyasmā ahosi itipi, evaṃvimutto so āyasmā ahosi itipī’ti. So tassa saddhañca sīlañca sutañca cāgañca paññañca anussaranto tadatthāya cittaṃ upasaṃharati. Evampi kho, anuruddhā, bhikkhuno phāsuvihāro hoti.

    ‘‘อิธานุรุทฺธา , ภิกฺขุ สุณาติ – ‘อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ กาลงฺกโต; โส ภควตา พฺยากโต – ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติโก ตตฺถ ปรินิพฺพายี อนาวตฺติธโมฺม ตสฺมา โลกา’ติฯ โส โข ปนสฺส อายสฺมา สามํ ทิโฎฺฐ วา โหติ อนุสฺสวสฺสุโต วา – ‘เอวํสีโล โส อายสฺมา อโหสิ อิติปิ, เอวํธโมฺม…เป.… เอวํปโญฺญ… เอวํวิหารี… เอวํวิมุโตฺต โส อายสฺมา อโหสิ อิติปี’ติฯ โส ตสฺส สทฺธญฺจ สีลญฺจ สุตญฺจ จาคญฺจ ปญฺญญฺจ อนุสฺสรโนฺต ตทตฺถาย จิตฺตํ อุปสํหรติฯ เอวมฺปิ โข, อนุรุทฺธา, ภิกฺขุโน ผาสุวิหาโร โหติฯ

    ‘‘Idhānuruddhā , bhikkhu suṇāti – ‘itthannāmo bhikkhu kālaṅkato; so bhagavatā byākato – pañcannaṃ orambhāgiyānaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā opapātiko tattha parinibbāyī anāvattidhammo tasmā lokā’ti. So kho panassa āyasmā sāmaṃ diṭṭho vā hoti anussavassuto vā – ‘evaṃsīlo so āyasmā ahosi itipi, evaṃdhammo…pe… evaṃpañño… evaṃvihārī… evaṃvimutto so āyasmā ahosi itipī’ti. So tassa saddhañca sīlañca sutañca cāgañca paññañca anussaranto tadatthāya cittaṃ upasaṃharati. Evampi kho, anuruddhā, bhikkhuno phāsuvihāro hoti.

    ‘‘อิธานุรุทฺธา, ภิกฺขุ สุณาติ – ‘อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ กาลงฺกโต; โส ภควตา พฺยากโต – ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา ราคโทสโมหานํ ตนุตฺตา สกทาคามี สกิเทว อิมํ โลกํ อาคนฺตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสตี’ติฯ โส โข ปนสฺส อายสฺมา สามํ ทิโฎฺฐ วา โหติ อนุสฺสวสฺสุโต วา – ‘เอวํสีโล โส อายสฺมา อโหสิ อิติปิ, เอวํธโมฺม…เป.… เอวํปโญฺญ… เอวํวิหารี… เอวํวิมุโตฺต โส อายสฺมา อโหสิ อิติปี’ติฯ โส ตสฺส สทฺธญฺจ สีลญฺจ สุตญฺจ จาคญฺจ ปญฺญญฺจ อนุสฺสรโนฺต ตทตฺถาย จิตฺตํ อุปสํหรติฯ เอวมฺปิ โข, อนุรุทฺธา, ภิกฺขุโน ผาสุวิหาโร โหติฯ

    ‘‘Idhānuruddhā, bhikkhu suṇāti – ‘itthannāmo bhikkhu kālaṅkato; so bhagavatā byākato – tiṇṇaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā rāgadosamohānaṃ tanuttā sakadāgāmī sakideva imaṃ lokaṃ āgantvā dukkhassantaṃ karissatī’ti. So kho panassa āyasmā sāmaṃ diṭṭho vā hoti anussavassuto vā – ‘evaṃsīlo so āyasmā ahosi itipi, evaṃdhammo…pe… evaṃpañño… evaṃvihārī… evaṃvimutto so āyasmā ahosi itipī’ti. So tassa saddhañca sīlañca sutañca cāgañca paññañca anussaranto tadatthāya cittaṃ upasaṃharati. Evampi kho, anuruddhā, bhikkhuno phāsuvihāro hoti.

    ‘‘อิธานุรุทฺธา, ภิกฺขุ สุณาติ – ‘อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ กาลงฺกโต; โส ภควตา พฺยากโต – ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โสตาปโนฺน อวินิปาตธโมฺม นิยโต สโมฺพธิปรายโณ’ติฯ โส โข ปนสฺส อายสฺมา สามํ ทิโฎฺฐ วา โหติ อนุสฺสวสฺสุโต วา – ‘เอวํสีโล โส อายสฺมา อโหสิ อิติปิ, เอวํธโมฺม…เป.… เอวํปโญฺญ… เอวํวิหารี… เอวํวิมุโตฺต โส อายสฺมา อโหสิ อิติปี’ติฯ โส ตสฺส สทฺธญฺจ สีลญฺจ สุตญฺจ จาคญฺจ ปญฺญญฺจ อนุสฺสรโนฺต ตทตฺถาย จิตฺตํ อุปสํหรติฯ เอวมฺปิ โข, อนุรุทฺธา, ภิกฺขุโน ผาสุวิหาโร โหติฯ

    ‘‘Idhānuruddhā, bhikkhu suṇāti – ‘itthannāmo bhikkhu kālaṅkato; so bhagavatā byākato – tiṇṇaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā sotāpanno avinipātadhammo niyato sambodhiparāyaṇo’ti. So kho panassa āyasmā sāmaṃ diṭṭho vā hoti anussavassuto vā – ‘evaṃsīlo so āyasmā ahosi itipi, evaṃdhammo…pe… evaṃpañño… evaṃvihārī… evaṃvimutto so āyasmā ahosi itipī’ti. So tassa saddhañca sīlañca sutañca cāgañca paññañca anussaranto tadatthāya cittaṃ upasaṃharati. Evampi kho, anuruddhā, bhikkhuno phāsuvihāro hoti.

    ๑๗๐. ‘‘อิธานุรุทฺธา, ภิกฺขุนี สุณาติ – ‘อิตฺถนฺนามา ภิกฺขุนี กาลงฺกตา; สา ภควตา พฺยากตา – อญฺญาย สณฺฐหี’ติฯ สา โข ปนสฺสา ภคินี สามํ ทิฎฺฐา วา โหติ อนุสฺสวสฺสุตา วา – ‘เอวํสีลา สา ภคินี อโหสิ อิติปิ, เอวํธมฺมา สา ภคินี อโหสิ อิติปิ , เอวํปญฺญา สา ภคินี อโหสิ อิติปิ, เอวํวิหารินี สา ภคินี อโหสิ อิติปิ, เอวํวิมุตฺตา สา ภคินี อโหสิ อิติปี’ติฯ สา ตสฺสา สทฺธญฺจ สีลญฺจ สุตญฺจ จาคญฺจ ปญฺญญฺจ อนุสฺสรนฺตี ตทตฺถาย จิตฺตํ อุปสํหรติฯ เอวมฺปิ โข, อนุรุทฺธา, ภิกฺขุนิยา ผาสุวิหาโร โหติฯ

    170. ‘‘Idhānuruddhā, bhikkhunī suṇāti – ‘itthannāmā bhikkhunī kālaṅkatā; sā bhagavatā byākatā – aññāya saṇṭhahī’ti. Sā kho panassā bhaginī sāmaṃ diṭṭhā vā hoti anussavassutā vā – ‘evaṃsīlā sā bhaginī ahosi itipi, evaṃdhammā sā bhaginī ahosi itipi , evaṃpaññā sā bhaginī ahosi itipi, evaṃvihārinī sā bhaginī ahosi itipi, evaṃvimuttā sā bhaginī ahosi itipī’ti. Sā tassā saddhañca sīlañca sutañca cāgañca paññañca anussarantī tadatthāya cittaṃ upasaṃharati. Evampi kho, anuruddhā, bhikkhuniyā phāsuvihāro hoti.

    ‘‘อิธานุรุทฺธา , ภิกฺขุนี สุณาติ – ‘อิตฺถนฺนามา ภิกฺขุนี กาลงฺกตา; สา ภควตา พฺยากตา – ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติกา ตตฺถ ปรินิพฺพายินี อนาวตฺติธมฺมา ตสฺมา โลกา’ติฯ สา โข ปนสฺสา ภคินี สามํ ทิฎฺฐา วา โหติ อนุสฺสวสฺสุตา วา – ‘เอวํสีลา สา ภคินี อโหสิ อิติปิ, เอวํธมฺมา…เป.… เอวํปญฺญา… เอวํวิหารินี… เอวํวิมุตฺตา สา ภคินี อโหสิ อิติปี’ติฯ สา ตสฺสา สทฺธญฺจ สีลญฺจ สุตญฺจ จาคญฺจ ปญฺญญฺจ อนุสฺสรนฺตี ตทตฺถาย จิตฺตํ อุปสํหรติฯ เอวมฺปิ โข, อนุรุทฺธา, ภิกฺขุนิยา ผาสุวิหาโร โหติฯ

    ‘‘Idhānuruddhā , bhikkhunī suṇāti – ‘itthannāmā bhikkhunī kālaṅkatā; sā bhagavatā byākatā – pañcannaṃ orambhāgiyānaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā opapātikā tattha parinibbāyinī anāvattidhammā tasmā lokā’ti. Sā kho panassā bhaginī sāmaṃ diṭṭhā vā hoti anussavassutā vā – ‘evaṃsīlā sā bhaginī ahosi itipi, evaṃdhammā…pe… evaṃpaññā… evaṃvihārinī… evaṃvimuttā sā bhaginī ahosi itipī’ti. Sā tassā saddhañca sīlañca sutañca cāgañca paññañca anussarantī tadatthāya cittaṃ upasaṃharati. Evampi kho, anuruddhā, bhikkhuniyā phāsuvihāro hoti.

    ‘‘อิธานุรุทฺธา, ภิกฺขุนี สุณาติ – ‘อิตฺถนฺนามา ภิกฺขุนี กาลงฺกตา; สา ภควตา พฺยากตา – ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา ราคโทสโมหานํ ตนุตฺตา สกทาคามินี สกิเทว อิมํ โลกํ อาคนฺตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสตี’ติฯ สา โข ปนสฺสา ภคินี สามํ ทิฎฺฐา วา โหติ อนุสฺสวสฺสุตา วา – ‘เอวํสีลา สา ภคินี อโหสิ อิติปิ, เอวํธมฺมา…เป.… เอวํปญฺญา… เอวํวิหารินี… เอวํวิมุตฺตา สา ภคินี อโหสิ อิติปี’ติฯ สา ตสฺสา สทฺธญฺจ สีลญฺจ สุตญฺจ จาคญฺจ ปญฺญญฺจ อนุสฺสรนฺตี ตทตฺถาย จิตฺตํ อุปสํหรติฯ เอวมฺปิ โข, อนุรุทฺธา, ภิกฺขุนิยา ผาสุวิหาโร โหติฯ

    ‘‘Idhānuruddhā, bhikkhunī suṇāti – ‘itthannāmā bhikkhunī kālaṅkatā; sā bhagavatā byākatā – tiṇṇaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā rāgadosamohānaṃ tanuttā sakadāgāminī sakideva imaṃ lokaṃ āgantvā dukkhassantaṃ karissatī’ti. Sā kho panassā bhaginī sāmaṃ diṭṭhā vā hoti anussavassutā vā – ‘evaṃsīlā sā bhaginī ahosi itipi, evaṃdhammā…pe… evaṃpaññā… evaṃvihārinī… evaṃvimuttā sā bhaginī ahosi itipī’ti. Sā tassā saddhañca sīlañca sutañca cāgañca paññañca anussarantī tadatthāya cittaṃ upasaṃharati. Evampi kho, anuruddhā, bhikkhuniyā phāsuvihāro hoti.

    ‘‘อิธานุรุทฺธา, ภิกฺขุนี สุณาติ – ‘อิตฺถนฺนามา ภิกฺขุนี กาลงฺกตา; สา ภควตา พฺยากตา – ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โสตาปนฺนา อวินิปาตธมฺมา นิยตา สโมฺพธิปรายณา’ติ ฯ สา โข ปนสฺสา ภคินี สามํ ทิฎฺฐา วา โหติ อนุสฺสวสฺสุตา วา – ‘เอวํสีลา สา ภคินี อโหสิ อิติปิ, เอวํธมฺมา… เอวํปญฺญา… เอวํวิหารินี… เอวํวิมุตฺตา สา ภคินี อโหสิ อิติปี’ติฯ สา ตสฺสา สทฺธญฺจ สีลญฺจ สุตญฺจ จาคญฺจ ปญฺญญฺจ อนุสฺสรนฺตี ตทตฺถาย จิตฺตํ อุปสํหรติฯ เอวมฺปิ โข, อนุรุทฺธา, ภิกฺขุนิยา ผาสุวิหาโร โหติฯ

    ‘‘Idhānuruddhā, bhikkhunī suṇāti – ‘itthannāmā bhikkhunī kālaṅkatā; sā bhagavatā byākatā – tiṇṇaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā sotāpannā avinipātadhammā niyatā sambodhiparāyaṇā’ti . Sā kho panassā bhaginī sāmaṃ diṭṭhā vā hoti anussavassutā vā – ‘evaṃsīlā sā bhaginī ahosi itipi, evaṃdhammā… evaṃpaññā… evaṃvihārinī… evaṃvimuttā sā bhaginī ahosi itipī’ti. Sā tassā saddhañca sīlañca sutañca cāgañca paññañca anussarantī tadatthāya cittaṃ upasaṃharati. Evampi kho, anuruddhā, bhikkhuniyā phāsuvihāro hoti.

    ๑๗๑. ‘‘อิธานุรุทฺธา, อุปาสโก สุณาติ – ‘อิตฺถนฺนาโม อุปาสโก กาลงฺกโต; โส ภควตา พฺยากโต – ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติโก ตตฺถ ปรินิพฺพายี อนาวตฺติธโมฺม ตสฺมา โลกา’ติฯ โส โข ปนสฺส อายสฺมา สามํ ทิโฎฺฐ วา โหติ อนุสฺสวสฺสุโต วา – ‘เอวํสีโล โส อายสฺมา อโหสิ อิติปิ, เอวํธโมฺม โส อายสฺมา อโหสิ อิติปิ, เอวํปโญฺญ โส อายสฺมา อโหสิ อิติปิ, เอวํวิหารี โส อายสฺมา อโหสิ อิติปิ, เอวํวิมุโตฺต โส อายสฺมา อโหสิ อิติปี’ติฯ โส ตสฺส สทฺธญฺจ สุตญฺจ จาคญฺจ ปญฺญญฺจ อนุสฺสรโนฺต ตทตฺถาย จิตฺตํ อุปสํหรติฯ เอวมฺปิ โข, อนุรุทฺธา, อุปาสกสฺส ผาสุวิหาโร โหติฯ

    171. ‘‘Idhānuruddhā, upāsako suṇāti – ‘itthannāmo upāsako kālaṅkato; so bhagavatā byākato – pañcannaṃ orambhāgiyānaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā opapātiko tattha parinibbāyī anāvattidhammo tasmā lokā’ti. So kho panassa āyasmā sāmaṃ diṭṭho vā hoti anussavassuto vā – ‘evaṃsīlo so āyasmā ahosi itipi, evaṃdhammo so āyasmā ahosi itipi, evaṃpañño so āyasmā ahosi itipi, evaṃvihārī so āyasmā ahosi itipi, evaṃvimutto so āyasmā ahosi itipī’ti. So tassa saddhañca sutañca cāgañca paññañca anussaranto tadatthāya cittaṃ upasaṃharati. Evampi kho, anuruddhā, upāsakassa phāsuvihāro hoti.

    ‘‘อิธานุรุทฺธา, อุปาสโก สุณาติ – ‘อิตฺถนฺนาโม อุปาสโก กาลงฺกโต; โส ภควตา พฺยากโต – ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา ราคโทสโมหานํ ตนุตฺตา สกทาคามี สกิเทว อิมํ โลกํ อาคนฺตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสตี’ติฯ โส โข ปนสฺส อายสฺมา สามํ ทิโฎฺฐ วา โหติ อนุสฺสวสฺสุโต วา – ‘เอวํสีโล โส อายสฺมา อโหสิ อิติปิ, เอวํธโมฺม… เอวํปโญฺญ… เอวํวิหารี… เอวํวิมุโตฺต โส อายสฺมา อโหสิ อิติปี’ติฯ โส ตสฺส สทฺธญฺจ สีลญฺจ สุตญฺจ จาคญฺจ ปญฺญญฺจ อนุสฺสรโนฺต ตทตฺถาย จิตฺตํ อุปสํหรติฯ เอวมฺปิ โข, อนุรุทฺธา, อุปาสกสฺส ผาสุวิหาโร โหติฯ

    ‘‘Idhānuruddhā, upāsako suṇāti – ‘itthannāmo upāsako kālaṅkato; so bhagavatā byākato – tiṇṇaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā rāgadosamohānaṃ tanuttā sakadāgāmī sakideva imaṃ lokaṃ āgantvā dukkhassantaṃ karissatī’ti. So kho panassa āyasmā sāmaṃ diṭṭho vā hoti anussavassuto vā – ‘evaṃsīlo so āyasmā ahosi itipi, evaṃdhammo… evaṃpañño… evaṃvihārī… evaṃvimutto so āyasmā ahosi itipī’ti. So tassa saddhañca sīlañca sutañca cāgañca paññañca anussaranto tadatthāya cittaṃ upasaṃharati. Evampi kho, anuruddhā, upāsakassa phāsuvihāro hoti.

    ‘‘อิธานุรุทฺธา, อุปาสโก สุณาติ – ‘อิตฺถนฺนาโม อุปาสโก กาลงฺกโต; โส ภควตา พฺยากโต – ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โสตาปโนฺน อวินิปาตธโมฺม นิยโต สโมฺพธิปรายโณ’ติฯ โส โข ปนสฺส อายสฺมา สามํ ทิโฎฺฐ วา โหติ อนุสฺสวสฺสุโต วา – ‘เอวํสีโล โส อายสฺมา อโหสิ อิติปิ, เอวํธโมฺม…เป.… เอวํปโญฺญ… เอวํวิหารี… เอวํวิมุโตฺต โส อายสฺมา อโหสิ อิติปี’ติฯ โส ตสฺส สทฺธญฺจ สีลญฺจ สุตญฺจ จาคญฺจ ปญฺญญฺจ อนุสฺสรโนฺต ตทตฺถาย จิตฺตํ อุปสํหรติฯ เอวมฺปิ โข, อนุรุทฺธา อุปาสกสฺส ผาสุวิหาโร โหติฯ

    ‘‘Idhānuruddhā, upāsako suṇāti – ‘itthannāmo upāsako kālaṅkato; so bhagavatā byākato – tiṇṇaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā sotāpanno avinipātadhammo niyato sambodhiparāyaṇo’ti. So kho panassa āyasmā sāmaṃ diṭṭho vā hoti anussavassuto vā – ‘evaṃsīlo so āyasmā ahosi itipi, evaṃdhammo…pe… evaṃpañño… evaṃvihārī… evaṃvimutto so āyasmā ahosi itipī’ti. So tassa saddhañca sīlañca sutañca cāgañca paññañca anussaranto tadatthāya cittaṃ upasaṃharati. Evampi kho, anuruddhā upāsakassa phāsuvihāro hoti.

    ๑๗๒. ‘‘อิธานุรุทฺธา , อุปาสิกา สุณาติ – ‘อิตฺถนฺนามา อุปาสิกา กาลงฺกตา; สา ภควตา พฺยากตา – ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติกา ตตฺถ ปรินิพฺพายินี อนาวตฺติธมฺมา ตสฺมา โลกา’ติฯ สา โข ปนสฺสา ภคินี สามํ ทิฎฺฐา วา โหติ อนุสฺสวสฺสุตา วา – ‘เอวํสีลา สา ภคินี อโหสิ อิติปิ, เอวํธมฺมา… เอวํปญฺญา… เอวํวิหารินี… เอวํวิมุตฺตา สา ภคินี อโหสิ อิติปี’ติฯ สา ตสฺสา สทฺธญฺจ สีลญฺจ สุตญฺจ จาคญฺจ ปญฺญญฺจ อนุสฺสรนฺตี ตทตฺถาย จิตฺตํ อุปสํหรติฯ เอวมฺปิ โข, อนุรุทฺธา, อุปาสิกาย ผาสุวิหาโร โหติฯ

    172. ‘‘Idhānuruddhā , upāsikā suṇāti – ‘itthannāmā upāsikā kālaṅkatā; sā bhagavatā byākatā – pañcannaṃ orambhāgiyānaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā opapātikā tattha parinibbāyinī anāvattidhammā tasmā lokā’ti. Sā kho panassā bhaginī sāmaṃ diṭṭhā vā hoti anussavassutā vā – ‘evaṃsīlā sā bhaginī ahosi itipi, evaṃdhammā… evaṃpaññā… evaṃvihārinī… evaṃvimuttā sā bhaginī ahosi itipī’ti. Sā tassā saddhañca sīlañca sutañca cāgañca paññañca anussarantī tadatthāya cittaṃ upasaṃharati. Evampi kho, anuruddhā, upāsikāya phāsuvihāro hoti.

    ‘‘อิธานุรุทฺธา, อุปาสิกา สุณาติ – ‘อิตฺถนฺนามา อุปาสิกา กาลงฺกตา; สา ภควตา พฺยากตา – ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา ราคโทสโมหานํ ตนุตฺตา สกทาคามินี สกิเทว อิมํ โลกํ อาคนฺตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสตี’ติฯ สา โข ปนสฺสา ภคินี สามํ ทิฎฺฐา วา โหติ อนุสฺสวสฺสุตา วา – ‘เอวํสีลา สา ภคินี อโหสิ อิติปิ, เอวํธมฺมา… เอวํปญฺญา… เอวํวิหารินี… เอวํวิมุตฺตา สา ภคินี อโหสิ อิติปี’ติฯ สา ตสฺสา สทฺธญฺจ สีลญฺจ สุตญฺจ จาคญฺจ ปญฺญญฺจ อนุสฺสรนฺตี ตทตฺถาย จิตฺตํ อุปสํหรติฯ เอวมฺปิ โข, อนุรุทฺธา, อุปาสิกาย ผาสุวิหาโร โหติฯ

    ‘‘Idhānuruddhā, upāsikā suṇāti – ‘itthannāmā upāsikā kālaṅkatā; sā bhagavatā byākatā – tiṇṇaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā rāgadosamohānaṃ tanuttā sakadāgāminī sakideva imaṃ lokaṃ āgantvā dukkhassantaṃ karissatī’ti. Sā kho panassā bhaginī sāmaṃ diṭṭhā vā hoti anussavassutā vā – ‘evaṃsīlā sā bhaginī ahosi itipi, evaṃdhammā… evaṃpaññā… evaṃvihārinī… evaṃvimuttā sā bhaginī ahosi itipī’ti. Sā tassā saddhañca sīlañca sutañca cāgañca paññañca anussarantī tadatthāya cittaṃ upasaṃharati. Evampi kho, anuruddhā, upāsikāya phāsuvihāro hoti.

    ‘‘อิธานุรุทฺธา, อุปาสิกา สุณาติ – ‘อิตฺถนฺนามา อุปาสิกา กาลงฺกตา; สา ภควตา พฺยากตา – ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โสตาปนฺนา อวินิปาตธมฺมา นิยตา สโมฺพธิปรายณา’ติฯ สา โข ปนสฺสา ภคินี สามํ ทิฎฺฐา วา โหติ อนุสฺสวสฺสุตา วา – ‘เอวํสีลา สา ภคินี อโหสิ อิติปิ, เอวํธมฺมา สา ภคินี อโหสิ อิติปิ, เอวํปญฺญา สา ภคินี อโหสิ อิติปิ, เอวํวิหารินี สา ภคินี อโหสิ อิติปิ, เอวํวิมุตฺตา สา ภคินี อโหสิ อิติปี’ติฯ สา ตสฺสา สทฺธญฺจ สีลญฺจ สุตญฺจ จาคญฺจ ปญฺญญฺจ อนุสฺสรนฺตี ตทตฺถาย จิตฺตํ อุปสํหรติฯ เอวมฺปิ โข, อนุรุทฺธา, อุปาสิกาย ผาสุวิหาโร โหติฯ

    ‘‘Idhānuruddhā, upāsikā suṇāti – ‘itthannāmā upāsikā kālaṅkatā; sā bhagavatā byākatā – tiṇṇaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā sotāpannā avinipātadhammā niyatā sambodhiparāyaṇā’ti. Sā kho panassā bhaginī sāmaṃ diṭṭhā vā hoti anussavassutā vā – ‘evaṃsīlā sā bhaginī ahosi itipi, evaṃdhammā sā bhaginī ahosi itipi, evaṃpaññā sā bhaginī ahosi itipi, evaṃvihārinī sā bhaginī ahosi itipi, evaṃvimuttā sā bhaginī ahosi itipī’ti. Sā tassā saddhañca sīlañca sutañca cāgañca paññañca anussarantī tadatthāya cittaṃ upasaṃharati. Evampi kho, anuruddhā, upāsikāya phāsuvihāro hoti.

    ‘‘อิติ โข, อนุรุทฺธา, ตถาคโต น ชนกุหนตฺถํ น ชนลปนตฺถํ น ลาภสกฺการสิโลกานิสํสตฺถํ น ‘อิติ มํ ชโน ชานาตู’ติ สาวเก อพฺภตีเต กาลงฺกเต อุปปตฺตีสุ พฺยากโรติ – ‘อสุ อมุตฺร อุปปโนฺน, อสุ อมุตฺร อุปปโนฺน’ติฯ สนฺติ จ โข, อนุรุทฺธา, กุลปุตฺตา สทฺธา อุฬารเวทา อุฬารปาโมชฺชาฯ เต ตํ สุตฺวา ตทตฺถาย จิตฺตํ อุปสํหรนฺติฯ เตสํ ตํ, อนุรุทฺธา, โหติ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายา’’ติฯ

    ‘‘Iti kho, anuruddhā, tathāgato na janakuhanatthaṃ na janalapanatthaṃ na lābhasakkārasilokānisaṃsatthaṃ na ‘iti maṃ jano jānātū’ti sāvake abbhatīte kālaṅkate upapattīsu byākaroti – ‘asu amutra upapanno, asu amutra upapanno’ti. Santi ca kho, anuruddhā, kulaputtā saddhā uḷāravedā uḷārapāmojjā. Te taṃ sutvā tadatthāya cittaṃ upasaṃharanti. Tesaṃ taṃ, anuruddhā, hoti dīgharattaṃ hitāya sukhāyā’’ti.

    อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน อายสฺมา อนุรุโทฺธ ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ

    Idamavoca bhagavā. Attamano āyasmā anuruddho bhagavato bhāsitaṃ abhinandīti.

    นฬกปานสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ อฎฺฐมํฯ

    Naḷakapānasuttaṃ niṭṭhitaṃ aṭṭhamaṃ.







    Footnotes:
    1. นนฺทิโย (สี. ปี.) วินเย จ ม. นิ. ๑ จูฬโคสิเงฺค จ
    2. กิมฺพิโล (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    3. กุณฺฑธาโน (สี. ปี.)
    4. nandiyo (sī. pī.) vinaye ca ma. ni. 1 cūḷagosiṅge ca
    5. kimbilo (sī. syā. kaṃ. pī.)
    6. kuṇḍadhāno (sī. pī.)
    7. อญฺญํ จ (ก.)
    8. ถีนมิทฺธมฺปิ (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    9. aññaṃ ca (ka.)
    10. thīnamiddhampi (sī. syā. kaṃ. pī.)
    11. โปโนภวิกา (สี. ปี.)
    12. ponobhavikā (sī. pī.)
    13. กาลกโต (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    14. kālakato (sī. syā. kaṃ. pī.)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๘. นฬกปานสุตฺตวณฺณนา • 8. Naḷakapānasuttavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๘. นฬกปานสุตฺตวณฺณนา • 8. Naḷakapānasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact