Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā

    ๑๑. นาลกสุตฺตวณฺณนา

    11. Nālakasuttavaṇṇanā

    ๖๘๕. อานนฺทชาเตติ นาลกสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? ปทุมุตฺตรสฺส กิร ภควโต สาวกํ โมเนยฺยปฎิปทํ ปฎิปนฺนํ ทิสฺวา ตถตฺตํ อภิกงฺขมาโน ตโต ปภุติ กปฺปสตสหสฺสํ ปารมิโย ปูเรตฺวา อสิตสฺส อิสิโน ภาคิเนโยฺย นาลโก นาม ตาปโส ภควนฺตํ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺติตทิวสโต สตฺตเม ทิวเส ‘‘อญฺญาตเมต’’นฺติอาทีหิ ทฺวีหิ คาถาหิ โมเนยฺยปฎิปทํ ปุจฺฉิฯ ตสฺส ภควา ‘‘โมเนยฺยํ เต อุปญฺญิสฺส’’นฺติอาทินา นเยน ตํ พฺยากาสิฯ ปรินิพฺพุเต ปน ภควติ สงฺคีติํ กโรเนฺตนายสฺมตา มหากสฺสเปน อายสฺมา อานโนฺท ตเมว โมเนยฺยปฎิปทํ ปุโฎฺฐ เยน ยทา จ สมาทปิโต นาลโก ภควนฺตํ ปุจฺฉิ ฯ ตํ สพฺพํ ปากฎํ กตฺวา ทเสฺสตุกาโม ‘‘อานนฺทชาเต’’ติอาทิกา วีสติ วตฺถุคาถาโย วตฺวา อภาสิฯ ตํ สพฺพมฺปิ ‘‘นาลกสุตฺต’’นฺติ วุจฺจติฯ

    685.Ānandajāteti nālakasuttaṃ. Kā uppatti? Padumuttarassa kira bhagavato sāvakaṃ moneyyapaṭipadaṃ paṭipannaṃ disvā tathattaṃ abhikaṅkhamāno tato pabhuti kappasatasahassaṃ pāramiyo pūretvā asitassa isino bhāgineyyo nālako nāma tāpaso bhagavantaṃ dhammacakkappavattitadivasato sattame divase ‘‘aññātameta’’ntiādīhi dvīhi gāthāhi moneyyapaṭipadaṃ pucchi. Tassa bhagavā ‘‘moneyyaṃ te upaññissa’’ntiādinā nayena taṃ byākāsi. Parinibbute pana bhagavati saṅgītiṃ karontenāyasmatā mahākassapena āyasmā ānando tameva moneyyapaṭipadaṃ puṭṭho yena yadā ca samādapito nālako bhagavantaṃ pucchi . Taṃ sabbaṃ pākaṭaṃ katvā dassetukāmo ‘‘ānandajāte’’tiādikā vīsati vatthugāthāyo vatvā abhāsi. Taṃ sabbampi ‘‘nālakasutta’’nti vuccati.

    ตตฺถ อานนฺทชาเตติ สมิทฺธิชาเต วุทฺธิปฺปเตฺตฯ ปตีเตติ ตุเฎฺฐฯ อถ วา อานนฺทชาเตติ ปมุทิเตฯ ปตีเตติ โสมนสฺสชาเตฯ สุจิวสเนติ อกิลิฎฺฐวสเนฯ เทวานญฺหิ กปฺปรุกฺขนิพฺพตฺตานิ วสนานิ รชํ วา มลํ วา น คณฺหนฺติฯ ทุสฺสํ คเหตฺวาติ อิธ ทุสฺสสทิสตฺตา ‘‘ทุสฺส’’นฺติ ลทฺธโวหารํ ทิพฺพวตฺถํ อุกฺขิปิตฺวาฯ อสิโต อิสีติ กณฺหสรีรวณฺณตฺตา เอวํลทฺธนาโม อิสิฯ ทิวาวิหาเรติ ทิวาวิหารฎฺฐาเนฯ เสสํ ปทโต อุตฺตานเมวฯ

    Tattha ānandajāteti samiddhijāte vuddhippatte. Patīteti tuṭṭhe. Atha vā ānandajāteti pamudite. Patīteti somanassajāte. Sucivasaneti akiliṭṭhavasane. Devānañhi kapparukkhanibbattāni vasanāni rajaṃ vā malaṃ vā na gaṇhanti. Dussaṃ gahetvāti idha dussasadisattā ‘‘dussa’’nti laddhavohāraṃ dibbavatthaṃ ukkhipitvā. Asito isīti kaṇhasarīravaṇṇattā evaṃladdhanāmo isi. Divāvihāreti divāvihāraṭṭhāne. Sesaṃ padato uttānameva.

    สมฺพนฺธโต ปน – อยํ กิร สุโทฺธทนสฺส ปิตุ สีหหนุรโญฺญ ปุโรหิโต สุโทฺธทนสฺสปิ อนภิสิตฺตกาเล สิปฺปาจริโย หุตฺวา อภิสิตฺตกาเล ปุโรหิโตเยว อโหสิฯ ตสฺส สายํ ปาตํ ราชุปฎฺฐานํ อาคตสฺส ราชา ทหรกาเล วิย นิปจฺจการํ อกตฺวา อญฺชลิกมฺมมตฺตเมว กโรติฯ ธมฺมตา กิเรสา ปตฺตาภิเสกานํ สกฺยราชูนํฯ ปุโรหิโต เตน นิพฺพิชฺชิตฺวา ‘‘ปพฺพชฺชามหํ มหาราชา’’ติ อาหฯ ราชา ตสฺส นิจฺฉยํ ญตฺวา ‘‘เตน หิ, อาจริย, มเมว อุยฺยาเน วสิตพฺพํ, ยถา เต อหํ อภิณฺหํ ปเสฺสยฺย’’นฺติ ยาจิฯ โส ‘‘เอวํ โหตู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา ตาปสปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา รญฺญา อุปฎฺฐหิยมาโน อุยฺยาเนเยว วสโนฺต กสิณปริกมฺมํ กตฺวา อฎฺฐ สมาปตฺติโย ปญฺจาภิญฺญาโย จ นิพฺพเตฺตสิฯ โส ตโต ปภุติ ราชกุเล ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา หิมวนฺตจาตุมหาราชิกภวนาทีนํ อญฺญตรํ คนฺตฺวา ทิวาวิหารํ กโรติฯ อเถกทิวสํ ตาวติํสภวนํ คนฺตฺวา รตนวิมานํ ปวิสิตฺวา ทิพฺพรตนปลฺลเงฺก นิสิโนฺน สมาธิสุขํ อนุภวิตฺวา สายนฺหสมยํ วุฎฺฐาย วิมานทฺวาเร ฐตฺวา อิโต จิโต จ วิโลเกโนฺต สฎฺฐิโยชนาย มหาวีถิยา เจลุเกฺขปํ กตฺวา โพธิสตฺตคุณปสํสิตานิ ถุติวจนานิ วตฺวา กีฬเนฺต สกฺกปฺปมุเข เทเว อทฺทสฯ เตนาห อายสฺมา อานโนฺท – ‘‘อานนฺทชาเต…เป.… ทิวาวิหาเร’’ติฯ

    Sambandhato pana – ayaṃ kira suddhodanassa pitu sīhahanurañño purohito suddhodanassapi anabhisittakāle sippācariyo hutvā abhisittakāle purohitoyeva ahosi. Tassa sāyaṃ pātaṃ rājupaṭṭhānaṃ āgatassa rājā daharakāle viya nipaccakāraṃ akatvā añjalikammamattameva karoti. Dhammatā kiresā pattābhisekānaṃ sakyarājūnaṃ. Purohito tena nibbijjitvā ‘‘pabbajjāmahaṃ mahārājā’’ti āha. Rājā tassa nicchayaṃ ñatvā ‘‘tena hi, ācariya, mameva uyyāne vasitabbaṃ, yathā te ahaṃ abhiṇhaṃ passeyya’’nti yāci. So ‘‘evaṃ hotū’’ti paṭissuṇitvā tāpasapabbajjaṃ pabbajitvā raññā upaṭṭhahiyamāno uyyāneyeva vasanto kasiṇaparikammaṃ katvā aṭṭha samāpattiyo pañcābhiññāyo ca nibbattesi. So tato pabhuti rājakule bhattakiccaṃ katvā himavantacātumahārājikabhavanādīnaṃ aññataraṃ gantvā divāvihāraṃ karoti. Athekadivasaṃ tāvatiṃsabhavanaṃ gantvā ratanavimānaṃ pavisitvā dibbaratanapallaṅke nisinno samādhisukhaṃ anubhavitvā sāyanhasamayaṃ vuṭṭhāya vimānadvāre ṭhatvā ito cito ca vilokento saṭṭhiyojanāya mahāvīthiyā celukkhepaṃ katvā bodhisattaguṇapasaṃsitāni thutivacanāni vatvā kīḷante sakkappamukhe deve addasa. Tenāha āyasmā ānando – ‘‘ānandajāte…pe… divāvihāre’’ti.

    ๖๘๖. ตโต โส เอวํ ทิสฺวาน เทเว…เป.… กิํ ปฎิจฺจฯ ตตฺถ อุทเคฺคติ อพฺภุนฺนตกาเยฯ จิตฺติํ กริตฺวานาติ อาทรํ กตฺวาฯ กลฺยรูโปติ ตุฎฺฐรูโปฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวฯ

    686. Tato so evaṃ disvāna deve…pe… kiṃ paṭicca. Tattha udaggeti abbhunnatakāye. Cittiṃ karitvānāti ādaraṃ katvā. Kalyarūpoti tuṭṭharūpo. Sesaṃ uttānatthameva.

    ๖๘๗. อิทานิ ‘‘ยทาปิ อาสี’’ติอาทิคาถา อุตฺตานสมฺพนฺธา เอวฯ ปทโตฺถ ปน ปฐมคาถาย ตาว สงฺคโมติ สงฺคาโมฯ ชโย สุรานนฺติ เทวานํ ชโยฯ

    687. Idāni ‘‘yadāpi āsī’’tiādigāthā uttānasambandhā eva. Padattho pana paṭhamagāthāya tāva saṅgamoti saṅgāmo. Jayo surānanti devānaṃ jayo.

    ตสฺสาวิภาวตฺถํ อยมนุปุพฺพิกถา เวทิตพฺพา – สโกฺก กิร มคธรเฎฺฐ มจลคามวาสี เตตฺติํสมนุสฺสเสโฎฺฐ มโฆ นาม มาณโว หุตฺวา สตฺต วตฺตปทานิ ปูเรตฺวา ตาวติํสภวเน นิพฺพตฺติ สทฺธิํ ปริสายฯ ตโต ปุพฺพเทวา ‘‘อาคนฺตุกเทวปุตฺตา อาคตา, สกฺการํ เนสํ กริสฺสามา’’ติ วตฺวา ทิพฺพปทุมานิ อุปนาเมสุํ, อุปฑฺฒรเชฺชน จ นิมเนฺตสุํฯ สโกฺก อุปฑฺฒรเชฺชน อสนฺตุโฎฺฐ สกปริสํ สญฺญาเปตฺวา เอกทิวสํ สุรามทมเตฺต เต ปาเท คเหตฺวา สิเนรุปพฺพตปาเท ขิปิฯ เตสํ สิเนรุสฺส เหฎฺฐิมตเล ทสสหสฺสโยชนํ อสุรภวนํ นิพฺพตฺติ ปาริจฺฉตฺตกปฎิจฺฉนฺนภูตาย จิตฺรปาฎลิยา อุปโสภิตํฯ ตโต เต สติํ ปฎิลภิตฺวา ตาวติํสภวนํ อปสฺสนฺตา ‘‘อโห เร นฎฺฐา มยํ ปานมทโทเสน, น ทานิ มยํ สุรํ ปิวิมฺหา, อสุรํ ปิวิมฺหา, น ทานิมฺหา สุรา, อสุรา ทานิ ชาตมฺหา’’ติฯ ตโต ปภุติ ‘‘อสุรา’’อิเจฺจว อุปฺปนฺนสมญฺญา หุตฺวา ‘‘หนฺท ทานิ เทเวหิ สทฺธิํ สงฺคาเมมา’’ติ สิเนรุํ ปริโต อาโรหิํสุฯ ตโต สโกฺก อสุเร ยุเทฺธน อพฺภุคฺคนฺตฺวา ปุนปิ สมุเทฺท ปกฺขิปิตฺวา จตูสุ ทฺวาเรสุ อตฺตนา สทิสํ อินฺทปฎิมํ มาเปตฺวา ฐเปสิฯ ตโต อสุรา ‘‘อปฺปมโตฺต วตายํ สโกฺก นิจฺจํ รกฺขโนฺต ติฎฺฐตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ปุนเทว นครํ อคมิํสุฯ ตโต เทวา อตฺตโน ชยํ โฆเสนฺตา มหาวีถิยํ เจลุเกฺขปํ กโรนฺตา นกฺขตฺตํ กีฬิํสุฯ อถ อสิโต อตีตานาคเต จตฺตาลีสกเปฺป อนุสฺสริตุํ สมตฺถตาย ‘‘กิํ นุ โข อิเมหิ ปุเพฺพปิ เอวํ กีฬิตปุพฺพ’’นฺติ อาวเชฺชโนฺต ตํ เทวาสุรสงฺคาเม เทววิชยํ ทิสฺวา อาห –

    Tassāvibhāvatthaṃ ayamanupubbikathā veditabbā – sakko kira magadharaṭṭhe macalagāmavāsī tettiṃsamanussaseṭṭho magho nāma māṇavo hutvā satta vattapadāni pūretvā tāvatiṃsabhavane nibbatti saddhiṃ parisāya. Tato pubbadevā ‘‘āgantukadevaputtā āgatā, sakkāraṃ nesaṃ karissāmā’’ti vatvā dibbapadumāni upanāmesuṃ, upaḍḍharajjena ca nimantesuṃ. Sakko upaḍḍharajjena asantuṭṭho sakaparisaṃ saññāpetvā ekadivasaṃ surāmadamatte te pāde gahetvā sinerupabbatapāde khipi. Tesaṃ sinerussa heṭṭhimatale dasasahassayojanaṃ asurabhavanaṃ nibbatti pāricchattakapaṭicchannabhūtāya citrapāṭaliyā upasobhitaṃ. Tato te satiṃ paṭilabhitvā tāvatiṃsabhavanaṃ apassantā ‘‘aho re naṭṭhā mayaṃ pānamadadosena, na dāni mayaṃ suraṃ pivimhā, asuraṃ pivimhā, na dānimhā surā, asurā dāni jātamhā’’ti. Tato pabhuti ‘‘asurā’’icceva uppannasamaññā hutvā ‘‘handa dāni devehi saddhiṃ saṅgāmemā’’ti sineruṃ parito ārohiṃsu. Tato sakko asure yuddhena abbhuggantvā punapi samudde pakkhipitvā catūsu dvāresu attanā sadisaṃ indapaṭimaṃ māpetvā ṭhapesi. Tato asurā ‘‘appamatto vatāyaṃ sakko niccaṃ rakkhanto tiṭṭhatī’’ti cintetvā punadeva nagaraṃ agamiṃsu. Tato devā attano jayaṃ ghosentā mahāvīthiyaṃ celukkhepaṃ karontā nakkhattaṃ kīḷiṃsu. Atha asito atītānāgate cattālīsakappe anussarituṃ samatthatāya ‘‘kiṃ nu kho imehi pubbepi evaṃ kīḷitapubba’’nti āvajjento taṃ devāsurasaṅgāme devavijayaṃ disvā āha –

    ‘‘ยทาปิ อาสี อสุเรหิ สงฺคโม,

    ‘‘Yadāpi āsī asurehi saṅgamo,

    ชโย สุรานํ อสุรา ปราชิตา;

    Jayo surānaṃ asurā parājitā;

    ตทาปิ เนตาทิโส โลมหํสโน’’ติฯ

    Tadāpi netādiso lomahaṃsano’’ti.

    ตสฺมิมฺปิ กาเล เอตาทิโส โลมหํสโน ปโมโท น อาสิฯ กิมพฺภุตํ ทฎฺฐุ มรู ปโมทิตาติ อชฺช ปน กิํ อพฺภุตํ ทิสฺวา เอวํ เทวา ปมุทิตาติฯ

    Tasmimpi kāle etādiso lomahaṃsano pamodo na āsi. Kimabbhutaṃ daṭṭhu marū pamoditāti ajja pana kiṃ abbhutaṃ disvā evaṃ devā pamuditāti.

    ๖๘๘. ทุติยคาถาย เสเฬนฺตีติ มุเขน อุเสฺสฬนสทฺทํ มุญฺจนฺติฯ คายนฺติ นานาวิธานิ คีตานิ, วาทยนฺติ อฎฺฐสฎฺฐิ ตูริยสหสฺสานิ, โผเฎนฺตีติ อโปฺผเฎนฺติฯ ปุจฺฉามิ โวหนฺติ อตฺตนา อาวเชฺชตฺวา ญาตุํ สมโตฺถปิ เตสํ วจนํ โสตุกามตาย ปุจฺฉติฯ เมรุมุทฺธวาสิเนติ สิเนรุมุทฺธนิ วสเนฺตฯ สิเนรุสฺส หิ เหฎฺฐิมตเล ทสโยชนสหสฺสํ อสุรภวนํ, มชฺฌิมตเล ทฺวิสหสฺสปริตฺตทีปปริวารา จตฺตาโร มหาทีปา, อุปริมตเล ทสโยชนสหสฺสํ ตาวติํสภวนํฯ ตสฺมา เทวา ‘‘เมรุมุทฺธวาสิโน’’ติ วุจฺจนฺติฯ มาริสาติ เทเว อามเนฺตติ, นิทุกฺขา นิราพาธาติ วุตฺตํ โหติฯ

    688. Dutiyagāthāya seḷentīti mukhena usseḷanasaddaṃ muñcanti. Gāyanti nānāvidhāni gītāni, vādayanti aṭṭhasaṭṭhi tūriyasahassāni, phoṭentīti apphoṭenti. Pucchāmi vohanti attanā āvajjetvā ñātuṃ samatthopi tesaṃ vacanaṃ sotukāmatāya pucchati. Merumuddhavāsineti sinerumuddhani vasante. Sinerussa hi heṭṭhimatale dasayojanasahassaṃ asurabhavanaṃ, majjhimatale dvisahassaparittadīpaparivārā cattāro mahādīpā, uparimatale dasayojanasahassaṃ tāvatiṃsabhavanaṃ. Tasmā devā ‘‘merumuddhavāsino’’ti vuccanti. Mārisāti deve āmanteti, nidukkhā nirābādhāti vuttaṃ hoti.

    ๖๘๙. อถสฺส ตมตฺถํ อาโรเจเนฺตหิ เทเวหิ วุตฺตาย ตติยคาถาย โพธิสโตฺตติ พุชฺฌนกสโตฺต, สมฺมาสโมฺพธิํ คนฺตุํ อรโห สโตฺต รตนวโรติ วรรตนภูโตฯ เตนมฺห ตุฎฺฐาติ เตน การเณน มยํ ตุฎฺฐาฯ โส หิ พุทฺธตฺตํ ปตฺวา ตถา ธมฺมํ เทเสสฺสติ, ยถา มยญฺจ อเญฺญ จ เทวคณา เสกฺขาเสกฺขภูมิํ ปาปุณิสฺสามฯ มนุสฺสาปิสฺส ธมฺมํ สุตฺวา เย น สกฺขิสฺสนฺติ ปรินิพฺพาตุํ, เต ทานาทีนิ กตฺวา เทวโลเก ปริปูเรสฺสนฺตีติ อยํ กิร เนสํ อธิปฺปาโยฯ ตตฺถ ‘‘ตุฎฺฐา กลฺยรูปา’’ติ กิญฺจาปิ อิทํ ปททฺวยํ อตฺถโต อภินฺนํ, ตถาปิ ‘‘กิมพฺภุตํ ทฎฺฐุ มรู ปโมทิตา, กิํ เทวสโงฺฆ อติริว กลฺยรูโป’’ติ อิมสฺส ปญฺหทฺวยสฺส วิสฺสชฺชนตฺถํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    689. Athassa tamatthaṃ ārocentehi devehi vuttāya tatiyagāthāya bodhisattoti bujjhanakasatto, sammāsambodhiṃ gantuṃ araho satto ratanavaroti vararatanabhūto. Tenamha tuṭṭhāti tena kāraṇena mayaṃ tuṭṭhā. So hi buddhattaṃ patvā tathā dhammaṃ desessati, yathā mayañca aññe ca devagaṇā sekkhāsekkhabhūmiṃ pāpuṇissāma. Manussāpissa dhammaṃ sutvā ye na sakkhissanti parinibbātuṃ, te dānādīni katvā devaloke paripūressantīti ayaṃ kira nesaṃ adhippāyo. Tattha ‘‘tuṭṭhā kalyarūpā’’ti kiñcāpi idaṃ padadvayaṃ atthato abhinnaṃ, tathāpi ‘‘kimabbhutaṃ daṭṭhu marū pamoditā, kiṃ devasaṅgho atiriva kalyarūpo’’ti imassa pañhadvayassa vissajjanatthaṃ vuttanti veditabbaṃ.

    ๖๙๐. อิทานิ เยน อธิปฺปาเยน โพธิสเตฺต ชาเต ตุฎฺฐา อเหสุํ, ตํ อาวิกโรเนฺตหิ วุตฺตาย จตุตฺถคาถาย สตฺตคฺคหเณน เทวมนุสฺสคฺคหณํ, ปชาคหเณน เสสคติคฺคหณํฯ เอวํ ทฺวีหิ ปเทหิ ปญฺจสุปิ คตีสุ เสฎฺฐภาวํ ทเสฺสติฯ ติรจฺฉานาปิ หิ สีหาทโย อสนฺตาสาทิคุณยุตฺตา, เตปิ อยเมว อติเสติฯ ตสฺมา ‘‘ปชานมุตฺตโม’’ติ วุโตฺตฯ เทวมนุเสฺสสุ ปน เย อตฺตหิตาย ปฎิปนฺนาทโย จตฺตาโร ปุคฺคลา, เตสุ อุภยหิตปฎิปโนฺน อคฺคปุคฺคโล อยํ, นเรสุ จ อุสภสทิสตฺตา นราสโภฯ เตนสฺส ถุติํ ภณนฺตา อิทมฺปิ ปททฺวยมาหํสุฯ

    690. Idāni yena adhippāyena bodhisatte jāte tuṭṭhā ahesuṃ, taṃ āvikarontehi vuttāya catutthagāthāya sattaggahaṇena devamanussaggahaṇaṃ, pajāgahaṇena sesagatiggahaṇaṃ. Evaṃ dvīhi padehi pañcasupi gatīsu seṭṭhabhāvaṃ dasseti. Tiracchānāpi hi sīhādayo asantāsādiguṇayuttā, tepi ayameva atiseti. Tasmā ‘‘pajānamuttamo’’ti vutto. Devamanussesu pana ye attahitāya paṭipannādayo cattāro puggalā, tesu ubhayahitapaṭipanno aggapuggalo ayaṃ, naresu ca usabhasadisattā narāsabho. Tenassa thutiṃ bhaṇantā idampi padadvayamāhaṃsu.

    ๖๙๑. ปญฺจมคาถาย ตํ สทฺทนฺติ ตํ เทเวหิ วุตฺตวจนสทฺทํฯ อวสรีติ โอตริฯ ตท ภวนนฺติ ตทา ภวนํฯ

    691. Pañcamagāthāya taṃ saddanti taṃ devehi vuttavacanasaddaṃ. Avasarīti otari. Tada bhavananti tadā bhavanaṃ.

    ๖๙๒. ฉฎฺฐคาถาย ตโตติ อสิตสฺส วจนโต อนนฺตรํฯ อุกฺกามุเขวาติ อุกฺกามุเข เอว, มูสามุเขติ วุตฺตํ โหติฯ สุกุสลสมฺปหฎฺฐนฺติ สุกุสเลน สุวณฺณกาเรน สงฺฆฎฺฎิตํ, สงฺฆเฎฺฎเนฺตน ตาปิตนฺติ อธิปฺปาโยฯ ททฺทลฺลมานนฺติ วิโชฺชตมานํฯ อสิตวฺหยสฺสาติ อสิตนามสฺส ทุติเยน นาเมน กณฺหเทวิลสฺส อิสิโนฯ

    692. Chaṭṭhagāthāya tatoti asitassa vacanato anantaraṃ. Ukkāmukhevāti ukkāmukhe eva, mūsāmukheti vuttaṃ hoti. Sukusalasampahaṭṭhanti sukusalena suvaṇṇakārena saṅghaṭṭitaṃ, saṅghaṭṭentena tāpitanti adhippāyo. Daddallamānanti vijjotamānaṃ. Asitavhayassāti asitanāmassa dutiyena nāmena kaṇhadevilassa isino.

    ๖๙๓. สตฺตมคาถาย ตาราสภํ วาติ ตารานํ อุสภสทิสํ, จนฺทนฺติ อธิปฺปาโยฯ วิสุทฺธนฺติ อพฺภาทิอุปกฺกิเลสรหิตํฯ สรทริวาติ สรเท อิวฯ อานนฺทชาโตติ สวนมเตฺตเนว อุปฺปนฺนาย ปีติยา ปีติชาโตฯ อลตฺถ ปีตินฺติ ทิสฺวา ปุนปิ ปีติํ ลภิฯ

    693. Sattamagāthāya tārāsabhaṃ vāti tārānaṃ usabhasadisaṃ, candanti adhippāyo. Visuddhanti abbhādiupakkilesarahitaṃ. Saradarivāti sarade iva. Ānandajātoti savanamatteneva uppannāya pītiyā pītijāto. Alattha pītinti disvā punapi pītiṃ labhi.

    ๖๙๔. ตโต ปรํ โพธิสตฺตสฺส เทเวหิ สทา ปยุชฺชมานสกฺการทีปนตฺถํ วุตฺตอฎฺฐมคาถาย อเนกสาขนฺติ อเนกสลากํฯ สหสฺสมณฺฑลนฺติ รตฺตสุวณฺณมยสหสฺสมณฺฑลยุตฺตํฯ ฉตฺตนฺติ ทิพฺพเสตจฺฉตฺตํฯ วีติปตนฺตีติ สรีรํ พีชมานา ปตนุปฺปตนํ กโรนฺติฯ

    694. Tato paraṃ bodhisattassa devehi sadā payujjamānasakkāradīpanatthaṃ vuttaaṭṭhamagāthāya anekasākhanti anekasalākaṃ. Sahassamaṇḍalanti rattasuvaṇṇamayasahassamaṇḍalayuttaṃ. Chattanti dibbasetacchattaṃ. Vītipatantīti sarīraṃ bījamānā patanuppatanaṃ karonti.

    ๖๙๕. นวมคาถาย ชฎีติ ชฎิโลฯ กณฺหสิริวฺหโยติ กณฺหสเทฺทน จ สิริสเทฺทน จ อวฺหยมาโนฯ ตํ กิร ‘‘สิริกโณฺห’’ติปิ อวฺหยนฺติ อามเนฺตนฺติ, อาลปนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ปณฺฑุกมฺพเลติ รตฺตกมฺพเลฯ อธิการโต เจตฺถ ‘‘กุมาร’’นฺติ วตฺตพฺพํ, ปาฐเสโส วา กาตโพฺพฯ ปุริมคาถาย จ อหตฺถปาสคตํ สนฺธาย ‘‘ทิสฺวา’’ติ วุตฺตํฯ อิธ ปน หตฺถปาสคตํ ปฎิคฺคหณตฺถํ อุปนีตํ, ตสฺมา ปุน วจนํ ‘‘ทิสฺวา’’ติฯ ปุริมํ วา ทสฺสนปีติลาภาเปกฺขํ คาถาวสาเน ‘‘วิปุลมลตฺถ ปีติ’’นฺติ วจนโต, อิทํ ปฎิคฺคหาเปกฺขํ อวสาเน ‘‘สุมโน ปฎิคฺคเห’’ติ วจนโตฯ ปุริมญฺจ กุมารสมฺพนฺธเมว, อิทํ เสตจฺฉตฺตสมฺพนฺธมฺปิฯ ทิสฺวาติ สตสหสฺสคฺฆนเก คนฺธารรตฺตกมฺพเล สุวณฺณนิกฺขํ วิย กุมารํ ‘‘ฉตฺตํ มรู’’ติ เอตฺถ วุตฺตปฺปการํ เสตจฺฉตฺตํ ธาริยนฺตํ มุทฺธนิ ทิสฺวาฯ เกจิ ปน ‘‘อิทํ มานุสกํ ฉตฺตํ สนฺธาย วุตฺต’’นฺติ ภณนฺติฯ ยเถว หิ เทวา, เอวํ มนุสฺสาปิ ฉตฺตจามรโมรหตฺถตาลวณฺฎวาฬพีชนิหตฺถา มหาปุริสํ อุปคจฺฉนฺตีติฯ เอวํ สเนฺตปิ น ตสฺส วจเนน โกจิปิ อติสโย อตฺถิ, ตสฺมา ยถาวุตฺตเมว สุนฺทรํฯ ปฎิคฺคเหติ อุโภหิ หเตฺถหิ ปฎิคฺคเหสิฯ อิสิํ กิร วนฺทาเปตุํ กุมารํ อุปเนสุํฯ อถสฺส ปาทา ปริวตฺติตฺวา อิสิสฺส มตฺถเก ปติฎฺฐหิํสุฯ โส ตมฺปิ อจฺฉริยํ ทิสฺวา อุทคฺคจิโตฺต สุมโน ปฎิคฺคเหสิฯ

    695. Navamagāthāya jaṭīti jaṭilo. Kaṇhasirivhayoti kaṇhasaddena ca sirisaddena ca avhayamāno. Taṃ kira ‘‘sirikaṇho’’tipi avhayanti āmantenti, ālapantīti vuttaṃ hoti. Paṇḍukambaleti rattakambale. Adhikārato cettha ‘‘kumāra’’nti vattabbaṃ, pāṭhaseso vā kātabbo. Purimagāthāya ca ahatthapāsagataṃ sandhāya ‘‘disvā’’ti vuttaṃ. Idha pana hatthapāsagataṃ paṭiggahaṇatthaṃ upanītaṃ, tasmā puna vacanaṃ ‘‘disvā’’ti. Purimaṃ vā dassanapītilābhāpekkhaṃ gāthāvasāne ‘‘vipulamalattha pīti’’nti vacanato, idaṃ paṭiggahāpekkhaṃ avasāne ‘‘sumano paṭiggahe’’ti vacanato. Purimañca kumārasambandhameva, idaṃ setacchattasambandhampi. Disvāti satasahassagghanake gandhārarattakambale suvaṇṇanikkhaṃ viya kumāraṃ ‘‘chattaṃ marū’’ti ettha vuttappakāraṃ setacchattaṃ dhāriyantaṃ muddhani disvā. Keci pana ‘‘idaṃ mānusakaṃ chattaṃ sandhāya vutta’’nti bhaṇanti. Yatheva hi devā, evaṃ manussāpi chattacāmaramorahatthatālavaṇṭavāḷabījanihatthā mahāpurisaṃ upagacchantīti. Evaṃ santepi na tassa vacanena kocipi atisayo atthi, tasmā yathāvuttameva sundaraṃ. Paṭiggaheti ubhohi hatthehi paṭiggahesi. Isiṃ kira vandāpetuṃ kumāraṃ upanesuṃ. Athassa pādā parivattitvā isissa matthake patiṭṭhahiṃsu. So tampi acchariyaṃ disvā udaggacitto sumano paṭiggahesi.

    ๖๙๖. ทสมคาถายํ ชิคีสโกติ ชิคีสโนฺต มคฺคโนฺต ปริเยสโนฺต, อุปปริกฺขโนฺตติ วุตฺตํ โหติฯ ลกฺขณมนฺตปารคูติ ลกฺขณานํ เวทานญฺจ ปารํ คโตฯ อนุตฺตรายนฺติ อนุตฺตโร อยํฯ โส กิร อตฺตโน อภิมุขาคเตสุ มหาสตฺตสฺส ปาทตเลสุ จกฺกานิ ทิสฺวา ตทนุสาเรน เสสลกฺขณานิ ชิคีสโนฺต สพฺพํ ลกฺขณสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘อทฺธายํ พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา เอวมาหฯ

    696. Dasamagāthāyaṃ jigīsakoti jigīsanto magganto pariyesanto, upaparikkhantoti vuttaṃ hoti. Lakkhaṇamantapāragūti lakkhaṇānaṃ vedānañca pāraṃ gato. Anuttarāyanti anuttaro ayaṃ. So kira attano abhimukhāgatesu mahāsattassa pādatalesu cakkāni disvā tadanusārena sesalakkhaṇāni jigīsanto sabbaṃ lakkhaṇasampattiṃ disvā ‘‘addhāyaṃ buddho bhavissatī’’ti ñatvā evamāha.

    ๖๙๗. เอกาทสายํ อถตฺตโน คมนนฺติ ปฎิสนฺธิวเสน อรูปคมนํฯ อกลฺยรูโป คฬยติ อสฺสุกานีติ ตํ อตฺตโน อรูปูปปตฺติํ อนุสฺสริตฺวา ‘‘น ทานาหํ อสฺส ธมฺมเทสนํ โสตุํ ลจฺฉามี’’ติ อตุฎฺฐรูโป พลวโสกาภิภเวน โทมนสฺสชาโต หุตฺวา อสฺสูนิ ปาเตติ คฬยติฯ ‘‘ครยตี’’ติปิ ปาโฐฯ ยทิ ปเนส รูปภเว จิตฺตํ นเมยฺย, กิํ ตตฺถ น อุปฺปเชฺชยฺย, เยเนวํ โรทตีติ? น น อุปฺปเชฺชยฺย, อกุสลตาย ปเนตํ วิธิํ น ชานาติฯ เอวํ สเนฺตปิ โทมนสฺสุปฺปตฺติเยวสฺส อยุตฺตา สมาปตฺติลาเภน วิกฺขมฺภิตตฺตาติ เจ? น, วิกฺขมฺภิตตฺตา เอวฯ มคฺคภาวนาย สมุจฺฉินฺนา หิ กิเลสา น อุปฺปชฺชนฺติ, สมาปตฺติลาภีนํ ปน พลวปจฺจเยน อุปฺปชฺชนฺติฯ อุปฺปเนฺน กิเลเส ปริหีนชฺฌานตฺตา กุตสฺส อรูปคมนนฺติ เจ? อปฺปกสิเรน ปุนาธิคมโตฯ สมาปตฺติลาภิโน หิ อุปฺปเนฺน กิเลเส พลววีติกฺกมํ อนาปชฺชนฺตา วูปสนฺตมเตฺตเยว กิเลสเวเค ปุน ตํ วิเสสํ อปฺปกสิเรเนวาธิคจฺฉนฺติ, ‘‘ปริหีนวิเสสา อิเม’’ติปิ ทุวิเญฺญยฺยา โหนฺติ, ตาทิโส จ เอโสฯ โน เจ กุมาเร ภวิสฺสติ อนฺตราโยติ น ภวิสฺสติ นุ โข อิมสฺมิํ กุมาเร อนฺตราโยฯ

    697. Ekādasāyaṃ athattano gamananti paṭisandhivasena arūpagamanaṃ. Akalyarūpo gaḷayati assukānīti taṃ attano arūpūpapattiṃ anussaritvā ‘‘na dānāhaṃ assa dhammadesanaṃ sotuṃ lacchāmī’’ti atuṭṭharūpo balavasokābhibhavena domanassajāto hutvā assūni pāteti gaḷayati. ‘‘Garayatī’’tipi pāṭho. Yadi panesa rūpabhave cittaṃ nameyya, kiṃ tattha na uppajjeyya, yenevaṃ rodatīti? Na na uppajjeyya, akusalatāya panetaṃ vidhiṃ na jānāti. Evaṃ santepi domanassuppattiyevassa ayuttā samāpattilābhena vikkhambhitattāti ce? Na, vikkhambhitattā eva. Maggabhāvanāya samucchinnā hi kilesā na uppajjanti, samāpattilābhīnaṃ pana balavapaccayena uppajjanti. Uppanne kilese parihīnajjhānattā kutassa arūpagamananti ce? Appakasirena punādhigamato. Samāpattilābhino hi uppanne kilese balavavītikkamaṃ anāpajjantā vūpasantamatteyeva kilesavege puna taṃ visesaṃ appakasirenevādhigacchanti, ‘‘parihīnavisesā ime’’tipi duviññeyyā honti, tādiso ca eso. No ce kumāre bhavissati antarāyoti na bhavissati nu kho imasmiṃ kumāre antarāyo.

    ๖๙๘. ทฺวาทสายํ น โอรกายนฺติ อยํ โอรโก ปริโตฺต น โหติฯ อุตฺตรคาถาย วตฺตพฺพํ พุทฺธภาวํ สนฺธายาหฯ

    698. Dvādasāyaṃ na orakāyanti ayaṃ orako paritto na hoti. Uttaragāthāya vattabbaṃ buddhabhāvaṃ sandhāyāha.

    ๖๙๙. เตรสายํ สโมฺพธิยคฺคนฺติ สพฺพญฺญุตญฺญาณํฯ ตญฺหิ อวิปรีตภาเวน สมฺมา พุชฺฌนโต สโมฺพธิ, กตฺถจิ อาวรณาภาเวน สพฺพญาณุตฺตมโต ‘‘อคฺค’’นฺติ วุจฺจติฯ ผุสิสฺสตีติ ปาปุณิสฺสติฯ ปรมวิสุทฺธทสฺสีติ นิพฺพานทสฺสีฯ ตญฺหิ เอกนฺตวิสุทฺธตฺตา ปรมวิสุทฺธํฯ วิตฺถาริกสฺสาติ วิตฺถาริกํ อสฺสฯ พฺรหฺมจริยนฺติ สาสนํฯ

    699. Terasāyaṃ sambodhiyagganti sabbaññutaññāṇaṃ. Tañhi aviparītabhāvena sammā bujjhanato sambodhi, katthaci āvaraṇābhāvena sabbañāṇuttamato ‘‘agga’’nti vuccati. Phusissatīti pāpuṇissati. Paramavisuddhadassīti nibbānadassī. Tañhi ekantavisuddhattā paramavisuddhaṃ. Vitthārikassāti vitthārikaṃ assa. Brahmacariyanti sāsanaṃ.

    ๗๐๐. จุทฺทสายํ อถนฺตราติ อนฺตราเยว อสฺส, สโมฺพธิปฺปตฺติโต โอรโต เอวาติ วุตฺตํ โหติฯ น โสสฺสนฺติ น สุณิสฺสํฯ อสมธุรสฺสาติ อสมวีริยสฺสฯ อโฎฺฎติ อาตุโรฯ พฺยสนํ คโตติ สุขวินาสํ ปโตฺตฯ อฆาวีติ ทุกฺขิโต, สพฺพํ โทมนสฺสุปฺปาทเมว สนฺธายาหฯ โทมนเสฺสน หิ โส อาตุโรฯ ตญฺจสฺส สุขพฺยสนโต พฺยสนํ, สุขวินาสนโตติ วุตฺตํ โหติฯ เตน จ โส เจตสิกอฆภูเตน อฆาวีฯ

    700. Cuddasāyaṃ athantarāti antarāyeva assa, sambodhippattito orato evāti vuttaṃ hoti. Na sossanti na suṇissaṃ. Asamadhurassāti asamavīriyassa. Aṭṭoti āturo. Byasanaṃ gatoti sukhavināsaṃ patto. Aghāvīti dukkhito, sabbaṃ domanassuppādameva sandhāyāha. Domanassena hi so āturo. Tañcassa sukhabyasanato byasanaṃ, sukhavināsanatoti vuttaṃ hoti. Tena ca so cetasikaaghabhūtena aghāvī.

    ๗๐๑. ปนฺนรสายํ วิปุลํ ชเนตฺวานาติ วิปุลํ ชเนตฺวาฯ อยเมว วา ปาโฐฯ นิคฺคมาติ นิคฺคโตฯ เอวํ นิคฺคโต จ โส ภาคิเนยฺยํ สยนฺติ สกํ ภาคิเนยฺยํ, อตฺตโน ภคินิยา ปุตฺตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ สมาทเปสีติ อตฺตโน อปฺปายุกภาวํ ญตฺวา กนิฎฺฐภคินิยา จ ปุตฺตสฺส นาลกสฺส มาณวกสฺส อุปจิตปุญฺญตํ อตฺตโน พเลน ญตฺวา ‘‘วุฑฺฒิปฺปโตฺต ปมาทมฺปิ อาปเชฺชยฺยา’’ติ นํ อนุกมฺปมาโน ภคินิยา ฆรํ คนฺตฺวา ‘‘กหํ นาลโก’’ติฯ ‘‘พหิ, ภเนฺต, กีฬตี’’ติฯ ‘‘อาเนถ น’’นฺติ อาณาเปตฺวา ตงฺขณํเยว ตาปสปพฺพชฺชํ ปพฺพาเชตฺวา สมาทเปสิ โอวทิ อนุสาสิฯ กถํ? ‘‘พุโทฺธติ โฆสํ…เป.… พฺรหฺมจริย’’นฺติ โสฬสมคาถมาหฯ

    701. Pannarasāyaṃ vipulaṃ janetvānāti vipulaṃ janetvā. Ayameva vā pāṭho. Niggamāti niggato. Evaṃ niggato ca so bhāgineyyaṃ sayanti sakaṃ bhāgineyyaṃ, attano bhaginiyā puttanti vuttaṃ hoti. Samādapesīti attano appāyukabhāvaṃ ñatvā kaniṭṭhabhaginiyā ca puttassa nālakassa māṇavakassa upacitapuññataṃ attano balena ñatvā ‘‘vuḍḍhippatto pamādampi āpajjeyyā’’ti naṃ anukampamāno bhaginiyā gharaṃ gantvā ‘‘kahaṃ nālako’’ti. ‘‘Bahi, bhante, kīḷatī’’ti. ‘‘Ānetha na’’nti āṇāpetvā taṅkhaṇaṃyeva tāpasapabbajjaṃ pabbājetvā samādapesi ovadi anusāsi. Kathaṃ? ‘‘Buddhoti ghosaṃ…pe… brahmacariya’’nti soḷasamagāthamāha.

    ๗๐๒. ตตฺถ ยท ปรโตติ ยทา ปรโตฯ ธมฺมมคฺคนฺติ ปรมธมฺมสฺส นิพฺพานสฺส มคฺคํ, ธมฺมํ วา อคฺคํ สห ปฎิปทาย นิพฺพานํฯ ตสฺมินฺติ ตสฺส สนฺติเกฯ พฺรหฺมจริยนฺติ สมณธมฺมํฯ

    702. Tattha yada paratoti yadā parato. Dhammamagganti paramadhammassa nibbānassa maggaṃ, dhammaṃ vā aggaṃ saha paṭipadāya nibbānaṃ. Tasminti tassa santike. Brahmacariyanti samaṇadhammaṃ.

    ๗๐๓. สตฺตรสายํ ตาทินาติ ตสฺสณฺฐิเตน, ตสฺมิํ สมเย กิเลสวิกฺขมฺภเน สมาธิลาเภ จ สติ วิกฺขมฺภิตกิเลเสน สมาหิตจิเตฺตน จาติ อธิปฺปาโยฯ อนาคเต ปรมวิสุทฺธทสฺสินาติ ‘‘อยํ นาลโก อนาคเต กาเล ภควโต สนฺติเก ปรมวิสุทฺธํ นิพฺพานํ ปสฺสิสฺสตี’’ติ เอวํ ทิฎฺฐตฺตา โส อิสิ อิมินา ปริยาเยน ‘‘อนาคเต ปรมวิสุทฺธทสฺสี’’ติ วุโตฺตฯ เตน อนาคเต ปรมวิสุทฺธทสฺสินาฯ อุปจิตปุญฺญสญฺจโยติ ปทุมุตฺตรโต ปภุติ กตปุญฺญสญฺจโยฯ ปติกฺขนฺติ อาคมยมาโนฯ ปริวสีติ ปพฺพชิตฺวา ตาปสเวเสน วสิฯ รกฺขิตินฺทฺริโยติ รกฺขิตโสตินฺทฺริโย หุตฺวาฯ โส กิร ตโต ปภุติ อุทเก น นิมุชฺชิ ‘‘อุทกํ ปวิสิตฺวา โสตินฺทฺริยํ วินาเสยฺย, ตโต ธมฺมสฺสวนพาหิโร ภเวยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวาฯ

    703. Sattarasāyaṃ tādināti tassaṇṭhitena, tasmiṃ samaye kilesavikkhambhane samādhilābhe ca sati vikkhambhitakilesena samāhitacittena cāti adhippāyo. Anāgate paramavisuddhadassināti ‘‘ayaṃ nālako anāgate kāle bhagavato santike paramavisuddhaṃ nibbānaṃ passissatī’’ti evaṃ diṭṭhattā so isi iminā pariyāyena ‘‘anāgate paramavisuddhadassī’’ti vutto. Tena anāgate paramavisuddhadassinā. Upacitapuññasañcayoti padumuttarato pabhuti katapuññasañcayo. Patikkhanti āgamayamāno. Parivasīti pabbajitvā tāpasavesena vasi. Rakkhitindriyoti rakkhitasotindriyo hutvā. So kira tato pabhuti udake na nimujji ‘‘udakaṃ pavisitvā sotindriyaṃ vināseyya, tato dhammassavanabāhiro bhaveyya’’nti cintetvā.

    ๗๐๔. อฎฺฐารสายํ สุตฺวาน โฆสนฺติ โส นาลโก เอวํ ปริวสโนฺต อนุปุเพฺพน ภควตา สโมฺพธิํ ปตฺวา พาราณสิยํ ธมฺมจเกฺก ปวตฺติเต ตํ ‘‘ภควตา ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตํ, สมฺมาสมฺพุโทฺธ วต โส ภควา อุปฺปโนฺน’’ติอาทินา นเยน ชินวรจกฺกวตฺตเน ปวตฺตโฆสํ อตฺตโน อตฺถกามาหิ เทวตาหิ อาคนฺตฺวา อาโรจิตํ สุตฺวาฯ คนฺตฺวาน ทิสฺวา อิสินิสภนฺติ สตฺตาหํ เทวตาหิ โมเนยฺยโกลาหเล กยิรมาเน สตฺตเม ทิวเส อิสิปตนํ คนฺตฺวา ‘‘นาลโก อาคมิสฺสติ, ตสฺส ธมฺมํ เทเสสฺสามี’’ติ อิมินา จ อภิสนฺธินา วรพุทฺธาสเน นิสินฺนํ ทิสฺวา นิสภสทิสํ อิสินิสภํ ภควนฺตํฯ ปสโนฺนติ สห ทสฺสเนเนว ปสนฺนจิโตฺต หุตฺวาฯ โมเนยฺยเสฎฺฐนฺติ ญาณุตฺตมํ, มคฺคญาณนฺติ วุตฺตํ โหติฯ สมาคเต อสิตาวฺหยสฺส สาสเนติ อสิตสฺส อิสิโน โอวาทกาเล อนุปฺปเตฺตฯ เตน หิ – ‘‘ยทา วิวรติ ธมฺมมคฺคํ, ตทา คนฺตฺวา สมยํ ปริปุจฺฉมาโน จรสฺสุ ตสฺมิํ ภควติ พฺรหฺมจริย’’นฺติ อนุสิโฎฺฐ, อยญฺจ โส กาโลฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สมาคเต อสิตาวฺหยสฺส สาสเน’’ติฯ เสสเมตฺถ ปากฎเมวฯ

    704. Aṭṭhārasāyaṃ sutvāna ghosanti so nālako evaṃ parivasanto anupubbena bhagavatā sambodhiṃ patvā bārāṇasiyaṃ dhammacakke pavattite taṃ ‘‘bhagavatā dhammacakkaṃ pavattitaṃ, sammāsambuddho vata so bhagavā uppanno’’tiādinā nayena jinavaracakkavattane pavattaghosaṃ attano atthakāmāhi devatāhi āgantvā ārocitaṃ sutvā. Gantvāna disvā isinisabhanti sattāhaṃ devatāhi moneyyakolāhale kayiramāne sattame divase isipatanaṃ gantvā ‘‘nālako āgamissati, tassa dhammaṃ desessāmī’’ti iminā ca abhisandhinā varabuddhāsane nisinnaṃ disvā nisabhasadisaṃ isinisabhaṃ bhagavantaṃ. Pasannoti saha dassaneneva pasannacitto hutvā. Moneyyaseṭṭhanti ñāṇuttamaṃ, maggañāṇanti vuttaṃ hoti. Samāgate asitāvhayassa sāsaneti asitassa isino ovādakāle anuppatte. Tena hi – ‘‘yadā vivarati dhammamaggaṃ, tadā gantvā samayaṃ paripucchamāno carassu tasmiṃ bhagavati brahmacariya’’nti anusiṭṭho, ayañca so kālo. Tena vuttaṃ – ‘‘samāgate asitāvhayassa sāsane’’ti. Sesamettha pākaṭameva.

    อยํ ตาว วตฺถุคาถาวณฺณนาฯ

    Ayaṃ tāva vatthugāthāvaṇṇanā.

    ๗๐๕. ปุจฺฉาคาถาทฺวเย อญฺญาตเมตนฺติ วิทิตํ มยา เอตํฯ ยถาตถนฺติ อวิปรีตํฯ โก อธิปฺปาโย? ยํ อสิโต ‘‘สโมฺพธิยคฺคํ ผุสิสฺสตายํ กุมาโร’’ติ ญตฺวา ‘‘พุโทฺธติ โฆสํ ยท ปรโต สุโณสิ, สโมฺพธิปฺปโตฺต วิวรติ ธมฺมมคฺค’’นฺติ มํ อวจ, ตเทตํ มยา อสิตสฺส วจนํ อชฺช ภควนฺตํ สกฺขิํ ทิสฺวา ‘‘ยถาตถเมวา’’ติ อญฺญาตนฺติฯ ตํ ตนฺติ ตสฺมา ตํฯ สพฺพธมฺมาน ปารคุนฺติ เหมวตสุเตฺต วุตฺตนเยน ฉหิ อากาเรหิฯ สพฺพธมฺมานํ ปารคตํฯ

    705. Pucchāgāthādvaye aññātametanti viditaṃ mayā etaṃ. Yathātathanti aviparītaṃ. Ko adhippāyo? Yaṃ asito ‘‘sambodhiyaggaṃ phusissatāyaṃ kumāro’’ti ñatvā ‘‘buddhoti ghosaṃ yada parato suṇosi, sambodhippatto vivarati dhammamagga’’nti maṃ avaca, tadetaṃ mayā asitassa vacanaṃ ajja bhagavantaṃ sakkhiṃ disvā ‘‘yathātathamevā’’ti aññātanti. Taṃ tanti tasmā taṃ. Sabbadhammāna pāragunti hemavatasutte vuttanayena chahi ākārehi. Sabbadhammānaṃ pāragataṃ.

    ๗๐๖. อนคาริยุเปตสฺสาติ อนคาริยํ อุเปตสฺส, ปพฺพชิตสฺสาติ อโตฺถฯ ภิกฺขาจริยํ ชิคีสโตติ อริเยหิ อาจิณฺณํ อนุปกฺกิลิฎฺฐํ ภิกฺขาจริยํ ปริเยสมานสฺสฯ โมเนยฺยนฺติ มุนีนํ สนฺตกํฯ อุตฺตมํ ปทนฺติ อุตฺตมปฎิปทํฯ เสสเมตฺถ ปากฎเมวฯ

    706.Anagāriyupetassāti anagāriyaṃ upetassa, pabbajitassāti attho. Bhikkhācariyaṃ jigīsatoti ariyehi āciṇṇaṃ anupakkiliṭṭhaṃ bhikkhācariyaṃ pariyesamānassa. Moneyyanti munīnaṃ santakaṃ. Uttamaṃ padanti uttamapaṭipadaṃ. Sesamettha pākaṭameva.

    ๗๐๗. อถสฺส เอวํ ปุโฎฺฐ ภควา ‘‘โมเนยฺยํ เต อุปญฺญิสฺส’’นฺติอาทินา นเยน โมเนยฺยปฎิปทํ พฺยากาสิฯ ตตฺถ อุปญฺญิสฺสนฺติ อุปญฺญาเปยฺยํ, วิวเรยฺยํ ปญฺญาเปยฺยนฺติ อโตฺถฯ ทุกฺกรํ ทุรภิสมฺภวนฺติ กาตุญฺจ ทุกฺขํ กยิรมานญฺจ สมฺภวิตุํ สหิตุํ ทุกฺขนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปาโย – อหํ เต โมเนยฺยํ ปญฺญาเปยฺยํ, ยทิ นํ กาตุํ วา อภิสโมฺภตุํ วา สุขํ ภเวยฺย, เอวํ ปน ทุกฺกรํ ทุรภิสมฺภวํ ปุถุชฺชนกาลโต ปภุติ กิลิฎฺฐจิตฺตํ อนุปฺปาเทตฺวา ปฎิปชฺชิตพฺพโตฯ ตถา หิ นํ เอกสฺส พุทฺธสฺส เอโกว สาวโก กโรติ จ สโมฺภติ จาติฯ

    707. Athassa evaṃ puṭṭho bhagavā ‘‘moneyyaṃ te upaññissa’’ntiādinā nayena moneyyapaṭipadaṃ byākāsi. Tattha upaññissanti upaññāpeyyaṃ, vivareyyaṃ paññāpeyyanti attho. Dukkaraṃ durabhisambhavanti kātuñca dukkhaṃ kayiramānañca sambhavituṃ sahituṃ dukkhanti vuttaṃ hoti. Ayaṃ panettha adhippāyo – ahaṃ te moneyyaṃ paññāpeyyaṃ, yadi naṃ kātuṃ vā abhisambhotuṃ vā sukhaṃ bhaveyya, evaṃ pana dukkaraṃ durabhisambhavaṃ puthujjanakālato pabhuti kiliṭṭhacittaṃ anuppādetvā paṭipajjitabbato. Tathā hi naṃ ekassa buddhassa ekova sāvako karoti ca sambhoti cāti.

    เอวํ ภควา โมเนยฺยสฺส ทุกฺกรภาวํ ทุรภิสมฺภวตญฺจ ทเสฺสโนฺต นาลกสฺส อุสฺสาหํ ชเนตฺวา ตมสฺส วตฺตุกาโม อาห ‘‘หนฺท เต นํ ปวกฺขามิ, สนฺถมฺภสฺสุ ทโฬฺห ภวา’’ติฯ ตตฺถ หนฺทาติ พฺยวสายเตฺถ นิปาโตฯ เต นํ ปวกฺขามีติ ตุยฺหํ ตํ โมเนยฺยํ ปวกฺขามิฯ สนฺถมฺภสฺสูติ ทุกฺกรกรณสมเตฺถน วีริยูปตฺถเมฺภน อตฺตานํ อุปตฺถมฺภยฯ ทโฬฺห ภวาติ ทุรภิสมฺภวสหนสมตฺถาย อสิถิลปรกฺกมตาย ถิโร โหติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยสฺมา ตฺวํ อุปจิตปุญฺญสมฺภาโร, ตสฺมาหํ เอกนฺตพฺยวสิโตว หุตฺวา เอวํ ทุกฺกรํ ทุรภิสมฺภวมฺปิ สมานํ ตุยฺหํ ตํ โมเนยฺยํ ปวกฺขามิ, สนฺถมฺภสฺสุ ทโฬฺห ภวาติฯ

    Evaṃ bhagavā moneyyassa dukkarabhāvaṃ durabhisambhavatañca dassento nālakassa ussāhaṃ janetvā tamassa vattukāmo āha ‘‘handa te naṃ pavakkhāmi, santhambhassu daḷho bhavā’’ti. Tattha handāti byavasāyatthe nipāto. Te naṃ pavakkhāmīti tuyhaṃ taṃ moneyyaṃ pavakkhāmi. Santhambhassūti dukkarakaraṇasamatthena vīriyūpatthambhena attānaṃ upatthambhaya. Daḷho bhavāti durabhisambhavasahanasamatthāya asithilaparakkamatāya thiro hoti. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yasmā tvaṃ upacitapuññasambhāro, tasmāhaṃ ekantabyavasitova hutvā evaṃ dukkaraṃ durabhisambhavampi samānaṃ tuyhaṃ taṃ moneyyaṃ pavakkhāmi, santhambhassu daḷho bhavāti.

    ๗๐๘. เอวํ ปรมสเลฺลขํ โมเนยฺยวตฺตํ วตฺตุกาโม นาลกํ สนฺถมฺภเน ทฬฺหีภาเว จ นิโยเชตฺวา ปฐมํ ตาว คามูปนิพทฺธกิเลสปฺปหานํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สมานภาค’’นฺติ อุปฑฺฒคาถมาหฯ ตตฺถ สมานภาคนฺติ สมภาคํ เอกสทิสํ นินฺนานากรณํฯ อกฺกุฎฺฐวนฺทิตนฺติ อโกฺกสญฺจ วนฺทนญฺจฯ

    708. Evaṃ paramasallekhaṃ moneyyavattaṃ vattukāmo nālakaṃ santhambhane daḷhībhāve ca niyojetvā paṭhamaṃ tāva gāmūpanibaddhakilesappahānaṃ dassento ‘‘samānabhāga’’nti upaḍḍhagāthamāha. Tattha samānabhāganti samabhāgaṃ ekasadisaṃ ninnānākaraṇaṃ. Akkuṭṭhavanditanti akkosañca vandanañca.

    อิทานิ ยถา ตํ สมานภาคํ กยิรติ, ตํ อุปายํ ทเสฺสโนฺต ‘‘มโนปโทส’’นฺติ อุปฑฺฒคาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ – อกฺกุโฎฺฐ มโนปโทสํ รเกฺขยฺย, วนฺทิโต สโนฺต อนุณฺณโต จเร, รญฺญาปิ วนฺทิโต สมาโน ‘‘มํ วนฺทตี’’ติ อุทฺธจฺจํ นาปเชฺชยฺยฯ

    Idāni yathā taṃ samānabhāgaṃ kayirati, taṃ upāyaṃ dassento ‘‘manopadosa’’nti upaḍḍhagāthamāha. Tassattho – akkuṭṭho manopadosaṃ rakkheyya, vandito santo anuṇṇato care, raññāpi vandito samāno ‘‘maṃ vandatī’’ti uddhaccaṃ nāpajjeyya.

    ๗๐๙. อิทานิ อรญฺญูปนิพทฺธกิเลสปฺปหานํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อุจฺจาวจา’’ติ คาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ – อรญฺญสญฺญิเต ทาเยปิ อิฎฺฐานิฎฺฐวเสน อุจฺจาวจา นานปฺปการา อารมฺมณา นิจฺฉรนฺติ, จกฺขาทีนํ อาปาถมาคจฺฉนฺติ, เต จ โข อคฺคิสิขูปมา ปริฬาหชนกเฎฺฐนฯ ยถา วา ฑยฺหมาเน วเน อคฺคิสิขา นานปฺปการตาย อุจฺจาวจา นิจฺฉรนฺติ, สธูมาปิ, วิธูมาปิ, นีลาปิ, ปีตาปิ, รตฺตาปิ, ขุทฺทกาปิ, มหนฺตาปิ, เอวํ สีหพฺยคฺฆมนุสฺสามนุสฺสวิวิธวิหงฺควิรุตปุปฺผผลปลฺลวาทิเภทวเสน นานปฺปการตาย ทาเย อุจฺจาวจา อารมฺมณา นิจฺฉรนฺติ ภิํสนกาปิ, รชนียาปิ, โทสนียาปิ, โมหนียาปิฯ เตนาห – ‘‘อุจฺจาวจา นิจฺฉรนฺติ, ทาเย อคฺคิสิขูปมา’’ติฯ เอวํ นิจฺฉรเนฺตสุ จ อุจฺจาวเจสุ อารมฺมเณสุ ยา กาจิ อุยฺยานวนจาริกํ คตา สมานา ปกติยา วา วนจารินิโย กฎฺฐหาริกาทโย รโหคตํ ทิสฺวา หสิตลปิตรุทิตทุนฺนิวตฺถาทีหิ นาริโย มุนิํ ปโลเภนฺติ, ตา สุ ตํ มา ปโลภยุํ, ตา นาริโย ตํ มา ปโลภยุํฯ ยถา น ปโลเภนฺติ, ตถา กโรหีติ วุตฺตํ โหติฯ

    709. Idāni araññūpanibaddhakilesappahānaṃ dassento ‘‘uccāvacā’’ti gāthamāha. Tassattho – araññasaññite dāyepi iṭṭhāniṭṭhavasena uccāvacā nānappakārā ārammaṇā niccharanti, cakkhādīnaṃ āpāthamāgacchanti, te ca kho aggisikhūpamā pariḷāhajanakaṭṭhena. Yathā vā ḍayhamāne vane aggisikhā nānappakāratāya uccāvacā niccharanti, sadhūmāpi, vidhūmāpi, nīlāpi, pītāpi, rattāpi, khuddakāpi, mahantāpi, evaṃ sīhabyagghamanussāmanussavividhavihaṅgavirutapupphaphalapallavādibhedavasena nānappakāratāya dāye uccāvacā ārammaṇā niccharanti bhiṃsanakāpi, rajanīyāpi, dosanīyāpi, mohanīyāpi. Tenāha – ‘‘uccāvacā niccharanti, dāye aggisikhūpamā’’ti. Evaṃ niccharantesu ca uccāvacesu ārammaṇesu yā kāci uyyānavanacārikaṃ gatā samānā pakatiyā vā vanacāriniyo kaṭṭhahārikādayo rahogataṃ disvā hasitalapitaruditadunnivatthādīhi nāriyo muniṃ palobhenti, tā su taṃ mā palobhayuṃ, tā nāriyo taṃ mā palobhayuṃ. Yathā na palobhenti, tathā karohīti vuttaṃ hoti.

    ๗๑๐-๑๑. เอวมสฺส ภควา คาเม จ อรเญฺญ จ ปฎิปตฺติวิธิํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สีลสํวรํ ทเสฺสโนฺต ‘‘วิรโต เมถุนา ธมฺมา’’ติ คาถาทฺวยมาหฯ ตตฺถ หิตฺวา กาเม ปโรปเรติ เมถุนธมฺมโต อวเสเสปิ สุนฺทเร จ อสุนฺทเร จ ปญฺจ กามคุเณ หิตฺวาฯ ตปฺปหาเนน หิ เมถุนวิรติ สุสมฺปนฺนา โหติฯ เตนาห – ‘‘หิตฺวา กาเม ปโรปเร’’ติฯ อยเมตฺถ อธิปฺปาโยฯ ‘‘อวิรุโทฺธ’’ติอาทีนิ ปน ปทานิ ‘‘น หเนยฺย, น ฆาตเย’’ติ เอตฺถ วุตฺตาย ปาณาติปาตาเวรมณิยา สมฺปตฺติทสฺสนตฺถํ วุตฺตานิฯ ตตฺรายํ สเงฺขปวณฺณนา – ปรปกฺขิเยสุ ปาเณสุ อวิรุโทฺธ, อตฺตปกฺขิเยสุ อสารโตฺต, สเพฺพปิ สตณฺหนิตฺตณฺหตาย ตสถาวเร ปาเณ ชีวิตุกามตาย อมริตุกามตาย สุขกามตาย ทุกฺขปฎิกูลตาย จ ‘‘ยถา อหํ ตถา เอเต’’ติ อตฺตสมานตาย เตสุ วิโรธํ วิเนโนฺต เตเนว ปกาเรน ‘‘ยถา เอเต ตถา อห’’นฺติ ปเรสํ สมานตาย จ อตฺตนิ อนุโรธํ วิเนโนฺต เอวํ อุภยถาปิ อนุโรธวิโรธวิปฺปหีโน หุตฺวา มรณปฎิกูลตาย อตฺตานํ อุปมํ กตฺวา ปาเณสุ เย เกจิ ตเส วา ถาวเร วา ปาเณ น หเนยฺย สาหตฺถิกาทีหิ ปโยเคหิ, น ฆาตเย อาณตฺติกาทีหีติฯ

    710-11. Evamassa bhagavā gāme ca araññe ca paṭipattividhiṃ dassetvā idāni sīlasaṃvaraṃ dassento ‘‘virato methunā dhammā’’ti gāthādvayamāha. Tattha hitvā kāme paropareti methunadhammato avasesepi sundare ca asundare ca pañca kāmaguṇe hitvā. Tappahānena hi methunavirati susampannā hoti. Tenāha – ‘‘hitvā kāme paropare’’ti. Ayamettha adhippāyo. ‘‘Aviruddho’’tiādīni pana padāni ‘‘na haneyya, na ghātaye’’ti ettha vuttāya pāṇātipātāveramaṇiyā sampattidassanatthaṃ vuttāni. Tatrāyaṃ saṅkhepavaṇṇanā – parapakkhiyesu pāṇesu aviruddho, attapakkhiyesu asāratto, sabbepi sataṇhanittaṇhatāya tasathāvare pāṇe jīvitukāmatāya amaritukāmatāya sukhakāmatāya dukkhapaṭikūlatāya ca ‘‘yathā ahaṃ tathā ete’’ti attasamānatāya tesu virodhaṃ vinento teneva pakārena ‘‘yathā ete tathā aha’’nti paresaṃ samānatāya ca attani anurodhaṃ vinento evaṃ ubhayathāpi anurodhavirodhavippahīno hutvā maraṇapaṭikūlatāya attānaṃ upamaṃ katvā pāṇesu ye keci tase vā thāvare vā pāṇe na haneyya sāhatthikādīhi payogehi, na ghātaye āṇattikādīhīti.

    ๗๑๒. เอวมสฺส เมถุนวิรติปาณาติปาตวิรติมุเขน สเงฺขปโต ปาติโมกฺขสํวรสีลํ วตฺวา ‘‘หิตฺวา กาเม’’ติอาทีหิ อินฺทฺริยสํวรญฺจ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อาชีวปาริสุทฺธิํ ทเสฺสโนฺต ‘‘หิตฺวา อิจฺฉญฺจา’’ติอาทิมาหฯ ตสฺสโตฺถ – ยายํ ตณฺหา เอกํ ลทฺธา ทุติยํ อิจฺฉติ, เทฺว ลทฺธา ตติยํ, สตสหสฺสํ ลทฺธา ตทุตฺตริมฺปิ อิจฺฉตีติ เอวํ อปฺปฎิลทฺธวิสยํ อิจฺฉนโต ‘‘อิจฺฉา’’ติ วุจฺจติ, โย จายํ ปฎิลทฺธวิสยลุพฺภโน โลโภฯ ตํ หิตฺวา อิจฺฉญฺจ โลภญฺจ ยตฺถ สโตฺต ปุถุชฺชโน, ยสฺมิํ จีวราทิปจฺจเย เตหิ อิจฺฉาโลเภหิ ปุถุชฺชโน สโตฺต ลโคฺค ปฎิพโทฺธ ติฎฺฐติ, ตตฺถ ตํ อุภยมฺปิ หิตฺวา ปจฺจยตฺถํ อาชีวปาริสุทฺธิํ อวิโรเธโนฺต ญาณจกฺขุนา จกฺขุมา หุตฺวา อิมํ โมเนยฺยปฎิปทํ ปฎิปเชฺชยฺยฯ เอวญฺหิ ปฎิปโนฺน ตเรยฺย นรกํ อิมํ, ทุปฺปูรณเฎฺฐน นรกสญฺญิตํ มิจฺฉาชีวเหตุภูตํ อิมํ ปจฺจยตณฺหํ ตเรยฺย, อิมาย วา ปฎิปทาย ตเรยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ

    712. Evamassa methunaviratipāṇātipātaviratimukhena saṅkhepato pātimokkhasaṃvarasīlaṃ vatvā ‘‘hitvā kāme’’tiādīhi indriyasaṃvarañca dassetvā idāni ājīvapārisuddhiṃ dassento ‘‘hitvā icchañcā’’tiādimāha. Tassattho – yāyaṃ taṇhā ekaṃ laddhā dutiyaṃ icchati, dve laddhā tatiyaṃ, satasahassaṃ laddhā taduttarimpi icchatīti evaṃ appaṭiladdhavisayaṃ icchanato ‘‘icchā’’ti vuccati, yo cāyaṃ paṭiladdhavisayalubbhano lobho. Taṃ hitvā icchañca lobhañca yattha satto puthujjano, yasmiṃ cīvarādipaccaye tehi icchālobhehi puthujjano satto laggo paṭibaddho tiṭṭhati, tattha taṃ ubhayampi hitvā paccayatthaṃ ājīvapārisuddhiṃ avirodhento ñāṇacakkhunā cakkhumā hutvā imaṃ moneyyapaṭipadaṃ paṭipajjeyya. Evañhi paṭipanno tareyya narakaṃ imaṃ, duppūraṇaṭṭhena narakasaññitaṃ micchājīvahetubhūtaṃ imaṃ paccayataṇhaṃ tareyya, imāya vā paṭipadāya tareyyāti vuttaṃ hoti.

    ๗๑๓. เอวํ ปจฺจยตณฺหาปหานมุเขน อาชีวปาริสุทฺธิํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ โภชเน มตฺตญฺญุตามุเขน ปจฺจยปริโภคสีลํ ตทนุสาเรน จ ยาว อรหตฺตปฺปตฺติ, ตาว ปฎิปทํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อูนูทโร’’ติ คาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ – ธเมฺมน สเมน ลเทฺธสุ อิตรีตรจีวราทีสุ ปจฺจเยสุ อาหารํ ตาว อาหาเรโนฺต –

    713. Evaṃ paccayataṇhāpahānamukhena ājīvapārisuddhiṃ dassetvā idāni bhojane mattaññutāmukhena paccayaparibhogasīlaṃ tadanusārena ca yāva arahattappatti, tāva paṭipadaṃ dassento ‘‘ūnūdaro’’ti gāthamāha. Tassattho – dhammena samena laddhesu itarītaracīvarādīsu paccayesu āhāraṃ tāva āhārento –

    ‘‘จตฺตาโร ปญฺจ อาโลเป, อภุตฺวา อุทกํ ปิเว;

    ‘‘Cattāro pañca ālope, abhutvā udakaṃ pive;

    อลํ ผาสุวิหาราย, ปหิตตฺตสฺส ภิกฺขุโน’’ติฯ (เถรคา. ๙๘๓) –

    Alaṃ phāsuvihārāya, pahitattassa bhikkhuno’’ti. (theragā. 983) –

    วุตฺตนเยน อูนอุทโร อสฺส, น วาตภริตภสฺตา วิย อุทฺธุมาตุทโร, ภตฺตสมฺมทปจฺจยา ถินมิทฺธํ ปริหเรยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ อูนูทโร โหโนฺตปิ จ มิตาหาโร อสฺส โภชเน มตฺตญฺญู, ‘‘เนว ทวายา’’ติอาทินา ปจฺจเวกฺขเณน คุณโต โทสโต จ ปริจฺฉินฺนาหาโรฯ เอวํ มิตาหาโร สมาโนปิ ปจฺจยธุตงฺคปริยตฺติอธิคมวเสน จตุพฺพิธาย อปฺปิจฺฉตาย อปฺปิโจฺฉ อสฺสฯ เอกํเสน หิ โมเนยฺยปฎิปทํ ปฎิปเนฺนน ภิกฺขุนา เอวํ อปฺปิเจฺฉน ภวิตพฺพํฯ ตตฺถ เอเกกสฺมิํ ปจฺจเย ตีหิ สโนฺตเสหิ สนฺตุสฺสนา ปจฺจยปฺปิจฺฉตาฯ ธุตงฺคธรเสฺสว สโต ‘‘ธุตวาติ มํ ปเร ชานนฺตู’’ติ อนิจฺฉนตา ธุตงฺคปฺปิจฺฉตาฯ พหุสฺสุตเสฺสว สโต ‘‘พหุสฺสุโตติ มํ ปเร ชานนฺตู’’ติ อนิจฺฉนตา ปริยตฺติอปฺปิจฺฉตา มชฺฌนฺติกเตฺถรสฺส วิยฯ อธิคมสมฺปนฺนเสฺสว สโต ‘‘อธิคโต อยํ กุสลํ ธมฺมนฺติ มํ ปเร ชานนฺตู’’ติ อนิจฺฉนตา อธิคมปฺปิจฺฉตาฯ สา จ อรหตฺตาธิคมโต โอรํ เวทิตพฺพาฯ อรหตฺตาธิคมตฺถญฺหิ อยํ ปฎิปทาติฯ เอวํ อปฺปิโจฺฉปิ จ อรหตฺตมเคฺคน ตณฺหาโลลุปฺปํ หิตฺวา อโลลุโป อสฺสฯ เอวํ อโลลุโป หิ สทา อิจฺฉาย นิจฺฉาโต อนิโจฺฉ โหติ นิพฺพุโต, ยาย อิจฺฉาย ฉาตา โหนฺติ สตฺตา ขุปฺปิปาสาตุรา วิย อติตฺตา, ตาย อิจฺฉาย อนิโจฺฉ โหติ อนิจฺฉตฺตา จ นิจฺฉาโต โหติ อนาตุโร ปรมติตฺติปฺปโตฺตฯ เอวํ นิจฺฉาตตฺตา นิพฺพุโต โหติ วูปสนฺตสพฺพกิเลสปริฬาโหติ เอวเมตฺถ อุปฺปฎิปาฎิยา โยชนา เวทิตพฺพาฯ

    Vuttanayena ūnaudaro assa, na vātabharitabhastā viya uddhumātudaro, bhattasammadapaccayā thinamiddhaṃ parihareyyāti vuttaṃ hoti. Ūnūdaro hontopi ca mitāhāro assa bhojane mattaññū, ‘‘neva davāyā’’tiādinā paccavekkhaṇena guṇato dosato ca paricchinnāhāro. Evaṃ mitāhāro samānopi paccayadhutaṅgapariyattiadhigamavasena catubbidhāya appicchatāya appiccho assa. Ekaṃsena hi moneyyapaṭipadaṃ paṭipannena bhikkhunā evaṃ appicchena bhavitabbaṃ. Tattha ekekasmiṃ paccaye tīhi santosehi santussanā paccayappicchatā. Dhutaṅgadharasseva sato ‘‘dhutavāti maṃ pare jānantū’’ti anicchanatā dhutaṅgappicchatā. Bahussutasseva sato ‘‘bahussutoti maṃ pare jānantū’’ti anicchanatā pariyattiappicchatā majjhantikattherassa viya. Adhigamasampannasseva sato ‘‘adhigato ayaṃ kusalaṃ dhammanti maṃ pare jānantū’’ti anicchanatā adhigamappicchatā. Sā ca arahattādhigamato oraṃ veditabbā. Arahattādhigamatthañhi ayaṃ paṭipadāti. Evaṃ appicchopi ca arahattamaggena taṇhāloluppaṃ hitvā alolupo assa. Evaṃ alolupo hi sadā icchāya nicchāto aniccho hoti nibbuto, yāya icchāya chātā honti sattā khuppipāsāturā viya atittā, tāya icchāya aniccho hoti anicchattā ca nicchāto hoti anāturo paramatittippatto. Evaṃ nicchātattā nibbuto hoti vūpasantasabbakilesapariḷāhoti evamettha uppaṭipāṭiyā yojanā veditabbā.

    ๗๑๔. เอวํ ยาว อรหตฺตปฺปตฺติ, ตาวปฎิปทํ กเถตฺวา อิทานิ ตํ ปฎิปทํ ปฎิปนฺนสฺส ภิกฺขุโน อรหตฺตปฺปตฺตินิฎฺฐํ ธุตงฺคสมาทานํ เสนาสนวตฺตญฺจ กเถโนฺต ‘‘ส ปิณฺฑจาร’’นฺติ คาถาทฺวยมาหฯ ตตฺถ ส ปิณฺฑจารํ จริตฺวาติ โส ภิกฺขุ ภิกฺขํ จริตฺวา ภตฺตกิจฺจํ วา กตฺวาฯ วนนฺตมภิหารเยติ อปปญฺจิโต คิหิปปเญฺจน วนํ เอว คเจฺฉยฺยฯ อุปฎฺฐิโต รุกฺขมูลสฺมินฺติ รุกฺขมูเล ฐิโต วา หุตฺวาฯ อาสนูปคโตติ อาสนํ อุปคโต วา หุตฺวา, นิสิโนฺนติ วุตฺตํ โหติฯ มุนีติ โมเนยฺยปฎิปทํ ปฎิปโนฺนฯ เอตฺถ จ ‘‘ปิณฺฑจารํ จริตฺวา’’ติ อิมินา ปิณฺฑปาติกงฺคํ วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน อุกฺกฎฺฐปิณฺฑปาติโก สปทานจารี เอกาสนิโก ปตฺตปิณฺฑิโก ขลุปจฺฉาภตฺติโก จ โหติเยว, เตจีวริกปํสุกูลมฺปิ จ สมาทิยเตว, ตสฺมา อิมานิปิ ฉ วุตฺตาเนว โหนฺติฯ ‘‘วนนฺตมภิหารเย’’ติ อิมินา ปน อารญฺญิกงฺคํ วุตฺตํ, ‘‘อุปฎฺฐิโต รุกฺขมูลสฺมิ’’นฺติ อิมินา รุกฺขมูลิกงฺคํ, ‘‘อาสนูปคโต’’ติ อิมินา เนสชฺชิกงฺคํฯ ยถากฺกมํ ปน เอเตสํ อนุโลมตฺตา อโพฺภกาสิกยถาสนฺถติกโสสานิกงฺคานิ วุตฺตานิเยว โหนฺตีติ เอวเมตาย คาถาย เตรส ธุตงฺคานิ นาลกเตฺถรสฺส กเถสิฯ

    714. Evaṃ yāva arahattappatti, tāvapaṭipadaṃ kathetvā idāni taṃ paṭipadaṃ paṭipannassa bhikkhuno arahattappattiniṭṭhaṃ dhutaṅgasamādānaṃ senāsanavattañca kathento ‘‘sa piṇḍacāra’’nti gāthādvayamāha. Tattha sa piṇḍacāraṃ caritvāti so bhikkhu bhikkhaṃ caritvā bhattakiccaṃ vā katvā. Vanantamabhihārayeti apapañcito gihipapañcena vanaṃ eva gaccheyya. Upaṭṭhito rukkhamūlasminti rukkhamūle ṭhito vā hutvā. Āsanūpagatoti āsanaṃ upagato vā hutvā, nisinnoti vuttaṃ hoti. Munīti moneyyapaṭipadaṃ paṭipanno. Ettha ca ‘‘piṇḍacāraṃ caritvā’’ti iminā piṇḍapātikaṅgaṃ vuttaṃ. Yasmā pana ukkaṭṭhapiṇḍapātiko sapadānacārī ekāsaniko pattapiṇḍiko khalupacchābhattiko ca hotiyeva, tecīvarikapaṃsukūlampi ca samādiyateva, tasmā imānipi cha vuttāneva honti. ‘‘Vanantamabhihāraye’’ti iminā pana āraññikaṅgaṃ vuttaṃ, ‘‘upaṭṭhito rukkhamūlasmi’’nti iminā rukkhamūlikaṅgaṃ, ‘‘āsanūpagato’’ti iminā nesajjikaṅgaṃ. Yathākkamaṃ pana etesaṃ anulomattā abbhokāsikayathāsanthatikasosānikaṅgāni vuttāniyeva hontīti evametāya gāthāya terasa dhutaṅgāni nālakattherassa kathesi.

    ๗๑๕. ส ฌานปสุโต ธีโรติ โส อนุปฺปนฺนสฺส ฌานสฺส อุปฺปาทเนน อุปฺปนฺนสฺส อาวชฺชนสมาปชฺชนาธิฎฺฐานวุฎฺฐานปจฺจเวกฺขเณหิ จ ฌาเนสุ ปสุโต อนุยุโตฺตฯ ธีโรติ ธิติสมฺปโนฺนฯ วนเนฺต รมิโต สิยาติ วเน อภิรโต สิยา, คามนฺตเสนาสเน นาภิรเมยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ ฌาเยถ รุกฺขมูลสฺมิํ, อตฺตานมภิโตสยนฺติ น เกวลํ โลกิยชฺฌานปสุโตเยว สิยา, อปิจ โข ตสฺมิํเยว รุกฺขมูเล โสตาปตฺติมคฺคาทิสมฺปยุเตฺตน โลกุตฺตรชฺฌาเนนาปิ อตฺตานํ อตีว โตเสโนฺต ฌาเยถฯ ปรมสฺสาสปฺปตฺติยา หิ โลกุตฺตรชฺฌาเนเนว จิตฺตํ อตีว ตุสฺสติ, น อเญฺญนฯ เตนาห – ‘‘อตฺตานมภิโตสย’’นฺติฯ เอวมิมาย คาถาย ฌานปสุตตาย วนนฺตเสนาสนาภิรติํ อรหตฺตญฺจ กเถสิฯ

    715.Sa jhānapasuto dhīroti so anuppannassa jhānassa uppādanena uppannassa āvajjanasamāpajjanādhiṭṭhānavuṭṭhānapaccavekkhaṇehi ca jhānesu pasuto anuyutto. Dhīroti dhitisampanno. Vanante ramito siyāti vane abhirato siyā, gāmantasenāsane nābhirameyyāti vuttaṃ hoti. Jhāyetharukkhamūlasmiṃ, attānamabhitosayanti na kevalaṃ lokiyajjhānapasutoyeva siyā, apica kho tasmiṃyeva rukkhamūle sotāpattimaggādisampayuttena lokuttarajjhānenāpi attānaṃ atīva tosento jhāyetha. Paramassāsappattiyā hi lokuttarajjhāneneva cittaṃ atīva tussati, na aññena. Tenāha – ‘‘attānamabhitosaya’’nti. Evamimāya gāthāya jhānapasutatāya vanantasenāsanābhiratiṃ arahattañca kathesi.

    ๗๑๖. อิทานิ ยสฺมา อิมํ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา นาลกเตฺถโร วนนฺตมภิหาเรตฺวา นิราหาโรปิ ปฎิปทาปูรเณ อตีว อุสฺสุโกฺก อโหสิ, นิราหาเรน จ สมณธมฺมํ กาตุํ น สกฺกาฯ ตถา กโรนฺตสฺส หิ ชีวิตํ นปฺปวตฺตติ, กิเลเส ปน อนุปฺปาเทเนฺตน อาหาโร ปริเยสิตโพฺพ, อยเมตฺถ ญาโยฯ ตสฺมา ตสฺส ภควา อปราปเรสุปิ ทิวเสสุ ปิณฺฑาย จริตพฺพํ, กิเลสา ปน น อุปฺปาเทตพฺพาติ ทสฺสนตฺถํ อรหตฺตปฺปตฺตินิฎฺฐํเยว ภิกฺขาจารวตฺตํ กเถโนฺต ‘‘ตโต รตฺยา วิวสาเน’’ติอาทิกา ฉ คาถาโย อภาสิฯ ตตฺถ ตโตติ ‘‘ส ปิณฺฑจารํ จริตฺวา, วนนฺตมภิหารเย’’ติ เอตฺถ วุตฺตปิณฺฑจารวนนฺตาภิหารโต อุตฺตริปิฯ รตฺยา วิวสาเนติ รตฺติสมติกฺกเม, ทุติยทิวเสติ วุตฺตํ โหติฯ คามนฺตมภิหารเยติ อาภิสมาจาริกวตฺตํ กตฺวา ยาว ภิกฺขาจารเวลา, ตาว วิเวกมนุพฺรูเหตฺวา คตปจฺจาคตวเตฺต วุตฺตนเยน กมฺมฎฺฐานํ มนสิ กโรโนฺต คามํ คเจฺฉยฺยฯ อวฺหานํ นาภินเนฺทยฺยาติ ‘‘ภเนฺต, อมฺหากํ ฆเร ภุญฺชิตพฺพ’’นฺติ นิมนฺตนํ, ‘‘เทติ นุ โข น เทติ นุ โข สุนฺทรํ นุ โข เทติ อสุนฺทรํ นุ โข เทตี’’ติ เอวรูปํ วิตกฺกํ โภชนญฺจ ปฎิปทาปูรโก ภิกฺขุ นาภินเนฺทยฺย, นปฺปฎิคฺคเณฺหยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ ยทิ ปน พลกฺกาเรน ปตฺตํ คเหตฺวา ปูเรตฺวา เทนฺติ, ปริภุญฺชิตฺวา สมณธโมฺม กาตโพฺพ, ธุตงฺคํ น กุปฺปติ, ตทุปาทาย ปน ตํ คามํ น ปวิสิตพฺพํฯ อภิหารญฺจ คามโตติ สเจ คามํ ปวิฎฺฐสฺส ปาติสเตหิปิ ภตฺตํ อภิหรนฺติ , ตมฺปิ นาภินเนฺทยฺย, ตโต เอกสิตฺถมฺปิ นปฺปฎิคฺคเณฺหยฺย, อญฺญทตฺถุ ฆรปฎิปาฎิยา ปิณฺฑปาตเมว จเรยฺยาติฯ

    716. Idāni yasmā imaṃ dhammadesanaṃ sutvā nālakatthero vanantamabhihāretvā nirāhāropi paṭipadāpūraṇe atīva ussukko ahosi, nirāhārena ca samaṇadhammaṃ kātuṃ na sakkā. Tathā karontassa hi jīvitaṃ nappavattati, kilese pana anuppādentena āhāro pariyesitabbo, ayamettha ñāyo. Tasmā tassa bhagavā aparāparesupi divasesu piṇḍāya caritabbaṃ, kilesā pana na uppādetabbāti dassanatthaṃ arahattappattiniṭṭhaṃyeva bhikkhācāravattaṃ kathento ‘‘tato ratyā vivasāne’’tiādikā cha gāthāyo abhāsi. Tattha tatoti ‘‘sa piṇḍacāraṃ caritvā, vanantamabhihāraye’’ti ettha vuttapiṇḍacāravanantābhihārato uttaripi. Ratyā vivasāneti rattisamatikkame, dutiyadivaseti vuttaṃ hoti. Gāmantamabhihārayeti ābhisamācārikavattaṃ katvā yāva bhikkhācāravelā, tāva vivekamanubrūhetvā gatapaccāgatavatte vuttanayena kammaṭṭhānaṃ manasi karonto gāmaṃ gaccheyya. Avhānaṃ nābhinandeyyāti ‘‘bhante, amhākaṃ ghare bhuñjitabba’’nti nimantanaṃ, ‘‘deti nu kho na deti nu kho sundaraṃ nu kho deti asundaraṃ nu kho detī’’ti evarūpaṃ vitakkaṃ bhojanañca paṭipadāpūrako bhikkhu nābhinandeyya, nappaṭiggaṇheyyāti vuttaṃ hoti. Yadi pana balakkārena pattaṃ gahetvā pūretvā denti, paribhuñjitvā samaṇadhammo kātabbo, dhutaṅgaṃ na kuppati, tadupādāya pana taṃ gāmaṃ na pavisitabbaṃ. Abhihārañca gāmatoti sace gāmaṃ paviṭṭhassa pātisatehipi bhattaṃ abhiharanti , tampi nābhinandeyya, tato ekasitthampi nappaṭiggaṇheyya, aññadatthu gharapaṭipāṭiyā piṇḍapātameva careyyāti.

    ๗๑๗. มุนี คามมาคมฺม, กุเลสุ สหสา จเรติ โส จ โมนตฺถาย ปฎิปนฺนโก มุนิ คามํ คโต สมาโน กุเลสุ สหสา น จเร, สหโสกิตาทิอนนุโลมิกํ คิหิสํสคฺคํ น อาปเชฺชยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ ฆาเสสนํ ฉินฺนกโถ, น วาจํ ปยุตํ ภเณติ ฉินฺนกโถ วิย หุตฺวา โอภาสปริกถานิมิตฺตวิญฺญตฺติปยุตฺตํ ฆาเสสนวาจํ น ภเณยฺยฯ สเจ อากเงฺขยฺย, คิลาโน สมาโน เคลญฺญปฎิพาหนตฺถาย ภเณยฺยฯ เสนาสนตฺถาย วา วิญฺญตฺติํ ฐเปตฺวา โอภาสปริกถานิมิตฺตปยุตฺตํ, อวเสสปจฺจยตฺถาย ปน อคิลาโน เนว กิญฺจิ ภเณยฺยาติฯ

    717.Namunī gāmamāgamma, kulesu sahasā careti so ca monatthāya paṭipannako muni gāmaṃ gato samāno kulesu sahasā na care, sahasokitādiananulomikaṃ gihisaṃsaggaṃ na āpajjeyyāti vuttaṃ hoti. Ghāsesanaṃ chinnakatho, na vācaṃ payutaṃ bhaṇeti chinnakatho viya hutvā obhāsaparikathānimittaviññattipayuttaṃ ghāsesanavācaṃ na bhaṇeyya. Sace ākaṅkheyya, gilāno samāno gelaññapaṭibāhanatthāya bhaṇeyya. Senāsanatthāya vā viññattiṃ ṭhapetvā obhāsaparikathānimittapayuttaṃ, avasesapaccayatthāya pana agilāno neva kiñci bhaṇeyyāti.

    ๗๑๘-๙. อลตฺถํ ยทิทนฺติ อิมิสฺสา ปน คาถาย อยมโตฺถ – คามํ ปิณฺฑาย ปวิโฎฺฐ อปฺปมตฺตเกปิ กิสฺมิญฺจิ ลเทฺธ ‘‘อลตฺถํ ยํ อิทํ สาธู’’ติ จิเนฺตตฺวา อลเทฺธ ‘‘นาลตฺถํ กุสล’’นฺติ ตมฺปิ ‘‘สุนฺทร’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อุภเยเนว ลาภาลาเภน โส ตาที นิพฺพิกาโร หุตฺวา รุกฺขํวุปนิวตฺตติ, ยถาปิ ปุริโส ผลคเวสี รุกฺขํ อุปคมฺม ผลํ ลทฺธาปิ อลทฺธาปิ อนนุนีโต อปฺปฎิหโต มชฺฌโตฺตเยว หุตฺวา คจฺฉติ, เอวํ กุลํ อุปคมฺม ลาภํ ลทฺธาปิ อลทฺธาปิ มชฺฌโตฺตว หุตฺวา คจฺฉตีติฯ ส ปตฺตปาณี ติ คาถา อุตฺตานตฺถาวฯ

    718-9.Alatthaṃ yadidanti imissā pana gāthāya ayamattho – gāmaṃ piṇḍāya paviṭṭho appamattakepi kismiñci laddhe ‘‘alatthaṃ yaṃ idaṃ sādhū’’ti cintetvā aladdhe ‘‘nālatthaṃ kusala’’nti tampi ‘‘sundara’’nti cintetvā ubhayeneva lābhālābhena so tādī nibbikāro hutvā rukkhaṃvupanivattati, yathāpi puriso phalagavesī rukkhaṃ upagamma phalaṃ laddhāpi aladdhāpi ananunīto appaṭihato majjhattoyeva hutvā gacchati, evaṃ kulaṃ upagamma lābhaṃ laddhāpi aladdhāpi majjhattova hutvā gacchatīti. Sa pattapāṇī ti gāthā uttānatthāva.

    ๗๒๐. อุจฺจาวจาติ อิมิสฺสา คาถาย สมฺพโนฺธ – เอวํ ภิกฺขาจารวตฺตสมฺปโนฺน หุตฺวาปิ ตาวตเกเนว ตุฎฺฐิํ อนาปชฺชิตฺวา ปฎิปทํ อาโรเธยฺยฯ ปฎิปตฺติสารญฺหิ สาสนํฯ สา จายํ อุจฺจาวจา…เป.… มุตนฺติฯ ตสฺสโตฺถ – สา จายํ มคฺคปฎิปทา อุตฺตมนิหีนเภทโต อุจฺจาวจา พุทฺธสมเณน ปกาสิตาฯ สุขาปฎิปทา หิ ขิปฺปาภิญฺญา อุจฺจา, ทุกฺขาปฎิปทา ทนฺธาภิญฺญา อวจาฯ อิตรา เทฺว เอเกนเงฺคน อุจฺจา, เอเกน อวจาฯ ปฐมา เอว วา อุจฺจา, อิตรา ติโสฺสปิ อวจาฯ ตาย เจตาย อุจฺจาย อวจาย วา ปฎิปทาย น ปารํ ทิคุณํ ยนฺติฯ ‘‘ทุคุณ’’นฺติ วา ปาโฐ, เอกมเคฺคน ทฺวิกฺขตฺตุํ นิพฺพานํ น ยนฺตีติ อโตฺถฯ กสฺมา? เยน มเคฺคน เย กิเลสา ปหีนา, เตสํ ปุน อปฺปหาตพฺพโตฯ เอเตน ปริหานธมฺมาภาวํ ทีเปติฯ นยิทํ เอกคุณํ มุตนฺติ ตญฺจ อิทํ ปารํ เอกกฺขตฺตุํเยว ผุสนารหมฺปิ น โหติฯ กสฺมา? เอเกน มเคฺคน สพฺพกิเลสปฺปหานาภาวโตฯ เอเตน เอกมเคฺคเนว อรหตฺตาภาวํ ทีเปติฯ

    720.Uccāvacāti imissā gāthāya sambandho – evaṃ bhikkhācāravattasampanno hutvāpi tāvatakeneva tuṭṭhiṃ anāpajjitvā paṭipadaṃ ārodheyya. Paṭipattisārañhi sāsanaṃ. Sā cāyaṃ uccāvacā…pe… mutanti. Tassattho – sā cāyaṃ maggapaṭipadā uttamanihīnabhedato uccāvacā buddhasamaṇena pakāsitā. Sukhāpaṭipadā hi khippābhiññā uccā, dukkhāpaṭipadā dandhābhiññā avacā. Itarā dve ekenaṅgena uccā, ekena avacā. Paṭhamā eva vā uccā, itarā tissopi avacā. Tāya cetāya uccāya avacāya vā paṭipadāya na pāraṃ diguṇaṃ yanti. ‘‘Duguṇa’’nti vā pāṭho, ekamaggena dvikkhattuṃ nibbānaṃ na yantīti attho. Kasmā? Yena maggena ye kilesā pahīnā, tesaṃ puna appahātabbato. Etena parihānadhammābhāvaṃ dīpeti. Nayidaṃ ekaguṇaṃ mutanti tañca idaṃ pāraṃ ekakkhattuṃyeva phusanārahampi na hoti. Kasmā? Ekena maggena sabbakilesappahānābhāvato. Etena ekamaggeneva arahattābhāvaṃ dīpeti.

    ๗๒๑. อิทานิ ปฎิปทานิสํสํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยสฺส จ วิสตา’’ติ คาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ – ยสฺส จ เอวํ ปฎิปนฺนสฺส ภิกฺขุโน ตาย ปฎิปทาย ปหีนตฺตา อฎฺฐสตตณฺหาวิจริตภาเวน วิสตตฺตา วิสตา ตณฺหา นตฺถิ, ตสฺส กิเลสโสตเจฺฉเทน ฉินฺนโสตสฺส กุสลากุสลปฺปหาเนน กิจฺจากิจฺจปฺปหีนสฺส ราคโช วา โทสโช วา อปฺปมตฺตโกปิ ปริฬาโห น วิชฺชตีติฯ

    721. Idāni paṭipadānisaṃsaṃ dassento ‘‘yassa ca visatā’’ti gāthamāha. Tassattho – yassa ca evaṃ paṭipannassa bhikkhuno tāya paṭipadāya pahīnattā aṭṭhasatataṇhāvicaritabhāvena visatattā visatā taṇhā natthi, tassa kilesasotacchedena chinnasotassa kusalākusalappahānena kiccākiccappahīnassa rāgajo vā dosajo vā appamattakopi pariḷāho na vijjatīti.

    ๗๒๒. อิทานิ ยสฺมา อิมา คาถาโย สุตฺวา นาลกเตฺถรสฺส จิตฺตํ อุทปาทิ – ‘‘ยทิ เอตฺตกํ โมเนยฺยํ สุกรํ น ทุกฺกรํ, สกฺกา อปฺปกสิเรน ปูเรตุ’’นฺติ, ตสฺมาสฺส ภควา ‘‘ทุกฺกรเมว โมเนยฺย’’นฺติ ทเสฺสโนฺต ปุน ‘‘โมเนยฺยํ เต อุปญฺญิสฺส’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อุปญฺญิสฺสนฺติ อุปญฺญาเปยฺยํ, กถยิสฺสนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ขุรธารา อุปมา อสฺสาติ ขุรธารูปโมภเวติ ภเวยฺยฯ โก อธิปฺปาโย? โมเนยฺยํ ปฎิปโนฺน ภิกฺขุ ขุรธารํ อุปมํ กตฺวา ปจฺจเยสุ วเตฺตยฺยฯ ยถา มธุทิทฺธํ ขุรธารํ ลิหโนฺต, เฉทโต, ชิวฺหํ รกฺขติ, เอวํ ธเมฺมน ลเทฺธ ปจฺจเย ปริภุญฺชโนฺต จิตฺตํ กิเลสุปฺปตฺติโต รเกฺขยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ ปจฺจยา หิ ปริสุเทฺธน ญาเยน ลทฺธุญฺจ อนวชฺชปริโภเคน ปริภุญฺชิตุญฺจ น สุเขน สกฺกาติ ภควา ปจฺจยนิสฺสิตเมว พหุโส ภณติฯ ชิวฺหาย ตาลุมาหจฺจ, อุทเร สญฺญโต สิยาติ ชิวฺหาย ตาลุํ อุปฺปีเฬตฺวาปิ รสตณฺหํ วิโนเทโนฺต กิลิเฎฺฐน มเคฺคน อุปฺปนฺนปจฺจเย อเสวโนฺต อุทเร สํยโต สิยาฯ

    722. Idāni yasmā imā gāthāyo sutvā nālakattherassa cittaṃ udapādi – ‘‘yadi ettakaṃ moneyyaṃ sukaraṃ na dukkaraṃ, sakkā appakasirena pūretu’’nti, tasmāssa bhagavā ‘‘dukkarameva moneyya’’nti dassento puna ‘‘moneyyaṃ te upaññissa’’ntiādimāha. Tattha upaññissanti upaññāpeyyaṃ, kathayissanti vuttaṃ hoti. Khuradhārā upamā assāti khuradhārūpamo. Bhaveti bhaveyya. Ko adhippāyo? Moneyyaṃ paṭipanno bhikkhu khuradhāraṃ upamaṃ katvā paccayesu vatteyya. Yathā madhudiddhaṃ khuradhāraṃ lihanto, chedato, jivhaṃ rakkhati, evaṃ dhammena laddhe paccaye paribhuñjanto cittaṃ kilesuppattito rakkheyyāti vuttaṃ hoti. Paccayā hi parisuddhena ñāyena laddhuñca anavajjaparibhogena paribhuñjituñca na sukhena sakkāti bhagavā paccayanissitameva bahuso bhaṇati. Jivhāya tālumāhacca, udare saññato siyāti jivhāya tāluṃ uppīḷetvāpi rasataṇhaṃ vinodento kiliṭṭhena maggena uppannapaccaye asevanto udare saṃyato siyā.

    ๗๒๓. อลีนจิโตฺต จ สิยาติ นิจฺจํ กุสลานํ ธมฺมานํ ภาวนาย อฎฺฐิตการิตาย อกุสีตจิโตฺต จ ภเวยฺยฯ น จาปิ พหุ จินฺตเยติ ญาติชนปทามรวิตกฺกวเสน จ พหุํ น จิเนฺตยฺยฯ นิรามคโนฺธ อสิโต, พฺรหฺมจริยปรายโณติ นิกฺกิเลโส จ หุตฺวา ตณฺหาทิฎฺฐีหิ กิสฺมิญฺจิ ภเว อนิสฺสิโต สิกฺขาตฺตยสกลสาสนพฺรหฺมจริยปรายโณ เอว ภเวยฺยฯ

    723.Alīnacitto ca siyāti niccaṃ kusalānaṃ dhammānaṃ bhāvanāya aṭṭhitakāritāya akusītacitto ca bhaveyya. Na cāpi bahu cintayeti ñātijanapadāmaravitakkavasena ca bahuṃ na cinteyya. Nirāmagandho asito, brahmacariyaparāyaṇoti nikkileso ca hutvā taṇhādiṭṭhīhi kismiñci bhave anissito sikkhāttayasakalasāsanabrahmacariyaparāyaṇo eva bhaveyya.

    ๗๒๔-๕. เอกาสนสฺสาติ วิวิตฺตาสนสฺสฯ อาสนมุเขน เจตฺถ สพฺพอิริยาปถา วุตฺตาฯ ยโต สพฺพอิริยาปเถสุ เอกีภาวสฺส สิเกฺขยฺยาติ วุตฺตํ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ เอกาสนสฺสาติ จ สมฺปทานวจนเมตํฯ สมณูปาสนสฺส จาติ สมเณหิ อุปาสิตพฺพสฺส อฎฺฐติํสารมฺมณภาวนานุโยคสฺส, สมณานํ วา อุปาสนภูตสฺส อฎฺฐติํสารมฺมณเภทเสฺสวฯ อิทมฺปิ สมฺปทานวจนเมว, อุปาสนตฺถนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เอตฺถ จ เอกาสเนน กายวิเวโก, สมณูปาสเนน จิตฺตวิเวโก วุโตฺต โหตีติ เวทิตโพฺพฯ เอกตฺตํ โมนมกฺขาตนฺติ เอวมิทํ กายจิตฺตวิเวกวเสน ‘‘เอกตฺตํ โมน’’นฺติ อกฺขาตํฯ เอโก เจ อภิรมิสฺสสีติ อิทํ ปน อุตฺตรคาถาเปกฺขํ ปทํ, ‘‘อถ ภาหิสิ ทสทิสา’’ติ อิมินา อสฺส สมฺพโนฺธฯ

    724-5.Ekāsanassāti vivittāsanassa. Āsanamukhena cettha sabbairiyāpathā vuttā. Yato sabbairiyāpathesu ekībhāvassa sikkheyyāti vuttaṃ hotīti veditabbaṃ. Ekāsanassāti ca sampadānavacanametaṃ. Samaṇūpāsanassati samaṇehi upāsitabbassa aṭṭhatiṃsārammaṇabhāvanānuyogassa, samaṇānaṃ vā upāsanabhūtassa aṭṭhatiṃsārammaṇabhedasseva. Idampi sampadānavacanameva, upāsanatthanti vuttaṃ hoti. Ettha ca ekāsanena kāyaviveko, samaṇūpāsanena cittaviveko vutto hotīti veditabbo. Ekattaṃ monamakkhātanti evamidaṃ kāyacittavivekavasena ‘‘ekattaṃ mona’’nti akkhātaṃ. Eko ce abhiramissasīti idaṃ pana uttaragāthāpekkhaṃ padaṃ, ‘‘atha bhāhisi dasadisā’’ti iminā assa sambandho.

    ภาหิสีติ ภาสิสฺสสิ ปกาเสสฺสสิฯ อิมํ ปฎิปทํ ภาเวโนฺต สพฺพทิสาสุ กิตฺติยา ปากโฎ ภวิสฺสสีติ วุตฺตํ โหติฯ สุตฺวา ธีรานนฺติอาทีนํ ปน จตุนฺนํ ปทานํ อยมโตฺถ – เยน จ กิตฺติโฆเสน ภาหิสิ ทสทิสา ตํ ธีรานํ ฌายีนํ กามจาคินํ นิโฆสํ สุตฺวา อถ ตฺวํ เตน อุทฺธจฺจํ อนาปชฺชิตฺวา ภิโยฺย หิริญฺจ สทฺธญฺจ กเรยฺยาสิ, เตน โฆเสน หรายมาโน ‘‘นิยฺยานิกปฎิปทา อย’’นฺติ สทฺธํ อุปฺปาเทตฺวา อุตฺตริ ปฎิปตฺติเมว พฺรูเหยฺยาสิฯ มามโกติ เอวญฺหิ สเนฺต มม สาวโก โหตีติฯ

    Bhāhisīti bhāsissasi pakāsessasi. Imaṃ paṭipadaṃ bhāvento sabbadisāsu kittiyā pākaṭo bhavissasīti vuttaṃ hoti. Sutvā dhīrānantiādīnaṃ pana catunnaṃ padānaṃ ayamattho – yena ca kittighosena bhāhisi dasadisā taṃ dhīrānaṃ jhāyīnaṃ kāmacāginaṃ nighosaṃ sutvā atha tvaṃ tena uddhaccaṃ anāpajjitvā bhiyyo hiriñca saddhañca kareyyāsi, tena ghosena harāyamāno ‘‘niyyānikapaṭipadā aya’’nti saddhaṃ uppādetvā uttari paṭipattimeva brūheyyāsi. Māmakoti evañhi sante mama sāvako hotīti.

    ๗๒๖. ตํ นทีหีติ ยํ ตํ มยา ‘‘หิริญฺจ สทฺธญฺจ ภิโยฺย กุเพฺพถา’’ติ วทตา ‘‘อุทฺธจฺจํ น กาตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํ, ตํ อิมินา นทีนิทสฺสเนนาปิ ชานาถ, ตพฺพิปริยายญฺจ โสเพฺภสุปทเรสุจ ชานาถฯ โสเพฺภสูติ มาติกาสุ ฯ ปทเรสูติ ทรีสุฯ กถํ? สณนฺตา ยนฺติ กุโสพฺภา, ตุณฺหี ยนฺติ มโหทธีติฯ กุโสพฺภา หิ โสพฺภปทราทิเภทา สพฺพาปิ กุนฺนทิโย สณนฺตา สทฺทํ กโรนฺตา อุทฺธตา หุตฺวา ยนฺติ, คงฺคาทิเภทา ปน มหานทิโย ตุณฺหี ยนฺติ, เอวํ ‘‘โมเนยฺยํ ปูเรมี’’ติ อุทฺธโต โหติ อมามโก, มามโก ปน หิริญฺจ สทฺธญฺจ อุปฺปาเทตฺวา นีจจิโตฺตว โหติฯ

    726.Taṃ nadīhīti yaṃ taṃ mayā ‘‘hiriñca saddhañca bhiyyo kubbethā’’ti vadatā ‘‘uddhaccaṃ na kātabba’’nti vuttaṃ, taṃ iminā nadīnidassanenāpi jānātha, tabbipariyāyañca sobbhesu ca padaresuca jānātha. Sobbhesūti mātikāsu . Padaresūti darīsu. Kathaṃ? Saṇantā yanti kusobbhā, tuṇhī yanti mahodadhīti. Kusobbhā hi sobbhapadarādibhedā sabbāpi kunnadiyo saṇantā saddaṃ karontā uddhatā hutvā yanti, gaṅgādibhedā pana mahānadiyo tuṇhī yanti, evaṃ ‘‘moneyyaṃ pūremī’’ti uddhato hoti amāmako, māmako pana hiriñca saddhañca uppādetvā nīcacittova hoti.

    ๗๒๗-๙. กิญฺจ ภิโยฺย – ยทูนกํ…เป.… ปณฺฑิโตติฯ ตตฺถ สิยา – สเจ อฑฺฒกุมฺภูปโม พาโล สณนฺตตาย, รหโท ปูโรว ปณฺฑิโต สนฺตตาย, อถ กสฺมา พุทฺธสมโณ เอวํ ธมฺมเทสนาพฺยาวโฎ หุตฺวา พหุํ ภาสตีติ อิมินา สมฺพเนฺธน ‘‘ยํ สมโณ’’ติ คาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ – ยํ พุทฺธสมโณ พหุํ ภาสติ อุเปตํ อตฺถสญฺหิตํ, อตฺถุเปตํ ธมฺมุเปตญฺจ หิเตน จ สํหิตํ, ตํ น อุทฺธเจฺจน, อปิจ โข ชานํ โส ธมฺมํ เทเสติ ทิวสมฺปิ เทเสโนฺต นิปฺปปโญฺจว หุตฺวาฯ ตสฺส หิ สพฺพํ วจีกมฺมํ ญาณานุปริวตฺติฯ เอวํ เทเสโนฺต จ ‘‘อิทมสฺส หิตํ อิทมสฺส หิต’’นฺติ นานปฺปการโต ชานํ โส พหุ ภาสติ, น เกวลํ พหุภาณิตายฯ อวสานคาถาย สมฺพโนฺธ – เอวํ ตาว สพฺพญฺญุตญฺญาเณน สมนฺนาคโต พุทฺธสมโณ ชานํ โส ธมฺมํ เทเสติ, ชานํ โส พหุ ภาสติฯ เตน เทสิตํ ปน ธมฺมํ นิเพฺพธภาคิเยเนว ญาเณน โย จ ชานํ สํยตโตฺต, ชานํ น พหุ ภาสติ, ส มุนิ โมนมรหติ, ส มุนิ โมนมชฺฌคาติฯ ตสฺสโตฺถ – ตํ ธมฺมํ ชานโนฺต สํยตโตฺต คุตฺตจิโตฺต หุตฺวา ยํ ภาสิตํ สตฺตานํ หิตสุขาวหํ น โหติ, ตํ ชานํ น พหุ ภาสติฯ โส เอวํวิโธ โมนตฺถํ ปฎิปนฺนโก มุนิ โมเนยฺยปฎิปทาสงฺขาตํ โมนํ อรหติฯ น เกวลญฺจ อรหติเยว, อปิจ โข ปน ส มุนิ อรหตฺตมคฺคญาณสงฺขาตํ โมนํ อชฺฌคา อิเจฺจว เวทิตโพฺพติ อรหตฺตนิกูเฎน เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ

    727-9. Kiñca bhiyyo – yadūnakaṃ…pe… paṇḍitoti. Tattha siyā – sace aḍḍhakumbhūpamo bālo saṇantatāya, rahado pūrova paṇḍito santatāya, atha kasmā buddhasamaṇo evaṃ dhammadesanābyāvaṭo hutvā bahuṃ bhāsatīti iminā sambandhena ‘‘yaṃ samaṇo’’ti gāthamāha. Tassattho – yaṃ buddhasamaṇo bahuṃ bhāsati upetaṃ atthasañhitaṃ, atthupetaṃ dhammupetañca hitena ca saṃhitaṃ, taṃ na uddhaccena, apica kho jānaṃ so dhammaṃ deseti divasampi desento nippapañcova hutvā. Tassa hi sabbaṃ vacīkammaṃ ñāṇānuparivatti. Evaṃ desento ca ‘‘idamassa hitaṃ idamassa hita’’nti nānappakārato jānaṃ so bahu bhāsati, na kevalaṃ bahubhāṇitāya. Avasānagāthāya sambandho – evaṃ tāva sabbaññutaññāṇena samannāgato buddhasamaṇo jānaṃ so dhammaṃ deseti, jānaṃ so bahu bhāsati. Tena desitaṃ pana dhammaṃ nibbedhabhāgiyeneva ñāṇena yo ca jānaṃ saṃyatatto, jānaṃ na bahu bhāsati, sa muni monamarahati, sa muni monamajjhagāti. Tassattho – taṃ dhammaṃ jānanto saṃyatatto guttacitto hutvā yaṃ bhāsitaṃ sattānaṃ hitasukhāvahaṃ na hoti, taṃ jānaṃ na bahu bhāsati. So evaṃvidho monatthaṃ paṭipannako muni moneyyapaṭipadāsaṅkhātaṃ monaṃ arahati. Na kevalañca arahatiyeva, apica kho pana sa muni arahattamaggañāṇasaṅkhātaṃ monaṃ ajjhagā icceva veditabboti arahattanikūṭena desanaṃ niṭṭhāpesi.

    ตํ สุตฺวา นาลกเตฺถโร ตีสุ ฐาเนสุ อปฺปิโจฺฉ อโหสิ ทสฺสเน สวเน ปุจฺฉายาติฯ โส หิ เทสนาปริโยสาเน ปสนฺนจิโตฺต ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา วนํ ปวิโฎฺฐ, ปุน ‘‘อโห วตาหํ ภควนฺตํ ปเสฺสยฺย’’นฺติ โลลภาวํ น ชเนสิฯ อยมสฺส ทสฺสเน อปฺปิจฺฉตาฯ ตถา ‘‘อโห วตาหํ ปุน ธมฺมเทสนํ สุเณยฺย’’นฺติ โลลภาวํ น ชเนสิฯ อยมสฺส สวเน อปฺปิจฺฉตาฯ ตถา ‘‘อโห วตาหํ ปุน โมเนยฺยปฎิปทํ ปุเจฺฉยฺย’’นฺติ โลลภาวํ น ชเนสิฯ อยมสฺส ปุจฺฉาย อปฺปิจฺฉตาฯ

    Taṃ sutvā nālakatthero tīsu ṭhānesu appiccho ahosi dassane savane pucchāyāti. So hi desanāpariyosāne pasannacitto bhagavantaṃ vanditvā vanaṃ paviṭṭho, puna ‘‘aho vatāhaṃ bhagavantaṃ passeyya’’nti lolabhāvaṃ na janesi. Ayamassa dassane appicchatā. Tathā ‘‘aho vatāhaṃ puna dhammadesanaṃ suṇeyya’’nti lolabhāvaṃ na janesi. Ayamassa savane appicchatā. Tathā ‘‘aho vatāhaṃ puna moneyyapaṭipadaṃ puccheyya’’nti lolabhāvaṃ na janesi. Ayamassa pucchāya appicchatā.

    โส เอวํ อปฺปิโจฺฉ สมาโน ปพฺพตปาทํ ปวิสิตฺวา เอกวนสเณฺฑ เทฺว ทิวสานิ น วสิ , เอกรุกฺขมูเล เทฺว ทิวสานิ น นิสีทิ, เอกคาเม เทฺว ทิวสานิ ปิณฺฑาย น ปาวิสิฯ อิติ วนโต วนํ, รุกฺขโต รุกฺขํ, คามโต คามํ อาหิณฺฑโนฺต อนุรูปปฎิปทํ ปฎิปชฺชิตฺวา อคฺคผเล ปติฎฺฐาสิฯ อถ ยสฺมา โมเนยฺยปฎิปทํ อุกฺกฎฺฐํ กตฺวา ปูเรโนฺต ภิกฺขุ สเตฺตว มาสานิ ชีวติ, มชฺฌิมํ กตฺวา ปูเรโนฺต สตฺต วสฺสานิ, มนฺทํ กตฺวา ปูเรโนฺต โสฬส วสฺสานิฯ อยญฺจ อุกฺกฎฺฐํ กตฺวา ปูเรสิ, ตสฺมา สตฺต มาเส ฐตฺวา อตฺตโน อายุสงฺขารปริกฺขยํ ญตฺวา นฺหายิตฺวา นิวาเสตฺวา กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ทิคุณํ สงฺฆาฎิํ ปารุปิตฺวา ทสพลาภิมุโข ปญฺจปติฎฺฐิตํ วนฺทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา หิงฺคุลกปพฺพตํ นิสฺสาย ฐิตโกว อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิฯ ตสฺส ปรินิพฺพุตภาวํ ญตฺวา ภควา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ ตตฺถ คนฺตฺวา สรีรกิจฺจํ กตฺวา ธาตุโย คาหาเปตฺวา เจติยํ ปติฎฺฐาเปตฺวา อคมาสีติฯ

    So evaṃ appiccho samāno pabbatapādaṃ pavisitvā ekavanasaṇḍe dve divasāni na vasi , ekarukkhamūle dve divasāni na nisīdi, ekagāme dve divasāni piṇḍāya na pāvisi. Iti vanato vanaṃ, rukkhato rukkhaṃ, gāmato gāmaṃ āhiṇḍanto anurūpapaṭipadaṃ paṭipajjitvā aggaphale patiṭṭhāsi. Atha yasmā moneyyapaṭipadaṃ ukkaṭṭhaṃ katvā pūrento bhikkhu satteva māsāni jīvati, majjhimaṃ katvā pūrento satta vassāni, mandaṃ katvā pūrento soḷasa vassāni. Ayañca ukkaṭṭhaṃ katvā pūresi, tasmā satta māse ṭhatvā attano āyusaṅkhāraparikkhayaṃ ñatvā nhāyitvā nivāsetvā kāyabandhanaṃ bandhitvā diguṇaṃ saṅghāṭiṃ pārupitvā dasabalābhimukho pañcapatiṭṭhitaṃ vanditvā añjaliṃ paggahetvā hiṅgulakapabbataṃ nissāya ṭhitakova anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi. Tassa parinibbutabhāvaṃ ñatvā bhagavā bhikkhusaṅghena saddhiṃ tattha gantvā sarīrakiccaṃ katvā dhātuyo gāhāpetvā cetiyaṃ patiṭṭhāpetvā agamāsīti.

    ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย

    Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya

    สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย นาลกสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suttanipāta-aṭṭhakathāya nālakasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๑๑. นาลกสุตฺตํ • 11. Nālakasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact