Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๙๗] ๗. นามสิทฺธิชาตกวณฺณนา
[97] 7. Nāmasiddhijātakavaṇṇanā
ชีวกญฺจ มตํ ทิสฺวาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ นามสิทฺธิกํ ภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ เอโก กิร กุลปุโตฺต นาเมน ปาปโก นามฯ โส สาสเน อุรํ ทตฺวา ปพฺพชิโต ภิกฺขูหิ ‘‘เอหาวุโส, ปาปก, ติฎฺฐาวุโส, ปาปกา’’ติ วุจฺจมาโน จิเนฺตสิ ‘‘โลเก ปาปกํ นาม ลามกํ กาฬกณฺณิภูตํ วุจฺจติ, อญฺญํ มงฺคลปฎิสํยุตฺตํ นามํ อาหราเปสฺสามี’’ติฯ โส อาจริยุปชฺฌาเย อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ นามํ อวมงฺคลํ, อญฺญํ เม นามํ กโรถา’’ติ อาหฯ อถ นํ เต เอวมาหํสุ – ‘‘อาวุโส, นามํ นาม ปณฺณตฺติมตฺตํ, นาเมน กาจิ อตฺถสิทฺธิ นาม นตฺถิ, อตฺตโน นาเมเนว สนฺตุโฎฺฐ โหหี’’ติฯ โส ปุนปฺปุนํ ยาจิเยวฯ ตสฺสายํ นามสิทฺธิกภาโว ภิกฺขุสเงฺฆ ปากโฎ ชาโตฯ อเถกทิวสํ ธมฺมสภายํ สนฺนิสินฺนา ภิกฺขู กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, อสุโก กิร ภิกฺขุ นามสิทฺธิโก มงฺคลํ นามํ อาหราเปตี’’ติฯ อถ สตฺถา ธมฺมสภํ อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, โส อิทาเนว, ปุเพฺพปิ นามสิทฺธิโกเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Jīvakañcamataṃ disvāti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ nāmasiddhikaṃ bhikkhuṃ ārabbha kathesi. Eko kira kulaputto nāmena pāpako nāma. So sāsane uraṃ datvā pabbajito bhikkhūhi ‘‘ehāvuso, pāpaka, tiṭṭhāvuso, pāpakā’’ti vuccamāno cintesi ‘‘loke pāpakaṃ nāma lāmakaṃ kāḷakaṇṇibhūtaṃ vuccati, aññaṃ maṅgalapaṭisaṃyuttaṃ nāmaṃ āharāpessāmī’’ti. So ācariyupajjhāye upasaṅkamitvā ‘‘bhante, mayhaṃ nāmaṃ avamaṅgalaṃ, aññaṃ me nāmaṃ karothā’’ti āha. Atha naṃ te evamāhaṃsu – ‘‘āvuso, nāmaṃ nāma paṇṇattimattaṃ, nāmena kāci atthasiddhi nāma natthi, attano nāmeneva santuṭṭho hohī’’ti. So punappunaṃ yāciyeva. Tassāyaṃ nāmasiddhikabhāvo bhikkhusaṅghe pākaṭo jāto. Athekadivasaṃ dhammasabhāyaṃ sannisinnā bhikkhū kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, asuko kira bhikkhu nāmasiddhiko maṅgalaṃ nāmaṃ āharāpetī’’ti. Atha satthā dhammasabhaṃ āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, so idāneva, pubbepi nāmasiddhikoyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต ตกฺกสิลายํ โพธิสโตฺต ทิสาปาโมโกฺข อาจริโย หุตฺวา ปญฺจ มาณวกสตานิ มเนฺต วาเจสิฯ ตเสฺสโก มาณโว ปาปโก นาม นาเมนฯ โส ‘‘เอหิ, ปาปก, ยาหิ, ปาปกา’’ติ วุจฺจมาโน จิเนฺตสิ ‘‘มยฺหํ นามํ อวมงฺคลํ, อญฺญํ นามํ อาหราเปสฺสามี’’ติฯ โส อาจริยํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อาจริย, มยฺหํ นามํ อวมงฺคลํ, อญฺญํ เม นามํ กโรถา’’ติ อาหฯ อถ นํ อาจริโย อโวจ ‘‘คจฺฉ, ตาต, ชนปทจาริกํ จริตฺวา อตฺตโน อภิรุจิตํ เอกํ มงฺคลนามํ คเหตฺวา เอหิ, อาคตสฺส เต นามํ ปริวเตฺตตฺวา อญฺญํ นามํ กริสฺสามี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ ปาเถยฺยํ คเหตฺวา นิกฺขโนฺต คาเมน คามํ จรโนฺต เอกํ นครํ ปาปุณิฯ ตตฺถ เจโก ปุริโส กาลกโต ชีวโก นาม นาเมนฯ โส ตํ ญาติชเนน อาฬาหนํ นียมานํ ทิสฺวา ‘‘กิํ นามโก เอส ปุริโส’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ชีวโก นาเมโส’’ติฯ ‘‘ชีวโกปิ มรตี’’ติ? ‘‘ชีวโกปิ มรติ, อชีวโกปิ มรติ, นามํ นาม ปณฺณตฺติมตฺตํ, ตฺวํ พาโล มเญฺญ’’ติฯ โส ตํ กถํ สุตฺวา นาเม มชฺฌโตฺต หุตฺวา อโนฺตนครํ ปาวิสิฯ
Atīte takkasilāyaṃ bodhisatto disāpāmokkho ācariyo hutvā pañca māṇavakasatāni mante vācesi. Tasseko māṇavo pāpako nāma nāmena. So ‘‘ehi, pāpaka, yāhi, pāpakā’’ti vuccamāno cintesi ‘‘mayhaṃ nāmaṃ avamaṅgalaṃ, aññaṃ nāmaṃ āharāpessāmī’’ti. So ācariyaṃ upasaṅkamitvā ‘‘ācariya, mayhaṃ nāmaṃ avamaṅgalaṃ, aññaṃ me nāmaṃ karothā’’ti āha. Atha naṃ ācariyo avoca ‘‘gaccha, tāta, janapadacārikaṃ caritvā attano abhirucitaṃ ekaṃ maṅgalanāmaṃ gahetvā ehi, āgatassa te nāmaṃ parivattetvā aññaṃ nāmaṃ karissāmī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti pātheyyaṃ gahetvā nikkhanto gāmena gāmaṃ caranto ekaṃ nagaraṃ pāpuṇi. Tattha ceko puriso kālakato jīvako nāma nāmena. So taṃ ñātijanena āḷāhanaṃ nīyamānaṃ disvā ‘‘kiṃ nāmako esa puriso’’ti pucchi. ‘‘Jīvako nāmeso’’ti. ‘‘Jīvakopi maratī’’ti? ‘‘Jīvakopi marati, ajīvakopi marati, nāmaṃ nāma paṇṇattimattaṃ, tvaṃ bālo maññe’’ti. So taṃ kathaṃ sutvā nāme majjhatto hutvā antonagaraṃ pāvisi.
อเถกํ ทาสิํ ภติํ อททมานํ สามิกา ทฺวาเร นิสีทาเปตฺวา รชฺชุยา ปหรนฺติ, ตสฺสา จ ‘‘ธนปาลี’’ติ นามํ โหติฯ โส อนฺตรวีถิยา คจฺฉโนฺต ตํ โปถิยมานํ ทิสฺวา ‘‘กสฺมา อิมํ โปเถถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ภติํ ทาตุํ น สโกฺกตี’’ติฯ ‘‘กิํ ปนสฺสา นาม’’นฺติ? ‘‘ธนปาลี นามา’’ติฯ นาเมน ธนปาลี สมานาปิ ภติมตฺตํ ทาตุํ น สโกฺกตีติ ธนปาลิโยปิ อธนปาลิโยปิ ทุคฺคตา โหนฺติ, นามํ นาม ปณฺณตฺติมตฺตํ, ตฺวํ พาโล มเญฺญติฯ โส นาเม มชฺฌตฺตตโร หุตฺวา นครา นิกฺขมฺม มคฺคํ ปฎิปโนฺน อนฺตรามเคฺค มคฺคมูฬฺหปุริสํ ทิสฺวา ‘‘อโมฺภ กิํ กโรโนฺต วิจรสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มคฺคมูโฬฺหมฺหิ, สามี’’ติฯ ‘‘กิํ ปน เต นาม’’นฺติ? ‘‘ปนฺถโก นามา’’ติฯ ‘‘ปนฺถโกปิ มคฺคมูโฬฺห โหตี’’ติ? ‘‘ปนฺถโกปิ อปนฺถโกปิ มคฺคมูโฬฺห โหติ, นามํ นาม ปณฺณตฺติมตฺตํ ตฺวํ ปน พาโล มเญฺญติ’’ฯ โส นาเม อติมชฺฌโตฺต หุตฺวา โพธิสตฺตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘กิํ, ตาต, นามํ โรเจตฺวา อาคโตสี’’ติ วุเตฺต ‘‘อาจริย, ชีวกาปิ นาม มรนฺติ อชีวกาปิ, ธนปาลิโยปิ ทุคฺคตา โหนฺติ อธนปาลิโยปิ, ปนฺถกาปิ มคฺคมูฬฺหา โหนฺติ อปนฺถกาปิ, นามํ นาม ปณฺณตฺติมตฺตํ, นาเมน สิทฺธิ นตฺถิ, กเมฺมเนว สิทฺธิฯ อลํ มยฺหํ อเญฺญน นาเมน, ตเทว เม นามํ โหตู’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต เตน ทิฎฺฐญฺจ กตญฺจ สํสเนฺทตฺวา อิมํ คาถมาห –
Athekaṃ dāsiṃ bhatiṃ adadamānaṃ sāmikā dvāre nisīdāpetvā rajjuyā paharanti, tassā ca ‘‘dhanapālī’’ti nāmaṃ hoti. So antaravīthiyā gacchanto taṃ pothiyamānaṃ disvā ‘‘kasmā imaṃ pothethā’’ti pucchi. ‘‘Bhatiṃ dātuṃ na sakkotī’’ti. ‘‘Kiṃ panassā nāma’’nti? ‘‘Dhanapālī nāmā’’ti. Nāmena dhanapālī samānāpi bhatimattaṃ dātuṃ na sakkotīti dhanapāliyopi adhanapāliyopi duggatā honti, nāmaṃ nāma paṇṇattimattaṃ, tvaṃ bālo maññeti. So nāme majjhattataro hutvā nagarā nikkhamma maggaṃ paṭipanno antarāmagge maggamūḷhapurisaṃ disvā ‘‘ambho kiṃ karonto vicarasī’’ti pucchi. ‘‘Maggamūḷhomhi, sāmī’’ti. ‘‘Kiṃ pana te nāma’’nti? ‘‘Panthako nāmā’’ti. ‘‘Panthakopi maggamūḷho hotī’’ti? ‘‘Panthakopi apanthakopi maggamūḷho hoti, nāmaṃ nāma paṇṇattimattaṃ tvaṃ pana bālo maññeti’’. So nāme atimajjhatto hutvā bodhisattassa santikaṃ gantvā ‘‘kiṃ, tāta, nāmaṃ rocetvā āgatosī’’ti vutte ‘‘ācariya, jīvakāpi nāma maranti ajīvakāpi, dhanapāliyopi duggatā honti adhanapāliyopi, panthakāpi maggamūḷhā honti apanthakāpi, nāmaṃ nāma paṇṇattimattaṃ, nāmena siddhi natthi, kammeneva siddhi. Alaṃ mayhaṃ aññena nāmena, tadeva me nāmaṃ hotū’’ti āha. Bodhisatto tena diṭṭhañca katañca saṃsandetvā imaṃ gāthamāha –
๙๗.
97.
‘‘ชีวกญฺจ มตํ ทิสฺวา, ธนปาลิญฺจ ทุคฺคตํ;
‘‘Jīvakañca mataṃ disvā, dhanapāliñca duggataṃ;
ปนฺถกญฺจ วเน มูฬฺหํ, ปาปโก ปุนราคโต’’ติฯ
Panthakañca vane mūḷhaṃ, pāpako punarāgato’’ti.
ตตฺถ ปุนราคโตติ อิมานิ ตีณิ การณานิ ทิสฺวา ปุน อาคโต, ร-กาโร สนฺธิวเสน วุโตฺตฯ
Tattha punarāgatoti imāni tīṇi kāraṇāni disvā puna āgato, ra-kāro sandhivasena vutto.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพเปส นามสิทฺธิโกเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา นามสิทฺธิโก อิทานิปิ นามสิทฺธิโกเยว, อาจริยปริสา พุทฺธปริสา, อาจริโย ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepesa nāmasiddhikoyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā nāmasiddhiko idānipi nāmasiddhikoyeva, ācariyaparisā buddhaparisā, ācariyo pana ahameva ahosi’’nti.
นามสิทฺธิชาตกวณฺณนา สตฺตมาฯ
Nāmasiddhijātakavaṇṇanā sattamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๙๗. นามสิทฺธิชาตกํ • 97. Nāmasiddhijātakaṃ